บทสัมภาษณ์ รายการ Voice of the Day

ปุ้ยลงสกู๊ปในเดลินิวส์วันที่ 12 มีนาคม 2554
 

เตรียมคำตอบไว้แบบนี้ แต่เอาเข้าจริงๆ ตื่นเต้นมาก พูดมั่วเลย
รายการแบ่งเป็น 4 ช่วงค่ะ
เบรค 1 เมื่อเด็กกิจกรรมมาเป็น “กูรู” ความงาม
เบรค 2 ขวัญใจชาวบล็อก แบบ “PuY is me”
เบรค 3 แต่งหน้าให้สวยใส สไตล์ “PuY is me”
เบรค 4 การเขียน บล็อกคือแรงบันดาลใจของฉัน

ตอนเด็กๆ ฝันอยากเป็นอะไร

ตอบ หลายคนฟังแล้วอาจจะไม่เชื่อค่ะ ปุ้ยอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ค่ะ
เพราะตอนเด็กๆ ชอบดูรายการกาลิเลโอ แล้วก็ชอบเรียนวิชาวิทยาศาสตร์มากเลย 

ปุ้ยรู้สึกว่าวิทยาศาสตร์ทำให้โลกนี้มีอะไรที่น่าสนใจอีกมาก ไม่มีวันหยุดและไม่มีวันน่าเบื่อ
การค้นพบสิ่งแปลกใหม่ๆ ตื่นเต้นที่ได้เรียนรู้ มันดูยิ่งใหญ่
หรือแม่แต่สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า เซลล์ โมเลกุล หรืออะตอม ก็มหัศจรรย์มากเช่นกันค่ะ

มีเพื่อนคนนึงเคยบอกว่า
จริงๆ แล้ววิทยาศาสตร์ทุกอย่างนั้น พระเจ้าเป็นคนสร้างมันขึ้นมา แต่มนุษย์เป็นคนค้นพบเท่านั้นเอง
เพื่อนคนนี้เค้าเป็นมุสลิมค่ะ มาลองคิดๆ ดู ก็อาจจะจริงนะคะ

แต่ยังไงก็ตาม ปุ้ยก็ชื่นชมนักวิทยาศาสตร์แต่ละท่านมากๆ ที่เค้าสามารถค้นพบเรื่องราวมหัศจรรย์ต่างๆ เหล่านี้
วิชาที่ชอบที่สุดของปุ้ย ก็ คงเป็นฟิสิกส์
เพราะว่า ปุ้ยรู้สึกว่ากฏเกณฑ์ต่างๆ ที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมามันเจ๋งสุดๆ ไปเลย
วิทยาศาสตร์เป็นสิ่งมหัศจรรย์ ลี้ลับและน่าค้นหาจริงๆ ค่ะ
ตอนนี้ก็ยังสนใจเรื่องวิทยาศาสตร์อยู่นะคะ เพียงแต่เป็นผู้เสพวิทยาศาสตร์เท่านั้นเอง

มาสนใจเรื่องคอมพิวเตอร์ตอนไหน
ตอบ เรื่องนี้ปุ้ยก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ รู้แต่ว่าสมัยที่เรายังเด็ก
คอมพิวเตอร์เพิ่งจะเข้ามาเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับมุษย์
ตั้งแต่ยังเป็นระบบ Dos ต่อมาก็เริ่มมีวินโดว์รุ่นแรกๆ จนสมัยนี้คอมพิวเตอร์กลายเป็นเรื่องธรรมดาๆ ไปซะแล้ว
สมัยก่อนถ้าบ้านใครมีคอมพิวเตอร์นี่ถือว่าเจ๋งมาก พ่อซื้อคอมพิวเอตร์ให้ตั้งแต่อยู่ ป.3 - 4
แต่ยังทำไรไม่เป็นเลย นอกจาก MS-word พิมพ์รายงานส่งคุณครู แถมยังทำวารสารของโรงเรียนและหนังสือรุ่นเอง ด้วย MS-word  อีกตังหาก 555
เพราะคุณพ่อผลักดันและบอกเสมอว่า รู้คอมพิวเตอร์เนี่ยจะดีนะ จะได้เปรียบคนอื่นเค้า
แต่เราไม่เอาไหนซะเลย
ตอนเรียนเตรียมก็อยากเข้าสายวิทย์-คณิตคอม แต่ว่าคะแนนสู้เค้าไม่ได้
แต่พอเอนทรานซ์ เลือกวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์อันดับสอง แล้วก็ติดจริงๆ ด้วย
(ทุกวันนี้รู้สึกว่าโชคดีมากๆ ที่เราไม่ติดวิศวะที่เลือกไว้เป็นอันดับหนึ่ง)

พอได้เรียนวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ก็ได้รู้ว่า คอมพิวเตอร์ก็เจ๋งมากๆ ไม่แพ้วิทยาศาสตร์เลย
และทำให้รู้ว่าไม่มีอะไรที่มนุษย์เราทำไม่ได้

 

เห็นว่าตอนอยู่โรงเรียนเป็นเด็กกิจกรรมด้วยแต่ผลการ เรียนก็ไม่ตก แบ่งเวลายังไง
และการทำกิจกรรมไปด้วยเรียนไปด้วยมันให้ผลดียังไง

ตอบ ปุ้ยเป็นเด็กขยันตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ และโชคดีที่โรงเรียนที่เรียนเป็นโรงเรียนเอกชนมาตลอด
และเค้าเห็นความสำคัญของการทำกิจกรรม ทางโรงเรียนก็แบ่งชม. กิจกรรมไว้ให้อยู่แล้ว
ตอนเวลาเรียนก็ตั้งใจฟังคุณครูสอน และตอนทำกิจกรรมก็สนุกกับมันเต็มที่เหมือนกัน 

อีกอย่างหนึ่งปุ้ยเป็นเด็กที่ชอบทำการบ้านค่ะ
เพราะว่า การบ้านมักจะยากกว่าตอนที่คุณครูสอนในห้องเรียน
ถ้าเราทำได้ทุกข้อก็จะโดนชมว่าเก่งด้วยหละ ^ ^
แล้วก็จะเอาแนวข้อสอบเก่าๆ 10 ปีย้อนหลัง มานั่งทำ บางวิชาทำเป็นสิบๆ รอบ
(ชีวิตเด็กเตรียมก็คงเป็นแบบนี้)
แต่พออยู่มหาวิทยาลัย ชีวิตเริ่มมีอิสระมากขึ้น เราต้องแบ่งเวลาเอง
การที่เราทำกิจกรรม ทำให้เป็นการกระตุ้นให้เราต้องตั้งใจเรียนมากกว่าคนอื่น
เพราะเดี๋ยวจะตามเค้าไม่ทัน และก็ต้องอ่านหนังสือล่วงหน้าด้วยค่ะ

พอเริ่มเข้ามหาวิทยาลัย เริ่มมองอนาคตตัวเองไว้ยังไงบ้าง คิดว่าจบมาจะทำงานลักษณะไหน
ตอบ ตั้งแต่เอนทรานส์ติดก็คิดว่าจะวางอนาคตตัวเองไปทางคอมพิวเตอร์เนี่ยแหละค่ะ 

เพราะว่าสมัยนั้นเป็นกระแสอาชีพใหม่ และเงินเดือนของเด็กจบใหม่ก็มากกว่าอาชีพอื่นๆ ที่ไม่นับรวมพวกคุณหมอ
เด็กจบวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ แน่นอนว่าต้องเริ่มต้นจากการเป็นโปรแกรมเมอร์
แต่ว่าปุ้ยไม่ชอบการเขียนโปรแกรมเอาซะเลย 
และส่วนใหญ่แล้วที่จุฬาเค้าจะเน้นการสอน
แบบฝึกวิธีคิด กระบวนการคิด ทำให้เคิดเป็น มากว่าสอนในเรื่องของเทคนิคคอลอยู่แล้ว
และแม้ว่า อาจารย์คนเดียวกันซึ่งสอนวิชาเดียวกันและนักเรียนนั่งเรียนอยู่ในคลาส เดียวกัน 

ก็ไมไ่ด้หมายความว่าสิ่งที่นักเรียนแต่ละคนจะได้รับมันจะเหมือน กันค่ะ
คนเรามักจะรับอะไรในมุมมองที่ตนเองสนใจและถนัดเป็นหลัก
ปุ้ยเป็นคนนึงที่ไม่ค่อยถนัดเรื่องเทคนิคคอล
แต่ชอบเรื่องแนวคิด วิธีคิดและการจับประเด็นหลักๆ และสรุปผลที่มีประโยชน์ในแง่มุมของปุ้ยเอง 

และวิชาที่ปุ้ยชอบเรียน ส่วนใหญ่จะเป็นแนว Software Project Management, Software Engineering, System analysis เป็นต้น 
ปุ้ยชอบแนวคิดการบริหารจัดการแบบมีกระบวนการค่ะ ตั้งแต่ Requirements, Specification, Planing, Design, Implementation, Testing, Deployment และ Maintenance
ปุ้ยเลยมองอนาคตทางด้านอาชีพว่า อยากจะเริ่มจากสาย System Analyst ซะมากกว่า
ปุ้ยก็เลยตัดสินใจเรียนต่อโทในสาขาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ (Software Engineering) นี้

พอดีทางคณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์เค้าเพิ่งเปิดสอนด้วยค่ะ 
พอได้เรียนก็รู้สึกว่าเรามาถูกทางแล้ว
มีความสุขกับการเรียนมากเลย
สำหรับคนที่สงสัยว่า วิศวกรรมซอฟต์แวร์ มันคืออะไร
อธิบายง่ายๆ ว่า เวลาที่เราจะสร้างตึกใหญ่ๆ เราต้องมีวิศวกรมาช่วยเรื่องตีความหมายของแบบงาน
และควบคุม กระบวนการสร้างให้ ได้คุณภาพ
เช่นเดียวกันในการสร้างโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ในคอมพิวเตอร์ก็จะ ต้องอาศัย วิศวกรซอฟต์แวร์เหมือนกันค่ะ

สมัยเรียนอยู่เตรียมอุดมเป็นเชียร์ลีดเดอร์ พออยู่มหาวิทยาลัยก็มีส่วนร่วมเรื่องการแต่งหน้าและแต่งตัวของเชียร์ ลีดเดอร์
ทำไมถึงไปช่วยด้านนี้ สนใจเรื่องความสวยความงามมาตั้งแต่ตอนไหน
ตอบ
ถ้าถามว่าเริ่มสนใจเรื่องความสวยความงานตั้งแต่ตอนไหน 

ก็คงตั้งแต่สมัยเด็กที่เริ่มรู้จักเล่นตุ๊กตาบาร์บี้ประมาณนั้น เลยหละค่ะ 

ปุ้ยเชื่อว่าผู้หญิงทุกคน ไม่สิ ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ทุกคนสนใจเรื่องความสวยความงามกันทั้งนั้น 

แต่ขึ้นกับว่าคนเราแต่ละคนนั้นจะมีพฤติกรรมเกี่ยวกับเรื่องความ สวยความงาม อย่างไร

บางคนชอบดู บางคนชอบอ่าน บางคนชอบซื้อ บางคนก็ชอบแต่งตัว 

แต่สำหรับปุ้ย คือ ทุกอย่าง ^ ^

และด้วยการที่เราเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูตั้งแต่เล็ก ก็มักจะได้รับโอกาสที่จะแสดงความสามารถในด้านนี้อยู่บ่อยๆ
การที่ได้แสดงบนเวที การได้เป็นเชียร์ลีดเดอร์ นอกจากเรื่องหน้าตาแล้ว
สิ่งที่ทำให้ปุ้ยได้โอกาสมากกว่าคนอื่น 
เช่น ได้เต้นนำ ยืนแถวหน้า ยืนอยู่ตรงกลางเสมอๆ
บางคนบอกว่าอาจจะเป็นพรสวรรค์

แต่ปุ้ยว่าเพราะปุ้ยเป็นคนที่ขยันและมีความพยายามในการฝึกฝน มากกว่าคนอื่น ค่ะ เลยทำให้ปุ้ยได้มาอยู่ตรงจุดนี้
ด้วยความที่เป็นคนจริงจัง และเห็นอะไรที่ขัดใจแล้วต้องลงมือไปทำด้วยตัวเอง 

หลังจากที่เรียนจบปี 4 ไปแล้ว ก็ยังกลับไปช่วยสอนน้องๆ เต้นลีดอยู่เลย เรื่องการแต่งตัวแต่งหน้าก็ช่วยบ้างตามประสาที่เราสามารถช่วยได้ค่ะ
เพราะเราอยากให้งานออกมาดีที่สุด ในฐานะที่เราเป็นเชียร์ลีดเดอร์รุ่นพี่ค่ะ
การที่ปุ้ยกลับไปช่วยน้องๆ ก็ไม่ได้ช่วยแต่เรื่องการแต่งหน้าแต่งตัวเท่านั้น
สิ่งหลักๆ ที่ไปช่วย คือ การเป็นแบบอย่างที่ดี
การเป็นเชียร์หลีดเดอร์ไม่ใช่ แค่แต่งตัวสวยและไปยืนโชว์ เต้นโชว์

แต่เชียร์หลีดเดอร์ คือ ผู้นำเชียร์ และเป็นอีกบทบาทหนึ่งที่เป็นเกียรติและศักดิ์ศรีของคณะ

หน้าที่ คือ การวางตัวเป็นแบบอย่างที่ดีและหมั่นฝึกซ้อมการเต้นหลีดเพื่อจะได้ควบคุม เชียร์ได้
หลังๆ มานี้ อะไรมันเปลี่ยนไปมาก หลายๆ คนมาเป็นเชียร์หลีดเดอร์ เพราะอยากเด่น อยากสวย อยากดัง
และมองข้ามบทบาทหน้าที่ที่เราควรจะเป็น 
ปุ้ยไม่อยากให้น้องๆ ที่คณะเป็นแบบนั้น
จึงเข้าไปคอยสอนและเป็นแบบอย่างเสมอมาค่ะ
ปุ้ยสอนน้องๆ เสมอด้วยว่าการจะเป็นเชียร์หลีดเดอร์ที่ดี ต้องมาจากจิตวิญญาณ หรือที่เค้าเรีกยกันว่า สปิริต นั่นแหละ
การจะเต้นลีดให้สวย เราต้องแม่น ต้องปึก ในท่าพื้นฐานเสียก่อน
เช่น การยืน การขึ้นการ์ด การตีกรอบแปด การยิงมือ การรั่วมือ
ถ้าท่าพื้นฐานสวยแล้ว ไม่ว่าจะเต้นเพลงไหน ท่าไหน เราจะดูสวยสง่าไปหมดค่ะ
ไม่รู้ว่าเล่าจริงจังไปหรือเปล่า แต่ปุ้ยอยากจะให้ทุกคนรู้ว่า 
ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็แล้วแต่ เราต้องใส่ใจ ให้เกียรติและเคารพในบทบาทหน้าที่ของตนเอง แล้วเราจะทำมันออกมาได้ดีค่ะ ^ ^

ค้นเจอความชอบของตัวเองตอนไหนทั้งเรื่องการแต่งหน้า, การถ่ายภาพ
ตอบ
ตั้ง แต่อ่านแม็กกาซีนเป็น ปุ้ยชอบดูแม็กกาซีนแฟชั่นมากและก็สะสมแม็กกาซีนพวกคาวาอิและเรย์ 

ที่เป็นเรื่องราวการแต่งตัวแต่งหน้าแบบสาวๆ ญี่ปุ่น แล้วก็แม็กกาซีนแฟชั่นต่างๆ ด้วย
ปุ้ยดูแล้วปุ้ยจะวิเคราะห์ว่า เค้าทำยังไงนะถึงแต่งได้สวยขนาดนี้

เรื่องสวยๆ งามกับเรื่องผลงานการถ่ายภาพ มันเป็นศิลปะที่ไปด้วยกันในแม็กกาซีน
ความน่าสนใจอยู่ที่การใช้เทคนิคความสามารถผลิตผลงานล้วนๆ เลย
แถมยังต้องอาศัยการทำงานเป็นทีมอีกด้วย
อีกอย่างปุ้ยชอบดูช่อง Fashion TV ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังเวที
มันทำให้เรามีแรงผลักดันและมีแรงบันดาลใจมากๆ เลย
ส่วนการแต่งหน้าครั้งแรกเริ่มต้นจากเพื่อนที่เป็นรูมเมตตอนไปอเมริกาสอนให้ ค่ะ
หลังจากนั้นก็สนใจและฝึกฝนตลอดมา ต้องขอบคุณเพื่อนๆ จริงๆ ค่ะ

เทคนิคต่างๆ ที่นำมาแบ่งปันให้กับคนอื่น นำมาจากไหนคะ
ทำไมถึงรู้ละเอียดมากว่าหน้าแบบไหนควรจะแต่งยังไง เครื่องสำอางแบบไหนดี
ตอบ
เทคนิคทั้งหมดที่นำมาแบ่งปันนั้น มาจากกระบวนการ 3 อย่างในหัวปุ้ยเองค่ะ
เริ่มจากการเก็บข้อมูล จากทุกๆ ที่ ทุกอย่างที่ปุ้ยสามารถเข้าถึงได้
เช่น แม็กกาซีน หนังสือ ทีวี เว็บไซต์ ปากต่อปากจากเพื่อน
แม้กระทั่งเครื่องสำอางบนใบหน้าคนที่รอบข้าง รวมถึงการทดลองและประสบการณ์ตรงของตัวเอง

โดยสังเกตและวิเคราะห์ทำความเข้าใจจากผลลัพทธ์ที่เห็น
จากนั้นก็ตั้งสมมติฐาน และนำมาทดลองด้วยตัวเอง
ตอนสุดท้ายคือ การสรุปผลค่ะ
เทคนิคต่างๆ เหล่านี้ เกิดจากการสะสมเป็นระยะเวลานานนะคะ และก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ด้วย 

เพราะประสบการณ์เรามากขึ้นและเครื่องสำอางต่างๆ ก็ผลิตเพิ่มขึ้นทุกวัน
สำคัญที่สุด ผู้หญิงไม่มีวันหยุดสวยค่ะ

แล้วทำไมถึงตัดสินใจ share ลงเวบ อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้เริ่มต้นทำ
ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะเปิดเป็นคอร์สแล้วก็เก็บเงิน
ตอบ
แรงบันดาลใจมาจากการที่ได้รู้จักเว็บไซต์นึงโดยบังเอิญ ชื่อ จีบันดอทคอม
ปกติปุ้ยไม่ได้เล่นพันธุ์ทิพย์ ถ้าใครเล่นจะรู้จักห้องโต๊ะเครื่องแป้ง และจะรู้จักเว็บจีบันค่ะ
เพราะว่า พี่จีนเจ้าของเว็บเค้าดังมาจากห้องโต๊ะเครื่องแป้ง นั่นเอง
แล้วพอดีว่าในเว็บเซ็ตเค้ามีการจัดประกวดการทำฮาวทูแต่งหน้าทุกๆ เดือน ปุ้ยก็อยากลงเล่นดูบ้าง

นั่นคือ ครั้งแรกที่เริ่มเขียนบทความเกี่ยวกับการแต่งหน้าค่ะ 

ครั้งแรกที่เขียนก็ได้รับรางวัลที่หนึ่งเลย และได้รับการตอบรับดีมาก ได้รับคอนเมนต์ดีๆ
และมีคนให้กำลังใจเยอะมาก 
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจในการทำต่อมาเรื่อยๆ ค่ะ

ปุ้ยอยากปฏิวัติวงการเขียน Blog ให้ดีขึ้นด้วย ซึ่งวิธีที่ปุ้ยใช้เสมอมา คือ การเป็นแบบอย่างที่ดี 

ดังนั้นปุ้ยเริ่มสร้างงานที่เป็นเท็มเพลตที่คนอ่านหรือ Blogger สามารถที่จะนำไปใช้เป็นแบบอย่าง

และเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนางาน ของตนเอง ได้ค่ะ ทั้งในแง่การแต่งหน้าและการเขียนด้วย
และอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ การแชร์บนเว็บไซต์
ทำให้ใครๆ ก็ได้สามารถเข้ามาอ่านบทความของเรา 
เราเหนื่อยครั้งเดียว
แต่มีคนนับไม่ถ้วนสามารถมาใช้ประโยชน์จากงานเขียนของเราได้ ค่ะ
แต่ถ้าเปิดคอร์สสอน มันไม่สะดวกในแง่ของเวลาสถานที่และอาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นด้วย ดูวุ่นวายกว่าเยอะเลยค่ะ
แถมการสอนครั้งหนึ่งสอนคนได้ไม่กี่คน
และต้องสอนกี่ครั้งกว่าจะทำให้ผู้หญิงทุกคนสวยได้ ^ ^

นอกจากเรื่องแต่งหน้าแล้ว ใน blog ของคุณปุ้ยมีการแชร์เรื่อง fashion ด้วย
เห็นว่าชอบเป็นคนกำหนดแฟชั่น (fashion setting)  เอาความรู้เรื่องแฟชั่นต่างๆ มาจากไหน
ตอบ
เรื่อง แฟชั่น ส่วนใหญ่มาจากแรงบันดาลใจล้วนๆ เลยค่ะ

จริงๆ แล้วเรื่องแฟชั่นของปุ้ย ก็มีพื้นฐานมาคล้ายๆ กับเรื่องแต่งหน้า แต่ก็งูๆ ปลาๆ มาตลอดค่ะ

เรื่องแฟชั่นของปุ้ยไม่ได้มีหลักเกณฑ์อะไรเลย เอาแค่ว่า แต่งออกมาสวย ดูดีได้ ก็พอแล้วค่ะ
ที่สำคัญ อยู่ที่แรงบันดาลใจและคอนเซปท์ซะมากกว่า 

ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าทุกครั้งที่ปุ้ยทำงานเขียนเกี่ยวกับแต่งหน้าหรือแฟชั่นเซ็ท 

ปุ้ยจะกำหนดคอนเซปท์และสร้างแรงบันดาลใจขึ้นมาก่อน แล้วจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างมันจะตามมาเองค่ะ

เสียงตอบรับของ blog เป็นยังไงบ้าง
ตอบ
เสียงตอบรับที่ผ่านมาเป็นไปในทางที่ดีมาโดยตลอด
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ปุ้ยมีกำลังใจในการทำเรื่องดีๆ แบบนี้ไปเรื่อยๆ ค่ะ
ปุ้ยจะแฮปปี้มากเวลาที่ได้ยินคนบอกว่าชอบผลงานและทำให้เค้าอยากกลับมาอ่าน อีก 

หรือบางคนบอกว่า ขออนุญาตินำไปแชร์ให้การเพื่อนๆ น้องต่อ หรือบางคนบอกว่า Copy เก็บไว้ หรือ Print มาอ่าน
ตอนไปงานรับปริญญาของน้องสาว มีเพื่อนของน้องคนนึงเดินมาบอกเราว่า
ขอบคุณพี่ปุ้ยมากๆ ที่เขียนเรื่องแบบนี้ 
มันมีประโยชน์กับเค้ามาก
(ตอนนั้นเขียนเรื่องการเตรียมตัวงานรับปริญญาสำหรับสาวๆ ค่ะ) ตอนแรกก็งงๆ แต่ก็อมยิ้มค่ะ

แต่เสียงคอมเมนท์ในแง่ลบก็มีเหมือนกันค่ะ 

เช่น ทำไมเขียนเยอะขนาดนี้ เยอะไปหรือเปล่า ทำไมต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรืองใหญ่ด้วย 

ปุ้ยคิดว่าคนเรามีมุมมองและความชอบที่ต่างกัน บางคนอาจจะต้องการได้รับในปริมาณที่พอเหมาะ 

ถ้ามาเจอการให้มี่มากจนล้น เค้าอาจจะไม่ชอบก็เป็นไปได้ค่ะ
แต่อย่างไรก็ตาม ปุ้ยก็จะพัฒนางานของปุ้ยให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ค่อยเห็นใครทำ blog ลักษณะนี้ ตอนเริ่มทำแรกๆ เจอปัญหาอะไรบ้าง
ตอบ
ช่วงแรกๆ ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ค่ะ
เพราะมันเป็นงานอดิเรกของเราที่เราทำเพราะเราสนุกและ ชอบ
แต่พอเริ่มมีชื่อเสียง หรือมีคนติดตามผลงานขึ้นมา 

ปัญหาที่เจอส่วนใหญ่ คือ มักจะถามว่าพี่ปุ้ยหายไปไหน ทำไมไม่เขียนงาน บ่อยๆ
บางคนอาจจะมองว่าไมไ่ด้เป็นปัญหา 
แต่สำหรับปุ้ย แล้ว
การรอคอยกับความคาดหวังของคนอ่านเป็นเรื่องที่คำคัญกับปุ้ยมาก 

มีช่วงหนึ่งที่งานประจำค่อนข้างหนักมากและปุ้ยเหนื่อยเกินกว่า ที่จะทำงาน อดิเรกไปด้วย

เพราะงานแต่ละชิ้นของปุ้ย ใช้ทั้งกำลังกาย เวลาและมีเรื่องบัดเจดมาเกี่ยวข้องด้วย

กว่าจะผลิตงานออกมาแต่ละชิ้นนั้นใช้เวลานานมากเหมือนกัน ค่ะ

ส่วนปัญหาเรื่องอื่นๆ ถือว่าปุ้ยโชคดีมากๆ ที่ไม่มีเลย
ถ้าเทียบกับ Blogger ท่านอื่นๆ บางทีอาจจะมีเรื่องทะเลาะตบทีกันบ้าง
การมี Heater เป็นปัญหาใหญ่ที่ Blogger ไม่อยากเจอกันค่ะ

การป้องกันและจัดการกับปัญหาส่วนนี้ 
ปุ้ยคิดว่ามันสำคัญที่การวางตัวของเราค่ะ
แม้ว่าสังคมในอินเตอร์เน็ตจะไม่ใช้สังคมจริงอย่างในชีวิตจริง 
แต่การอยู่รอดในสังคมทุกๆ ที่
เราต้องรู้จัก การวางตัว การให้เกียรติผู้อื่น กาลเทศะและ 
สิ่งสำคัญที่สุด คือ การมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ ค่ะ

มาถึงตอนนี้มองอนาคตตัวเองไว้ยังไง อยากจะเลิกทำงานประจำแล้วมาทำด้านนี้จริงๆ จังๆ บ้างมั้ย
ตอบ
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่คิดมาตลอดเลยค่ะ เพราะมีคนยุยงตลอดเวลา แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้
เพราะ พ่อกับแม่เป็นคนแรกที่จะไม่ยอมเลยหละค่ะ
เพราะท่านอยากให้เราทำงานที่มั่นคงและมีความก้าวหน้าในอนาคต 

แต่ความสองจิตสองใจ ทำให้ปุ้ยต้องทำทั้งสองทางไปพร้อมๆ กัน

และใช้เวลาพิสูจน์ให้พ่อกับแม่เห็นว่า เราทำได้
พอทำมาซักพักเริ่มมีชื่อเสียง ถึงจะเล่าให้พ่อกับแม่ฟังค่ะ
และมีพี่สาวกับน้องสาวช่วยการันตีอีกเสียงหนึ่งด้วย
ซึ่งตอนนี้ท่านก็เข้าใจและไม่ว่าแล้ว ก็แล้วแต่เราค่ะว่าอยากทำอะไร
ท่านเชื่อว่าเราสามารถทำได้ดีเหมือนๆ กัน

มีหลายๆ คนถามว่า ไม่เสียดายสิ่งที่เรียนมาเหรอ 

ตอบตรงนี้เลยค่ะว่า ไม่เสียดายเลย เพราะทั้งหมดมันคือตัวตนมันถูกซึมเข้าในกระแสเลือด

และทุกสิ่งทุกอย่างที่ปุ้ยทำมันปุ้ยได้ใช้พื้นฐานมาจากแนวคิดและ สิ่งที่ เรียนมาทั้งนั้น
เชื่อมั้ยคะ การเขียนบทความแม้แต่เรื่องการแต่งหน้าเองก็ตาม ปุ้ยยังใช้ Process เดียวกับการพัฒนาซอฟท์แวร์

ข้อคิดในการใช้ชีวิต อยากให้แชร์ให้คุณผู้ชมทราบเพราะคุณปุ้ยทำหลายอย่างมาก ทั้งงานประจำ งานอดิเรก แบ่งเวลายังไง แล้วทำไมถึงให้ความสำคัญกับสิ่งที่เป็นงานอดิเรกอย่างการแต่งหน้า
ตอบ
ข้อคิดในการใช้ชีวิตของปุ้ย คือ การเลือกทำในสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุขค่ะ

แต่อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน แค่นั้นเองค่ะ
ถ้าเรายังไม่รู้ว่าเราชอบอะไร ความสุขของเราคืออะไร ลองดูสิ่งที่เรามักทำบ่อยๆ และทำแล้วไม่เครียดค่ะ
ถ้ายังไม่แน่ใจก็ลองไปเรื่อยๆ บางทีเราคิดว่าเราอาจจะชอบเรื่องนี้
แต่พอมาลองทำเข้าจริงๆ มันไม่ใช่ ก็เปลี่ยนไปลองอย่างอื่น
ปุ้ยก็ลองไปเรื่อยๆ ลองมาหลายอย่าง และก็ยังค้นหาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ด้วยเหมือนกัน

ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิต การทำงาน หรืองานอดิเรกก็ตาม
ปุ้ยเชื่อว่าเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต ค่ะ ใช้ชีวิตให้มีความและมีความสุขนะคะ
เรื่องการแบ่งเวลาก็จัดอันดับความสำคัญของสิ่งที่เราต้องทำ
และ อย่าให้เบียดเบียนความสุขของคนอื่นก็พอค่ะ

ถ้าพูดถึงงานอดิเรกของปุ้ย จริงๆ แล้วที่ผ่านๆ มา ก็คือ การแชร์ประสบการณ์และบทความในมุมมองของปุ้ย ในเว็บไซต์ หรือพวก Social Network

ไม่ใช่แค่เรื่องแต่งหน้าอย่างเดียว แต่เป็นทุกๆ เรื่องที่ปุ้ยชอบเลยก็ว่าได้
ทั้ง ดูหนัง กิน เที่ยว ช็อปปิ้งและเรื่องอื่นๆ ด้วยค่ะ 
ปุ้ยเล่นอยู่หลายเว็บไซต์ค่ะ ซึ่งจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
แล้วแต่ว่าเว็บไซต์ไหนจะเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของปุ้ยค่ะ อย่างเช่น

ปุ้ยชอบถ่ายรูปสถานที่ต่างๆ ที่ปุ้ยไปและการใช้ชีวิตประจำวัน  
ปุ้ยจะแชร์ผ่านเว็บไซต์ ชื่อ Playground
ที่มีฟังก์ชั่นการอัพโหลดรูป และแท็กรูปอ้างอิงกับ Google Map 
และสามารถส่งรูปอัพโหลดแบบเข้าคิว ไม่ต้องเสียเวลานั่งรอได้ด้วยค่ะ
และใช้เว็บไซต์นี้เป็นตัวกลางในการแชร์รูปไปยังเว็บไซต์อื่นๆ ที่ปุ้ยเล่นได้อีกด้วยค่ะ 


อย่างการอัพเดตความเป็นไปของชีวิตและทักทายเพื่อนๆ ก็จะใช้ Facebook ค่ะ

ส่วนการแชร์ข้อมูลสั้นๆ ที่สนุกและที่เหมาะกับการใช้ชีวิตแบบเร่งด่วนของเรา ก็จะใช้ Twitter ค่ะ

หรือถ้าจะเขียนบทความขนาดใหญ่และมีการดิสเพลย์รูปเข้าไปด้วย ก็จะใช้ Multiply 

ส่วนถ้าอัพเดตบทความเกี่ยวกับแนวคิดหรือชีวิต ปุ้ยจะไปที่  Myspace live ค่ะ

ซึ่งแต่ละเว็บไซต์ก็จะมีสังคมที่แตกต่างกันไป แล้วแต่ว่าเราจะแชร์เรื่องไหนให้ใครค่ะ
ส่วนเรื่องที่ปุ้ยแชร์
และ เป็นที่ สนใจในทุกๆ สังคม ก็คงจะเป็นเรื่องสวยๆ งามๆ อย่างการแต่งหน้าเนี่ยแหละค่ะ

เพราะรู้ว่าทุกคนชอบอ่าน ชอบดู
ก็เลยต้องเขียนต่อไปเรื่อยๆ ปุ้ยก็สนุกและมีความสุขที่ได้ทำด้วยค่ะ

เหมือนเป็นงานสะสมชนิดหนึ่ง ~ ปุ้ยสะสม Blog ค่ะ

ปุ้ยเองก็เป็นคนธรรมดา ไม่ได้มีชื่อเสียง ไม่ได้ดัง ไม่ได้ทำเรื่องยิ่งใหญ่อะไรเลย
แต่ว่า ความเป็นคนธรรมดาเนี่ยแหละ ที่ทำให้เราแชร์เรื่องราวได้เต็มที่และคนอ่านรู้สึกสามารถเข้าถึงและใกล้ชิด กับเรา
คนธรรมดาแชร์เรื่องธรรมดา ก็น่าสนใจได้เหมือนกันค่ะ
มันอยู่ที่การจับประเด็นและวิธีการนำเสนอของเราค่ะ
ถ้าจะให้คำแนะนำสำหรับคนที่กำลังจะเริ่มเขียนบล็อก หรือ Blogger มือใหม่
ปุ้ยเชื่อว่านการจะทำอะไรให้ออกมาดี เราต้องเริ่มต้นจากใจรัก เสียก่อนค่ะ
และอย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็แล้วแต่ เราต้องใส่ใจ ให้เกียรติและเคารพในบทบาทหน้าที่ของตนเอง
เพราะว่าทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคมทั้งสิ้น การเขียนบล็อกก็เหมือนกันค่ะ 

บทบาทของ Blogger คือการเป็นสื่อกลางในการนำเสนอบทความหรือข้อมูลในโลกของอินเตอร์เน็ต

หน้าที่ของ Blogger  ก็คือ การนำเสนอเนื้อหาโดยคำนึงถึงผู้อ่านเป็นหลักว่าเค้าต้องการอะไรและจะได้รับ ประโยชน์จากบทความของเราอย่างไรบ้าง

และเราจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เรานำเสนอไปและผลที่ตามมาในทุกกรณีด้วยนะ คะ
ถ้าทำได้แบบบนี้แล้วเรารับรองว่าบล็อกของเราจะมีคนเข้ามาอ่านและชื่นชมผลงาน อย่างแน่นอนค่ะ ^ ^

คามสุขที่ได้จากการทำ blog แบบนี้
ตอบ
การที่ได้แชร์เรื่องราวดีๆ ที่มีสนุกและประโยชน์มัน
ทำให้ปุ้ยรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าและมี ความภูมิใจค่ะ
มีความสุขกับการเป็นผู้ให้ แล้วเราจะมีความสุขกับการได้รับค่ะ
เราไม่จำเป็นต้องทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เราแค่ทำสิ่งเล็กๆ ให้ดีที่สุดก็พอ
และเริ่มต้นจากการมีความสุขกับเล็กๆ ที่เรามีค่ะ

 

เบรค 1 เมื่อเด็กกิจกรรมมาเป็น กูรูความงาม


เบรค 2 ขวัญใจชาวบล็อก แบบ PuY is me


เบรค 3 แต่งหน้าให้สวยใส สไตล์ PuY is me


เบรค 4 การเขียน บล็อกคือแรงบันดาลใจของฉัน



Create Date : 13 มีนาคม 2554
Last Update : 5 มกราคม 2564 21:17:45 น.
Counter : 1597 Pageviews.

5 comment

PuY~isme
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 115 คน [?]



ปุ้ยเชื่อว่า มนต์วิเศษที่ทำให้ผู้หญิงทุกคนสวยได้ คือ ความสุขที่มาจากหัวใจค่ะ ^ ^ สวย สร้างสรรค์ และแบ่งปัน http://www.puyisme.com