*~แม่จัดให้ PuPunch around the world~*
Group Blog
 
All blogs
 
++เริ่มฉายเดี่ยว++


แจ็กสันมีผลงานเพลง "Someone In the Dark" ในปี 1982 ซึ่งประกอบภาพยนตร์เรื่อง อี.ที. เพื่อนรัก ซึ่งได้รับรางวัลแกรมมี่ในสาขาอัลบั้มยอดเยี่ยมประเภทเพลงสำหรับเด็ก ต่อมาเอพิกออกผลงานอัลบั้มชุดที่สองของเขาที่ชื่อ ทริลเลอร์ ที่ถือว่าเป็นจุดสูงสุดในอาชีพของเขา อัลบั้มติดในท็อป 10 บนบิลบอร์ด 200 นาน 80 สัปดาห์ติดต่อกันและอยู่อันดับ 1 นาน 37 สัปดาห์ โดยมี 7 ซิงเกิ้ลจาก ทริลเลอร์ ที่ติดท็อป 10 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮ็อต 100 อย่าง "Billie Jean", "Beat It" และ "Wanna Be Startin' Somethin'" ทริลเลอร์มียอดขายสูงกว่า 109 ล้านชุด ถือเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดตลอดกาลจนผู้เขียนชีวประวัติของแจ็กสันที่ชื่อ เจ. แรนดี ทาราบอร์เรลลี วิเคราะห์ไว้ว่า "ในบางกรณี ทริลเลอร์ หยุดขายไปเหมือนอย่างอุปกรณ์สันทนาการ อย่างจำพวกนิตยสาร ของเล่น ตั๋วหนังดังๆ และเมื่อเริ่มขายก็เหมือนกับสิ่งของสำคัญประจำบ้าน"

ในช่วงที่ ทริลเลอร์ สร้างรายได้ให้กับแจ็กสันอย่างมาก ทนาย จอห์น บรังกาได้เข้ามาเจรจาตกลงเกี่ยวกับส่วนแบ่งที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมดนตรี ราว 2 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่ออัลบั้ม ขณะที่แจ็กสันเองก็ทำเงินจากการทำสารคดี The Making of Michael Jackson's Thriller ผลิตโดยแจ็กสันและจอห์น แลนดิส มียอดขายกว่า 350,000 ชุด นอกจากนี้เขายังทำเงินกับภาพลักษณ์อย่างจริงจัง กับตุ๊กตาไมเคิล แจ็กสันและสินค้าใหม่ ๆ ในตลาด

นอกจากจากประสบความสำเร็จ สร้างสถิติใหม่ ๆ แล้ว ทริลเลอร์ยังสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับอุตสาหกรรมดนตรี อย่างแรกได้ยกระดับความสำคัญของอัลบั้ม ขณะที่ความท้าทายต่อความเชื่อเกี่ยวกับความคาดหวังเพลงดังในอัลบั้มที่ควรจะเป็น อย่างที่สองคือ ยังช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมดนตรีกับความเชื่อมั่นในความสามารถเป็นศิลปะสูง ท่ามกลางในระยะเวลานั้นที่รายได้จมไปเนื่องจากที่มีการวิเคราะห์ออกมาว่า "ความหายนะของพังก์และเพลงป็อปสังเคราะห์เสียง" ข้อสามคือ นำเอ็มทีวีก้าวไปสู่ยุครุ่งเรือง ขณะที่เอ็มทีวีก็ช่วยส่งเสริมในความสำเร็จของ ทริลเลอร์ ข้อสี่ ทริลเลอร์ ยังปูทางให้กับศิลปินอื่นตามมาอย่างเช่น พรินซ์ จนแล้วจนเล่า แจ็กสันก็ถือเป็นคนเดียวที่รอดจากธุรกิจดนตรีในโอกาสครบรอบ 25 ปีของอัลบั้ม ทริลเลอร์ก็ยังคงเป็นอิทธิพลสำคัญในวงการดนตรี ต่อศิลปินและวัฒนธรรมชาวอเมริกันอย่างมาก



25 มีนาคม ค.ศ. 1983 เขาแสดงสดในรายการโทรทัศน์เทปพิเศษครบรอบ 25 ปีโมทาวน์ที่ชื่อ Motown 25: Yesterday, Today, Forever ทั้งร่วมกับวงเดอะแจ็กสันไฟฟ์เองและได้ร้องเพลงของเขาเองในเพลง "Billie Jean" และยังเปิดตัวท่าเต้นที่ถือเป็นท่าเต้นที่สร้างชื่อเสียงของเขา "มูนวอล์ก" การแสดงของเขาในงานนี้มีผู้รับชมมากกว่า 47 ล้านคนในระหว่างการออกอากาศและยังถูกนำไปเปรียบเทียบกับการปรากฏตัวของเอลวิส เพรสลีย์และเดอะบีทเทิลส์ ในรายการ ดิเอดซัลลิแวนโชว์ เดอะนิวยอร์กไทมส์ พูดไว้ว่า "ท่ามูนวอล์กที่ทำให้เขามีชื่อเสียง เป็นคำอุปมาอย่างเหมาะสมแล้วสำหรับท่าเต้นของเขานี้ เขาทำได้อย่างไร ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ เขาเป็นนักมายากลผู้ยิ่งใหญ่ นักแสดงโดยไม่ใช้คำพูดอย่างแท้จริง ความสามารถในการนำหนึ่งขาก้าวไถลขณะที่อีกข้างงอและดูเหมือนว่าท่าเดินจะอยู่ในจังหวะพอเหมาะพอเจาะ"

แจ็กสันบาดเจ็บเมื่อวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1984 หลังจากถ่ายภาพยนตร์โฆษณาเป๊ปซี่ ที่ไชรน์ออดิทอเรียม ในลอสแอนเจลิส หนังศีรษะไหม้หลังจากเกิดอุบัติเหตุสะเก็ดไฟไหม้ที่ผม เกิดขึ้นต่อหน้าแฟนเพลงมากมายในฉากถ่ายคอนเสิร์ต เหตุการณ์นำไปสู่การประโคมข่าวทางสื่อในเรื่องที่จะต้องตรวจสอบและการนำความจริงออกมา ทำให้เกิดความเห็นใจหลั่งไหลสู่แจ็กสันอย่างมาก เป๊ปซี่จัดไกล่เกลี่ยกับแจ็กสันนอกศาลและ แจ็กสันได้บริจาคเงิน 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐใหักับบรอตแมนเมดิคอลเซนเตอร์ ในคัลเวอร์ซิตี รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่เขาได้เข้ารักษา และยังให้โรงพยาบาลนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในการรักษารอยไหม้ ต่อมาตึกคนไข้ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "ไมเคิล แจ็กสัน เบิร์น เซนเตอร์" เพื่อเป็นเกียรติแก่เขาแจ็กสันทำศัลยกรรมจมูกครั้งที่สามหลังจากนั้นและทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหน้าตาของเขาอย่างชัดเจน



แจ็กสันที่ทำเนียบขาว กับประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนและสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง แนนซี เรแกน ปี 1984วันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1984 แจ็กสันถูกรับเชิญให้รับรางวัลที่ทำเนียบขาว โดยมีประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกนเป็นผู้มอบรางวัลให้ สำหรับการช่วยเหลือการกุศลให้กับผู้ที่เอาชนะต่อสุราและยาเสพติด เขาได้รับ 8 รางวัลแกรมมี่ในปี 1984 แตกต่างจากอัลบั้มชุดก่อน ทริลเลอร์ ที่เขาไม่ได้ออกทัวร์การประชาสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ แต่ในปี 1984 เขามีทัวร์วิกทอรีทัวร์ นำโดยเดอะแจ็กสันส์ ที่แสดงผลงานเดี่ยวให้ผู้ชมอเมริกันมากกว่า 2 ล้านคน เขายังบริจาคเงิน 5 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐจากวิกทอรีทัวร์ใหัการกุศลด้วย

แจ็กสันร่วมเขียนเพลงการกุศล ในซิงเกิ้ล "We Are the World" ร่วมกับไลโอเนล ริชชี ที่ออกวางขายทั่วโลกเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ในแอฟริกาและในสหรัฐอเมริกา เขาได้ร่วมกับศิลปินอีก 39 คนร่วมบันทึกเสียงในเพลงนี้ ซิงเกิ้ลนี้ถือเป็นซิงเกิ้ลที่ขายดีที่สุดตลอดกาล ด้วยยอดขายเกือบ 20 ล้านชุดและเงินส่วนหนึ่งหลายล้านดอลลาร์ได้มอบให้การคลายความยากไร้



ขณะที่เขาทำงานร่วมกับพอล แม็กคาร์ตนีย์ ในซิงเกิ้ลฮิตสองเพลงคือ "The Girl Is Mine" และ "Say Say Say" ทั้งคู่ก็ได้เป็นมิตรกัน และยังมีโอกาสไปมาหาสู่ด้วยกัน ในการสนทนาครั้งหนึ่ง แม็กคาร์ตนีย์บอกแจ็กสันเกี่ยวกับเงินหลายล้านดอลลาร์ที่เขาได้จากเพลง เขามีรายได้ราว 40 ล้านเหรียญต่อปีจากเพลงของคนอื่น แจ้กสันจึงเริ่มสนใจธุรกิจอาชีพการซื้อ ขายและลิขสิทธิ์การจำหน่ายด้านดนตรีกับศิลปินหลาย ๆ คน หลังจากนั้นไม่นาน เอทีวีซองส์ แค็ตตาล็อกเพลงที่มีเพลงกว่าพันเพลง รวมถึงเพลงที่เขียนโดยเลนนอนและแม็กคาร์ตนีย์ระหว่างปี 1963-1973 ก็ถูกเสนอขาย

แจ็กสันสนใจในแค็ตตาล็อกนี้แต่ก็ถูกเตือนว่าเขาอาจมีการแข่งขันสูง แต่เขาก็พูดว่า "ผมไม่สนใจ ผมต้องการเพลงเหล่านั้น เอาเพลงเหล่านั้นมาให้ได้บรังกา (นักกฎหมายของเขา) ต่อจากนั้นบรังกาได้ติดต่อกับนักกฎหมายของแม็กคาร์ตนีย์ที่เข้าใจว่าลูกค้าของเขาไม่สนใจที่จะเสนอราคา เพราะมันราคาสูงเกิน" หลังจากแจ็กสันเริ่มพูดคุยต่อลอง แม็กคาร์ตนีย์ก็เริ่มเปลี่ยนใจและพยายามโน้มน้าว โยโกะ โอโนะ ให้ร่วมกับเขาเพื่อเสนอขายเพลง แต่เธอก็ปฏิเสธ เขาจึงถอนตัว จนในที่สุดแจ็กสันสามารถเอาชนะคู่แข่งอื่นในการเจรจาหลายต่อหลายครั้งใน 10 เดือน โดยสนนราคาแค็ตตาล็อกเพลงที่ 47.5 ล้านเหรียญดอลลาร์ เมื่อแม็กคาร์นีย์รับรู้ผลการประมูล เขากล่าวว่า "ผมคิดว่ามันน่าสงสัยที่จะทำอย่างนี้ ที่เป็นเพื่อนกับคนคนหนึ่ง แล้วขอซื้อพรมที่เขายืนอยู่"

เครดิต จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


Create Date : 12 กรกฎาคม 2552
Last Update : 12 กรกฎาคม 2552 15:18:34 น. 0 comments
Counter : 376 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Puri~Pirun
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]









Friends' blogs
[Add Puri~Pirun's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.