All Blog
ลองดูครั้งแรก...กับนิยายที่แต่งเป็นเรื่องแรกของชีวิตตตตต (๔)

ตอนที่ 4


เฟื่องฟ้านั่งจัดกระเป๋าเสื้อผ้าอยู่ในห้องโดยมีน้องชายและนางปฐมพรนั่งอยู่ข้างๆ


“ตัวนี้เอาไปไหมลูกนางปฐมพรชูชุดแซกสีชมพูขึ้นตรงหน้าลูกสาว


“ไม่จ้ะ เอาเฉพาะเสื้อยืดกับเสื้อเชิ้ตเท่านั้น ขนไปเยอะมากๆเฟื่องคงแบกไม่ไหว เดี๋ยวขาดเหลืออะไรเฟื่องไปซื้อเอาทีหลังก็ได้จ้ะ”


ผู้เป็นมารดาได้แต่กระพริบตาปริบๆ เก็บคำว่า ‘ไกลปืนเที่ยง’ ลงคอไป เพราะจำได้ว่านางพร่ำบอกลูกแล้ว แต่สุดท้ายหญิงสาวไม่มีท่าทีจะเปลี่ยนใจ นางก็คงต้องยอมให้เฟื่องฟ้าไปสัมผัสคำนั้นด้วยตัวเองแล้วก็ได้แต่หวังว่า...ไม่นานลูกคงจะกลับมา


“พี่เฟื่องจะไปคนเดียวจริงๆเหรอ? ให้ผมไปด้วยดีกว่านะ”


“นั่นนะสิ ให้น้องไปด้วยดีกว่า ไปคนเดียวแม่เป็นห่วง”


“เฟื่องโตแล้วนะจ๊ะ ดูแลตัวเองได้ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แล้วอีกอย่างมะรืนนี้เธอต้องไปโรงเรียนแล้วนะฟาง เพิ่งเปิดเทอม ขาดเรียนมันไม่ดี ขยันเข้าไว้ใกล้จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วด้วย”


“แค่วันสองวันไม่เป็นไรหรอกพี่”


“พี่บอกว่าไม่”


“โธ่! นะพี่เฟื่อง ให้ผมไปด้วยนะ…ผมก็อยากไปบ้านพ่อ อยากเจอย่าเหมือนกัน”


“พี่ไปก่อนแล้วจะมาเล่าให้ฟัง เอนท์ติดแล้วเราค่อยไป”


“โหย! อย่าใจร้ายสิ นะ ให้ไปนะ”


“ไม่”


“นะๆๆ”


“ถ้ายังดื้อ พี่จะแช่งให้เธอเป็นหมัน”


“เฮ้อ แม่ดูพี่เฟื่องสิ” เด็กหนุ่มหันไปฟ้องมารดา นางปฐมพรยีหัวลูกชาย หัวเราะเบาๆ


“เอาน่า เชื่อพี่เขาเถอะ เดี๋ยวแม่ไม่มีหลานย่า” ได้ยินคำมารดาเฟื่องฟ้าถึงกับหัวเราะเสียงดัง นางปฐมพรมองลูกสาว ยิ้มอย่างชื่นใจ ฟางข้าวก็ยิ้ม ไม่ได้โกรธแม้แต่น้อยที่จะถูกแช่งให้เป็นหมัน ดีใจมากกว่าที่เห็นพี่สาวยิ้มและหัวเราะอีกครั้ง แม้จะไม่เหมือนเมื่อก่อนแต่เด็กหนุ่มมั่นใจ…เวลาจะช่วยรักษาให้เอง


รุ่งขึ้นเฟื่องฟ้าตื่นเช้าอีกเช่นเคย เธอตรวจดูความเรียบร้อยของสัมภาระที่จัดไว้เมื่อคืน เห็นว่าเรียบร้อยดีหญิงสาวก็จัดแจงยกลงมาวางไว้ที่ห้องรับแขก หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปในครัวเพื่อทานอาหารเช้ากับแม่และน้อง บรรยากาศบนโต๊ะอาหารมีแต่ความเงียบ สามคนแม่ลูกไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาเลย ตามปรกติฟางข้าวเป็นคนที่คุยเก่งที่สุดในบ้าน แต่เวลานี้เด็กหนุ่มกลับพูดไม่ออก เพราะนาทีนี้สิ่งที่เขาอยากพูดก็คือ…พูดห้ามพี่สาวไม่ให้จากบ้านไป แต่ฟางข้าวก็รู้ดีว่า การรั้งพี่สาวไว้จะทำให้เธอไม่สามารถลืมผู้ชายคนนั้นได้


ในที่สุดคนที่ทำลายความเงียบบนโต๊ะกินข้าวก็คือเฟื่องฟ้าเอง


“วันนี้จะไม่มีใครพูดกับเฟื่องเลยหรือจ๊ะ


“เอ่อ...เอ้า...กินเยอะๆนะลูก เดี๋ยวเดินทางแล้วจะได้ไม่หิว” นางปฐมพรพูดพร้อมกับตักไข่พะโล้ให้ลูกสาว เฟื่องฟ้ายิ้มให้มารดาก่อนหันไปหาน้องชาย


“ฟางล่ะ…จะไม่พูดกับพี่เหรอ


เด็กหนุ่มก้มหน้า เขี่ยข้าวในจานไปมา


“ไม่ต้องรีบนะพี่เฟื่อง กินข้าวช้าๆ”


“ทำไมล่ะ


“มันจะได้ยืดเวลาเดินทางของพี่ไปอีกนิดหนึ่งไง” ประโยคของน้องทำให้ความเงียบเข้ามาครอบคลุมอีกครั้ง


โอย! พูดอะไรออกไปวะ เด็กหนุ่มคิดตำหนิตัวเอง


“ได้สิฟาง วันนี้พี่จะกินข้าวให้ช้าที่สุดเท่าที่พี่เคยทำมา” เฟื่องฟ้าเอ่ยกับน้องชาย แล้วการรับประทานอาหารมื้อเช้าก็ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า แต่ทว่า...ในที่สุดมันก็ต้องสิ้นสุดลง หลังจากเก็บโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว ฟางข้าวก็ยกกระเป๋าของพี่สาวออกมาใส่ไว้ท้ายรถ นางปฐมพรกับเฟื่องฟ้าเดินออกมาพร้อมกัน นางจัดการล็อกประตูบ้านแล้วเดินตรงไปที่รถพร้อมๆกับลูกสาว ทั้งหมดเข้าไปนั่งอยู่ในรถ นางปฐมพรบิดกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมๆกับเสียงกริ่งโทรศัพท์ที่ดังออกมาจากในบ้าน


”เอากุญแจบ้านให้ผม เดี๋ยวผมไปรับเองแม่” ฟางข้าวรับกุญแจจากมารดาแล้วตรงไปบ้านเพื่อรับโทรศัพท์


เด็กหนุ่มยกหูขึ้น กรอกเสียงลงไป


“สวัสดีครับ”


“ฟางหรือ? ขอสายพี่เฟื่องหน่อย”


ไม่ต้องรอให้ปลายสายบอกว่าเป็นใคร แม้ไม่ค่อยสนิทแต่ฟางข้าวจำเสียงได้ดี ยิ่งตอนนี้ยิ่งจำได้แม่น


“โทรมาทำไมเด็กหนุ่มพูด น้ำเสียงไม่เป็นมิตร


“ขอพี่คุยกับพี่เฟื่องหน่อยได้ไหม”


“พี่เฟื่องไม่อยู่”


“ออกไปไหนหรือ? พี่โทรเข้ามือถือก็ไม่เปิด”


“ไม่ใช่เรื่องของนาย แล้วจำไว้ด้วยนะว่าต่อไปไม่ต้องโทรมาอีก บ้านนี้ไม่ยินดีต้อนรับแม้แต่เสียงของนาย
พูดจบเด็กหนุ่มก็วางหูโทรศัพท์ลงอย่างแรง แล้วเดินกลับออกมาขึ้นรถ


“ใครโทรมาหรือเฟื่องฟ้าถามทันทีที่น้องชายก้าวขึ้นมานั่งบนรถ


“ไม่มีใครหรอกพี่ คนมันต่อผิดน่ะ” ฟางข้าวก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตาของพี่สาว เขากล่าวขอโทษที่ต้องโกหกพี่อยู่ในใจ เขายอมไม่ได้หรอกถ้าจะให้ไอ้ปฏิพัทธ์นั่นติดต่อกับพี่สาวของเขาอีก


ผมจะไม่มีวันยอมให้มันทำร้ายจิตใจพี่ได้อีก ฟางข้าวตั้งปณิธานกับตนเอง


นางปฐมพรขับรถมาส่งเฟื่องฟ้าที่สถานีขนส่งสายใต้ใหม่ หลังจากที่เธอพยายามอ่าน ’ภาษาขอม’ อยู่นานจากแผนที่ที่ได้รับ เธอก็จับใจความได้ว่า จะต้องขึ้นรถสายใดและลงรถที่ไหน ฟางข้าวจัดการเรื่องซื้อตั๋วรถให้พี่สาว ก่อนถึงเวลาขึ้นรถ เฟื่องฟ้าร่ำลาแม่และน้องชาย…


”ฟาง...ดูแลแม่ด้วยนะ ช่วยแม่ทำงานบ้านบ้างล่ะ อย่าเอาแต่เล่นอย่างเดียว”


“รู้แล้ว…พี่ก็อย่าไปอยู่ที่นั่นนานนักนะ”


“ฮือ สบายใจแล้วพี่จะกลับมา” เฟื่องฟ้าหันมายกมือไหว้ผู้เป็นมารดา นางปฐมพรพาลจะร้องไห้เสียให้ได้ ตลอดระยะเวลาสิบแปดปีที่ผ่านมา นางไม่เคยจากกับลูกนานๆเลยสักครั้งเดียว แต่คราวนี้ลูกสาวจะจากไปอยู่ที่อื่น นานเท่าไหร่นางยังไม่รู้


“รักษาเนื้อรักษาตัวนะลูก”


“จ้ะ เฟื่องไปล่ะนะแม่” เฟื่องฟ้าก้าวขึ้นไปบนรถ เดินไปที่นั่งของเธอตามที่ระบุไว้ในตั๋ว เธอได้ที่นั่งติดกระจก แล้วรถก็ค่อยๆเคลื่อนตัวออกไป เฟื่องฟ้าโบกมือลาแม่และน้องจนคนทั้งคู่ลับสายตาเธอไป…


เฟื่องฟ้าลงรถที่ท่ารถในตลาดเล็กๆแห่งหนึ่ง หญิงสาวบิดขี้เกียจก่อนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู โอย...รวมเวลาเดินทางแล้วเกือบๆห้าชั่วโมง นั่งกันก้นแทบบานเชียว คนคิดไปรับของออกจากใต้ท้องรถแล้วก็ได้แต่ยืนเหวอๆ หันซ้ายหันขวาแล้วไม่รู้จะเริ่มไปทางไหนดี นึกขึ้นมาก็โมโหอีก ‘อีตาบ้าคนนั้น’ คนที่ย่าให้โทรมา สุดแสนจะแล้งน้ำใจ ไม่มีการโทรกลับ เลยทำให้เธอต้องมายืนเอ๋อไม่รู้เหนือรู้ใต้อย่างนี้


เฮอะ! แต่ถึงยังไง เธอจะไม่ยอมหมดทางไปเพราะอีตาบ้าแล้งน้ำใจนั่นคนเดียวหรอก นึกแล้วเฟื่องฟ้าก็หยิบแผนที่ที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อขึ้นมาดูอีกครั้งแล้วก็...อารมณ์บูดอีก


โอ๊ย! อ่านไม่ออกเล้ย หญิงสาวละสายตาจากกระดาษในมือ หันซ้ายหันขวา แล้วตัดสินใจเดินเข้าไปหาหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ใกล้เธอมากสุด


“เอ่อ...ขอโทษนะคะ จะไปบ้านห้วยน้ำขาวนี่ ไปยังไงหรือคะ


“ห้วยน้ำขาวหรือ? ต้องขึ้นรถสองแถวไป” หญิงผู้นั้นบอก


“แล้วจะขึ้นรถได้ที่ไหนล่ะคะ


“คิวรถอยู่ทางโน้นแน่ะ รถคันสีเหลืองๆนั่นแหละ” หญิงวัยกลางคนชี้มือบอกอีก


“ขอบคุณมากนะคะป้า” เฟื่องฟ้ากล่าวขอบคุณแล้วหมุนตัวจากไป ไม่ทันสังเกตว่าคนที่ถูกเรียก ’ป้า’ หน้างอไปทันที หญิงสาวเดินตรงไปที่คิวรถสองแถว


“รถคันนี้ไปห้วยน้ำขาวหรือเปล่าคะ


“ไปเจ๊ ขึ้นมาเลย รถจะออกแล้ว” เจ้าเด็กที่เป็นกระเป๋าตะโกนบอก เฟื่องฟ้ากุลีกุจอขึ้นไปนั่งบนรถ ครู่เดียวรถก็ออกจากคิว หญิงสาวนั่งไปเรื่อยๆ สักพักก็นึกได้ว่าตัวเองยังไม่รู้เลยว่าจะต้องลงรถที่ไหน


“เดี๋ยวถ้าถึงห้วยน้ำขาวแล้ว ช่วยบอกฉันด้วยนะคะ”


“ได้เจ๊ เดี๋ยวถึงแล้วบอกเอง”


เฟื่องฟ้ารู้สึกไม่ชอบสรรพนามที่เจ้าเด็กกระเป๋ารถนั่นใช้เรียกเธอเลย แต่หญิงสาวก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป นั่งรถอยู่ประมาณยี่สิบนาที กระเป๋ารถก็บอกกับว่าถึงแล้ว เธอจัดการจ่ายค่ารถแล้วหิ้วสัมภาระลงมา หยิบแผนที่ออกมาอีกครั้งแล้วก็...อีหรอบเดิมเป๊ะ


ฮึย! ไร้ประโยชน์ที่สุด!


เฟื่องฟ้าขยำกระดาษแผ่นนั้น แล้วขว้างมันทิ้งถังขยะข้างทาง หญิงสาวแหงนหน้ามองฟ้า เมฆฝนตั้งเค้ามามืด…แย่จัง ฝนกำลังจะตกเสียแล้ว เธอคงต้องหาที่หลบฝนก่อน คนคิดตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านเสริมสวยชื่อว่า ‘เจ๊อ้อยบิวตี้’ เพื่อขออาศัยหลบฝน


“สวัสดีค่าาาาา…” หญิงสาวค่อนข้างสวยนางหนึ่งเอ่ยขึ้นทันทีที่เฟื่องฟ้าแหย่เท้าก้าวเข้ามาในร้าน


“จะทำอะไรดีคะคุณน้องขา ไม่ว่าจะสระ ซอย เซ็ท ทำเล็บ เขียนคิ้วถาวร ขัดผิวนวดหน้า ทาสมุนไพร อบไอน้ำ ร้านเจ๊อ้อยมีบริการทุกคอร์สเลยค่า”


เฟื่องฟ้ายิ้มเจื่อน ตอนแรกกะมาขอหลบฝนอย่างเดียว แต่คุณเธอเล่นบรรยายสรรพคุณเสียจนคนเดินเข้ามาเริ่มกระดากหากจะไม่ใช้บริการร้านเธอเลย


“เอ้า! จะรับบริการคอร์สไหนดีคะ


“เอ่อ…มา...ตัดผมก็ได้ค่ะ”


“ค่าๆ เชิญทางนี้เลยค่ะ”


เฟื่องฟ้าวางสัมภาระลง แล้วไปนั่งที่เก้าอี้หน้ากระจก ส่วนภายนอกร้านนั้น ฝนเทลงมาเสียแล้ว


“จะเอาแบบไหน สไลด์ปลาย ตัดตรง บ๊อบทุย บ๊อบเท หรือแบบเก๋ๆแบบไหนบอกได้เลยนะคะคุณน้อง”


“เอ่อ...ตัดตรงธรรมดาก็พอค่ะ มันยาวเกินไป อยากได้แค่ประไหล่เท่านั้น”


“อูย” เจ๊อ้อยร้อง ทำหน้าเหมือนของหาย “ตัดออกเยอะเลยนะคะ ผมสวยๆอย่างงี้ไม่เสียดายหรือค้า


“ไม่หรอกค่ะ อยากลองเปลี่ยนตัวเองบ้าง”


“อุ๊ยค่า...เดี๋ยวเจ๊อ้อยจะเปลี่ยนให้ รับรองสวยปิ้ง นิ้งสุดๆเลยค่า”


หญิงสาวยิ้มแหยๆ ตัดสินใจหยิบนิตยสารขึ้นมาเปิดดูผ่านๆขณะที่ ’เจ๊อ้อย’ กำลังตัดผมของเธอ และแม้เฟื่องฟ้าจะหยิบนิตยสารขึ้นมาอ่านแล้วแต่เจ๊อ้อยก็ยังคงเจื้อยแจ้วต่อไป ลูกค้าจำเป็นจึงอดอมยิ้มกับความช่างพูดของ ’เจ๊อ้อย’ ไม่ได้


“เอ...คุณน้องนี่คงไม่ใช่คนแถวนี้ใช่มั้ยคะ เจ๊ไม่เคยเห็นหน้า”


“ค่ะ ฉันเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก มาเยี่ยมญาติ เอ่อ…เจ๊อ้อยรู้จักบ้านห้วยน้ำขาวหมู่ที่สี่หรือเปล่าคะ


“อูย...คุณน้องเป็นญาติใครล่ะคะ ถามมาเถอะค่ะ คนในตำบลห้วยน้ำขาวเนี่ย เจ๊รู้จักทุกคน”


“จริงหรือคะเฟื่องฟ้าถามด้วยความทึ่ง


“แหม! จริงสิคะ”


“งั้น...รู้จักบ้านย่าแต๋วไหมคะ


“อุ๊ย! บ้านย่าแต๋ว รู้จักสิค้า พอออกจากร้านเจ๊ไปนะคะจะเจอสะพานข้ามแม่น้ำใช่มั้ยคะ เดินข้ามสะพานไปอีกฝั่งเลยค่า แล้วคุณน้องก็จเจอวัด ก็วัดห้วยน้ำขาวนั่นแหละค่า หลังวัดจะมีทางแยก คุณน้องก็เลี้ยวขวา เดินตรงไปอีกประมาณสิบกิโลกว่าๆก็ถึงค่า”


“เมื่อกี้เจ้พูดว่า ’เดิน’ หรือคะคนฟังถาม เกิดอาการไม่แน่ใจ


“ค่า” แต่คนตอบนี่ รับคำมั่นใจสุดๆ


“กี่กิโลนะคะ?!”


“สิบกว่าๆค่ะคุณน้อง อุ๊ย! ไม่ต้องกลัว บ้านย่าแต๋วหาไม่ยากหรอกค่ะ บ้านเขาสวยปลูกดอกไม้ไว้เต็มทางเข้าเชียวโดยเฉพาะเฟื่องฟ้านี่ เขาชอบม้ากมากปลูกเอาไว้เป็นซุ้มใหญ่สุดๆเลยค่า” แล้วเจ๊อ้อยก็สาธยายเสียยาวเยียดตามวิสัยคนช่างคุย เฟื่องฟ้าไม่ได้สนใจนักหรอก เพราะเธอกำลังวิตกกับเรื่องระยะทาง หากว่าต้อง ‘เดิน’ เข้าไปจริงๆ มีหวังตายแน่


ตั้งสิบกว่ากิโล!


“ไม่มีรถเข้าไปหรือคะเฟื่องฟ้าถามอย่างมีหวัง


“ก็มีรถสองแถวอยู่คันหนึ่งที่มันวิ่งรับส่งอยู่นะค้า แต่จะเอาแน่กับมันไม่ได้หรอกค่า ไอ้คนขับมันผีเข้าผีออก บางวันมันก็วิ่งบางวันมันก็ไม่วิ่งแล้วแต่อารมณ์มัน นี่ดูท่าวันนี้มันก็คงไม่วิ่ง เพราะนี่ครึ่งวันแล้วเจ๊ยังไม่เห็นมันเลย”


โอ๊ย! เวรกรรม ทำไมซวยอย่างนี้นะเฟื่องฟ้า


หญิงสาวกำลังคิดหนัก ก็พอดีมีรถปิกอัพคันหนึ่งมาจอดอยู่หน้าร้านเจ๊อ้อย


“อ้าว! นั่นรถบ้านนพนี่ โชคดีแล้วค่ะคุณน้อง นพเขาอยู่ใกล้กับบ้านย่าแต๋ว เดี๋ยวเจ๊จะฝากคุณน้องไปกับเขานะคะ” ว่าเสร็จชายหนุ่มคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาในร้าน เฟื่องฟ้าเห็นเขาผ่านทางกระจกเงาบานใหญ่ตรงหน้าเธอ เขาเป็นคนผิวคล้ำ ลักษณะออกไปทางล่ำเตี้ย ผมเผ้ายุ่งเหยิงอาจเพราะเปียกฝนมานิดๆ อายุน่าจะแก่กว่าเธอสักสองปี เขาก็คงประมาณยี่สิบสี่ยี่สิบห้าล่ะมั้ง เจ๊อ้อยละมือจากการตัดผมให้เฟื่องฟ้าแล้วเดินไปคุยกับชายหนุ่มที่เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงประตูร้านพอดี


“อ้าว! เจ๊ก็นึกว่านพจะมาเองซะอีก”


“พี่เขาไม่ว่างเจ๊”


“แหม! ฝากบอกนพด้วยนะว่าวันหลังโผล่หน้าหล่อๆมาให้เจ๊เห็นบ้าง เอ้า! แล้วนี่ ค่ากิ่งพันธุ์มะม่วงสามร้อยยี่สิบนะ”


“คร้าบ แล้วผมจะบอกพี่นพให้ แต่วันนี้เจ๊ก็ดูหน้าหล่อๆแบบผมไปก่อนละกัน”


“วุ้ยเจ๊อ้อยค้อนขวับๆ “เออ! ชู เจ๊ฝากผู้หญิงคนนั้นไปกับชูหน่อยได้มั้ย เขาจะไปบ้านย่าแต๋วน่ะ”


“โอย! คงไม่ได้หรอกเจ๊ ผมจะไปธุระที่ตลาดต่อ อาจจะกลับเย็นๆ ให้เขาเดินไปคงจะไวกว่ารอผม นี่ต้องไปแล้วนะ ผมรีบ” ว่าจบบุญชูก็วิ่งฝ่าสายฝนออกไปจากร้าน ทิ้งให้เจ๊อ้อยยืนบ่นอุบอิบ


เสียงฝนตกแรงมากจนหญิงสาวไม่ได้ยินเลยว่าสองคนคุยอะไรบ้าง เธอเห็นแต่เจ๊อ้อยพูดๆๆ แล้วก็ชี้มือมาที่เธอ ชายหนุ่มส่ายหน้าพรืดๆ แล้วเขาก็ออกไป แค่นี้เธอก็รู้แล้วว่เธอคงต้องเดินไปเองแน่ๆ แต่ยังไง...ก็อดจะถามไม่ได้


“ว่าไงคะเจ๊


“มันบอกว่ามันจะรีบไปทำธุระ แต่เจ๊ว่ามันจะรีบไปเด๊าะแด๊ะเจ๊าะแจ๊ะจิ๊จ๊ะกะแฟนเสียมากกว่า! อุ๊ย! แต่ไม่ต้องห่วงนะคะคุณน้อง เดี๋ยวฝนหยุดเจ๊ไปส่งให้ก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจค่ะ ญาติย่าแต๋วน่ะเจ๊ยินดีบริการ”


เฟื่องฟ้ายิ้ม รู้สึกชื่นชมในน้ำใจไมตรีของเจ๊อ้อย เขาว่าคนบ้านนอกมีน้ำใจ เห็นจะจริง


แต่คงใช้ไม่ได้กับกรณีของคนที่ชื่อนพนั่น!


ฝนตกอยู่อีกครู่ใหญ่ๆแล้วก็หยุดลง เจ๊อ้อยขับมอเตอร์ไซด์มาส่งเฟื่องฟ้าถึงหน้าตรอกทางเข้าบ้านย่าแต๋ว หญิงสาวกล่าวขอบคุณ แล้วเดินเข้าไปตามทางนั้น หัวใจเต้นตุ๊มต่อม


ย่าจะเป็นคนยังไงนะ?


....................................






Create Date : 12 ตุลาคม 2552
Last Update : 12 ตุลาคม 2552 16:12:35 น.
Counter : 644 Pageviews.

2 comments
  
สู้สู้ค่ะ...
โดย: na (nanajazz ) วันที่: 12 ตุลาคม 2552 เวลา:20:15:33 น.
  
สู้ๆคร่าาาา เอาใจช่วย
โดย: Tukta21 วันที่: 12 ตุลาคม 2552 เวลา:23:42:01 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

parinnada
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]



แนะนำตัว
New Comments