Group Blog
 
All blogs
 

มิติใหม่หัวใจเดิม ... จดจำไว้ทุกลมหายใจ มือใครประคองฉันมา ให้ฉันได้รู้คุณค่าความรัก



อารมณ์อยากดูละครไทย แต่ดูละครหลังข่าวเรื่องไหนๆ ก็ยังไม่ถูกใจพอให้ติดตามสักกะเรื่อง เมื่อก่อนในอดีตเยาว์วัยเป็นคนที่ชอบละครไทยหลังข่าวเอามากๆ แต่เดี๋ยวนี้ การจะหาละครไทยที่ถูกใจสักเรื่อง เป็นเรื่องยากมากๆ เลยทีเดียว มนต์รักข้าวต้มมัด ดวงใจอัคนี รอยมาร ช่วงไม่นานมานี้ก็มีชอบอยู่แค่นี้ล่ะมั้งคะ นางฟ้ากับสายชล เรื่องเกมรักเกมร้าย ที่มีนักแสดงคู่ขวัญคู่โด่งดังที่สุดใน พ.ศ. นี้ คือ ณเดช กับญาญ่า ก็ลองเปิดดูกับเขาเหมือนกันแว่บๆ เพราะดูแล้วมันก็ไม่เป๊ก ไม่เหมือนดวงใจอัคนี ที่เปิดดูตามกระแส พอดูแล้วมันโป๊ะเชะ! เคยเมาท์กันกับเพื่อนว่า ทำไมเราถึงดูละครไทยสมัยนี้ไม่ค่อยติดเลย ก็วิเคราะห์กันข้างๆ คูๆ เอาว่า คงเป็นเพราะวัยของเรามั้ง (แก่ขึ้น) จริงเหรอ ...เพราะเราก็ยังติดละครเกาหลีญี่ปุ่นกันอยู่นี่ เปรียบเทียบสมัยก่อนที่ติดละครนักหนากับละครสมัยนี้ มันก็ละครไทยเหมือนๆกัน ทำไมเราดูแล้วไม่ติดเหมือนๆ กันล่ะ เพื่อนเดาว่าคงเป็นเพราะละครสมัยก่อน สร้างจากบทประพันธ์ดัดแปลงมาเป็นบทละครโทรทัศน์ ขณะที่สมัยนี้ละครสร้างจากการเขียนบทโทรทัศน์ขึ้นมาเลย ซึ่งบางทีก็ ...อะไรก็ไม่รู้ หรือต่อให้สร้างจากหนังสือนิยาย แต่นักเขียนเหล่านั้นก็เป็นนามปากกาที่เราเปิดอ่านแล้ว ส่ายหน้าไม่โดน จนทุกวันนี้เราพากันอ่านนิยายน้อยลงมาก ไม่ต้องถามถึงเรื่องที่ประทับใจอ่านแล้วอยากอ่านอีกเลย เพราะไม่ค่อยมี เช่นเดียวกับละครไทยที่หาถูกใจไม่ค่อยได้ แต่อยากดูมากอย่างนี้ ต้องพึ่งพา youtube ซะแล้วล่ะ



ต้องเรื่องนี้เลย ย้อนยุคกลับไปหาละครไทยที่่เป็นเรื่องโปรด "มิติใหม่หัวใจเดิม" ดูอีกครั้งก็ยังติดใจและติดตาม เพราะก็จำเนื้อเรื่องไม่ได้แล้ว ตอนแรกจะอ่านเรื่องย่อแต่เสิร์ชหาไม่พบเลย ดังนั้น ... ต้องลงมืออนุรักษ์กันสักหน่อยแล้วกับการเขียนบล็อกละครเรื่องนี้



มิติใหม่หัวใจเดิม

เนื้อเรื่องสนุก คู่พระเอกนางเอกโพดถูกใจ (เห็นภาษาในเฟซบุ้คเขาใช้ โพด แทน โ ค ต ร กันน่ะค่ะ อย่างกะมันจะหลีกเลี่ยงความไม่สุภาพได้งั้นแหละ ขอยืมมาใช้บ้างก็แล้วกัน ถ้ามันอ่านแล้วให้ความรู้สึกกร้านเกรียนน้อยลง ...แต่ก็ไม่เห็นมันจะต่างกันตรงไหน) แล้วตัวประกอบอื่นๆ ก็เป็นนักแสดงในยุคเก่าก่อนสมัยนั้นที่พอได้เห็นหน้าแล้วก็ระลึกได้ว่า คนนั้น คนนี้ นักแสดงที่เราเคยชื่นชอบนี่นา ดูแล้วนอกจากได้ความสนุกจากเนื้อเรื่อง ยังได้ความบันเทิงใจจากนักแสดงที่เคยคุ้นในอดีตอีกด้วย

ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์
เอมี่ เอมิกา กลิ่นประทุม
ต่อง สาวิตรี สามิภักดิ์
แก้ว อภิรดี ภวภูตานนท์
ต้น อธิวัฒน์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
ธีรพงษ์ เหลียวรักวงศ์
เกริก ชิลเลอร์
อาทิจพันธุ์ คุณานุกร
กลศ อัทธเสรี
สาลินี ปันยารชุน


แค่นักแสดงก็เป็นตัวเบ้งๆ ที่เจ้าฝีมือกันอยู่แล้วค่ะ แม้ว่าฮิวโก้ กับเอมี่จะยังแสดงแข็งๆ กันอยู่บ้าง แต่ถือว่าเป็นคู่ขวัญสุดฮอตคู่หนึ่งในสมัยนั้นเหมือนกัน แต่จะเท่า ณเดช ญาญ่าสมัยนี้หรือเปล่า ก็ไม่ช่างจะเปรียบนะ





พุทธ (ฮิวโก้ ) เป็นลูกชายคนเดียวของพิราม (ธีรพงษ์ เหลียวรักวงศ์) แม่ของพุทธเสียไปตั้งแต่พุทธยังเล็ก พ่อลูกจึงมีกันและกันอยู่สองคน พ่อเคยสัญญาว่าจะไม่แต่งงานกับใครอีก จนกระทั่งได้พบกับ รักร้อย (อภิรดี ภวภูตานนท์) พ่อก็ตกหลุมรักและแต่งงานใหม่ พุทธไม่ชอบแม่เลี้ยง จึงถูกส่งไปอยู่ต่างประเทศกับย่า การที่รักร้อยเข้ามาแทรกกลางระหว่างเขากับพ่อและยังทำให้ต้องแยกกันอยู่ ทำให้พุทธเกลียดชังรักร้อยนับตั้งแต่นั้นมา

สิบปีต่อมา เมื่อย่าของพุทธเสียชีวิตลง พ่อจึงรับพุทธกลับมาอยู่ด้วย การสูญเสียแม่ และความเกลียดชังแม่เลี้ยงที่ฝังอยู่ในใจ ทำให้พุทธโตขึ้นมาเป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อน อารมณ์รุนแรง ฉุนเฉียวง่าย และก้าวร้าว ความเป็นไม้เบื่อไม้เมากับรักร้อยยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นตามวัย รักร้อยนั้น ต่อหน้าสามีก็ทำดีกับลูกเลี้ยง กลายสภาพเป็นแม่เลี้ยงผู้ถูกรังแกบีบน้ำตาเรียกคะแนนความสงสารสารพัด ขณะที่พุทธนั้นใจร้อนและไม่รู้จักคำว่า "ควบคุมอารมณ์" ในสายตาของพ่อ ปัญหาของครอบครัวนี้ จึงดูจะเป็นเพราะพุทธคนเดียวที่ไม่ยอมเปิดใจยอมรับรักร้อยแม้สักขณะจิต





สถานการณ์ยิ่งแย่ลง เมื่อพุทธจับได้ว่ารักร้อยเป็นชู้กับทิวา (อาทิจพันธุ์ คุณานุกร) เพื่อนคนสนิทของพ่อ แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง พ่อก็ไม่ยอมเชื่อ คิดว่าแค่เป็นปัญหาความเกลียดชังเดิมๆ ของพุทธที่ทำให้มีอคติกับรักร้อย พุทธยิ่งโวยวายอาละวาดหนักข้อขึ้น และที่แย่ยิ่งกว่านั้น เป็นความผิดพลาดโดยไม่รู้ตัวของพุทธเองที่ถูกยัดยาบ้าไว้ในกระเป๋ากางเกง และรักร้อยก็เป็นคนพบมัน จนเอาไปบีบน้ำตาฟ้องกับสามีได้ว่า พุทธติดยา พ่อของพุทธผิดหวังและเสียใจมากทำให้อาการของโรคประจำตัวกำเริบ จนคืนวันหนึ่งถึงกับล้มหัวฟาดในห้องน้ำและเสียชีวิตลงในเวลา ตีหนึ่งสี่สิบนาที นาฬิกาที่สวมติดข้อมือของพ่อตายในเวลาเดียวกันนั้น พุทธนำนาฬิกาของพ่อไปซ่อมจนมันกลับมาเป็นปกติ

เมื่อพ่อเสียชีวิตไป พุทธกับรักร้อยยิ่งไม่ลงรอยกันหนักขึ้น พุทธโทษรักร้อยเป็นสาเหตุทำให้พ่อของเขาตาย เพราะก่อนพ่อจะตายพุทธหาหลักฐานมาให้พ่อเชื่อได้ว่ารักร้อยกับทิวาเป็นชู้กันจริง ขณะที่รักร้อยก็โทษว่าเป็นเพราะพุทธต่างหาก เพราะพุทธติดยา พ่อถึงเครียดและทำให้โรคกำเริบ แม้พุทธจะรู้แก่ใจว่านั่นก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้พ่อเครียด ผิดหวังและเสียใจในตัวเขา แต่นั่นก็เป็นเพราะรักร้อยเอาเรื่องยาบ้าไปฟ้องพ่อ ทั้งที่พุทธก็ยืนกรานแล้วว่ามันไม่ใช่ยาของเขา และเขาไม่ได้ติดยา

พุทธประสบอุบัติเหตุหลังจากนั้นไม่นาน ในเวลาเดี่ยวกันกับที่พ่อตาย ตีหนึ่งสี่สิบนาที และนาฬิกาเรือนนั้นของพ่อที่พุทธเอามาใช้ก็หยุดเดินที่เวลานี้อีกครั้ง เขาเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล ซึ่งแพทย์หญิงยอดหญิง ( สาวิตรี สามิภักดิ์) น้องสาวของแม่ (น้าของพุทธ) เป็นจิตแพทย์ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้






ล้อมเดือน (เอมี่ กลิ่นประทุม) เป็นนักศึกษาพยาบาลฝึกหัดที่กำลังฝึกงานอยู่ในวอร์ดของโรงพยาบาลที่พุทธนอนพักรักษาตัวอยู่ และพุทธก็เป็นคนไข้เจ้าปัญหาที่ล้อมเดือนไม่ค่อยจะปลื้มนัก เมื่อต้องอยู่เวรดึกๆ แล้วคนไข้พุทธก็เอะอะโวยวายว่าเห็นคนที่ตายไปแล้วมาเรียกหา คนแรกก็คือเพื่อนของพุทธเองที่ประสบอุบัติเหตุด้วยกัน ขอร้องให้พุทธไปที่งานศพของเขาเพื่อพบกับพ่อและสั่งเสียในสิ่งที่ยังค้างคาใจจนทำให้ไม่อาจไปสู่สุขคติ คนต่อมาก็เด็กที่เสียชีวิต พุทธเห็นผียายแก่มารับหลานทารกที่ตายไป และฝากพุทธสั่งความกับพ่อแม่ของเด็กว่าไม่ต้องเป็นห่วงยายจะดูแลหลานเอง ส่วนพ่อของพุทธเองไม่ได้มาเป็นรูปเป็นร่างชัดเจน แต่เข้ามาในกระแสความรู้สึก เหมือนพ่อเข้ามาอยู่ในตัวพุทธทำให้พุทธได้รับรู้เหตุการณ์ ความรู้สึกทุกข์ทรมานของพ่อก่อนตาย นั่นทำให้พุทธรู้ว่าพ่อไม่ได้ตายเพราะโรค แต่ตายเพราะถูกฆาตกรรม แต่การโวยวายของพุทธก็ไม่เป็นผล ไม่มีใครเชื่อเรื่องคนเห็นผี โดยเฉพาะเรื่องที่พ่อมาบอกพุทธให้รับรู้ได้ว่าพ่อถูกฆาตรกรรม

รักร้อย เป็นคนที่พุทธปักใจเชื่อว่าเธอและชายชู้ร่วมมือกันวางแผนฆ่าพ่อของเขา แต่เพราะพุทธเกลียดรักร้อย ไม่ว่าพุทธจะพูดอะไร คนย่อมคิดว่านั่นเป็นเพราะพุทธเกลียดรักร้อย ใครจะเชื่อว่าพุทธสามารถรับรู้และมองเห็นคนตายได้ (หลังจากที่ประสบอุบัติเหตุในเวลา ตีหนึ่ง สี่สิบนาที) เมื่อไม่ได้ดั่งใจ ไม่มีใครเชื่อ คนรองรับอารมณ์โกรธของพุทธก็คือนางพยาบาลฝึกหัดหน้าตาซื่อๆ ที่ชื่อล้อมเดือน แม้จะไม่ค่อยพอใจคนไข้ที่ดื้อรั้นคนนี้ แต่ล้อมเดือนก็ข่มอกข่มใจทำหน้าที่ดูแลพุทธ จนพุทธเริ่มพูดจารู้เรื่องขึ้นบ้าง





ยา ... เป็นสิ่งที่พูทธรับรู้ว่า มีคำตอบเกี่ยวกับการตายของพ่อ พุทธจึงคิดหนีออกจากโรงพยาบาล เพื่อจะกลับไปเอาขวดยาของพ่อที่ตู้ยาในห้องน้ำที่อยู่ในห้องนอน แต่ถูกล้อมเดือนที่เพิ่งออกเวร จับได้ซะก่อน เพราะห้ามก็ไม่ฟัง จะรั้งก็ไม่ไหว จะปล่อยไปก็เป็นห่วง พุทธเองก็รู้ตัวว่าไม่ไหวจึงขอร้องให้ล้อมเดือนช่วย ล้อมเดือนปากก็บอกว่า ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ แต่ก็ติดตามพุทธไป และเพราะพุทธไม่มีเรี่ยวแรงจะทำได้ เธอจึงเป็นคนที่ลักลอบปีนรั้วปีนขึ้นบ้านของพุทธและเข้าไปโขมยขวดยาของพิรามออกมา พุทธที่คอยด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าบ้าน ถูกตำรวจสายตรวจตระเวณผ่านมาและซิวตัวไปซะก่อนที่ล้อมเดือนจะหลบรักร้อยและทิวาออกมาจากบ้านได้ พุทธเอาตัวรอดจากการถูกสงสัยว่าเป็นหัวโขมยที่แอบมาดูต้นทางได้ แต่ก็ปลีกตัวจากตำรวจคนนั้นไม่ได้ ถูกพาไปดื่มเหล้า เมามาย อาการทรุด และถูกนำส่งตัวกลับโรงพยาบาล

ล้อมเดือนโขมยขวดยาออกมาจากบ้านได้ แต่ออกมาก็เคว้งคว้างอยู่หน้าบ้านเพราะพุทธหายไป ไม่ได้รออยู่ริมรั้วตามที่บอกไว้





การที่พุทธหนีออกจากโรงพยาบาล เป็นเรื่องราวใหญ่โตที่ต้องมีคนรับผิดชอบ ล้อมเดือนเห็นแก่นางพยาบาลที่ต้องรับผิดชอบในฐานะพยาบาลอยู่เวรทั้งที่ไม่ได้ทำความผิดอะไร จึงรับสารภาพว่าเธอเป็นคนรู้เห็นเป็นใจพาพุทธออกจากโรงพยาบาล ล้อมเดือน ถูกพักการฝึกงาน และต้องเสี่ยงต่อการถูกไล่ออกจากการเป็นนักศึกษาพยาบาล คุณหมอยอดหญิงสั่งห้ามไม่ให้ล้อมเดือนพบกับพุทธหลานชายของเธออีก ล้อมเดือนจึงไม่มีโอกาสได้เจอพุทธก่อนออกจากโรงพยาบาล เธอฝากยาขวดนั้นให้พยาบาลนำไปให้พุทธ แล้วกลับมาร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรที่ต้องถูกพักงานและอาจเรียนไม่จบ แต่ทางมหาวิทยาลัยไม่ถึงกับตัดอนาคตด้วยการไล่ออก แค่เพียงสั่งพักการเรียนโดยจะอนุญาตให้กลับมาทำเรื่องฝึกงานต่อในเทอมหน้า ...นั่นหมายความว่าล้อมเดือนต้องเรียนจบช้ากว่ากำหนด

พุทธถามหาล้อมเดือน และได้รู้จากนางพยาบาลว่า เพื่อปกป้องนางพยาบาลรุ่นพี่ไม่ให้ถูกลงโทษ ล้อมเดือนได้แสดงน้ำใจและความกล้าหาญด้วยการสารภาพความผิดและถูกลงโทษเสียเอง พุทธรู้สึกเสียใจที่ทำให้ล้อมเดือนเดือดร้อน เมื่อพุทธแข็งแรงขึ้นและออกจากโรงพยาบาล เขาจึงขอที่อยู่ของล้อมเดือนจากนางพยาบาลและไปรอพบเธอที่หน้าหอพัก แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่ได้พบกัน (มันต้องมีเหตุให้สวนทางแบบบังเอิญเส้นยาแดงผ่าแปด) พุทธฝากเบอร์โทรของเขาไว้กับเจ้าหน้าที่หอพัก



ล้อมเดือน... เป็นบทบาทที่มีคาแร็คเตอร์ใสๆ น่ารัก ไม่มีมาดนางเอกแบบสวยเริ่ดเชิดหยิ่งหรือเล่นตัวสักนิด แม้จะเคยโกรธพุทธอยู่กรุ่นๆ ที่ทำให้เธอต้องถูกพักการฝึกงาน แต่เมื่อได้เบอร์โทรศัพท์กลับไม่มีสงวนท่าทีแม้แต่น้อย โทรแล้วโทรอีก ส่วนพุทธก็รอแล้วรออีก รอสายจากล้อมเดือน แต่ก็อีกเช่นเคย กว่าพระนางจะได้พบกัน ลุ้นเหนื่อย

เพราะติดต่อพุทธไม่ได้ ล้อมเดือนจึงเป็นห่วง พุทธที่รอโทรศัพท์จนหลับไป ตื่นขึ้นมาในกลางดึก เขาได้ยินเสียงคนเรียก พุทธที่ปกติก็กลายเป็นคนเห็นผี เข้าใจว่าเป็นเสียงของพ่อเรียกเขา พุทธเพิ่งฟื้นตัวจากการเจ็บป่วยทางกาย ในขณะที่ทางใจยังคงย่ำแย่ เจ็บปวดเสียใจ สะลึมสะลือเพราะฤทธิ์ยา ได้ยินเสียงเรียกเป็นเสียงของพ่อเรียกหา และเกือบจะโดดลงไปหาพ่อจากระเบียงสูงบนบ้าน แต่ล้อมเดือนดึงตัวไว้ได้ทัน พุทธกับล้อมเดือนทันเห็นหลังคนถือสปอร์ตไลท์วิ่งหนีไป ทำให้พุทธปะติดปะต่อเรื่องราวและเข้าใจได้ว่า ตัวเขาเองที่ปากสว่างเรื่องพ่อถูกฆาตกรรมและฆาตกรยังลอยนวล กำลังถูกหมายหัวอีกคน เพราะรู้ว่ามีคนพยายามจะฆ่าเขา พุทธจึงพาล้อมเดือนออกจากบ้านในตอนเช้ามืดและพากันไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ พุทธไม่สนใจเรื่องใครจะฆ่าเขา แต่ขอร้องให้สารวัตรนพ ( อธิวัฒน์ สนิทวงศ์ฯ ) รื้อฟื้นคดีการตายของพ่อขึ้นมาสอบสวนอีกครั้ง พุทธไม่มีหลักฐานนอกจากการบอกเล่าว่าคนตายมาบอก พ่อมาบอกกับพุทธว่าเขาไม่ได้ตายเพราะป่วย แต่ตายเพราะมีคนวางแผนฆาตกรรม ( แต่ไม่ยักบอกว่าใครฆ่า ไหนๆ ก็บอกแล้ว ทำไมไม่บอกให้หมดๆ ไม่เข้าใจจริงๆ ) สารวัตรนพเห็นว่าพุทธคงบ้าไปแล้วทั้งยังโวยวายอาละวาด จึงสั่งให้ตำรวจกักตัวพุทธไว้





แพทย์หญิงยอดหญิง ( สาวิตรี สามิภักดิ์) หรือน้าหญิงของพุทธ เป็นญาติคนเดียวที่พุทธมี พุทธทั้งรักและไว้วางใจน้าหญิง อยากให้แต่งงานกับพ่อและเป็นแม่ของเขาแทนด้วยซ้ำ พุทธขอร้องให้น้าหญิงที่ไม่เชื่อพุทธว่าพ่อถูกฆ่า ให้นำยาของพ่อไปตรวจ น้าหญิงมารับตัวพุทธที่โรงพักและได้นำผลตรวจยามาด้วย ยาที่ไม่ใช่ยา เป็นแต่แป้งที่ว่างเปล่า ไร้สารใดๆ เป็นประโยชน์ต่อการรักษา จึงเป็นเหตุให้สารวัตรนพยอมรื้อฟื้นคดีขึ้นมาอีกครั้ง สืบสวนสอบสวน โดยมีรักร้อย และทิวา ตกเป็นผู้ต้องหา ศาลรับฟ้องคดี และเรื่องดำเนินไปถึงขั้นพิจารณาคดีในชั้นศาล





ความสนุกของเรื่องนี้ จึงพอสรุปได้ว่า

1. เป็นปมฆาตรกรรม ใครฆ่า? ฆาตกรคือคนที่เกลียดชัง หรือที่แท้คนที่รักและไว้ใจใกล้ๆ ตัว เป็นคนทีชั่วอย่างเปิดเผย หรือคนดีที่ปกปิดมุมมืดมิดภายในใจเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน และใครคือแพะรับบาป ?

2. การขึ้นโรงขึ้นศาลพิจารณาคดี มีผู้พิพากษา ทนายความ โจทย์ จำเลย พยาน ขึ้นแท่นใแสดงคำให้การต่อศาลกันอย่างจริงจัง เป็นบรรยากาศเครียดๆ ของการว่าความกันในศาลที่ชอบมากทีเดียวค่ะ (ปกติก็ชอบดูหนังที่เกี่ยวกับกฏหมาย อัยการ การว่าความในศาลมากเลยค่ะ ยิ่งถ้าเป็นหนังฝรั่งที่มีคณะลูกขุน เท่มากมาย)

3.นักแสดงโดดเด่น มีนักแสดงหญิงมากฝีมืออยู่ประกบฝีมือกันตั้งสองคน คือ แก้ว อภิรดี กับ ต่อง สาวิตรี ทั้งสองเจ๊เล่นกันได้ดีมากๆ โดยเฉพาะเจ๊อภิรดี แกเล่นได้เนียนทุกอากัปกริยาทีเดียว





ส่วนอีกคนที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย ไม่ว่าเรื่องไหน เป็นต้องเรื่องนั้น สีสันความสนุกที่จ้างแสดงแล้วรับรองคุ้ม

เกริก ชิลเลอร์ แม้รูปร่างหน้าตาจะไม่ให้ แต่นิสัยในละครอย่างฮาและโพดน่ารัก กับบทของ "เฮียจืด" พระรองผู้แสนดี ที่กล้ำกลืนอาการแอบรัก "ไอ้ล้อม" เอาไว้เนื่องจากเห็นว่า ยังเด็ก อย่าเพิ่งกระโตกกระตากไป อุตส่าห์เลี้ยงต้อยมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย อยู่ๆ ก็โดนไอ้หนุ่มหน้ามนคนหน้าขาว มาคว้าหัวใจไอ้ล้อมไปครองหน้าตาเฉย

เฮียจืดกับล้อมเดือนรู้จักกันมาแต่เล็ก เพราะต่างก็เป็นเด็กกำพร้าเหมือนกัน เฮียจืดเป็นเด็กวัด ส่วนล้อมเดือนก็ถูกคุณยาย รับจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไปอุปถัมถ์ เลี้ยงดูและส่งเสียให้เรียนหนังสือ ความสัมพันธ์ของเฮียจืดกับล้อมเดือนนั้นสนิทสนมกันอย่างมาก เหมือนเป็นเพื่อน เป็นพี่ชาย เป็นคนในครอบครัว แต่ "ไอ้ล้อม" หารู้ไม่ เฮียจืดคิดไม่ซื่อมานาน แค่เพียงรอเวลาให้ไอ้ล้อมโต แต่พอมันเริ่มโตเป็นสาวได้เจอคนไข้หล่อๆ อย่าง "ไอ้พุทธ" ไม่กี่วัน ไอ้ล้อมของเฮียก็ออกอาการชัดนัก ว่ามีใจให้ไอ้หนุ่มนั่นเต็มขั้น

ยัง...เท่านั้นยังไม่พอ เพราะชีวิตของไอ้พุทธมีแต่ปัญหายุ่งเหยิง ไอ้ล้อมจึงต้องพลอยลำบากไปด้วย แล้วถ้าไอ้ล้อมลำบาก เฮียจืดจะไม่ลำบากอีกคนได้ยังไง แค่ไอ้ล้อมเป็นห่วงเป็นใยสารพัดอย่างออกนอกหน้านอกตา เฮียจืดก็ช้ำชอกเหลือทน ไอ้ล้อมมันยังอุตส่าห์พาไอ้พุทธมาฝากเฮียจืดช่วยดูแลอีกคนอีกต่างหาก เด็กนี่มันใจร้ายจริงๆ

เฮียจืดอกหัก แต่อาการอกหักของแก เป็นความฮาประการหนึ่ง ที่เกริกเล่นได้ฮาๆ และน่ารักๆ (ชอบมากๆๆๆๆๆๆ)






ต่อมาประการสุดท้าย ที่สุดของที่สุดในเรื่องนี้ คือ คู่พระนางสิคะ

พระเอกหล่อ นางเอกน่ารัก แค่นี้ก็ได้ใจสุดๆ ไปแล้ว แต่ที่พระเอกนางเอกตัวติดกันแทบจะตลอดเวลา เป็นอะไรที่น่ารักมากๆ

"ตัวติดกัน" ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง ถึงเนื้อถึงตัวนัวเนียเหมือนคู่รักหวานเลี่ยนอะไรทำนองนั้น แต่คือการอยู่เคียงข้างคอยช่วยเหลือ เป็นกำลังใจ เป็นความอุ่นใจ เป็นเพื่อนคอยห่วงใยดูแล

กว่าพุทธกับล้อมเดือนจะเจอหน้ากัน ก็ปาเข้าไปตอนที่ 3-4 ตอนแรกรู้สึก ....ว้า ทำไมเจอกันช้าแล้วยังเจอกันน้อยอีก แต่หลังจากที่พุทธออกจากโรงพยาบาลและหาทางติดต่อล้อมเดือนได้ จากนั้นทั้งคู่ก็อยู่ด้วยกันตลอด แบบว่ามีพุทธที่ไหน มีล้อมเดือนที่นั่น





พุทธ ไม่มีแม่ พ่อก็ตาย เหลือน้าหญิงเป็นญาติเพียงคนเดียว แต่การที่น้าหญิงไม่เชื่อเรื่องที่พุทธเห็นคนตาย และเห็นพ่อ ทำให้พุทธเกือบจะเหมือนคนหัวเดียวกระเทียมลีบ หากว่าไม่มีล้อมเดือนคอยอยู่ใกล้ๆ ล้อมเดือนช่วยชีวิตพุทธไว้ไม่ให้ตกจากระเบียง ไปสถานีตำรวจเป็นเพื่่อน พาไปอยู่กับเฮียจืด อยู่เป็นเพื่อนเสมอ เมื่อพุทธเจ็บป่วยก็คอยห่วงใยดูแลไม่ห่าง และล้อมเดือนก็ช่วยสอนให้พุทธควบคุมอารมณ์ใจร้อนไม่ให้วู่วามจนเกินไป

สรุป ... ความสัมพันธ์ของพระนางคู่นี้ เหมือนเนื้อเพลง "ยังจดจำ" ที่ขังร้องโดย กันตะ กัลย์จาฤก เป็นเพลงประกอบละครที่ "ยังจดจำ" อยู่ในความทรงจำเช่นเดียวกับอีกหลายๆ เพลงประกอบละครในยุคนั้นที่่มักจะเป็นที่จดจำได้เสมอ




เพียงแค่สายตา
ก็เต็มไปด้วยความหมาย
ลึกถึงหัวใจที่ให้กัน
ฉันได้มีเธอคอยดูแลอยู่ข้างกัน
อุ่นไอเธอนั้นให้ฝันดี

* อุ่นใจเมื่อมีเธออยู่
และเธอก็คอยมองดูฉัน
กับวันที่เราร่วมกันสร้างมา
จดจำไว้ทุกลมหายใจ
มือใครประคองฉันมา
ให้ฉันได้รู้คุณค่าความรัก

ยามเมื่อท้อใจ
ก็เธอที่คอยจับมือฉัน
ทำให้ทุกวันช่างสวยงาม
ตอบแทนด้วยความดี
จะคอยดูแลไม่เหินห่าง
ปล่อยวางสองหัวใจใกล้ๆ กัน

ทุกแห่งที่พักใจ
ไม่มีที่ใดอุ่นใจเท่าเธอ
สัมผัสที่หัวใจก็คลายหนาว
ทุกข์สุขตั้งมากมาย
เก็บมันไว้ทุกเรื่องราว
เป็นแรงให้เราได้ก้าวต่อไป

ให้ฉันได้รู้คุณค่าความรัก


คือ.. เนื้อเพลงฟังแล้วมันแบบว่า "ใช่เลย" นั่นแหละคือความสัมพันธ์อันน่าซึ้งใจของพุทธกับล้อมเดือน ใกล้ชิดกันมาก แต่ก็ไม่ได้ถูกเนื้อต้องตัวกันมาก เห็นแล้วมันน่ารักจริงๆ อยากให้ละครทำออกมาแค่ประมาณนี้ล่ะค่ะ เหมือนละครญี่ปุ่นเกาหลี ( ส่วนไต้หวัน เยอะไป) คือมีขอบเขตอย่างที่คิดเอาเองว่ามันควรจะเป็น ใครจะคิดว่าหัวโบราณก็ได้ แต่อย่าลืมว่าเรามีเด็กและเยาวชนที่ดูละครหลังข่าวด้วยเหมือนกัน





สำหรับการแสดง เอมี่จะดูเป็นธรรมชาติมากกว่าฮิวโก้ อาจเพราะในช่วงนั้นเอมี่มีประสบการณ์กับละครมามากกว่าล่ะมัง แม้จะแข็งๆ กันบ้าง โดยเฉพาะฮิวโก้ที่สายตายังไม่เข้ากับอารมณ์นัก แต่โดยรวมๆ แล้วก็โอเค เพราะเมื่อคนหล่อคู่กับคนน่ารัก อิอิ ... ความน่ารักจะไปไหนเสีย ถ้าเป็นผู้ชายแล้วมีผู้หญิงน่ารักๆ อย่างนี้คอยดูแลอยู่ตลอด คงต้องใช้คำนี้เลย "ไม่รัก ก็บ้าแล้ว"

ความจริง ก็ชอบทุกฉากทุกตอนที่พุทธกับล้อมเดือนอยู่ด้วยกัน แต่ที่ชอบเป็นพิเศษ คือตอนที่ล้อมเดือนช่วยชีวิตพุทธไว้ครั้งแรก เมื่อพุทธแน่ใจว่ามีใครบางคนอยากให้เขาตาย หลังจากผ่านความเครียดมาทั้งคืน พุทธก็เพิ่งนึกออก ตอนที่ที่เดินออกจากบ้านมาตามถนนด้วยกันเพื่อไปสถานีตำรวจ

"นี่คุณ"

"อะไรอีกล่ะ"

"ผมยังไม่ได้ถามเลย ว่าเมื่อคืนทำไมมาหาได้"

"ก็...คุณบอกให้ฉันติดต่อมาไม่ใช่เหรอ"

"บอกให้โทรมา ไม่ใช่ให้ปีนรั้วเข้าบ้าน"

"ยังจะพูดอยู่อีก ฉันโทรไปหาคุณเป็นสิบทีแล้วนะ
คุณมัวแต่เมาท์อยู่กับใครนะฮะ สายถึงไม่ว่างอย่างนั้น"


"ไม่ไม่ไม่ ผมต่างหากรอสายคุณจนหลับเลย ไม่ได้ยินสักกริ๊งนึงเลย"

"ก็ ช่างเถอะน่า จะอะไรก็ช่าง รีบไปเหอะน่า มัวแต่พูดอยู่นั่นน่ะ"

........แล้วพุทธก็นึกออก เพราะอะไรล้อมเดือนถึงปีนรั้วและปีนขึ้นบ้าน......

"นี่คุณเป็นห่วงผมมากขนาดนั้นเลยเหรอ"

"คุณนี่จู้จี้จังเลยเนี่ย ไปเหอะน่า เดี๋ยวคนผีก็กลับมาจนได้หรอก"

ตอนที่พุทธพูดประโยคว่า "บอกให้โทรมา ไม่ใช่ปีนรั้วเข้าบ้าน" เป็นน้ำเสียงที่น่ารักมากๆ เลย และเมื่อไปถึงสถานีตำรวจที่พุทธโวยวายแล้วล้อมเดือนพยายามห้ามปราม จนสารวัตรนพต้องเอ่ยปากถาม






"นี่ คุณเป็นอะไรกับเค้าน่ะ"

"เอ่อ ไม่ได้เป็นอะไรเลยค่ะ"

คำตอบของล้อมเดือนทำให้พุทธที่ฉุนเฉียวอยู่แล้วหันขวับมามองตาขวาง (ฮิวโก้เป็นคนที่ตาดุอยู่แล้ว พอจ้องเอมี่เพราะโกรธประโยคธรรมดาประโยคนั้น ตาดุดูน่ากลัวจัง) เป็นความชัดเจนในความรู้สึก แม้จะพะวงกับเรื่องอื่นอยู่แต่พุทธก็ไม่ปล่อยคำพูดเล็กๆ นี้ผ่านไป

"ไม่ได้เป็นได้ยังไง ! คุณเป็นเพื่อนของผม!
เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของผมด้วยซ้ำ!"


สองคนมองหน้าสบตากัน ล้อมเดือนดูจะอินกับคำพูดนั้นเป็นพิเศษ

เมื่อน้าหญิงมารับพุทธออกจากสถานีตำรวจ


"ล้อมเดือน เธอจะไปไหน หมอจะไปส่งให้"


"เอ่อ หนูกำลังคิดว่า"

พุทธตอบแทนล้อมเดือนอย่างมั่นใจ ก่อนจะหันไปถามคำยืนยัน

"ล้อมเดือนจะไปกับผมครับ ใช่ไหมล้อมเดือน"

"ก็ ถ้าคุณอยากให้ฉันไป"

"อยาก อยากให้ไปด้วย"

ล้อมเดือนจะเป็นคนที่พูดเพราะ (เสียงของเอมี่จะเป็นเสียงเล็กๆ แบบเด็กๆ ที่น่ารักอยู่แล้ว) ยิ่งตอนใช้น้ำเสียงปลอบประโลมอารมณ์โกรธของพุทธจะฟังดูทั้งอ่อนโยนและอ่อนหวาน ส่วนพุทธจะเป็นคนที่พูดห้วนๆ เพราะจะเป็นคนที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว บวกกับพูดไทยสำเนียงยังไม่ไทยแท้เท่าไหร่ด้วย ก็เลยมักจะตกหล่นเป็นคำสั้นๆ ออกมา อย่างคำว่า "เป็นอะไร" ก็จะเหลือแค่ว่า "เป็นไร"

ส่วนอีกตอนที่ชอบที่สุดคงหนีไม่พ้น ตอนสารภาพรัก อ่า..นะ เวลาที่คู่พระนางเขาตกลงปลงใจกันโดยไม่ใช้คำว่า "รัก" ไม่มีคำพูดอื่นๆ เยิ่นเย้อ

เรื่องไหนเป็นเรื่องนั้นสิน่า โดนใจมาก





พุทธกับล้อมเดือนก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขผ่านเรื่องร้ายๆ มาด้วยกัน โดยที่พุทธนั้นถึงขั้นสะบักสะบอมแทบเอาสมองไม่รอด พุทธ..คนเห็นผี ที่ถูกหาว่าบ้า เริ่มจะบ้าเข้าจริงๆ เพราะถูกวางยา ยาที่ใช้รักษาคนดีๆ ให้กลายเป็นบ้า แถมยังถูกช๊อตสมองทั้งที่สมองของพุทธยังปกติดี การที่ล้อมเดือน เฮียจืด และ ดร.ลินดา (สาลินี ปันยารชุน) อดีตอาจารย์แพทย์ด้านจิตเวชแต่หันมาเอาดีเรื่องพลังจิต ร่วมมือกันลักพาตัวพุทธออกมาจากโรงพยาบาลให้พ้นจากอันตรายจากการรักษาที่จงใจให้พุทธเลอะเลือนจนกลายเป็นบ้า คนรักกันจริงเท่านั้นถึงจะกล้าลงมือ ซึ่งถือเป็นครั้งที่สามที่ล้อมเดือนช่วยชีวิตพุทธไว้ หลังจากผ่านครั้งที่สองที่ยาเคยทำให้พุทธมีอาการสติแตก หลงผิด และเกือบโดดตึกฆ่าตัวตาย แต่ถึงจะผ่านอะไรๆ มาด้วยกัน เมื่อเรื่องคลี่คลายลงให้พุทธได้มีเวลาทบทวนเรื่องอื่นบ้าง พุทธก็เริ่มนึกถึงหัวอกหัวใจของเฮียจืดขึ้นมาเฉยๆ เฮียจืดน่ะรักล้อมเดือนแน่ แต่ใจของล้อมเดือนพุทธไม่รู้ เพราะอยากรู้จึงเอ่ยถามตรงๆ ว่าล้อมเดือนรักเฮียจืดหรือเปล่า

โถ ...จริงๆ ก็จะถามเพื่อตัวเองนั่นแหละ แต่เรื่องอย่างนี้น่ะผู้หญิงไม่เข้าใจหรอก อุตส่าห์เสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง กว่าจะเอาตัวออกมาจากโรงพยาบาลได้ก่อนที่สมองจะถูกช็อตจนกลายเป็นบ้าไปจริงๆ กลับมาถามกันว่ารักผู้ชายคนอื่นอยู่หรือเปล่า ล้อมเดือนก็ปรี๊ดสิคะ เลยงอน ตอบไปเลยว่ารักเฮียจืด รักที่สุดในโลก คุณพุทธก็งอนไปเหมือนกันสิคะ รักเขาแต่ปากไม่ตรงกับใจ ทำเป็นใจกว้างเห็นแก่เฮียจืด ผู้หญิงเวลาโดนผลักไสจากคนที่รักไปหาคนอื่น มันก็ต้องมีเคืองกันเป็นธรรมดา งานนี้ร้อนถึงเฮียจืดต้องประสานอาการงอนของคนทั้งคู่ พุทธนั้น ก็รู้อยู่แก่ใจดี ว่าทำไมล้อมเดือนถึงได้เดินตามต้อยๆ เกาะติดคอยดูแลไม่ยอมห่าง แค่อยากฟังให้ชัดๆ แค่นั้นแหละ "รักเฮียจืดหรือเปล่า" ถ้าไม่ได้รักเฮียจืด ก็เป็นการยืนยันว่ารักพุทธไง แต่ดันมาบอกกันชัดถ้อยชัดคำ "รักเฮียจืด" งอนกันไป แต่แค่เฮียจืดไม่มีท่าทีอะไรกับที่พุทธกัดฟ้ันเปิดทางให้ แถมเฮียยังบอกอีกว่าให้พุทธโทรไปหาล้อมเดือนเสียที เพราะเฮียไม่อยากให้ล้อมยังรู้สึกอกหักก่อนเริ่มต้นฝึกงานใหม่อีกครั้ง แค่นี้พุทธก็ยิ้มออกอย่างโล่งใจแล้ว ล้อมเดือนน่ะ งอนเป็น แต่เล่นตัวเป็นซะที่ไหนกัน






ถึงแม้จะหน้างอไม่ยอมขึ้นรถเมื่อพุทธมารับ บีบแตรเสียงดังก็ไม่ยอมลุกจากที่นั่งตรงป้ายรถเมล์ จนกระทั่งโดนคนแถวนั้นไล่ ต่อว่าอีกด้วยว่าทำไมไม่รู้จักเกรงใจคนอื่น เขามาง้อแล้วยังเล่นตัวอีก เสียงดังอยู่นั่นน่ารำคาญ นั่นแหละล้อมเดือนจึงยอมลุกมาหาให้พุทธเรียกขึ้นรถ

"ขึ้นสิ"

"ทำไมต้องขึ้นด้วย"

"ผมมีเรื่องจะบอกคุณ"

"ฉันไม่อยากฟัง"

"ขึ้นเถอะน่า"

....ก็งอนแค่นั้นแหละ แล้วก็ยอมขึ้นรถด้วยอาการงอนตุ๊บป่อง...

"มีอะไรก็รีบว่าๆ มา วันนี้ฉันฝึกงานเป็นวันแรกนะ ไม่อยากจะมีปัญหาซ้ำสอง"

"แล้วอีกกี่วันจะฝึกงานเสร็จ"

"แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วยล่ะ"

"เกี่ยวสิ ต้องไปจองตั๋ว"

"ตั๋วอะไร"

"ตั๋วเครื่องบิน"

"บินไปไหน"

"อเมริกา"

"ไปทำไม"

"นี่ เราจะเล่นยี่สิบคำถามอีกนานป่ะเนี่ย
ถ้าจะเล่นต่อ เดี๋ยวก็... จอดข้างถนนก็ได้"


"คุณก็รีบพูดให้มันชัดๆ สิ"

"จะให้พูดตอนนี้เหรอ คือ กลัวว่าคุณจะเก็บความดีใจไม่ได้
แล้วเดี๋ยวเดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุซะเฉยๆ"


"นี่คุณ จะพูดหรือไม่พูดน่ะ ถ้าไม่พูดนะ ฉันจะลงมันตรงเนียะ"

"โอเคๆๆๆๆ พูดแล้วๆ พูดละ ใจเย็นๆ"

"คือ ผม จะไปเรียนต่อที่อเมริกา แล้ว ...กะจะชวนคุณไปด้วย"

"อะไรนะ!"

"ผมจะไปเรียนต่อที่อเมริกา ไปเรียนด้วยกันเถอะ"

"ค คะ คุณ จะชวนฉัน ไปเรียนต่อด้วยกัน"

"ใช่"

"กับคุณ?"

"อะฮ้า"

สิ้นเสียงอะฮ้า เท่านั้นแหละ ล้อมเดือนเอามือปิดหน้าปล่อยโฮ

"อ้าว ล้อมเดือน ล้อมเป็นไรน่ะ ล้อม....."

จนพุทธตกใจ ต้องรีบเลี้ยวรถเข้าจอด

"นี่คุณเป็นไรน่ะ ล้อมเดือนเป็นไร
โกรธผมเหรอ ผมไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกคุณนะ
อ๋อ ลืมไป น่าจะปรึกษาผู้ใหญ่ก่อน
อ่ะ คิดว่าผมไม่ได้พูดเถอะน่ะ นะ "


ล้อมเดือนชะงักอาการร้องไห้ทันทีทันใด

"อ๊ะ อะไรนะ นี่พูดแล้วจะกลับคำเหรอ
นี่ นี่ตกลงคุณจะไม่ให้ฉันไปด้วยแล้วเหรอ"


"ก็ ก็คุณร้องไห้เหมือนไม่อยากไปนี่"

พุทธเริ่มมีอารมณ์คล้ายหงุดหงิดตามนิสัยใจร้อน

"แล้วคุณจะเอายังไงกับฉันเนี่ย"

"ก็มันขึ้นอยู่กับคุณ คุณจะเอายังไง ผมก็เอาอย่างงั้น"

"งั้น ...งั้นฉันไปนะ"

"ก็ไปสิ"

เท่านั้นแหละ ล้อมเดือนก็ล็อคคอพุทธโผเข้ากอด

"เห็นมั้ยเนี่ย โชคดีนะที่จอดรถตรงนี้เนี่ย ไม่งั้นรถชนกันเละเลย"





มันเป็นฉากที่น่ารักมากๆ เลยค่ะ ทั้งน้ำเสียงงอนๆ ของล้อมเดือนที่สะบัดสูงขึ้นๆ ทั้งตอนที่พุทธแอบยิ้มขำๆ หรือตอมีอารมณ์แล้วพูดว่า "ก็คุณร้องไห้เหมือนไม่อยากไปนี่" "ก็มันขึ้นอยู่กับคุณ คุณเอายังไง ผมก็เอายังงั้น" แน่ใจนะ ว่านี่คือการเอ่ยปากฝากรักกับสาว ขอให้ไปต่างประเทศด้วยกัน ก็คล้ายๆ กับเอ่ยปากขอแต่งงานนั่นแหละ ส่วนล้อมเดือนนอกจากจะไม่เล่นตัวยังออกอาการเจียมเนื้อเจียมตัวกลัวพุทธไม่ให้ไปด้วย "งั้น ..งั้นฉันไปด้วยนะ" คนตอบก็ตอบเหมือนรำคาญ "ก็ไปสิ" (ยังไงก็ต้องไปด้วยอยู่แล้ว แล้วจะร้องไห้ทำไมเนี่ย) 5555 เป็นการสารภาพรักแบบที่น่ารักที่สุดในสามโลก ตอนที่พุทธ พาเฮียจืดเป็นเถ้าแก่ไปสู่ขอล้อมเดือนกับคุณยายก็น่ารัก เมื่อคุณยายถามคำตอบ ล้อมก็โอเคทันทีแบบไม่มีสงวนท่าทีไว้กระมิดกระเมี้ยนแม้แต่น้อย แถมคุณยายก็โอเคตามทันที จนเฮียจืดอารมณ์ขึ้น อะไรกัน จะไม่คิดกันสักนิดเลยเหรอ ยกให้เจ้าพุทธมันง่ายๆ ได้ยังไง คุณยายจะไม่เก็บไปคิดคำตอบสักคืนก่อนเหรอ 555 เฮียจืดน่ารักจริงๆ

ถึงจะเป็นละคร ที่เก่ามา 11 ปีแล้ว แต่กลับมาดูอีกทีก็ยังสนุกเหมือนเดิม











































 

Create Date : 14 พฤศจิกายน 2554    
Last Update : 5 มกราคม 2555 1:18:24 น.
Counter : 10987 Pageviews.  

Atsu-Hime เอกสตรีแห่งยุคสิ้นสุดซามูไร



1st Tokyo Drama Awards: Best Period Drama

น้ำเหนือ น้ำหนุน น้ำฝนฟ้าประทานจากพระพิรุณ สายน้ำหลั่งไหล มวลน้ำทะลักทำลายพื้นที่ ทรัพย์สิน ตลอดจนหลายชีวิตที่น้ำท่วมผ่าน ก็ไม่รู้ธรรมชาติที่ราวกับมีชีวิตจิตใจและเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจนั้น ได้กระทำการลงโทษสถานหนักเพื่อทวงคืน หรือแท้จริงแล้วนี่ยังเป็นแค่การตักเตือนระลอกหนึ่งเท่านั้น สุขภาพจิตของท่านเป็นอย่างไรกันบ้างคะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด น้ำจะมาก็ต้องมา ขอให้อย่าวิตกกังวลกันเกินไปค่ะ เราจะฝ่าวิกฤติ น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ไปด้วยกัน

มาพูดถึงซีรีย์กันดีกว่าค่ะ ดูจบไปสักพักใหญ่แล้ว แต่ติดด้วยภารกิจการงานบางอย่างในช่วงที่ผ่านมาทำเอาผู้เขียนแทบคลั่ง เพราะต้องติดแหง่กอยู่เป็นเดือน พอเสร็จสิ้นก็มาต่อกันด้วยภาวะน้ำท่วมที่ทำให้ต้องเร่งรีบร่นกระบวนการทำงานหลายอย่าง (อย่างลนลาน) เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์วิกฤติที่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะจะหวังพึ่งการประเมินสถานการณ์ของ ศปภ...ก็นะ ...อย่างที่รู้ที่เห็นกัน


เรื่องย่อ Atsu Hime (ที่มา :ปกหลังดีวีดี)

โอคัทสึ บุตรสาวตระกูลซามูไรอิไมซุมิชิมะสึแห่งแคว้นสัทสึมะ ถูก ชิมะสึ นาริอาคิระ ไดเมียวผู้ครองแคว้นสัทสึมะเลือกให้เป็นบุตรสาวบุญธรรม เพื่อส่งไปแต่งงานเป็นภรรยาเอกของ โชกุนโทกุกาวะ อิเอซาดะโดยนาริอากิระ หวังให้ โอคัทสึ เกลี้ยกล่อมให้โชกุนผู้เป็นสามีเลือก ฮิโตสึบาชิ โยชิโนบุ ไดเมียวหนุ่มแห่งแคว้นมิโตะ โทกุกาวะ ขึ้นเป็นโชกุนคนต่อไป
โอคัทสึจำต้องพรากจาก โคมัทสึ ทาเตวากิ เพื่อนสนิทสมัยเด็ก และถูกเปลี่ยนชื่อเป็น อัตสึ เพื่อรับตำแหน่ง "ท่านหญิง" แห่งตระกูลชิมะสึ ก่อนถูกส่งไปยังเอโดะ อันเป็นที่พำนักของโชกุนผู้ถืออำนาจสิทธิ์ขาดในการบริหารประเทศแทนองค์จักรพรรดิ
จากบุตรสาวตระกูลซามูไร ผู้มองโลกกว้างด้วยแววตาแจ่มใสใคร่รู้ สู่บุตรสาวของไดเมียวแห่งแคว้นใหญ่เรืองอำนาจ และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งภรรยาเอกของผู้นำประเทศ การแต่งงานการเมือง… สามีผู้ไม่เคยเห็นหน้า… ฝ่ายในที่พำนักของสตรีกว่า 3,000 นางของปราสาทโชกุนอันกว้างใหญ่… ภารกิจแห่งแคว้นที่แบกรับ สิ่งที่รออัตสึฮิเมะอยู่ที่เอโดะ ก็คือ…
จากปกหลังซองบรรจุ DVD มีมาแค่นั้น เพราะมีอยู่แค่นั้นจากนี้จึงขอเล่าเอง

เพราะอยากดูซีรีย์ญีปุ่นโบราณที่มักจะมีเรื่องของเกียรติยศ ศักดิ์ศรี วิถีแห่งซามูไร อะไรเทือกนี้ (ผู้เขียนจะชอบแนวนี้มาก) และท่านมะนาวเพคะผู้เป็นสหายบล็อกก็มีความเห็นว่าเรื่องนี้สนุกกว่า Ryumaden และมีเอตะร่วมแสดงนำ เลยต้องแซงคิวมาก่อนใครเพื่อน ละครย้อนยุคญี่ปุ่นเคยดูอยู่เรื่องนึงคือ มินาโมโตะ โนะ โยชิสึเนะ เป็นเรื่องราวศึกสงครามระหว่างสองตระกูลนักรบอันยิ่งใหญ่ที่เป็นศัตรูกันชั่วฟ้าดินสลาย แม้พระเอก (ทักกี้) จะคว้านท้องลาโลกไปตอนจบก็ยังรู้สึกว่า อืม..การทำเซ็ปปุกุ หรือฮาราคีรี(คว้านท้อง) ของพวกซามูไรนี่บางทีก็ดูเป็นเรื่องของเกียรติยศศักดิ์ศรี มากกว่าจะเป็นการฆ่าตัวตายโง่ๆ ได้เหมือนกันนะคะ ในวิกิพีเดียบอกว่า ฮาราคีรีเป็นคำหยาบและไม่เคารพต่อผู้กระทำเซ็ปปุกุ คงจะจริงค่ะเพราะในซีรีย์เรื่องนี้สังเกตได้ว่าจะใช้ทั้งสองคำ คำว่าฮาราคีรีจะใช้สำหรับการเป็นบทลงโทษในการกระทำความผิดพลาด เจ้านายจึงโกรธเคืองและสั่งลงโทษโดยการให้ทำฮาราคีรี (ตายๆ ไปซะ )ซามูไรในยุคนั้นยึดถือนายเป็นเจ้าชีวิตเมื่อสั่งให้ฮาราคีรีก็ต้องฮาราคีรี (ไม่เห็นจะเข้าใจความภักดีในลักษณะนี้เลย)

เมื่อละครมีผู้หญิงเป็นตัวละครหลักในการดำเนินเรื่องแถมยังเป็นละครอิงประวัติศาสตร์ จึงคิดว่าคงไม่มีเรื่องราวความรัก หรือมีนิดหน่อยก็คงช่วงต้นกับ โคมัตสึ ทาเตวากิ (เอตะ ) ผู้เป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเยาว์วัย แต่เอาเข้าจริงเรื่องนี้มีความรัก รักของท่านหญิงอัตสึมีรออยู่บนเส้นทางชีวิตการแต่งงานทางการเมือง จากบุตรสาวตระกูลซามูไร อิไมซุมิชิมะสึ สู่ธิดาบุญธรรมของไดเมียวผู้ครองแคว้น แล้วจึงถูกส่งไปแต่งงานกับท่านโชกุนที่เอโดะ

อิไมซุมิชิมะสึ เป็นตระกูลซามูไรสายย่อยของตระกูลไดเมียวชิมะสึ ซึ่งหากนับสายตระกูลแล้ว ชาติกำเนิดของท่านโอคัทสึแม้จะเป็นชนชั้นที่สูงกว่าตระกูลซามูไรโดยทั่วไป แต่ยังต่ำต้อยนักหากจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งภริยาเอกของท่านผู้นำประเทศอย่างท่านโชกุนแห่งเอโดะ
โชกุน : คือผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการเป็นตัวแทนบริหารประเทศแทนองค์จักรพรรดิ เปรียบได้กับนายกรัฐมนตรี

ไม่คิดเลยว่าจะมีละครที่พระเอกขึ้นดำรงตำแหน่งท่านโชกุนน่ะค่ะ นี่เคยเป็นแต่พล็อตเรื่องในฝันที่ไม่เคยได้เห็นเป็นละครจริงๆ (เห็นมีแต่ท่านโชกุนของการ์ตูนเรื่อง อิคิวซังเท่านั้น) นอกจากซอดองโย ก็หายากนะคะที่พระเอกนางเอกจะรักกันได้ในตำแหน่งที่คูควรน่ะค่ะ ท่านหญิงอัตสึผู้นี้ ถ้าเปรียบกันกับเด็กผู้หญิงอื่นทั่วไปท่านหญิงก็เป็นเด็กเหลือขอ แม้แต่ครูฝึกที่เป็นนางกำนัลชั้นสูงและเคยฝึกสตรีไปเป็นภริยาท่านโชกุนในอดีตมาแล้วก็ส่ายหน้าถอดใจ ( ผู้หญิงที่จะเป็นใหญ่ก็มักจะมีคุณสมบัติแตกต่างไปจากคนทั่วไปแบบนี้แหละค่ะ) คิดว่าท่านหญิงจะได้แต่งกับท่านโชกุนแก่ๆ ที่มีภรรยาแล้วหลายคนซะอีก ที่ไหนได้ล่ะ ว่าที่สามีของท่านหญิงเป็นท่านโชกุนที่ยังหนุ่มแน่น ท่านโชกุน อิเอซาดะ ผู้สืบทอดตำแหน่งจากบิดาผู้ล่วงลับ

ท่านโชกุนยังหนุ่มและหน้าตาดีนี่แหละ ทำให้เรื่องนี้น่าดูขึ้นมาอักโข หายน่าเบื่อเป็นปลิดทิ้ง ภายนอกแสร้งทำตัวเป็นคนปัญญาอ่อน จนขุนนางข้ารับใช้เชื่อจริงๆ ว่าท่านคุโบ อิเอซาดะ เป็นคนปัญญาอ่อน (คุโบ คำเรียกหัวหน้าตระกูลโทกุกาวะผู้ดำรงตำแหน่งโชกุน) แต่ขุนนางบางคนก็ไม่ถึงกับแน่ใจซะทีเดียว เพราะเรื่องที่ทำเป็นเล่นเหมือนฟลุ้คๆ ผลของมันเหมือนเป็นทางเลือกของคนมีสติปัญญาดีๆ ที่คิดใคร่ครวญดีแล้ว ทว่าก็ได้แต่สงสัยไม่รู้จะพิสูจน์อย่างไรว่าท่านคุโบไม่ได้ปัญญาอ่อนอย่างที่เห็นๆ กันอยู่

ความจริงคือท่านคุโบอิเอซาดะเป็นคน "คมในฝัก" ท่านหญิงอัตสึเป็นคนฉลาดเมื่อได้พบท่านคุโบและได้เข้าพิธีแต่งงานมาเป็นสามีก็พอจับได้ว่าท่านคุโบอิเอซาดะไม่ได้ปัญญาอ่อนอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ ท่านแสร้งทำ ส่วนเหตุผลที่ท่านคุโบต้องทำตัวเป็นคนไร้สาระปัญญาอ่อนตลอดเวลานั้น เป็นเรื่องที่ท่านหญิงอัตสึต้องค้นหาคำตอบด้วยตนเอง

ถึงจะเป็นผู้หญิงเก่งกล้าสามารถยังไง แต่ภารกิจแห่งแคว้นของท่านหญิงอัตสึนั้นเริ่มส่อแวว แป๊ก.. มากขึ้นเรื่องๆ เพราะมีใจผูกสมัครรักใคร่ต่อท่านคุโบอิเอซาดะเป็นอุปสรรคสำคัญ เมื่อกลายเป็นความรัก..ท่านหญิงย่อมต้องการจะซื่อตรงจริงใจต่อสามี แต่คำมั่นสัญญาและภารกิจที่ได้รับมอบหมายเพื่อแผ่นดินเกิด และเพื่อเป้าหมายอันยาวไกลของท่านพ่อนั่นก็คือการสร้างความมั่นคงและพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าเพื่อรับมือการรุกรานจากชาติมหาอำนาจตะวันตก เพื่อเจตนารมณ์อันยิ่งใหญ่ของท่านพ่อเช่นนี้ ท่านหญิงอัตสึต้องข่มอกข่มใจพยายามทำภารกิจที่ฝืนหัวใจตัวเอง

แต่ ...ท่านคุโบ อิเอซาดะ เป็นคนที่มีไหวพริบปฏิภาณทั้งยังหนักแน่นมั่นคง ไม่มีใครจะมาชักจูงท่านได้ ท่านหญิงอัตสึคนเก่ง เมื่อเจอบุรุษที่แกร่งต่อชีวิต ใจดี และมีอำนาจบารมีที่สูงกว่าเช่นนี้ ย่อมต้องมีใจมอบความรักความภักดีต่อท่านสามีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (ตกหลุมรักสามีตัวเองอย่างง่ายดาย) ผู้หญิงนั้นต่อให้เก่งแค่ไหนก็ยังคงเป็นเหมือนผู้หญิงทั่วไปที่ต้องการความรักใคร่เอาใจใส่ ซึ่งลักษณะของผู้หญิงที่เฉลียวฉลาด เชื่อมั่นในตัวเอง กล้าหาญไม่กลัวใคร (ไม่เหมือนใคร) เมื่อได้ผูกพันใกล้ชิดย่อมผูกติดอยู่ในหัวใจ ท่านคุโบจึงมีความรักมอบให้ท่านหญิงอัตสึ หรือท่านมิไดของท่านเองอย่างหมดหัวใจ เสียดายแต่ ท่านคุโบสิ้นใจเร็วไปสักหน่อย (แอบเคือง)



ตอนยังไม่ถูกขอไปเป็นธิดาบุญธรรมของไดเมียวผู้ครองแคว้น ท่านหญิงอัตสึเคยพูดถึงการแต่งงานว่า “อยากจะอยู่กินกับคนที่เป็นยอดบุรุษของญี่ปุ่น” ไม่ได้หมายถึงคนที่มีชื่อเสียงหรือบรรดาศักดิ์ใหญ่โตอันใด แต่หมายถึงยอดบุรุษในดวงใจ แต่เอาเข้าจริง ก็ได้สามีเป็นถึงท่านโชกุน แล้วถ้าไม่นับการแกล้งปัญญาอ่อน คุณสมบัติก็ใช่เลย หนึ่งในยอดบุรุษของแผ่นดินญี่ปุ่น ที่คู่ควรกับการมีท่านหญิงอัตสึเป็นมิไดโดโกโระ (ตำแหน่งภริยาท่านโชกุน)

เพราะมีท่านโชกุนที่ไม่น่าเบื่อเช่นนี้แล จึงทำให้ชอบซีรีย์เรื่องนี้อย่างจริงจัง และถึงแม้ภายหลังท่านโชกุนจะสิ้นไป แต่ก็ยังมีใจชอบพอซีรีย์เรื่องนี้อยู่ดี ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมคนพูดถึงซีรีย์เรื่องนี้ในแง่ดีๆ กันมาก ทั้งที่ผู้เขียนดูแล้วไม่ได้สนุกมากมายหรือตื่นเต้นเร้าใจอย่างซีรีย์ย้อนยุคของเกาหลีหรอก แต่สามารถดูได้ทั้งวันทั้งคืน คือมันก็ทำให้อยากดูไปเรื่อยๆ น่ะค่ะ ดูแล้วเหมือนจะเข้าใจว่าทำไมคนญี่ปุ่นทุกวันนี้ถึงเป็นอย่างนั้น ถ้าเราเป็นคนญี่ปุ่น ดูแล้วคงจะรู้สึกถึงความเป็นชาตินิยมอย่างถึงแก่น ไม่น่าเชื่อว่าประเทศที่เจริญอย่างญี่ปุ่นนั้น ในสมัยก่อนกว่าจะได้เปิดประเทศ สุดยากเย็นแสนเข็ญ มีความขัดแย้งถึงขั้นต้องห้ำหั่นกันเองจนก่อให้เกิดความสูญเสียเหมือนอย่างในซีรีย์ใช้คำว่า "เลือดนองแผ่นดิน" นั่นแหละค่ะ



เพราะความเป็นชาตินิยมตัวแม่นี่แหละ เป็นอุปสรรคสำคัญ หลังจากที่ปิดประเทศมานานกว่าสองร้อยปีและภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีของดินแดนซามูไรเกินเหตุ ทำให้ญี่ปุ่นแตกแยกออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งที่เห็นว่าไม่อาจทนต้านทานกระแสโลกของยุคล่าอณานิคม กับอีกฝ่ายที่รังเกียจชาติตะวันตกมองเห็นพวกฝรั่งเป็นพวกไร้อารยธรรมและต้องการขับไล่ออกไปจากประเทศ รัฐบาลทหารที่ปกครองโดยตระกูลโทกุกาวะ โดยมีท่านโชกุนเป็นผู้นำตระกูลและถือครองอำนาจปกครองสูงสุดในการบริหารประเทศแทนองค์จักรพรรดิ ต้องบริหารประเทศภายใต้ความกดดันจากทุกฝ่าย ทั้งภายในประเทศที่แตกแยก ทั้งภายนอกประเทศที่บีบบังคับให้เปิดท่าเรือทำการค้าและการลงนามในสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ทั้งยังมีราชสำนักเบื้องสูงที่องค์จักรพรรดิผู้เป็นเจ้าสูงสุดเหนือชีวิตไม่เห็นด้วยอย่างเด็ดขาดกับการเปิดประเทศ และคอยกดดันให้รัฐบาลโชกุนขับไล่ฝรั่งออกไปจากญี่ปุ่นให้หมดสิ้น

ความขัดแย้งเหล่านี้ก่อให้เกิดการกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรง จนนำไปสู่การแย่งชิงอำนาจอำนาจการปกครอง โดยอีกฝ่ายอ้างว่าการที่ญี่ปุ่นจะเข้มแข็งเป็นหนึ่งเดียวได้นั้น อำนาจการปกครองประเทศควรควรถูกเรียกกลับคืนสู่ราชสำนัก แม้ว่ารัฐบาลโชกุนจะปกครองประเทศมายาวนานกว่าสองร้องปีแล้วก็ตาม (ความแตกแยกนี้จะว่าไปก็คล้ายคลึงกับสีนั้นและสีนี้ของไทย ที่เอาและไม่เอาคนที่คุณก็รู้ว่าใคร แม้ขณะนี้ก็ขัดแย้งกันเกี่ยวกับองสาวของคนที่คุณก็รู้ว่าใคร ฝ่ายหนึ่งก็ว่าเธอบริหารจัดการประเทศในภาวะวิกฤตได้ห่วยแตก และอีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าไม่มีอะไรเป็นความผิดพลาดที่จะกล่าวหาเธอได้เลยเพราะเธอทำดีที่สุดแล้ว)

บทบาทของตัวละคร และแต่ละวิธีที่เลือกทำ บอกไม่ถูกเลยว่าใครทำถูกหรือทำผิด เพราะการแก่งแย่งอำนาจในเรื่องนี้ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่เพื่อรวมอำนาจให้เป็นหนึ่งและเข้มแข็ง โดยที่ต่างฝ่ายต่างก็จุดมุ่งหมายเดียวกันคือเพื่อประเทศชาติ เพียงแต่มีมุมมองเรื่องผลได้และผลเสียจากการเปิดประเทศและการพัฒนาที่แตกต่างกัน ทำให้ต้องห้ำหั่นกันเอง ภายใต้การคุกคามของชาติมหาอำนาจตะวันตกที่จ้องตะครุบตาเป็นมัน โฮว้... ช่างเป็นละครที่มีเนื้อหาสาระดีมากจริงๆ



เมื่อท่านคุโบ อิเอซาดะ เสียชีวิตไป ผู้รับสืบทอดตำแหน่งคนต่อมาคือ ท่านโทกุกาวะ โยชิโตมิ เมื่อรับตำแหน่งโชกุน ก็เปลี่ยนชื่อเป็น ท่านคุโบ อิเอโมจิ นักแสดงไม่ใช่ใครอื่นไกล เขาคือ มัตสึดะ โชตะ หนุ่มหน้ากลมที่เรื่องนี้หน้าใสกิ๊กมาก ท่านอิเอโมจิในฐานะโชกุนก็หนีไม่พ้นต้องแต่งงานเพื่อเหตุผลทางการเมืองเช่นกัน เพื่อพยายามรักษาอำนาจและเชื่อมสัมพันธไมตรีกับทางราชสำนัก ตระกูลโทกุกาวะ ได้ทำการขอพระราชทานการสู่ขอเจ้าหญิงคาสุโนะมิยะ ชิคาโกะ (Kazunomiya Chikako ) มาแต่งงานกับท่านคุโบอิเอโมจิ แต่หลังจากนั้นแทนที่จะปรองดองความแตกร้าวระหว่างรัฐบาลโชกุนกับทางราชสำนักยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ

เรื่องราวของเจ้าหญิงจากวังหลวงที่ต้องมาเป็นสะใภ้ของตระกูลซามูไร ความหยิ่งทะนงในบรรดาศักดิ์ที่สูงส่งกว่า ทำให้เจ้าหญิงคาสุโนะมิยะตั้งแง่ที่จะไม่มีการปรับตัวเข้ากับขนบธรรมเนียมใดๆ ของชาวซามูไรทั้งสิ้น และตั้งป้อมที่จะไม่อ่อนน้อมถ่อมตนในฐานะสะใภ้ต่อแม่สามี ซึ่งก็คือท่านหญิงอัตสึ ที่ได้กลายมาเป็นทั้งผู้ปกครองและแม่บุญธรรมของท่านคุโบอิเอโมจิ ตามคำสั่งเสียของสามี (ท่านโชกุนอิเอซาดะ) และท่านหญิงได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นท่านเท็นโชอิน



แม่สามี
.. ถือกำเนิดและเติบโตขึ้นมาในตระกูลซามูไร และยังได้แต่งงานเข้าบ้านของตระกูลไดเมียวซึ่งเป็นซามูไรชั้นสูงและเป็นถึงตระกูลโชกุนที่ทำหน้าที่บริหารปกครองประเทศ โอโอขุของโทกุกาวะในปราสาทเอโดะย่อมต้องมีขนบธรรมเนียมอันเก่าแก่และภาคภูมิใจให้ยึดถือปฏิบัติ

แต่..ลูกสะใภ้ ..เป็นถึงเจ้าหญิงจากราชสำนัก มีสายโลหิตเดียวกันกับองค์จักรพรรดิที่เป็นโอรสแห่งสวรรค์อันสูงส่งกว่าใครในประเทศที่รุ่งเรืองอารยธรรมนี้

เมื่อลูกสะใภ้ไม่ยอมรับวิถีซามูไร ไม่ยอมรับแม่สามี แถมยังมีความหึงหวงเล็กๆ ที่สามีคือท่านอิเอโมจินั้น มอบความรักความสนิทสนมต่อท่านเท็นโอชินในฐานะแม่บุญธรรมอย่างสนิทใจ เกินกว่าจะมีอะไรมาแทรกแซงได้ เจ้าหญิงคาสุโนะมิยะได้ตกหลุมรักในความนุ่มนวลอ่อนโยนของสามีตั้งแต่แรกพบ เมื่อท่านอิเอโมจิให้ความไว้วางใจและเปิดเผยพูดคุยปรึกษาเรื่องต่างๆ กับ "ท่านแม่" มากกว่าที่จะมาคอยปรับทุกข์กับท่านเมีย จึงยิ่งบังเกิดความรู้สึกในด้านลบต่อท่านเท็นโชอิน ที่จริงแล้วเพราะท่านอิเอโมจิต้องมาคอยปรับทุกข์กับท่านแม่ก็เพราะท่านแม่เป็นผู้เฉลียวฉลาดมองการณ์ไกลให้คำแนะนำได้ และที่สำคัญอีกอย่างคือไม่อยากให้ท่านเมียต้องมาพลอยเป็นทุกข์ใจกับตนไปด้วย (แต่ท่านเมียไม่เข้าใจ)



สะใภ้จากวังหลวง จึงเป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งที่ท่านหญิงอัตสึหรือท่านเท็นโชอินจะต้องก้าวผ่าน หาทางเอาชนะใจเจ้าหญิงและค่อยๆ เป็นแบบอย่างของสะใภ้ตระกูลซามูไรที่ต้องซื่อสัตย์จริงใจ รักเคารพต่อสามี จงรักภักดีต่อตระกูลโทกุกาวะในฐานะภริยาของโชกุนและถือตนเองเป็นสมาชิกครอบครัวคนหนึ่งที่ต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจเพื่อปกปักรักษาตระกูลนี้

นั่นเป็นเรื่องของสองสตรีที่ต้องถูกบังคับให้แต่งงานเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง แต่โชคดีเหลือล้น เมื่อทั้งสองสตรีพบหน้าสบตาทำความรู้จักกับสามี ก็บังเกิดมีความรักมอบให้หมดหัวใจ ซึ่งส่วนนี้ถูกใจผู้เขียนอย่างมากในฐานะคนที่ไม่อยากให้ละครขาดแคลนความรักของคู่พระนาง หรือมีรักแต่รักก็มักจืดๆ จางๆ ไม่โดดเด่นได้ดั่งใจเหมือนซีรีย์ญีปุ่นทั่วไปที่ไม่ใช่แนวรัก

ขอชื่นชมละครเรื่องนี้ ด้วยเหตุผลที่เป็นละครย้อนยุค มีผู้หญิงรับบทบาทโดดเด่นเหมือนดังซีรีย์เกาหลีย้อนยุคหลายๆ เรื่อง แต่เนื้อหาและการดำเนินเรื่องค่อนข้างจะแตกต่างกัน ในซีรีย์เกาหลีนั้น ตัวละครเอกที่เป็นหญิงอย่างเช่น แดจังกึม ดงยี จามอง หรือชอนชู ผู้หญิงจะค่อนข้างมีบทบาทโดดเด่นสมกับที่ถูกใช้ชื่อเป็นชื่อเรื่องและในเนื้อเรื่องจริงๆ ก็เป็นตัวละครที่ขับเคลื่อนเรื่องราวด้วย แต่สำหรับอัตสึฮิเมะ ท่านหญิงอัตสึเป็นตัวละครนำก็จริง แต่ไม่ได้มีบทบาทโดดเด่นถึงเพียงนั้น วิถีชีวิตของเหล่าตระกูลนักรบซามูไร ขนบธรรมเนียม การเมืองการปกครอง การเปลี่ยนแปลงพัฒนา การแบกพรรคแบ่งฝ่ายเพื่อแย่งชิงหรือเปลี่ยนขั้วอำนาจใดๆ รวมถึงการเข้ามาจับจ้องหาผลประโยชน์ของชาติมหาอำนาจตะวันตก โดยญี่ปุ่นเจ้าบ้านก็มีทั้งฝ่ายต่อต้านและฝ่ายที่พยายามรู้ทันโลก เพื่อทำใจยอมรับต่อการเปิดประเทศเพื่อการเปลี่ยนแปลงพัฒนา ทุกสิ่งอย่างได้พากันขับเคลื่อนเรื่องราวของมันเอง โดยที่ท่านหญิงอัตสึเป็นพียงสตรีผู้หนึ่งที่เส้นทางชีวิตดันมาตกอยู่ท่ามกลางกระแสสังคมการเมืองในยุคที่ว่านี้

ด้วยลักษณะนิสัยกล้าคิดกล้าทำ เชื่อมั่นในตนเอง ประกอบกับจิตใจที่เมตตา กล้าหาญ และสติปัญญาเฉลียวฉลาด ท่านหญิงจึงมีเข้าใจและรู้ทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เหนือกว่าสตรีทั่วไปในยุคเดียวกัน ทั้งหมดนี้ทำให้ท่านหญิงอัตสึเป็นสตรีที่มีบทบาทอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในยุคนั้น ท่านหญิงได้เล็งเห็นถึงผลร้ายของสงครามที่จะส่งผลกระทบความเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า จึงพยายามหาวิธีที่จะหลีกเลี่ยงสงครามระหว่างแคว้นอย่างสุดความสามารถ รวมถึงการปกป้องตระกูลโชกุนที่สูญสิ้นอำนาจการปกครองไม่ให้ถูกกวาดล้างจากฝ่ายตรงข้าม ...ไม่มีอำนาจ ไม่มีโชกุน แต่ตระกูลโทกุกาวะจะดำรงคงอยู่ ความหวังของท่านคุโบ อิเอซาดะ ยังคงจารึกอยู่ในหัวใจ และท่านหญิงก็มุ่งมั่นที่จะทำมันให้ได้

"สิ่งที่อยากจะเหลือไว้ ไม่ใช่ปราสาท และก็ไม่ใช่บ้าน
แต่เป็นหัวใจของโทกุกาวะต่างหาก"


"หัวใจของโทกุคาวะ" ที่น้อยคนนักจะเข้าใจ ไม่ใช่บรรดาศักดิ์ ไม่ใช่จำนวนที่ดินศักดินา ไม่ใช่อำนาจการปกครอง กองกำลังทหาร และไม่ใช่ปราสาทเอโดะ นั่นเป็นหน้าที่ของท่านหญิงอัตสึที่จะทำให้ผู้คนในตระกูลโทกุกาวะได้เข้าใจและตระหนัก

"ข้าคิดว่าจะถ่ายทอดเรื่องหัวใจของโทกุกาวะ
ซึ่งท่านอิเอซาดะ ที่เสียไปได้บอกไว้ ให้ลูกๆ หลานๆ รู้
จึงมีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ข้าจะสอนเค้าว่าความสุขของคนเรานั้น
ไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่ง ไม่ได้อยู่ที่ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินใด
แต่มันอยู่ที่ความรู้สึกในอก อบอุ่นจากการมีเพื่อนรู้ใจ
และการได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขร่วมกับครอบครัวต่างหาก"




บทบาทตัวละคร

มากล่าวถึงตัวละครสำคัญกันบ้างค่ะ

โอคัทสึ , ท่านหญิงอัตสึโกะ , ท่านมิไดโดโกโระ , ท่านเท็นโชอิน (Miyazaki Aoi)อาโออิผู้รับบทนี้จะมีอะไรต้องชื่นชมกันอีกเมื่อเธอมีแล้ว 3 รางวัลการันตี

*59th Television Drama Academy Awards: Best Actress
**12th Nikkan Sports Drama Grand Prix (Jul-Sep 2008): Best Actress
12th Nikkan Sports Drama Grand Prix (Oct-Dec 2008): Best Actress


เพราะความคุ้นเคยกับละครย้อนยุคแบบเกาหลีๆ ตอนเห็นหน้านางเอกครั้งแรกก็เกิดคำถามขึ้นภายในใจแทบจะทันที ...จะเหมาะหรือ? เพราะเธอดูเป็นเด็กใสๆ คิขุอาโนเนะ ยิ่งเมื่อยิ้มเห็นฟัน ลักษณะฟันของเธอจะช่วยเพิ่มความดูเด็ก แบ๊วหนักเข้าไปอีก เนื่องจากผู้หญิงเป็นตัวละครนำ ดังนั้นจึงชวนให้นึกถึงลักษณะของผู้หญิงที่ครองอำนาจ เก่ง แกร่ง เด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง ซึ่งดูไม่ค่อยจะเข้ากันกับหน้าตาของ โอคัทสึ แต่ตัวละครนี้ก็มีพัฒนาการมาเรื่อยๆ จากสาวแรกรุ่น เติบโตสู่การเป็นท่านหญิงอัตสึแห่งตระกูลชิมะสึ เดินทางสู่แคว้นเอโดะเพื่อเป็นมิไดโดโกโระ ปกครองโอโอขุฝ่ายในของปราสาทเอโดะ อันเป็นที่พำนักของท่านโชกุนและครอบครัวโทกุกาวะ หลังจากสามีล่วงลับ ท่านหญิงก็ล่วงเข้าสู่การเป็นท่านเท็นโชอิน แม่บุญธรรมและผู้ปกครองของท่านโชกุนคนใหม่ (ท่านคุโบ อิเอโมจิ) ชะตากรรมของรัฐบาลโชกุนและตระกูลโทกุกาวะที่พลิกผันพากันดิ่งลงเหว เมื่อสิ้นท่านอิเอโมจิ และขาดผู้นำที่มีความสามารถ แคว้นเอโดะและตระกูลโทกุกาวะต้องเข้าสู่ภาวะวิกฤตแห่งหายนะ ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่รุนแรง ท่านเท็นโชอินที่เป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง ต้องพยายามหาหนทางหลีกเลี่ยงสงครามเพื่อลดการสูญเสีญของประชาชนและทำให้ประเทศชาติเสียหายน้อยที่สุด รวมถึงการฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ เพื่อนำพาตระกูลโทกุกาวะให้อยู่รอด

ตลอดและเส้นทางชีวิตทั้งหมดที่ผ่านมานั้น ท่านหญิงอัตสึไม่ได้มีบุคลิกกร้าวแกร่งอันใดเลย ตรงกันข้ามคือมีความนุ่มนวลอ่อนโยนที่แฝงไว้ด้วยความเข้มแข็ง และลักษณะของความอ่อนโยนนี้เอง ที่แตกต่างจากวิธีคิดและวิถีการปกครองของเหล่าบุรุษ และมีส่วนทำให้สถานการณ์เลวร้ายต่างๆ คลี่คลายลง

ช่วงชีวิตที่ยาวนานอย่างนี้ ท่านหญิงอัตสึมีพัฒนาการแห่งวัยแน่นอนค่ะ แม้ว่าลักษณะนิสัยต่างๆ จะยังคงความเป็นท่านหญิงอัตสึเช่นเดิม แต่บุคลิกนั้นจะค่อยๆ เปลี่ยนไปตามวัย และเมื่อเป็นเสียงพากษ์ไทย แม้แต่น้ำเสียงของท่านหญิงอัตสึก็เปลี่ยนแปลงไปตามพัฒนาการของวัยด้วยเช่นกัน



โทกุกาวะ อิเอซาชิ ท่านโชกุน , ท่านคุโบ อิเอซาดะ (Sakai Masato) รอที่จะกล่าวถึงท่านเลยค่ะ สำหรับชายคนนี้ ซากาอิ มาซาโตะ เป็นตัวละครที่ชอบมากที่สุดในซีรีย์เรื่องนี้

เหตุผลน่ะเหรอ ? ท่านเป็นโชกุนหนุ่ม เป็นผู้นำประเทศ เป็นยอดบุรุษแห่งญี่ปุ่นในดวงใจของท่านหญิงอัตสึ และถึงแม้จะทำทรงผมที่ไม่เคยรับได้อย่างทรงผมในสมัยเอโดะ ท่านก็ยังหน้าตาดีอยู่ดีนั่นแหละ ภายนอกท่านแกล้งปัญญาอ่อน แต่ภายในท่านซ่อนคมในฝัก และเหนือเหตุผลใดๆ ทั้งปวง ท่านมีสายตาที่ได้อกได้ใจสุดๆ โดยเฉพาะสายตาคมกล้า..ที่เอาชนะความโดดเด่นของนักแสดงทุกคนในเรื่องนี้ให้ด้อยดับลงไปเลย แม้กระทั่ง เอตะที่เป็นนักแสดงคนโปรดก็ไม่เว้น (ต้องดับลงด้วยเช่นกัน)

อาจเป็นเพราะผู้เขียนเป็นคนที่ชอบคาแร็คเตอร์ของตัวละครในลักษณะนี้คือมีความซ้อนบุคลิกซ่อนตัวตนเอาไว้ภายในที่ไม่ได้เป็นเหมือนอย่างภายนอกซะทีเดียว และท่านอิเอซาดะก็เป็นเช่นนั้น พฤติกรรมเหมือนคนปัญญาอ่อน แต่สายตาที่ไม่มีใครได้เข้าใกล้มากพอจะมองเห็นว่าไม่ใช่สายตาเลื่อนลอยของคนปัญญาอ่อน นอกจากจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นยังเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ไม่งั้นท่านจะเป็นทายาทเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตมาเป็นท่านโชกุนได้หรือ ในขณะที่พี่น้องคนอื่นๆต้องล้มตายไปหมดสิ้น ถูกวางยาพิษบ้างอะไรบ้าง เส้นทางสู่ตำแหน่งโชกุนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เป็นหนามแหลมที่ต้องสู้ทนเหยียบย่างมา และซากาอิ มาซาโตะผู้รับบทท่านคุโบอิเอซาดะผู้นี้เป็นคนที่เล่นสีหน้าแววตาได้ดีจริงๆ ยามที่กล้องโคลสเข้าไปยังใบหน้าและดวงตาระยะประชิด โอ๊ย ..มันเป็นการแสดงที่สุโค่ยจริงๆ ค่ะท่าน ดังนั้นจึงมีหนึ่งรางวัลยกย่อง 1st Tokyo Drama Awards: Best Supporting Actor - Sakai Masato

และการโคลสกล้องเข้าไปในระยะใกล้จับการแสดงออกทางสีหน้าแววตาของตัวละครที่ว่านี้แหละ เป็นจุดที่ชอบมากอย่างหนึ่งในการถ่ายทำซีรีย์เรื่องนี้ โคลสเข้าไป โคลสเข้าไปใกล้มาก ซึ่งใช้บ่อยมากกับตัวละครโดยทั่วไปอื่นๆ ด้วย แล้วนักแสดงก็สื่ออารมณ์ผ่านกล้องมาอย่างชัดเจน เต็มที่ ( คท่านมะนาวเพคะ ใช้คำว่า "เต็มแม็ก" ท่าจะจริง) อีกสิ่งหนึ่งที่ชอบคือชุดกิโมโนหลากหลายลวดลายสีสัน แต่ละชุดของท่านหญิงอัตสึนั้นงดงามจริงๆ ค่ะ



ท่านคิโมสึกิ นาโอโกโร่ , โคมัทสึ ทาเตวากิ (Eita) เอตะได้รับบทบาทที่โดดเด่นและมีบทมากมายกว่าท่านคุโบอิเอซาดะตั้งเยอะตั้งแยะ เริ่มตั้งแต่แรกเกิด เมื่อท่านทั้งสองเกิดมาในเวลาใกล้เคียงกันที่แคว้นสัทสุมะ และยังได้รับเครื่องรางจากท่านนาริอาคิระ ไดเมียวผู้ครองแคว้นเหมือนกัน ท่านนาโอโกโร่เป็นเพื่อนของพี่ชายท่านโอคัทสึ จึงมีโอกาสรู้จักและกลายเป็นเพื่อนกันตั้งแต่นั้นมา เครื่องรางที่ท่านนาริอาคิระมอบให้นั้นมีความหมายต่อกันและเปรียบเสมือนเป็นโชคชะตาของทั้งสองคน ท่านโอคัทสึได้เป็นท่านหญิงอัตสึโกะ ธิดาบุญธรรมของท่านนาริอาคิระ ส่วนท่านนาโอโกโร่ได้เป็นข้ารับใช้คนสำคัญที่ท่านนาริอาคิระให้ความเมตตาเป็นอย่างมาก ทั้งยังได้สานต่อเจตนารมณ์ของท่านนาริอาคิระหลังจากที่ท่านสิ้นไปแล้ว และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญทางการเมืองผู้หนึ่งในฐานะเป็นผู้นำที่มีอิทธิพลต่อคนรุ่นใหม่ของแคว้นใหญ่สัทสุมะ

แต่ว่าบทของท่านนาโอโกโร่นั้น ...อืม คือมันแบบว่าไม่ชอบเอาซะเลย ดูไปก็ชวนหงุดหงิด ผู้ชายอะไรอย่างนี้เนี่ย นิสัยน่ารำคาญจริงๆ จะใช้คำว่าอะไรดี "คร่ำครวญ" น่ะค่ะ ผิดหวังช้ำรักจากท่านโอคัทสึ ก็อกหักรักคุดอยู่นั่นไม่แล้วไม่หายเสียที ช่วงแรกๆ ที่ยังไม่ได้เป็นข้ารับใช้ใกล้ชิดของท่านนาริอาคิระ ยังไม่ได้ทำประโยชน์อันใดเป็นเรื่องสำคัญต่อแคว้นเหมือนอย่างที่ท่านไซโก (เพื่อนของท่านนาโอโกโร่) ได้รับโอกาสและความไว้เนื้อเชื่อใจ ก็พร่ำพูดแสดงออกอาการของความน้อยเนื้อต่ำใจตัวเองที่เป็นคนไร้ประโยชน์ไม่ได้ทำคุณต่อแผ่นดินเกิดเหมือนเช่นที่ใจอยากเป็น มีบ้างเล็กน้อยมันก็โอเค แต่ท่านนาโอโกโร่คนนี้น่ะ ท่านเยอะไป ถึงจะเป็นตัวละครสำคัญของเรื่อง แต่คาแร็คเตอร์ของท่าน ในความรู้สึกของผู้เขียนคือ แมนน้อยกว่าที่ควรเป็น และน่าเบื่อมาก



ดังนั้น ที่เดาไว้แต่แรกว่าเอตะคงจะเป็นรักแรกของท่านหญิงอัตสึแต่ต้องพลัดพรากจากกันไป เห็นแว่บแรกก็รู้เลยว่าไม่ใช่ ท่านนาโอโกโร่ไม่มีโอกาสได้รับความรักฉันท์หนุ่มสาวแบบนั้นจากท่านหญิงแน่นอน ก็หงอซะขนาดนั้น ท่านหญิงน่ะ เก่งกว่า ฉลาดกว่า เด็ดเดี่ยวกล้าหาญกว่า การจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็น ยอดบุรุษแห่งญี่ปุ่นในดวงใจของท่านโอคัทสึ จึงล่าช้าไปไม่ทันการ เพราะเริ่มต้นท่านนาโอโกโร่ก็วิ่งตามหลังท่านโอคัทสึต้อยๆ เสียแล้ว อาจเป็นเพราะศักดิ์ตระกูลของท่านโอคัทสึสูงกว่าตระกูลของท่านนาโอโกโร่ด้วย นั่นแหละๆ ถ้าในยุคนั้น เรื่องชั้นวรรณะเป็นเรื่องสำคัญ ท่านนาโอโกโร่ก็ควรทำใจได้ระดับหนึ่ง ไม่ใช่เอาแต่คร่ำครวญไม่รู้จบ ไม่ยอมเลิกแม้ว่าท่านหญิงจะแต่งงานเป็นภริยาท่านโชกุนไปแล้ว คงกลัดกลุ้มห่วงใยต่อทุกข์สุขของท่านหญิงจนกลายเป็นความไม่น่าดู อีกอย่างท่านนาโอโกโร่ก็แต่งงานแล้วเช่นกันและไม่ได้ใส่ใจภรรยาที่แสนดีอย่างท่านชิคะเท่าที่ควร แถมภายหลังยังมีภรรยาน้อยเพราะความไม่เด็ดเดี่ยวไม่กล้าพอที่จะปฏิเสธจนต้องผิดสัญญากับท่านชิคะ คาราคาซังจนมีลูกด้วยกันและกลายเป็นภรรยาน้อยเต็มขั้น ท่านนาโอโกโร่ที่เปลี่ยนชื่อเป็นท่านทาเตวากิ จึงน่ารำคาญหนักข้อกว่าเดิมอีก (ท่านชิคะเป็นบุตรสาวของตระกูล โคมัทสึ ซึ่งเป็นตระกูลสำคัญของแคว้นสัทสุมะที่สูญสิ้นทายาทชายสืบทอด เนื่องจากทายาทคนสุดท้ายคือพี่ชายของท่านชิคะ ซึ่งเคยเป็นอาจารย์ของท่านนาโอโกโร่เสียชีวิต ตระกูลโคมัทสึเป็นชนชั้นสูงกว่าตระกูลคิโมสึกิ ท่านนาริอาคิระผู้ปกครองแคว้นจึงขอให้ท่านนาโอโกโร่แต่งงานกับท่านชิคะเพื่อสืบทอดตระกูล ทางด้านตระกูลคิโมสึกิ การที่ลูกชายได้ไปเป็นผู้สืบทอดตระกูลที่สูงกว่านับว่าเป็นเกียรติและเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจยิ่ง ท่านนาโอโกโร่จึงไม่อาจปฏิเสธการแต่งงานตามที่ท่านนาริอาคิระขอร้องได้)

สรุป ...ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรนอกจากบทบาทนี้ ขัดใจผู้เขียนอย่างแรง ทำให้เอตะ ดับสนิท



โทกุกาวะ โยชิโตชิ ,ท่านโชกุน , ท่านคุโบอิเอโมจิ (Matsuda Shota) เรื่องนี้โชตะหัวกลมบ๊อก หน้าตาใสกิ๊กมากเลยค่ะ แม้ว่าท่านนาริอาคิระ พ่อบุญธรรมของท่านหญิงอัตสึผู้ปกครองแคว้นใหญ่อย่างแคว้นสัทสุมะ จะให้การสนับสนุนท่าน ฮิโตสึบาชิ โยชิโนบุ ให้เป็นโชกุนสืบต่อจากท่านอิเอซาดะ แต่ในคณะปกครองก็ยังมีความขัดแย้งกันในเรื่องทายาท ท่านหญิง ได้รับมอบหมายให้ชักนำท่านคุโบอิเอซาดะให้มอบตำแหน่งทายาทคนต่อไปแก่ท่านโยชิโนบุ แม้ภายในใจจะเห็นไม่ต่างกันกับท่านอิเอซาดะว่า ท่านโยชิโตชิมีความเหมาะสมมากกว่า แต่ด้วยหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากท่านพ่อ ทำให้ท่านหญิงต้องตกอยู่ในภาวะลำบากใจและเป็นทุกข์อย่างมาก ท่านอิเอซาดะเป็นผู้มีสติปัญญาและเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีหนทางที่ท่านหญิงจะชักจูงสามีได้ และใจก็ไม่อยากทำด้วย ท่านอิเอซาดะเลือกท่านโยชิโตชิ ด้วยเหตุผลที่เป็นผู้มีไหวพริบสติปัญญาและมีความเป็นสุภาพบุรุษอ่อนโยนแตกต่างจากท่านโยชิโนบุที่แข็งกล้าวและหยิ่งทะนงมากเกินไป อีกทั้งท่านโยชิโตชิยังคงเยาว์วัยซึ่งหากได้เป็นท่านโชกุน ท่านหญิงจะต้องเป็นผู้ปกครองในฐานะแม่บุญธรรมซึ่งจะสามารถกล่อมเกลาให้ท่านโยชิโตชิกลายเป็นโชกุนที่ดีได้ เป็นการมองการณ์ไกล และไว้เนื้อเชื่อใจ ที่ท่านอิเอซาดะได้พยายามปูทางให้ท่านหญิงได้มีโอกาสช่วยปกครองอยู่หลังม่าน



แต่เมื่อสิ้นท่านอิเอซาดะ ขุนนางที่เคยให้คำมั่นสัญญาต่อท่านอิเอซาดะก็ละเลยต่อคำสั่งเสียต่างๆ นั้น เพราะเห็นว่าท่านมิไดโดโกโระเป็นเพียงสตรีที่ควรอยู่แต่ในโอโอขุ ไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองการปกครองใดๆ ที่เป็นเรื่องของผู้ชายฝ่ายหน้าเท่านั้น การถูกกีดกันเช่นนี้ ก็เป็นปัญหาหนึ่งที่ท่านมิได หรือต่อมาคือท่านเท็นโชอินต้องแก้ไขและรับมือ

มีตัวละครที่อยากจะพูดถึงอีกมาก ไม่ว่าจะเป็น

ท่านนาริอาคิระ ( Takahashi Hideki ) พ่อบุญธรรมของท่านหญิงอัตสึ ผู้ปกครองแคว้นสัทสุมะ และมีวิสัยทัศน์กว้างไกลต่อการปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงจากโลกภายนอก ถือเป็นไดเมียวคนสำคัญที่ "ถึงแม้คนจะตายไปแล้วก็ตาม แต่เจตนารมณ์นั้น ย่อมคงอยู่ไม่มีดับสูญ" แม้ท่านนาริอาคิระจะสิ้นไป ยังมีคนจำนวนไม่น้อยพยายามสานต่อเจตนารมณ์ของท่าน ไม่เว้นแม้แต่น้องชายที่เคยเป็นศัตรูแย่งชิงตำแหน่งผู้ครองแคว้นจนเกิดจราจล หรือแม้แต่ท่านไซโกข้ารับใช้ที่ถือได้ว่าเป็น "ยอดคน"

ท่านโอยูกิ (Higuchi Kanako) ท่านแม่ผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูท่านหญิงอัตสึ แม่เป็นอย่างไร ลูก(ท่านหญิงอัตสึ)ถึงได้กลายเป็นคนที่มีหัวใจยิ่งใหญ่อย่างนั้น บทของแม่ สตรีหัวใจแกร่งแบบชาวสัทสุมะผู้นี้ จึงย่อมเป็นบทบาทที่น่าสนใจ



ท่านไทโร อี นาโอสุเกะ (Nakamura Baijaku) ตำแหน่งไทโรเป็นขุนนางคนสำคัญของตระกูลโทกุกาวะ (หัวหน้าขุนนางทั้งหมด) ท่านอีได้รับการแต่งตั้งและทำการสนับสนุนท่านโยชิโตมิให้ขึ้นดำรงตำแหน่งโชกุน ท่านอีเป็นคนเด็ดขาด และใช้วิธีการต่อต้านฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรง ที่เรียกว่า "การกวาดล้างใหญ่อันเซ" ท่านเท็นโชอินที่ถูกท่านอีคอยกีดกันไม่ยอมให้เข้ามามีส่วนในการบริหารปกครองในฐานะผู้ปกครองของท่านโชกุน ทำให้ไม่ค่อยลงรอยกันนักกับท่านอี แต่เมื่อได้พูดคุยกันเป็นการส่วนตัว ท่านอีและท่านเท็นโชอินต่างก็เริ่มยอมรับในกันและกัน โดยท่านอีได้กล่าวถ้อยคำที่ประทับใจแก่ท่านเท็นโชอินว่า

"หากมีใจอยากที่จะรักษาประเทศเอาไว้
ขอเพียงทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ก็พอ"


ซึ่งนั่นไม่ต้องสงสัยเลยว่าท่านอีได้พยายามทำหน้าที่ของตน และยืนหยัดในวิธีการที่ท่านเชื่อมั่น โดยไม่หวั่นไหวกับคำวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ แต่การกวาดล้างที่รุนแรงก็ก่อให้เกิดความโกรธแค้นจนท่านไทโรอีถูกลอบสังหารในที่สุด



อิคุชิมะ (Matsuzaka Keiko) เขาเรียกว่าตำแหน่งอะไรจำไม่ได้ค่ะ แต่ทำหน้าที่เป็นเหมือนนางต้นห้อง เป็นนางกำนัลที่รับใช้ขุนนางหรือสตรีชั้นสูงด้วยความซื่อสัตย์จงรักภักดี อิคุชิมะ เป็นข้ารับใช้ประจำตัวของท่านหญิงอัตสึ ที่ถือเป็นครูด้วยในการเตรียมความพร้อมท่านหญิงอัตสึสำหรับการเป็นมิไดโดโกโระของท่านโชกุน อิคุชิมะมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตความเป็นไปของท่านหญิงอัตสึ กว่าอิคุชิมะจะเข้าใจกันและยอมรับท่านหญิงอัตสึด้วยหัวใจ อิคุชิมะผู้นี้ต้องใช้น้ำอดน้ำทนอย่างยิ่งในการฝึกปรือท่านหญิงผู้แก่นแก้วไม่หมือนใครและมีความดื้อดึงเอาชนะอย่างที่ไม่เคยพบเคยเจอในวิสัยสตรีใดมาก่อน

ทากิยามะ (Inamori Izumi) เป็นนางกำนัลต้นห้อง (เรียกอย่างนั้นก็แล้วกันค่ะ) ของท่านโชกุนแห่งตระกูลโทกุกาวะ ทากิยามะเป็นนางกำนัลระดับสูงที่มีอำนาจพอตัวในปราสาทเอโดะ โดยเฉพาะฝ่ายในโอโอขุ เพราะอิคุชิมะเป็นหัวหน้านางในทั้งหมด นี่ก็เช่นกันที่แปรเปลี่ยนจากความต่อต้านเป็นการยอมรับ หลังจากได้จับตาดูท่านมิไดโดโกโระ เรียนรู้ นับถือ และก้มหัวคารวะต่อท่านมิไดโรโกโระด้วยใจรักและศรัทธาในที่สุด อิซุมิผู้รับบทนางกำนัลทากิยามะ ก็คือคุณหมอคาโต้จาก IYU 1-3 ไงค่ะ บทบาทของเธอก็ต้องหนึ่งในตองอูอยู่แล้ว



ท่านฮงจูอิน (Takahata Atsuko)แม่ของท่านโชกุน อิเอซาดะ หรือแม่สามีของท่านหญิงอัตสึนั่นเอง ท่านฮงจูอินถือหางท่านโยชิโตชิขึ้นสืบทอดตำแหน่งโชกุน ขณะที่ท่านหญิงอัตสึรับคำสั่งจากพ่อบุญธรรมให้สนับสนุนท่านโยชิโนบุ แม่สามีและลูกสะใภ้ที่เคยปรองดองกันในระยะเริ่มแรก จึงมีความขัดแย้งกันขึ้น ท่านหญิงอัตสึจึงถูกท่านฮงจูอินกีดกันไม่ให้พบหน้าสามีเป็นเวลานาน และช่วงเวลานี้เองที่ท่านหญิงตระหนักได้ว่า สายใยความผูกพัน ความคิดถึงที่มีต่อท่านอิเอซาดะ ไม่ใช่แค่เพียงในฐานะสามีภรรยา แต่ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความรักมอบให้แก่ชายคนหนึ่ง ป้าอัตสึโกะคนนี้ ก็ที่รับบทสำคัญเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ในเรื่อง Orthros No Inu ไงคะ เรื่องนี้บทบาทแม่สามีของเธอก็เป็นสีสันมากทีเดียว (ชวนขำ..อีกด้วย)



ท่านคิชิโนสุเกะ ไซโก (Ozawa Yukiyoshi) และท่าน โอคุโบะ โชสุเกะ (Harada Taizo) สองสหายสนิทของท่านนาโอโกโร่ ( เอตะ ) และรู้จักมักคุ้นกับท่านหญิงอัตสึ ที่เคยให้ความเมตตาช่วยเหลือต่อซามูไรในชนชั้นที่ต่ำกว่าอย่างไม่มีแบ่งแยกวรรณะ ท่านไซโก และท่านโอคุโบะ สำนึกในน้ำใจและยกย่องท่านหญิงอัตสึตั้งแต่ท่านยังเยาว์วัย และเมื่อท่านไซโกได้กลายเป็นข้ารับใช้ท่านนาริอาคิระ ที่นับถือดั่งเป็นเจ้าชีวิตเหนือหัว ท่านไซโกก็ได้มีโอกาสรับใช้ท่านหญิงอัตสึด้วย และเมื่อเวลาล่วงผ่านการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองต่างๆ ทั้งท่านไซโก และท่านโอคุโบะก็ได้กลายเป็นผู้นำคนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงพัฒนาประเทศ

ทากาโมโตะ เรียวมะ ( Tamaki Hiroshi ) ไม่ยักรู้ว่าท่านจิ๊ของน้องหนูโนดาเมะ ก็เล่นเรื่องนี้กับเขาด้วย แต่บทบาทของท่านเรียวมะในเรื่องนี้ก็ไม่ได้มากนักค่ะ ท่านเรียวมะหนึ่งเป็นในบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมของญี่ปุ่นด้วยเหมือนกัน ถ้าอยากรู้ท่านทำอะไรไว้บ้างคงต้องไปตามดูกันที่ Ryumaden



ยังมีท่านโอชิคะ (ภรรยาท่านทาเตวะกิ) เจ้าหญิงคาสุโนะมิยะ (ภรรยาท่านโชกุน อิเอโมจิ) ท่านโอเรียว (ภรรยาท่านเรียวมะ) ยังมีท่านมันจิโร่ ท่านคัตสึ คณะขุนนาง คณะที่ปรึกษา และนางในชั้นสูงอีกมากมายหลายคน ตัวละครเยอะมากๆ ซึ่งในบรรดานักแสดงอาวุโสแต่ละคนนั้น เรียกได้ว่าทำหน้าที่ในบทบาทของตนเองได้เป็นอย่างดี ละครย้อนยุคที่มักจะมีนักแสดงอาวุโสมากๆ ก็สนุกอย่างนี้เอง

ภาวะอินจัด

ความจริงแล้วละครเรื่องนี้มีความเป็นมาที่ยาวนานด้วยความยาวถึง 50 ตอน เริ่มกันตั้งแต่ความเป็นไปของแคว้นสัทสุมะ การแย่งชิงขึ้นครองตำแหน่งหัวหน้าตระกูลชิมะสึระหว่างท่านนาริอาคิระ (ลูกภรรยาหลวง) และท่านทาดายุกิ (ลูกภรรยาน้อย) เพื่อขึ้นเป็นผู้นำตระกูลปกครองแคว้น กว่าที่ท่านนาริอาคิระจะได้พบโอคัทสึและขอรับมาเป็นธิดาบุญธรรม กว่าโอคัทสึจะยอมเป็นท่านหญิงอัตสึโกะ กว่าท่านหญิงอัตสึโกะจะปรับตัวและยอมรับการแต่งงานเพื่อการเมือง นั่นก็เป็นความยาวระยะหนึ่งแล้ว ท่านหญิงต้องมาพำนักที่ปราสาทสึรุมารุของตระกูลชิมะสึ ต้องได้รับการฝึกปรือความรู้และศิลปะวิทยาต่างๆ ต้องย้ายไปยังจวนของแคว้นสัทสุมะที่เอโดะเพื่อรอคอยการแต่งงานที่ท่านโชกุนยังมิได้ตกลงปลงใจ การต่อต้านของภรรยาท่านนาริอาคิระซึ่งก็คือแม่บุญธรรมที่เห็นว่าชาติกำเนิดของท่านหญิงไม่คู่ควรกับตำแหน่งมิไดโดโกเระ การเกิดเพลิงไหม้และการเมืองที่ยังไม่แน่ชัดว่าจะได้แต่งหรือไม่ได้แต่งกันแน่ ท่านนาริอาคิระต้องอาศัยการสนับสนุนจากแคว้นเกียวโต รวมถึงไดเมียวตระกูลต่างๆ ที่เป็นเครือข่ายอิทธิพลความสัมพันธ์ของท่านเพื่อให้ท่านหญิงได้แต่งงานกับท่านโชกุนเข้าไปอยู่ในปราสาทเอโดะ



ถ้าแบ่งออกเป็นช่วงเวลา ก็แบ่งได้ถึง 4 ช่วงตามชื่อของท่านหญิงดังนี้

1. ท่านโอคัทสึแห่งตระกูลซามูไร "อิไมสุมิชิมะสึ"
2. ท่านหญิงอัตสึโกะแห่งตระกูลไดเมียว "ชิมะสึ"
3. ท่านมิไดโดโกโระภริยาแห่งตระกูลโชกุน "โทกุกาวะ" ปกครองฝ่ายในโอโอขุ ของปราสาทเอโดะ
4. ท่านเท็นโชอิน ที่ผ่านพิธี ระขุโชสุ พิธีกรรมตัดผมของหญิงม่ายที่สามีเสียชีวิต

สี่ช่วงชีวิตที่ยาวนานประหนึ่งนางเอกสี่แผ่นดินยังไงยังงั้นเลย มีเรื่องชวนให้ไม่เข้าใจอยู่มาก และที่ทำให้ประทับใจก็ไม่น้อย ความไม่เข้าใจคงเป็นเรื่องของวิถีบูชิโดคือความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อนาย นายจะดีหรือไม่ดีไม่ใช่ประเด็น เพราะนายก็คือนาย สั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ สั่งให้ตายด้วยการทำฮาราคีรีก็ต้องตาย ยิ่งถ้ามีความเคารพนับถือจากหัวใจด้วยแล้วจะยิ่งมอบกายถวายหัวเป็นข้ารับใช้ที่ไม่มีคำว่าทรยศหรือเอาใจออกห่างเลย แม้ว่านายจะตายไปแล้วก็ตาม อีกเรื่องคือของยศศักดิ์ตระกูล ที่แบ่งแย่งชนชั้นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะดีหรือเลวเป็นหญิงหรือชายหากว่าถือกำเนิดในตระกูลที่สูงกว่า จะอย่างไรผู้ต่ำต้อยกว่าก็ต้องก้มหัวและแสดงความคารวะ ดูแล้วก็ไม่เข้าใจ ทำไมจะต้องจงรักภักดีกันขนาดนั้น






และนั่นก็เป็นประเด็นนำมาสู่เรื่องของความอินจัดเช่นกัน ดูอย่างพ่อแม่ของโอคัทสึ เมื่อลูกสาวแสนซนในบ้านได้กลายเป็น ท่านหญิงอัตสึโกะของตระกูลไดเมียวผู้ครองแคว้น พ่อแม่ก็ต้องนั่งอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าและก้มหน้าค้อมตัวลงต่ำเพื่อแสดงความคารวะไม่ต่างกับเจ้านายชั้นสูงอื่นๆ เมื่อท่านหญิงต้องออกจากบ้าน จึงราวกับเป็นการสูญเสียที่ไม่มีวันจะได้กลับคืน ยิ่งตอนท่านหญิงจะออกเดินทางไปยังเอโดะเพื่อแต่งงาน ตำแหน่งมิไดโดโกโระนั้นยิ่งสูงส่งเกินพรรณาทำให้พ่อกับแม่ยิ่งต่ำต้อยและห่างไกลยิ่งกว่าเดิม แม้แต่จะแสดงความรักความสนิทสนมหรือเรียกขานชื่อขานนามที่เคยเรียกอย่างปกติก็ไม่อาจทำได้ นั่นเป็นความขมขื่นประการหนึ่งของท่านหญิงอัตสึ

"ไม่ว่าลูกจะต้องไปอยู่ที่ใด ท่านพ่อและท่านแม่
ลูกจะระลึกถึง และมีชีวิตอยู่อย่างภาคภูมิ
ที่ได้เกิดมาเป็นลูกของท่าน"


สองครั้งที่ท่านหญิงนั่งอยู่ในเกี้ยวและเปิดม่านเอียงหน้าออกมาเพื่อแลดูพ่อแม่พี่ชายนั่งค้อมตัวก้มหัวคารวะเพื่ออำลา (ครั้งแรกเมื่อออกเดินทางสู่ปราสาทสึรุมารุของตระกูลชิมะสึ และครั้งที่สองเมื่อต้องออกเดินทางสู่เอโดะ) เป็นภาพที่ค่อนข้างสะเทือนใจผู้เขียน เหมือนจากแล้วจากเลยและจะไม่ได้กลับมาอีก ระหว่างออกเดินทางไปเอโดะท่านหญิงได้หยุดลงจากเกี้ยว ณ ขณะหนึ่ง เพื่อแลดูเกาะซากุระจิมะ จดจำภาพความสวยงามของภูเขาสูงตระหง่านที่ตั้งโดดเด่นอยู่บนเกาะนั้นไว้ในหัวใจราวกับจะไม่มีวันได้กลับมาเห็นอีก และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อตลอดชีวิตของท่านหญิงอัตสึไม่เคยมีโอกาสหวนกลับมาที่แคว้นสัทสุมะอีกเลย



อีกตอนหนึ่งคือเมื่อกองทัพของแคว้นสัทสุมะยกทัพไปเกียวโตเพื่อป้องกันราชสำนักและทำให้บะขุฝุ (ฝ่ายปกครองของรัฐบาลโชกุน) ต้องกลายเป็นศัตรูของราชสำนักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ท่านเท็นโชอินในฐานที่ถือกำเนิดจากแคว้นสัทสุมะจึงถูกสงสัยว่าเป็นคนชักใยอยู่เบื้องหลัง ท่านเท็นโชอินไม่หวั่นไหวนักจนกระทั่งท่านโชกุน อิเอโมจิ แสดงท่าทีสงสัยในตัว "ท่านแม่" ทำให้ท่านเท็นโชอินเสียใจมาก ตอนนั้นไม่อินอะไรมาก แต่ตอนที่ท่านเท็นโชอินนำข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างที่เป็นของแคว้นสัทสุมะออกมาเผาทำลายจนหมดสิ้นนั้น ผู้เขียนออกอาการสะอื้นเลยทีเดียว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอินอะไรขนาดนั้น

อาจเป็นเพราะท่านหญิงเป็นคนที่รักสัทสุมะมาก ต้องจากครอบครัว ไปเป็นลูกของคนอื่น แม่นมคิขุโมโตะลงทุนถึงกับฆ่าตัวตายเพื่อลบตัวเองออกจากประวัติชีวิตท่านหญิงอัตสึว่าเคยมีแม่นมที่เป็นเพียงหญิงจากตระกูลซามูไรชั้นต่ำ เพื่อน้อมหัวใจจงรักภักดีส่งท่านโอคัทสึที่เลี้ยงดูให้เติบใหญ่มากับมือไปเป็นท่านหญิงอัตสึโกะอย่างไร้มลทิน แต่นั่นคือความเจ็บปวดและคราบน้ำตาของท่านหญิงไปด้วยเหตุผลเพียงเพราะความแตกต่างระหว่างชนชั้นที่ท่านหญิงไม่อาจทำใจยอมรับได้ ต้องจากถิ่นฐานบ้านเกิดที่สัทสุมะมาใช้ชีวิตที่เอโดะ ท่านพ่อแท้ๆ ต้องตรอมใจที่พรากจากบุตรสาวจนล้มป่วยกระทั่งเสียชีวิต ท่านหญิงก็ไม่ได้กลับไปคารวะศพ ต่อมาสามีคือท่านอิเอซาดะ กับท่านพ่อบุญธรรมนาริอาคิระก็เสียชีวิตลงพร้อมๆ กัน โดยมิได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดในวาระสุดท้ายของบุคคลที่รักทั้งสอง สำหรับท่านหญิงชีวิตสูงส่งในโอโอขุไม่ได้ง่ายดายและความสูงส่งไม่ใช่ความสุขอันใดเลย แต่ความสูงส่งคือต้องก้าวผ่านความเจ็บปวดและมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ ข้าวของเครื่องใช้เหล่านั้นจึงเหมือนเป็นตัวแทนของสัทสุมะที่ท่านหญิงมีไว้เป็นเครื่องแทนใจ การเผาของเหล่านั้นเพื่อแสดงเจตนารมณ์ของตนเองว่าไม่ได้ให้การสนับสนุนหรือชักใยแคว้นสัทสุมะในการลุกฮือขึ้นต่อต้านเป็นศัตรูกับบะขุฝุ จึงค่อนข้างเป็นเรื่องสะเทือนใจ โดยเฉพาะสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ท่านพ่อนาริอาคิระได้ฝากไว้ให้ท่านหญิงก่อนสิ้นใจคือภาพวาดของแคว้นสัทสุมะที่มองเห็นเกาะซากุระจิมะกับภูเขาตระหง่านที่อยู่ในความทรงจำ ตอนที่ภาพวาดจะจ่อเข้าเปลวไฟเป็นชิ้นสุดท้าย มันเศร้าเกินห้ามใจจริงๆ



อีกตอนหนึ่ง คือ จดหมายถึงท่านไซโก นี่ก็ไม่รู้อินอะไรเหมือนกันค่ะ ตอนพ่อตาย สามีตาย เพื่อนตายยังไม่เศร้าไปกับท่านหญิงอัตสึมากเท่าตอนนี้ ตอนที่ท่านไซโก ข้ารับใช้ของท่านพ่อบุญธรรมนาริอาคิระได้กลายไปเป็นบุคคลสำคัญทางการเมือง ท่านไซโกนั้นพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศญี่ปุ่นให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของท่านนาริอาคิระที่อยากเห็นญี่ปุ่นเปิดตัวสู่สังคม รับการเปลี่ยนแปลงและมีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมชาติตะวันตก แต่การจะปรับเปลี่ยนพัฒนาใดๆ ในประเทศนั้น ท่านไซโกเห็นว่าการปกครองของบะขุฝุเป็นอุปสรรคสำคัญที่จำเป็นจะต้องล้มล้างลงไปให้สิ้นซาก แม้ว่าบะขุฝุจะสูญเสียอำนาจแก่ราชสำนักไปแล้ว แต่การทิ้งเชื้อที่สามารถหยั่งรากเหง้าและอาจเติบโตขึ้นมาสะสมกำลังกลายเป็นศัตรูขึ้นมาได้ในภายหน้า เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะปล่อยให้เกิดขึ้น

ไม่ว่าอย่างไรบะขุฝุและตระกูลโทกุกาวะจะต้องถูกล้มล้างให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดิน ท่านไซโกมีตำแหน่งมีบรรดาศักดิ์ขุนนางที่สูงขึ้นแล้วในตอนนั้น จนถึงขั้นเป็นรองแม่ทัพของทางราชสำนักที่ยกทัพมายังเอโดะ ท่านหญิงอัตสึหรือท่านเท็นโชอินในขณะนั้นเป็นเพียงหญิงม่ายในตระกูลโทกุกาวะที่ไร้สามีคอยคุ้มครอง ท่านอิเอโมจิที่เป็นบุตรบุญธรรมและดำรงตำแหน่งโชกุนคนต่อมาก็เสียชีวิต โชกุนคนใหม่คือท่านโยชิโนบุ ก็ใจร้อนวู่วามจนนำพาบะขุฝุไปสู่หายนะต้องอาญาแผ่นดินในฐานะศัตรูแห่งราชสำนัก ทั้งที่ความจริงแล้วท่านโยชิโนบุนั้น ทั้งชีวิตและจิตวิญญาณเต็มเปี่ยมไปด้วยความจงรักภักดี ภายใต้การนำของท่านไซโก บะบุฝุ และโทกุกาวะต้องถูกทำลายให้สิ้นซาก ท่านเท็นโชอินจึงได้เขียนจดหมายถึงท่านไซโก เพื่อขอร้องให้ยุติการกวาดล้างที่รุนแรง เมื่อบะบุฝุได้สิ้นอำนาจ คืนการปกครองสู่ราชสำนักจนหมดสิ้นแล้ว หากจดหมายนี้สะเทือนใจท่านไซโก จนถึงขั้นทำให้ชายชาติบุรุษผู้หนึ่งต้องหลั่งน้ำตาร้องไห้ จดหมายนี้ก็ทำให้ผู้เขียนอินจัดด้วยเช่นกัน

ท่านโอคัทสึในวัยแรกรุ่น เคยวิ่งถลาออกไปปกป้องท่านไซโกไว้ไม่ให้ถูกทำร้าย ลักลอบนำอาหารการกินของบ้านอิไมสุมิไปเยี่ยมเยียนและให้ความช่วยเหลือท่านโอคุโบะและท่านไซโกในยามลำบากด้วยน้ำใจปราณี ไม่เคยถือยศถือตัวว่าสูงศักดิ์กว่า แต่มอบความเป็นกันเองสนิทสนมดั่งมิตรสหาย เมื่อท่านโอคัทสึได้กลายเป็นธิดาบุญธรรมของท่านนาริอาคิระ ซึ่งท่านไซโกก็ได้กลายเป็นข้ารับใช้คนสนิทของท่านนาริอาคิระด้วย ทำให้ท่านไซโกได้ติดตามรับใช้ท่านหญิงมาที่เอโดะ เป็นคนเตรียมข้าวของต่างๆ เพื่อส่งท่านหญิงเข้าพิธีแต่งงานไปยังปราสาทเอโดะ ซึ่งคนจะทำหน้าที่นี้ได้ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญและได้รับความไว้วางใจเป็นอย่างสูง ท่านหญิงอัตสึจึงถือเป็นนายคนหนึ่งที่ท่านไซโกให้ความเคารพรักรองลงมาจากท่านนาริอาคิระผู้เปรียบเสมือนเป็นเจ้าชีวิตเหนือหัว การที่ท่านหญิงอัตสึ (เท็นโชอิน) ต้องลดตัวลงมาเพื่อเขียนจดหมายมาถึงท่านไซโกเช่นนี้ ทำให้ท่านไซโกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง และที่สะเทือนใจยิ่งกว่าคือท่านไซโกไม่สามารถทำตามคำขอร้องของท่านหญิงได้ แม้ว่าจะเคารพรักท่านหญิงสักเพียงใด ท่านไซโกในฐานะบุรุษผู้มีความสำคัญต่อความเป็นไปของประเทศนี้ก็มีวิถีทางที่ต้องเดินและต้องยืนหยัด เหตุนี้ผู้เขียนจึงร้องไห้ซะมากไปกับท่านไซโก อดีตบ่าวที่หัวใจจงรักภักดี แต่ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบทำให้ไม่อาจแสดงความจงรักภักดีด้วยการทำตามคำขอร้องของท่านหญิงได้

แล้วท่านหญิงอัตสึจะเอาชนะจิตใจอันมั่นคงดั่งหินผาของท่านไซโกได้อย่างไร เพราะนี่คือความเป็นความตายของทุกชีวิตในตระกูลโทกุกาวะ รวมถึงความอยู่รอดของประชาชนภายในแคว้นด้วย จิตใจอันเข้มแข็งของท่านไซโกเป็นทางออกเดียวที่ท่านหญิงจะต้องฟันฝ่า

ยุคของซามูไรสิ้นสุดลงแล้ว ไม่มีโชกุน ไม่มีบะขุฝุ ไม่มีโอโอขุ ไม่มีปราสาทเอโดะเป็นบ้านอีกต่อไป แต่ไม่ว่าอะไรจะสูญเสีย ตระกูลโทกุกาวะและหัวใจโทกุกาวะจะต้องคงอยู่

"ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่
คือครอบครัวของโทกุกาวะ
แม้จะออกจากปราสาทนี้ก็ตาม
แม้โอโอขุจะหายไปก็ตาม
ขอให้พวกเจ้า จงอยู่อย่างภูมิใจ
รักษาศักดิ์ศรีแบบนี้เอาไว้
และขอให้ส่งต่อจิตใจนี้ไปยังลูกหลาน
นี่คือการขอร้องจากข้า เป็นครั้งสุดท้าย
ฝากไว้ด้วยนะ"


ฝากไว้เหมือนกัน ฝากคนไทย หัวใจของคนไทยที่เปี่ยมไปด้วยน้ำใจ รู้รักสามัคคี ปรองดอง และมีรอยยิ้มที่มีความสุขเสมอ ไม่ว่าน้ำท่วมจะทำประเทศเสียหายแค่ไหน ไม่ว่าความคิดเห็นต่อผู้นำประเทศ และการแก้ปัญหาจะขัดแย้งอย่างไร หัวใจของคนไทย จะต้องคงอยู่

ฝากไว้ด้วยนะ
.....

ขอบคุณ
Dramawiki
//www.baanseries.com
//hilight.kapook.com/view/42005




 

Create Date : 30 ตุลาคม 2554    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2558 8:53:20 น.
Counter : 9025 Pageviews.  

With Love ด้วยความรู้สึกจากใจใส่ถ้อยคำ.."สื่อรักออนไลน์"



Title: With Love
Genre: Romance Episodes: 12 Viewership ratings: 17.9
Broadcast period: 1998-Apr-14 to 1998-Jun-30, Thesday 21.00 Fuji TV
Theme song: Destiny by My Little Lover

Screenwriter: Ban Kazuhiko
Producer: Kita Reiko Directors:Honma Ohiko (1,2,6,9,12),
Tajima Daisuke (3,4,7,8,11), Ninomiya Hiroyuki (5,10)



WITH LOVE


ไม่กีวันก่อนหน้านี้ยังลิตท์รายชื่อซีรีย์ญี่ปุ่นใหม่เอี่ยมที่เตรียมตัวจะดูส่งท้ายปีไว้อยู่เลย แต่อยู่ดีๆ คุณพี่ทาเคโนะอุจิ ยูทากะแกก็ปาดหน้าเค้กพาซีรีย์ With Love มาแซงคิวชีรีย์เรื่องอื่นๆ ไปอย่างหน้าตา(หล่อ)เฉย

ไม่มีเกรงอกเกรงใจพระเอกรุ่นน้องหน้าไหนเลยสักคน



ไม่ว่าจะตรงไหนในบล็อกใดที่เคยเมาท์ว่าพี่ไม่ได้เป็นคนหล่อมากมายอะไรนัก ขอถอดรากถอนโคนทุกคำพูดเหล่านั้น เพราะพี่ท่านหล่อม๊ากก หล่อจริงๆ ให้ดิ้นตาย สูง สมาร์ท และที่ชอบที่สุดคงเหมือนที่เคยพูดถึง คือเรื่องของเสียง ชอบเสียงใหญ่ทุ้มติดแหบนิดๆ ของยูทากะมากๆ เลยค่ะ ส่วนความหล่อเนี่ยตอนยังหนุ่มใน With Love ก็ไม่ถึงกับทำให้กรี๊ดแตกเท่าไหร่หรอก แต่ที่เห็นใน Merry Christmas in Summer โอ้ ลุคนั้นน่ะนะ ยิ่งกว่าถูกใจใช่เลย หล่อแมนมั่ก!



บางครั้งคราว ก็หยิบซีรีย์ออกมาจากรุแบบขอไปที เพราะคิดว่าเวลาที่มีไม่มากนัก (แต่ก็ยังตัดใจจากการดูซีรีย์ไม่ได้) อย่างน้อยขอเลือกดูซีรีย์ที่ไม่น่าจะติดก็แล้วกัน เพราะถ้าเป็นซีรีย์ที่ดูติด การจะหักห้ามใจไม่ให้ดูต่อเนื่องเป็นความลำบากอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างทรมาน หยิบ With Love ออกมาเพราะมันเก่า ข้อดีของความเก่าคือจะได้ไม่ต้องติดใจไงคะ

แล้วเป็นไงล่ะ ก็หนีไม่พ้นอาการเดิมๆ (เป็นแบบนี้ประจำกับซีรีย์ที่ไม่ได้ฝักใฝ่มีใจอยากดูเท่าไรนัก) ยูทากะ ยังหนุ่ม สูงและหล่อน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ที่ถูกใจคือคาแรคเตอร์ของพระเอกในเรื่อง บวกกับพล็อตเรื่องที่ชอบ ดูแล้วติดใจไม่ยากเลย

แม้เป็นเรื่องที่สุดแสนจะเก่ากึกก็ตาม



'มุราคามิ อามาเนะ อายุ 23 ปี
ถึงตอนนี้รึวันหน้า ใช้ชีวิตเรียบง่าย คิดว่าอย่างนั้นนะ
แต่ว่า........................'


'ฮาเซกาวะ ทาเคชิ อายุ 27 ปี
ผมไม่รักใครสุดใจอีกแล้ว คิดว่างั้นนะ
แต่ว่า.........................'


ฮาเซกาวะ ทาเคชิ ( Takenouchi Yutaka) อดีตนักกีตาร์ชื่อดังแห่งวงแอช(h-ash) ที่ผันตัวมาเป็นนักแต่งเพลงประกอบงานโฆษณาหลังจากที่ รินะ ( Kaori ) นักร้องนำหายตัวไปจนเป็นเหตุให้วงแตก สมาชิกร่วมวงต้องแยกตัวทางใครทางมัน ทาเคชิสูญเสียทั้งสองสิ่งที่รัก คือวงแอชและรินะ (ในเรื่องซับใช้ ลีน่า แต่ตามตัวสะกดภาษาอังกฤษใน Dramawiki คือ Rina ซึ่งน่าจะหมายถึง รินะ และ JKDrama ก็ใช้รินะ เลยขออนุญาตใช้รินะตามด้วย ) ไม่มีใครรู้เพราะอะไรรินะถึงหายไปเฉยๆ โดยไม่มีคำอธิบายใดๆ นอกจากคำสั้นๆ เขียนไว้บนตุ๊กตาไล่ฝน " So long"

การจากไปของรินะ โดยไม่มีเหตุผลใดชี้แจง ทำให้วงแอชจบลงเพียงชั่วข้ามคืนและทาเคชิต้องผันตัวไปเป็นนักแต่งเพลงโฆษณา ใช้ชีวิตแบบคนที่เจ็บจมอยู่กับอดีตความรักอันเจ็บปวด แถมยังขมขื่นกับการทำงานที่ไม่มีความสุข ทาเคชิต้องฝืนแต่งเพลงขัดแย้งความต้องการของตัวเองเพื่อทำตามความต้องการของลูกค้า อาการออกนอกหน้าจึงประหนึ่งคนที่มีชีวิตซังกะตายอยู่ไปวันๆ

เพลงของทาเคชิ เป็นเพลงที่ออกมาจากหัวใจของคนอ้างว้าง จึงยังไม่เป็นเพลงรักที่ดีพอ โดยถูกตัดสินว่าเป็นเพราะทาเคชิขาดความรัก เขาจึงไม่สามารถแต่งเพลงรักดีๆ ออกมาได้ ดังนั้นทาเคชิต้องพยายามค้นหารักแท้เพื่อที่เขาจะได้เป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลง

แต่ของอย่างนี้ มันหากันได้ง่ายซะที่ไหนล่ะ



มุรากามิ อามาเนะ (Misato Tanaka) พนักงานธนาคาร สาวโสดผู้คร่ำหวอดในวงการโดดเดี่ยวผู้เงียบเหงา เธอเคยมีความรัก แต่ได้กลายเป็นประสบการณ์อกหักช้ำรัก เพราะถูกคนรักหักหลัง โดนเขาหลอกใช้ให้ต้องเจ็บจำระกำใจ รักแท้คืออะไร อยู่แห่งหนใด ยากเกินกว่าจะเข้าใจและเสาะหา การทำงานธนาคารก็เต็มไปด้วยความอัดอั้นตันใจ ไม่สามารถจะพูดในสิ่งที่สมองคิดและทำในสิ่งที่ใจรู้สึกอยากทำ ชีวิตช่างน่าเบื่อและเงียบเหงา แต่สิ่งหนึ่งที่ช่วยให้อามาเนะได้คลายเหงาและเป็นตัวของตัวเองอย่างอิสระก็คืออินเตอร์เน็ต

และแล้ววันหนึ่ง การสื่อสารในโลกออนไลน์ก็ทำให้เธอได้พบกับ "ฮาตะ" ที่ส่งเพลงเข้ามาในเมลของเธอ เพลงที่ได้ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นในหัวใจราวกับจะช่วยคลายความเงียบเหงาอ้างว้างให้หายไปได้ อามาเนะได้ส่งเมลไปถึงคุณฮาตะ เพื่อบอกให้รู้ว่าเขาส่งเมลมาผิด โดยใช้ชื่อว่า Teru Teru Bozo "ตุ๊กตาไล่ฝน" และนั่นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ในโลกออนไลน์ของ "ฮาตะ" และ "ตุ๊กตาไล่ฝน"



ในโลกของชีวิตปกติ บริษัทโฆษณาที่ทาเคชิทำงาน และธนาคารที่อามาเนะเป็นพนักงานประจำอยู่ในตึกเดียวกัน ทาเคชิและอามาเนะจึงมีโอกาสพบกันทั้งโดยบังเอิญ และทั้งมีเหตุให้พบกันอยู่เรื่อยๆ แต่ก็แทบไม่ได้คุยกัน หรือมีอะไรที่จะทำให้รู้จักมักคุ้นไปจนถึงขั้นสนิทสนมกันได้ อย่างมากที่สุดก็พัฒนาอย่างเต็มที่เป็นแค่คนรู้จักที่บังเอิญเดินผ่านกันไปมา และได้พบหน้าทักทายกันบ้างตามประสาคนรู้จักกัน

บริษัทของทาเคชิเป็นลูกค้าธนาคารที่อามาเนะต้องไปรับเงินฝาก และทาเคชิเคยมาติดต่อที่ธนาคารบ้าง (เป็นครั้งคราว....ที่มีความถี่เล็กน้อยมากจริงๆ) แค่นั้นจริงๆ

แต่ในโลกออนไลน์...ฮาตะและตุ๊กตาไล่ฝนกลับมีความสัมพันธ์ที่แตกต่าง แม้ทั้งคู่จะเริ่มใส่คำโกหก คนหนึ่งเคยทำงานธนาคารและย้ายไปอยู่ปารีส คนหนึ่งเคยเป็นนักแต่งเพลงและผันตัวไปเป็นครูในชนบท แต่แท้จริงแล้วคำโกหกก็ออกจากจากก้นลึกของใจที่โหยหาความเป็นอิสระเสรีจากหน้าที่การงานที่ทำอยู่ รวมถึงการเป็นอิสระจากความรักที่ยังคงเจ็บปวดค้างคาอยู่ภายในใจส่วนลึก สถานะการใช้ชีวิตเป็นเรื่องปลอม แต่ทุกความรู้สึกที่สื่อสารผ่านโลกออนไลน์เป็นของจริง และเป็นสิ่งที่ฮาตะและตุ๊กตาไล่ฝนสัมผัสความรู้สึกจากใจของกันและกันได้ ก่อเกิดเป็นความผูกพันและ 'ความรัก' ผ่านถ้อยคำสื่อสารออนไลน์บนอินเตอร์เน็ต

ฮาตะ คือ ทาเคชิ และตุ๊กตาไล่ฝน คือ อามาเนะ

ทั้งที่ในโลกออนไลน์ ฮาตะและตุ๊กตาไล่ฝนผูกพันใกล้ชิด แต่ในโลกของความเป็นจริง ทาเคชิและอามาเนะสุดห่างเหิน ต่างคนไม่มีโอกาสรู้เลยว่า คนที่เดินสวนกันเกือบทุกวัน คือคนที่สื่อสารความรู้สึกถึงกันผ่านอินเตอร์เน็ตอยู่แทบทุกค่ำคืน

สารถ้อยคำจากตุ๊กตาไล่ฝน ทำให้ทาเคชิเริ่มเห็นคุณค่าของตนเอง เพลงของเขาที่ช่วยให้คนรู้สึกมีกำลังใจอยากดำเนินชีวิตต่อไป มันมีค่าและเป็นแรงผลักดันให้เขามีกำลังใจในการแต่งเพลง คำพูดต่างๆ ที่เขาได้รับจากตุ๊กตาไล่ฝน ช่างคล้ายกับคำพูดของแฟนเก่าที่จากไป จนทาเคชิอดจะแอบหวังอยู่ลึกๆ ไม่ได้ว่าตุ๊กตาไล่ฝนคือรินะแฟนเก่าของเขาเอง ทาเคชิรู้สึกถึงเธอได้เช่นที่เธอก็ส่งใจมาให้เขา ฮาตะและตุ๊กตาไล่ฝนเริ่มหลงรักกันและกัน แต่แล้วจู่ๆ ตุ๊กตาไล่ฝนก็หยุดส่งเมลถึงฮาตะ

เพราะแม้แต่ในโลกออนไลน์ ความรักของเราสองก็ไม่อาจเป็แค่เรื่องของสองเรา

เพราะมีมือที่สามที่สี่เข้ามาป่วน ปั้นเรื่อง สวมรอย และสร้างความเข้าใจผิด




อิมาอิ คาโอริ (Norika Fujiwara)
ผู้หญิงทันสมัยหัวใจมาดมั่น คบหากับทาเคชิมานานในรูปแบบความสัมพันธ์มากว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟน คาโอริเป็นสาวปากแข็งที่พยายามจะดันทุรังว่าระหว่างเธอกับทาเคชิเป็นแค่เพียงความสัมพันธ์อิสระของชายหญิงที่พึงพอใจต่อกันในความแนบชิดยามค่ำคืน อิสระในแบบที่ไม่ต้องมีความรักมาเกี่ยวข้อง แต่เมื่อวันหนึ่งทาเคชิไม่ต้องการจะคงความสัมพันธ์นั้นอีกต่อไปแล้ว ..."อิสระ" คำนี้มันยากนักที่คาโอริจะตัดใจและยอมปล่อยมือจากทาเคชิได้



โยชิดะ ฮารุฮิโตะ (Mitsuhiro Oikawa) ชายหนุ่มผู้เพียบพร้อม ยอมทำได้ทุกอย่างหากจะทำให้อามาเนะตกลงใจแต่งงานด้วย จะว่ารักอย่างหัวปักหัวปำก็ใช่ จะว่าเพราะเห็นแก่ตัวเกินไปก็ถูก แม้บางครั้งคนเราจำเป็นต้องถือคติตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก ( ใช้เฉพาะกับผู้ชายที่ไม่กลัวแห้วเท่านั้น ถ้าเป็นผู้หญิงตื๊อเราจะถูกหาว่าแร้ดและไร้ยางอาย) แต่ตื๊ออย่างฮารุฮิโตะที่ไม่สนใจสาวเจ้าจะอึดอัดคับข้องใจอย่างไร ไม่ใส่ใจการให้เกียรติ หรือรู้จักขอบเขตความเหมาะสม ตื๊ออย่างนี้มันจะสำเร็จไปได้อย่างไร ถ้ผู้เขียนเป็นนางเอกล่ะก็ ฮึ่ม...ด่าเช็ดเลยล่ะ ก็คิดดูสิคะ ลวนลามจะพาเข้าโรงแรมงี้ ใช้ความเดือดร้อนของนางเอกเป็นเครื่องมือหลอกให้มากินข้าวด้วย โดยไม่สนใจว่าเรื่องเดือดร้อนของนางเอกนั้นมันเรื่องด่วนจำเป็นมากแค่ไหน ตื๊อไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมจะมองอย่างไร ละเมิดความเป็นส่วนตัวแอบเปิดคอมพิวเตอร์บ้างไรบ้าง เป็นแบบนี้ดูยังไงก็ไร้น้ำใจสุภาพบุรุษ อย่างนี้แหละ ถึงใครจะเห็นว่าฮารุฮิโตะเพียบพร้อมขนาดไหน เขาคนนี้ก็ไม่เคยข้ามผ่านกำแพงในใจของอามาเนะที่เปิดหัวใจรับแต่ฮาตะเท่านั้น

ฮาตะที่ปราศจากตัวตนให้จับต้องได้ แต่อามาเนะเชื่อว่าในถ้อยคำเหล่านั้นที่ส่งมากับอีเมล ออกมาจากน้ำใสใจจริงจากตัวตนจริงแท้ของใครคนหนึ่งที่มีอยู่จริง



พล็อตเรื่องอย่างนี้ ในสมัยนั้นคงจะทันสมัยมากทีเดียว แม้ดูในสมัยนี้ ..2011 คอมพิวเตอร์และอีเมลที่เห็นอยู่ในเรื่องนั้นได้กลายเป็นของโบราณไปแล้ว จึงไม่ใช่ความผิดของยูทากะเลย ถ้าหากในเรื่อง Nagareboshi พี่จะทั้งแก่ ทั้งผอม และทั้งดำ (ไปบ้าง) เพราะดูแล้วกราฟชีวิตของพี่ท่านคงจะผ่านเส้นเวลาอายุขัยมาอย่างยาวนาน ว่าแล้วก็ไปเปิด DramaWiki โอ้แม่เจ้า พี่ท่านเกิด 1971 ตอนนี้อายุอานามก็ปาเข้าไป 40 ปีแล้ว ( มิน่าล่ะ) เข้าวงการตั้งแต่ 1994 นับถึงปัจจุบันนี้ ก็รวมระยะคร่ำหวอดมากว่า 17 ปี ป๊าดดด โชคดีนะที่ยังไม่ได้ลั่นวาจาว่าจะตามอนุรักษ์ผลงานของพี่ท่านน่ะ เพราะใจลึกๆ เริ่มก่อหวอดอยู่เหมือนกัน 17 ปีเชียวเหรอคะ ผลงาน 17 ปี ใครจะไปตามดูได้ไหว แก่หง่อมกันพอดีสิคะ ปกติชอบเรียกทาคุยะ คิมูระ ว่าป๋ายะ ดูเพราะคิดว่าพี่แก่กว่าใครแล้วในบรรดาพระเอกทั้งหลายทั้งปวงของวงการซีรีย์ญี่ปุ่นเท่าที่รู้จัก



ที่ไหนได้ ยูทากะ ที่ให้เป็นแค่ 'พี่' ยังอุตส่าห์แก่กว่า 'ป๋า' อีก ไม่หนีกันเลย 40 กับ 39 งั้นต่อไปจะเรียกเขาว่า ป๋ายู เมื่อก่อนคิดว่าในบรรดารุ่นใหญ่ไม่มีใครเกินป๋ายะอีกแล้ว แต่พอได้ดูผลงานของป๋ายู ยูนี่แหละที่เป็นคู่แข่งรุ่นใหญ่ที่มีพาวเวอร์พอจะเฉือนบัลลังก์วังทองของป๋ายะในใจผู้เขียนได้ ถ้าจำเป็นต้องเลือกใครสักคนเป็นที่หนึ่งเมื่อก่อนคงเลือกป๋ายะแน่นอน เดี๋ยวนี้ชักตัดสินใจไม่ลง (พี่ๆอัสนีวสันต์เรียกอาการเหล่านี้ว่า 'เธอปันใจ') ตอนนี้ถึงจะดูผลงานของป๋ายูน้อยกว่า ...น้อยกว่ามาก แต่คุณภาพของการแสดงป๋ายูไม่ได้น้อยหน้าใครในระดับแถวหน้า (ซึ่งรุ่นใหญ่ในใจที่รู้จักและจดจำก็มีป๋ายะอยู่คนเดียวนี่แหละ) แถมยังได้บทบาทที่ .. ดูเรื่องไหนเป็นจี๊ดเรื่องนั้น ซึ่งยังต้องตามดูกันอีกหลายเรื่องเลยทีเดียว



ทางด้านนางเอก ทานากะ มิซาโตะ ที่รับบทอามาเนะนั้น Dramawiki บ่งบอกว่าเธอยังมีผลงานมาเรื่อยนะคะ แม้จะไม่สม่ำเสมอ ก็ยังมีอยู่ ปีละเรื่อง สองปีเรื่อง ปัจจุบันปี 2011 ก็แสดงในเรื่อง Kudo Shinichi e no Chosenjo (ไม่เคยดูหรอกนะคะ) ต่างกับทางป๋ายูที่บัญชีรายชื่อละครยาวเหยียด ... และตั้งแต่ดู Nagareboshi ที่แสดงคู่กับอายะ อุเอโตะ จากเรื่องนั้นมายังไม่เจอละครรักของญี่ปุ่นที่ถูกใจแบบสุดๆ เลยนะคะ สงสัยจะต้องหันมาพึ่งรักของพี่มาร์ค (บอย ปกรณ์) กับหนูบี ( มาร์กี้) กับเรื่อง รอยมาร ของช่อง 3 แก้ขัดไปพลางๆ ซะแล้ว (หากไม่มีเหตุอะไรมาขัดใจซะก่อน ดูวันก่อน ก็เห็นน่ารักดีเหมือนกันนะ)

With Love ของป๋ายู กับ Love Generation ของป๋ายะ น่าจะเป็นเรื่องที่เก่าสุดเท่าที่เคยดูมา ระดับความชอบก็พอๆ กันเลยค่ะ ดูซีรีย์เก่าๆ ถ้าไม่ติดใจกับเรื่องเสื้อผ้าเชยๆ หรือทรงผมป้าๆ ก็สนุกดีเหมือนกัน



.....


ขอบคุณข้อมูล : DramaWiki , JKDrama









 

Create Date : 06 ตุลาคม 2554    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2558 8:53:33 น.
Counter : 5187 Pageviews.  

Inu o Kau to Iu Koto ครอบครัวเข้มแข็ง ด้วยแรงแห่งรักและกรุณา



Title : Inu o Kau to Iu Koto
Tagline : Sky to Wagaya no 180 Nichi
Format: Renzoku Genre: Family
Episodes: 9 Viewership rating: 8.47
Broadcast network: TV Asahi 2011-Apr-15 to 2011-Jun-10
Theme song: My Home by Kanjani∞
Screenwriter: Terada Toshio
General Producer: Uchiyama Seiko
Producers: Kiuchi Mayumi , Oe Tatsuki, Ikeda Teiko
Directors: Motoki Katsuhide ,Endo Mitsutaka, Takahashi Nobuyuki


โดยความเห็นส่วนตัว ซีรีย์เรื่องนี้สมควรได้รับรางวัลอะไรบ้าง แต่ใน DramaWiki ก็ไม่มีระบุเรื่องของ Award ไว้นะคะ ไม่มีเลยจริงๆ เหรอเนี่ย ?? น่าเสียดายจริงๆ

ช่างเถอะ สถาบันไหนไม่ให้ สถาบัน prysang.bloggang จะมอบให้เอง "รางวัลละครสร้างสรรค์ครอบครัวดีเด่น" ดูแล้วจรรโลงใจสมควรได้รับโล่ห์

เป็นละครที่ทำให้แปลกใจ เพราะแต่ละสิ่งอย่างมันดูเป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อยซะจริง แต่ผลของมันใหญ่ยิ่ง ไม่ใช่อะไรเล็กน้อยอย่างที่เห็นเลย

Smileyครอบครัวฮงโงะ




พ่อ - ฮงโงะ ยูจิ (Nishikido Ryo)

แม่ - ฮงโงะ ซาจิโกะ (Mizukawa Asami)



ลูกชาย - ฮงโงะ มาซารุ (Yamasaki Ryutaro)

ลูกสาว - ฮงโงะ มาโกะ (Kuge Kokoro)

ยูจิ ..เสาหลักของครอบครัวที่คลอนแคลนเพราะเจอพิษของภาวะเศรษฐกิจ บริษัทที่ทำงานอยู่ตกอยู่ในภาวะถดถอยถึงขั้นต้องทยอยลดจำนวนพนักงาน ยูจิต้องทำหน้าที่ดำเนินการให้พนักงานแต่ละคนยินยอมลาออกแต่โดยดี (ที่จริงแล้วมันก็คือการไล่ออกนั่นแหละค่ะ) เขาต้องเผชิญหน้ากับพนักงานเพื่อเกี้ยกล่อม ก้มหัวขอร้อง คุกเข่าก็ทำ เพื่อขอร้องให้พนักงานคนนั้นๆ ยินยอมลาออกจากบริษัท ยูจิต้องทนทำงานนี้ด้วยความรู้สึกผิดและกดดัน เพราะเขาเองก็จำเป็นต้องเอาตัวให้รอดในฐานะสามีและพ่อที่ต้องหาเงินเลี้ยงดูปากท้องของครอบครัว

เจอพระเอกแบบนี้เข้าไปก็พาเครียดแล้ว พาลไม่อยากดูเอาซะเลย ก่อนหน้าก็รีรอมาสักพัก สุดท้ายที่ต้องยอมแพ้เพราะการแอบมีใจให้กับ อาซามิ ผู้รับบท ซาจิ แม่ของลูกๆ เธอเป็นแม่บ้านที่ขยันขันแข็ง ทั้งเลี้ยงลูก ทำงานบ้านและยังทำงานพิเศษช่วยแบ่งเบาภาระสามี ไม่เคยตำหนิ ไม่เคยบ่นว่ากับความอัตคัดขัดสน และทำหน้าที่ของตนอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง



แต่เรื่องของเงินทองมันย่อมไม่เข้าใครออกใคร พล็อตเรื่องนี้พอคาดเดาเนื้อหาได้ง่าย เพราะมันเกี่ยวข้องกันโดยตรงกับภาวะเศรษฐกิจของครอบครัวที่ค่อนข้างเป็นจุดเปราะบาง ในโลกความเป็นจริง เงินเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่น้อง ญาติสนิทมิตรสหายต้องแตกคอ และทำให้คนในครอบครัวบาดหมางทะเลาะกันมานักต่อนัก ดังนั้น เมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องของครอบครัวจนๆ ที่ขัดสนเงินทอง ชวนให้คิดไปล่วงหน้าว่ามันต้องตึงเครียด และปวดหัวใจแน่ ถึงหยิบเรื่องนี้มาดูแบบใจไม่ค่อยเต็มร้อยนักในตอนแรก (แต่อยากดูอาซามิและเด็กๆ) ยิ่งได้พบว่าพื้นฐานการสร้างครอบครัวของยูจิกับซาจิไม่ได้ตั้งอยู่บนความถูกต้องเหมาะสมและ 'ความพร้อม' ยิ่งดูไปแบบหวั่นๆ ใจ ในสิ่งที่คิดว่ามันต้องมาถึงแน่นอน

Smileyไม่ได้ตั้งอยู่บนความถูกต้อง ความเหมาะสม และความพร้อม

เพราะความรักของวัยรุ่นหนุ่มสาวทำให้อาซามิตั้งท้องตั้งแต่ตอนอายุเพียง 21 ปี เพื่อที่จะรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง ทั้งคู่จึงตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย ยูจิเลิกล้มความใฝ่ฝัน เลิกเล่นดนตรีที่รัก อาซามิก็ทอดทิ้งความฝันที่เคยมุ่งมั่นจะเป็นพยาบาลด้วยเช่นกัน แม้ครอบครัวไม่ยอมรับ แต่ยูจิกับซาจิก็ดึงดันจะใช้ชีวิตร่วมกัน หรือพูดอีกทีคือตัดสินใจ 'หนีตามกัน' ไม่มีความช่วยเหลือ ไม่มีเงิน ไม่มีงานแต่งงาน มีแต่การถ่ายรูปด้วยกันหน้าโบสถ์เป็นพยานของการเริ่มต้นชีวิตคู่

อ๊า ... ท่าทางจะเครียดจัง โดยส่วนตัวรู้สึกว่ามันเป็น รากฐานครอบครัวที่เปราะบางอีกแล้ว หนุ่มสาวที่หันหลังให้กับความฝันของตัวเอง แล้วมาเผชิญหน้ากับความยากลำบากแทน คาดเดาเอาเองไปว่าเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง ปัญหาและความกดดันต่างๆ นานา จะทำให้เกิดเรื่อง 'ล้ำเส้น' ไปแตะต้องจุดเปราะบางที่ว่านี้ ...ซึ่งอาจนำไปสู่ความแตกร้าวของครอบครัว ...หากเกิดมีใครสักคนนึกอยากย้อนเวลากลับไปและตัดสินใจเลือกทางเดินของอนาคตใหม่ด้วยการเลือกทำตามความใฝ่ฝันของตนเอง

ละครยังไปไม่ถึงไหน ดูไปนิดเดียวก็คิดอะไรทะลุทะลวงไปคนเดียวก่อนแล้ว จึงดูไป กังวลไป ใจอยากเร่งให้ช่วงเวลานั้นมาถึงเร็วๆ จะได้ผ่านไปเร็วๆ ไม่อยากเครียดนาน



แต่เอาเข้าจริง ละครเรื่องนี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกอะไรที่ต้องกังวลขนาดนั้นเลย จุดเปราะบางที่ว่านั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องกระทบกระเทือนบ้างแน่อยู่แล้ว แต่ด้วยมันมีอะไรหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้ละครเรื่องนี้ ผิดคาดไปจากที่คิดไว้เยอะเลย และมันไม่ได้หนักหนาเหมือนอย่างที่รู้สึกเครียดไปล่วงหน้าสักนิด

เพราะมีเด็ก นั่นอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่ง

ฮงโงะ มาซารุ และ ฮงโงะ มาโกะ มาซารุเป็นพี่ชายที่ไม่ได้ใส่ใจไยดีน้องสาวนัก ออกท่ากระด้างนิดๆ ใจร้ายหน่อยๆ ใส่น้องด้วยซ้ำไป คำพูดจาที่สะท้อนออกมาจากความรู้สึกนึกคิดก็ค่อนไปทางมองโลกในแง่ร้าย นั่นเป็นเพราะมีสิ่งหนึ่งที่ฝังแน่นเป็นบาดแผลเล็กๆ ในใจของเด็กน้อย ที่แม้แต่คนเป็นพ่อแม่อย่างซาจิและยูจิก็ไม่เคยรู้

"กว่าจะถึงวันนั้น ครอบครัวของเราคงล่มสลายไปแล้วล่ะ"

เมื่อพี่กับน้องยืนมองตึกสกายทรีที่สูงตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองด้วยกัน มาซารุได้เอ่ยประโยคนั้นออกมา และเป็นคำพูดที่ยากเกินกว่าเด็กหญิงมาโกะจะเข้าใจ แต่โดยสถานการณ์ที่ครอบครัวต้องพบเจอวันนั้น เด็กหญิงได้แต่สงสัยกับตัวเอง

"ที่พี่พูดเรื่องครอบครัวล่มสบาย เป็นเพราะครอบครัวของเราไม่มีเงินหรือเปล่านะ"

ในเดือนธันวาคมที่กำลังจะมาถึงอีกไม่นาน เป็นกำหนดการที่การสร้างตึกสกายทรีจะแล้วเสร็จ ครอบครัวฮงโงะอาจจะล่มสลายไปก่อนจริงๆ ดังคำของมาซารุพูดไว้ หากเด็กหญิงมาโกะจะไม่ได้พบเจอกับสมาชิกใหม่ตัวสำคัญของครอบครัว

ลูกหมาพเนจรพันธุ์ปอมเมเรเนียนที่หลงทาง ขนาดตัวของมันเล็กจ้อยแต่ชื่อที่มาโกะตั้งให้นั้นสุดจะใหญ่โต "สกายทรี"




เจ้าสกายผู้เกิดมาเป็นหมาอาภัพ ขออนุญาตใช้คำว่าหมาเลยนะคะ เพราะไม่รู้สึกว่ามันไม่สุภาพแต่อย่างใด (อิอิ ทำอย่างกะว่าปกติใช้คำพูดสุภาพเรียบร้อยอยู่เลยเนอะ ทั้งที่ความจริงก็ไม่) ตอนแรกจะใช้คำว่าสุนัขให้เรียบร้อยกว่านี้ แต่ลองแล้วมันไม่ได้ฟิลค่ะ คือ เจ้าหมาน้อยตัวนี้มันหลงทางมาจากไหนก็ไม่รู้ มันมาวนเวียนอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อที่แม่ของมาโกะทำงานพาร์ทไทม์อยู่ เด็กผู้หญิงเมื่อมาเจอหมาก็ปรากฏว่าถูกชะตาอย่างแรง แต่วันหนึ่งมันก็ถูกสถานคุ้มครองสัตว์จับตัวไป ด้วยจิตใจทีรักสัตว์และมีเมตตา เด็กน้อยมาโกะจึงหาหนทางไปยังสถานที่แห่งนั้น ทั้งที่ก็หวาดหวั่นกับสถานที่ที่ไม่เคยคุ้น กับเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ที่ท่าทางดุดัน เมือเขาถามว่าเป็นเจ้าของมาตามหามันหรือ มาโกะก็ได้แต่พยักหน้ารับสมอ้าง แต่เด็กน้อยใสซื่อไม่เคยโกหก ถามอะไรก็ไม่พูด ไม่อธิบาย เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ผู้ใหญ่ไม่โง่ย่อมรู้ว่าเด็กหญิงโกหก การไปสถานที่แห่งนั้นที่มีสัตว์เลี้ยงถูกขังไว้มากมาย ทำให้มาโกะได้รู้ หากสัตว์เหล่านั้นไม่มีเจ้าของมาติดต่อรับคืน จากนั้นไม่นานมันจะต้องถูกกำจัดโดยการฉีดยาให้ตาย แต่ถึงรู้เด็กน้อยก็ทำได้แค่เดินคอตกออกมาจากสถานคุ้มครองสัตว์ แต่เจ้าปอมเมเรเนียนตัวนี้มันดันหลุดหนีวิ่งออกมา ผู้ใหญ่วิ่งไล่ตาม มาโกะเข้าขวาง มันจึงหนีรอดไปได้

ใครไม่หลงรักเด็กหญิงคนนี้ก็บ้าแล้ว เพราะเธอเล่นได้อย่างสมควรถูกหลงรักมากๆ ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ถูกยัดเยียดพฤติกรรมหรือความคิดที่จะทำให้ดูโตเกินวัย ซึ่งก็จะดูเป็นธรรมชาติแบบนี้ไปตลอดทั้งเรื่อง ข้อนี้ต้องชมผู้เขียนบทและบรรดาผู้กำกับและตัวหนูน้อยเองด้วยค่ะ

ปอมเปเรเนียนน้อย มันหนีกลับมาวนเวียนอยู่ ณ ที่แห่งเดิม ที่ที่มาโกะรู้ว่าจะหามันเจอ และเธอก็ตัดสินใจที่จะพามัน 'กลับบ้าน'

ตั้งแต่ที่เจ้าสกายตัวนี้เข้าล่วงสู่ประตูบ้านของครอบครัวฮงโงะ นับจากวันนั้นเรื่องร้ายต่างๆ ก็ประเดประดังเข้าสู่ครอบครัว โดยเกือบทุกเรื่องล้วนเกี่ยวข้องกับ 'เงิน' ซึ่งจะว่าเรื่องของคนหมาไม่เกี่ยวก็ไม่เชิงนัก เพราะหลายเรื่องเจ้าสกายก็เป็นสาเหตุโดยตรง มันเป็นส่วนเพิ่มที่หมายถึงการแบ่งปันอาหาร มันต้องมีเชือก มีปลอกคอ ต้องมีใครสักคนพามันออกไปเดินเล่นให้ผ่อนคลาย พาไปอึฉี่นอกบ้าน แถมมันยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่รู้จักเจ็บไข้เป็น ต้องมีหยูกยารักษาต้องพบสัตวแพทย์ มันเป็นหมาก็จริง แต่หมาก็ต้อง 'ใช้เงิน' ทั้งยังเป็นปัญหาสังคม ให้เพื่อนบ้านรังเกียจเดียดฉันท์เพราะกฏของอพาร์ตเมนท์นั้น "ห้ามเลี้ยงสัตว์" และนั่นอาจหมายถึง ความเดือดร้อนครั้งใหญ่ หากครอบครัวฮงโงะถูกอันเชิญให้ย้ายออก



ละครเรื่องนี้จึงน่าซาบซึ้งใจอย่างมากกับเรื่องหมาๆ ที่ถึงมันจะนำพาแต่ความเดือดร้อนมาให้ แต่มันก็เป็นเครื่องเยียวยาและยึดเหนี่ยวครอบครัวอัตคัดขัดสนนี้ไว้ด้วยกัน อย่างน่าสนใจ

พ่อ-ยูจิ ที่จำทนกับงานที่ไม่ต้องการทำแต่ต้องทำ แถมเพื่อนเก่าร่วมวงดนตรี ยังคอยวนเวียนมาเล่นดนตรีแสดงความเป็นอิสระเสรีโดยไม่ต้องมีความรับผิดชอบผูกติดกับอะไรให้ยูจิเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ความอดทนของคนเรามันมีขีดจำกัด ถึงจะต้องรับผิดชอบต่อปากท้องของครอบครัวอย่างไร ยูจิก็สุดจะทนรับสภาพกดดันต่อไปได้ไหว และตัดสินใจลาออกจากงาน

แม่-ซาจิ หากผู้เขียนเป็นผู้ชาย ผู้หญิงแบบซาจินี่แหละคือนางในฝัน ผู้หญิงที่จะเป็นเมีย เป็นแม่ของลูก เป็นเพื่อนสนิท และเป็นคู่ชีวิตที่ร่วมสุขร่วมทุกข์กันตลอดไป ซาจิที่เข้มแข็งอยู่เสมอ หน้าที่ของแม่บ้านที่ถือเงินใช้จ่ายอยู่ในมือ ทุกบาททุกสตางค์ต้องได้รับการคำนวณและใคร่ครวญเป็นอย่างดี นั่นทำให้เธอต้องใจแข็ง เด็ดขาด และเข้มงวด ซาจิในตอนแรกจึงต่อต้านการเลี้ยงเจ้าสกายเอาไว้ แม้จะรู้มาโกะได้มันมาด้วยความผูกพันอย่างไร และรู้ว่าสามีรักหมาแค่ไหน ตลอดจนคำสัญญาที่ยังไม่มีโอกาสทำได้ พวกเขาจะเลี้ยงหมา เมื่อพวกเขามีบ้านเดี่ยว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่วันนั้นจะมาถึง มาโกะรักมัน ยูจิก็รักมัน ส่วนมาซารุนั้น รักหรือไม่รักไม่สำคัญ สำหรับเขา..ยังไงก็ได้

ลูกชาย- มาซารุ เขาเป็นเด็กที่รับรู้ความจริงตามสภาพที่เห็นและเป็นอยู่ ..เราไม่มีเงินจะเลี้ยงมัน และเขาเป็นเด็กที่เข้าใจโลก เข้าใจแม่ของเขา แม่ที่เข้มแข็งที่สุดในโลก และมาซารุเชื่ออย่างสนิท..แม่จะไม่เปลี่ยนใจ

"พ่อจะโน้มน้าวแม่ให้เปลี่ยนใจหรือฮะ ...ไม่มีทางงงงงง"

มาซารุก็เป็นเหมือนเด็กทั่วไป เขาอยากได้อยากมีของเล๋นดีๆ แพงๆ เหมือนเด็กคนอื่น แต่เขารู้ดีพ่อแม่ไม่มีเงิน ถึงพ่อแม่ไม่เคยพูดคำเหล่านี้ "ยากจน" แต่เด็กชายมาซารุก็เข้าใจได้ตรงประเด็น ที่พ่อแม่ไม่มีเงินซื้อของเล่นดีๆ แพงๆ เพราะ "ครอบครัวของเรายากจน"

ถึงจะยังเด็กมาซารุก็มีทางออกแบบเด็กๆ ของที่พ่อแม่ให้ไม่ได้ มาซารุก็หาเอาเองได้ ด้วยวิธีการใช้กำลังเข้ายึด ..เป็นจิ๊กโก๋น้อยซะงั้น



ลูกสาว-มาโกะ ถ้าเทียบกับเด็กหญิงซาจิใน Shiroi Haru เด็กญิงชิซึกุ ใน Flower shop without roses และเด็กหญิงโคฮารุใน My girl มาโกะดูจะเล็กกว่านะคะ ยังไม่ค่อยจะรู้เรื่องหรือเข้าใจอะไรรอบตัวนัก แต่เธอกลับเป็นตัวแทนเสียงเล่าในละครเรื่องนี้ ..เสียงความคิด ของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่บอกเล่าสิ่งต่างๆ ในโลกรอบตัว ซึ่งก็ไม่ได้กว้างใหญ่ เพราะโลกของเธอมีอยู่ไม่กี่อย่าง บ้าน ตึกสกายทรีอันใหญ่โตที่มองเห็นจากบ้านและทั่วทุกมุมเมือง โอโต้ซัง โอก้าซัง โอนี่จัง และเจ้าสกาย การถ่ายทอดมุมมองของเด็กหญิงอายุแค่นั้นออกมาให้ซื่อใส โดยไม่เผลอใส่ความคิดแบบผู้ใหญ่ลงไปให้จับต้องได้ ถือว่าทำดีแล้วนะคะ เพราะก็ไม่มีตรงไหนที่ทำให้เห็นชัดเจนจนรู้สึกขัดแย้งได้ว่า มาโกะมีความคิดอ่านที่โตเกินเด็ก



มันเริ่มมาจากความกรุณาในหัวใจของมาโกะ ที่มีต่อเจ้าสกายโดยแท้ ครอบครัวนี้จึงได้เรียนรู้ เข้าใจกันและกัน และร่วมฝ่าฟันคืนวันที่ยากลำบาก พ่อที่เด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งขึ้น แม่ที่อ่อนโยนลง ลูกๆ ที่เติบโตขึ้นในช่วงเวลาไม่กี่เดือนหลังจากมีเจ้าสกายตัวปัญหามาอยู่ร่วมบ้าน มาซารุพี่ชายที่เกือบจะออกแนวเย็นชา กลับค่อยๆ กลายเป็นคนใจดี จากคนที่ส่งเสียงตะคอกใส่น้องกลับเปลี่ยนเป็นเสียงอบอุ่นที่คอยปลอบใจ คนที่วิ่งแซงไปโรงเรียนแบบไม่เหลียวหลัง กลายเป็นคนที่รั้งรอและยื่นมือออกมาให้ จริงๆ เลยนะคะ ครั้งแรกที่มาซารุยื่นมือออกมาให้มาโกะนั้น มันรู้สึกอุ่นเต็มหัวใจเลย และสุดท้ายที่ได้เห็นว่า เด็กเล็กๆ นั้น ถ้าหากอบรมสั่งสอนพวกเขาให้ดี นอกจากพวกเขาจะรู้จักพึ่งพาตัวเองได้ดีแล้ว ในบางครั้งเขายังเป็นที่พึ่งพิงของพ่อแม่ได้ด้วย

'พึ่ง' ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงอะไรที่มันใหญ่โต แต่หมายถึงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อะไรก็ตามที่เด็กๆ จะทำได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องเป็นภาระของพ่อแม่ ซึ่งจะว่าไปแล้วเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ว่า หากเรามองในมุมของเด็กมันก็คงเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งของเด็กแต่ละคน ปัญหาที่ผู้ใหญ่อาจมองว่าเป็นเรื่องเล็กๆ แต่สำหรับเด็กมันก็เป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับพวกเขา ตอนสุดท้ายที่มาซารุได้ทำตัวเป็น 'พี่ชาย' ให้มาซาโกะอุ่นใจ และเป็น 'ลูกชาย' ให้พ่อและแม่พึ่งได้ เมื่อพ่อบอกว่า

"เก่งมาก มาซารุ"
"ลูกเก่งมากจริงๆ"
"อาริงาโตะ
"


สิ้นคำของพ่อ เด็กชายมาซารุคงรู้สึกได้ว่าเขาหมดหน้าที่แล้วตามที่ได้พยายามอย่างดีที่สุด จึงปล่อยโฮกับไหล่ของพ่อ โดยที่มาโกะหันมองพี่ชายร้องไห้แล้วปล่อยฮือตามด้วยอีกคน พ่อกับแม่พากันเหลียวมองลูกสองคนทั้งน้ำตา โห...มันเป็นฉากที่ ...รู้สึกดีมาก ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรถูก ละครเรื่องนี้เหมือนเป็นแค่การดำเนินชีวิตของครอบครัวหนึ่ง พ่อ แม่ ลูก 4 คน กับ หมา 1 ตัว ที่จะว่าไปแล้วก็คล้ายกับเป็นเรื่องเรียบง่าย เล็กๆ น้อยๆ แต่อย่างที่บอกมันให้ความรู้สึกที่ใหญ่โตกว่านั้น

เจ้าสกาย หมาน้อยที่อาภัพตัวนี้ ถือได้ว่าเป็นเครื่องรางอันศักดิ์สิทธิ์ของครอบครัวฮงโงะ และมันสมควรได้รับการขึ้นหิ้งบูชาซะจริงๆ

เป็นซีรีย์ที่เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี ในเรื่องเราจะเห็นตัวละครสอนลูก แต่โดยเนื้อหาต้องถือเป็นละครสอนใจพ่อแม่ที่ดีเรื่องหนึ่ง ยามดูละครรักโรแมนติก ผู้เขียนก็รู้สึกอยากมีความรักและแต่งงานมีครอบครัวดีๆ กับเขาบ้าง แต่พอดูละครที่แต่งงานเป็นครอบครัว ก็รู้สึกว่าเป็นโสดนั้นชีวิตมันง่ายกว่ากันเยอะเลย ( 555 )

แม้ชีวิตคู่จะหมายถึงการมีคู่ชีวิตร่วมแบ่งปัน แต่พอแต่งงานกันไปนานๆ มันจะไม่ได้แบ่งปันแค่ความสุขความหวานชื่นอีกต่อไปน่ะสิคะ มันมีความทุกข์ยากลำบากที่ต้องช่วยกันแบกรับด้วย ยิ่งตอนมีลูกก็ดูจะยากยิ่งกว่าเดิม ผู้เขียนเคยเป็นแต่ลูก ไม่เคยเป็นพ่อเป็นแม่ ก็คงไม่เปรื่องเรื่องของการเป็นครอบครัวนัก แต่จากมุมมองส่วนตัวคิดว่าหน้าที่ที่ยากที่สุดของการเป็นพ่อแม่ ก็คือ การสั่งสอนลูกให้เป็นคนดี มันคงไม่ง่าย ไม่มีอะไรตายตัว ไม่มีวิชาไหน ศาตราจารย์คนใดจะสอนแล้วได้ผลเป๊ะตามตำรา แต่พ่อแม่คงต้องเรียนรู้จากลูก รู้จักเขา เข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น แล้วสอนเขาด้วยตัวของตัวเอง แล้วจะไม่ให้คิดว่ามันยากได้ยังไงล่ะคะ



เหตุนี้ ซาจิ จึงเป็น สุดยอดคุณแม่ ชอบมากเลยที่เธอก็ไม่ได้ดูโตกว่าลูกเท่าไรนักยามพูดคุยกัน ชอบตรงที่เธอเข้มงวดกวดขัน และไม่ปล่อยให้เรื่องใดๆ ผ่านเลยไปเพียงแค่เห็นว่ามันเป็นเรื่องของเด็ก

บ้านฮงโงะ ... มีกล่องอยู่ใบหนึ่งที่เรียกว่า "กล่องความฝัน" เป็นกล่องเงินเก็บกองกลางของครอบครัว ทุกๆ วันพ่อจะควักเศษเหรียญที่เหลือมาแต่ละวันใส่ไว้ในกล่องนั้น แล้วแม่ก็จะหยิบธนบัตรที่อยู่ในนั้นให้เป็นค่าใช้จ่ายของพ่อในแต่ละวัน เด็กหญิงมาโกะมองกล่องความฝันและรู้แค่ว่ามันเป็นกล่องสำคัญมากที่จะพาทุกคนไปฮาวายได้ในวันหนึ่ง ส่วนเด็กชายมาซารุที่รู้ความและเข้าใจโลกมากกว่าน้องสาวเยอะ ได้แต่มองกล่องนั้นด้วยอารมณ์แค่นนิดๆ สายตาดูแคลนหน่อยๆ เพราะเขาคิดว่าเงินในกล่องนั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นสักเท่าไหร่เลย แม้ครอบครัวของเราจะทำอย่างนั้นมานานหลายปีแล้วก็ตาม และอย่างหนึ่งที่เขารู้ แม่ไม่เคยนับเงินว่าจริงๆ แล้วมันมีอยู่เท่าไร

กล่องความฝัน ที่ทุกคนมองมันด้วยสายตาหลากหลายความรู้สึก ทุกคนรู้ว่ามันสำคัญ แม้แต่เด็กหญิงมาโกะก็รู้กับเขาเหมือนกันว่านั่น 'สำคัญมาก' เมื่อคืนวันหนึ่งที่เด็กน้อยตื่นมาพบ.. พ่อกำลังหยิบเงินจากกล่องความฝัน สายตาที่จ้องเขม็งมายังพ่อ ยากที่จะบอกได้ว่าเด็กหญิงคิดอะไร พ่อไม่มีคำอธิบาย นอกจากบอกว่า "อย่าบอกใคร"

ของราคาแพงผิดปกติที่พี่มาซารุมี และไม่มีคำอธิบายมากกว่านั้นนอกจากบอกว่า "อย่ายุ่ง" เด็กน้อยมาโกะคงไม่สามารถปะติดปะต่อเรื่องได้กับการที่เห็นพี่ชายขู่เข็ญรังแกเด็กคนอื่น สายตาจ้องเขม็งไปยังการกระทำนั้น แต่ก็ยากจะบอกได้เด็กหญิงมาโกะคิดอะไร

แล้วแม่ก็จับได้ พี่มาซารุมีของที่พ่อกับแม่ไม่มีทางซื้อให้ และพี่มาซารุสารภาพในที่สุด เขาหยิบเงินจากกล่องความฝันไป แม่บอกว่าเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของพ่อ แต่พ่อไม่พูดอะไรนอกจากมองมาที่มาโกะแล้วบอกพี่มาซารุแค่ว่านั่นเป็นสิ่งไม่ดีและ "อย่าทำอีก" ที่พ่อพูดได้แค่นั้น แม่โกรธมากถึงกับร้องไห้

โถ ..หนูน้อยมาโกะไม่เข้าใจ พ่อยูจิจะพูดอะไรได้ละคะ เพราะพ่อก็หยิบเงินจากกล่องความฝันไป และพยานรู้เห็นก็ยืนจ้องตาแป๋วอยู่ตรงนั้น สายตาที่พ่อมองมาสบตามาโกะ (ซึ่งมาโกะคงจะไม่ค่อยเข้าใจ) นั่นก็คือ ความละอายแก่ใจของคนเป็นพ่อนั่นเอง

การหยิบเงินจากกล่องความฝันที่ทุกคนรู้ว่าแม่ไม่ได้นับเงิน ถือว่าเป็นการตั้งใจขโมยโดยเจตนาที่แจ่มแจ้ง มาโกะเข้าใจ พี่มาซารุทำไม่ดี พ่อก็ทำไม่ดี แต่ว่า..วันหนึ่งมาโกะก็มีเรื่องจำเป็นต้องใช้เงินเหมือนกัน และกล่องความฝันก็ตั้งอยู่ตรงนั้น



Smiley แรงบันดาลใจแด่พี่ชายแสนดี

พี่มาซารุบอกว่า ครอบครัวของเรายากจน ที่เราต้องยากจนกันอย่างนี้ เป็นเพราะตัวของพี่เอง พี่บอกว่า เพราะมีพี่เกิดมาพ่อแม่ถึงต้องเลิกเรียนและมาแต่งงานกัน มาโกะที่คงไม่เข้าใจนักว่ายากจนมันแย่ยังไง จึงถามแม่ว่า

"แม่คะ ที่เรายากจนแบบนี้เพราะมีพี่เกิดมาหรือคะ"

ก่อนนั้นมาโกะคงไม่ค่อยเข้าใจที่เพื่อนไม่มาเที่ยวบ้านโดยบอกเหตุผล 'มันเล็กเกินไป' และทำไมการไปปาร์ตี้ของเด็กๆ จึงต้องใส่ชุดสวยๆ ที่ดีที่สุดด้วย

"แต่ว่าหนูไม่มีชุดสวยๆ "

คำพูดซื่อๆ ทำให้แม่น้ำตาคลอ แต่ประโยคต่อมาที่บ่งบอกว่ามาโกะไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรนักกับการไม่มีชุดสวยๆ ก็ทำให้แม่ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา


"หนูก็เลยเลือกชุดที่ชอบที่สุด"


เด็กชายมาซารุผู้รู้สึกขาดแคลน และเสาะหาของเล่นแพงๆ ที่อยากได้ด้วยวิธีการใช้กำลังเข้ายึด นั่งมองแม่ที่กำลังเล่าเรื่อง 'ของที่ชอบที่สุด' ให้น้องสาวฟัง ของที่พ่อใช้น้ำพักน้ำแรงแลกเงินซื้อมาให้แม่ด้วยความยากลำบาก ของที่ถึงแม้แม่จะใช้มันจนเก่ากึก แต่แม่ก็ยังภูมิใจและรักมันมากที่สุด มันดูมีค่ามากเมื่อแม่พูดถึงมัน ของที่พ่อซื้อให้และมาซารุเคยเมินอย่างไม่เห็นค่า จึงกลายเป็นของสำคัญขึ้นมาด้วยเหมือนกัน และถึงเวลาที่มาซารุต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อปกป้องมัน

ฉากหนึ่งที่ชอบมาก คือตอนมาซารุเดินตามมาโกะที่อุ้มเจ้าสกายเดินดุ่มๆ ตรงกับบ้าน หลังกลับจากพามันไปหาหมอ มาซารุที่รู้สึกผิดกับการเป็นต้นเหตุและพยายามจะช่วยเหลือ ทั้งที่ไม่ค่อยแสดงความเอื้ออาทรต่อน้องสาวมาก่อน "พี่อุ้มเอง" แต่มาโกะที่สีหน้ามุ่งมั่นตั้งใจกับคำศัพท์ที่เพิ่งเรียนรู้มาใหม่หมาด "แม่ของสกาย" จึงปฏิเสธคำเดียวอย่างไม่เหลียวหลัง "ไม่" ท่าทีเด็ดเดี่ยวของน้องสาวที่ต้องการจะปกป้องเจ้าสกายด้วยตัวเอง คงเป็นภาพที่มาซารุไม่เคยเห็นมาก่อน โอนี่มาซารุจังก็เลยอึ้งมองตามหลังน้องตาปริบๆ

สิ่งที่มาซารุเห็น มาโกะทำสิ่งต่างๆ มากมาย เพื่อปกป้องเจ้าสกาย มาโกะตัวเล็กนิดเดียว แต่มาโกะดูแลมันอย่างดีและบอกว่าเธอคือแม่ของมัน 'มาโกะเป็นแม่ของสกาย' ก็ถ้ามาโกะปกป้องอะไรสักสิ่งหนึ่งได้ มาซารุที่เป็นพี่ชายต้องทำได้ดีกว่าสิ และสิ่งที่เขาต้องดูแลคงไม่เห็นเป็นอะไรอื่นนอกจากมาโกะน้องสาวของเขาเองกับเจ้าสกายหมาน้อยผู้อาภัพนั่นแหละ

การค่อยๆ เปลี่ยนของมาซารุ เป็นจุดที่ชอบมากในละครเรื่องนี้ คงเพราะเขาเป็นเด็กด้วย ปัญหาของเด็ก วิถีของเด็ก และเมื่อเด็กมาถึงจุดเปลี่ยนที่จะสวมวิญญาณหัวใจลูกผู้ชาย ( ตัวน้อยๆ ) เท่มาก และน่ารักมากมาย



Smiley รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี

สุภาษิตนี้ไม่มีวันตาย ผู้เขียนมีความรู้สึกขัดแย้งอย่างุรนแรงในยุคสมัยหนึ่งที่มีการพูดกันเกร่อเรื่องครูกับการ "แขวนไม้เรียว" หรือ "หักไม้เรียวทิ้ง" จะพ่อแม่หรือครู ผู้เขียนเป็นคนหัวเก่าที่เชื่อว่าการลงโทษให้หลาบจำยังเป็นเรื่องสำคัญจำเป็นอยู่ หรือจริงๆ แล้วอาจจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่าหรืออย่างน้อยก็ดีเท่ากันโดยไม่ต้องตีเลยแม้แต่สักครั้งเดียว ซึ่งผู้เขียนเองก็ไม่รู้ แต่ที่โตมาและคิดว่าตัวเองเป็นคนใช้ได้พอสมควร เพราะอย่างน้อยก็ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับสังคม (จริงๆ นะ) ก็เพราะถูกเลี้ยงมาด้วยการตีบ้างอะไรบ้าง ทั้งจากพ่อแม่และคุณครู ทุกวันนี้เมื่อเล็บยาวเกะกะ ยังมีบ่อยครั้งไปที่ทำให้นึกถึงครู การลงโทษให้จีบมือและตีที่ปลายนิ้วนั่นมันอย่างเจ็บเลย หรือจะเป็นเพราะครูนะทุกวันนี้ก็ไม่สามารถไว้เล็บยาวๆ ทาสีสวยๆ ได้เลย ( 555 โทษครูซะ) เมื่อไหร่ที่นึกถึงการโดดเรียนจะนึกถึงพ่อ เพราะตั้งแต่เกิดมาเป็นครั้งเดียวครั้งนั้นที่จำความได้ว่าถูกพ่อตี และแค่ครั้งเดียวก็สาบานได้ว่าจะไม่ขอโดนพ่อตีอีกเลยในชีวิตนี้ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ส่วนแม่นั้น เธอตีผู้เขียนเป็นเรื่องปกติ ดีหน่อยที่ไม่ถึงกับเป็นกิจวัตรประจำวัน ส่วนครูนั้นส่วนใหญ่จะโดนกรณีซ่าส์เป็นหมู่คณะ ซึ่งการลงโทษที่ผู้เขียนเกลียดกลัวที่สุด เจอครั้งเดียวเป็นอันเข็ดหลาบ ก็คือ การปั่นจิ้งหรีด รับไม่ได้จริงๆ การลงโทษแบบนี้ เพราะทำเอาเซซังและมึนไปซะครึ่งวันแม้มันจะหมุนแค่สิบรอบก็ตาม

อ่ะ ขออภัยนอกเรื่องอีกละ ก็จะพูดถึงการตีนี่แหละค่ะ มาซารุโดนเข้าไปถึงสองครั้ง แบบจัดเต็ม ครั้งแรกถูกแม่ตบซะหน้าหัน ตอนนั้นยูจิพูดกับซาจิ

"ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่ควรตบหน้าลูกนะ"

แต่พอถึงคราวตัวเองบ้าง

"พ่อให้ผมเกิดมาทำไม!" คำถามเกรี้ยวกราด ที่ทำให้พ่อร้องอ้าปากร้อง ...ฮ้า...

"ลูกบอกว่า บ้านเรายากจนเพราะมีเขาเกิดมา" คำอธิบายเพิ่มเติมของแม่ทำให้พ่อต้องร้องออกมาอีกครั้ง ....ฮ้า...

"ก็มันจริงนี่ เพราะว่า เพราะมีผม พ่อกับแม่เลยจำใจต้องแต่งงานกันใช่ไหม!"

นั่นแหละ.. มาซารุก็เลยโดนพ่อตบเสียหน้าคว่ำ ก่อนจะกระชากกลับมาเขย่าตัวให้รับฟัง

"อย่าพูดเหลวไหล ไหน พูดอีกครั้งซิ
แก.. คิดอย่างนี้มาตลอดเหรอ
เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าพูดจาโอหัง"

"ใคร ... ใครแต่งงานเพื่อแกเหรอ
พ่อแต่งงานกับแม่ เพราะรักแม่มากไม่ได้มีเหตุผลอื่น
ที่แกเกิดมา มันแค่ทำให้เราแต่งงานกันเร็วขึ้น
ครอบครัวเราลำบากยากจน แต่มันก็เป็นแรงผลักดันให้พ่อสู้
มันเป็นปัญหาของพ่อ"


พ่อที่เคยใจดีและคงไม่มีโอกาสที่จะลงมือตีลูกมาก่อนสักครั้ง แต่ที่สุดก็มีจุดที่โมโหจนฟิวส์ขาดเข้าเหมือนกัน มาซารุร้องไห้เต็มเสียง ยูจิกอดลูกปลอบโยนเบาๆ

"อย่าพูดอีก อย่าพูดแบบนี้อีก ห้ามคิดด้วย"

ทั้งที่โดนตบ แต่คำพูดจากปากของมาซารุ แสดงว่าสิ่งที่ฝังอยู่ในใจมานานได้ถูกรื้อถอนและรับการเยียวยา

"ผมขอโทษฮะ"

มาโกะมอง จ้องเป๋งไปยังพ่อและพี่ชาย เช่นเดิม ..ท่าทางคงไม่ค่อยเข้าใจนัก


"พี่มาซารุ ถูกตบหน้าเป็นครั้งที่สอง แต่พี่กอดพ่อไว้แน่นเชียว"




Smiley สิ่งที่เลือกแล้วคือสิ่งที่ดีที่สุด

"คนเราน่ะ เลือกได้นะ ว่าจะทำตามความฝันของตัวเอง
หรือจะโยนมันทิ้งไป พวกเค้าตัดสินใจด้วยตัวเอง
ถึงตอนนี้ นายก็ใช้ชีวิต แบบที่นายเลือกแล้ว ใช่มั้ยยูจิ
ยังไงก็เถอะ นายยังแน่ใจอยู่หรือเปล่าว่าเป็นแบบนั้น"


ฮิเอะ อดีตเพื่อนร่วมวงที่ยังพยายามไล่คว้าความฝัน และถึงไม่พูดออกมาตรงๆ ก็รู้ได้ว่าอยากให้ยูจิร่วมทางไปด้วยกัน ยูจิที่เต็มไปด้วยภาระ กำลังลำบากขัดสนกับชีวิตที่เห็นได้ชัดว่าขาดอิสระ แต่ผู้เขียนคิดว่าที่ฮิเดะพยายามชักจูงยูจิคงเป็นเพราะความล่องลอยไร้อนาคตของเขาเอง ที่ทำให้อยากจะยึดโยงความมั่นคงของยูจิเอาไว้ โดยใช้ความฝันอันเย้ายวนเป็นสิ่งล่อใจ ชวนให้ดูแล้วหวั่นไหว ..แต่การดูซีรีย์ญี่ปุ่น ความที่มันสั้นแค่ 9 ตอนและการดำเนินเรื่องค่อนข้างฉับไวกว่าซีรีย์เกาหลีเยอะ เวลามีอะไรให้เครียดก็ไม่ต้องกังวล เพราะมันไม่เครียดอยู่นาน อีกทั้งยูจิก็ค่อนข้างชัดเจนแต่แรก

"เพราะฉันคิดว่าเธอจะไม่ยอมแต่งงานกับฉัน
เพราะฉันไม่คิดว่าเธอจะเลือกฉัน คนที่ไม่มีอนาคต
ถ้าเพื่อลูกๆ ที่เกิดมาของเรา ฉันไม่แคร์เรื่องกีตาร์หรือดนตรี
จริงๆ นะ ฉันคิดอย่างนี้แหละ
คิดว่านี่ เป็นเรื่องที่ฉันคุยโม้ได้
ฉันมีความสุขกับชีวิตอย่างนี้"


ชัดเจนในคำพูด แต่ลึกๆ แล้ว ในสภาพการณ์อย่างนั้นไม่รู้พูดออกมาเพื่อปลอบใจตัวเองหรือเปล่านะ จุดนี้ ผู้เขียนไม่กล้าฟันธง เช่นเดียวกับไม่กล้าฟันธงการตัดสินใจของตัวละคร เกี่ยวกับเรื่องงาน ที่มันอาจจะเป็นเรื่องน่าชื่นชมสำหรับคนอื่น แต่สำหรับครอบครัวไม่รู้ว่าการลาออกจากงานที่เปรียบเสมือนการตัดสินใจพาครอบครัวไปเสี่ยงอดตายเอาดาบหน้านั้น อย่างไหนควรทำกว่ากัน แต่ในฐานะที่ผู้เขียนดูละครเยอะจัด จึงมักจะให้น้ำหนักกับเรื่องของศักดิ์ศรีเป็นสำคัญ 'กินไม่ได้แต่เท่' เพราะคนบางประเภทก็อยากมีชีวิตอยู่อย่างภาคภูมิใจในตัวเองนะคะ ถึงมีเงินทองมากมายไม่มีวันอดตาย แต่คนประเภทที่ว่านั้นอาจจะตายได้อย่างง่ายๆ ถ้าต้องทนอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรี คนแต่ละคนมีบางเรื่องบางอย่างที่เป็นสิ่ง 'รับไม่ได้' แตกต่างกัน และถ้าวันใดวันหนึ่งตัวเราเองเป็นคนที่ทำสิ่งทีรับไม่ได้ที่ว่านั้น มันค่อนข้างจะเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว หากคนเราต้องสูญเสียความนับถือในตัวเอง แล้วใครจะนับถือเรา เพราะยูจิยังรักษามันไว้ วันหนึ่งมาซารุจึงมีโอกาสเข้าใจ ที่พ่อของเขาตกงาน ครอบครัวลำบากและไม่มีเงิน ไม่ได้หมายความว่าพ่อเป็นพวกขี้แพ้ แต่เพราะพ่อพยายามช่วยคนอื่น และพ่อของเขาคือฮีโร่



Smiley ความสุขของคนเราไม่เท่ากัน

มันไม่เท่ากันจริงๆ เพราะบางคนมีเงินก็ใช่จะมีความสุข มีเงินก็ใช่ว่าจะซื้อความฝันได้ เพราะความฝันมันต้องใช้อะไรมากกว่านั้น ความสามารถ จังหวะของโอกาส (และความฟลุ้คด้วยนิดหน่อย) มีเงินแต่จะมีประโยชน์อะไรเมื่อจุดประสงค์ของการใช้เงินไม่มีอยู่อีกต่อไป เงินซื้อสิ่งต่างๆ ได้มากมาย และทำให้คนมีความสุขได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกอย่าง เงินซื้อชีวิตไม่ได้ และความพึงพอใจบางอย่างก็ซื้อไม่ได้ด้วยเงิน ดูอย่างเด็กหญิงมาโกะ ในท่ามกลางความลำบาก จากที่พ่อไม่ค่อยเวลา เวลาออกจากบ้านพร้อมกับพ่อในตอนเช้า พ่อไม่เคยมีเวลาหยุดฟังเรื่องที่มาโกะอยากพูดคุยได้จบ เพราะความเร่งรีบที่ต้องแยกไปทำงานและกลับถึงบ้านตอนดึกดื่น พ่อตกงานคงเป็นเรื่องไม่ดี แต่อย่างหนึ่งที่มาโกะรู้

"เรื่องดีที่พ่อออกจากงาน พ่อกลับถึงบ้านในเวลาที่ไม่น่าเป็นไปได้"



มาโกะ มีเพื่อนร่วมชั้นอยู่คนหนึ่ง เธอชื่อ ชิสุกะ (Ihara Ryoka) ครอบครัวของเธอมีฐานะรวย และแม่ของเธอก็ชอบเหยียดๆ แม่ของมาโกะที่ทำงานพาร์ทไทม์อยู่ร้านสะดวกซื้อที่เธอไปจับจ่ายซื้อของเป็นประจำ ชิสุกะก็เป็นเด็กหญิงที่มีนิสัยชอบข่มแบบคนขี้อวดนิดๆ ที่คงจะติดมาจากแม่ของเธอ กับเพื่อนร่วมชั้น ฮงโงะ มาโกะ เป็นอะไรที่ไม่ค่อยจะกินเส้นกัน ตรงนี้อธิบายอาการของเด็กลำบาก ต้องลองดูกันเอาเองค่ะ มันเป็นอะไรที่น่ารัก ขำๆ แล้วก็ทำให้อดยิ้มไม่ได้ ประมาณว่า "ไฮโซจ๋า กับยัยปอนๆ" มาโกะน้อยของเราดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ละเรื่องที่ชิสุกะพูดออกมาจากปาก ซึ่งชิสุกะน้อยก็คงจะจดจำเอามาจากแม่ของเธอที่เป็นสมาชิกขาใหญ่ของสมาคมแม่บ้านชอบนินทานั่นแหละ แต่ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจ มาโกะก็คงรับรู้ความเป็นมิตรหรือศัตรูในน้ำเสียงของคนพูดได้ เธอเป็นเด็กที่ไม่พูดไม่เถียง แต่ไม้เด็ดของเธอคือการ "จ้องมอง"

ผู้เขียนล่ะหลงรักสายตาจ้องมองของเธอซะจริง เหมือนกับว่า เวลาที่เธอไม่ค่อยเข้าใจ เธอก็จะจ้องมองเพื่อพยายามทำความเข้าใจ อย่างตอนที่จ้องมองพ่อหยิบเงินจากกล่องความฝัน จ้องเงียบๆ จ้องมองพี่ชายรังแกคนอื่นอยู่เงียบๆ คงเป็นเพราะเธอไม่ค่อยเข้าใจและยังมีเป็นเด็กที่มีจิตใจอ่อนโยน มาโกะจึงไม่ได้ถือสาหรือจดจำความเป็นอริที่รู้สึกได้จากตัวของชิสุกะ (ธรรมชาติของเด็กคงเป็นอย่างนั้นเอง) เมื่อถูกชวนไปบ้านก็ตั้งใจจะไป เมื่อชิสุกะโผล่มาที่บ้านก็ยอมให้เข้ามา แม้จะดูงงๆ ที่ได้รับการเชิญให้เข้าร่วมงานปาร์ตี้จากเจ้าหญิงชิสุกะ และเจ้าหญิงก็มีเสด็จมาเยี่ยมบ้านเล็กๆ ที่เคยปฏิเสธจะมา ( 555 น่ารัก) ทั้งนี้ทั้งนั้น เพราะถึงจะเป็นลูกคนรวย คุณหนูชิสุกะก็ไม่มีบางสิ่งที่มาโกะมี หมาน้อยน่ารัก ที่บ้านของชิสุกะเลี้ยงไม่ได้ และพี่ชาย ที่พ่อกับแม่ไม่มีให้ พี่ชายที่คอยเรียก "มาโกะ ไปกันเถอะ" และจับจูงมือไปด้วยกัน ทำให้ชิสุกะต้องการเรียกร้องในสิ่งที่ขาดแคลน

"แม่คะ ... หนูอยากได้พี่ชาย แม่มีพี่ชายให้หนูได้ไหมคะ"



Smiley ถ้าเธอพร้อมฉันก็พร้อมไปด้วยกัน

ความสัมพันธ์ของสามีภรรยา ยูจิ-ซาจิ ทำให้นึกถึงเพลงนี้ของโบว์ สุนิตาเลยค่ะ

ถ้าเธอพร้อม ฉันก็พร้อมไปด้วยกัน
เดินบนทาง ที่สองเราเลือกไป
ไม่ว่าจะดี จะร้าย จะพร้อมใจ
บทสุดท้ายจบอย่างไร
ก็หาคำตอบไปด้วยกัน


ความรัก....คงไม่ต้องพูดถึงเมื่อสองคนตัดสินใจทิ้งฝันเพื่อจะเผชิญหน้ากับความลำบากด้วยกัน นอกเหนือจากนั้นยังแสดงให้เห็นถึงสิ่งดีๆ หลายอย่างที่สามีภรรยาพึงมีต่อกัน พึ่งพาอาศัย ยอมรับ เข้าใจ และรู้จักตัวตนของกันและกัน ตัวตนที่เป็นความน่านับถือและร้อยรัดความรู้สึกดีๆ ที่มี่ต่อกันไว้ ผูกยึดเป็นความเชื่อใจ และเคารพในการตัดสินใจของกัน ละครคงไม่ต้องใส่พฤติกรรมหรือคำบรรยายใดที่จะบอกว่าทำไมซาจิเลือกผู้ชายคนนี้ มันเข้าใจกันได้จากสิ่งที่ยูจิเป็นอยู่แล้วในภาพรวม คงเพราะเชื่อใจและมั่นใจในกันและกัน จึงสามารถจะวางใจในอีกฝ่าย แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ยูจิอาจจะไม่กล้าลาออกก็ได้ หากเขาไม่มั่นใจว่าซาจิจะเข้าใจและไม่เกิดเป็นการทะเลาะเบาะแว้ง เธอตกใจกับเรื่องที่รับรู้ เอ่ยปากถึงความกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น แต่ก็แค่นั้น ไม่บ่นไม่ว่า ไม่ซักถามเอาสาเหตุเพื่อแสดงความคิดเห็น หรือซ้ำเติม แล้ววันรุ่งขึ้นมันก็เป็นวันปกติที่คอยให้กำลังใจสามีเหมือนเช่นทุกๆ วัน นางในฝัน ศรีภรรยาในอุดมคติจริงๆ ค่ะ

ชอบตอนที่ยูจิ-ซาจิ พูดกันเรื่องเงินห้าแสนเยน และยูจิพูดให้ซาจิหวนคิดถึงอดีตที่เคยลำบากมาด้วยกัน ยูจิที่เข้าใจดีว่าซาจิเป็นแม่ที่ต้องเข้มแข็งแค่ไหน ในทุกๆ ครั้งที่ต้องปฏิเสธความต้องการเล็กๆ น้อยๆ ของลูก ด้วยเหตุผลที่ว่า 'ไม่มีเงิน' เงินห้าแสนเยนจึงเป็นเรื่องที่ชวนยิ้มขันเมือยูจิมองมาที่ภรรยา

"ข้อดีที่สุดของเธออย่างนึง ก็คือการโกหกไม่เก่งนี่แหละ"

ผู้เขียนชอบอาซามิในบทของซาจิจริงๆ ทุกครั้งที่เธอโมโห ทุกครั้งที่เธอร้องไห้ เป็นคุณแม่ที่น่ารักจริงๆ ส่วนเรียว เล่นเรื่องนี้ได้โอเคแล้ว แต่บางเวลาก็มีแอบนอกใจ อยากให้เอตะเล่นเป็นคุณพ่อและสามีของอาซามิในบทนี้แทน (แต่ก็แค่นิดเดียวเองนะ ก็ชอบเอตะกับอาซามิน่ะ เลยเผลอนอกใจไปบ้าง)



Smileyครอบครัวพันผูก พ่อแม่ลูกผูกพัน

ชอบมากค่ะ ครอบครัวนี้ ชอบทุกคนเลย ซาจิที่บางครั้งก็ดูเหมือนเป็นพี่สาวคนโตมากกว่าเป็นแม่ เวลาเธอวุ่นวายกับงานบ้านและรบรากับลูกๆ จะดูน่ารักมากจริงๆ ละครแนวครอบครัวเรื่องอื่นๆ เรามักจะเห็นพ่อแม่ที่เป็นผู้ใหญ่กว่านี้และมีลูกเป็นหนุ่มเป็นสาว หรือเป็นวัยรุ่นที่มีปัญหาและต้องการความรักความเข้าใจรวมถึงการเป็น 'ที่พึ่ง' จากพ่อแม่ แต่เรื่องนี้มาโกะและมาซารุยังเล็กเกินกว่าจะต้องการที่พึ่งอะไรแบบนั้น เขาแค่ควรจะเข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัวในทางที่ถูกต้องและมีความสุขกับมัน พ่อแม่ที่ก็ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว และอยู่กันตามลำพังไม่มีผู้ใหญ่ที่เป็นปู่ย่าตายายของเด็กๆ ให้คอยพึ่งพิงเป็นที่ปรึกษา มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเป็นพ่อแม่ที่ดี จะสอนลูกเล็กๆ อย่างนั้นให้เข้าใจได้อย่างไร ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่ไม่ควรทำ และต้องไม่ทำ จะสอนอย่างไรให้เข้าใจกฏของการอยู่ร่วมกัน เข้าใจความสูญเสีย ความโศกเศร้า และสิ่งสำคัญคือสอนให้มีความสุขความพอใจในตนเอง แม้ครอบครัวจะขัดสน ไม่มีกินมีใช้ร่ำรวยเหมือนครอบครัวคนอื่นๆ ... นั่นมันน่าจะยากจริงๆ นะคะ แต่ที่ดูในละครเรื่องนี้เหมือนมันไม่ยาก ก็แค่พ่อแม่ไม่รู้สึกว่านั่นเป็นภาระเป็นความยากลำบากของชีวิต ลูกก็คงเข้าใจได้เองว่ามันไม่ใช่ปัญหาที่พวกเขาต้องกังวลหรือรู้สึกด้อยค่ากว่าคนอื่น ดูเด็กหญิงมาโกะสิ เธอแค่ถามแม่เพื่อทำความเข้าใจเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปแค่เรื่องหนึ่ง

"เอ๋ ... ครอบครัวของเราไม่เคยมีเงินเลยสินะคะ"

มีหลายฉากหลายตอนที่ชอบมากมาย อย่างเช่นที่ยูจิโดดงาน มาโกะโดดเรียน สามคนพ่อแม่ลูก นั่งคุกเข่ากันคนละมุม พ่อกับลูกสาวนั่งก้มหน้าเตรียมตัวรับการสอบสวนจากแม่ที่นั่งคุกเข่ารอฟังอยู่อีกฟากและกำลังรอการสารภาพผิด ชอบที่ยูจิคุกเข่าลงต่อหน้าลูกๆ และภรรยาเพื่อสารภาพว่าเขาหยิบเงินจากล่องความฝันไป แล้วสามแม่ลูกร้องพร้อมกัน ... "เอ๋......" ชอบที่มาโกะโกรธพี่ชาย จ้องเขม็งแล้วอุ้มหมา สะบัดหน้าหนี รูดม่านปิดพรึ่บ (น่ารัก) ชอบทุกครั้งที่ซาจิระเบิดอารมณ์ เหมือนทำให้ผ่อนคลายตามไปด้วย ซึ่งมันก็แค่นั้นจริงๆ เพราะไม่ว่ายังไงเธอก็พร้อมจะเข้าใจยูจิ ก็ต้องมีโกรธกันบ้าง และเธอก็หันไประบายลงในข้าวกล่องที่ทำให้สามี ชอบทุกครั้งที่ซาจิและยูจิหันหน้าเข้าปรึกษากัน เรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องของลูกบางเรื่องแม้อยากจะจัดการเองใจแทบขาด แต่ซาจิก็เห็นว่าควรเป็นเรื่องของพ่อที่ต้องจัดการ


"ยูจิเป็นพ่อ เรื่องนี้ต้องพูดกับมาซารุให้รู้เรื่องนะ จะปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้ อย่าหนีอีกเลย"
.......

"งั้นถ้ามันเกี่ยวกับมาซารุหรือมาโกะ ยูจิก็จะไม่ทำอะไรเลย เพราะผลมันอาจจะแย่งั้นเหรอ"

.......

"นี่ ยูจิ เรื่องมาซารุน่ะ .. ฉันรู้สึกว่า เพราะเราเลี้ยงเขามาไม่ดีพอหรือเปล่า"

.......

"เธอรู้สึกไหม ตั้งแต่มีเจ้าสกายมาอยู่ด้วย ลูกๆ ของเราโตขึ้น"



Smiley ขอบคุณสำหรับการค้นพบ


ตัวละครมีไม่มาก บรรดาตัวประกอบก็เหมาะเจาะพอดีมีเรื่องราวพอควรเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันออกมาเป็นละครเรื่องหนึ่งที่น่าจดจำเรื่องนี้

ฮิเดะ (Takeda Kohei) เพื่อนรักนักดนตรีของยูจิที่ดูจะพยายามแย่งสามีของซาจิไปทำวงด้วยกัน คนที่วางยาพิษไว้ในใจของซาจิด้วยคำถามที่ว่า

" นี่ ..ซัจจัง ยูจิน่ะ ไม่สามารถเป็นอิสระได้อีกแล้วใช่ไหม"

ฮอตตะ ( Taguchi Junnosuke ) เพื่อนสมัยมัธยมของซาจิ เป็นคุณหมอหนุ่มรูปหล่อ ฐานดีมีพร้อมที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือ แต่ความช่วยเหลือจากเพื่อนชายที่คุณสมบัติเริ่ดเช่นนี้ เทียบกับสามีที่ตกงาน และดิ้นรนทำงานทุกอย่างไม่เลือก ขอใช้คำนี้อีกแล้วการแก้ปัญหาเศรษฐกิจครอบครัวที่ ..'เปราะบาง'.ความช่วยเหลือจากคนที่เหนือกว่า มันคงจะไม่ใช่ทางออกที่ดีสักเท่าไร



คุโบตะซัง (Izumiya Shigeru) หนึ่งในคนที่ยูจิขอร้องให้ลาออก กับเงินชดเชยที่ต้องการเพื่อใช้รักษาภรรยาที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง คุโบโตะซังคนนี้มีส่วนสำคัญต่อความเป็นไปของยูจิและครอบครัวไม่น้อยเลยทีเดียว

สัตวแพทย์นาราฮาชิ ( Sugimoto Tetta) ที่ค่อยๆ กลายเป็นมิตรแท้ต่อครอบครัวฮงโงะ แล้วยังมาสเตอร์บาร์เหล้าเจ้าประจำที่ดูจะรับรู้เรื่องราวและเข้าใจยูจิดีเป็นที่สองรองจากศรีภรรยา



ทุกคนมีสิ่งละอันพันละน้อยมารวมกันเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว Inu o Kau to Iu Koto ที่ให้ความรู้สึกออกมาใหญ่โตแบบนี้ได้ ก็เพราะเค้าตัวนี้ตัวเดียว 'ตัว' ที่ตั้งใจจะไม่พูดถึง ณ ที่นี้ แต่อยากละไว้ให้คุณไปทำความรู้จักกับคุณงามความดีที่ตัวเค้าได้ทำให้กับครอบครัวฮงโงะด้วยตนเอง (ซึ่งเจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่ามันได้ทำ) เป็นตัวละครสำคัญที่เป็นเป็นศูนย์กลางของเรื่องเลยล่ะค่ะ



"สกาย" หมาน้อยหลงทาง กับโชคชะตาสุดอาภัพที่ใครๆ บอกว่ามันโชคดีจริงๆ ที่ได้พบกับครอบครัวดีๆ อย่างครอบครัวฮงโงะ แต่สำหรับครอบครัวฮงโงะแล้ว นั่นไม่ใช่ความจริงสักนิดเดียว เป็นพวกเขาต่างหากที่โชคดี โชคดีจริงๆ ที่มันมาอยู่กับครอบครัวอัตคัดขัดสนนี้ ครอบครัวฮงโงะต่างหากที่โชคดีถูกมันพบเข้า

อาริงาโตะ  .... ขอบคุณ 'สกาย' สำหรับการค้นพบที่มีค่าเหล่านั้น




***













ภาพและข้อมูล :

Dramawiki และอื่นๆ ในอินเตอร์เน็ต




 

Create Date : 17 กันยายน 2554    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2558 8:53:49 น.
Counter : 2692 Pageviews.  

เตรียมจัดคิว ซีรีย์พลาดไม่ได้ และไม่อยากพลาด ส่งท้ายปี 2011

ช่วงครึ่งปีแรก บ่นอุบกับตัวเอง หาซีรีย์ที่อยากดู ยากเหลือเกิน หรือจริงๆ แล้วเป็นเพราะเราห่อเหี่ยวไปกับสึนามิที่ญี่ปุ่น ก็เลยไม่ค่อยรู้สึกอยากดูซีรีย์เรื่องไหนเป็นพิเศษ ช่วงนี้ก็รู้สึกหดหู่กับภาวะอุทกภัยของคนไทย ดูข่าวทุกเช้า ต้องพยายามบอกตัวเองว่าอย่าเสียพลังไปกับสภาพต่างๆ นานา ที่เห็น เพราะไม่ว่าจะอย่างไร ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป พื้นที่อุทกภัยบางแห่งก็เป็นจังหวัดเดียวกันกับบ้านเกิด อำเภอติดกันอีกต่างหาก ใกล้เหลือเกิน ใกล้จนรู้สึกเหมือนเป็นท้องถิ่นตัวเอง เห็นแล้วปวดหัวใจ ถ้าหากประเทศของเราร่ำรวย มีเงินสำรองที่จะเยียวยาฟื้นฟูสภาพชีวิตความเป็นอยู่ชาวบ้านไหวก็คงพอจะช่วยผ่อนคลายใจ แต่เท่าที่เรารู้เกี่ยวกับรัฐและการเมืองมาทั้งชีวิตก็คงจะหวังพึ่งพายากหน่อยนะคะ แค่จดรายชื่อคนเดือดร้อนยังต้องจ่ายค่าจดคนละร้อยบาท (เชื่อเขาเลย ว่าในภาวะอย่างนี้ ยังอุตส่าห์ ...) ก็ขอเป็นกำลังใจให้คนไทยเข้มแข็ง และสู้ต่อไป ชีวิตไม่สิ้น ต้องดิ้นกันไปค่ะ บรรยากาศบ้านเมืองที่ทุกข์ร้อนอย่างนี้ บรรยากาศการทำงาน ก็..นะ ...อย่าให้พาดพิงถึงเลย เดี๋ยวเรื่องมันยาว ทำงานเสร็จทิ้งงานไว้ที่ทำงาน กลับบ้านมาดูซีรีย์ดีกว่า

ตึง! เครียด! ดูซีรีย์!

แต่ปลายปี ... โห เห็นแล้วเครียดหนักกว่าเดิม เพราะดาหน้าปล่อยซีรีย์กันมา มีแต่ซีรีย์น่าดูเต็มไปหมด มาลองไล่กันไว้คร่าวๆ


Inu o Kau to Iu Koto

นิชิคิโด เรียว และ มิซึคาว่า อาซามิ ดูไปครึ่งหนึ่งแล้วค่ะ เป็นซีรีย์ครอบครัวที่ดีมากๆ เคยดูซีรีย์แนววสายใยรักในครอบครัวอย่าง 1 litre of tears , Aikurushii, 14 sai no haha หรือเรื่องอะไรก็ต่างที่มีประเด็นเกี่ยวกับครอบครัว เรื่องนี้จะมีจุดแตกต่างของความสัมพันธ์ในครอบครัวออกไปเล็กน้อย แต่ให้อะไรความรู้สึกที่ค่อนข้างแตกต่างจาก 'ครอบครัว' ในเรื่องอื่นๆ มากทีเดียว เป็นซีรีย์ที่ดีจริงๆ ค่ะ ไว้ดูจบแล้วจะมาเล่าให้ฟัง



Soredemo, kite Yuku

เอตะ และ มิสุชิมะ ฮิคาริ ดูไป 7 ตอนแล้วค่ะ แล้วตอนนี้ก็อยากจะลงแดงซะให้ได้ เพราะอยู่ๆ ก็เหมือนการแปลซับจะชะงักไปเฉยๆ เช็คเกือบทุกวัน ซับก็ยังไม่มา เรื่องนี้เป็นชื่อเอตะก็จริงๆ แต่ที่ดึงดูดความสนใจได้ชะงัดนักคือพล็อตเรื่อง และหลังจากที่ดูไป 7 ตอน อา...นี่แหละซีรีย์อารมณ์สีเทาที่หาไม่เจอมานาน ถ้าคิดจะทำซีรีย์ให้หม่น อย่างน้อยมันต้องอารมณ์ประมาณนี้ (เปล่าโรคจิตนะคะ แค่ซาดิสก์นิดหน่อย 5555)





Hi wa Mata Noboru

ในฐานะที่เป็นคนชอบพระเอกละครสไตล์ชายในเครื่องแบบอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แล้ว มิอุระ ฮารุมะ อุตส่าห์หั่นผมสั้นมารับบทนักเรียนตำรวจ ที่ก็ไม่ได้ใส่ใจจะเป็นสักเท่าไหร่ แต่งานนี้เดาว่าคงเปลี่ยนมาเป็นความทุ่มเทกันได้ จากประสบการณ์ การเรียนรู้ และการเชิดชูจรรยาบรรณ คาดว่าคงไม่ต่างจากซีรีย์การงานอาชีพทั่วๆ ไป แต่ดูไปแล้ว 1 ตอน เรื่องการใช้คำพูดคำจา ชวนให้นึกไปถึง Rescue อยู่เรื่อย ไว้ดูจบค่อยไปเช็คผู้เขียนบท/ผู้กำกับ เผื่อจะบังเอิญเป็นทีมเดียวกัน (ตอนดู Rescue นึกถึง Code blue แล้วก็ใช่คนเขียนบทเดียวกันจริงๆ ด้วย )




Saigo no Kizuna: Okinawa Hikisakareta Kyodai


ส่วนเขาคนนี้ ซาโต้ ทาเครุ นอกจากพักนี้จะมีผลงานไม่น้อยหน้าใคร ยังสังเกตได้ว่าชักจะได้บทข้ามหน้าข้ามตา มิอุระ ฮารุมะ ผู้เคยเป็นเพื่อนตายสหายต่อต้านไว้รัสในเรื่อง Bloody Monday ไปสักไม่น้อยเลยนะคะ เห็นความรุ่งเรืองในอาชีพนักแสดงของซาโต้แล้วแม่ยกคนนี้ก็ยินดีด้วย แต่ที่ได้มารับบทเป็น Agarie Yasuharu ในเรื่องนี้น่ะ แม่ยกสุดปลื้มใจจนน้ำตาจะไหล ก็ดูเค้ารางของซีรีย์แล้ว เรื่องอย่างนี้ บทอย่างนี้ ย่อมต้องเชื่อ(เอาเอง)ว่าคงจะต้องใช้นักแสดงระดับยอดฝีมือ แล้วซาโต้ก็ได้รับเลือกมารับบทสำคัญอย่างนี้ แล้วจะไม่ให้แม่ปลื้มได้อย่างไร

ซีรีย์ย้อนยุคไปยังช่วงท้ายสงครามโลกครั้งที่สอง ดูก็รู้ว่าเป็นซีรีย์ที่ต้องจ่ายการลงทุนไม่น้อย แถมยังสร้างมาจากชีวิตจริงของสองพี่น้อง กับโชคชะตาที่นำพาให้พี่ชายต้องกลายเป็นทหารฝ่ายอเมริกัน ส่วนน้องชายนั้นป็น 'ยุวชนทหาร' เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติญี่ปุ่น ทั้งที่ยังมีอายุแค่เพียง 16 ปี ซึ่งการเอาชีวิตจริงมาทำเป็นละครก็ต้อง + fiction การแต่งเติมเสริมแต่งเรื่องราวให้มีอรรถรสของการเป็นละครอยู่แล้วล่ะค่ะ ซาโต้อายุ 22 แต่ต้องเล่นเป็นตัวละครอายุ 16 ปี ??? เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง เช็คแล้วค่ะ พอตัดผมสั้นเกรียน และหน้าตาดำมอมแมมก็ยัง 16 ได้อยู่

...ขอแถมอีกสักสองรูป




พี่ชาย รับบทโดย คานาเมะ จุน (หล่อ) ส่วนน้องชายก็คือ ซาโต้ ทาเครุ ดูไปตอนเดียวก็ได้น้ำตากันเลยทีเดียว กับเจตนารมณ์ของพ่อ คำสั่งเสียของแม่ และสัญญาลูกผู้ชาย สายตาสื่ออารมณ์ของซาโต้เล่นได้ชัดและท่าทางมาแรง และเรื่องไม่บอกคงไม่รู้ว่าใครจะตาย แต่ซีรีย์เขาเปิดเผยบทสรุปแต่แรกแบบไม่ต้องลุ้นเลยค่ะว่าตัวจริงที่ยังมีชีวิตคือพี่ชาย เหตุการณ์ผ่านมา 66 ปี ตอนนี้ก็อายุ 89 น้องชายคนรองก็ยังมีชีวิตอยู่ ปัจจุบันอายุ 82 ปี และเขาได้ไปเยี่ยมหลุมศพของพี่ชายยาสุฮารุด้วย (ซาโต้ แสดงเป็น ยาสุฮารุ)

The last enemy dying in front of older brother , was the younger brother

สรุปคือซาโต้ซี้แหงแก๋ เอาเถอะ ..ซี้ก็ซี้ (ถ้าไม่มีใครซี้น่ะสิจะแปลก) เพราะไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องนี้ก็ขอกรี๊ดด



Runaway ~Aisuru Kimi no Tame ni

ส่วนเรื่องนี้ในอินเตอร์เน็ตบอกว่าจะออนแอร์ตุลาคมนี้แหละ แต่ก็ยังไม่เห็นอะไรเลยไม่ว่าจะเป็นภาพทีเซอร์ หรือรายชื่อนักแสดง แต่อ่านพล็อตเรื่องแล้ว ....ฮายาโตะจะเล่นเรื่องนี้ในบทลูกผู้ชายหัวใจเกินร้อย ไม่มีทางพลาดแน่

Ichihara plays a man who is falsely charged with murder and thrown into a prison in Kitakyushu. With his colleagues, he escapes from the jail and must overcome a series of ordeals as he races 1,000 kilometers back to Tokyo, where his beloved daughter is in danger. ( Credit : Dramawiki )

หายไปซะนาน สงสัยมัวไปถ่ายหนังเรื่อง Dog & Police อยู่กับน้องหนู โทดะ เอริกะ และหนังก็จะออกพร้อมกันในเดือนตุลาคม



เช่นนั้น ขอกรี๊ดล่วงหน้า กรี๊ดดดด

แต่ว่ากันตรงๆ เลยนะ ดูเนื้อหาท่าทีของซีรีย์แต่ละเรื่องแล้ว ท่าทางปีนี้ ซาโต้ ทาเครุ จะได้ขึ้นแท่น "แมนออฟเดอะซีรีย์ แห่งปี 2011" เว้นแต่จะมีอะไรพลิกล็อค ก็ค่อยว่ากันใหม่





Senkai Girl

มาดูซีรีย์แนวรักกันบ้าง ดูข้อมูลเรื่องอื่นๆ ที่เหลือแล้ว ปลายปีต่อจากนี้ คงไม่มีใครจัดรักมาให้แล้วรู้สึกอยากดูได้เท่า นิชิคิโด เรียว กับหนู อารางากิ ยูอิ อีกแล้วล่ะ (ยามะพี , คาเมะ หายไปไหนกันหมด ฮือออ คิดถึง)



Ouran High School Host Clubl


แต่ถ้าเวลาไหนที่ต้องการซีรีย์ป่วย ยามาโมโตะ ยูสุเกะ กับ ไดโตะ ชุนสุเกะ Stand by รอทำงานอยู่พร้อม






Nankyoku Tairiku


ส่วนซีรีย์เรื่องนี้ที่ใครๆ ก็รอคอย ป๋าคิมูระ ทาคุยะ มีป๋าคนเดียวก็โอเคแล้วแต่มียามาโมโตะ ยูสุเกะ รวมถึงนางเอกขวัญใจใครหลายๆ คน ฮายาเสะ ฮารุกะ และการลงทุนในฐานะละครฟอร์มใหญ่ เรื่องนี้ขอมั่นใจไม่หงุดหงิดเหมือนเรื่อง Tsuki no Koibito (Moon lovers) ที่ทำรมณ์เสียไม่น้อย

โอ๊ะ ..โอ ? ท่านป๋านี่ไงล่ะที่อาจจะเข้ารอบแย่งชิงตำแหน่งแมนออฟเดอะซีรีย์แข่งกับเด็กๆ และช่างเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว

(แต่ฮายาโตะ ก็ยังเป็นตัวเต็งอยู่นะ 555 รักไม่ต้องการเหตุผลใดๆ )




Ryuma Den

อยากดูมากๆ แต่ยังไม่มีหวังว่าเมื่อไหร่จะได้ดู ท่านเรียวมะรับบทโดยนักแสดงหน้าตาเหมาะจัง ฟุกุยามะ มาซาฮารุ แล้วยังมีนักแสดงหญิงคนโปรด ฮิโรสุเอะ เรียวโกะ เท่านั้นยังไม่พอ ยังมี ซาโต้ ทาเครุ ด้วยค่ะ รับบทซามูไรท่านหนึ่งที่มีชีวิตอยู่จริงในประวัติศาตร์ยุคสมัยของท่านเรียวมะ นี่เป็นอีกหนึ่งผลงานที่แม่ยกขอภูมิใจในบทบาทที่ซาโต้ได้รับ



Don Quixote

เรื่องนี้ท่าทางจะป่วยเหมือนกันแต่ก็ยังน่าดู มัตสึดะ โชตะ ไปทำอะไรมา หน้าตาใสกิ๊กอ่อนเยาว์ลงอีกแล้วค่ะ



Sayonara Aruma

เคตสึจิ เรียว , ทามายามะ เทตสึจิ และมี นากะ ริสะ แต่เหตุผลที่อยากดูจริงๆ มากกว่าความน่ารักของริสะคือพล็อตเรื่อง แต่ว่า ก็ยังคงรอต่อไปอย่างไร้อนาคต เพราะซีรีย์เรื่องนี้ ไม่เห็นร่องรอยทั้งซับไทย ซับอังกฤษ ... สงสัยจะแห้วซะแล้ว แต่ถ้าใครรู้มีบ่อนชวนดูอยู่ที่ใด ยินดีรับแจ้งเบาะแสนะคะ

ขอบคุณค่ะ


ภาพและข้อมูล :

Dramawiki




 

Create Date : 14 กันยายน 2554    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2558 8:54:03 น.
Counter : 2289 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

prysang
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.