Group Blog
 
All blogs
 

Freeter, Ie o Kau เพื่อเธอ..คนสำคัญที่สุดในชีวิต บ้านหลังนี้แทนคำขอบคุณ



ข้อมูลจาก DramaWiki

Title : Freeter, Ie o Kau.
Genre: Human drama Episodes: 10
Viewership ratings : 17.1% (Kanto)
Screenwriter: Hashibe Atsuko
Producer: Hashimoto Fumi
Director: Kono Keita, Joho Hidenori
Music: Takami Yu
Theme song: Hatenai Sora by Arashi
Insert song: Kimitte by Nishino Kana
Broadcast period: 2010-Oct-19 to 2010-Dec-21 Tuesday 21:00
Broadcast network: Fuji TV Original writing (Novel): Freeter, Ie o Kau. by Arikawa Hiro


Recognition :

67th Television Drama Academy Awards: Best Drama
67th Television Drama Academy Awards: Best Actor - Ninomiya Kazunari
67th Television Drama Academy Awards: Best Theme Song
2011 Tokyo Drama Awards: Grand Prix
2011 Tokyo Drama Awards: Best Actor - Ninomiya Kazunari
2011 Tokyo Drama Awards: Best Producer - Hashimoto Fumi



Smiley Smiley นิโนมิยะ คาซึนาริ - นิโนะจัง!

อย่างไม่คาดคิด Freeter, Ie o Kau ได้มีส่วนอย่างมากในการกอบกู้ความรู้สึกของผู้เขียนที่เคยเกิดขึ้น ให้กลับมาคืนมาจากการเสียศูนย์ทางอารมณ์ได้อย่างรวดเร็วเพียงแค่นึกถึงการกระทำอย่างหนึ่งของพระเอกในเรื่องนี้

เกือบจะถอดใจไปแล้ว เมื่อหาซับไทยไม่ได้ จนขอยอมลงเอยที่ซับอิง แต่ขนาดซับอิงก็หาไม่ง่ายเช่นกัน ทั้งที่นิโนะ เป็นสมาชิกคนสำคัญของวงอาราชิ แต่ทำไมหายากเหลือเกิน ระยะหนึ่งผ่านมา ลองหาอีกครั้ง แต่เท่าที่หาซับอิงได้ ภาพก็หม่นมัวซะเหลือเกิน ยอมแพ้ แต่ยังไม่หมดใจ ผ่านมาสักพักใหญ่ ลองดูอีกที

อา...ในที่สุดก็หากันจนเจอ

สำหรับหนุ่มๆ ในสังกัดแล้วล่ะก็ ไม่ได้ซับไทย ซับอิงก็ยินดี ดูจบแล้วมาอ่านข้อมูลใครจะไปคิดว่าเรื่องนี้มีเรตติ้งถึง 17.1% เพราะเห็นเป็นซีรีส์เรียบๆ นึกว่าจะไม่เป็นที่นิยม แต่โดยเนื้อหาแล้วถือว่าควรค่ากับการเป็น Best Drama ส่วนนิโนะกับรางวัล Best Actor ไม่แปลกใจเลยเพราะซีรีส์ดีออกอย่างนี้ นิโนะก็แสดงดีเหมือนที่เคยเป็นและมีประดับตัวอยู่แล้วตั้ง 11 รางวัล ทั้ง Best Actor , Best supporting Actor จะได้เพิ่มจากเรื่องนี้อีกสักสองรางวัลก็ไม่เห็นจะน่าเกลียดตรงไหน ถ้าเป็นคนอื่นต้องแอบคิดกันบ้างล่ะ เด็กเส้นหรือเปล่าเนี่ย!! ว่าแต่ รางวัล Grand Prix นี่คืออะไรเหรอ ใครรู้ช่วยบอกที

ติดใจในชื่อตอนแต่ละ Episode ของซีรีย์เรื่องนี้ที่เห็นใน DramaWiki
ขอคัดลอกมาไว้ ณ ที่นี้ เพราะดูจะช่วยบ่งบอกเค้าโครงเรื่องได้เป็นอย่างดี

Ep 1. My cheerful mother broke down...!
Ep 2. No matter what I do, I'm just an embarrassment of a son to you
Ep 3. Even a dad like that, was once a hero to me
Ep 4. I can't bear to take care of my mother anymore...
Ep.5. What do you mean we live in different worlds
Ep 6. Don't do anything to hurt mom
Ep 7. We all live alongside fear
Ep 8. You don't know a thing about your father
Ep 9. Starting over, or so I thought
Ep10. My mother smiled


Freeter, Ie o kau เรื่องของคนว่างเว้นงานประจำ แต่ทำงานพาร์ทไทม์ด้วยเป้าหมายจะซื้อบ้านให้ได้สักหนึ่งหลัง ..เพื่อแม่

เล่าสั้นๆ มันก็มีอยู่แค่นี้ล่ะค่ะ

แต่ถ้าให้เล่ายาวๆ



ทาเกะ เซย์จิ ( นิโนมิยะ คาซึนาริ) หลังเรียนจบเขาได้เข้าทำงานในบริษัทดีมีชื่อเสียงมั่นคงแห่งหนึ่ง
แต่หลังจากนั้นสามเดือนเขาลาออก ด้วยสาเหตุ …xxx....

การตกงานทำให้ความสัมพันธ์กับพ่อผู้จริงจังในชีวิตและไม่เคยเห็นอะไรดีในตัวลูกชายเริ่มย่ำแย่ลง ง่อนแง่น โงนเงน และอาจจะดิ่งทะยานไปถึงยังจุดดับ หากว่า แม่ไม่ป่วยขึ้นมาขัดจังหวะซะก่อน

แม่ป่วย ด้วยโรคที่ใครๆ ไม่คาดคิด

ความเครียดที่สะสมเรื้อรังจนถึงจุดหนึ่งของการเป็นโรค “Depression” (โรคซึมเศร้า) ขั้นรุนแรง

เซย์จิโทษมันเป็นความผิดของพ่อ แม่ต้องอยู่กับคนอย่างพ่อ
อยู่กับครอบครัวนี้อย่างไม่มีความสุข

พ่อโทษเซย์จิ เพราะเขามันลูกชายไม่เอาไหน ไม่เคยทำอะไรจริงจัง
ไม่เคยทำอะไรสำเร็จ และเขาตกงาน

พี่สาว อายาโกะ ไม่คิดว่า การที่เซย์จิตกงานจนเกิดเป็นความสัมพันธ์ร้าวฉานระหว่างเซย์จิกับพ่อจะเป็นสาเหตุให้แม่เกิดเป็นโรคซึมเศร้า แต่นอกเหนือจากนี้อายาโกะก็คิดไม่ออกว่าแม่มีความเครียดอะไรภายในใจ



อะไรบางอย่างที่แม่ต้องทนเครียดและกดดันอยู่คนเดียว โดยไม่เคยปริปากบอกใครมานานเป็นสิบปี สิบปีที่พ่อและลูกๆ ทั้งสองคนไม่เคยรู้ ประจวบเข้ากับที่ พ่อกับเซย์จิเอาแต่ทะเลาะโต้เถียงกันทุกวันหนักข้อขึ้นหลังจากเซย์จิตกงาน จึงกลายเป็นสิ่งกระตุ้นให้โรคดีเพรสชั่นของแม่ออกอาการให้เห็น

หมอแนะนำว่า อาการของแม่ไม่ดีนักและเป็นอันตราย แม่ต้องกินยาไม่ให้ขาด และทางที่ดีควรจะหาหนทางให้แม่ได้เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม นั่นเป็นหนทางที่อาจจะช่วยให้แม่ดีขึ้นได้

ตั้งแต่ครั้งแรกที่แม่ทิ้งตัวเองนั่งจมกับความมืดในห้องครัว
โยกตัวโงนเงนไปมาและพูดจาไร้สติอยู่ประโยคเดียวซ้ำๆ

“ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ”

รอยยิ้มของแม่หายไปและไม่เคยกลับมายิ้มสดใสได้อีกเลย



แม่ต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อม นั่นหมายถึงถ้าทำได้พวกเขาควรย้ายบ้านไปจากสภาพความเป็นอยู่เดิมๆ เซย์จิกับอายาโกะ ขอให้พ่อย้ายบ้าน แต่พ่อไม่เห็นด้วยเพราะบ้านหลังนี้เป็นบ้านที่บริษัทของพ่อซื้อและให้พนักงานเช่าอยู่ได้ในราคาถูกที่จะหาที่ไหนไม่ได้อีก พ่อเห็นว่าการที่แม่ป่วยเป็นเพราะแม่อ่อนแออย่างไร้เหตุผล มันเป็นโรคที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นได้เลยหากแม่จะเข้มแข็งกว่านี้

เมื่อตาแก่หัวดื้ออย่างพ่อไม่เอาด้วย พี่สาวก็แต่งงานมีครอบครัวต่างหากไปแล้ว ยากที่จะมาช่วยดูแลแม่และครอบครัวได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องการเงิน เซย์จิจึงไม่เห็นใครอีกแล้วที่จะช่วยแม่ได้ ต้องเป็นเขา เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น บางทีถ้าเข้ามีงานทำ พ่ออาจจะอารมณ์ดีขึ้น แม่อาจจะเครียดน้อยลง

เซย์จิฮึดหางานประจำอย่างจริงจัง แต่ไม่เคยได้รับการตอบรับ ปัญหามันอยู่ตรงไหน??



เซย์จิต้องใช้เงิน พ่อบอกว่าคนที่ไม่มีงานทำ
ไม่มีเงินแม้แต่จะแชร์ค่าที่อยู่ที่กิน พึ่งพาตัวเองไม่ได้
ไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไรในครอบครัวนี้ เมื่อพ่อไม่ยอมย้าย
ขณะที่อาการป่วยของแม่เป็นอันตราย ถ้าอยากให้แม่หาย
เขาต้องพาแม่ย้ายบ้าน

ความจำเป็นเร่งด่วนที่เซย์จิต้องการหาเงินเพื่อย้ายบ้านทำให้เขาหันไปลงเอยกับการเป็นคนงานก่อสร้าง งานหนักแสนเหนื่อยแต่ถ้าเทียบกับงานพาร์ทไทน์อื่นๆ แล้ว นี่เป็นงานที่ได้เงินดีกว่ากันมาก แต่คนมีการศึกษาดีคนนี้ ไม่เคยทำงานหนัก ไม่เคยต้องสกปรกเปื้อนดินทราย ไม่เคยแม้แต่จะทนกับอะไรๆ ได้นานด้วยซ้ำ เซย์จิมองตัวเองแตกต่างจากบรรดาคนงานก่อนสร้างด้วยกัน เขาแค่เป็นคนที่เข้ามาเพื่อหาเงินเป็นทางผ่าน ชีวิตของเขามีทางอื่นที่ดีและมั่นคงกว่ารอการค้นหาอยู่ อาจจะไม่รู้ตัวที่เขา “ look down” มองคนเหล่านั้นด้อยกว่าตนเอง พวกเขาเหล่านั้น คนที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าการหาเลี้ยงชีพด้วยการทำงานใช้แรงงานเพื่อเลี้ยงปากท้องและดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัว

เซย์จิจึงเป็นสิ่งแปลกปลอมที่น่ารังเกียจ ในสังคมคนงานก่อสร้าง เพราะทัศนคติ คำพูดที่เอ่ยออกมาจากปากของเขา ถึงไม่ตั้งใจมันก็เหมือนดูถูกคนอื่นอยู่กรายๆ นั่นเอง




แต่ที่นี่ ที่สังคมนี้ ที่เซย์จิ ทนเกือบไม่ได้ แต่เขาก็ทนได้ และได้เรียนรู้อะไรมากมายจากคนอื่นๆ สังคมที่เขาเริ่มรู้สึกสำนึกในความบกพร่องและละอายใจในตนเอง สังคมที่เขาจะนับถือคนได้ด้วยความเคารพอย่างจริงใจ เขามีเพื่อนร่วมงานที่ดี ที่จริงใจต่อกัน กล้าตำหนิสั่งสอนเขาตรงๆ ที่สังคมนี้เขาได้เรียนคุณค่าของคนและของงาน รวมถึงคุณค่าของตัวเองหากเขาจะรู้จักสร้างมันให้เป็นที่ยอมรับนับถือได้

เซย์จิยังคงหางานประจำ และยังคงทำงานพาร์ทไทน์ เขาต้องเก็บเงินให้ได้หนึ่งล้านเยน เพื่อจะเริ่มต้นซื้อบ้านและพาแม่ย้ายไปสู่สภาพแวดล้อมใหม่ๆ เพื่อให้แม่ดีขึ้น เพื่อให้แม่หายป่วย

A part timer buys a house

คนทำงานพาร์ทไมน์คนหนึ่ง ที่ต้องการซึ้อบ้านหลังหนึ่ง

คู่กันฉันและเธอ




คู่พ่อลูก

เป็นการจับคู่ที่เหมาะมาก สมกันยังกับไม้เท้ายอดทองตะบองยอดเพชร สองคนนี้เข้าฉากด้วยกัน บอกไม่ถูกเลยว่าใครช่วยใครในการส่งอารมณ์ ถึงแม้ว่าลุงนาโอโตะจะอาวุโสแก่ประสบการณ์ แต่นิโนะไม่ใช่ฝีมือกิ๊กก๊อก ความจริงอยากจะบอกว่าออร่าทางอารมณ์ของนิโนะที่แสดงออกดูจะส่งตรงมายังการรับรู้ได้ดีชัดกว่าลุงนาโอโตะด้วยซ้ำ แต่ติดที่การเป็นแม่ยกจะทำให้คำพูดลักษณะนี้ไม่น่าเชื่อถือ (555) เอาเป็นว่าสูสีข่มกันไม่ลงก็แล้วกันค่ะ

ไม่เคยเห็นลุงนาโอโตะในบทเครียดๆ อย่างนี้ แค่ครั้งแรกบนโต๊ะกินข้าวที่เริ่มเสวนากันถึงเรื่องงานของเซย์จิ ก็รับรู้ได้ถึงนิสัยพูดจาทำร้ายจิตใจคนของผู้เป็นพ่อ และรู้ได้อย่างชัดเลยว่าลูกชายก็ไม่เคยยอมอ่อนข้อให้กับคำพูดใดๆ ของพ่อเช่นกัน และมันก็เป็นเช่นนั้น ครั้งแล้วครั้งเล่า

"แกมันอ่อนแอไร้สมอง"

"ฉันหาเลี้ยงครอบครัวนี้ ถ้าไม่มีฉันซักคน แกก็ไม่ได้โตมาอย่างทุกวันนี้หรอก"


ตอนแรกๆ ผู้เขียนก็ไม่เข้าใจคนเป็นพ่อ เหมือนที่เซย์จิไม่เข้าใจนั่นแหละค่ะ ก็ได้แต่นึกว่าลุงเป็นอะไรนักหนา เป็นอะไรมากป่าวคะ! แหม่ .. พูดแต่ละคำ เชือดเฉือนสะเทือนใจแทน ระยะแรกจึงเข้าข้างคุณลูกแบบสุดลิ่มทิ่มประตูเลยล่ะค่ะ

“สองหมื่นเยน ที่ฉันจ่ายค่ากินอยู่ของแกมันสองหมื่นเยน”

ภาษาอังกฤษเขาใช้ To feed you น่ะค่ะ เข้าใจแต่พอแปลเป็นไทยก็ไม่เข้าท่าเลย ถูไถมานะคะ เพราะมันโดน ก็.. โห …ลูกตกงาน ยังหางานทำไม่ได้ แต่ความไม่พอใจ อารมณ์ทะเลาะทำให้ทวงบุญคุณกันซึ่งๆ หน้าอย่างนี้เลย จริงๆ คงไม่อยากทำหรอก แต่เพราะลูกมันไม่เคยสำนึกเลยว่าการออกจากงานดีๆที่บริษัทมั่นคงนั่น มันเป็นความผิดพลาดที่ไม่ควรกระทำ สายตาที่นิโนะหันขวับกลับมาถามเสียงเบาทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

"อะไรนะ"

แล้วเซย์จิก็ค่อยๆ จ้องตอบสีหน้าโกรธๆ ของพ่อ โอ้ …น้ำตาเอ่อ (น้ำตาข้าพเจ้าเอง)

“งั้นผมจะคืนให้ ผมจะจ่ายมันคืนให้พ่อสามหมื่นเยนเลย”



ต่างคนต่างแรงด้วยกันทั้งคู่ ไม่เคยยอมลงให้กันทุกกรณี เริ่มต้นพูดกันดีๆ ไม่กี่คำก็กลายเป็นการทะเลาะและลงเอยด้วยกันสะบัดหน้าหันหลัง ทางใครทางมันทุกครั้ง

พ่อที่ไม่เคยเก็บออมคำพูดหรือถนอมความรู้สึกลูก
ลูกที่ไม่เคยลดละที่จะตอบโต้อีกฝ่ายด้วยแรงอารมณ์ไม่แพ้กัน

“แกต้องสำนึกไว้ว่าถ้าฉันไม่ได้แต่งงานกับแม่ของแก แกก็ไม่ได้เกิดมาหรอก!” นี่คือคำพูดของพ่อ

ส่วนนี่คือคำตอบโต้ของลูก “ถ้านั่นหมายถึงต้องมีพ่อเป็นพ่อล่ะก็ ผมไม่แคร์หรอกถ้าจะไม่ได้เกิดมา!”

เถียงกันแต่ละครั้ง แร้งงงง

พ่อที่ดูถูก “แกคิดเหรอว่าคนอย่างแกจะมีปัญญาไปช่วยใครเค้าได้”

ลูกที่ไม่พอใจ “ทำไมนะ มันยากอะไรนักหนา ที่พ่อจะเชื่อในตัวผม”

“ถ้าแกอยากให้ฉันเชื่อ ทำให้เห็นสิ ทำให้เห็นว่าแกทำได้”

อืม จะว่าไป มันก็จริงของพ่อ

“คนว่างงานอย่างแก ไม่มีทางที่จะซื้อบ้านได้หรอก!”

“ได้สิ ผมจะซื้อ! ถ้าบ้านหลังใหม่จะช่วยทำให้ชีวิตของแม่ดีขึ้น
ผมจะซื้อมันให้แม่ ถึงแม้ผมจะเป็นคนว่างงาน ผมก็จะซื้อมันให้ได้”


โอ้ ลูกชายที่รักของแม่ เมื่อลูกมีเป้าหมายในชีวิต ลูกจะเริ่มมุ่งมั่นไปสู้บางสิ่งที่มั่นคงและชีวิตของลูกจะไม่หลงทาง

“ที่สุดแล้ว พ่อก็แค่สนใจแต่ตัวเอง
พ่อไม่เคยสนใจที่จะช่วยให้แม่ดีขึ้น
พ่อปฏิเสธที่จะใช้เงินกับใครๆ ยกเว้นตัวเอง
พ่อเป็นคนที่น่ากลัว ชีวิตของแม่ที่อยู่กับพ่อ
เห็นได้ชัดเลยว่ามันเลวร้าย”




ถ้าใครเคยดู Smiley Aikurushii ลุงนาโอโตะเป็นพ่อ อิชิฮาระ ฮายาโตะเป็นลูก พ่อลูกคู่นี้ก็เถียงกันหน้าดำหน้าแดง แต่มันคือความรักความสนิท ต่างกับเรื่องนี้การถกเถียงกันแบบตาต่อตาฟันต่อฟันมันเป็นเรื่องของอารมณ์ไม่พึงพอใจ โกรธเคืองล้วนๆ ซึ่งทั้งสองคนนิโนะและลุงนาโอโตะเล่นดีมาก ลุงนาโอโตะเขาก็จะแฝงความก้ำกึ่งเหมือนต้องการเอาชนะแต่ตัวเองก็ไม่ได้ดีพอจะไปข่มลูกให้แพ้ได้ เพราะที่ลูกพูดมันก็จริง ใจจริงแท้นั้นหวังดีต่อลูกแต่ด้วยไม่เคยพูดจากันดีๆ สักครั้ง และคำพูดที่ไม่เคยลดละของลูกที่บางทีมันก็จี้ใจดำ ทั้งที่ควรจะพูดไม่ออกแต่โดยนิสัยก็ยิ่งประทุความโกรธเคืองและพูดจาแรงๆ ออกไปอีกเพื่อจะให้อีกฝ่ายสยบให้ได้ แต่ลูก โดยนิสัยแล้วก็ไม่ใช่จะยอมอ่อนข้อให้พ่อได้เลย บทสรุปของการปะทะอารมณ์คือ ทางใครทางมันหันหลังให้กัน และฉันต่างไม่แพ้



แต่เมื่อไหร่ที่แม่โผล่หน้ามา แม้ไม่ได้ตั้งใจมาขัดตาทัพ แต่การที่แม่ป่วยเป็นดีเพรสชั่น ที่กำลังเถียงกันอยู่สองพ่อลูกจะเงียบเสียงสงบลงทันทีราวกดปุ่ม ห้องนอนของเซย์จิจึงกลายเป็นสำนักเจรจาเมื่อสองคนต้องการปรึกษาหารือกัน (ทั้งแบบทะเลาะนั่นแหละ) ถ้าพ่อไม่ผลักประตูลูกเข้ามา ลูกก็ลากพ่อเข้ามาเพื่อจะพูดคุยกันโดยไม่ให้แม่ได้ยิน

การถกเถียงกันมันเหมือนเป็นพฤติกรรมที่หยุดไม่ได้ ทั้งที่พ่อก็มีความละอายใจอยู่ในส่วนลึก ส่วนลูกก็ใช่ว่าคำพูดรุนแรงจะไม่ทำให้รู้สึกผิด แต่พอจะเริ่มต้นพูดกันดีๆ มันก็ลงเอยด้วยการทะเลาะทุกครั้ง ไม่เคยจะเข้าใจกันได้

"ผมฝันไปหรือเปล่า ที่คิดว่าคงมีสักวันที่เราสองพ่อลูกจะนั่งจิบเบียร์เย็นๆ ด้วยกัน แล้วพูดจากันดีๆ น่ะ"
"ผมคงบ้าไปแล้ว ที่หลงคิดว่าจะใกล้ชิดพ่อได้มากกว่านี้"


“ที่เซย์จิปฏิเสธผมมาตลอด คงเป็นเพราะผมเองที่ไม่เคยยอมรับในตัวเขา”


ทั้งที่พ่อก็รู้ตัวอย่างนั้น แต่ก็ยังเหมือนเดิม เหมือนที่ลูกตั้งคำถาม

“ทำไมมันยากนัก ที่พ่อจะเชื่อในตัวผมสักครั้ง”

ด้วยเหตุนี้ เซย์จิ จึงรักแม่ แม่ที่คอยอยู่เคียงข้าง เป็นกำลังใจมาแต่เล็กจนโต แม่ที่ไม่เคยบ่นว่า มีแต่รอยยิ้มอ่อนโยนมอบให้ และเชื่อในตัวเซย์จิเสมอ

“เขาจะพบหนทางของตนเอง แม้ต้องใช้เวลานานมากกว่าคนอื่นๆ
แต่สักวันเขาจะพบมันด้วยตนเอง”




คู่แม่ลูก

แม่สุมิโกะเธอเป็นผู้หญิงที่ดูอ่อนโยนมากค่ะ อาซูโนะ อัตสึโกะที่แสดงเป็นแม่ดูนิ่งๆ เรียบร้อย อ่อนโยน ใจดี แล้วก็กลายเป็นซึมเศร้า นิ่งๆ เลื่อนลอย ไร้สตินั่งโยกตัวไปมา ด้วยคำพูดซ้ำๆ ย้ำ “ฉันขอโทษ” เธอเป็นผู้หญิงใจดีที่รักและเข้าใจทั้งลูกและสามี แต่มันมีสาเหตุ....xxx...ที่ทำให้จิตใจของเธอเข้าสู่ภาวะถดถอยและป่วยเต็มขั้น

ระหว่างแม่ลูกคู่นี้ฉากที่เห็นเป็นประจำคือการที่ เซย์จิทาแฮนด์ครีมให้มือของแม่เป็นประจำทุกคืน ทุกครั้งเลยที่ลูกทาครีมให้ถึงแม่จะป่วยแต่สีหน้าของแม่ดูสงบเย็นและเซย์จิก็จะดูอ่อนโยนมาก จากลูกชายที่ไม่เคยต้องรับผิดชอบอะไร แต่แม่ของเขาป่วย พ่อก็ทำแต่งาน และในสายตาของเซย์จิพ่อไม่ได้สนใจอาการป่วยของแม่เท่าที่ควร ไม่มีใครอีกแล้วที่จะดูแลเธอ ที่จำไม่ได้แม้แต่การกินยาว่ากินไปแล้วหรือยัง เธอกลัวที่จะต้องไปอยู่โรงพยาบาล จึงต้องการกินยาเคร่งครัดตามที่หมอสั่ง



แต่ปัญหาคือแม่จำไม่ได้ว่ากินหรือยัง เซย์จิบอกแม่ว่าจะซื้อกล่องยามาให้เพื่อจัดยาไว้ในแต่ละวัน แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ลืมทุกครั้ง เมื่อแม่จำไม่ได้ว่ากินยาหรือยังเธอจะเริ่มเครียดและโทรมาหาเพื่อจะบอกเซย์จิด้วยความวิตกกังวลว่าเธอจำไม่ได้เธอกินยาหรือยัง บางวันเซย์จิต้องกลับมาดูแม่ตอนพักงานกลางวันด้วยความเป็นห่วง ซึ่งก็มีบางครั้งที่การต้องคอยดูแลแม่อย่างใกล้ชิดทำให้เซย์จิรู้สึกหงุดหงิด และครั้งหนึ่งถึงขั้นพูดคำแย่ๆ

“ผมขอร้องล่ะครับแม่ อย่ามาขวางทางชีวิตผม”

แม่คงรู้สึกตัวเองเป็นปัญหา ในวันที่เธอหายไป เซย์จิตามหาแม่ไปทั่ว เขาหาเธอไม่พบ เซย์จิตื่นตระหนก กับผลกระทบในคำพูดที่เขาพูดออกไป แต่แม่ก็กลับมา แล้วบอกว่าแม่ออกจากบ้านเพื่อไปซื้อกล่องยา ตอนที่เธอบอกว่าเธอไปซื้อกล่องยา แม่นาง prysang น้ำตาร่วงพรู (ประจำล่ะ กับฉากที่ตัวละครร้องไห้ ก็นั่งดูเฉยๆ แต่พอฉากที่ตัวละครไม่ได้ร้องไห้แต่ฉันร้องเอง)


และมันก็มีที่บางครั้งเซย์จิรู้สึกโกรธไม่ใช่แค่โกรธพ่อ แต่โกรธแม่ด้วย

“ผมไม่ไหวแล้ว ผมรู้สึกตัวเองป่วยเป็นบ้าเลยล่ะ ที่แม่กับพ่อทำกับผมแบบนี้”




แต่ไม่ว่ายังไง เธอก็เป็นแม่ที่รักเขา และเขาก็รักเธอ แม่คือคนสำคัญที่สุดในชีวิต และไม่ว่าต้องทำอะไรก็ตามให้แม่มีชีวิตที่ดีขึ้นและหายจากโรคนี้ เซย์จิจะทำ

แต่มันต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน ในเมื่อตอนนี้แม่ไม่ดีขึ้นเลย แม่ป่วยมากถึงขั้นทำร้ายตัวเอง และหลังจากนั้นความสัมพันธ์ของพ่อกับเซย์จิก็ดิ่่งลงเหว



คู่พี่น้อง

น่ารักที่สุด หานักแสดงได้ดีอีกแล้ว Igawa Haruka ผู้เป็นพี่สาว เธอสวย เธอตรงไปตรงมาจึงดูเหมือนว่าเธอเป็นคนขวานผ่าซากนิดหน่อย อายาโกะแต่งงานมีครอบครัวออกไปแล้วเจ็ดปี สามีของเธอเป็นนายแพทย์ผู้อำนวยการโรงพยาบาล มีลูกชายด้วยกันหนึ่งคนคือโทโมยะ ชีวิตของเธออาจเรียกว่าลงตัวอย่างดี แต่ปัญหาที่ทำให้ไม่อาจมีความสุขได้เต็มที่คือแม่สามี ที่คอยกระแนะกระแหนเรื่องการแต่งงานที่อายาโกะท้องก่อนแต่งเพราะคิดจับลูกชายของเธอ อีกทั้งแม่สามียังพยายามเข้ามากะเกณฑ์บงการชีวิตของเธอกับลูก เตรียมการขีดทางเดินให้โทโมยะตั้งแต่เขายังเป็นแค่เด็กอนุบาล อายาโกะที่ถูกแม่เลี้ยงมาด้วยความรักความเข้าใจ ด้วยนิสัยอิสระที่จะคิดจะพูดเป็นตัวของตัวเองจึงไม่ชอการครอบงำของแม่สามีอย่างมาก แรกๆ เธอก็อดทนเพื่อไม่ให้มีปัญหากับสามี แต่คนเราก็ต้องมีวันถึงขีดสุด



อายาโกะกับเซย์จิ เป็นพี่สาวน้องชายที่อายุห่างกันพอสมควร เธอจึงดูเป็นเจ๊ใหญ่มาก เมื่ออยู่ใกล้ชิดกับน้องชายเซย์จิ เป็นคู่พี่น้องที่สนิทและน่ารัก เมื่อมีเรื่องอะไรเซย์จิก็จะคว้าโทรศัพท์มาคุยกับพี่สาว ปรึกษาเรื่องแม่ เมาท์เรื่องพ่อ ทั้งที่ต่างเพศต่างวัย แต่เหมือนเป็นเพื่อนสนิทที่ไว้วางใจกัน พบปะอยู่ด้วยกันบ่อย น่ารักมากเลยล่ะค่ะ ถึงจะแต่งงานไปแล้วแต่เธอก็เป็นลูกสาวของบ้านทาเกะเสมอ อายาโกะจึงแวะเวียนมาที่บ้านบ่อยๆ เพื่อเยี่ยมเยียนแม่และคอยเอาใจใส่ความเป็นไปของครอบครัว



คู่ซี้ที่รัก

ชิบะ มินามิ + เซย์จิ

คารินะ รับบทชิบะ การจับคู่ของสองคนนี้ว่าก็ว่าเถอะ ไม่เห็นจะเหมาะกันสักนิด แม้นิโนะจะเป็นคนโปรดคนหนึ่งแต่ถ้าจะบอกว่าใครสักคนเป็นฝ่ายไม่คู่ควรก็นิโนะนี่แหละไม่ใช่คารินา เพราะนิโนะไม่ใช่ผู้ชายหน้าตาหล่อ ในขณะที่คารินะเป็นสาวสวยสไตล์นางแบบหุ่นของเธอนั้นสูงโปร่งระหง แล้วจับเอาเธอมาเป็นพนักงานในไซท์งานก่อสร้างคู่กับผู้ชายตัวเล็กๆ อย่างนิโนะเนี่ยนะ

แล้วโนะนะโนะ โนะควรจะต้องรู้สึกละอายใจที่ทำให้เธอไม่ได้ใส่ส้นสูงยามเข้าฉากด้วยกัน ไม่งั้นเธอก็สูงล้ำนิโนะสิคะ ขาคารินะ หืม เรียวยาว ขาสวยหุ่นดีน่าอิจฉาจังเลยค่ะ



เมื่อรับบทในหนังดราม่าชีวิตที่ไม่ได้มีสไตล์การแต่งตัวแบบนักร้องนายแบบ นิโนะจะดูเป็นผู้ชายธรรมดาเดินดินคนหนึ่ง (แต่เรื่องนี้ขี่สกูตเตอร์) ทำงานพิเศษหลากหลาย มีภารกิจประจำอยู่ที่หน้าเคาท์เตอร์ปรึกษา ณ สำนักจัดหางาน ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ เสื้อเชิ๊ตลายสก็อตออกไปทำงาน กลางคืนชุดสบายอยู่บ้านเพ่งอยู่หน้าคอมฯ หางานทำ ง่ายๆ แบบไม่ต้องแต่งหน้าเซ็ทผมเลยล่ะมั้ง ธรรมด๊า ธรรมดา แต่คารินะ ขนาดใส่ฟอร์มของคนทำงานก่อสร้างก็ยังดูสวยเป็นนางแบบอยู่นั่นเอง



มินามิเป็นคนมีการศึกษาดีเช่นเดียวกับเซย์จิ เซย์จินั้นมาทำงานก่อสร้างเพื่อเงิน แต่มินามิมาทำเพราะอยากทำเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์และเหตุผลส่วนตัวบางอย่าง ทัศนคติของเธอเกี่ยวกับการทำงานนั้นต่างจากเซย์จิ มินามิอยากเป็นนักออกแบบสิ่งปลูกสร้าง โดยเฉพาะการก่อสร้างสะพานที่เธอมีความหลังกับพ่อและฝันจะได้ออกแบบสะพานขึ้นมาก่อสร้างสักครั้งที่ไหนสักแห่ง เธอมีเหตุผลของเธอเองที่ยังทำงานอยู่ในไซท์งานก่อสร้างทั้งที่มีเป้าหมายในใจคือการรอโอกาสจะได้ย้ายไปอยู่ในแผนกดีไซน์

มินามิเป็นสาวบ้านแตก พ่อตายแม่แต่งงานใหม่และเธอเข้ากับพ่อใหม่ไม่ได้ จึงออกจากบ้านและพึ่งพาตัวเอง ลูกผู้ชายตัวบางๆ อย่างเซย์จิเห็นคารินะ และเพื่อนร่วมงานบางคนที่การศึกษาน้อย แต่ทำงานหนักหาเงินส่งกลับไปบ้านเพื่อดูแลครอบครัวทุกเดือน แล้วต้องย้อนมองตัวเอง ช่างแตกต่างจากตัวเขาที่ไม่เคยเป็นที่พึ่งให้ใครได้ แม้แต่ที่แม่ป่วยและจำเป็นต้องพึ่งเขา เขาก็ไม่ใช่ที่พึ่งที่ดีสักนิด มินามิมีส่วนในการผลักดันอะไรหลายอย่างที่ทำให้เซย์จิเปิดใจต่อมุมมองชีวิตใหม่ๆ ทำให้เขาเข้าใจสถานะของผู้อื่นมากขึ้น ความต่างระดับระหว่างตัวเขากับเหล่าคนงานก่อสร้างเริ่มแคบลง ๆ ความสัมพันธ์กับมินามิก็เหมือนเป็นเพื่อนที่ค่อยๆ เรียนรู้เข้าใจกัน และกลายเป็นความรักในที่สุด (แต่อิฉันไม่อินกับคู่นี้เลย)




คู่แถมความรัก

โฮชินะ อาคาริ โทโยกาวะ เทปเป้

อาคาริ (Okamoto Rei) สาวพนักงานธุรการในไซท์งานก่อสร้าง เธอจบมัธยมปลายแล้วเข้าทำงานที่บริษัทนี้ แต่ไม่เคยพึงพอใจในชีวิตที่ตนเองมี เธอมองหาผู้ชายที่จะช่วยฉุดชีวิตของเธอให้ดีขึ้นกว่าที่เป็น จึงเมินต่อหัวใจภักดีที่เทปเป้ (Maruyama Ryuhei) มีให้เสมอมาและไม่เคยมีทีท่าจะเปลี่ยนแปลง อาคาริจะทำเมินก็ไม่เป็นไร จะทำห่างเหินเทปเป้ก็ไม่เจ็บ ไม่จำ ยังทำตัวเหมือนเดิมคือรักเธอตลอดเวลา



Freeter, Ie o Kau เป็นซีรีย์ที่ดำเนินเรื่องไปเรียบๆ เรื่อยๆ
แต่ละไมใจเอย นะคะ

ความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นของครอบครัวทาเกะ
เป็นตัวแทนหนึ่งของครอบครัวที่มีอยู่ในชีวิตคนจริงๆ

There are feeling that can’t be expressed , even you want to
There are feeling that can’t be expressed, especially within the family.

ความรู้สึกที่แม้อยากแสดงออกมา ก็ทำไม่ได้
ทำไม่ได้ โดยเฉพาะกับคนที่เป็นครอบครัว

คำพูด พูดแล้วเอาคืนไม่ได้ เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องต้องห้าม
เมื่อได้พูดมันออกมากัดกินหัวใจกันแล้ว ต่อให้เอ่ยคำขอโทษ
ความรู้สึกเสียใจก็ไม่อาจจะกู้คืน

ไม่ใช่พ่อไม่รักแม่ ไม่ใช่พ่อไม่สนใจหรือเหินห่าง
แต่มันเป็นอะไรบางอย่างที่คนแบบพ่อไม่อาจแสดงออก
หรือบอกกับใครให้เข้าใจได้



ปัญหา

ไม่ใข่พ่อฝายเดียวที่ไม่เปิดใจยอมรับเขา
แต่เขาเองก็ไม่เคยทำอะไรที่พ่อจะเชื่อใจได้ สักครั้ง

ไม่ใช่พ่อฝ่ายเดียวที่ไม่เคยเข้าใจเขา
แต่เขาเองก็ไม่เคยปริปากบอกเล่าอะไรที่อยู่ภายในใจให้พ่อได้รู้

ไม่ใช่พ่อไม่ยอมช่วยเขา แต่เมื่อเขาไม่ยอมขอความช่วยเหลือ
พ่อเลยไม่รู้จะยื่นมือเข้ามาช่วยได้ยังไง

และไม่ใช่พ่อเห็นแก่ตัว หรือไม่ยอมเข้าใจใคร แต่อาจเป็นใครๆ
ที่ไม่เคยเข้าใจในตัวตนแท้จริงในแบบที่พ่อเป็น

สุดท้ายอาจเป็นเขาเองที่ไม่รู้จักพ่อจริงๆ ของตนเอง




เซย์จิมันยอดยี้ ที่ทำแม้กระทั่งเอ่ยปากดูถูกพ่อลับหลังให้คนอื่นฟัง
น้ำจากแก้วที่สาดกระเซ็นมาใส่หน้า เหมือนเป็นน้ำล้างใจ
จากคนที่ได้ชื่อว่าเป็น "คนอื่น" และโกรธเหลือเกินเมื่อได้ฟังคำพูดเยาะหยันเหล่านั้น
เขาเป็นคนอื่น แต่เข้าใจคน เข้าใจพ่อของเซย์จิ มากกว่าที่ตัวเซย์จิเองจะเคยเข้าใจ

"ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังออกไปทำงานทุกวันเพื่อเลี้ยงดูเธอให้เติบโตขึ้นมาไม่ใช่หรือ"

"ขอโทษซะ เธอต้องขอโทษพ่อของเธอ"

เซย์จิ จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เรียนรู้คุณค่าของความอดทน และความหมายของบางสิ่งบางอย่าง คนไม่ได้ต่างกันที่พวกเขาเรียนจบอะไร ทำงานอะไร รายได้มากน้อยแค่ไหน คนต่างมีชีวิตของตนเองมีปัญหาที่ต้องแก้ไข มีอุปสรรคต้องฝ่าฟัน และผ่านมันไปให้ได้ด้วยความภาคภูมิใจ เขาไม่มีสิทธิ์จะเห็นใครด้อยกว่า ไม่มีสิทธิ์จะพูดได้ว่าพ่อเองก็ไม่ได้มีอะไรที่น่าภูมิใจกับหน้าที่การงานที่ทำอยู่ เพราะจริงๆ แล้ว คนทุกคนมีมัน ความภูมิใจมันอาจไม่ยิ่งใหญ่ แต่มันเป็นอะไรสักสิ่งที่มีความหมาย มันอยู่ที่่อะไรคือสิ่งสำคัญและเขาเหล่านั้นทำเพื่อใคร

เซย์จิจะซื้อบ้านให้แม่ จะแก้ไขความสัมพันธ์ที่มีกับพ่อ การโต้คารมจะยังเป็นไปอย่างนั้นตลอดไป เพราะนิสัยคนเปลี่ยนไม่ได้พวกเขายังจะเป็นกันอยู่แบบนั้น แต่ถ้าเพียงมีความรัก ความนับถือ และเข้าใจกัน มันจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป




เกี่ยวกับที่บอกว่า ซีรีส์เรื่องนี้ ได้มีส่วนอย่างมากในการกอบกู้ความรู้สึกของผู้เขียน มันเป็นเรื่องของการสูญเสียเงิน ตอนที่เซย์จิสูญเสียหนึ่งล้านเยน เงินที่จะใช้ซื้อบ้านหลังใหม่ไปกับเรื่องที่ไม่คาดคิดว่ามันจะเกิด เรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ไม่ควรจะต้องเสีย แต่กลับต้องเสีย

เซย์จิทำงานพาร์ทไทม์แต่เก็บเงินได้ล้านเยนก็เพราะความตั้งใจที่มีต่อแม่ แต่เขาก็เสียมันไปง่ายๆ ผู้เขียนก็เสียมันไปเช่นกัน ที่เราเก็บออมที่เราเหน็ดเหนื่อย เมื่อได้รู้ว่าจะไม่ได้ใช้มัน ด้วยเหตุผลที่ไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องเสียไป มันสุดเครียดและน้อยใจกับเรื่องที่เกิด มันรู้สึกแย่มากๆ แต่แล้วเรื่องของเซย์จิกับเงินหนึ่งล้านเยนก็ผุดขึ้นมาในหัว มันช่วยให้ได้คิดและรู้สึกดีขึ้นมา เงินทองของนอกกายไม่ตายก็หาเอาใหม่ เงินทองจะเก็บออมไว้ทำไม ถ้ามันไม่ได้ช่วยปลดเปลื้องภาระความทุกข์ใจของใครสักคน…ที่สำคัญ

จ่ายๆ มันไป ให้มันจบแค่นี้

ปลดปล่อยความรู้สึก ‘เสียดาย’ ทิ้งไป แล้วเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

ชอบช่วงท้ายๆ ของซีรีส์มาก เมื่อพ่อเริ่มส่ออาการ "ภูมิใจนะ" แต่ไม่แสดงออก
ฉากที่ชอบที่สุดคงเป็นตอนที่พ่อซาบซึ้งใจในตัวเซย์จิจนอดกลั้นไม่ไหว
แต่ปากก็ยังด่า ทั้งที่ดวงตาร้องไห้ ตื้นตันเสียจนต้องหันหลังเดินหนี

โอ้ ... บุคลิกของตัวละครไม่เปลี่ยนเลย แต่จิตใจที่เติมเต็มมันสุโค่ยจริงๆ




I know that the day which I’ll be able to get rid of all these uncertain days will surely come.
I know that the day which my mom’ll be able to smile again will surely come.

ผมรู้ว่าวันที่ผมจะหลุดพ้นไปจากวันที่ไม่มั่นคงเหล่านี้จะมาถึงแน่นอน
ผมรู้ว่าวันที่แม่ของผมจะยิ้มได้อีกครั้งจะมาถึงอย่างแน่นอน

เมื่อเซย์จิกับพ่อเกี่ยงกันทางสายตาเพื่อบอกกับแม่
ในที่สุดเซย์จิก็ยอมเป็นคนเอ่ยปาก

“แม่ครับ เรากำลังจะย้ายบ้านกัน”

แม่ไม่พูดอะไรเลยนอกจากคำว่า

“อาริงาโตะ”

ขอโทษ ที่ทำให้แม่ต้องรอมานาน
ขอบคุณ ที่แม่ยังอยู่กับเราตรงนี้

และหลังจากนั้น รอยยิ้มที่สดใสของแม่ก็คืนกลับมาสู่บ้านของเรา

บ้านหลังใหม่ ชีวิตใหม่ กับความเป็น "ครอบครัวของเรา"




























 

Create Date : 25 ธันวาคม 2554    
Last Update : 3 มกราคม 2555 11:26:57 น.
Counter : 8530 Pageviews.  

Q10 "คิวโตะ คาเรนซัง" เพราะเธอนั้นเป็นหุ่น...(ยนต์)




Title: Q10 / Kyuto
Genre: Romance
Episodes: 9 Viewership ratings: 10.9%
Broadcast network: NTV Saturday 21:00
Broadcast period: 2010-Oct-16 to 2010-Dec-11
Theme song: Honto no Kimochi by Takahashi Yu
Screenwriter: Kizara Izumi
Director: Kariyama Shunsuke, Sakuma Noriyoshi

(ที่มา : DramaWiki)

Smiley  Smiley   ซาโต้จังงงงงง    

ความจริงควรจะเป็น 'ทาเครุจัง' ใช่ไหมล่ะคะ แต่ระหว่างนามสกุลซาโต้ กับชื่อทาเครุ ชอบเรียก 'ซาโต้' มากกว่าน่ะคะ กับเพื่อนรุ่นพี่คอเกาหลีญี่ปุ่นคนหนึ่ง ถ้าเอ่ยถึง ซาโต้ เราหมายถึงซาโต้นี้แหละค่ะ ไม่มีซาโต้อื่น (ถึงจะมี ซาโต้ เรียวตะ ที่แสดงเป็น อ.คาวาโต้ เรื่อง Rookies เราก็คงไม่เพ้อถึงเขาแน่นอน)

มีรักแรกพบต่อกันมา (มีหลายแรกพบมาก) ตั้งแต่การรับบท ‘โอคาดะ ยูยะ’ เพื่อนร่วมแก๊ง ร่วมชั้น ร่วมทีมเบสบอลเดียวกัน ในซีรีส์สุดโปรด Rookies ซึ่งแทบไม่มีบทพูดเลย แต่เด่นเพราะหัวพังค์คาดผ้าโพกผมติดเม็ดกระดุม ต่อมาได้อยู่ในบทที่ขยับระดับความสำคัญขึ้นมาเป็น 'เพื่อนสนิท' ของพระเอกใน Bloody Monday 1-2 แล้วยังสร้างสีสันอย่างมากกับบท 'น้องชายพระเอก' (มาซูชิม่า ฮิโระ) เรื่อง Mei-chan no Shitsuji (คนรับใช้ของเมจัง) ทั้งหมดที่ดูมานั้น ยังไม่ถึงกับเป็นบทบาทเด่นฉายเดี่ยว พอมารับบท 'พระเอก' ของ Q10 เต็มเนื้อเต็มตัวแบบนี้ แม่ยกจะไม่ปลื้มได้อย่างไร



มีซาโต้เป็นพระเอก ถ้าเป็นเรื่องคนปกติธรรมดาคงหามาดูตั้งแต่ซีรีส์ออกมาใหม่ๆ แล้ว เพราะคิดถึงสุดที่รักคนนี้อยู่มากมาย (สุดที่รักก็มีให้คิดถึงอยู่หลายคนมาก) แต่ที่รั้งรอมานาน เนื่องจากพล็อตเรื่อง Q10 มันช่างไม่ใช่แนวเอาซะเลย พระเอกเป็นคน นางเอกเป็นหุ่นยนต์เนี่ยนะ จะอย่างไรก็ไม่มีทางดึงความสนใจไปได้ง่ายๆ เพราะในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกนางเอกก็คงไม่มีทางซึ้งหรือลงเอย ถึงจะบอกว่า "Genre: Romance" ก็ไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี ว่ามันจะโรมานซ์ไปได้อย่างไร ถ้าเป็นละครมนต์วิเศษสิ่งเหนือธรรมชาติยังอาจมีโอกาสเปลี่ยนเป็นคน แต่หุ่นยนต์เป็นเรื่องของสิ่งประดิษฐ์เป็นวิทยาศาสตร์ จึงไม่มีโอกาสจะโรมานซ์แบบคนๆ ตั้งแต่แรกเริ่มจนจบลงนั่นแหละ ซึ่งความจริงการดูซีรีส์ญี่ปุ่นไม่จำเป็นที่พระเอกนางเอกต้องคู่กันหรือรักกันก็พอได้ ดังนั้น นางเอกจะไม่มีชีวิตไม่ใช่คนคงไม่เป็นไร แต่เมื่อนึกถึงในแง่ของความรู้สึกนึกคิดที่หุ่นยนต์ไม่อาจจะมีได้ หรือหากจะมีก็ทำใจให้เชื่อได้ยากว่าเป็นไปได้บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ หุ่นยนต์ไม่มีชีวิต เมื่อไม่มีชีวิตย่อมไม่มีจิตใจและความรู้สึกด้วย ถ้าเป็นผีหรือเอเลี่ยนก็ว่าไปอย่าง ถ้างั้นก็หมายความว่าพระเอกจะต้องเป็นฝ่ายผูกพันความรู้สึกกับหุ่นยนต์ที่อยู่ใกล้ชิดฝ่ายเดียวน่ะซิ! เห็นลางความเหงาหงอยของพระเอกอยู่รำไร จึงไม่อยากดูอะไรที่ไม่ใช่คน



ตามประสาคนเงื่อนไขเยอะ (พิมพ์ตรงๆ คือ เรื่องมาก) จึงเห็น Q10 เป็นพล็อตเรื่องมีตำหนิ เช่นเดียวกับที่ไม่เคยนึกอยากชม Absolute Boyfriend มาจนถึงทุกวันนี้ แม้จะมีแผ่น DVD อยู่ในครอบครองมา 3 ปีแล้ว ที่จริงก็นึกไม่ออกเลยว่าไปจัดหาแผ่นเรื่องนี้มาจากไหน และเมื่อไหร่ สันนิษฐานว่าเพื่อนคงจัดมาแล้วเราก็ลืมจัดคืนไป

อีกเหตุผลหนึ่งสำคัญถ้าเป็นเรื่องสิ่งประดิษฐ์เทคโนโลยีล้ำยุคเช่นการมีหุ่นยนต์รูปร่างหน้าตาเป็นคนเนี่ย ถ้าไม่ใช่ยี่ห้อฮอลลีวู้ดคงทำใจให้เชื่อในความสมจริงกันได้ยาก ก็เหมือนกับการก่อการร้ายของ Bloody Monday ที่ไม่ได้เข้าลู่เข้าทางอันน่าเชื่อในเหตุและผลทั้งซีซั่น 1 และ 2 แต่ถ้าฮอลลีวู้ดทำเรื่องไฮท์เทคโนโลยีได้ ญี่ปุ่นเขาก็กล้าทำเพื่อจะทำให้ได้เหมือนกัน อาจได้มีดีเท่า อย่างน้อยก็มีก้าวแรกและก้าวต่อๆ ไป Mr.Brain เป็นตัวอย่างหนึ่งที่สามารถสร้างสรรค์ภาพสื่อถึงความเป็นวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี่ได้ดีมากๆ จนไม่กล้าจะเอ่ยว่ามันสู้ฮอลลีวู้ดไม่ได้ตรงไหน

แต่ Q10 ไม่ใช่ Mr.Brain (แล้วเปรียบทำไม) เทคโนโลียีหุ่นยังไงก็ไม่เชื้อไม่เชื่อว่าเหตุผลและความเป็นไปได้มันจะสมจริง รวมถึงกลไกการทำงานของเธอด้วย แต่ไม่รู้จะตั้งแง่ไปทำไมมากมาย ในเมื่อสุดท้ายก็ดูอยู่ดีเพราะมี ซาโต้ ทาเครุ

หยุดเพ้อ และเข้าเรื่องซะที



เพราะเธอนั้นคือหุ่น

ไม่ใช่หุ่นขี้ผึ้งนะคะ หุ่นยนต์ค่ะหุ่นยนต์

หุ่นยนต์ตนนี้เป็น ‘เธอ’ ที่ถูกทิ้งไว้ข้างถนน จากนั้นถูกโยนจมกองขยะเพราะกลุ่มวัยรุ่นที่ผ่านมาหลงคิดไปว่าเธอคือคนตาย

เธอถูกเก็บได้ เพราะมีคนเข้าใจผิดคิดว่าเธอเป็นคนเป็น



อาจารย์ใหญ่โรงเรียนมัธยม ฟูจิโมโตะ มิจิโระ คือคนที่เขี่ยขยะเก็บเอาเธอขึ้นมา แต่พามาดูแลแล้วเธอก็ไม่ยักกะฟื้น ต้องหอบหิ้วมาไว้ที่โรงเรียนด้วยความตื่นตระหนก ร้อนถึง อาจารย์โองาวะ โฮอุ ที่ลากเอาอาจารย์ ยานางิ คุริโกะ มาร่วมรับรู้ลักษณะ 50/50 ระหว่างเป็นคนเป็น กับเป็นคนตาย ของเด็กสาวหน้าตาสวยน่ารักที่ไม่รู้มาจากไหน



สามคมช่วยกันพิศดูให้แน่ใจเธอเป็นอะไร เป็นคนตัวเป็นๆ หรือที่เห็นคือตายไปแล้ว หรืออีกทีสิ่งมีตัวตนนี้มิใช่คน! ระหว่างครุ่นคิดหาคำตอบ หุ่นยนต์สาวถูกทิ้งไว้ตามลำพัง แล้วเป็นบุญหรือกรรมของ ฟุไค เฮตะ (ซาโต้ ทาเครุ) ก็ไม่ทราบได้ เมื่อเขาเหลือบขึ้นไปเห็นเธอจากด้านหลังที่พักพิงหน้าต่างโผล่พ้นม่านออกมา ไม่รู้อะไรมาดลใจให้เฮตะขึ้นไปที่ห้องนั้น

.....

พบเธอ

แล้วก็เผลอใจไปแตะต้อง

บังเอิ๊ญเป็นปุ่มเปิดสวิตซ์ติดเครื่องยนต์ของเธอน่ะสิ สถานการณ์มันพาไป อารามตกใจเลยต้องตั้งชื่อให้ ตามการร้องขอคำสั่งตั้งชื่อใหม่ คิดอะไรไม่ออก บอกอะไรไม่ถูก ขอชื่อเหรอ คิวโตะไง! คิวโตะ ตามสัญลักษณ์ Q10 ที่เห็นปรากฏใต้ฝ่าเท้า

แล้วหุ่นยนต์สาวก็มีชื่อระบุตัวตน “คิวโตะ” (Maeda Atsuko)



ประหนึ่งสุนัขพบเจ้าของ เธอตามติด วุ่นวายให้เฮตะต้องได้รับความอับอายต่อหน้าเพื่อนฝูง เครื่องยนต์ล็อคแบบกอดติดหมับ หมดทางหนีต้องมียัยนี่แบกติดหลัง สุดท้ายแบตหมด เครื่องยนต์ดับ อุปกรณ์โผล่ อาจารย์ทั้งสามที่พยายามหาคำตอบจึงยิ่งกว่าแน่ใจ เธอใช่แล้ว เป็นหุ่นยนต์จริงๆ แต่ไม่รู้เธอทำอะไรได้บ้าง มาจากไหน มาทำไม เป็นของใครองค์กรลับใดที่จะกลายเป็นอันตรายหรือเปล่า เธอเป็นวิทยาการล้ำยุคที่เย้ายวนใจ หุ่นอะไรสร้างได้เหมือนคน เป๊ะ! ด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ (ซึ่งอย่าถามหาความสมเหตุสมผลที่จริงจัง) อาจารย์ทั้งสามขอตกลงใจเก็บเธอไว้ก่อน



ฟุไค เฮตะ จำต้องตกกระไดพลอยโจน กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ร่วมรักษาความลับการค้นพบหุ่นยนต์ประหลาดล้ำยุคที่รูปร่างหน้าตาเหมือนคน เด๊ะ! (สวยน่ารักซะด้วย) เท่านั้นยังไม่พอ ยังต้องกลายเป็นผู้มีหน้าที่คอยดูแลหุ่นยนต์ตนนี้ตามที่อาจารย์ทั้งสามมอบหมายด้วย (เต็มใจหรือเปล่าไม่รู้ล่ะ)

เธอถูกส่งไปอาศัยอยู่ร่วมบ้านกับอาจารย์ โองาวะ ซึ่งมีแม่แก่อารมณ์ดี โองาวะ ชิเงะ ผู้รักเอ็นดูลูกชายอยู่มิเสื่อมคลายแม้ลูกชายจะอยู่ในวัยใกล้ขึ้นคานเต็มทีแล้วก็ตาม เธอดีใจเมื่อมีหุ่นยนต์เด็กผู้หญิงมาอยู่ร่วมบ้านและเต็มใจช่วยดูแลคิวโตะเป็นอย่างดี

เธอถูกจัดให้เป็นนักเรียนย้ายมาใหม่ เข้าไปเรียนร่วมชั้นเดียวกันกับผู้ดูแลจำเป็น คือ ฟุไค เฮตะ



แล้วนักเรียนหน้าใหม่ ที่เพิ่งได้ชื่อแซ่เต็มๆ เหมือนคนทั่วไป 'คิวโตะ คาเรน' ก็ได้มาเรียนร่วมชั้น มีโต๊ะเรียนเป็นที่นั่งข้างๆ ฟุไค เฮตะ ผู้แจ้งชื่อต่อหุ่นยนต์คิวโตะหลังการกดปุ่มสวิตซ์ และเธอรับรอง "สำเนาถูกต้อง" ในการเป็นเจ้าของหรือเจ้านายของเธอนั่นเอง

ห้องเรียนนี้ไม่ธรรมดา เพราะแต่ละคนย่อมมีปัญหาชีวิตแตกต่างกันไป



ยามาโมโต้ ทามิโกะ นักเรียนหญิงผมยาวเรียบร้อย แต่ที่เห็นผมสวยๆ เรียบร้อย มันเป็นของปลอม พอพ้นเขตโรงเรียนเมื่อไหร่ก็ได้เวลาสลัดวิกออก กลับเป็นตัวตนคนจริงที่มีหัวบ๊อบสั้นและย้อมสีสันเป็นผมสีแดง (แรงค่ะ) เพราะนอกเขตโรงเรียนเธอเป็นนักร้องสาวขาร็อคที่มีกีตาร์แบกติดหลัง..(อย่างเท่) อนาคตจะเป็นไรไหม ถ้าฝันใฝ่จะเป็นนักร้อง แทนที่จะมุ่งหน้าไปมีการศึกษาเพื่ออาชีพการงานที่มั่นคงกว่าอย่างที่คนทั่วไปเห็นว่าควรกระทำ

มันดูไม่สมจริงอย่างนะ ผมวิกยาวของเธอน่ะ เห็นชัดๆ ว่าเป็นผมจริงของเธอ ส่วนผมแดงที่ในเรื่องเป็นผมจริงเธอต้องใส่วิกแสดง ก็ทำไมไม่ให้เธอตัดผมจริงสั้นย้อมแดง แล้วใช้วิกผมยาวจริงๆ มันจะได้ไม่ดูขัดๆ กันยังไงก็ไม่รู้ เพราะผมวิกในเรื่องเห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นผมจริง ส่วนผมจริงก็เห็นอยู่ว่าเป็นการใส่วิก (งงไหมล่ะคะเนี่ย)



นากาโอะ จุน นักเรียนชายผู้มีงานอดิเรกแสนรักคือการอ่านการ์ตูน ระดับอาการไม่ถือว่าติดอย่างธรรมดา แต่เข้าขั้นหลงใหลระดับจิต (ใครบางคนแถวนี้ก็เข้าข่ายหลงใหลการดูซีรีส์ระดับจิตเหมือนกัน) คิวโตะซัง ดันมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกันกับตัวการ์ตูนสุดรักของนากาโอะ เหมือนมี ‘ลูน่า’ เดินออกมาจากหนังสือการ์ตูนแบบนี้ พิษรักแรงอิจฉาที่นากาโอะมีต่อเฮตะจึงค่อนข้างแร้งงงง เพราะเฮตะเป็นเพื่อนเก่าคิวโตะ (ตามที่อาจารย์โองาวะกุเรื่อง) จึงได้อยู่ดูแลใกล้ชิด ตามติดกันเป็นเงา (เต็มใจซะที่ไหนกัน) จนใครๆ เขาก็รู้กันไปโดยปริยายว่า คิวโตะเป็นเด็กของใคร (ฉากที่เฮตะลองซ้อมพูดกับกระจกในห้องน้ำเพื่อจะห้ามไม่ให้นากาโอะมาคอยตามเฝ้าดูคิวโตะด้วยการท้าวแขนกับกระจก เก๊กหน้าขรึม เหลือกตา แล้วพูดว่า "อย่ายุ่งกับเด็กชั้น" จู่ๆ นากาโอะก็โผล่มา เฮตะตกใจแขนร่วงหน้าเกือบคะมำ ฮ่าฮ่า ตลกและน่ารักมากๆ )

ฟุจิโอกะ มาโกโตะ ใครจะฝันถึงอนาคตก็ฝันไป เพราะนากาโอะไม่มีอนาคตให้ต้องคิดฝัน แค่ค่าเทอมจะจ่ายที่เล่าเรียนอยู่ทุกวันยังไม่มี ฐานะยากจน พ่อแม่ทอดทิ้ง อนาคตมืดมน ปัจจุบันยังต้องลำบากอีกมากเพื่อดูแลตนเองและน้องชายที่อยู่กันลำพังสองคน

คุโบ ทาเคฮิโกะ ถ้าเจ็บเพราะจนอย่างฟุจิโอกะคงพอไหว ถ้าสับสนไม่รู้จะเอาไงกับชีวิตดีอย่างเฮตะคงไม่เป็นไร แต่ที่เจ็บหัวใจคือคุโบนั้นเจ็บกาย การเจ็บป่วยที่บางที วันพรุ่งนี้อาจเป็นวันที่มาไม่ถึง ไม่รู้ว่าการที่ต้องครุ่นคิดหาคำตอบจะเอายังไงดีกับชีวิตวันพรุ่งนี้และอนาคตต่อไป กับการที่ไม่ต้องครุ่นคิดอะไรเพราะอาจไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคิดถึงมัน คิดกับไม่คิดอย่างไหนควรดีกว่ากัน

ฟุจิโนะ สึกิโกะ เธอเป็นสาวปริศนาที่ต้องไปหาคำตอบกันเอาเอง เพราะเธอปริศนาจริงๆ เธอกุมความลับของหุ่นยนต์คิวโตะตั้งแต่ต้นจนเปิดเผยแล้วในตอนจบ ก็ยังไม่เคลียร์เลยว่าเธอเป็นใคร อยู่ที่นี่ในโลกใบนี้ มีครอบครัวเป็นนักเรียนธรรมดา หรือมาจากไหน จะจากไปหรือเปล่าหรือจะอยู่ยาวถาวร สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าเธอ ...คนหรือเปล่าเนี่ย !!!?

เรื่องนี้มีบทบาทมากหน่อยในฐานะ 'สาวปริศนา' แต่ที่มาเล่นเป็นน้องสาวนางเอกเรื่อง Soredemo, Ikite ปี 2011นั้นแทบไม่มีบทบาทและไม่มีอะไรให้เป็นที่่จดจำเอาซะเลย



คาเกยาม่า ฮิซาชิ นักเรียนชายผู้รักการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านสื่อวิดิโอ ถ้าจะฝันถึงอนาคตก็ต้องทางนี้สิ อยากออกหาประสบการณ์การถ่ายภาพวิดิโอด้วยอิสระเสรี แต่หัวใจดันติดอยู่ที่เขาหลงรักสาวนักเรียนร่วมชั้น คาวาอิ เอมิโกะ

คาวาอิ เอมิโกะ นักเรียนหญิงคนเก่ง เป็นเด็กเรียนที่หน้าตาสวยน่ารัก แต่ขาดความมั่นใจในตนเอง (ตามบทคาวาอิเป็นคนสวยน่ารัก แต่นักแสดง ทากาฮาตะ มิตสึกิ ไม่ค่อยสวยถูกตาหรือน่ารักถูกใจผู้เขียนสักเท่าไหร่) เพราะเธอเป็นเด็กเรียนดี อนาคตต่อจากนี้การเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยระดับดีๆ ก็ย่อมทำได้ แต่เป้าหมายที่เคยมีกลับไม่ง่ายจะมุ่งไป เมื่อดันมีใจรักตอบ คาเกยาม่า ฮิซาชิ




เฮตะเองก็ใช่ว่าไม่มีปัญหา แม้มีครอบครัวอบอุ่นและได้รับความรักเต็มที่จากพ่อแม่แสนดีและพี่สาวที่น่ารัก แต่ตัวเฮตะกลับมีอาการเศร้านิดๆ ซึมหน่อยๆ คอยแอบแฝง ซึ่งเป็นผลมาจากที่เคยเจ็บป่วยมามากในอดีตและปัจจุบันถึงไม่ป่วยก็ยังคงต้องเฝ้าระวังสุขภาพ ชีวิตต้องการอะไร มีความหมายยังไง และจะเอายังไงดีกับมัน ยังคงไม่มีคำตอบ

หุ่นยนต์คิวโตะ ไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ แต่ไม่รู้กลไกของเธอเริ่ดแค่ไหนจึงคิดเองเออเองได้พอควร พฤติกรรมของเธอไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา ไม่ได้ชี้ทางออก แต่มันช่วยทำให้คนที่ตกอยู่ในปัญหาเข้าใจถึงอะไรบางอย่าง และมองโลกมองตัวเองในแง่ดีขึ้น โดยไม่รู้ตัว หุ่นยนต์คิวโตะได้มีส่วนต่อเติมกำลังใจให้กับชีวิตวัยรุ่นวัยสับสนเหล่านี้ ส่วนที่เธอมาจากไหน มาจากใคร มีวัตถุประสงค์อะไรที่ปรากฏตัวขึ้นบนโลกใบนี้ ต้องไปติดตามกันเอาเองนะคะ



ซีรีส์สั้นๆ แค่ 9 ตอนเองค่ะ แต่มันให้ความรู้สึกเหมือนยาวนาน เข้าใจว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะซีรีส์สั้นๆ เรื่องนี้ ได้นำเสนอเรื่องราวของหลายชีวิต แม้ไม่ค่อยมีความเกี่ยวข้องไปด้วยกันมากนัก เช่น ความรักที่เป็นอุปสรรคต่อการศึกษาของคาวาอิและคาเกยาม่า ไม่ได้เกี่ยวพันกับชีวิตฝันรักนักดนตรีของยามาโมโต้ หรือความบ้าคลั่งการ์ตูนของนากาโอะ หรือชีวิตป่วยเป็นผักของคุโบ ตัวละครแทบไม่แสดงความสัมพันธ์สนิทใดมากไปกว่าการเข้าฉากเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน เรื่องของมิตรภาพระหว่างเพื่อนจึงดูไม่ลึกซึ้งนักแล้วก็ไม่อินด้วย ดังนั้นจะว่าเป็นซีรีส์แนวมิตรภาพระหว่างเพื่อนก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นแนววัยรุ่นฝันใฝ่ก็ไม่เชิง มันออกแนวค้นหาตัวตนและจุดมุ่งหมายของชีวิตกึ่งๆ กับแนวความรักเสียด้วยซ้ำ แต่มันก็ไม่โดดเด่นในแง่ใดแง่หนึ่ง ซึ่งการดำเนินเรื่องไปด้วยความเป็นไปของตัวละครหลายๆ คน พร้อมๆ กัน จึงเหมือนได้ดูเรื่องราวหลายชีวิต ทำให้รู้สึกเหมือนมีเนื้อเรื่องที่ยาว ทั้งที่ก็มีแค่ 9 ตอน



ในเชิงบอกเล่าหรือการบรรยายเรื่องราว ตัวผู้เขียนเองต้องยอมรับว่าจับใจความสำคัญเน้นๆ จากเสียงความคิดความในใจของ ฟุไค เฮตะ ออกมาไม่ได้เลย เพราะในถ้อยความเหล่านั้นมันไม่ได้มีความคมวับหรือจับใจอะไร เป็นเสียงความในใจของเจ้าตัวที่ก็เหมือนยังไม่เข้าใจตัวเองหรือคนอื่นดีนัก คล้ายเป็นลักษณะของการครุ่นคิดคำนึงในสิ่งที่กำลังเรียนรู้ ทำความเข้าใจตัวเองและคนรอบข้างมากกว่า

จุดนี้ไม่รู้มันยากจะเข้าใจชัดๆ (ขนาดดูซับไทยแล้วนะ) หรือเป็นเพราะไม่มีสมาธิจะรับรู้แก่นสารของมัน เนื่องจากว่ามัวแต่เพลินกับเสียงหล่อๆ และจดจ่ออยู่กับการแสดง 'สายตา' ของซาโต้ ไม่รู้คนอื่นๆ คิดกันว่าไงนะคะ แต่ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าซาโต้เป็นนักแสดงคนหนึ่งที่แสดงออกมาทางสายตาได้ดี ซึ่งหากเป็นนักแสดงลักษณะนี้ คิดว่าเรื่องรูปร่างหน้าตาที่ไม่ได้ถึงกับเป็นคนที่สูงโปร่งหรือหล่อมากมายอะไร (170 ซม. กับหน้าดูกผอมๆ) ก็ไม่ใช่ปัญหาของการเป็นนักแสดงคุณภาพนิยมหรอกนะ จึงหวังว่าซาโต้ จะได้รับบทเด่นๆ ดีๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเป็นพระเอกก็ได้ แต่ขอให้เป็นบทดีๆ ที่สำคัญและน่าสนใจ และจะคอยติดตามผลงานอยู่เสมอ



น้องหนูมาเอดะ อัตสึโกะ หน้าตาเธอน่ารักดีค่ะ ยิ้มก็น่ารักด้วย ส่วนเรื่องฝีมือการแสดงนั้นคงต้องว่ากันเรื่องหน้า เนื่องจากผู้เขียนคิดว่าการเล่นเป็นหุ่นยนต์หน้าเรียบสนิทไร้อารมณ์ของเธอ มันไม่ได้ยากเย็นอะไรนักสำหรับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักแสดง ไม่เคยรู้จักเธอมาก่อนในเรื่องอื่นๆ (เว้นแต่จะจำไม่ได้) ดังนั้นจึงไม่มีความเห็นอะไรต่อเธอมากไปกว่านี้ แต่ชอบคิวโตะเวลายิ้มมากเลยค่ะ เพราะมันเป็นยิ้มแข็งๆ แบบหุ่น ตอนเธอยิ้มจะได้ยินเสียงเครื่องกลของเธอก่อนแชะนึง แล้วฉีกยิ้มกว้างทันที มุมปากเป็นมาตรฐานยิ้มแบบเท่าเดิมเป๊ะ ร้องไห้ก็น่ารัก คิวโตะถูกติดตั้งน้ำตาไว้ด้วย วิธีให้หยุดร้องไห้คือการกอด ที่เฮตะต้องทำใจไปซ้อมกอดเสาก่อนเพื่อจะกอดคิวโตะ พอทำใจได้ไม่ว่ายังไงก็ต้องกอดแล้วจะได้หยุดร้องไห้เสียที แต่พอหันขวับมา แบบคน เอาวะ! เอาไงก็เอา กอดก็กอด ปรากฏว่า ........... คิวโตะหยุดร้องไห้แล้ว เพราะคนที่เดินผ่านมาบังเอิญชนเธอจะล้มก็เลยช่วยกอดประคองไว้ หัวเราะเสียงดังมากเลยล่ะฉากนี้ กับหน้าตาเหวอของซาโต้ อุตส่าห์ทำใจแก้เขินอยู่ตั้งนานลุงคนนั้นปาดหน้าเค้กไปเห็นๆ

นอกจากยิ้ม ร้องไห้แล้ว คิวโตะยังแปลงเสียงได้ ล้อเล่นเป็น ชอบเสียงหุ่นยนต์ของเธอจริงๆ แล้วก็อาการเขินแบบหุ่นยนต์ จะได้ยินเสียงเครื่องเบาๆ เหมือนไขลานนิดนึงก่อน แล้วอาการเขินก็ออก น่ารักจริงๆ

ป้าฮิโรโกะ ป้าจะไม่งานชุกมากไปสักหน่อยหรือคะ หน้าป้าปรากฏหราอยู่หน้าจอเป็นประจำมาก อย่างสามเรื่องล่าสุดที่ดูป้าก็เล่นอยู่ในนั้นทุกเรื่อง! เป็นป้าที่น่ารักถึงจะสูงวัยก็ยังแอ๊บสดใสอาโนเนะได้อยู่นะคะ ชอบให้เล่นบทลักษณะนี้แหละ กับบทบาท Working Woman ที่เห็นกันใน Zenkai girl ดูจะไม่เข้ากับป้าเท่าไหร่ ต้องอารมณ์เบาๆ สบายๆ ติงต๊องนิดๆ ติสต์หน่อยๆ ดูจะเหมาะกับเธอมากกว่า Kisarazu Cat's eye เล่นเป็นครู เรื่องนี้ก็เล่นเป็นครูอีกแล้ว แต่คาแร็คเตอร์ต่างกันเยอะเลย

คาคุ เคนโตะ เคนโตะไปทำอะไรมา หน้าตาดูดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับตอนเล่นเป็นรุ่นน้องคนสนิท ของยามาโมโต้ ยูสุเกะ ในเรื่อง Tumbling คงเป็นเพราะทรงผมเปลี่ยน เพราะถ้าจะว่ายิ่งโตยิ่งดูดีก็คงไม่ได้ เนื่องจาก Tumbling ก็เป็นซีรีส์ปีเดียวกัน จะเห็นได้ว่ายูสุเกะที่ไปเล่นเป็นพระเอกเรื่อง Ouran High School Host Club
ก่อนจะติดตามป๋าทาคุยะไปดินแดนขั้วโลกเหนือยเพื่อถ่ายทำ Nankyoku Tairiku ก็หล่อไบรท์ขึ้นจนหน้างี้ขาวชมพู ไม่เชื่อไปเปิดดู Ouran ได้ ยังกะไม่ใช่ยูสุเกะที่เคยเห็นเมื่อก่อน หรือว่าไปฉีดโบท็อกซ์มาหน้าเลยใสเด้ง

น้องหนูเรนบุซัง เพิ่งดูเรื่องก่อนผ่านมากับ Zenkai Girl ที่ดูเป็นสาววัยทำงานสวยใสอ่อนไหวอาโนเนะ เรื่องนี้ดูเป็นเด็กมัธยมที่เงียบๆ เย็นชา ประสาคนกร้านร็อคนอกโรงเรียนที่ค่อนข้างออกแนวสันโดษ เปลี่ยนวัย เปลี่ยนบุคลิกบทบาท ก็สร้างความแตกต่างเป็นคนละคนได้ดีนะคะ



พูดถึงการเปลี่ยนเป็นคนละคน ซาโต้ ทาเครุ กับบท ฟุไค เฮตะ นี่ก็เปลี่ยนไปจากเรื่องอื่นเหมือนกัน ดูเด็กลง ใสมาก หล่อมาก น่ารักมาก (ฮ่าฮ่า อันนี้มันความชอบส่วนตัวแล้วล่ะ) ว่ากันตามความจริงคือ เล่นได้เป็นเด็กวัยรุ่นใสๆ สมวัยมัธยม มีความซึมนิดๆ เศร้าหน่อยๆ จากเหตุชีวิตที่ก็ไม่ได้เป็นปกติสมบูรณ์ เพราะเคยป่วย มีโรคประจำตัว เหมือนเป็นตัวปัญหาของครอบครัวในเรื่องการดูแลและค่าใช้จ่าย (โรคอะไรก็ไม่รู้เกี่ยวกับหัวใจ) แล้วเพื่อนข้างเตียงในวัยเด็กที่กลายมาเป็นเพื่อนสนิทอย่างคุโบก็มีอาการทรุดลงไปให้เห็น คนหนึ่งป่วยจะตาย คนหนึ่งสบายดีแต่ไม่รู้จะมีวันป่วยกำเริบขึ้นมาเมื่อไหร่ อาการที่ดูเหมือนเหงาน้อยๆ รวมกับความตลกนิดหน่อยของเฮะตะนี่ชอบซะจริง



ชอบดวงตารียาวและโต(เกือบโปน) ของซาโต้ หึหึ ตาอีกแล้ว ลองว่าหลงเสน่ห์ดวงตานักแสดงรายไหนเข้าล่ะก็ รายไหนเป็นรายนั้น รักไม่มีวันจืดจางขึ้นมาเลยทีเดียว นอกจากหน้าผอมยาวที่มีดวงตารีโตสื่ออารมณ์ได้ดีในการแสดงแล้ว ยังแอบรักไฝเล็กๆ ของซาโต้มาแต่แรกแล้วด้วย หุหุ...อิหรอบนี้ไม่มีแน่กับรักสั้นๆ แต่รักฉันจะยืนยาวต่อซาโต้ทาเครุจัง ก็ชอบไปหมดซะทุกอย่างไม่ว่าจะอาการตกใจ อารมณ์หงุดหงิดที่ต้องคอยควบคุมความประพฤติอันเกิดมาจากสมองกลของคิวโตะ ตอนหึงเล็กๆ ก็น่ารัก ตอนเศร้านิดๆ ก็น่าชม เอาเหอะค่ะ ยกให้ผู้เขียนเหอะที่จะสรุปว่า ซาโต้ดี หล่อ เท่ น่ารักทุกประการทั้งปวง คิดว่าต่างกับบทใน Bloody Monday เยอะเลย เพราะเรื่องนั้นจะดูขรึมเท่ ไม่ดูเป็นเด็กๆ ใสๆ อย่างเรื่องนี้



เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องราววัยรุ่นใสๆ (หุ่นยนต์ก็หุ่นวัยรุ่นเหมือนกัน) เรื่องก็เลยออกมาโรแมนติกน่ารัก ที่กลัวว่าตัวเองจะเศร้ากับความรู้สึกผูกพันข้างเดียวของพระเอกฝ่ายเดียวที่มีความรู้สึกนึกคิด กลับไม่มากเท่าไหร่ เพราะความน่ารักช่วยกลบได้เหลือจะมิด แถมยังจบแฮปปี้เอนดิ้งด้วยกันทุกฝ่าย อย่างที่หวังไว้ให้เป็นเช่นนั้น ไม่ใช่จะโอ้อวดว่าเดาเก่งอะไรนะคะ แต่นั่นมันเป็นทางออกที่พอมองเห็นได้ง่าย และเป็นทางออกที่ดี แต่เรื่องนี้เหมือนมันไม่ใช่แค่ทางออกแต่ม้นเป็นเนื้อเรื่องที่ตั้งใจมาแต่แรกแล้วว่าจะให้เป็นเช่นนี้ จึงถูกใจใช่เลยค่ะ

เรื่องราวที่จบแฮปปี้เอนดิ้งไม่ว่ายังไงก็ต้องน่าสนใจกว่าเรื่องที่รู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายนางเอกหรือพระเอกตาย หรือ ทางใครทางมัน จริงไหมล่ะคะ



บล็อกนี้คัดภาพมาฝากเยอะเลย ... ฝากตัวเอง (เป็นการสนองความต้องการส่วนตนขนานแท้) ทั้งที่มีภาพในใจอยู่แล้วว่าจะคัดเอาตอนไหนมาลงบล็อกบ้าง แต่พอเปิดขึ้นมา เห็นสีหน้าแวตาของซาโต้แล้วมันอดใจไม่ไหว ยังไงต้องตัด ตัด ตัด ตัด จนเหมือนดูซีรีส์เรื่องนี้เข้าไปตั้งสองรอบ แล้วจากที่คิดว่าจะเอามาไม่มาก ก็ดูจากจำนวนภาพที่โพตส์ลงเถอะค่ะ มันเป็นความประพฤติที่ไม่ได้ไปในทางเดียวกันกับความตั้งใจเลย ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วถือว่าชดเชยช่วงเวลาสองปีนี้ที่ไม่เคยแบ่งเวลาสำหรับความตั้งใจที่จะส่งซาโต้ ทาเครุ ขึ้นบล็อกในหมวดหมู่ "ดาวประดับใจ" ของตัวเองได้เลย เป็นความตั้งใจที่ค้างเติ่งเหมือนกับนักแสดงที่ชื่นชอบอีกหลายคนนั่นแหละ

ภาพช่วงสุดท้ายที่นำมาลงไม่ใช่ตอนจบของเรื่องนะคะ เป็นช่วงปลายเรื่องก็จริง แต่ยังอยู่ไกลตอนจบอีกพักใหญ่ ตั้งใจจะปิดบล็อกด้วยภาพนั้น เพราะมันเป็นฉากที่ชอบมาก โดยเฉพาะสายตาของซาโต้ที่เพ่งมองฝ่าความมืด ไปยังแสงสว่างที่ปรากฏใกล้เข้ามา ใคร ที่ไม่คิดว่าจะมาอยู่ตรงนี้ได้ และสองมือของเธอที่ยื่นส่งมาให้



ข้อดีๆ ของเรื่องนี้ที่จะลืมเลือนไม่กล่าวถึงไม่ได้

การเล่นมุมกล้อง หรือมันไม่ใช่ที่กล้องแต่เป็นการดัดแปลงทำภาพก็ไม่รู้ล่ะ ไม่รู้ศัพท์แสงในวงการของเขาในการถ่ายภาพกว้างๆ ยาวๆ โล่งๆ โค้งๆ ..ทำออกมาแล้วมันเท่ ได้ภาพบรรยากาศและวิวกว้างๆ อย่างสวยเลย คล้ายๆ การถ่ายพาโนราม่าแต่ว่ามันดันนูนๆ โค้งๆ ด้วยน่ะสิ แล้วก็การถ่ายจากมุมล่างขึ้นบนก็ให้ภาพอีกแบบนึง นี่ถ้านักแสดงแต่ละคนไม่ผอมเพรียวถ่ายภาพมุมนี้จะอืดเต็มจอเลยนะคะ มุมนี้ก็ใช้อยู่บ่อยเหมือนกัน ได้ภาพสวยแปลก ชอบมากค่ะ เก๋ดี

โทนสีของภาพ ชอบด้วยเช่นกัน แดดจ้า ฟ้าใส หรือบรรยากาศสีทองยามเย็นกับเสาไฟฟ้าแรงสูงที่โดดเด่นอยู่ท่ามกลางที่โล่งกว้าง เริ่ดมาก

สถานที่ถ่ายทำ วิวสวยค่ะ ชอบซีรีส์ญี่ปุ่นเพราะแบบนี้ด้วยแหละ ผืนน้ำ ทุ่งหญ้า ฟ้าใส ดาดฟ้ากว้าง บ้านเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูดีจริงๆ

เนื้อเรื่องพอใช้ โรแมนติกดีสมกับที่แจ้งประเภทไว้ นางเอกน่ารัก พระเอกหน้าตาดี ฝีมือดีด้วย (อวยกันเข้าไป) ตัวประกอบพอไปวัดไปวาและเข้าใจได้ มุมกล้องเท่ ภาพกิ๊บเก๋ สีสันสวย บรรยากาศงาม สำหรับผู้เขียนแล้ว กับซีรีส์เรื่องหนึ่ง ไม่เรียกร้องอะไรมากไปกว่านี้ แค่นี้ก็ไหวจะชมแล้วค่ะ

















































 

Create Date : 17 ธันวาคม 2554    
Last Update : 25 พฤษภาคม 2555 20:00:34 น.
Counter : 22002 Pageviews.  

Zenkai Girl รักของสาวมั่นดันทุรังสูง คนที่ดีพอ หรือคนที่พอดี?


Title : Zenkai Girl
Genre: Romantic comedy Episodes: 11
Viewership rating: 12.3%
Broadcast : Fuji TV 2011-Jul-11 to 2011-Sep-19 Monday 21:00
Theme song: Ai ga Aru by Every Little Thing
Ending song: Tsubusa ni Koi by Kanjani8
Screenwriter: Yoshida Tomoko
Director: Takeuchi Hideki

(ที่มา : DramaWiKi)

ไม่รู้ไปกินอะไรผิดสำแดงเข้าหรือเปล่านะ นิชิคิโด เรียว ถึงไปถูกตาเหล่าแคสติ้งให้ถูกเข็นมารับบทพ่ออีกแล้ว ตอนแรกก็ไม่รู้สึกอะไรนักหรอก แต่พอเห็น อิชิฮาระ ฮายาโตะ ก็เพิ่งรับบทพ่อเช่นกันใน Run Away .. โอ้โหเฮะ ใจหายจริงๆ ด้วย หนุ่มๆ รุ่นนี้จะล่วงเข้าสู่วัยหนุ่มใหญ่วัยกลางคนกันหมดแล้วหรือเนี่ย

ประเด็นคือ .. แล้วเราล่ะ ?

เอาเถอะ ถึงเรียวจะรูปร่างก๊องแก๊งหุ่นผอมบาง แต่เรียวเรื่องนี้แก่จริงจัง ยิ้มทีตีนกาปรากฏริ้วเต็มหน้า หน้าก็คล้ำ ตัวก็ดำ สมกับที่นางเอกของเรื่องตั้งฉายาให้ซะไม่มีดี “ตัวกะปิ” อืม ... ดูจากสีตัวก็กะปิจริงๆ (และตัวกะเปี๊ยกด้วย)


Zenkai Girl เห็นจากซับไทยในแผ่น DVD ถูกตั้งชื่อไว้ว่า “สาวแกร่งแรงเกินพิกัด” คิดว่าก็โอเคนะคะ แต่ส่วนตัวคิดว่านางเอกก็ไม่ใช่ว่าแกร่ง ก็ไม่เชิงว่าแรง เพราะแท้จริงชีอาการหนักกว่านั้น แกร่ง กับแรง เป็นเพียงแค่ผลข้างเคียงจากความดันทุรังสูงที่เธอมีอยู่ในตัว และจุดแข็งเป็นเหตุสืบเนื่องต่อกันคือ ต้องเป็นคนที่มีความมั่นอกมั่นใจในตัวเองมากเท่านั้นถึงจะมีความดันทุรังชนิดนี้ได้

เพราะระดับความดันทุรังของเธอนั้นไม่ใช่แค่สูงอย่างเดียว แต่สูงลิบเกินกว่าใครจะกู่กลับ นอกเสียจากว่าเธอจะเปิดหัวใจมองชีวิตในมุมใหม่ และยอมพ่ายแพ้แก่หัวใจของตัวเอง



อายุกาว่า วากาบะ สาวนักกฎหมายที่ใฝ่ฝันจะเป็นทนายความในบริษัทกฎหมายดี ๆ แน่นอน ฝันของเธอต้องไม่ธรรมดา ต้องระดับ “อินทรีย์แห่งแมนฮัตตัน” (คืออะไรไม่เข้าใจแน่ชัด แต่เปรียบเทียบถึงฝันอันใหญ่โตของนางเอก) แล้วก็จับพลัดจับผลูได้เข้าไปทำงานในบริษัทดีๆ อย่างที่หวังซะด้วย ชื่อบริษัท ซาเมจิมะ ซากุระกาว่า ซึ่งมี ซากุระกาว่า โชโกะ เป็นประธานบริษัท หญิงม่ายลูกติดที่เก่ง แกร่ง เป็นต้นแบบ working woman ที่วากาบะชื่นชม

แต่แทนที่จะได้ทำงานทนายความตามใจอยาก กลับกลายเป็นว่าที่เธอถูกจ้างมานั้นไม่ใช่เพื่องานกฎหมาย แต่เพื่อทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้กับ ซากุระกาว่า ฮินาตะ ลูกสาวคนเดียวของท่านประธานหญิง แต่ไหนๆ โอกาสก็มาแล้ว วากาบะจึงมิได้ถอยหนี มุมานะทำทั้งงานพี่เลี้ยงเด็ก (ที่ก็ไม่ได้รักเด็กแต่อย่างใด) แล้วยังคอยอาสาช่วยงานต่างๆ ในบริษัทเท่าที่เธอมีโอกาสขอทำได้

อย่างที่บอก ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา เธอเป็นคนเก่ง คนแกร่ง นอกจากเป็นพี่เลี้ยง รับส่ง อยู่เป็นเพื่อน กินข้าวเป็นเพื่อน ดูแลทุกสิ่งอย่างให้กับเด็กหญิงฮินาตะแล้ว เธอก็เหมือนเป็นพนักงานประจำคนหนึ่งของบริษัทด้วย เมื่อคนๆ เดียวต้องการจะทำทั้งสองสิ่งขณะที่มีแค่สองมือกับเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากันกับคนอื่นๆ เวลาพักผ่อนนอนหลับของเธอจึงแทบไม่มี ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นคนบ้างาน แค่ต้องการจะพิสูจน์ ถ้าเพื่อความสำเร็จในชีวิต "หนูทำได้"



ยามาดะ โชตะ คุณพ่อลูกติดที่เป็นพ่อครัวให้กับร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่งชื่อรูซาโตะ เจ้าของร้านมีอายุอานามแก่หง่อม (ปฏิกิริยาตอบสนองเชื่องช้าอย่างกับซากคนที่พลังของชีวิตแทบไม่เหลือ) การที่โชตะทำงานอยู่กับร้านนี้ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะความเมตตาต่อลุงแก่ๆ ที่ทำงานไม่ค่อยไหวด้วย ส่วนหนึ่งคือการทำงานอยู่ที่ร้านนี้เอื้อต่อการที่เขาต้องเลี้ยงลูกไปด้วยทำงานไปด้วย ลูกชายของโชตะ ชื่อ ยามาดะ เอมิทาโร่ แต่เขามีชื่อเล่นเรียกกันติดปากว่า พีทาโร่

บริษับริษัท ซาเมจิมะ ซากุระกาว่า (Samejima Sakuragawa Law Firm)




ซากุระกาว่า โชโกะ ต้นแบบของหญิงแกร่ง ทำงานเก่ง ร่ำรวย และมีพร้อม แต่เธอมีไม่พร้อมอยู่อย่างเดียวคือ เวลาสำหรับครอบครัว สามีหย่าขาด เธอต้องเลี้ยงลูกสาวตามลำพัง แต่วิธีการของเธอนั้นก็เหมือนคนรวยบ้างานเพื่อทำเงินคือบันดาลห้องสวยๆ ของเล่นดีๆ การแต่งตัวแพงๆ ให้ได้ทุกอย่าง ยกเว้นตัวเธอเอง เธอทำแต่งาน งาน งาน ส่วนลูกน่ะเหรอ แม้จะรักมากแค่ไหน แต่แม่ต้องทำงาน ลูกจึงต้องเข้าใจแม่ และใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับพี่เลี้ยง

ชินโดะ เคียวอิจิ ชายหนุ่มผู้เพียบพร้อม หล่อ รวย ชาติกตระกูลดี ฝันสูง อนาคตไกล เขาเป็นนักกฎหมายฝีมือดีของบริษัท ซึ่งลึกๆ กำลังจ้องจะเลื่อยขาเก้าอี้ท่านประธานเพื่อขึ้นสู่ตำแหน่งซะเอง เริ่ดซะขนาดนี้ย่อมเป็นที่หมายตาแก่สาวดันทุรังหัวสูงอย่างนางเอกของเรา และเขาก็ยินดีตกเป็นเป้าหมายของเธอด้วย วากาบะ ..ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ร่ำรวย แต่เธอเป็นคนมุ่งมั่น และมีความใฝ่ฝันจะมีชีวิตดีๆ เป็นเป้าหมาย ความรักมีต่อกันหรือเปล่าไม่สำคัญ เพราะสำคัญที่เขาให้ฝันนั้นกับเธอได้ ผู้หญิงแบบนี้แหละที่เหมาะจะก้าวไปด้วยกัน มีอนาคตที่สวยงามร่วมกันในวันข้างหน้า ผู้หญิงที่ก้าวเดินไปแล้วจะไม่มีวันถอยหลัง เมื่อตั้งใจทำสิ่งใดแล้วจะต้องทำมันให้สำเร็จ

และผู้หญิงอย่างนี้ จะไม่มีวันหักหลังเขา

ชิโอดะ โซโยโกะ เลขานุการของท่านประธานโชโกะ สาวสวย เรียบร้อย แสนดี ที่ต่อมาแอบมีใจ ให้คุณพ่อลูกติด ยามาดะ โชตะ คุณพระเอกของเรานั่นเอง เสียดายแต่สวยๆ อย่างนี้ ดันรักเขาข้างเดียวเหมือนเกลียวเชือก เขาไม่คิดรักเผื่อเลือกก็ยังหวัง ก็ยังรักเขาต่อไปไม่ระวัง ต้องชีช้ำหัวใจสุดระทม

คุโจ้ มิกะ สวยแบบห้าวๆ ค่ะเธอคนนี้ หน้าตาเธอออกแนวผู้หญิงเก๋ๆ แบบ มิซุกาว่า อาซามิ (นางเอก Inu o Kau to Iu Koto) คือไม่สวยมาก แต่มีเสน่ห์ ตัวผอมนิดๆ หน้ากระดูกหน่อยๆ ชอบค่ะ ! เธอเป็นทนายความสาวที่ค่อนข้างเป็นคนตรง และโผงผางอยู่สักนิด

ซากาโตะ มอริซ พนักงานอาวุโสคนหนึ่งในบริษัท ผู้รับบทบาทในการโผล่ไปโผล่มาเพื่อพูดจาลอยๆ เพ้อเจ้อ หรือเหน็บแหนม หรือคำคม แล้วแต่กรณี ความจริงบทนี้ก็ค่อนข้างจะไร้ค่า ( แรงไปไหมเนี่ย) ถ้าไม่มีก็คงไม่เสียหายอะไร แต่ก็นั่นแหละ เมื่อมันเป็นละครคอมเมดี้ ก็ต้องมีจุดเล็กจุดน้อยเป็นตัวกระตุ้นส่งเสริม

โรงเรียนอนุบาล มิตสึบะ โน โมริ ( Mitsuba no Mori Nursery School)


ฮานามารุ จิน ครูใหญ่โรงเรียนอนุบาล หน้าตาห้าวหาญ เหมือนนักเลงโต แต่ใจดี ช่างสังเกต และเข้าถึงจิตใจของเด็กๆ เป็นครูใหญ่ที่ได้รับความไว้วางใจจากพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กๆ เป็นอย่างดี

ฮานามารุ อุราระ คุณครูอนุบาล ที่สถานภาพส่วนตัวเป็นลูกสาวของครูใหญ่

ร้านรูซาโตะ (Restaurant Le Sato)




สะกดภาษาไทยตามซับไทยนะคะ ร้านนี้เป็นที่รวมตัวของคุณพ่อทั้งสี่ หนึ่งในนั้นคือโชตะผู้เป็นพ่อครัวของร้าน และอีกสามคือ นิชิโนะ ,โทริอิ ฮิโรกิ , ฮายาชิ ซามาโอะ ทั้งหมดต่างก็เป็นคุณพ่อฉายเดี่ยวเลี้ยงลูกตามลำพัง ความหวังจริงจังคืออยากมีคุณแม่ให้เด็กๆ เนื่องจากคุณพ่อทุกคนต้องทำงาน หนุ่มๆ ทั้งสี่จึงรวมตัวกันผลัดเปลี่ยนเวรดูแลเด็กๆ ในตอนเย็นหลังเลิกจากโรงเรียน ในบรรดาเพื่อนของพระเอกนี้ คงจะคุ้นกันดีอยู่แล้วกับนักแสดงโยชิโยชินะคะ เล่นเรื่องไหนก็มักจะ ‘เยอะ’ ไปซะทุกเรื่อง ส่วนตัวชอบ เรียวเฮ ที่รับบทนิชิโนะ ไม่รู้เป็นไรรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เท่ และเหมาะมั่กกับบทเพื่อน รีวิวเรื่อง Yankee Khun to Magane chan ก็เขียนถึงเรียวเฮแบบนี้แหละค่ะ (ผู้ชายที่เหมาะกับบทเพื่อน)



เพราะการพบกันครั้งแรกของเขาและเธอเริ่มต้นไม่ดีนัก

เธอ เข้าใจผิดคิดว่าเขาลวนลามเธอในรถไฟใต้ดิน แถมยังมีเหตุให้เข้าใจผิด ว่าเขามันเป็นพวกโรคจิต!

เขา ก็พยายามจะอธิบายอยู่หรอกนะ แต่พูดทันเสียที่ไหนก็แม่เจ้าประคุณ พูดเอง เออเองอยู่คนเดียว ฉอดๆๆๆ ยกเอาข้อกฎหมาย มาตราอะไร ๆๆ บ้างก็ไม่รู้มาข่มขวัญ ไม่ได้กลัวเธอฟ้องร้องตามกฎหมายอะไรของเธอนั่นหรอก แค่พูดไม่ทัน



เมื่อเธอต้องกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็ก และเธอต้องการที่จะพิสูจน์ความสามารถในการทำงานด้านกฏหมายให้กับบริษัทด้วย เธอจึงต้องการใครสักคนดูแลเด็กหญิงฮินาตะในตอนเย็น และเมื่อสมาคมพ่อบ้านไร้เมียเหล่านั้น มีการจัดเวรดูแลเด็กๆ ถึงแม้เธอจะไม่ชอบพวกเขา เพราะต่อให้เอาคุณสมบัติดีๆ ของทั้งสี่คนมารวมกัน ก็ยังต่ำกว่ามาตรฐานชายดีพร้อมในแบบที่เธอจะเหลียวมอง แต่เพื่อจะมีเวลาทำงาน เธอต้องรวมกลุ่มกับพวกเขาในการเปลี่ยนเวรกันดูแลเด็กๆ หลังเลิกเรียน

เรื่องชอบไม่ชอบเนี่ย ใช่แต่เธอจะไม่ชอบพวกเขาฝ่ายเดียวหรอกนะ เพราะสามหนุ่มพ่อหม้ายลูกติด ถึงจะอยากมีศรีสตรีมาเป็นแม่ของลูก แต่จะให้มองคุณทนายสาววากาบะคนนี้ก็คงไม่ไหว เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะ ยัยนี่น่ะเป็นนังมารร้ายชัดๆ เลยน่ะสิ หน้าตาก็สวยดีอยู่หรอก แต่ปากพูดฉอดๆๆ แล้วแต่ละคำใช่ว่าจะเข้าหูคน ใครได้ยัยนี่ไปเป็นเมียเป็นแม่ของลูก โชคร้ายตายชัก!



แต่เขา ไม่ได้คิดอย่างนั้น สำหรับโชตะ เขารู้สึกชอบ คุณทนายวากาบะ ที่เป็นแบบนั้น มั่นอกมั่นใจ มุ่งมั่นฝันใฝ่ เก่ง และแกร่ง ยิ่งได้รู้จักนานวันก็ยิ่งชอบเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเธอ วากาบะ ทุกอย่างในตัวโชตะรวมกันแล้วประเมินผลได้ง่ายมาก 'ต่ำกว่ามาตรฐาน' ฐานะ หน้าที่การงาน การศึกษา อนาคต ผู้ชายลักษณะนี้ไม่มีความจำเป็นจะต้องเหลียวมองซ้ำเสียด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไม ยิ่งรู้จัก 'ตัวกะปิ' นานไป ก็ยิ่งแคร์เขามากขึ้นทุกวันๆ แต่กับผู้ชายอย่างนั้นเธอจะคิดนอกลู่นอกทางด้วยไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด ผู้หญิงที่พยายามดิ้นรนมาทั้งชีวิตเพื่อถีบตัวเองจากรากหญ้าของความยากจน และกำลังมุ่งมั่นจะโจนทะยานไปสู่ที่สูงแบบเธอ จะไม่ยอมปล่อยให้ความรู้สึกนำพาตัวเองไปจมปลักกับผู้ชายที่เห็นอยู่แล้วว่า อนาคตริบหรี่ ความมั่นคงใดๆ ไม่มี




ตอนแรก เขาไม่ได้กังวลอะไร เพราะเธอก็ไม่ใช่คนร่ำรวยมาจากไหน เธออยู่ห้องเช่าเล็กๆ แคบๆ (รกรุงรังด้วย) แต่ความฝันที่เธอตั้งใจจะ ‘บินสูง’ และเธอประกาศชัดเพื่อเป็นกำแพงขวางกั้นเขา แบ่งแยกว่าเรามันคนละชั้น กำแพงที่เหมือนคอยส่งสัญญาณเตือนอยู่เนืองๆ 'ไม่คู่ควร' โชตะจึงเริ่มเห็นตัวเองเป็นหมาเห่าเครื่องบิน ชีสวย ชีเก่ง ชีเจ๋ง (คำพูดนี้ขอยืม เวย์ ไทเทเนียม พูดถึง นานา ไรบีนา ภรรยาของเขา โดยเวย์ มีอีกคำตบท้ายคือ ชีตลก) สรุป เธอมีเป้าหมายในชีวิตแล้ว มีผู้ชายดีๆ ที่เพียบพร้อมและพร้อมจะต้อนรับเธอไปสู่โลกใบนั้นด้วยกัน โลกที่คนอย่างเขาเข้าไปไม่ถึง เขาถึงรู้ตัวว่าอย่าได้เอ่ยเปิดเผยความรู้สึก อย่า...แม้แต่จะคิดฝัน



แต่ยิ่งหักห้ามใจ ยิ่งปักใจรัก

นี่แหละคือความรักของคนดันทุรังสูงสองคนมาเจอกัน

วากาบะ คนที่พร่ำบอกตัวเองว่า ความรู้สึกของตนไม่ใช่ความรัก มันแค่หายนะเท่านั้น 'ตัวกะปิ' คือหายนะแห่งชีวิตที่เธอจะต้องข้ามผ่านไปให้ได้

โชตะ คนที่เฝ้าย้ำกับตัวเองว่า เรามันต่ำต้อยเกินไป ไม่เหมาะกับคนที่พร้อมจะบินไกลอย่างเธอหรอก อย่าเอาความรู้สึกไปขวางทางอนาคตของเธอเลย

อย่าเครียดค่ะ ... นี่ไม่ใช่ละครดราม่าน้ำตาเล็ด แต่เป็นโรแมนติกคอมเมดี้ แบบใสๆ มีสาระครอบครัว ให้แง่คิดอยู่พอประมาณ ก็เล่าให้เครียดไปงั้นแหละ ถ้าเล่าให้คอมเมดี้ด้วยเดี๋ยวหาทางจบบล็อกไม่ลง ^o^





อย่าหลงคิดว่า วากาบะเป็นดอกฟ้า แต่เป็นดอกหญ้าดอกดินนี่แหละ แล้วทำไมเธอจึงทะเยอทะยานหัวสูงอย่างน่าหมั่นไส้เช่นนั้น บอกตามตรงว่านิสัยนางเอกนั้น ทำให้รู้สึกทั้งเกลียดทั้งรักไปในเวลาเดียวกัน ส่วนนิสัยพระเอกนั้นก็ทั้งนึกชมและนึกตำหนิได้ก้ำกึ่ง

ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะเธอเป็นคนจน เธอมีชีวิตวัยเด็กที่ยากลำบาก แต่เธอเป็นเด็กหัวดีและมีความจริงจังกับชีวิตที่ตั้งเป้าหมายจะหลุดพ้นไปให้ได้ ความอดทนพยายาม ทำอะไรทำจริง ทำเต็มที่ เธอเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก ความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นของเธอนั้นแม้แต่ยากูซ่าขาใหญ่ที่ตามรังควานทวงหนี้ยังยอมลงให้เมื่อครั้งเธอเป็นเด็กหญิงเยาว์วัย ความดันทุรังของเธอประทับในจิต จนยากูซ่าต้องตามติดอีกที ขอมาดูหน้ายัยเด็กหัวหมอคนนั้นอีกครั้ง ดูความเป็นไปของชีวิตในยามที่เธอโตขึ้น ... ยัยเด็กบ้านั่น ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความมุ่งมั่นที่มีต่อชีวิตไปเลยสักนิดเดียว



วากาบะที่คิดและสั่งการด้วยหัวสมอง แม้หัวใจจะไม่ปรองดองด้วยก็ช่างมัน คิดจะเดินหน้าแล้วต้องไม่ถอยหลัง ลงมือทำอะไรแล้วต้องทำให้สำเร็จ ความลังเล ไม่อยู่ในกฎของการดำเนินชีวิต ‘กฏ’ ที่ทำให้เธอเดินทางมาได้ไกล และจะไปได้ไกลกว่านี้อีก

ถึงจะปากร้าย พูดจาไม่เข้าหูคน และทะเยอทะยานสูงอย่างน่าเกลียด แต่เกลียดไม่ลงจริงๆ ค่ะ เพราะนั่นคือความจริงจังจึงพูดอย่างจริงใจไม่อ้อมค้อม ความเป็นสาวแกร่งที่ไม่ปล่อยให้อะไรมาสั่นคลอนเป้าหมายของชีวิต ความมุ่งมั่นอย่างไม่ย่อท้อต่อความเหน็ดเหนื่อยของเธอนั้น น่ารำคาญก็จริง แต่ก็น่านับถือด้วย

ลองมาเทียบกับพระเอก คนที่ทิ้งฝันเพื่อสิ่งอื่นดูบ้าง เราจะรู้แต่แรกเลยว่า โชตะ ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของพีทาโร่ เขาเป็นลูกติดภรรยา และคุณภรรยาก็ทิ้งลูกทิ้งสามีไปวิ่งไล่ตามความฝันส่วนตัวของเธอเอง โชตะต้องเลิกเป็นเชฟใหญ่ในภัตตาคารหรูมาเป็นพ่อครัวเล็กๆ อยู่กับร้านอาหารเล็กๆ ในตรอกแคบๆ แต่พีทาโร่ เป็นเหตุผลแน่หรือ หรือแท้จริงเป็นเพียงข้ออ้างของคนขี้แพ้คนหนึ่งที่ไม่แกร่งพอจะดิ้นรนต่อสู้กับข้อจำกัดของตนเอง




วากาบะนั้น จะนึกถึงตัวเองเป็นสำคัญ เพราะฉันต้องเอาตัวให้รอด

ส่วนโชตะ ต้องคิดถึงคนอื่นก่อนอยู่ร่ำไป จนลืมที่จะใส่ใจกับชีวิตของตัวเอง

เหมือนคนสุดโต่งสองคนมาเจอกัน คนหนึ่งก็แกร่งไป มากไป ส่วนอีกคนก็อ่อนไป น้อยไป ... พอมองกันและกัน ก็รู้สึก ‘ไม่ไหว’ กับความด้อย และความเด่นของอีกฝ่าย ก็เลยพากัน ดันทุรังด้วยกันทั้งคู่ รักกันยังไงก็จะไม่ยอมรับเด็ดขาด ไม่ได้ ไม่เอา แถกันไปสิ แถกันไป

แม้ละครเรื่องนี้จะมีเด็กๆ และ พีทาโร่ กับ ฮินาตะ ก็โดดเด่นซะเหลือเกิน ประหนึ่งเป็นพระนางอีกคู่ที่ระดับบทบาทมากพอๆ กับ โชตะ และ วากาบะ น่าสนใจที่ว่าผู้เขียนบทจงใจให้พีทาโร่และฮินาตะ มีบุคลิกเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ความจริง คงไม่ใช่แค่เกินตัว แต่เป็นผู้ใหญ่เลยล่ะ ทั้งมาด ทั้งการพูดจา ภาษาถ้อยคำที่ใช้ และแม้แต่การแต่งตัว พีทาโร่ไม่ผิดแปลกจากเด็กเท่าไหรนัก แต่ฮินาตะนั้น เธอเป็นสาวม๊าก แล้วก็มองโลกเป็นผู้ใหญ่มากๆ ด้วย ดูไปก็เหมือนเป็นตัวละครที่คอยสอนใจคนอื่น เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าแบบพีทาโร่หรือฮินาตะนี่แหละคือสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรจะเป็น ซึ่งพอเอาไปใส่ในร่างเด็ก มันก็ดูแปลกๆ แต่เข้าใจว่ามันทำให้เห็นข้อบกพร่องของผู้ใหญ่ได้ชัด



คุณแม่โชโกะ ที่ไม่เคยมีเวลาให้ลูก รักลูกมากก็จริง แต่ถ้ารักลูกเป็นมากกว่านี้ คงจะใส่ใจมากกว่านี้ ตรงกันข้าม ฮินาตะ เด็กหญิงวัยอนุบาล ที่แม่แทบไม่เคยมีเวลาให้ ทุกสิ่งอย่างได้รับการดูแลโดยพี่เลี้ยง แต่กลับเป็นฝ่ายที่เข้าใจ ยิ้มให้ แกล้งมีความสุข ให้แม่สบายใจ ทำงานไปเถอะ ไม่ต้องห่วงกังวลอะไร ( ไหงกลับกันซะงั้น) พีทาโร่ก็เป็นเด็กชายที่กล้าหาญ มองโลกในแง่ดี ปากตรงกับใจและนึกถึงความรู้สึกของผู้อื่น เป็นลูกผู้ชายหัวใจใหญ่และหัวใจหล่อแบบที่คุณพ่อโชตะสู้ไม่ได้เลย



ชอบการเปรียบเทียบที่ว่า วากาบะหมั่นไส้ฮินาตะอยู่เหมือนกัน กับบุคลิก สวยเริ่ดเชิดหยิ่ง มาดคุณนายประหนึ่งเธอเข้าใจทุกอย่างบนโลกใบนี้ดี ( ทั้งที่อายุแค่อนุบาล) ชีวิตไม่เคยขาดอะไร ต่างกับตัวเธอในวัยเด็ก ชีวิตไม่เคยมีอะไรพร้อมสักอย่าง แต่ความต่างคือ ตอนที่วากาบะไม่มีอะไรพร้อมเธอมีพ่ออยู่ข้างกาย อยู่ด้วยกันเสมอ ส่วนฮินาตะที่มีพร้อมทุกอย่าง ที่ไม่เคยมีอย่างเดียวคือแม่ที่จะอยู่ข้างๆ กัน จากความไม่ชอบใจที่ต้องเป็นพี่เลี้ยงเด็ก โดยเฉพาะเด็กนิสัยโตเกินวัย เข้าใจโลกและน่าหมั่นไส้สุดๆ อย่างฮินาตะ การเรียนรู้กันและกันเริ่มกลายเป็นความผูกพันเข้าใจ



ฮินาตะ เด็กน้อยคนนี้ จึงเป็นนักแสดงเด็กที่เก่งมาก เล่นได้ทั้งน่าหมั่นไส้และน่ารักอย่างกินกันไม่ลง เล่นได้ทั้งมาดนางร้ายและนางเอกอยู่ในตัว ไม่ว่าสีหน้าจะเปื้อนรอยยิ้ม หรือคราบน้ำตา ยามหัวเราะก็สุดน่ารัก ยามเศร้าก็ประหนึ่งนางเอก MV เพลงรักอกหัก การแสดงของหนูน้อยคนนี้นะ อารางาคิ ยูอิ ที่เป็นนางเอกตัวจริงในละครเรื่องนี้ต้องอายในฝีมือเลยล่ะ



ฉากประทับใจ


ว่ากันด้วยกลิ่นของแม่

ต้องผู้หญิงคนนี้เลย แม่ของพีทาโร่ ริริกะ (ใน DramaWiki ไม่ยักมีชื่อของเธอ ถ้างั้นก็จนใจจะแจ้งแถลงนาบ) เห็นแว่บแรกก็ชอบเลย ( นักแสดงระดับนางเอกบางคน เข็นดูกันมาก็หลายเรื่องยังทำใจให้ชอบไม่ได้เลยก็มี) ผู้หญิงหุ่นผอมบาง หัวทอง เปรี้ยว สวย ถึงไม่สวยชนิดจะเป็นนางเอกโดดๆ ก็ถือว่าสวยนะ เธอเป็นแขกรับเชิญมาแป๊บๆ ค่ะ แต่มาแต่ละครั้งชีเล่นได้ถูกใจ เธอกลับมาเพื่อทำให้เราได้เห็นความก้ำกึ่งของคุณพระเอกอีกครั้งระหว่างความรักลูกหรือความอ่อนแอ เหตุผลหรือข้ออ้าง หรือทำดีที่สุดแล้ว





ริริกะไม่ยอมทิ้งความฝัน และตามไปไขว่คว้ามันจนได้ เหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะเธอวางใจ ลูกที่เธอทิ้งไว้อยู่กับผู้ชายที่ยินดีจะเป็นพ่ออย่างโชตะ และในสายตาของเธอ เขาเป็นคนดีที่เข้มแข็งที่สุด ... เมื่อฝันอยู่มั่นในมือ เธอจึงกลับมา แต่อะไรๆ มันไม่เหมือนเดิมแล้ว สามีที่ดีอย่างนั้น ไม่เคยตำหนิเธอสักคำ เขาเข้าใจเธอดี แต่กับการที่ทิ้งลูกไปจะเอาสิทธิ์อะไรมาอ้างก็ฟังไม่ขึ้น เมื่อพีทาโร่ต้องเลือกเองระหว่างแม่แท้ๆ กับพ่อที่เลี้ยงดู พ่อที่รู้ว่าไม่ใช่พ่อแท้ๆ ชอบตรงที่ว่า ทั้งริริกะ โชตะต่างเข้าใจกันและกัน และยอมรับการติดสินใจของลูก พีทาโร่มากับพ่อเพื่อส่งแม่ที่สนามบิน ลูกชายตัวน้อยที่เขินแม่และเกาะหลบอยู่หลังแขนพ่อแจ ลูกชายที่จำหน้าแม่ไม่ได้ แต่ทันทีที่แม่กอด เขาอุทาน

“โอ๊ะ กลิ่นของแม่”
“ หอมจัง”


คำ 'กลิ่นของแม่' ทำให้ริริกะสาวเปรี้ยวผู้ร่าเริง ต้องยิ้มออกมาทั้งที่กำลังสะกดกลั้นน้ำตาสุดกำลัง ใบหน้าของเธอที่ทั้งยิ้มทั้งร้องไห้ ทั้งพยายามอดกลั้นอยู่บนบ่าเล็กๆ ของลูก โอว ...ฉากนี้มัน ....พรากเลย น้ำตา




เช่นเดียวกัน คำ 'กลิ่นของแม่' ทำให้ใบหน้าของโชตะเปลี่ยน ..จากรอยยิ้มเป็นความหมองเศร้าทันที เพราะเพิ่งรู้สึกตัวเป็นครั้งแรกว่า เขาได้ทำบางสิ่งบางอย่างผิดพลาดไป ลูกที่เขาเลี้ยงดู ลูกที่จำหน้าแม่ที่ทิ้งเขาไปไม่ได้ แต่ .. ทันทีที่สัมผัส เขาบอกว่า 'กลิ่นของแม่' จำหน้าแม่ไม่ได้ แต่จำกลิ่นได้ สายใยความผูกพันที่ทำให้โชตะสะเทือนใจ เพราะเพิ่งรู้สึกตัวจริงๆ ว่า เขาเห็นแก่ตัวแค่ไหน ที่ใช้วิธีให้ลูกตัดสินใจเอง

“เด็กห้าขวบตัดสินใจเองไม่ได้หรอก”
“เขาไม่รู้หรอกว่าเลือกอะไรถึงจะถูก เด็กมักห่วงใยคนที่อยู่ใกล้ชิด เขาแค่เป็นห่วงผม”
“ผมรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องเลือกผม ผมถึงให้เขาเลือกเอง”
“ผมไม่ใช่คนดี ไม่ใช่พ่อที่ดีเลย ผมมันก็แค่ คนเจ้าเล่ห์”





ตอนแรกก็ไม่เข้าใจ 'กลิ่นของแม่' ทำให้โชตะหน้าตาสลด เพราะอะไร คิดว่าเป็นเพราะเห็นริริกะที่รื่นเริงอยู่เสมอ ร้องไห้ .... ที่จริง มันมากกว่านั้น มันเป็นเยี่ยงนี้เอง ก็เลยเศร้าตามพระเอกไปด้วย

เห็นไหมล่ะ มันก้ำๆ กึ่งๆ ฟันธงไม่ถูก ว่านี่คือความรักของพ่อที่เลี้ยงดูมากับมือ หรือเพราะคือความอ่อนแอยึดติดของผู้ชายคนหนึ่งที่กลัวจะเสียลูกไปให้กับแม่แท้ๆ ถ้าพีทาโร่มีแม่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีเขาที่ไม่ได้เกี่ยวพันอะไรกันเลยทางสายเลือด แต่เขาเองต่างหากที่ต้องการยึดพีทาโร่ไว้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว

ริริกะเอง หากเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่พ่ายแพ้ต่อฝัน เธอย่อมไม่ยอมแพ้ต่อเรื่องของพีทาโร่ด้วย ไม่ใช่แค่ต้องทำเพื่อสิทธิ์ในการเลี้ยงดู แต่เพื่อผู้ชายดีๆ คนนี้ด้วย

"อยากไปเที่ยว ไม่เคยได้ทำงานที่รัก หรือมีความรัก
ไปทำซะสิ!
นี่เป็นสิ่งเดียวที่ฉันทดแทนบุญคุณให้ได้"





ว่ากันด้วยหัวใจและหลักการ

นางเอกก็คือกัน การที่เธอไม่ยอมช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่นิชิโนะ พ่อบ้านที่เกิดปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์กับบริษัทลูกค้าของเธอ มันก็บอกไม่ได้ เธอแล้งน้ำใจ หรือเธอเป็นคนซื่อสัตย์ เธอไม่มีหัวใจ หรือเธอแค่ใช้เหตุผลนำหน้าความรู้สึก แม้ผู้หญิงอย่างเธอจะพูดจาไม่เข้าหูคน ยกตนข่มท่านบ้าง(บางครั้ง) แต่ลึกๆ มันก็ไม่ใช่อย่างนั้นซะทีเดียว การที่ใจเธออยากทำอย่างหนึ่ง แต่หลักการชีวิตที่เธอยึดมั่นสั่งการสมองให้เธอเลือกทำอีกอย่างหนึ่ง ความน่าเห็นใจจะค่อยๆ เข้ามาแทนที่ความหมั่นไส้

"ความสุขเป็นสิ่งที่คุณต้องใช้ใจเลือก
อะไรคือคำตอบที่ดีที่สุด"

"กฏหมายคือสิ่งที่ยายผมสอนเสมอมา
ต้องไม่โกหก ต้องไม่รังแกผู้อื่น
มันคงไม่ใช่แบบนั้นสินะ"




ระหว่างที่เธอลังเล จะทำตามสมองหรือทำตามหัวใจ แล้วตัดสินใจไม่ได้ แต่คนอื่นที่ใครก็ไม่คิดว่าเสี่ยง กลับแล่นปาดหน้าความลังเลของเธอเข้าไปช่วย ด้วยความพยายามอย่าง ‘ให้ใจ’ โดยไม่ห่วงว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา ขณะที่เธอทำได้แค่ยืนดูอยู่เฉยๆ นั่นอาจทำให้ถึงขั้นเกลียดนางเอกได้เลย แต่กลับรู้สึกว่าฉากนี้สมควรเศร้ามากสำหรับคนเป็นนางเอก เพราะทำอะไรไม่ได้ (ผิดหลักการ) จึงได้แต่ยืนดูคนอื่นเค้าทำเท่ต่อหน้าต่อตา ตาปริบๆ


ว่ากันด้วยเปลือกความเข้มแข็งที่พังทลาย

ฮินาตะ เด็กหญิงห้าขวบที่ทำตัวเหมือนสาววัยยี่สิบห้า ตีหน้าใส่น้ำเสียงเหมือนอะไรๆ ก็เรียบร้อยดี มีความสุขดี แม่ไม่ต้องห่วง คำพูดของแม่ก็แค่รับฟัง แต่ไม่ต้องตั้งความหวัง ไม่ต้องตั้งตารอ เพราะถ้าไม่หวังไม่รอ ก็จะไม่ต้องเสียใจทีหลัง ทำเหมือนไม่เป็นอะไร ทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่มันย่อมต้องมีขีดความอดทนสูงสุดอยู่ภายใต้เปลือกนั้นเหมือนกัน ฮินาตะที่ร้องไห้ และผู้หญิงที่ไม่ถนัดต่อการแสดงความอ่อนโยนอย่างนางเอกจะทำอะไรได้ นอกจากมองอึ้งๆ ทำอะไรมิถูก ฮินาตะจึงได้อ้อมกอดคุณพ่อของพีทาโร่มาแทน เมื่อผู้ชายตัวกะปิ กอดเด็กหญิงแสนสวยที่สุดเศร้าอย่างหนูฮินาตะ เป็นภาพที่น่ารักมากเลยค่ะ แม้ว่าอารมณ์ตอนนั้นจะน้ำตาไหลอยู่ก็ตาม ( ก็มันเศร้านี่)


ว่ากันด้วยเรื่องของความรัก

"ถ้าฉันเหงา แค่มองดาวดวงแรกก็จะหาย
พ่อฉันบอกไว้ตอนเขาจากไป
ถ้าเหงาก็ให้มองดาวดวงแรกไว้
ไม่ว่าห่างกันแค่ไหน
เราจะมองดาวดวงเดียวกัน"


จะเป็นรักไหนของใครอื่น ก็ต้องเป็นรักแท้แต่เยาว์วัยของฮินาตะ กับพีทาโร่สิคะ แหม ...เค้ารักกันจริงจังค่ะคู่นี้ หวาน เศร้า สุข ซึ้งใจกันไป คู่คุณพ่อคุณพี่เลี้ยงชิดซ้ายไปเลยไกลๆ ไปดันทุรังกันต่อให้จบ ให้ลงเอย




"ถ้าคุณชอบเขา มันไม่ใช่ว่าคุณต้องการอะไร
มันอยู่ที่คุณจะทำให้เขามีความสุขยังไง"

"ความอดทนเป็นสิ่งสำคัญ
แต่ถึงขั้นต้องโกหกด้วยเหรอ
โกหกเป็นบาปใหญ่หลวง
เมื่อรู้ว่าผิดก็ควรกลับใจนี่"

"ถ้ากลับใจได้ ฉันก็อยากทำนะ
แต่ผู้ใหญ่มักมีกฏของผู่ใหญ่
กฏหมายมีไว้ปฏิบัติ"

"ช่างหัวกฏหมายพวกนั้นซะ!
มาเผชิญหน้ากับตัวเองอีกสักครั้ง"


เขา ไม่ดีพอ

หรือ

เธอ ไม่พอดี

เขา ต้องดีให้พอ

หรือ

เธอ ก็แค่พอดี

หรือ อีกที

พบกันที่ครึ่งทาง

แล้วเราต่างพอดีและดีพอ




















 

Create Date : 10 ธันวาคม 2554    
Last Update : 2 มิถุนายน 2556 10:55:13 น.
Counter : 13628 Pageviews.  

Unubore Deka ตำรวจบ้า.. รักอนาถกับสาวอาชญากร ..."If you marry me, I won't arrest you."



Title : Unubore Deka / Conceited Detective
Tagline (romaji): Anata o Boku to Kekkonsuru no Kei ni Shosu.
Tagline (English): I sentence you to marry me.
Genre: Suspense love comedy Episodes: 11
Broadcast network: TBS 2010-Jul-09 to 2010-Sep-17 Friday 22:00
Screenwriter: Kudo Kankuro Producer: Isoyama Aki
Director: Kudo Kankuro, Yoshida Ken, Doi Nobuhiro, Kaneko Fuminori


Theme song: NaNaNa (Taiyo nante Iranei) byTOKIO



Insert song: Ichiban Kirei na Watashi o by Nakashima Mika



MIKA NAKASHIMA - ichiban kirei na watashi wo - ดูคลิปทั้งหมด คลิกที่นี่


การจับคู่กันของ นางาเสะ โทโมยะ และ นากาชิม่า มิกะ ... ทั้งที! ไม่ดู ไม่ได้แล้ว

เป็นไงมาไง ไม่คิดว่าจะมาเจอกันได้นะคะสองคนนี้ แต่เมื่อเขาและเธอเจอกันแล้ว ถึงชื่อเรื่องจะมีคำว่า Detective ที่ไม่ค่อยจะอยู่ในตัวเลือกแรกๆ สักเท่าไรในช่วงนี้ หรือแม้บทบาทของโทโมยะที่เคยรับชมผ่านมาค่อนข้างจะเริ่มเป็นความจำเจ ไม่มีอะไรน่าสนจสักเท่าไร แต่โทโมยะได้คู่กับมิกะ มันน่าดึงดูดใจก็ตรงนี้แหละ

นากาชิม่า มิกะ ที่เคยโผล่หน้าวับๆ แวมๆ ในซีรีส์เรื่อง Ryusei no Kizuna (สายสัมพันธ์แห่งดาวตก) แล้วเกิดคำถามขึ้นในใจทันที ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร? เพราะติดอกติดใจใบหน้าเก๋ๆ ของเธอ ยิ่งได้รู้ว่าเธอคือนักร้องผู้ขับขานบทเพลงที่ติดอกติดใจนักหนา ถึงทุกวันนี้ก็ยังอยู่ใน Play list ที่เปิดฟังอยู่ทุกๆ วัน กับเพลง ORION (เพลงประกอบซีรีส์ Ryusei no Kizuna) ยิ่งรู้สึกชอบผู้หญิงคนนี้มาก จนต้องตามไปดูหน้าเก๋ๆ ของเธอต่อในภาพยนตร์เรื่อง Na Na ซึ่งอาการแพ้สาวร็อคก็กำเริบเช่นเดิม มิกะกับคาแร็คเตอร์สาวพังก์ร็อคสุดเท่ที่เย็นชา โอ้ ...ผู้หญิงคนนี้ ใบหน้าและดวงตาของเธอได้ใจมาก

ใช่แล้วล่ะค่ะ นอกจากจะชอบใบหน้าของเธอมากแล้ว สิ่งที่ชอบมากที่สุดอีกอย่างก็คือ ดวงตาคมที่ดูมืดๆ คล้ายกับมีความลึกลับในแบบของเธอ



เสนห่ของของดวงตาที่มองเมื่อไหร่ จะเหมือนเห็นดวงตาโดดเด่นขึ้นมาก่อนใบหน้า ยิ่งถ้าเธอเขียนขอบตาดำๆ หนาๆ โอ้..ตาสวย สุโค่ย นักแสดงอีกคนนึงที่เคยเขียนถึงลักษณะนี้ (คือเห็นดวงตาโดดเด้งออกมาก่อนใบหน้า) คือ คาเมนะชิ คาสึยะ (คาเมะ)

เอาล่ะ เลิกเพ้อถึงมิกะ และมาเข้าเรื่อง Unobore Deka กันสักที ซึ่งต้องขอย้ำกันอีกครั้ง เพราะชอบโทโมยะ เพราะชอบมิกะ และเห็นว่าเป็นการจับคู่พระเอกนางเอกที่เหมาะสมกัน ยิ่งโทโมยะตัวสูงใหญ่และมิกะนั้นตัวเล็กๆ บางๆ คู่กันแล้วดูน่ารักจริงจัง เมื่อชอบพระเอกนางเอกเป็นเรื่องหลัก ความสำคัญของพล็อตเรื่องจะกลายเป็นรองทันที

ขอคัดสำเนา จากบทเล่าที่เกริ่นนำแต่ละตอนโดยเสียงเล่าของ คุณพ่อโยโซะ (Tsukikage Yozo) พ่อของ อุนุโบเระ ที่แสดงโดย ลุงนิชิดะ โตชิยูกิ (Tiger & Dragon, Jikou Keisatsu) อดีตนายตำรวจที่หันมาเอาดีด้านการเขียนนิยาย และนิยายที่เขาเขียนก็ไม่ได้หากินไกลที่ไหน ก็เขียนเรื่องแนวสืบสวนสอบสวนแต่ละคดีที่มีรักรันทดของลูกชายเป็นจุดจบอันน่าอนาถนั่นเอง



เขาเป็นตำรวจที่สถานีตำรวจเซตะงายะโดริ
มีชื่อเล่นว่า อุนุโบเระ

ธรรมชาติของเขาเป็นคนที่โดนจูงใจไปหาความรักได้ง่าย
และด้วยคุณสมบัตินี้ ทำให้เขาสามารถแก้ไขคดียากๆ ได้โดยบังเอิญ
แต่ทว่า สิ่งที่เขากำลังรอคอยอยู่ก็คือ ........'หัวใจของเธอ'




ตามดิกชันนารี Koujien
'อุนุโบเระ' หมายถึง หลงตัวเองและอวดดี

ฮีโร่ของเรื่องนี้ มั่นใจในเสน่ห์แบบผู้ชายของตัวเองมากเกินไป
แต่เขาไม่ได้ระลึกถึงความสามารถที่แท้จริงของเขาในฐานะ 'ตำรวจ'
ด้วยเหตุนี้ เขาถึงมีชีวิตชายโสดที่น่าเศร้า ภายใต้ชื่อของ 'อุนุโบเระ'




เขาคือตำรวจชั้นยอดที่มีความสามารถเป็นเลิศ
แต่กลับไม่สามารถหายจากอาการอกหักได้
เขาตกหลุมรักผู้หญิงคนแล้วคนเล่า
แม้ว่าพวกเธอจะแตกต่างกัน ทั้งอาชีพ อายุ บุคลิกภาพ
แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเธอมีเหมือนกันก็คือ
พวกเธอเป็น 'อาชญากร'




หัวใจของเขายังคงปวดร้าวต่อไป
ที่ต้องเลือกระหว่าง ความรักและหน้าที่

อ๊ะ .. วันนี้ก็เช่นกัน ความรู้สึกของเขาไม่ได้รับการยอมรับ
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ?

เพราะว่าเขาคือ 'อุนุโบเระซัง'




ทั้งสองคนนี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่รักนิรันดร์
แต่รักหวานได้เดือนเดียว

เพียงข้ามคืน เขาก็ถูกเธอทิ้งอย่างไร้เยื่อใย
ขณะที่ สาวเจ้าพบรักใหม่และได้แต่งงาน
สามีเธอ เซย์กิ เป็นตำรวจ สน.เดียวกัน
ส่วนคู่หูของสามีเธอ ก็คือ ตาเนี่ย! (อุนุโบเระ)




ผลตอบแทนในการพยายามจัดการสังคมอันยุ่งเหยิง
ที่ตำรวจคนนี้ต้องการ มีเพียงอย่างเดียว ...'ความรัก'

ชื่อของเขาคือ อุนุโบเระ
คืนนี้ อาจเป็นอีกครั้ง ... ที่น้ำตาจะหลั่งทั่วโตเกียว




หนึ่งเดียวผู้ทนทุกข์ กับความพ่ายแพ้ต่อรักก็คือลูกผม
'เจ้าอุนุโบเระ' สถิติแห่งรัก ชนะ 0 แพ้ 6
แพ้แบบหมดรูป

คนเดียวที่เข้าสเป็คลูกผมตอนนี้ อาจเป็นผู้หญิงคนนี้




นักล่าสาวงามที่หาไม่ได้แล้วในศตวรรษนี้
(ผมไม่ใช่นักล่าสาวงามนะ!)

ขออภัย ผู้ต้องคำสาปทำนายหารัก
อุนุโบเระ ตามจีบสาวคนเดียวกับพ่อตัวเอง
ตอนนี้เขาจะต้องเข้าพิธีดูตัว
ผู้ชายคนนี้นี่ ..........................................




แม้คู่ดูตัวของเขาก็ยังกลายเป็นคนร้าย
เขาช่างเป็นคนโชคร้ายจริงๆ
ลูกชายผมเอง 'อุนุโบเระ'

ความรักของเขาถูกทิ้งขว้างตั้งแต่ต้นจนจบ
ด้วยความพยายามของนักเขียนหน้าใหม่
ผมเอง นำเรื่องเขามาเขียน

น่าแปลกที่นิยายเรื่องนี้
ถูกนำมาเป็นละครทีวี
ออกอากาศขณะเวลา พักดื่มชา
คือนนี้ก็ได้เวลาละคร
ขอเชิญคุณชมละคร
'ตำรวจจอมเพี้ยน'




ไม่อยากจะเชื่อเลย
เนื่องจากเป็นตอนสุดท้ายแล้ว
คนขอให้บรรยายเร็วๆ ... ขอเถอะ!
คนแก่ก็มีจังหวะของตัวเองนะ

พร้อมเริ่มหรือยัง

ผลตอบแทนในการพยายามจัดการสังคมอันยุ่งเหยิง
ผู้ชายสองคนที่ร่วมปล้นธนาคาร
ได้ถูกปล่อยตัวจากคุกแล้ว
...................




นั่นแหละค่ะ คือ อุนุโบเระ นายตำรวจดวงชะตาอาภัพรัก ที่จำเพาะเจาะจงต้องไปตกหลุมรักสาวที่สุดท้ายก็กลายเป็นอาชญากรซะทุกคนแบบไม่ต้องมีลุ้นให้เมื่อยตุ้ม






บาร์ I am I เป็นสถานที่ที่อุนุโบเระ (Nagase Tomoya) ค้นพบและใช้เป็นที่สุมหัวบอกเล่าระบาย ให้หายอึดอัดคับข้องใจใน 'รัก' ตั้งแต่ระยะแรกพบสบตา ระยะก้าวหน้าที่มักหลงคิดไปเองว่าสาวเจ้าเธอมีใจให้รักตอบ ระยะระแวงสงสัย 'เธอ' เกี่ยวพันโยงใยกับคดีที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของตนซึ่งกำลังสืบสวนอยู่หรือเปล่า และระยะสุดท้ายเมื่อต้องการรักโดยปราศจากเงื่อนไข ไม่ว่ายังไงต้องขอแต่งงานให้ได้แม้ว่าเธอ เธอ เธอ และเธอ ฯลฯ จะกลายเป็นอาชญากรในแต่ละตอนจบอย่างอนาถ ต้องเยียวยาปลอบใจกันไป และตกสู่ห้วงรักหลุมใหม่ในตอนหน้า

สุมหัวกับใครบ้าง?

พวกหนุ่มๆ ที่ตั้งต้นเป็นกลุ่มอุนุโบเระ (หลงตัวเองและอวดดี) มีสมาชิกด้วยกัน 5 คน



อุนุโบเระ (Nagase Tomoya) นายตำรวจที่อกหักรักคุด 'ตลอดเวลา' นับจากที่ถูกสาวสวยนาม 'ริเอะ'(Nakashima Mika) ทอดทิ้งอย่างไม่ไยดี เธอแค่จากไปง่ายๆ ด้วยการหายไป ไม่มีร่ำลา และเมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง เธอได้แต่งงานอยู่กินกับนายตำรวจ 'เซย์กิ' (Arakawa Yoshiyoshi) ที่เพิ่งย้ายมาเป็นคู่หูนักสืบของอุนุโบเระ รันทดอะไรกันขนาดนี้ ตอนอยู่กับเขาเธอปล่อยผมยาวทำหัวสีแดง แต่งหน้าจัด ตาดำ ปากแดงแจ๋ สวมใส่เสื้อผ้าแนวเซ็กส์ซี่ แล้วนี่อะไร เธอทิ้งเขากับอพาร์ตเมนท์สุดหรูที่ซื้อมาหวังจะได้ใช้ชีวิตด้วยกัน ไปแต่งงานกับนายตำรวจหัวเกลี้ยง หน้ากลม ตัวสั้น อยู่กันในห้องเช่าเล็กๆ เธอตัดผมสั้น ย้อมผมสีดำ ไม่แต่งหน้าหนาแต่ว่ากลายเป็นหน้าสวยใสธรรมชาติเหมือนเด็ก เสื้อผ้าเรียบร้อย ลายดอกสีหวาน สวมผ้ากั้นเปื้อนขลิบระบาย ทำอาหารให้สามี มีข้าวกล่องติดมือมากินที่สถานีตำรวจทุกวัน



เมื่ออดีตคนรักเก่า กลายเป็นศรีภรรยาแสนดีของเพื่อนตำรวจคู่หูคนใหม่ ชีวิตมันทำไมต้องชีช้ำกันขนาดเน้...

ที่น่าอนาถยิ่งกว่าสาวเจ้าไปมีชีวิตครอบครัวที่ท่าทางจะไปด้วยดี คือตั้งแต่ถูกริเอะทิ้ง อุนุโบเระ ก็เกิดมีอาการภูมิแพ้อย่างหนึ่งนั่นคือ แพ้สาวอาชญากร เป็นต้องไปตกหลุมรักสาวที่สุดท้ายกลายเป็นคนร้ายทุกคน จนใจต้องยื่นข้อเสนอจะเลือกใบทะเบียนสมรสที่รอการลงชื่อ หรือจะเลือกหมายจับ หากไม้หนึ่งไม่สำเร็จ ยังมีไม้สอง จะเลือกสวมแหวน หรือจะเลือกใส่กุญแจมือ ส่วนผล ก็ไม่ต้องคาดเดาเช่นกัน บอกอยู่แล้วไง 'รักอนาถ กับสาวอาชญากร'



ฮอนโจ ซาดาเมะ ( Ikuta Toma) หนุ่มไร้บ้านผู้อาศัยร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่เป็นที่ซุกหัวนอน มีความฝันใฝ่อยากเป็นดารา แม้หน้าตาไม่ให้แต่ใจรักซะอย่าง ใครจะทำไม ที่บอกว่าหน้าตาไม่ให้ไม่ใช่ไม่หล่อ หล่อน่ะหล่อแต่แอคติ้งบนใบหน้ามันเยอะไป ใครเห็นหน้าเมื่อไหร่ เป็นต้องรู้สึกรำคาญ แล้วอย่า ...อย่าให้เปิดปากพูด พูดเมื่อไหร่เป็นได้แสดงความอ่อนด้อยทางปัญญาออกมาชัด แต่แล้วผู้กำกับเกย์ก็ให้โอกาสแก่ด้วยการหยิบยื่นบทบาทให้ ( หลังจากที่ซาดาเมะเล่นแต่บทเป็นศพคนตาย) เมื่อนิยายที่พ่อของอุนุโบเระเขียนจากชีวิตรักอนาถของลูกชายจนกลายเป็นหนังสือขายดีและถูกนำมาสร้างเป็นละครทีวี ซาดาเมะจึงฟลุ้คได้เล่นเป็นตัวละครนำในบทของนายตำรวจอุนุโบเระ สมาชิกร่วมก๊วนหนุ่มโสด ที่บาร์ I am I นั่นเอง



มัตสึโอกะ เซย์ชิโร่ (Kaname Jun) หนุ่มเชฟร้านขนมหวาน ที่ใช้การทำขนมหวานเป็นสะพานในการหลีสาว เขามักจะหิ้วกล่องขนมหวานมาฝากเพื่อนสมาชิกอุนุโบเระที่บาร์ I am I เสมอ ถึงจะหล่อ หน้าตาดี มีฝีมือการทำขนมเป็นเลิศ แต่ก็นั่นแหละ เซย์ชิโร่ยังเป็นหนุ่มโสด ไม่มีแฟนดีๆ เป็นตัวเป็นตนสักคน



อานาอิ เคอิจิ (Yahagi Ken) หนุ่มช่างภาพ โสดเช่นกัน แถมยังเอ๋อๆ ไม่หล่ออีกต่างหาก การล่าสาวสวย จึงน่าจะลำบากกว่าใครอื่น



คุริฮาชิ มาโกโตะ (Bando Mitsugoro) อาจารย์ที่ตั้งตนเป็นปรมาจารย์ด้านความรัก เขียนหนังสือ และทำรายการทีวี แก่วัยแต่หัวใจเด็กหนุ่ม เป็นคนที่หนุ่มๆ ในก๊วนจะชอบขอคำปรึกษาหารือด้านความรัก ซึ่งการวิเคราะห์ก็ไม่ได้เข้าคุ้งเข้าแควสักเท่าไร



โกโร่ (Shoji Yusuke) บาร์เทนเดอร์ประจำร้าน ที่มีวิจารณญาณด้านผู้หญิงเป็นเลิศ จึงมักจะวิเคราะห์สาวๆ ที่หนุ่มๆ บอกเล่าได้ถูกต้องบ่อยครั้ง

เรโกะ มาม่า ( Morishita Aiko ) ไม่รู้เธอเป็นใคร เข้าใจว่าเป็นเจ้าของบาร์ I am I เพราะเธอจะยืนอยู่ด้านในของเคาท์เตอร์บาร์ เช่นเดียวกับโกโร เพื่อสนทนากับลูกค้า และรับจดออเดอร์ด้วย แต่การสนทนาของเธอจะไม่ใช่การพูดคุย เพราะเธอจะคุยด้วยปากกาในมือที่เขียนลงไปบนแผ่นกระดาษแทน ตามท้องเรื่องบอกว่าเธอเจ็บคอ จึงใช้เขียนแทนเปิดปาก ซึ่งว่าก็ว่าเถอะนะ มุกนี้ของมาม่าไม่เห็นมันจะฮาตรงไหน

ซีรีส์เรื่องนี้ ต้องขอใช้คำว่าใช้นักแสดงดีดี 'คับคั่ง' แม้มีโทโมยะแล้ว ยังลงทุนถึงขั้นใช้ อิคุตะ โทมะ , คานาเมะ จุน

รวมถึงการใช้นักแสดงรับเชิญในแต่ละตอนดคี ตัวอย่างเช่น สาวๆ ระดับดีกรีนางเอก



คาโต้ ไอ (Kato Ai / IWGP, Majo Saiban, Kami no Shizuku)
อาโออิ ยู (Aoi Yu / Osen , Tiger & Dragon)
โทดะ เอริกะ (Toda Erika / Code Blue, Ryusei no Kizuna,Liar Game)
โคยูกิ (Koyuki / Engine, Loundry, Kimi Wa Pet)



ส่วนรุ่นใหญ่ที่รู้จักแบบคุ้นหน้าคุ้นตา

ป้าฮิโรโกะ (Yakushimaru Hiroko/ Zenkai Girl ,Tiger & Dragon, Kisarazu Cat's Eye)
ป้าเคียวโกะ (Koizumi Kyoko / Yasashii Jikan , Kisarazu Cat's Eye)
ป้าคานาโกะ (Higuchi Kanako / Atsu-Hime (ท่านแม่ของท่านหญิงอัตสึ))
อิชิดะ ยูริโกะ (Ishida Yuriko / Pride , Strawberry on the Shortcake)

ใช้นักแสดงขนาดนี้ แต่เรตติ้งก็ยังตกต่ำอย่างน่าใจหาย ดูแล้วมันมีจุดหนึ่งที่ผู้เขียนต้องทำการตรวจสอบ Wikipedia หลังดูจบทันที

ใช่หรือไม่ ?

โอ ... แม่เจ้า ทำนายแม่นขนาด!

มันใช่เลย



Kudo Kankuro นักแสดง ผู้เขียนบท และผู้กำกับคนนี้ คือคนเดียวกันกับผู้เขียนบท Kisarazu Cat's Eye / Tiger & Dragon / Ikebukuro West Gate Park (IWGP) ส่วนอีกเรื่องที่เคยดูของผู้เขียนบทท่านนี้คือ Ryusei no Kizuna แต่สำหรับเรื่องหลังนี้ นึกความความคล้ายคลึงในสไตล์การดำเนินเรื่องไม่ออกแล้วค่ะ เรื่องที่นึกถึงอย่างจริงจังขณะดูคือ Kisarazu Cat's Eye กับ Tiger Dragon ส่วน IWGP ที่นึกถึงไม่ใช่เพราะการดำเนินเรื่องที่สะดุดใจ แต่เป็นเพราะมีโทโมยะ กับแขกรับเชิญ คาโต้ ไอ ชวนให้นึกไปถึง และก็เริ่มรู้สึกว่าการสร้างบุคลิกบ้าบอของตัวละคร และลักษณะการพูดคุย ความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดูวุ่นวายก็มีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง

ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นแฟนละครของคุณคุโดะเขาหรอกนะคะ (อ่านว่า คุโดะ หรือคุโด้ ก็ไม่รู้หรอกนะ) แต่บังเอิญได้ดูหลายเรื่องจนเหมือนเป็น นี่ถ้าบอกว่าเป็นผู้เขียนบทคนเดียวกันกับเรื่อง Jikou Keisatsu ด้วย รับรองเชื่อสนิท แต่เช็คดูแล้ว Jikou ไม่ใช่ผลงานของคุณคุโดะเค้าค่ะ แต่มันก็เป็นสไตล์การดำเนินเรื่องบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน ถ้าไม่นับว่ามีลุงนิชิดะ โตชิยูกิ ที่แสดงเป็นพ่อของอุนุโบเระ ร่วมแสดงใน Jikou ด้วย



นี่คือคำชมเชยที่เอ่ยไว้เมื่อครั้งรีวิว IWGP

สำหรับซีรีย์เรื่องนี้ก็ยังคงชอบมากอีกเช่นเคย สนุกและมันส์มาก บางช่วงก็น่ากลัว ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนการ์ตูนแนวเด็กผู้ชายที่เคยอ่านสมัยเด็กๆ เนื้อเรื่องชวนติดตาม แต่สำหรับคนที่ไม่นิยมเรื่องวัยรุ่นยกพวกตีกันก็อาจจะไม่ชอบก็ได้ แต่เราว่าสนุกดีนะ ชอบการเขียนบทของซีรีย์ญี่ปุ่น อย่างที่ชอบพูดอยู่เสมอคือ ซีรีย์แต่ละเรื่องจะมีความเป็นตัวของตัวเอง

นี่คือคำดีดีที่เอ่ยถึง Kisarazu Cat's eye

เป็นอีกหนึ่งซีรีย์ติสท์แตกแหวกแนวของผู้เขียนบทที่มีชื่อว่า คุโดะ คังกุโร่ (Kudo Kankuro) ซึ่งนานๆ ครั้งๆ ชื่อของผู้เขียนบทถึงจะติดอยู่ในความจดจำนำมากล่าวนิยมชมกันได้เต็มปากเต็มชื่อสักที ก็เพราะติดใจในรูปแบบการนำเสนอที่แปลกที่ไม่เหมือนใคร แม้บางคนอาจรู้สึกว่ามันน่าเบื่อแต่ส่วนตัวแล้วชอบของแปลก



ไม่ได้เขียนอะไรไว้มากนักกับเรื่อง Ryusei no Kizuna (ที่คาดว่าจะเป็นดราม่าหนักแต่ผิดคาด) ถึงจะจำไม่ได้ว่ามี 'จังหวะการเล่า' อย่างที่คุณ Chanpanakrit คอมเมนท์บอก ก็ขอยกมาสักหน่อย

มันทั้งสนุก ตื่นเต้น และแทรกมุขตลกๆ เพียบเลยค่ะ โดยเฉพาะตอนที่พี่น้องสามคนสุมหัวกันหลอกต้มคนอื่น จะฮาเป็นพิเศษ

ไม่ได้เขียนอะไรเลยถึง Tiger & Dragon

แต่ก็จำได้ว่าเป็นซีรีย์มึนงง ที่ชอบมากกับการเล่าราคุโกะ การผสมผสานที่ลงตัวไปด้วยกันระหว่างเนื้อเรื่องละคร กับเรื่องเล่าราคุโกะที่สุดประหลาด

แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับ Unubore Deka กันละคะ ทำไมมันดูไม่โอเคเท่า เมื่อเทียบกับซีรีส์ญาติพี่น้องที่เป็นผลงานของคุโดะเหล่านี้ การพยายามหาคำตอบ ต้องเทียบกับเรื่องที่คล้ายคลึงกันมากที่สุด เริ่มตั้งแต่ดีกรีความเป็นซีรีส์(จิต)ป่วย นั่นก็คือ Kisarazu Cat's eye



สมาชิกแคทส์ กับ อุนุโบเระ มีหนุ่มๆ เพี้ยนๆ 5 คนเหมือนกัน
สมาชิกแคทส์ กับ อุนุโบเระ สุมหัวที่บาร์เหมือนกัน มีประโยคพูดและท่าประจำก๊วนเหมือนกัน พวกอุนุโบเระจะชูมือสะบัดแล้วร้อง "เฮ่ เฮ่ เฮ่" ของก๊วนแคทส์จำคำพูดเต็มๆ ไม่ได้ แต่ท่าคือล้อมวงกอดคอกัน แล้วร้องอะไรสักอย่างที่มีคำว่าแคทส์ด้วย

ภารกิจหลักของเหล่าแคทส์ คือ การขโมย ที่ห้าหนุ่มซ่า บ้า และเพี้ยน จงใจก่อเป็นวีกรรมในแต่ละตอนเพื่อเป็นความทรงจำส่งท้ายชีวิตของบุซซัง เพื่อนที่กำลังป่วยเป็นมะเร็งและจะมีชีวิตต่อไปไม่นาน ส่วนภารกิจหลักของหนุ่มอุนุโบเระคือการไขคดีของสาวๆ อาชญากร แต่คดีมันก็ไม่เด่นนักหรอกคะ เพราะไปทำให้เด่นเป็นหลักอยู่ที่การขอแต่งงานของอุนุโบเระ แม้หนุ่มๆ อุนุโบเระอีก 4 คน จะมีเอี่ยวกับสาวๆ แต่ละคดีบ้าง แต่ก็ไม่มากนักและไม่ได้เป็นตัวหลักของตอนนั้นๆ แต่อย่างใด เพราะยังไงโทโมยะก็ตกหลุมรักและเป็นคนฉกซีนปิดฉากท้ายด้วยวิธีการเดิมๆ อยู่ดี



การสมาคมคบค้าของหนุ่มๆ ทั้งห้าที่บาร์ I am I ดูจะมีมากจนแย่งซีนการไขคดีในแต่ละตอนที่น่าจะทำอะไรๆ ให้น่าสนใจได้มากกว่า การเอาฮาเรื่องการขอแต่งงานของอุนุโบเระเป็นที่ตั้ง แล้วจบลงด้วยการรับประทานแห้วให้บ่อน้ำตาแตก ซบบ่าซบไหล่ใครสักคนที่อยู่ใกล้แถวนั้น (ส่วนใหญ่จะเป็น คุณพ่อโยโซะที่มาติดตามการทำงานในฉากสำคัญของลูกชายเพื่อเอาไปเขียนนิยาย) แรกๆ มันก็ขำดี แต่หลังๆ มันชักแป้ก! ก็เล่นไม่เปลี่ยนมุกเลยทั้งเรื่อง

ลองนึกเปรียบกับ Tiger Dragon แม้ว่าจะจบลงด้วยการเล่าราคุโกะทุกครั้ง แต่อย่างน้อยเนื้อหาของเรื่องเล่าราคุโกะมันก็ไม่เหมือนกัน เนื้อเรื่องมันยังดำเนินไปเรื่อยๆ ส่วนอุนุโบเระการมีคดีให้แก้ทุกตอน มันเป็นรูปแบบที่ซ้ำอยู่แล้วแม้ว่าคดีจะต่างกัน การลงท้ายด้วยการเสนอทางเลือกให้อาชญากรสาวอย่างเดียวกันทั้งหมดนั้น มันเลยดูเป็นความไม่จริงจังและไม่จริงใจด้วย ซึ่งถ้าไปเปรียบกับเรื่องของชาวแคทส์ล่ะก็ มันอาจจะดูไม่จริงจังเหมือนกัน แต่กลับสัมผัสได้ถึงความจริงใจ ทั้งในความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่บางคนอาจเบื่อ ไม่อยากจะทำเรื่องบ้าๆ อีก แต่ก็ไม่กล้าพูด ถ้าหากเลิกไร้สาระหันไปเอาจริงเอาจังกับชีวิตของตัวเอง บุซซัง เพื่อนที่กำลังจะตายก็คงจะเหงา ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการทอดทิ้งกัน แล้ววิธีการที่พวกแคทส์นำเงินที่ได้จากการขโมยมาใช้แก้ไขบางอย่างที่มีสาระประโยชน์ในแต่ละตอน มันก็ดูเป็นความจริงใจอยู่ลึกๆ เหมือนกัน

เรื่องของแคทส์ ใช้แขกรับเชิญมาร่วมสร้างสีสันด้วยเหมือนกัน เช่นเดียวกับอุนุโบเระ (ที่มากมายซะเหลือเกิน แต่ไม่ได้ช่วยเรื่องเรตติ้งอย่างน่าแปลก)



เรื่องของแคทส์ มีการใช้การเต้นเป็นสิ่งหนึ่งในการสร้างความฮา แต่ความฮาของการเต้นยตไซมตไซ (ถ้าจำไม่ผิด) มันถือเป็นวัฒนธรรมเก่าแก่ของท้องถิ่นคิซาราสึ เป็นการฮาอย่างน่ารัก (ไม่เชื่อลองหามาดู คุณอาจจะหลงรักยตไซมตไซ) แต่การเต้นของก๊วนอุนุโบเระมันไม่ได้ฮาอะไรนัก แม้ว่าการที่โทโมยะเต้น แรกๆ มันก็ฮาดีที่ผู้ชายตัวสูงๆ หุ่นยากูซ่าหน้าหล่ออย่างนั้นมาเต้นโยกย้ายส่ายสะโพก แต่พอตอนหลังๆ ก็ชักหนักข้อ ทั้งท่ากางขาโก่ง บิดก้นสะบัด มันดูน่าเกลียดเกินกว่าจะดูน่ารัก ยิ่งตอนเต้นลูบเป้าแบบไมเคิล แจ็คสันด้วย ฮือ ฮือ โทโมยะจัง เค้ารับม่ายด้ายยยย

ในแคทส์ บทสนทนาพูดคุยเล่นมุกระหว่างเพื่อนที่พูดถึงพวกผู้หญิง จำรายละเอียดไม่ได้แล้วค่ะว่ามีอะไรแบบโต้งๆ เหมือนในอุนุโบเระหรือเปล่า รู้สึกว่าในอุนุโบเระมันออกจะโจ่งแจ้งน่ะค่ะ อย่างที่พูดออกมาเลยชัดเจน "นมใหญ่" "นมโต" ไม่มีใช้คำอื่นมิดเม้นเป็นคำแทน ซึ่งก็อาจจะเป็นที่ซับไทยเองก็ไม่รู้นะคะ ร่องอกร่องใจก็ถ่ายไปเลยดูมๆ (จำไม่ได้ว่า Saru Lock ก็ประมาณนี้หรือเปล่านะ) บางมุกก็ออกจะแรง อย่างตอนที่ป้าคานาโกะเป็นแขกรับเชิญ ฉากบนเตียงที่พยายามทำให้ฮา แต่ไม่ยักฮา ความจริงแล้วไม่ค่อยเห็นฉากอย่างนี้ในซีรีส์ญี่ปุ่นนักด้วยล่ะมั้ง อิอิ เลยรู้สึกไม่คุ้นเคย เพราะป้าแกแก่แล้วด้วย โทโมยะไปกุ๊กกิ๊กกับแกด้วยท่าทางอย่างนั้น ....ก็เลย อี๊ .....



ยกคำกล่าวถึง Kisarazu cat's eye มาอีกสักท่อน

.....ดำเนินเรื่องแบบย้อนไปย้อนมา คนละอย่างกับการวกไปวนมานะคะ เพราะไม่ได้วกวนในเนื้อหาแต่ย้อนกลับไปและดึงกลับมาไปในการตัดต่อภาพและเชื่อมต่อเหตุการณ์ เป็นช่วง "ต่อเวลา" (ที่หายไป) ที่ทำได้อย่างฮาๆ แบบแยบคาย รับรองว่า ..ไม่มีทางเดาทางถูก และแม้จะคุ้นเคยกับช่วงต่อเวลาในทุกๆ ตอนที่ว่านั้นแล้วก็ยังไม่มีเบื่อราวกับว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่รอคอยว่าเกิดอะไรขึ้นในอีกด้านหนึ่งระหว่างนั้น (อธิบายยากซะจริง) บางครั้งเรื่องก็ดำเนินไปจนถึงสุดตอนของมันแล้ว เพลินจนลืมไปว่ายังมีช่วงต่อเวลาที่จะย้อนสิ่งเล็กสิ่งน้อยที่หายไปแต่มีผลกระทบไม่น้อยต่อความเป็นไปที่ดำเนินมา Kisarazu Cat's eye สนุกตรงช่วงต่อเวลานี้อย่างหนึ่ง ส่วนอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญจะเป็นสิ่งอื่นใดไปไม่ได้เลย นอกจาก "ตัวละคร" ซึ่งก็ไม่ได้มีคนไหนหล่อลากไส้ลากดิน ก็หน้าตาธรรมดาพื้นๆ นักแสดงญี่ปุ่นนี่แหละ แต่ว่าชอบทุกคน ....

หากเที่ยบกับ Unubore Deka ถือว่าคล้ายคลึงกันมาก ช่วง 'ต่อเวลา' ที่หายไปของ Kisarazu cat's eye ก็คล้ายๆ กับ ช่วงไขคดีของอาชญากรแต่ละรายนั่นแหละ ที่จะย้อนไปถึงว่าอาชญากรก่ออาชญากรรมอย่างไร แต่วิธีย้อนของแคทส์มีเสน่ห์น่าสนใจ เพราะจะคาดไม่ถึงว่ามันเพี้ยนมาเป็นอย่างนี้ได้เพระเหตุเพี้ยนใด แล้วมันก็ฮาค่ะ แต่ในอุนุโบเระ เรารู้อยู่แล้วว่าใครทำ และวิธีที่ก็กระทำก็จะสื่อออกมาบ้างแล้วระหว่างนั้นจึงไม่ต้องคาดเดานัก เหลือแค่เหตุจูงใจของการกระทำที่ต้องรอดูเท่านั้น คดีที่ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถืออยู่แล้ว ยิ่งเบาโหวงไปกันใหญ่ เช่น ฆ่าเพื่อนลูกเพราะอิจฉาลูกสนิทกับเพื่อน เผาบ้านคนวอดทีละหลังๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากอาจารย์เก่าผู้เขียนหนังสือที่คนในบ้านหลังนั้นๆ เลยกำหนดการส่งคืน คนรับใช้ฆ่านายจ้างที่ลักลอบได้เสียกันเพราะคำขอร้องของคุณนายที่เป็นภรรยาให้สามีได้ตายด้วยน้ำมือคนที่รัก .. อืม .. ไม่เห็นจะค่อยเข้าใจเหตุและผลของมันเลยค่ะ

การขโมยของเหล่าแคทส์เพื่อก่อวีกรรมไว้อาลัยแด่บุซซังนั้น ก็ไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลที่สมควรเหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็เดาไม่รู้ว่าที่บังเอิญขลุกขลักหรือสำเร็จได้เพราะมีเหตุอะไรซ่อนอยู่จนกว่าจะย้อนไปย้อนมาในรายละเอียดการกระทำของสมาชิกแคทส์แต่ละคน และตอนจบก็ไม่รู้ด้วยว่าพวกเขาจะนำเงินที่ได้มาไปทำอะไร ส่วนอุนุโบเระนั้นหลังตอนที่สามก็แน่ใจได้ว่าเขาจะเริ่มตกหลุมรักสาวคนร้ายและลงเอยด้วยการขอแต่งงานทุกครั้ง



ถามว่า ทำไมต้องเปรียบเทียบกับ Kisarazu cat's eye ซะมากมาย?

ก็มันเป็นสไตล์ที่เหมือนกันซะมากมายนี่คะ แต่เป็นความเหมือนที่มีความต่างอย่างที่บอกกล่าว

ต่างอีกหนึ่งประการที่นึกออก คือ อารมณ์ลึกๆ ของตัวละคร

ก๊วนอุนุโบเระ พวกเขาเป็นคนรู้จักผ่านมาพบกันที่บาร์ I am I จนกลายเป็นความคุ้นชินสนิทและคบหากัน ทุกคนเอาใจช่วยอุนุโบเระ และมีบทบาทในคดีด้วย (บางครั้ง)

ก๊วนแคทส์ พวกเขาเป็นเพื่อนที่เกิดและเติบโตในเมืองเดียวกัน เรียนโรงเรียนเดียวกัน มีชีวิตผูกพันกันมาตลอดทั้งวัย ในความเป็นเพื่อน พวกเขาไม่ได้แค่ผ่านมาพบเพื่อพูดคุยกันหลังจากว่างเว้นในชีวิตประจำวัน แต่พวกเขาเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตด้านเฮ ที่ไม่แค่พูดคุยแต่จะลงมือทำเรื่องเฮๆ ด้วยกันเสมอ



พวกแคทส์ ทำความบ้าคล้ายกับหวังจะให้เป็นเรื่องกลบเกลื่อนความเศร้า ความเฮฮาของมันบางครั้งก็สะท้อนถึงความเหงาลึกๆ ของคนใกล้ตายอย่างบุซซัง การตายของออสซีคนบ้าประจำถิ่นคิซาราสึยังแฝงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชุมชนที่มีความเศร้าอยู่ลึกๆ กับการที่คิซาราสึจะไม่มีออสซี่เหมือนอย่างเคยเป็น แต่อุนุโบเระไม่เห็นอะไรมากไปกว่าการพยายามเข็นความฮา แม้แต่ความสัมพันธ์พ่อลูก ระหว่างอุนุโบเระกับพ่อก็ไม่มีอะไรลึกๆ เหมือนที่บุซซังกับพ่อของเขามีอยู่ภายใต้พฤติกรรมเพี้ยนของทั้งคู่

การพยายามจะเข็นแต่ความฮา ถ้าคนดูเป็นคนเส้นตื้น (อย่างผู้เขียน) มันก็ฮาใช้ได้นะ แม้เนื้อเรื่องมันจะขาดสีสัน ซ้ำซากและน่าเบื่ออย่างไม่น่าเชื่อ จนถึงกับ อยากให้ผ่านช่วงท้าย ที่โทโมยะจะสวมใส่ชุดสูทสีขาวออกมาเต้นพบปะกับสาวอาชญากรและสรุปคดี และลงท้ายด้วยการขอแต่งงาน ซึ่งจะต้องมีท่าบิดก้นเพื่อสลัดเครื่องดักฟังออกจากการรับรู้ของเพื่อนตำรวจ 'ทุกครั้ง' มันจำเจอยู่อย่างนี้ทั้งหมด ยกเว้นตอนสุดท้ายที่ยังพอมีให้ลุ้นกับมิกะบ้าง

ถ้าไม่ได้ความรั่วหลุดรุ่ยของนักแสดงแต่ละคน โดยเฉพาะคนที่ถึงขั้นหลุดโลกอย่างโทโมยะ โทมะ โยชิโยชิ และความเป็นตาแก่ที่น่ารักสุดๆ ของคุณพ่อโยโซะ (นิชิดะ โตชิยูกิ) ช่วยพยุงความเฮฮาบ้าบอเอาไว้ ให้ผู้เขียนได้มีโอกาสหัวเราะอยู่เนืองๆ (บางจังหวะก็มีปล่อยก๊ากด้วย ) ซีรีส์เรื่องนี้จะเหลืออะไรให้จดจำบ้างก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่สถาบัน prysang.bloggang ก็ยังมีรางวัลปลอบใจมอบให้เพียบเลยนะ



นางาเสะ โทโมยะ รางวัล ไ-อ้ บ้-า ดีเด่น เพราะไม่มีใครบ้าได้เท่านี้อีกแล้ว



อิคุตะ โทมะ รางวัล นักแสดงสมทบยอดเยี่ยม เพราะเล่นตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ เล่นเป็นศพตายยันพระเอกตัวเป็นๆ โลดแล่นอยู่ในความฝัน ในความทรงจำบอกเล่าอดีต ปัจจุบันที่เป็นไป และในจินตนาการอันละเมอเพ้อพก เห็นคนหน้าตาหล่อๆ อย่างโทมะต้องเล่นออกมาให้ดูเป็นหน้าโง่ๆ แล้ว รู้สึกเหนื่อยแทนพ่อประคุณเค้าจริงๆ เล้ย เผลอๆ เล่นเยอะกว่าโทโมยะอีกนะเนี่ย (หวังว่าค่าจ้างคงคุ้ม)



คานาเมะ จุน รางวัล นักแสดงสมทบยอดแย่ หน้าตาไม่ให้แล้วยังไม่มีส่วนช่วยใครในการสร้างความฮาเล้ย ไม่ได้ทำอะไรนักนอกจากออกมานั่งอยู่ที่บาร์แล้วพูดๆๆๆ ขอร้องเหอะ จุนไปเล่นบทอะไรที่มันเครียดๆ ดุๆ หน้าตาจริงจังจะดีกว่า เอาหล่อๆ มาดแมน มาเข็นทางนี้ เสียของหมด ยิ่งตอนสุดท้ายนะ หือ .. ไม่อยากจะพูด ทำไมถึงทำกับจุนอย่างนี้ได้ (ดูรูปเอาเหอะ)



นากาชิม่า มิกะ รางวัลนักร้องหญิงยอดเยี่ยม ชอบเสียงร้องเพลงของเธอจริงๆ ชอบบทเพลงของเธอ Ichiban Kirei na Watashi o อยากได้เพลงนี้มากๆ ชอบมากกว่าเพลง ORION ในเรื่อง Ryusei no Kizuna อีก กำลังพยายามหาที่โหลดอยู่ค่ะ นักร้องเวลาพูดเสียงปกติแล้วจะฟังเป็นเสียงที่มีเสน่ห์มากเลยนะคะ นักแสดงหญิงคนอื่นๆ ที่ชอบเสียงของเธอ ก็มี อายะ อุเอโตะ ( Attention please) จูริ อุเอโนะ (โนดาเมะ) แล้วก็เสียงยานๆ ของเจ๊ ชิโนฮารา เรียวโกะ ( Unfair, moon lover)

รางวัลชมเชย เพลงและดนตรีประกอบ

การให้เสียงดนตรีประกอบ ในแต่ละจังหวะความฮา การปรากฏตัว ความเศร้ารันทด (ที่ไม่ได้เศร้า) ความน่าสงสาร (ที่ไม่ได้น่าสงสาร ) หรืออะไรต่างๆ มันเหมาะเจาะลงตัวและเอื้อต่อความเป็นไปของตัวละครในขณะนั้นดีค่ะ ซึ่งซีรีย์ญี่ปุ่นส่วนใหญ่ดูเหมือนจะทำเรื่องของดนตรีประกอบเหล่านี้ได้ดี ซึ่งคิดว่าละครไทยของเราน่าจะพัฒนาตรงส่วนนี้จะดีมากเลยค่ะ เรื่องของการใช้ดนตรีประกอบให้มันเข้ากัน ไม่มากไป ไม่น้อยไป อย่างเช่นจังหวะตื่นเต้นบางประการเล็กน้อยก็ใช้เสียงดนตรีโอเว่อร์ประหนึ่งหนังแอคชั่นที่กำลังจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง อย่างนั้นก็มากไป มันให้ความขัดใจมากกว่าที่อารมณ์จะคล้อยตาม เรื่องนี้เรื่องโทนสีของภาพไม่สังเกตเห็นว่ามีอะไรโดดเด่น แต่นั่นก็เป็นจุดหนึ่งที่อยากให้ละครไทยของเราพัฒนาเรื่องของการใช้โทนสีที่เข้ากับอารมณ์ของละครและการตัดต่อภาพ วิธีการเล่าเรื่อง ที่ไม่ใช่แค่การใช้คนมาแสดงเรื่องราวตามลำดับเนื้อเรื่องไป หรือทำสีเทาๆ เมื่อเป็นการคิดย้อนอดีตแค่นั้น แต่ก็นั่นแหละ คงเป็นเพราะละครไทยเราไม่ค่อยมีเนื้อหาประหลาดๆ ที่จะมาใช้พลิกแพลงวิธีการเล่าเรื่องให้น่าสนใจด้วยกระมัง เอาเถอะ แม้จะบ่นๆ อยู่ตลอด แต่ก็ยังดูละครไทยอยู่เรื่อยๆ นะ อนาคตนี่ก็รอดู 'รักเกิดในตลาดสด' ที่นำกลับมารีเมกอีกครั้ง



เพลง NaNaNa (Taiyo nante Iranei) ของวง ToKio ที่ขับร้องโดยโทโมยะเองก็เป็นเพลงจังหวะสนุกๆ ที่ฟังเพลิน และอยากโหลดไว้ฟังเหมือนกันค่ะ (กำลังพยายามหาที่โหลดอยู่เช่นกัน) จะว่าไป เพิ่งเคยเห็นโทโมยะกับสมาชิกวง Tokyio ด้วยกัน และนอกจากเรื่อง My husband เพิ่งเคยเห็นโทโมยะถือไมค์ร้องเพลง ก็ตอนดู MV เพลง NaNaNa ที่อยู่ท้ายแผ่นดีวีดีนี่แหละ (อิคุตะ โทมะ เป็นพระเอก MV) ถึงโทโมยะจะแก่แล้ว แต่ความเท่ไม่เป็นสองรองใครนะเนี่ย มาดแบบนักร้องก็ยังโอเคอยู่ คนตัวสูง หน้าหล่อเข้มนี่ได้เปรียบตลอด ตอนดู Unubore Daka ก็คิดอยู่เรื่อยๆ ว่า 'ฉันอยากเห็นโทโมยะเล่นบทเป็นคนปกติจังเลย' ขอย้ำ ... 'คนปกติ' ที่เหมือนคน ไม่แหกหน้าแหกตา และแหกปากร้องเหนือพฤติกรรมทั่วไปของมนุษย์ ที่เรียกได้คำเดียวว่า "โอเว่อร์" ก็เลยนึกอยากดูเรื่องนี้ขึ้นมา Miporin no Ekubo ด้วยหวังใจว่าโทโมยะ จะเล่นเป็นคน 'ปกติ'



โทโมยะ นางาเสะ กับ เรียวโกะ ฮิโรสุเอะ จับคู่นักแสดงคนโปรดได้อย่างนี้ น่าตื่นเต้นยินดีกว่า โทโมยะ นางาเสะ กับ มิกะ นากาชิม่า อีกนะคะ น่าสนใจมากๆ แต่มันไม่มีซับไทย ซับอังกฤษก็พอไหว แต่ต้องรอตอนมีใจฝักใฝ่

Unubore Deka ได้มอบความสุขพิเศษให้อย่างหนึ่งนั่นก็คือได้เห็น นากาชิม่า มิกะ แต่งหน้าสวยในชุดแต่งงานสีขาวเข้าพิธีวิวาห์กับโทโมยะ นางาเสะ ผู้ชายคนนี้ไม่เคยทำให้ผิดหวังในการจับคู่กับนางเอกแต่ละคนเลย (มีแต่สาวๆ น่ารัก ที่ไม่มีความรู้สึกแอนตี้)





ส่วนสองหนุ่มโทโมยะ กับ โทมะ ก็ดูหน้าตาเข้ากันได้ดีเมื่ออยู่ในละคร อย่างนี้น่าจับเล่นเป็นพี่เป็นน้องตัวกวนด้วยกันสักเรื่อง คงน่าสนใจไม่น้อยเลย



ขอบคุณ ข้อมูล :

Dramawiki (//wiki.d-addicts.com/Unubore_Deka)




 

Create Date : 07 ธันวาคม 2554    
Last Update : 25 พฤษภาคม 2555 0:58:18 น.
Counter : 7863 Pageviews.  

Soredemo, Ikite Yuku / Even so, We will be living on


Soredemo, kite Yuku

Title : Soredemo, Ikite Yuku / Even so, we will be living on
Genre: Drama Episodes: 11 Viewership rating: 9.3%
Broadcast : Fuji TV - 7 July-15 Sep 2011 Thursday 22:00
Theme song: Tokyo no Sora by Oda Kazumasa
Screenwriter: Sakamoto Yuji Producer: Ishii Koji
Directors: Nagayama Kozo, Miyamoto Rieko, Namiki Michiko
Music: Tsujii Nobuyuki

70th Television Drama Academy Awards

Best Drama
Best Actor - Eita
Best Supporting Actor - Kazama Shunsuke
Best Supporting Actress - Otake Shinobu
Best Screenwriter - Sakamoto Yuji
Best Director - Nagayama Kozo, Miyamoto Rieko, Namiki Michiko





ถึงอย่างนั้น เราจะมีชีวิตอยู่

นี่เป็นซีรีย์อารมณ์ทึบเทา ที่หม่นหมองที่สุดแห่งปี ( จัดเอง )

หลังจากชมเอตะอยู่ในบทบาทที่น่าผิดหวังนิดหน่อยใน Atsu Hime มาไม่นาน ณ ขณะนี้กับเรื่อง Soredemo, Ikite Yuku เอตะก็ได้กลับมาทวงคืนตำแหน่งที่นั่งเดิมในใจผู้เขียนเหมือนอย่างเคยเป็นมา เป็นการชนะใจด้วยฝีมือการแสดงที่ใสสะอาดไร้มลทิน





เป็นการเปิดตัวแนะนำนักแสดงฝ่ายหญิงที่ผู้เขียนไม่เคยรู้จักมาก่อนMitsushima Hikari เธอแสดงได้เก่งมาก ฝีมือไม่ได้ด้อยไปกว่าเอตะแม้แต่น้อย ไปขุดไปค้นเอามาจากไหน ถึงได้เธอคนนี้ หน้าตาอย่างนี้ มาแสดงคู่กับเอตะได้อย่างเหมาะเจาะลงตัวที่สุด

ฝีมือร้ายกาจด้วยกันทั้งคู่



พลอตเรื่องก็ดี เรียกร้องความสนใจได้อยู่หมัด

ผู้ชายคนหนึ่งที่น้องสาวคนเล็กถูกฆ่า ฆาตรกรคือเพื่อนของเขาเอง 15 ปีต่อมาเขาได้พบกับน้องสาวของเพื่อนคนนั้น ทั้งสองครอบครัว เขาและเธอต่างมีชีวิตที่ต้องแบกรับความเจ็บปวดจากเหตุการณ์ฆาตกรรมเมื่อ 15 ปีก่อน ครอบครัวของเหยื่อ กับ ครอบครัวของฆาตกร การพบกันของพวกเขา จะนำพาสองครอบครัวฟันฝ่าความมืดมนเพื่อก้าวพ้นไปสู่ชีวิตที่สดใสกว่า ในวันพรุ่งนี้

พลอตอย่างนี้ ต่อให้ไม่ใช่เอตะ ก็คงไม่ลังเลที่จะหามาชม (เรื่อง พี่ๆ น้องๆ ผู้เขียนช้อบบ!) แอบไปดูผลงานผู้เขียนบท Sakamoto Yuji เขาเขียนเรื่อง Mother , Top caster กับ Last Christmas ด้วยล่ะค่ะ แสดงว่าท่าทางจะถนัดกับการเขียนเรื่องหนักๆ เหมือนกันนะคะเนี่ย



ฉากสถานที่ในการถ่ายทำซีรีส์เรื่องนี้ สวยงามมากค่ะ หลังจากผ่านเรื่อง Nagareboshi ก็เพิ่งพบในเรื่องนี้แหละที่เลือกใช้สถานที่ได้สวยงาม ขณะที่เนื้อเรื่องเต็มไปด้วยความทุกข์หมองหม่น ไม่รู้คุณผู้อ่านจะรู้สึกเหมือนกันไหมนะคะ ว่าความสวยงามของฉากสถานที่มันช่วยสะท้อนอารมณ์เหล่านั้นได้มากยิ่งขึ้นด้วย อย่างเรื่อง Nagareboshi เองก็เหมือนกัน หรืออย่างหนังเรื่อง All about LiLi Chou chou ฉากสถานที่ดูสดใสสวยงามซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความหม่นของเนื้อเรื่อง เหมือนเอาสองสิ่งตรงข้ามมาปะทะกันแล้วกลายเป็นความน่าหดหู่ ..พุ่ง

บทเพลง และดนตรีประกอบซีรีส์เรื่องนี้ .. ให้คะแนนเต็มค่ะ เพราะนอกจากจะไพเราะแล้วยังมีท่วงทำนองที่ส่งเสริมอารมณ์ทุกข์โศกได้ดีจริงๆ



ตอนแรกเข้าใจเอาเองว่า เนื้อหาหลักของเรื่องนี้ จะเป็นเรื่องอุปสรรคความรักของพระเอกนางเอก ทำให้ผู้เขียนนึกถึง ซีรีส์เกาหลีเรื่อง Crazy for you ขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องโปรดอะไรหรอกค่ะ แต่ดูแล้วพลอตมันเป็นที่จดจำมาถึงทุกวันนี้ หากพูดถึงซีรีส์ที่มีอุปสรรคความรักอันยากเย็น ยากเกินกว่าจะหาทางออกได้โดยไม่ทำร้ายใคร Crazy for you มันเหลือเกินจริงๆ ค่ะ กับเนื้อเรื่องที่ว่า นางเอกมีคนรักที่กำลังจะแต่งงานกันในอีกไม่กี่วัน แต่วันชื่นคืนสุขที่เฝ้าฝันก็แหลกสลาย เนื่องจากคนรักถูกพระเอกขับรถชนตาย พระเอกถูกตัดสินจำคุกเพราะขับรถโดยประมาท คนรักของนางเอกเขาเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อแม่ ส่วนนางเอกก็ดันเป็นกำพร้าไร้ญาติขาดมิตร ( รันทดได้อีก ) เมื่อฝ่ายหนึ่งเสียลูก ฝ่ายหนึ่งไม่มีพ่อแม่ เพื่อเยียวยาจิตใจของกันและกัน นางเอกจึงย้ายไปอยู่กับครอบครัวของคนรักและกลายเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน พ่อ-แม่-ลูกสาว ใช้ชีวิตจมปลักอยู่กับความทุกข์โศกด้วยกันเรื่อยมา



จนกระทั่งพระเอกชดใช้กรรมในคุกด้วยความสำนึกผิดแล้วพ้นโทษออกมา ลิขิตฟ้าชะตาเล่นงานที่ดันมาเจอกับนางเอก เกิดเป็นความรักครั้งใหม่ที่ฟื้นฟูจิตใจนางเอกให้กลับมามีความรักได้อีกครั้ง .... แต่พอรู้ความจริงว่าพระเอกคือคนที่พรากชีวิตคนรักเก่าที่เกือบจะได้แต่งงานใช้ชีวิตร่วมกันให้ตายจากไป โหย..ลองคิดดูสิคะ คนมันรักไปแล้วและถ้าจะรักกันต่อไป ก็เหมือนทรยศต่อตนเองและคนรักเก่า ถึงเขาจะตายไปแล้วก็เหอะ ซึ่งถ้าคิดจะมองข้ามจุดนี้ยังพอไหว แต่พ่อแม่ของคนรักที่เปรียบเสมือนพ่อแม่ของตัวเองล่ะ จะรับกับเรื่องนี้ได้ยังไง ถ้าฝืนรักกันต่อไปก็เนรคุณชัดๆ แต่จะไม่รักจะหักห้ามใจก็ทำไม่ได้อีก พระเอกยิ่งน่าสงสารอยู่ด้วย เขาไม่ได้ตั้งใจทำให้ใครตาย แล้วต้องกลายเป็นคนขี้คุก ไม่เป็นที่ต้อนรับในสังคม เงียบขรึมซึมเศร้าเพราะรู้สึกผิดบาปติดค้างในใจ คนเศร้ากับคนเศร้ามาเจอกัน รักษาใจให้กันและกัน ถ้าทิ้งกันไปก็จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมจิตใจ แล้วเหมือนว่าพระเอกจะป่วยเป็นโรคร้ายอีกด้วย (ถ้าจำไม่ผิดว่ามันยังรันทดได้อีก) นางเอกยิ่งทิ้งกันไม่ลง เห็นไหมละคะเลือกลำบากอะไรขนาดนั้นแล้วผู้เขียนจะไม่จดจำอยู่ในใจว่ามันเป็นพลอตความรักที่สุดยากเย็นได้ยังไง





Soredemo, kite Yuku ก็เช่นเดียวกัน หากมองในแง่ของความรักระหว่างพระเอกนางเอก

มองจากฝ่ายพระเอก เธอเป็นน้องสาวของฆาตกรที่ฆ่าน้องสาวตัวเอง
มองจากฝ่ายนางเอก เขาเป็นพี่ชายที่น้องสาวถูกฆ่าโดยพี่ชายของเธอ

โอ้ .. เป็นความยากที่สยบ Crazy for you อย่างราบคาบ เพราะพระเอกของ Crazy for you ทำผิดพลาดโดยไม่ได้เจตนา สำนึกผิดบาปที่ไม่ได้ตั้งใจกระทำอย่างถึงแก่น แต่ Soredemo พี่ชายของนางเอกนอกจากจะตั้งใจฆ่า ยังใช้วิธีฆ่าสุดโหดอีกต่างหาก ด้วยเหตุนี้จึงคิดว่าพลอตเรื่อง Crazy for you ที่ว่ายาก ก็ยังต้องชิดซ้ายหลบไป



แต่ ช้าก่อน อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า Soredemo เป็นเรื่องรักต้องห้าม ที่ต้องต่อสู้ฟันฝ่าด้วยการแหวกม่านมโนธรรมสำนึกต่อครอบครัวเพื่อจะรักกันนะคะ ไม่ใช่แนวรักนี้ต้องฟันฝ่าอะไรอย่างนั้นหรอก Crazy for you น่ะใช่ เพราะซีรีย์เกาหลีส่วนใหญ่ (ส่วนใหญ่มากๆ) คือซีรีย์ที่ดำเนินไปด้วยเรื่องของความรัก Crazy for you จึงเป็นการพยายามที่จะรัก (หลังจากที่พยายามจะเลิกแต่ไม่สำเร็จ) แต่ Soredemo เป็นเรื่องของของการพยายามจะมีชีวิตอยู่ ทั้งตัวพระเอก นางเอก และครอบครัวของทั้งสองฝ่าย ด้วยประการทั้งปวง ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ Even so, we will be living on จึงเป็นชื่อเรื่องที่บ่งบอกความเป็นซีรีส์ เรื่องนี้ได้จริงๆ

แล้วทำไมต้องพยายามจะมีชีวิตอยู่ ?



คำตอบคือ เพราะมันใช่แค่เหตุฆาตกรรมที่เกิดขึ้นและจบไป แต่มันมีผลกระทบกระเทือนต่อชีวิตจิตใจของสมาชิกทุกคนในครอบครัว จนไม่สามารถจะมีชีวิตเป็นปกติเหมือนคนทั่วไปได้ มันมีตื้นลึกหนาบางมากกว่าความสูญเสียชีวิตของลูกสาวที่ตกเป็นเหยื่อ หรือการสูญเสียจิตวิญญาณของลูกชายที่กลายเป็นฆาตกร สมาชิกครอบครัวของแต่ละฝ่ายจึงไม่อาจปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระไปจากควากโศกสลดของเหตุการณ์ครั้งนั้นได้

ฟุกามิ อากิ (Shida Maki) เหยื่อฆาตกรรม เป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่อยู่ในวัยประถม
อาเนมิยะ เคนจิ หรือ มิซากิ ฟุมิยะ (Kazama Shunsuke) ฆาตกรที่ยังเป็นเพียงเด็กชายวัยมัธยมต้นอายุ 14 ปี

เด็กชายวัยมัธยมต้นฆ่าเด็กหญิงชั้นประถม ด้วยการใช้ฆ้อนทุบที่ศรีษะหลายครั้ง ก่อนจะนำศพทิ้งลงทะเลสาบ โดยวิธีการฆ่า นี่เป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่สะเทือนขวัญผู้คน และคนที่ลงมือฆ่าสมควรได้รับการลงโทษสถานหนัก แต่โดยวัยของฟุมิยะ เขายังเป็นเพียงเยาวชน โทษของเขาจึงไม่หนักหนาเท่าที่คนทั่วไปคิดว่าสมควรต้องได้รับ ฟุมิยะถูกส่งเข้าสถานกักกันเยาวชน เขาต้องเข้ารับการวินิจฉัย บำบัดและฟื้นฟูจิตใจด้วย

เด็กชายมัธยมต้นใช้ฆ้อนทุบศรีษะเด็กหญิงชั้นประถมจนตาย และโยนศพลงทะเลสาบ นั่นเป็นเพียงฉากคดีสะเทือนใจที่คนทั่วไปยังคงจดจำได้ไม่รู้ลืม
ถ้าอย่างนั้นผลกระทบที่มีต่อครอบครัวเล่า

ครอบครัวเหยื่อ

พี่ชายคนโต : ฟุกามิ ฮิโรกิ (เอตะ ) เขาเองใช่ไหม ที่ทำให้น้องสาวตาย "พี่จ๋า ไปเล่นว่าวกับหนูเถอะ" แต่ฮิโรกิปฏิเสธ ไว้วันอื่นละกัน แม้อากิจะขอร้อง วันนี้ไม่ได้เหรอ พี่จ๋าเราเล่นกันวันนี้เถอะ ฮิโรกิก็ไม่ยอมตามใจและทิ้งเธอไว้ลำพัง หากถ้าเขาไปเล่นว่าวกับเธอ แทนที่จะไปกับเพื่อนเพื่อเช่าวิดิโอ(โป๊)ไร้สาระนั่น หากว่าเขาอยู่กับอากิวันนั้น



แม่ : โนโมโตะ เคียวโกะ ( ชิโนบุ โอตาเกะ) อากิถูกฆ่าตาย เป็นเพราะเธอเองหรือเปล่า เพราะเธอยอมซื้อกระโปรงตัวนั้นให้ลูกใช่ไหม กระโปรงบานสั้นที่อากิเพิ่งใส่วันนั้นเป็นวันแรก ความหวาดกลัวว่าตัวเองจะเป็นต้นเหตุ ทำให้แม่ของอากิ ไม่เคยอ่านสำนวนคดี ไม่เคยปริปากถามใครในรายละเอียดการชันสูตรศพ 'อากิถูกกระทำชำเรา แล้วฆ่าทิ้งใช่หรือไม่' เป็นคำถามค้างคาจิตใจ แต่เพราะเธอกลัวที่จะรู้คำตอบจึงปิดกั้นตัวเองไว้จากเรื่องของอากิ ไม่อยากจะหาคำตอบ เพราะคำตอบมันอาจน่ากลัวเกินไป

พ่อ : ฟุกามิ คัตสึฮิโกะ (Emoto Akira) เขาเห็นว่าวสีขาวของอากิลอยขึ้นเหนือชายป่าวันนั้น ว่าวสีขาวที่ลอยล่องพลิ้วลมอย่างสวยงาม แล้วจู่ๆ มันก็ร่วงลงฉับพลัน เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างเรียกร้องให้เขาไปที่นั่น และแว่บหนึ่งในใจเขาคิดจะไปที่นั่น แต่เพราะวันนั้นเป็นวันที่อากาศร้อนมาก เป็นวันที่ร้อนมากจริงๆ

หลังจากนั้น .... ศพของอากิถูกพบที่ทะเลสาบมิกะสุกิ

แม้เวลาจะผ่านไป

พ่อยังคงตรอมใจ และพร่ำโทษตัวเองที่ไม่อาจปกป้องชีวิตลูกสาวได้ กลายเป็นคนอ่อนแอในสายตาของแม่ แม่ที่เสแสร้งเหมือนว่าอดีตคือสิ่งที่ผ่านไปและ 'ไม่เป็นไร' ในปัจจุบัน ไม่มีการพูดถึงเรื่องของอากิราวกับว่าเธอได้ลืมเรื่องนั้นไปแล้วจริงๆ

ความเศร้าโศกทำให้ครอบครัวแตก บ้าน..ที่ยังมีเงาของอากิเป็นสถานที่ที่เจ็บปวดเกินกว่าจะอยู่อาศัย ถูกปล่อยทิ้งร้าง แม่หย่าขาดจากพ่อเมื่อ 10 ปีก่อนแล้วแยกไปอยู่กับโคเฮ พ่อกับฮิโรกิย้ายไปใช้ชีวิตอย่างเก็บตัวในบ้านชายป่าริมทะเลสาบและเปิดเป็นร้านขายอุปกรณ์ตกปลาบริการแก่ลูกค้าที่มาตกปลาในทะเลสาบแห่งนี้



ฟุกามิ โคเฮ (Tanaka Kei) น้องชายของฮิโรกิ เขาแต่งงานมีครอบครัวแล้วและแม่ก็อยู่ด้วยกันกับเขา นานมาแล้วที่แม่เปลี่ยนไป ไม่เหมือนแม่ปกติคนเดิม ใครๆ ก็รู้นั่นเป็นเพราะเรื่องการตายของอากิ คนที่พยายามอย่างหนักเพื่อหวังจะให้แม่หายเศร้าโศกและมีชีวิตที่มีความสุขก็คือ โคเฮ เพราะเรื่องของอากิเป็นเรื่องที่เจ็บปวดเกินไป ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะยังจมปลักกับความสูญเสียในอดีต โคเฮจึงมักไม่ค่อยพอใจทุกครั้งที่ฮิโรกิยังคงพูดถึงอากิอยู่เสมอ และมันก็นำมาซึ่งความหดหู่ โคเฮต้องการจะมีชีวิตต่อไปเพื่อวันข้างหน้าเช่นเดียวกับที่เขาอยากให้แม่มี

พ่อป่วยเป็นมะเร็ง แต่มะเร็งไม่ใช่สิ่งที่พ่อกังวล สิ่งที่พ่อกังวลคือการตายจากโลกนี้ไปโดยยังไม่รู้คำตอบเกี่ยวกับอากิ พ่อโกรธแค้นเสียใจเมื่อได้รู้ว่าฟุมิยะที่ฆ่าอากิ ได้รับการปล่อยตัวจากสถานกักกันไปแล้วตั้งแต่ 8 ปีก่อน นั่นหมายความว่าเขาถูกกักอยู่ที่สถานกักกันแค่เพียงเวลาสั้นๆ 7 ปี พ่อยังได้ภาพวาดของฟุมิยะจากนางพยาบาลที่ดูแลเขาในช่วงการบำบัดจิตใจ ภาพวาดของฟุมิยะที่บอกชัดว่าเขาไม่เคยรู้สึกเสียใจหรือสำนึกผิดในการกระทำ เขาวาดภาพศพของอากิที่ลอยน้ำประหนึ่งมันเป็นศิลปะที่กลั่นออกมาจากความทรงจำอันสวยงาม

ฟุมิยะไม่เคยสำนึกในความผิด นี่ไม่ใช่เรื่องเดียวที่ค้างคา แต่ยังมีอีกเรื่องที่ยังคงคาใจทุกคนมาตลอด ทำไมฟุมิยะถึงฆ่าอากิ ? คำถามที่ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครตอบได้ ไม่มีอะไรอธิบายจากฟุมิยะมากไปกว่าคำสารภาพว่ากระทำผิดจริง พ่อยังคงต้องการคำตอบนั้น เด็กสารเลวนั่น ออกจากสถานกักกันไปเติบโตปะปนอยู่ในสังคมมานานกว่าแปดปี เด็กนั่นไม่เคยสำนึกในบาปของตัวเอง และสักวันเขาจะฆ่าใครสักคนอีกครั้ง พ่อเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ชีวิตที่ใกล้ตายโดยยังไม่ได้รับคำตอบมันทรมานเกินไป พ่อจึงออกตามหาฟุมิยะ คนบาปที่มีชีวิตอยู่ไปก็รกโลก พ่อตั้งใจจะฆ่าเขาเพื่อแก้แค้นให้อากิ และเพื่อปกป้องครอบครัวอื่นไม่ให้ต้องพานพบกับความสูญเสียเหมือนที่ครอบครัวฟุกามิเคยสูญเสียอีก แต่เขาไม่ทันได้ทำสำเร็จ



ความค้างคาใจของพ่อ ก็เป็นความค้างคาใจเดียวกันกับของฮิโรกิ สิ่งที่พ่อตั้งใจจะทำ แต่ทำไม่สำเร็จ พ่อต้องตายไปทั้งที่ยังเสียใจอยู่แบบนั้น ฮิโรกิจึงคิดจะทำสิ่งนั้นแทนพ่อ .. เขาต้องตามหาฟุมิยะ ต้องหาคำตอบ และแก้แค้นให้อากิแทนพ่อ

มันเป็นความผิดของเขาเอง เพราะฟุมิยะเป็นเพื่อนของเขา อากิจึงไปที่ทะเลสาบกับฟุมิยะวันนั้น ถ้าเพียงแต่เขาจะไม่หันหลังให้และอยู่กับเธอที่นั่น เล่นว่าวกับเธออย่างที่เธอร้องขอวันนั้น

บางที .. นี่อาจเป็นทางออกที่ฮิโรกิจะได้ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากเรื่องของอากิ และมีชีวิตต่อไปได้ บางที มันอาจเป็นทางออกเดียวจริงๆ เขาต้องฆ่าฟุมิยะ

ครอบครัวฆาตกร

น้องสาว : โทยามะ ฟุตาบะ(Mitsushima Hikari) มันเป็นเรื่องโหดร้ายที่พี่ชายของเธอฆ่าคนตาย แต่ที่เลวร้ายต่อความรู้สึกยิ่งกว่า คือความขัดแย้งที่ว่า ฟุมิยะพี่ชายของเธอ เป็นคนที่อ่อนโยน ใจดี และรักเธอเสมอ ฟุมิยะฆ่าคนตาย คนตายที่เป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เป็นสิ่งที่ฟุตาบะยากจะยอมรับได้ ตลอดระยะเวลา 15 ปี ฟุตาบะ จึงใช้ภาพความทรงจำดีๆ ที่มีต่อพี่ชายหล่อเลี้ยงจิตใจตัวเองเรื่อยมา ในขณะที่คนอื่นๆ ทำเหมือนฟุมิยะไม่ใช่คนในครอบครัวอีกแล้ว ฟุตาบะยังอยากที่จะเข้าใจเขา เธอเป็นคนเดียวที่ยังพยายามติดต่อพี่ชายของเธอ ด้วยการเขียนจดหมายส่งไปที่สถานกักกัน ยังคงหวังไว้สักวันหนึ่งพี่ชายของเธอจะกลับคืนสู่บ้าน ทั้งที่ .. นั่นอาจไม่ใช่สิ่งที่คนในครอบครัวต้องการ



พ่อ : มิซากิ ชุนสุเกะ ( Tokito Saburo ) ลูกชายของเขากลายเป็นฆาตกร ในฐานะพ่อ มันคือความผิดที่เขาเลี้ยงลูกไม่ดี ฟุมิยะฆ่าคนตายและไม่มีเหตุผลอะไรมาช่วยให้ทำความเข้าใจได้ หัวอกของพ่อมันช่างเจ็บปวด และในฐานะหัวหน้าครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคน การเป็นพ่อของฆาตกรทำให้ต้องถูกรังเกียจ สูญเสียงาน และไม่อาจหางานดีๆ ทำได้ คดีของฟุมิยะมันเป็นที่จดจำเกินกว่าผู้คนจะลืมสกุล "มิซากิ" และอดไม่ได้ที่จะถามไถ่ความเกี่ยวข้องไปถึง บ้านเดิมที่เคยอยู่อาศัยก็ทนอยู่ต่อไปไม่ได้ และไม่ว่าย้ายไปที่ไหน ไม่นาน ความจริงก็จะถูกพบว่าพวกเขาเป็นใครมาจากไหน ..ซึ่งในที่สุดก็หนีไม่พ้นความรังเกียจที่มีต่อ "ครอบครัวฆาตกร" (ใจโหดด้วย)



แม่ : โทยามะ ทาคามิ(Fubuki Jun) ใครๆ ในสังคมนี้ ต่างให้ความสงสารเห็นอกเห็นใจแม่ของเหยื่อผู้ถูกกระทำ แต่ไม่มีใครพยายามเข้าใจเลยสักนิดว่า หัวอกแม่ของฆาตกรเป็นอย่างไร แม่ที่ต้องอยู่เคียงข้างสามีที่เจ็บปวด แม่ที่ต้องยืนหยัดเพื่อลูกสาวอีกสองคน ชีวิตที่ลำบากของครอบครัวเพราะพ่อที่เป็นเสาหลัก ไม่อาจหางานดีๆ ทำได้ ทั้งยังถูกบีบคั้นให้ต้องออกจากงานหากมีใครรู้ว่าพวกเขาเกี่ยวข้องอะไรกับฆาตกรฆ้อนทุบวัย 14 ปีคนนั้น ความเกี่ยวข้องที่ทำให้ครอบครัวไม่เคยมีความสุขอย่างที่ควรจะมี เพราะบาดแผลที่ฟุมิยะทิ้งไว้มันเป็นความทุกข์คอยกัดกร่อนจิตใจเกินกว่าจะมองหาความรื่นเริงใดๆ มาใส่ตัวได้ การเป็นครอบครัวฆาตกรมันเหมือนกับว่าพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้มีความสุข

น้องสาวคนเล็ก : โทยามะ อาคาริ (Fukuda Mayuko) เธอยังอยู่ในท้องของแม่ เมื่อตอนเกิดเหตุฆาตกรรม เธอไม่ควรต้องข้องเกี่ยวอะไรกับพี่ชายที่ไม่เคยเห็นหน้า ควรจะมีชีวิตวัยรุ่นที่สดใสเหมือนคนอื่นทั่วไป แต่ทุกครั้งที่เธอพยายามทำตัวมีความสุข มันเหมือนกับว่าเธอกำลังทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ไม่ควรมีความสุข และเมื่อไหร่ก็ตามมีคนรู้ว่าเธอเป็นน้องสาวของฆาตรคดีนั้น มันก็เหมือนเคราะห์กรรมที่ถึงแม้เธอไม่ได้ก่อ แต่มันส่งผลกระทบมาถึง

ผลกระทบที่ไม่ว่าโยกย้ายไปไหน ไม่นานเรื่องทำนองเดียวกันก็เกิดขึ้นอีก ต้องพบเจอกับสภาพการเป็น "ครอบครัวฆาตกร" ดังเดิม ซึ่งนั่นไม่ใช่การ "ถูกพบ" เรื่องในอดีตโดยบังเอิญ แต่เพราะมีใครบางคนอยู่เบื้องหลัง คอยติดตามรังควานไม่ให้ครอบครัวนี้มีชีวิตที่สงบสุขได้





ฟุตาบะ รักฟุมิยะ พี่ชายแสนดีในความทรงจำ ลึกๆ ในใจยังคงเฝ้าหวังจะได้พบเจอและกลับมาอยู่รวมกันเป็นครอบครัวอีกครั้ง แต่คนอื่นๆ คงไม่ได้คิดอย่างนั้น การเพิกเฉย การไม่พูดถึง ก็คือการปฏิเสธที่จะข้องเกี่ยวกับฟุมิยะนั่นเอง ฟุตาบะต้องการให้พ่อตามหาฟุมิยะที่ออกจากสถานกักกันมานานหลายปี เพราะเขาเป็นลูกของพ่อ พ่อไม่ควรจะหันหลังและทอดทิ้งเขา พ่อไม่ควรจะปฏิเสธความรับผิดชอบนี้ ไม่ว่าใครไม่อยากให้เขากลับมา ฟุตาบะยังคงต้องการพี่ชายของเธอเสมอ และทุกคนในครอบครัวก็ควรต้องการเขาด้วย



ครั้งหนึ่ง พ่อเคยพบฟุมิยะโดยบังเอิญ ฟุมิยะไม่เห็นพ่อ ส่วนตัวพ่อต้องต่อสู้กับความรู้สึกตัวเอง ก่อนที่จะตัดสินใจทำเป็นในมองไม่เห็นลูกชาย

แต่ฟุมิยะไม่เห็นพ่อจริงหรือ แปดปีที่เขาไม่เคยกลับบ้าน ไม่เคยคิดตามหา "ครอบครัว" ซึ่งย้ายที่อยู่ไปจากถิ่นฐานเดิม และแน่ใจได้ว่าไม่เคยมีใครคิดตามหาเขาเช่นกัน ถ้าเขาเห็นพ่อ และรู้ว่าพ่อทำเป็นไม่เห็นเขา ในใจของฆาตกรที่เคยฆ่าคน มีความรู้สึกโหยหา หรือเจ็บปวดกับอะไรบ้างหรือเปล่า เขาสำนึกผิดทั้งต่อการกระทำในอดีตและผลกระทบที่ก่อไว้ให้กับครอบครัวบ้างหรือยัง

ฟุมิยะจะมีหัวใจมีความรู้สึกเหล่านั้นหรือเปล่า นั่นก็เป็นสิ่งที่มองไม่รู้ ดูไม่ออก ภายใต้ใบหน้าเย็นยะเยือกชวนวังเวงของเขานั้น ผู้เขียนไม่กล้าฟันธงจริงๆ ว่ามันคือความไม่ปกติทางจิต หรือคือความซึมเศร้าอันเกิดจากสำนึกผิดบาป ซึ่งบางทีมองหน้าแล้วก็ชวนผวา บางเวลาก็ชวนให้อยากร้องไห้ แล้วจึงสรุปไม่ได้เกี่ยวกับตัวตนของเขา

ดังนั้น จึงไม่อยากจะแตะต้องอะไรถึงเขาคนนี้มากนัก เพราะเขาเป็นตัวละครสำคัญของเรื่อง เป็นตัวเงื่อนปมที่จะทำให้เกิดความสงสัยใคร่รู้ เขาฆ่าเพราะอะไร ทำไมต้องเป็นอากิ เขาป่วยทางจิต หรือเขาไม่ได้ป่วยแต่ตั้งใจทำ หรือจริงๆ แล้วเขาไม่ได้ฆ่า (กรณีที่อาจจะเป็นคนคิดลึก คิดมาก แล้วอดไม่ได้ที่จะระแวงการ หักมุม) เขาเสียใจบ้างไหม สำนึกผิดบ้างหรือยัง กลับตัวกลับใจแล้วหรือเปล่า หรือยังจะฆ่าใคร ด้วยเหตุผลอะไรอีกหรือไม่ ถ้าจะเอ่ยอะไรพาดพิงถึงเขาคนนี้มากนัก ก็จะเป็นการสปอยล์หมดเปลือกสิคะ (โดยปกติผู้เขียนก็ใช่ว่าจะมีมารยาทในเรื่องนี้นัก)



คาซามะ ชุนสุเกะ (Kazama Shunsuke) นักแสดงคนนี้เล่นได้หน้าตาวังเวงจังเลยค่ะ เห็นแล้วชวนรันทดพอๆ กับชวนหวาดหวั่นในบางครั้งคราว เสียดายแต่เขาดูตัวเล็กไปหน่อย ถ้าจะให้เป็นปมก้ำกึ่งชวนติดตามว่าจริงๆ แล้ว เขาน่าสงสารหรือน่ากลัวกันแน่ ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเข้ากับคนที่ตัวโตกว่านี้ ดูแข็งแรงกำยำกว่านี้ นี่อะไร้ ผอมก้างเชียว

และนี่คือจุดเริ่มต้นความเป็นมาของพระเอก นางเอก ความโศกสลดของสองครอบครัว (แค่เพียงตอนแรกตอนเดียว ก็ปูพื้นตัวละครได้เกือบทั้งหมด) ก่อนที่พวกเขาจะกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากที่ผ่านเหตุการณ์นั้นมา 15 ปี

15 ปีก่อนนั้น ที่ ...

ฟุมิยะ และ ฮิโรกิ เคยเป็นเพื่อนกัน
พ่อและพ่อของพวกเขาเคยพบปะทักทายกัน
แม่และแม่ของพวกเขาก็เคยรู้จักพูดคุยกัน
และความสัมพันธ์ของพวกเขาก็อาจจะกลมเกลียวต่อกันด้วยดี
หากเหตุการณ์ครั้งนั้นจะไม่เกิดขึ้น

หนึ่งครอบครัวที่ทุกข์โศกกับการสูญเสียชีวิตลูกสาว
กับอีกหนึ่งครอบทุกข์โศกกับการต้องแบกรับความรู้สึกผิดตลอดไป

อย่างไหน สาหัสกว่ากัน



ฮิโรกิ ผู้เป็นพี่ชาย ถูกความรู้สึกผิดที่มีต่อน้องสาวคอยกัดกินใจ เพราะในยามปกติเขาก็ไม่ได้ใจดีกับเธอมากนัก และหากวันนั้น เขาจะใจดีกับเธออีกสักนิด หากเขาอยู่เล่นด้วยกันกับอากิ

ฟุตาบะ น้องสาวที่รู้สึกเสมอว่าตัวเองมีส่วนผิดและควรมีส่วนรับผิดชอบในการกระทำของพี่ชาย หากวันนั้น คนที่ต้องตายเป็นตัวของเธอเอง ครอบครัวนั้นก็คงไม่ต้องสูญเสียอากิ

แล้วเขาและเธอ ก็พบกัน
แล้วครอบครัวของเขาและเธอก็พบกัน
แล้วความเจ็บปวดของพวกเขาสองครอบครัวก็ส่งผ่านถึงกันและกัน

แม้การให้อภัยไม่อาจทำได้ แต่การพยายามมองฝ่ายที่เสียใจอย่างสุดซึ้งและสำนึกผิดอย่างจริงใจ (ในสิ่งที่ไม่ได้ทำเอง)

มอง..ด้วยความเข้าใจ

จะช่วยฟื้นฟูความเจ็บปวดของกันและกัน ให้ก้าวพ้นความทุกข์โศกในอดีต และมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อวันพรุ่งนี้ วันที่ความสดใสของชีวิตจะส่งผ่านเข้ามาถึง





โดยส่วนตัวคิดว่าพลอตเรื่องนี้ดีมากเลยค่ะ นักแสดงแต่ละคนก็เล่นกันอย่างสุดโศกสลด นักแสดงอาวุโสน่ะปล่อยพวกเขาไปไม่ต้องพูดถึง (อีกละ) ก็ท่านๆ เธอๆ ได้ชื่ออยู่แล้วว่าเป็นอาวุโส ย่อมต้องแก่ประสบการณ์เป็นธรรมดา แต่สำหรับสองนักแสดง เอตะ และฮิคาริ ขอชมเปาะ!

เอตะนั้นเห็นผลงานมาแล้วหลายเรื่อง ทั้งเฮฮา (Nodame) น่ารัก (Tokyo Friend, Always the two of us , Summer Time Machine Blues) น่าชัง (Suppli) น่าชอบ (Hard to say I love you) น่าสงสาร ( Last friend) น่าสงสัย(Ahiru to Kamo no Coin Locker ) น่าหมั่นไส้ (Unfair) และน่ารำคาญด้วย (Atsu hime) จะน่า.......อะไรก็ตามแต่ ผู้เขียนชื่นชอบการแสดงของเอตะมากค่ะ เพราะฉะนั้น ..ละไว้ในฐานที่เข้าใจกัน



แต่สำหรับฮิคาริ ต้องขอชมเชยเธอสักมากๆ เพราะเธอเป็นใครมาจากไหนไม่รู้ ดูจากสารรูป .. โทรมอะไรอย่างนี้เนี่ย! อมทุกข์อมโศกอะไรกันขนาดนั้น! ดูจากรูปหน้าก็ดูออกชัดว่าเธอต้องเป็นคนสวยแน่ๆ แต่คอสตูมที่รวมออกมาเป็นเสื้อผ้าหน้าผมประกอบเข้ากับหน้าตารันทด บวกเข้าด้วยอารมณ์ทุกข์โศก รวมเข้ากันกับรูปร่างผอมบางเป็นไม้ซีกของเธอ หมดกัน! ความสวยหดหายไปกับหน้าตาแห้งแล้งและหุ่นซี่โครงของเธอซะหมด ซึ่งเอตะเองก็อยู่ในรูปลักษณ์ที่ไม่ได้ดูดีไปกว่ากันเลย สุดมอซอ

เธอเป็นคนที่ร้องไห้ได้สวย ทั้งแบบนิ่งๆ ที่น้ำตาค่อยๆ ซึมเอ่อออกมา และแบบที่ต้องร้องจริงจังอย่างฟูมฟาย นั่นยังไม่นับตอนที่ความเสียใจของเธอถึงขีดสุดและคุ้มคลั่ง เธอเล่นแบบ จัดหนัก จัดเต็ม ได้อารมณ์เศร้าสะเทือนใจจริงๆ จึงเกิดเป็นคำถามคาใจ .... ไปขุดเธอคนนี้มาจากไหน



พูดถึงคำว่า "คุ้มคลั่ง" เอตะก็ใส่สุดฝีมือไม่ยั้งเหมือนกัน ทั้งที่ในส่วนบุคลิกหลักของตัวละครฮิโรกิ (คนปกติที่อมโศกจนดูไม่ค่อยเหมือนคนปกติ) ก็คิดว่าทำได้ดีมากแล้วนะคะ แต่ในบทระเบิดอารมณ์ทั้งแบบคร่ำครวญในอก หรือโกรธแค้นจนเนื้อตัวสั่นเทาทำอะไรไม่ถูก มันดูเป็นคนธรรมดาที่เข้าถึงอารมณ์ของเขาได้ ไม่ใช่โกรธมาดเท่แบบพระเอกละครหลังข่าวน่ะค่ะ (ฮี่ฮี่ ไม่ได้แขวะนะคะ แค่พาดพิงเอง วันก่อนดูละครเรื่องนึงกับเพื่อน แล้วหันไปถามว่า ทำไมพระเอกจะต้องโกรธกระฟัดกระเฟียดอยู่ตลอดเวลาด้วย เห็นออกมาทีไรก็โกรธ ทั้งที่ไม่เห็นต้องโกรธ ฉันไม่เข้าใจเลย ขอไม่เฉลยคำตอบของเพื่อนนะคะ เพราะชีตอบแร้งงง) อารมณ์ขีดสุดของฮิโรกิเนี่ย มีอยู่ฉากหนึ่งที่เกือบคิดว่าเขาจะระบายความโกรธแค้นด้วยการขืนใจฟุตาบะแล้วบีบคอฆ่าหมกป่าซะแล้ว

ฮ่าฮ่าฮ่า นึกแล้วก็ขำตัวเองไม่หาย คิดไปได้ไงเนี่ย!! อารมณ์มันตกใจกับความโกรธนั้นน่ะค่ะ ทำเป็นแขวะละครหลังข่าวไปงั้นแหละ (ใช่ว่าจะไม่ชอบ) เพราะความจริงก็ดูซะเยอะ เลยเผลอคิดว่ามันอาจเป็นไปได้แบบละครไทยหลายเรื่องน่ะสิ ที่พระเอกเวลาโกรธจัดจะชอบระบายความแค้นด้วยการขืนใจนางเอกน่ะค่ะ

นั่นยังถือว่าตกใจน้อยกว่าตอนที่ฮิโรกิเห็นฟุมิยะครั้งแรกนับจาก 15 ปีก่อน ในงานศพพ่อของเขาเอง ซึ่งในเวลาเดียวกันฟุตาบะก็เห็นพี่ชายของเธอครั้งแรกเหมือนกัน ฮิโรกิพุ่งไปพร้อมมีดในมือ แต่ฟุตาบะพุ่งตามไปเพื่อขัดขวางไม่ให้ฮิโรกิเข้าไปทำร้ายพี่ชายของเธอได้ สองคนนี้เขาเล่นกันสุดกำลังคุณผู้อ่านนึกภาพผู้ชายตัวสูงเพรียวแข็งแรงอย่างเอตะถีบผู้หญิงผอมก้างที่ดูเปราะบางอย่างฮิคาริสิคะ ไม่ตกใจได้ไงล่ะ

คุณเคยเห็นพระเอกเรื่องไหนถีบนางเอกบ้างล่ะ เชื่อว่าไม่เคยหรอก

อารมณ์ตอนนั้น มันแบบว่า อึ้ง...กิม...กี่...



เหลือจะเชื่อเลย อย่างกับมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตและอารมณ์ของคนจริงๆ เพราะถ้ามันเป็นละครก็ต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ความเป็นพระเอกนางเอกกันหน่อยสิคะ ถ้าคุณไม่เคยรู้สึกโกรธจัดถึงขั้นฟาดงวงฟาดงา อยากจะทำร้ายใครหรืออะไรก็ตามที่เป็นสาเหตุอยู่ตรงหน้า คุณอาจจะไม่เข้าใจคำว่า'ชีวิตจริง' ที่ผู้เขียนหมายถึงในที่นี้ แต่ผู้เขียนตอนเด็กๆ เคยเอาไม้กวาดหวดใส่หลังพี่สาวเต็มรัก (เต็มแค้น) เหมือนกับที่พี่สาวเคยเอาสันมีดเหวี่ยงใส่หัวผู้เขียน แต่หันผิดด้าน ทุกวันนี้ยังมีรอยแผลเป็นอยู่เลย (ผ่านมานานมากกว่า 15 ปี ผู้เขียนยังคาใจอยู่เหมือนกันนะ ว่าเจ๊แกพลาดหรือแกจงใจหันผิดด้านกันแน่) ยังมีที่ทุบกันนัวอุ๊กอั๊กๆ อิรุงตุงนังจนมุ้งพันอีกล่ะ ( นึกถึงการทะเลาะวิวาทในอดีตกับพี่สาวแล้วมันช่างน่าขำ) นั่นแหละ เหลือจะเชื่อแบบนั้นแหละค่ะ ผู้เขียนเลยเข้าใจอารมณ์ของเอตะไง ( 555 โม้ไปงั้นแหละ ความจริงมันเปรียบเทียบกันไม่ได้หรอก) ถีบ ..ของเอตะ จึงไม่ใช่เรื่องที่ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่แมนขึ้นในใจ เพียงแต่ตกใจและอึ้งกับอารมณ์ของตัวละครขณะนั้นมากกว่า

ให้ตายเหอะ! พระเอกถีบนางเอกจริงๆ นะคะ ท่านผู้อ่าน ไหนจะยังมีตอนที่บีบคอเธอจนเกือบขาดใจอีก สุดยอดของความหดหู่เลย เชื่อว่าทั้งเอตะและฮิคาริ จะต้องเหน็ดเหนื่อยและกดดันกับการแสดงบทบาทในละครเรื่องนี้มากแน่ๆ



แล้วคุณสนใจมั้ยล่ะ ว่าพวกเขาเป็นคนแบบไหน ค่อยๆ ซึมซับความเอื้ออาทรต่อกันและรักกันได้ยังไง รวมถึงครอบครัวที่สูญเสีย โกรธแค้นฝังใจ กับครอบครัวที่ต้องแบกรับความรู้สึกผิด ความละอายใจต่อบาป (ที่ไม่ได้ก่อด้วยตนเอง) จนไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงหัวเราะต่อกันในครอบครัวน่ะค่ะ การเป็นครอบครัวเหยื่อ หรือครอบครัวฆาตกร มันก็เจ็บปวดพอกัน แต่ในสายตาของคนทั่วไป ฝ่ายหนึ่งได้รับความเห็นใจ แต่ฝ่ายหนึ่งได้รับแต่สายตาและความรู้สึกกล่าวโทษ ถึงจะก้มหัวสำนึกผิดเสมอ แต่ลึกๆ ลงไปในจิตใจ ความขมขื่นที่ไม่มีทางโงหัวขึ้นมาได้แบบนี้ มันก็ชวนให้รู้สึกอยากสาปแช่งการมีชีวิตอยู่ของอีกฝ่ายได้เหมือนกัน แล้วพวกเขาจะปล่อยวางความรู้สึกที่มีต่อกันเหล่านี้ได้ยังไง



เป็นซีรีย์ที่ไม่ได้ร้องไห้มากมายอย่างที่คิดว่าคงจะร้อง มันไม่ได้เศร้าเคล้าน้ำตาขนาดนั้น เพียงแต่ว่ามันหดหู่ มันมีฉากอารมณ์สุดโต่งของตัวละครหลายคน ทั้งพ่อของฟุมิยะ แม่ของอากิ ฮิโรกิ ฟุตาบะ หรือแม้แต่ตัวของฟุมิยะเอง ไม่ว่าจะคั่งแค้น คร่ำครวญ ทุบตี หรือกรีดร้อง แต่สุดโต่งสำหรับผู้เขียนต้องฉากนี้เลย ฮิโรกิเล่นว่าว

ปัญหาของฮิโรกิอย่างหนึ่งคือเขาไม่สามารถจดจำหน้าตาของน้องสาวได้ ไม่ว่าพยายามเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าอากิหน้าตาเป็นยังไง ในวันเกิดของเธอ ฮิโรกิหยิบข้าวของเครื่องใช้ของอากิมานั่งดู กระเป๋าสีแดง รองเท้าสีแดงที่เธออยากได้ ภาพวาดเด็กผู้หญิงกับว่าวและสายว่าวในมือ ที่ทำให้ฮิโรกิลุกพรวดพราดขึ้นมาหาอุปกรณ์และลงมือทำ เขานำว่าวสีขาวไปที่ป่าริมทะเลสาบแห่งนั้น ฮิโรกิเล่นว่าวเพียงลำพัง แล้วในที่สุดอากิก็ปรากฏตัวขึ้น อากิที่ยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าวกำลังแหงนหน้ายืนมองว่าวสีขาวที่ลอยเหินลม ใบหน้าชัดเจนของอากิที่หันมาหาพร้อมกับรอยยิ้มและคำกล่าวชมถึงว่าวที่ลอยขึ้นสูง พร้อมกับคำยอมรับนับถือ "โอเน่จัง สุโค่ย"





ที่อินจัดกับฉากนี้ เพราะตอนเปิดเรื่องมาอากิก็ตาย แล้วพี่ชายฮิโรกิก็แก่เป็นเอตะเลยในวัย 29 ปี .. เราจะไม่เคยเห็นฉากความสัมพันธ์ของพี่ชายคนโต กับน้องสาวคนเล็ก จนกระทั่งตอนที่ฮิโรกิลงมือทำว่าว ภาพความทรงจำเหล่านั้นก็แทรกขึ้นมาพร้อมเสียงดนตรีประกอบ มันออกจะกระเทือนใจนะคะ กับการที่เขานั่งมองรองเท้าสีแดงที่เธออยากได้เป็นของขวัญวันเกิด แต่ไม่ทันได้เห็น เขาทำว่าวสีขาวเหมืออย่างที่น้องสาวเคยถือและชวนเล่นด้วยกัน

ฮิโรกิยังคงฝังใจ วันนั้นแม่ขอให้เขาอยู่ดูแลน้อง และน้องขอให้เขาเล่นว่าวด้วยกันกับเธอ แต่เขาไม่ได้ทำตามทั้งคำขอของแม่ และของน้อง ยังมีเรื่องที่เขาพูดไม่ดีกับอากิทิ้งท้ายไว้โดยไม่รู้ว่านั่นคือคำพูดที่เขาจะได้พูดกับเธอเป็นครั้งสุดท้าย

"ถ้าเธอตามพี่มา พี่จะไม่เล่นกับเธออีกเลย"



แต่มีอยู่ถ้อยคำอย่างหนึ่งในเรื่องที่ชอบมาก

To a younger sister , even her brother does a thousand terrible things to her .
If he is nice to her ownce. Then for some reason, she will feel that he is her brother.
Like she will want to play with him again.
Since she knows the time her brother is kind, she thinks that he will be kind again.
That's why ... that's why she wont hate him.


ชอบ เพราะเห็นว่ามันเป็นความจริงค่ะ พี่ชายลูกพี่ลูกน้องของผู้เขียนให้เงินหนึ่งครั้ง เมื่อไหร่ก็จดจำได้ แม้ว่าหลังจากนั้นพี่มันจะไถเงินจากเราไปสักสิบครั้ง ก็ไม่ได้ล้มล้างความดีในหนึ่งครั้งที่ว่านั่นเลย ( 555 พี่ชายที่แสนดี)

ชอบตอนจบของซีรีส์เรื่องนี้ค่ะ อาจจะไม่โดนใจคอโรมานซ์เท่าไหร่ แต่ผู้เขียนคิดว่ามันเป็นการจบอย่างสวยงาม จบอย่างที่มันเหมาะที่จะเป็น โดยเหลือความผูกพันเป็นช่องว่างทิ้งไว้ให้ไปคิดต่อเอาเองตามแต่ใจ ส่วนผู้เขียนคิดต่อแล้ว ถ้าต่อในอย่างที่อยากให้เป็นก็เป็นไปได้และยิ้มได้ หรือคิดต่อในแบบที่..มันคงเป็นไปไม่ได้ ก็ยังยอมรับได้อยู่ดี


Dont always count what you have lost.
Just think about what you have left at the present.




ในที่สุดเงามืดของอดีตก็เจือจาง แสงตะวันที่มองเห็นอยู่ทุกๆ วันแต่ไม่เคยสัมผัสได้ กลับทอประกายเป็นแสงจัดจ้า เป็นท้องฟ้าที่สว่างสดใสขึ้นมา

ถึงวันนี้มีความทุกข์ รู้สึกมืดมน ใช่ว่าวันข้างหน้าจะไม่มีความสุขสดใสรออยู่ ต่อให้วันนี้ยังหาทางออกไม่เจอ แต่สักวันคงมีสักทาง

และจะหามันพบได้เร็วขึ้น หากรู้จักใช้วิธีลัด

ลัดด้วยการ ปล่อยวางทุกข์ เพื่อจะมีที่ว่างสำหรับเติมเต็มความสุข

ดังนั้น ประโยคง่ายๆ นี้ จึงอาจกลายเป็นคำคมดีๆ ที่น่าจดจำ

เมื่อไหร่ที่มีทุกข์ Even so , I will be living on.























ขอขอบคุณ


Dramawiki

//www.dramacrazy.net/japanese-drama/soredemo-ikite-yuku/




 

Create Date : 30 พฤศจิกายน 2554    
Last Update : 15 สิงหาคม 2555 23:02:16 น.
Counter : 4672 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

prysang
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.