Group Blog
 
All blogs
 
Koh Lipe ๓ - สุดยอดทะเลไทย


เช้าวันที่สาม ยังคงตื่นเช้าเพื่อไปชมดวงอาทิตย์ขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้กดดันจนเพื่อนตื่นเช้าไปด้วยหนึ่งคน และมีที่ตื่นโดยสมัครใจอีกสองคน

6.10 น. คือเวลาโดยประมาณที่ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าในยามเช้าที่เกาะหลีเป๊ะ โดยที่ เมาท์เทนรีสอร์ทตั้งอยู่ในทำเลได้เปรียบ เพราะติดกับหาดชาวเลซึ่งเป็นจุดชมวิวดวงอาทิตย์ขึ้น และหน้าหาดของเมาท์เทนท์รีสอร์ทเองเป็นจุดชมดวงอาทิตย์ตก








ดวงอาทิตย์ที่ขึ้นในสถานที่เดียวกัน เวลาเดียวกัน แต่วิวไม่เหมือนกัน
วันนี้ไม่สวยเท่าเมื่อวาน แต่บรรยากาศยามเช้าก็สดชื่น แจ่มใส







นกน้อยโผบินจากกิ่งไม้





ยิ่งสายแดดยิ่งแรง สีบรรยากาศสวย




หลังจากอาหารเช้า เรือหางยาว "โลมา 6" ก็มารับ ขึ้นเรือ ออกทะเล
และพวกเราก็ล่องลอยอยู่กลางทะเล เพื่อดำน้ำดูปะการังอีกทั้งวัน



เราลงน้ำดูปะการัง ที่ร่องน้ำจาบัง ซึ่งมีชื่อเสียงในบรรดาร่องน้ำอันดามันเพราะความสวยงามของปะการังหลากสี และเมื่อมีคนเมาคลื่นลม หาดทรายบนชายฝั่ง คือการบรรเทาอาการที่ดีที่สุด



เทียบชายฝั่งที่หาดทรายขาว-เกาะราวี




กิ่งไม้นี้คือสัญลักษณ์ของหาดทรายขาว




บนเกาะมีร่มไม้ใบบังหนาทึบ เหมาะกับการปูเสื่อนอนเป็นอย่างยิ่ง


ที่นี่เป็นที่ตั้งของกรมอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะราวีด้วย มีห้องน้ำบริการ มีอาหารตามสั่ง และขนมขบเคี้ยวจำหน่าย

ขายส้มตำด้วย! เป็นอาหารที่สั่งมาได้โดยไม่ต้องการความเห็นของใคร เพราะส้มตำเป็นอาหารที่อยู่ในใจของทุกคน ระหว่างรอคนมาตำส้มตำ เพราะเปิดบริการ 11 โมงอย่างใจจดจ่อ ต้องมองหาอะไรทำ







ไปเดินเล่นบนชายหาดเพื่อเก็บรูปวิว





ชิงช้าไม้ท่อนอันนี้ ไม่ง่ายเลยนะที่จะนั่งมัน เพื่อนพยายามจะทดลอง นั่งแล้วถ่ายรูป
ปรากฏว่ามันไม่มีทางช่วยให้โพสต์ท่าสวยๆ ได้เลย






ปูเสฉวน เดินกันต้วมเตี้ยมบนผืนทรายน่ารักมาก
และทรายที่นี่ สีแปลก สังเกตมั้ยคะว่ามีทรายเม็ดดำๆ
ปนอยู่ในเนื้อทรายสีขาวและสีครีม เหมือนเนื้อน้ำตาลคลุกงา





ริมหาดมีป้ายแสดงแผนที่หมู่เกาะอาดัง-ราวี
และเกาะนี้ตลอดแนวใต้น้ำถัดจากบริเวณริมหาดเล่นน้ำ คือแนวปาการังน้ำตื้นตลอดทั้งแนว
และจะเห็นคนเล่นน้ำมีสน็อกเกิ้ลติดตัวกันทุกคน





ผลไม้รออยู่แล้ว ฝีมือหั่นหน้าตาดีเช่นนี้ คงไม่ใช่มือพวกเราแน่
เป็นคุณไกด์ แจ็ค สแปร์โรว์ เช่นทุกมื้อ โดยเฉพาะวิธีการเฉาะสับปะรดนั้น
เพื่อนคนหนึ่งไปเฝ้าสังเกตการณ์ค้นหาเคล็ดลับมา เพราะคุณไกด์ของเราฝีมือระดับไม่ธรรมดา





โฉมหน้า "โลมา 6" ที่พาพวกเราล่องลอยอยู่กลางทะเลตลอดทั้งทริป





จำชื่อเกาะนี้ไม่ได้ เป็นอีกจุดที่เราดำน้ำดูปะการัง ซึ่งค่อนข้างตื้น หากปะการังอยู่ตื้น นั่นหมายความว่า ฝูงหอยเม่นก็อยู่ตื้นด้วยเช่นกัน และต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

หอยเม่น เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศใต้น้ำ ที่อยู่คู่เคียงข้างกับแนวปะการัง ตัวหนามพุ่มสีดำ มีจุดสีขาว และจุดสีส้ม ไม่รู้รายละเอียดนัก แต่เข้าใจว่า นั่นคือปากกับตาของมัน พิษของมันไม่ทำให้ตายก็จริง แต่ก็ทำความเจ็บระดับเล่าลือ ดังนั้น

ความฮาของทริปนี้อย่างหนึ่งก็คือ ความกลัวสติแตก

มีหนึ่งคนล่ะที่กลัวหมา และที่แน่ๆ มีอีกคนหนึ่งที่ไม่ชอบแมว
แต่รีสอร์ทก็มีสองสายพันธุ์นี้เดินเพ่นพ่านกันอยู่ตลอด หมา นับได้ประมาณ 6 ตัว แมวน่าจะ 2 ตัว

ส่วนหอยเม่น เป็นสิ่งที่พวกเราหวาดกลัวกันทุกคน ก็มองดูหน้าตามันสิคะ



เมื่อเราดำลงไป เหมือนตาขาวๆ ของมันจะจ้องมองเราอยู่ ยิ่งถ้าพวกมันอยู่ตื้น และหนาแน่นดูเป็นฝูง ยิ่งเป็นการเผชิญหน้าอันน่าหวาดกลัว ต้องพยายามเก็บแข้งขาตัวเองให้ปลอดภัย บริเวณไหนหอยเม่นอยู่ตื้น และไกด์ส่งเสียงเตือน พวกเราจะทะยานเกาะห่วงเหยียดขาลอยตัวให้ไกด์ลากไป ไม่มีใครอยากอวดดีล่องลอยไปด้วยตัวเอง เพราะต่างก็กลัวเหมือนๆ กัน และเจ้าหอยเม่นพวกนี้แหละทำให้การดำน้ำ ของเราบางจุด ใช้เวลาสั้นอย่างเหลือเชื่อ

มีอยู่จุดหนึ่ง เราลำบากตั้งแต่ลงจากเรือ เพราะต้องพับขาตั้งแต่เท้ายังไม่ทันหลุดจากบันไดเรือ ก้มหน้าลงน้ำไปทำเอาใจหาย เพราะหอยเม่นอยู่กันตื้นมากๆ มองทีไรเหมือนมันจ้องพวกเราอยู่ตาเป็นมัน เอ .. เอาไงวะ มันจะพุ่งโดดเข้ามารุมแทงพวกเราหรือเปล่า ( ดูหนังฮอลลีวู้ดเยอะ เลยจินตนาการสูง) ปะการัง ณ จุดดำน้ำที่นั่นเป็นปะการังสีสวย ปลาสวย แสงแดดแรงจ้ากำลังเอื้ออำนวยต่อการท่องสำรวจโลกใต้น้ำ แต่ว่าเจ้าหอยเม่นมันช่างน่ากลัวเสียนี่กระไร พวกเราจึงหมดความพิศมัยในปะการังและฝูงปลา ทยอยกันตะกายเข้าหาเรือแบบไม่ถนอมน้ำใจไกด์กันเลยสักนิด

อีกครั้งนึงยิ่งกว่านั้น การจอดเรือค่อนข้างยาก เพราะกระแสน้ำแรง คนขับเรือ เดวี โจนส์ของเรา กับคุณไกด์ กัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ ผนึกกำลังความร่วมมือกันในการจอด คุณไกด์โดดไปผูกเชือกโยงไว้กับเรืออีกลำที่พานักท่องเที่ยวมาชมปะการังจุดนั้นด้วยเช่นกัน เพื่อให้นักท่องเทียวทุกคนปลอดภัย การผูกเชือก โยงออกไปจากลำเรือ หรือการดูแลให้นักท่องเที่ยวจับยึดเชือกทุ่นซึ่งจัดไว้อยู่แล้วตามร่องน้ำที่เป็นจุดชมปะการัง เป็นเรื่องที่ไกด์ทุกคนค่อนข้างใส่ใจ



กว่าจะผูกเรือ ผูกเชือกโยนห่วงยางนำทางไป ใช้เวลานานพอสมควร และจุดนั้นเป็นแนวปะการังหลากสีด้วยเช่นกัน และแนวผา หรือโขดหินใต้น้ำก็สวยงาม แต่เพราะมันตื้นมาก เรามองเห็นหอยเม่นใกล้ตัวมากๆ ด้วยเช่นกัน อาการหวาดระแวงเริ่มมา ถ้ามันใกล้ระดับนั้น แค่หอยเม่นก็เหลือทนแล้ว แต่การที่สายตาเหลือบไปเห็นตัวอะไรยาวๆ ดูคล้ายจะหยุ่นๆ เคลื่อนไหวส่วนหัวอยู่ ประเด็นคือ มันอยู่เรี่ยๆ ใกล้หน้าท้องที่เราเหยียดตัวยาว เอาขาหลบหอยเม่นอยู่นั่นเอง โผล่หน้าพรวดพ้นน้ำ ภาพลักษณ์ขาลุยประจำคณะหายเรียบ ความตกใจและความกลัวที่มีต่อทากและปลิงทะเล ทำให้โดดขึ้นไปเกาะไหล่เพื่อนและแทบจะขี่หลังซ้อนกันอยู่ตรงนั้น เกิดความวี๊ดว๊ายวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย เพราะข้างล่างมีหอยเม่น พอโดดใส่กันด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอด น้ำหนักโถมกัน แข้งขาก็หย่อนลงไปใกล้พวกมันมากขึ้น

เพื่อความปลอยภัยระดับสูงสุด คว้าเชือกได้หมับสาวกลับทันที ถึงจะไม่เก่งเรื่องว่ายน้ำ แต่วิชาลูกเสือสามัญว่าด้วยการไต่เชือกนั้น สามารถอยู่ค่ะ

พอตัวเองมาถึงเรือได้ คุณไกด์บอกกับพวกที่เหลือว่า ถ้าใครจะกลับก่อนให้จับเชื่อกเส้นนี้ไปนะ

เท่านั้นแหละ คนที่เหลืออยู่ทั้งหมดพร้อมใจกันสละไกด์ พลิกตัวจับเชือกอีกเส้นและสาว พรึ่ดๆ ๆ ๆ กลับมาที่เรือ อย่างไม่คิดชีวิต เพราะหอยเม่นตรงนั้นมันตื้นชวนหวาดผวาจริงๆ

คุณไกด์ที่ดำอยู่โผล่หน้าขึ้นมาจากน้ำ ปรากฏว่าลูกทัวร์หาย มองตามหลังชาวคณะที่กำลังสาวเชือกกลับไปด้วยอาการพูดไม่ออกเล็กน้อย (อาจจะคิดอยู่ในใจ ตูอุตส่าห์ผูกเชือกแทบตาย ลงมากันยังไม่ถึงห้านาทีเลย) หยวนๆ น่าพี่ เพราะไม่มีใครอยากเจ็บตัวขณะมาเที่ยวหรอก เจ็บแล้วมันไม่คุ้ม



ในเมื่อให้หอยเม่นรับบทปิศาจร้ายแห่งดงปะการังไปแล้ว จะไม่พูดถึงตัวเอกได้อย่างไร ที่ใครๆ พูดกันอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการไปหลีเป๊ะ คือไปดู "นีโม่" เป็นดาวเด่นแห่งท้องทะเลที่น่ารักจริงๆ เพราะมันตัวเล็กสีสวยน่าทนุถนอม และอยู่กันสองสามตัวตามพุ่มดอกไม้ทะเล ดูเหมือนกับเป็นครอบครัว

แต่ที่ทำให้ซาบซึ้งกับความสวยงามและคำว่า "มหัศจรรย์โลกใต้น้ำ" คือฝูงมหึมาของปลาตัวเล็กๆ ที่ประมาณจำนวนไม่ได้ และเรากำลังมองเห็นอยู่ตรงหน้า ด้วยสายตาของเราเอง ไม่ใช่ในทีวี มันเป็นภาพวิเศษสุดของชีวิตชั่วขณะหนึ่งที่เราได้พบเห็นจริงๆ





สีของน้ำทะเลและท้องฟ้าที่สดใสงดงาม


ตระเวนทะเลไปตามหมู่เกาะต่างๆ และถ้าจำไม่ผิดทั้งหมดที่เราลงดำน้ำมี 12 จุด แต่เพื่อนบางคนลงน้ำสนุกแค่วันเดียว วันที่สองไม่สู้เพราะผิวเริ่มเกรียม บางคน ลงๆ หลับๆ หลับบนเรือบ้าง นอนกับผืนทรายบนชายหาดบ้าง บางคนใจสู้แต่เมาเรือเสียจังหวะต้องหยุดพักไปบางจุด คนเดียวที่ลงน้ำทั้งหมดทุกจุดที่เรือจอด ก็คือตัวเอง ด้วยความอึด และ ว่างจัด

พูดถึงแนวปะการัง คุณไกด์บอกเล่าว่า หลีเป๊ะมีชื่อเสียงในเรื่องนี้ เพราะขณะที่ท้องทะเลบางแห่ง จุดดำน้ำชมปะการังจะคล้ายคลึงกันเพราะเป็นแหล่งปะการังพันธุ์เดียวกันที่แพร่ขยายยึดครองพื้นทะเลแถบนั้น แต่ในหมู่เกาะของ จ. สตูล ปะการังแต่ละจุด จะไม่เหมือนกัน บางจุดเป็นพันธุ์เขากวาง บางจุดเป็นพันธุ์ผักกาด และบางจุดก็เป็นศูนย์รวมพันธุ์ปะการังหลากสีที่สวยงามมาก และเมื่อมาหลีเป๊ะ ย่อมมีโอกาสได้วนเวียนชมดูทุกจุดในหมู่เกาะใกล้เคียง

มาถึงเกาะที่อยู่ไม่ไกลจากเกาะหลีเป๊ะเป็นแห่งสุดท้ายของทริป ชื่อเกาะอาดัง อยู่กันคนละฝั่งและมองเห็นกันอยู่ในระยะสายตา บนเกาะมีกล้องส่องทางไกล สามารถใช้ส่องข้ามมายังหลีเป๊ะ และมองเห็นบ้านพักของตัวเองใกล้ๆ เหมือนมันอยู่ตรงหน้า เห็นน้องหมาพากันเดินเล่นบนชายหาดอีกด้วย




บนเกาะอาดัง บริเวณเหนือชายหาดเป็นป่าสน
ดงสนสูงเป็นบรรยากาศที่สวยไปอีกแบบ







ไปแอบถ่ายเตนท์ของชาวบ้านมา เห็นแล้วนึกอยากปีนขึ้นภูเขา
ไปนอนกางเตนท์ในบรรยากาศหน้าหนาวอีกแล้ว




บนเกาะเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอาดัง มีบ้านพักของกรมฯ สำหรับบริการนักท่องเที่ยว มีร้านอาหารและร้านขายของที่ลึก และมีจุดชมวิวสำคัญที่เรียกว่า "ผาชะโด" อยากขึ้นไปเหมือนกัน เพราะไหนๆ ก็มาแล้ว แต่เราดำน้ำกันมาทั้งวัน เพื่อนๆ เหนื่อยล้า และขอรออยู่ข้างล่างเสียส่วนใหญ่
จึงสรุปโดยการไม่ไปกันทั้งคณะ



เกาะที่เห็นอยู่ตรงข้ามคือเกาะหลีเป๊ะ






กลับมายังที่พัก และสัมผัสกับบรรยากาศสงบยามเย็น






ปาปารัซซีมาแล้ว ทำเป็นยกกล้องส่องโน่นส่องนี่ แล้วก็แอบถ่ายชาวบ้าน (มุมเข้าตาพอดี)




ดวงตะวันถูกเมฆบดบัง ระหว่างที่กำลังตกขอบฟ้าลงไป





ทิ้งร่องรอยตามหลังด้วยเฉดสีแสนสวยบนขอบฟ้า
ก่อนจะหายไปเพราะค่ำคืนมาเยือน






มื้อเย็นที่รอคอยอีกมื้อหนึ่ง


หลังจากนั้น พวกเราไปเดินย่อยที่ถนนคนเดินที่หลีเป๊ะฝั่งชายหาดที่เรียกว่า "หาดพัทยา" อีกครั้ง เพราะคิดไปคิดมา เพื่อไม่ให้ใครน้อยใจได้ สุดท้ายจึงสรุปจัดหา "ของฝาก" ให้คนทั้งแผนก จนต้องไปอุดหนุนของที่ระลึกเพิ่มเติม ..ที่ร้านเดิม กว้านซื้อกันเพียบจนกระเป๋าแฟ่บ

นั่งเขียนทรายเล่นกันอยู่ตรงริมหาดพัทยาครู่ใหญ่ และกลับมาซ้ำรสชาดอาหารว่างมื้อดึกกันอีกครั้งที่ร้านนุชโรตีผลไม้

เดินเลาะหาดกลับมายังชายฝั่งชาวเล

พรายน้ำผุดแล้ว

แพลงตอนเรืองแสบกระพริบ อยู่ตามริมหาดที่ปลายคลื่นซัดมา เมื่อหายตื่นเต้นกับพรายน้ำ เพื่อนๆ ก็สนุกสนานอยู่กับการใช้ไฟฉายเล่นไฟถ่ายรูป พยายามจะเขียนและใช้โหมดพิเศษของกล้องบางอย่างถ่ายให้ติดเป็นรูปแสงหรือเป็นตัวหนังสือจากการเคลื่อนไหวของแสงจากกระบอกไฟฉาย

ส่วนเรากับเพื่อนอีกคน นั่งเล่นอยู่ริมหาด (เป็นพวกไร้อารมณ์โรแมนติกที่ไม่นิยมเล่นไฟฉาย และไม่ฝักใฝ่การกระโดดสูงเพื่อถ่ายรูปในคอนเซ็ปต์เริงร่า) นั่งรอคอยให้เพื่อนๆ หมดสนุกและกลับไปนอน แต่พอคุณไกด์มานั่งด้วย (คุณไกด์คงไม่เล่นไฟฉายเหมือนกัน) จึงมีโอกาสซักถามโน่นนี่ไปเรื่อย พอเริ่มคุยจุ๊กจิ๊ก ก็กลายเป็นคุยจริงจัง ขุดคุ้ยเอาประวัติเก่าแก่ตั้งแต่แรกเริ่มเป็นมาของเกาะ การตั้งรกรากของคนพื้นเมืองดั้งเดิมบนเกาะหลีเป๊ะ ซึ่งเริ่มต้นใช้นามสกุล "หาญทะเล" สืบต่อลูกหลานกันมาบนเกาะแห่งนี้ เล่าไปถึงซากตอสะพานที่เห็นผุดอยู่ริมน้ำที่เคยเป็นสะพานใช้รับเสด็จสมเด็จย่า ประวัติศาสตร์สมัยเก่าก่อนที่หลีเป๊ะเกือบจะตกเป็นของมาเลเซีย ร่ายไปถึงพื้นที่เกาะดั้งเดิม ฝูงปลา แนวปะการัง และจรเข้น้ำเค็ม รวมถึงพวกฉลาม ...คุณไกด์บอกว่า จรเข้น้ำเค็มสูญพันธ์ไปแล้ว (ควรจะดีใจหรือเสียใจดี ? ) ส่วนฉลามมีอยู่บ้าง แต่มีน้อยมาก

และวันนี้ในการดำน้ำคุณไกด์แอบเห็นฉลามขาวอยู่ตัวนึง แต่ไม่ได้บอกลูกทัวร์เพราะกลัวจะตกใจกัน ถึงพวกเราจะยืนยันว่าควรบอกเพราะพวกเราก็อยากจะเห็น (จะได้ไม่ต้องถ่อไปไกลถึง เกาะสุรินทร์ ดินแดนแห่งฉลามขาว) และคุณไกด์ก็อธิบายอยู่เองว่า ฉลามขาวไม่ดุร้าย (จริงเหรอ ? ไม่ค่อยจะเชื่อถือสักเท่าไร) มันจะว่ายหนีไปเพราะไม่ชอบสุงสิงกับคน (อ้อ มันเป็นปลารักสันติ) เว้นเสียแต่ว่า มันได้กลิ่นคาวเลือด .. นั่นน่ากลัวนะ เกิดว่าตอนที่มันมา หอยเม่นดันทะลึ่งตำเท้าเข้าพอดี จินตนาการถึงความซวยระดับนั้นแล้วให้นึกสยอง

แต่ก็นั่นแหละถ้าไกด์ชี้ให้ดูตอนนั้นจริงๆ "เฮ้! ทุกคนดู นั่นฉลาม"
เชื่อว่าทุกคนคงแตกตื่นทะเลแตกเป็นแน่
คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นและคอยเกาะห่วงให้ไกด์ลากไปอยู่ตลอดเวลา
อาจจะว่ายเป็นขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณอัตโนมัติ!

คุณไกด์ร่ายยาวไปถึงสมัยเก่าก่อนเมื่อเกาะตะรุเตาถูกใช้เป็นที่คุมขังนักโทษ การถูกละทิ้งและความอดหยากที่ทำให้ผู้คุมและนักโทษรวมตัวกันออกปล้นสะดมและกลายเป็นโจรสลัด ชาวลังกาวีที่ต้องใช้เส้นทางผ่านในการเดินเรือขนสินค้าประสบกับความเดือดร้อน จึงร้องขอให้ทางอังกฤษ (ลังกาวีเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษขณะนั้น) ส่งกำลังมาปราบปราม

เห็นมั้ยละคะ ว่าคุยจริงจังมาก เพื่อนๆ เลิกเล่นไฟฉาย ตามมาสมทบนั่งฟังด้วยและแซวว่าเหมือนกำลังนั่งฟังเลคเชอร์อยู่ในห้องเรียน (นอกจากไม่โรแมนติกแล้วยังคงแก่เรียนอีกต่างหาก) พวกเรานั่งรับลมริมหาด คุยกับไกด์กันอยู่จนดึกก่อนจะกลับไปนอน

พรุ่งนี้ขากลับเรือจะออกตอนเที่ยง คุณไกด์ยังมีภารกิจพาสาวๆ ครึ่งหนึ่งไปเดินเที่ยวที่ชายหาดฝั่งพัทยาอีกครั้ง เพราะสาวๆ อยากจะเห็นตามคำร่ำลือที่ว่าชายหาดด้านนั้นเป็นเนื้อทรายขาวนวลละเอียดสวยงามมาก พวกเราเคยเดินไปแต่ตอนกลางคืนจึงไม่เห็นความขาวนวลละเอียดที่ว่า

ส่วนตัวเองขอบาย เพราะอยากนอนสบายและตื่นสายสักวัน

*****

หนึ่งในความประทับใจสำหรับทริปนี้ นอกจากความสวยงามของท้องทะเลแล้ว คงหนีไม่พ้นคุณไกด์ แจ็ค สแปร์โรว์ หรือ "พี่บี" คนที่ขอถือวิสาสะโพตส์รูปตามที่เห็นในภาพนี้


คุณไกด์ กำลังชี้ให้พวกเราดู "ร่องน้ำจาบัง" แนวปะการังที่โด่งดังของหมู่เกาะใน จ.สตูล


พวกเราโชคดีมาก เพราะเรามีไกด์ที่เป็นสุดยอดซุปเปอร์ไกด์ เมื่อก่อนเคยนึกใฝ่ฝันอยากทำอาชีพนี้อยู่เหมือนกัน เพราะการเป็นไกด์ เป็นผู้นำทาง เป็นคนแนะนำดูแลคนอื่น จะให้ดูอย่างไรก็เท่ห์ แต่พี่บีทำให้การเป็นไกด์ในใจเสียภาพ และหายขาดจากอาการอยากเป็นไกด์เรียกได้ว่าคงจะไม่อาลัยไยดีอีกต่อไป "หายเป็นปลิดทิ้ง" ทำไมน่ะเหรอ?

เพราะพี่บีทำให้เห็นเป็นประจักษ์แก่สายตาว่า การเป็นไกด์มันไม่ง่าย และมันเป็นงานบริการที่เหน็ดเหนื่อย ความจริงขึ้นชื่อว่างานแล้วมันก็เหนื่อยด้วยกันทุกอย่าง ถ้างั้นขอเปลี่ยนคำพูดใหม่ งานไกด์แบบที่เห็นพี่บีทำน่ะ สำหรับตัวเองแล้ว ถ้าต้องไปทำงานแบบนั้น คงจะเรียกได้ว่า "เหนื่อยสาหัส" และถ้าจะเป็นไกด์ คงต้องเป็นให้ได้ดีแบบที่พี่บีเป็น ซึ่งดูแล้ว ความสามารถไม่ถึง ฉะนั้น จงรักงานที่ตัวเองทำอยู่น่ะ ดีที่สุดแล้ว

พี่บีคล่องแคล่วว่องไวมาก และทำงานทุกอย่างตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ กระเป๋าสัมภาระใดๆ นับจากเดินทางไปถึงท่าเรือ พวกเราแทบไม่เคยได้หิ้วเลย น้ำ อาหารการกิน เครื่องใช้ ตอนออกล่องเรือชมปะการัง ส่วนใหญ่จะเดินตัวเปล่าถือแค่สน็อกเกิ้ลกับเสื้อชูชีพของตัวเอง นอกนั้นพี่บีจัดการขนเองหมดทุกสิ่งอย่าง ไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือ ความจริงพวกเราก็พยายามจะช่วยนะ แต่ส่วนใหญ่พี่บีทำเสร็จไปแล้ว ( ไวจริงๆ ) ดูเหมือนพี่บีไม่อยากให้พวกเรายุ่งกับเรื่องพวกนี้ แค่พาตัวเองไปไหนมาไหนให้ไวฉับๆ ทันพี่บี (อย่านวยนาด) ก็โอเคแล้ว


ดำน้ำเก่ง และว่ายน้ำอึดมากๆ พี่บีจะสวมชุดกบแค่ครึ่งตัว ผูกส่วนที่เป็นตัวเสื้อผูกเอวไว้ ว่ายน้ำ ลากห่วงที่คนว่ายน้ำไม่เป็นใช้ยึดเกาะให้ไกด์ลากไป และคนว่ายเป็นก็ชอบเกาะด้วย เพราะผลัดกันเกาะห่วงไปกับไกด์สบายกว่า เจอปลาหรือปะการังพืชพันธุ์แปลกไกด์จะแนะนำ และชี้ให้ดู ได้ความรู้อีกต่างหาก ยกเว้นตอนที่ไกด์หยิบก้อนดำๆ ขึ้นมา เพราะไม่รู้ว่าลูกทัวร์คนหนึ่งกลัวปลิงทะเล

วงแตกสิคะ



พี่บีทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคนขับเรือ ในการจอดเรือทุกครั้ง ตรงไหนน้ำแรงจะว่ายพรวดๆ (ว่ายน้ำได้เร็วมาก) ลากเชือกไปผูกโขดหิน และระมัดระวังความปลอดภัยของลูกทัวร์เป็นอย่างดี ใครลงน้ำมาแล้วเบื่อ หากเป็นบริเวณน้ำแรง ถึงจะเป็นคนว่ายน้ำแข็งก็ไม่ปล่อยให้ว่ายน้ำกลับเอง แต่จะว่ายนำทางกลับไปส่ง คอยเตือนเรื่องหอยเม่น และกระแสน้ำ เตือนให้ทุกคนจับเชือกทุ่นตามแนวชมปะการังอยู่เสมอ พาลูกทัวร์ดำน้ำเสร็จจัดการแก้เชือกโยงเรือต่างๆ เสร็จ ขึ้นเรือมาปุ๊บ จัดเตรียมน้ำดื่มปั๊บ เฉาะผลไม้แจกจ่ายขนม ฯลฯ ถึงบอกว่าพี่เขาทำทุกอย่างจริงๆ ชนิดถ้าเป็นแม่บ้านคงไม่น้อยหน้าผู้หญิงคนไหน

พวกเราโชคดีอีกอย่างคือ ลูกทัวร์อีกกลุ่มยกเลิก ดังนั้นกลุ่มที่พี่บีดูแลจึงมีแค่พวกเราเจ็ดคน ไม่มีกลุ่มอื่นปน ทุกอย่างเลยง่ายไปหมด พวกเราอยากจะตื่นสาย อยากใช้เวลากับการกินอาหารนานๆ ไปดำน้ำอยากหยุดพักขึ้นฝั่งเราก็ขึ้น อยากอยู่นาน อยู่แป๊บเดียว สบายๆ ตามใจฉัน นี่ถ้าหากมีลูกทัวร์อีกกลุ่มมาด้วย พวกเราคงไม่สะดวกสบายที่จะทำตามใจพวกเราเองอย่างนั้น ทุกอย่างคงต้องตามตารางเวลา

พี่บีเป็นเหมือนคนเก่าคนแก่ เพราะทำงานเป็นไกด์ในถิ่นหลีเป๊ะมากว่า 12 ปี ขึ้นหาดที่ไหนก็เจอแต่เพื่อนไกด์ แม้แต่ในยามแล่นเรือ หรือจอดเรือกลางทะเล ไกด์เรืออื่นๆ จะส่งเสียงทักทายเหมือนรู้จักกันไปหมด เพื่อนไกด์ของพี่บีคนหนึ่ง ทำระบำใต้น้ำ เป็น water boy ให้พวกเราดูด้วย (ฮามาก) ถ้าเป็นบนฝั่งเดินไปย่านไหนก็มีแต่คนทักทาย (ชวนไปก๊งเหล้าอีกต่างหาก)

ความจริงแล้ว หากลูกทัวร์ขี้เกียจจะเอาแต่นอน ไกด์ย่อมสบายด้วย เพราะไม่ต้องเหนื่อย เพื่อนคุยบนฝั่งมีเยอะแยะ แต่พี่บีไม่ฉวยโอกาสนี้ และไม่ปล่อยให้พวกเราเอาแต่สบายจนเกินไป เพราะถ้าเป็นแบบนั้นคงไม่ได้เห็นอะไรๆ มากนัก จะคอยกระตุ้น หว่านล้อมพวกเราให้เดินหน้าไปยังจุดชมปะการังตามจุดต่างๆ เสมอ (ไหนๆ ก็มากันไกล ถ้ามัวแต่นอนมันคงไม่คุ้ม)

มี service mind สูง และใส่ใจดูแลในความปลอดภัยของลูกทัวร์มาก อีกอย่างหนึ่งที่สัมผัสได้จากการบอกเล่าเรื่องต่างๆ ของพี่บี ซึ่งแสดงแนวคิด มุมมองที่ห่วงใยและใส่ใจกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว การทำธุรกิจรีสอร์ทหรือบริษัททัวร์ ตลอดจนวิวัฒนาการของธรรมชาติ เผยให้เห็นว่าเจอเข้ากับนักอนุรักษ์ตัวจริงเสียงจริงเข้าแล้ว ( ถึงบอกว่าเป็นไกด์ที่ดีมากไง )

และพวกเรารู้สึกขอบคุณพี่จริงๆ ที่ทำให้ทริปนี้สนุกมาก






ถ้าอยากไปหลีเป๊ะ อย่าลืมพิจารณาบริษัททัวร์ที่ชื่อว่า "รักษ์อันดามัน" นะคะ
และถ้าคุณได้ไกด์ชื่อพี่บีคนนี้ ขอบอกว่าคุณดวงดีแล้ว



อำลาเมาท์เทนรีสอร์ทสุดน่ารัก และอำลาหลีเป๊ะแสนงาม
ที่ขอยกให้เป็นเป็นดินแดนมหัศจรรย์โลกใต้น้ำ
และเป็น "สุดยอดทะเลไทย"



หมายเหตุ : ภาพหอยเม่นและปลานีโม่ นำมาจากอินเทอร์เน็ต



Create Date : 23 พฤษภาคม 2553
Last Update : 5 สิงหาคม 2553 21:14:52 น. 10 comments
Counter : 6538 Pageviews.

 
เห็นทะเลแล้วอยากไปค่ะ

น้ำใสบรรยากาศดีจังเลย


โดย: KOPI & CHAYEN วันที่: 23 พฤษภาคม 2553 เวลา:12:23:23 น.  

 
สวยจังเลยค่ะ
อยากไปหลีเป๊ะสักครั้งในชีวิตนี้


โดย: Rogina วันที่: 23 พฤษภาคม 2553 เวลา:12:54:22 น.  

 
สวยจริงนะเมืองไทย
อยากไปบ้างจัง
คงเก็บตังค์ กันอีกนาน ..... ;p


โดย: Noolee IP: 125.26.96.146 วันที่: 23 พฤษภาคม 2553 เวลา:14:05:33 น.  

 
ไม่อยากพูดอะไรมากครับ แค่อยากบอกแค่ว่า ....อิจฉาอ่ะ


โดย: นายหัวเด่น วันที่: 23 พฤษภาคม 2553 เวลา:14:34:41 น.  

 
หลีเป๊ะ...เป๊ะโดนใจมาก ฟ้าสวยน้ำใส อยากลงทะเลใต้อีกรอบ คราวที่แล้วไปกระบี่ยังติดใจไม่หาย


โดย: แมวน้ำตาหวาน วันที่: 23 พฤษภาคม 2553 เวลา:14:52:48 น.  

 
ชื่อเกาะน่ารักดี ...อยากมีโอกาสไปซักครั้ง


โดย: Chic_Angel วันที่: 23 พฤษภาคม 2553 เวลา:15:43:21 น.  

 
สวยมาก อยากไปทะเลจังค่ะ


โดย: ด.ญ คณิตกร วันที่: 23 พฤษภาคม 2553 เวลา:17:00:56 น.  

 
ท่านprysang เป็นไกด์นำเที่ยว
ดูจะชื่นชอบการเที่ยวทะเล
อย่างยิ่ง สวยใสทะเลจ้ามากๆเลย


โดย: Mr.Chanpanakrit วันที่: 24 พฤษภาคม 2553 เวลา:22:13:29 น.  

 
แล้วปีนี้มีทริปเที่ยวทะเลพ่วงไปด้วยรึยังคะ :)
มีคนว่ากันว่าคนเราเวลาที่ไปทะเลจะมีอยู่สองอย่าง หนึ่งคือไปเพื่อมีความสุขและสองคือไปเพื่อปลดปล่อยความทุกข์:)
น้ำทะเลสีสวยๆ ตัดกับท้องฟ้าสีครามและเมฆขาวๆ บนท้องฟ้าที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตานั้น... ลมพัดเย็นๆปะทะหน้า
เสียงคลื่นเป็นเมโลดี้ ไม่กี่จังหวะ
มันมีอิทธิพลต่อความคิดและสภาพอารมณ์ของคนเราได้เป็นอย่างดีเลยนะคะ ครั้งล่าสุดที่ไปเที่ยวแบบแพคกิ้งกับเพื่อนๆแบบนี้ ก็หลายปีมาแล้ว ตอนนี้ก็ให้นึกอยากจะไปหามันอีก สำหรับโนบุตะแล้ว ชอบทะเลฝั่งอันดามันมากกว่าฝั่งอ่าวไทยค่ะ คิดว่าน้ำทะเลมันสีสวยกว่า(นิดหน่อย:) ซึ่งอันที่จริงก็คงเป็นเพียงแค่จินตนาการส่วนตัวแค่นั้นเองมากกว่านะคะ :)
ความเป็นผู้หญิง บางทีพอเวลาที่เราฮึดนึกอยากจะมาแบกเป้เที่ยวคนเดียวบ้าง ก็ให้รู้สึกเขินๆนะคะ คือ อารมณ์ไปนั่งริมทะเลคนเดียว ผู้หญิงมาทะเลตัวคนเดียว มาทะเลแล้วไม่เล่นน้ำทะเล(ว่ายน้ำไม่เป็นค่ะ) มานอนอ่านแต่หนังสือเนี้ยนะ ก็ยังเขินๆคนอื่นอยู่น่ะ แต่ว่านะคะ ก็ไม่แน่หรอก ถ้าความต้องการมันมีมากกว่า :)


โดย: nobuta wo produce วันที่: 18 มกราคม 2555 เวลา:17:00:51 น.  

 
ทะเลที่ประทับใจคือ
หมูเกาะลันตา จ.กระบี่ค่ะ
น้ำทะเลสวยมาก ถ้าปีนี้คุณ prysang มีเพลนจะไปเที่ยวแล้วล่ะก้อ ฝากไว้ในอ้อมใจด้วยแล้วกันนะคะ
น้ำทะเลสวยมาก คนก็ไม่ค่อยเยอะ ชาวบ้านในพื้นที่ก็จิตใจดี(มีคนมุสลิมด้วยเกือบครึ่งน่ะค่ะแต่ทุกคน nice มาก:) ส่วนมากจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวแบบเป็นทริป แล้วเค้าก็จะไปแอดแวนเจอร์เล่นโน่นเล่นนี่ตามโปรแกรมทัวร์ของทริปน่ะค่ะ เลยไม่ค่อยมีใครที่จะมาเดินแย่งพื้นที่ชิลล์ๆของเราริมทะเลมากเท่าไหร่ ตอนนั้นโนบุตะไปแบบเป็นคนในพื้นที่ เพราะมีเพื่อนอยู่ที่นั่นและบ้านที่เราไปพักก็เป็นรีสอร์ทเล็กๆของเพื่อนของเพื่อน(อีกที)น่ะค่ะ เลยช่วย save เงินในกระเป๋าไปได้มาก
แต่นั่นมันผ่านมาเกือบจะห้าปีแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน


โดย: nobuta wo produce วันที่: 18 มกราคม 2555 เวลา:17:08:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

prysang
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.