Group Blog
 
All blogs
 
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนย - รักลึกล้ำวาสนาตื้นเขิน


ความจริง วาสนาในอดีตระหว่างเรา 

ก็แค่ว่า .. ข้าเคยรักท่านถึงเพียงนั้นเท่านั้น

เปิดหน้าแรกมา ก็พบกับถ้อยคำที่ราวกับจะบาดอารมณ์ให้เจ็บหัวใจ แต่ก่อนจะว่ากันถึงอารมณ์นั้น ก่อนอื่นคงต้องเอ่ยถึงประเด็นราคาหนังสือที่ 'แพงจุงเบย'  Smiley กันก่อนนะคะ คงคิดเห็นไม่ต่างจากใครหลายคนว่าหนังสือแพง  แต่ก็เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง คือแอนตี้ราคาหนังสือจริงๆ  (พับผ่าสิ) แต่ก็รักฝีมือแปลของคุณหลินโหม่วจริงๆ (ให้ดิ้นตาย) สุดท้ายก็ตบะแตก   ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าจะสมเหตุสมผลรึเปล่า ..แต่ก็ยังหน้ามืด ..  กัดฟัน  จ่ายไปด้วยความรู้สึกผิดอึมครึมอยู่ในใจ จนกระทั่งได้รับหนังสือมา หนังสือสวยดี และข้างในมีรายละเอียดที่ทำอย่างค่อนข้างพิถีพิถัน ( ดูอธิบายเพิ่มเติมท้ายบล็อกนะคะ) .. แม้ความคิดว่าหนังสือแพงจะไม่ได้เปลี่ยนไป แต่เมื่อเนื้อเรื่องสนุก อ่านแล้วชอบ  ถูกใจ ไม่ผิดหวัง ที่อึมครึมก็ปลอดโปร่งให้อภัยตัวเองได้ Smiley ทั้งที่เคยคิดว่าอ่านแล้วจะขาย ก็เปลี่ยนใจไม่ขาย เพราะอยากจะเก็บนิยายเรื่องนี้ไว้ประดับตู้หนังสือด้วยความชอบตามประการฉะนี้ 


๑. พลอตเรื่องโปรด  "รักเขาข้างเดียว" ที่พอจะทราบแนวเลาๆ มาแล้วจาก สามชาติสามภพป่าท้อสิบหลี่ เมื่อ เฟิ่งจิ่ว ลานสาวของนางเอกป๋ายเฉี่ยน  ได้แอบหลงรักมหาเทพตงหัวอยู่ข้างเดียวมาชั่วกาลนาน แม้ความรักข้างเดียวนั้นจะมีบทบาทอยู่ในเรื่องเพียงคร่าวๆ แต่ก็ได้จุดความสนใจคาไว้ในใจ เพราะชอบแนวนี้เป็นทุนอยู่แล้ว

".. กาลก่อนถ้อยคำมากมายนางกล่าวอย่างสวยหรู  แต่ได้นิยามอดีตที่มีกับตงหัวว่าห้ามพูด
    ในใจต่อต้านการคิดถึงอดีต ความจริงแล้วนี่คือการคิดไม่ตก
 .. ตัดใจไม่ลง .. ลืมเลือนไม่ได้ชนิดหนึ่ง"

' . นางได้มองออกอย่างทะลุปรุโปร่งตั้งแต่เมื่อสามร้อยกว่าปีก่อนตอนที่ลาจากสวรรค์เก้าชัั้นฟ้า 
 แต่การรู้คือเรื่องหนึ่ง การทำเป็นอีกเรื่อง หลายปีมานี้บางทีนางอาจจะแค่กำลังพยายาม
 ทำให้ตัวเองทำได้ดีขึ้นสักหน่อย ..ทำได้ดีขึ้นอีกสักหน่อยเท่านั้น '

"... ข้าบอกตัวเองว่า เป็นเพราะข้ากับเขาไร้วาสนาต่อกัน ความจริงแล้วเวลานั้นข้ามิได้เชื่อจริงๆ ดอก ข้าเห็นว่าข้าพยายามถึงเพียงนี้ สวรรค์ต้องถูกข้าทำให้ตื้นตันเช่นกัน ครั้งนี้ข้าค่อยเชื่ออย่างแท้จริง ......กาลก่อนข้าไม่เชื่อว่าข้ากับเขาไร้วาสนาต่อกัน คงเป็นเพราะยังผิดหวังได้ไม่ถึงแก่นพอกระมัง"

"ข้ารู้สึกว่าข้าน่าจะเฝ้ารอท่านอยู่ตลอด  ความจริงในใจข้าทราบดีว่าท่านไม่มีทางมา .."

"ถึงแม้ท่านมาแล้ว แต่ข้าทราบดีว่าประเดี๋ยวท่านก็จะไป  
ข้าจำได้ว่าดูเหมือนข้ามักจะกำลังมองดูเงาหลังของท่านเสมอ ..."


"ความยึดติดสองพันกว่าปี  ท่านปล่อยวางได้จริงหรือ" 


เฟิ่งจิ่ว หลานสาวเพียงหนึ่งเดียวของมหาเทพป๋ายจื่อ นางเป็นเทพเซียนพันธุ์ผสมจิ้งจอกแดง-จิ้งจอกขาวที่ว่าหายากแล้ว ยังออกมาเป็นจิ้งจอกแดงเก้าหางเพียงหนึ่งเดียวที่งดงามยิ่งนัก ทั้งยังมีปานรูปกลีบดอกเฟิ่งอวี่อยู่กลางหน้าผากเป็นเอกลักษณ์ เมื่อครั้งเยาว์วัยก่อนจะได้รับสืบทอดตำแหน่งกษัตริย์ตรีแค้วนชิงชิวสืบต่อจากมหาเทพป๋ายจื่อที่ขอปลดเกษียณตัวเอง เฟิ่งจิ่วได้ตกหลุมรักมหาเทพตงหัว และก็หัวปักหัวปำอยู่อย่างนั้นมายาวนานสองพันกว่าปี เพียรทำสารพัดวิธีที่จะทำให้เทพท่านหันมามอง แต่สวรรค์จะเหลียวแลในความพยายามของนางสักนิดก็หามีไม่ หากจะนับว่ามีเมตตาอยู่สักน้อยก็คงเป็นเรื่องที่ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตนางได้อยู่ใกล้ชิดมหาเทพตงหัวในร่างของจิ้งจอกแดงภูติ นอกเหนือจากนั้น มีเพียงแต่ความทรงจำอันรันทด

เป็นความรักที่ซื่อสัตย์ภักดี ปักใจทุ่มเทหมดหัวใจ ความมุ่งมั่น เพียรพยายาม หนักแน่นมั่นคงยิ่งกว่าขุนเขา  แต่ .. ลิขิตสวรรค์ หากขีดเขียนไว้ว่าไร้วาสนา ผู้งมงายในรักอย่างเฟิ่งจิ่วจะฝืนชะตาฝ่าฟันเช่นไร ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ มุ่งมั่นเท่าไร ปักใจเท่าไร เพียรพยายามเท่าไร ย่อมต้องมีสักวันที่ถึงจุดยอมแพ้อย่างยอมรับความจริง  

ผ่านเวลาเยียวยารักษาแผลใจ ผ่านความกล้ำกลืนหักอกหักใจมากว่าสามร้อยปี ความเจ็บปวดของเฟิ่งจิ่วจึงค่อยๆ สงบลง  ปล่อยความรักให้โรยราและคิดว่าจะไม่เป็นไรอีกต่อไป นางหยุดแล้ว พอแล้ว ถึงภายหลังจำเป็นจะต้องพบปะมหาเทพตงหัวบ้างเป็นบางครั้งคราว ก็ไม่เคยคิดจะไล่คว้าหาความรักจากเขาเหมือนในอดีตกาล  แต่สำหรับองค์มหาเทพ ผู้ไม่เคยมีเฟิ่งจิ่วอยู่ในสายตาและการรับรู้มามาก่อน เพิ่งจะได้พบ รู้จัก จดจำกษัตริย์ตรีแห่งแคว้นชิงชิวได้ในช่วงเวลาต่อจากนี้  นางเป็นเทพธิดาสาวน้อย (สามหมื่นขวบ) ผู้เปี่ยมไปด้วยความร่าเริงทั้งยัง "ภูมิฐานมีสง่า สำรวมสงวนตน"  มีชีวิตชีวาเป็นความแปลกใหม่ที่องค์มหาเทพได้พบเจอ น่าสนุก น่าสนใจ จนกระทั่งความรู้สึกบางอย่างในหัวใจได้เริ่มก่อตัวขึ้น ความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนชั่วชีวิตนับจากถือกำเนิดในครั้งบรรพกาลนานเกินนับ

มหาเทพตงได้หันมามองเฟิ่งจิ่วแล้วในที่สุด แม้จะช้ากว่าความรู้สึกของเฟิ่งจิ่วไปสองพันกว่าปี ก็จะเป็นไรไป ในเมื่อใจตรงกัน ก็ควรจะชะเอิงเอย แฮปปี้เอนดิ้ง  มันควรจะเป็นเช่นนั้น แต่ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น ..

สำหรับเฟิ่งจิ่วที่หัวใจมีบาดแผล แม้ไม่ได้โกรธแค้น เพราะตระหนักรู้ดีแก่ใจว่ามหาเทพตงหัวไม่ได้มีความผิดอันใดต่อความช้ำชอกของนางเลยสักนิด เป็นเรื่องรักงมงายไร้วาสนาของนางเองจะโทษใครได้  แต่ก็เพราะเชื่อในความไร้วาสนา เฟิ่งจิ่วที่ได้ยอมรับว่ารักนี้สุดเอื้อมคว้า  นอกจากมหาเทพตงหัวจะสูงส่งเกินไป เขายังมีรักแท้รักเดียวปักใจอยู่แล้วกับนางในดวงใจ จีเหิง - น้องสาวของซวี่หยางราชามารชาด ที่เฟิ่งจิ่วเห็นว่าเป็นหญิงสาวผู้งดงามทั้งรูปโฉมและจิตใจ 

การอกหักรักคุดอย่างคนไม่เคยถูกรัก คงจะทำให้เฟิ่งจิ่วซึมทราบไปถึงจิตวิญญาณ ในยามที่ตนเป็นฝ่ายถูกรักใคร่เอ็นดูอย่างล้ำลึก จึงไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด  คล้ายกับว่า "รักข้างเดียว" ได้พลิกตลบกลับข้าง ยามที่เฟิ่งจิ่วทุ่มเทรักต่อมหาเทพตงหัว เขาไม่เคยรับรู้เลย  เช่นเดียวกันเมื่อมหาเทพตงหัวได้เกิดความรักต่อเฟิ่งจิ่ว ไม่ว่าเขาทำอะไรเพื่อนาง ก็ไม่อาจเป็นที่รับรู้ ไม่ว่าใครเป็นฝ่ายถูกรักจึงน่าหนื่อยใจแทนพอกันทั้งคู่  

  -- ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย -- Smiley

ระยะเวลาไม่อาจเป็นเกณฑ์ตัดสินว่าใครจะน่าเวทนากว่ากัน   ยามที่เฟิ่งจิ่วรักมหาเทพตงหัวอยู่ฝ่ายเดียว รักมาราธอนยาวนานกว่าสองพันปี  ที่นางได้ทุ่มเทพยายามถึงขั้นไร้ศักดิ์ศรีและตกต่ำถึงขีดสุด. . เขาไม่ได้รู้ตัว ไม่รู้ว่านางต้องผ่านความเจ็บปวดทั้งใจทั้งกาย แทบเอาชีวิตไม่รอด  ไม่รู้จักนางด้วยซ้ำไป  เขาไม่รู้อะไรเลย ..จึงปวดใจกับเฟิ่งจิ่วมาก

แต่ในยามที่องค์มหาเทพรักเฟิ่งจิ่ว ทั้งรู้จัก ทั้งใกล้ชิด ทั้งหวง ทั้งห่วงใย แต่ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ด้วยเรื่องราวจริงแท้เล่าลือปนเปและสถานการณ์อันซับซ้อน   ความรักที่เคยเกินกำลังจะไขว่คว้า กลับถูกมอบมาให้เฟิ่งจิ่วอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แค่นางยื่นมือออกไปรับก็ไว้จะสมหวังและมีความสุข แต่ที่นางไม่ได้ทำเช่นนั้น เป็นเพราะไม่อาจสัมผัสรับรู้ได้  เฟิ่งจิ่วมักคิดว่าตนเองนั้นเข้าใจโลก เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นดี ความจริงแล้วนางไม่ได้เข้าใจอะไรเลย (เฮ้อ Smiley) มหาเทพตงหัวจะต้องพยายามมากมายสักแค่ไหน .. จึงจะส่งผ่านความรักไปถึงหัวใจของเฟิ่งจิ่วได้ 

"ฝ่าบาทโปรดวางใจ ขอเพียงเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทประสงค์ เสี่ยวเซียนคิดว่า 
องค์มหาเทพต้องตามใจทุกประการแน่นอน แม้ต้องเอาชีวิตเข้าแลก.."
 เอ่ยถึงตรงนี้ ดวงตากลับแดงก่ำกะทันหัน กล่าวราวกับฝืนยันไว้ไม่อยู่ในที่สุด

"ฝ่าบาทยัจะให้องค์มหาเทพทรงทำอย่างไรอีก ? เสี่ยวเซียนขอบังอาจถามสักคำ
 ฝ่าบาทยังจะให้องค์มหาเทพทรงทำอย่างไรอีก? " 

ใยามที่เฟิ่งจิ่วยอมแพ้ ถึงกับเสียน้ำตาให้นางไม่น้อย มาถึงคราวมหาเทพตงหัวบ้าง ย่อมรินน้ำตาให้เขาอย่างไม่น้อยหน้ากัน  ท้ายที่สุดแล้ว ยิ่งน่าเสียใจกับความระแวงไม่เชื่อใจ  ปวดใจกับมหาเทพตงหัว (เห็นใจท่านอย่างลำเอียงสุดๆ) นี่ช่างเป็นเรื่องรักลึกล้ำวาสนาสิ้นไร้ .

กระนั้นสวรรค์ก็คือสวรรค์ ลิขิตสวรรค์ไม่อาจด่วนสรุป 

ลิขิตสวรรค์ไร้วาสนา จึงกลับกอปรเป็นบุพเพสันนิวาสอันอัศจรรย์ 
เหนือเขนยไร้เรื่องราว    กลับกลายเป็นหนึ่งเรื่องนิยายรัก

เล่าเค้าโครงเรื่องมาอย่างนี้ อาจทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องดราม่าน่าปวดใจเหลือแสน แต่ที่จริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น ส่วนที่ปวดใจก็ปวดใจ ส่วนที่ร้องไห้ก็ร้องไปสองสามครั้ง เพราะมันได้เชื่อมโยงความน่าปวดใจค่อยๆ บิ๊วกันมาจนถึงจุดที่ไม่ร้องไห้...ไม่ไหวแล้ว  นอกเหนือจากนี้เราก็ตั้งคำถามกับตัวเองอยู่เหมือนกันว่าจากเรื่องป่าท้อสิบหลี่ ที่รักเขาข้างเดียวของเฟิ่งจิ่วมันเหมือนจะเป็นเรื่องเศร้าสุดร้าวราน แล้วพอมาเป็นพระ-นางจริงๆ ในลิขิตเหนือเขนย ผู้แต่งเค้ามาถึงจุดๆ นี้ได้ยังไง จุดที่นิยายมันตลก ฮา น่ารัก อาจจะซ่านความขมดังที่กล่าวแต่โดยรวมแล้วเป็นรักหวานโรแมนติก 

ตลกอยู่เรื่อยๆ ขำอยู่คิกๆ  และก็มีไม่น้อยครั้งที่หัวเราะลั่นออกมา ไม่ทราบว่าผู้อ่านท่านอื่นขำกันอย่างนี้บ้างหรือเปล่า แต่เราน่ะหัวเราะเยอะมากเลย ทั้งเหตุจากคาแรคเตอร์ตัวละคร ทั้งเหตุจากสถานการณ์อันชวนตลกขบขัน



๒. คาแรคเตอร์ตัวละคร  - ปกติก็แพ้ทางบุรุษผู้ยิ่งยง ทรงอำนาจ ยิ่งใหญ่  เจอมหาเทพตงหัว เทพเหนือเทพเหนือมารเหนือปิศาจรายนี้เข้าไป อื่นใดๆ เทพเซียน ทั่วสวรรค์เก้าชั้นฟ้า หกพิภพ  สี่ทะเลแปดดินแดน ในเผ่าพันธุ์มาร ภูต มนุษย์ อสูร ปิศาจ ทั่วหล้า ย่อมไม่มีรักใครชอบใครเท่า  แม้แต่เยี่ยหัวจวิน ไท่จื่อ (รัชทายาท) ของเทียนจวินผู้ปกครองเผ่าพันธุ์สวรรค์ ( พระเอกป่าท้อฯ ) ก็ว่าชอบแล้วยังนับว่าชอบน้อยกว่ามหาเทพตงหัวอยู่อีกเยอะ

เล่าขานกันว่ายามที่ขวานยักษ์ของผานกู่ผ่าเปิดฟ้าดิน ที่เบาที่ใสลอยขึ้นไปบนฟ้า ที่หนักที่ขุ่นตกลงมาเป็นผืนดิน ฟ้าดินมิได้เป็นไข่ไก่ฟองหนึ่งอีก เริ่มก่อกำเนิดอินหยาง ผสานกำเนิดเซียน ปิศาจ มาร เดรัจฉานมากมาย แย่งชิงพื้นที่บำเพ็ญตบะภายในสี่ทะเลแปดดินแดน 

แดนอุทกภัยในยุคบรรพกาลมิได้อุดมสมบูรณ์เช่นดั่งปัจจุบัน สวรรค์เบื้องบนและพิภพเบื้องล่างก็มิได้กฏเกณฑ์มากมายปานนี้ เวลาที่เป็นกลียุคจะมากสักหน่อย ต่อสู้ฆ่าฟันกันเป็นนิจ กระทั่งบรรดาเทพเซียนที่ยามนี้เคร่งครัดในเรื่องโปรดสรรพสัตว์ด้วยจิตใจมหาเมตตามหาการุญอย่างที่สุด กลิ่นอายฆ่าฟันก็ล้วนแต่เข้มข้นกันถ้วนหน้า 

เพลานั้นเผ่ามนุษย์และเผ่าปิศาจส่วนหนึ่งยังมิได้ถูกเนรเทศไปยังโลกมนุษย์ของมหาสหัสภพ แต่ฟ้าดินก่อกำเนิดพวกเขาออกมาได้กระจ้อยร่อยอ่อนแอยิ่งนัก จึงได้แต่อาศัยพึ่งพิงเผ่าเทพกับเผ่ามารที่แข็งแกร่งอย่างช่วยไม่ได้ ใช้ชีวิตอาศัยใบบุญผู้อื่นอย่างอึดอัดเก็บกดอยู่ในสี่ทะเลแปดดินแดน

หมื่นปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฟ้าดินผลัดนายมาหลายครั้ง บางช่วงเผ่ามารก็ครองความเป็นใหญ่ บางสมัยเผ่าเทพก็ปกครองฟ้าดิน นานๆ ทีก็มีเผ่าอสูรโชคดีได้ชูธงใหญ่ แต่ทุกยุคทุกสมัยต่างอายุขัยสั้นยิ่ง  ทุกคนต่างมุ่งมาดปรารถนาให้ปรากฏวีรบุรุษผู้จักทำให้ทั้งหกพิภพยอมสยบและเต็มใจก้มศีรษะมายุติกลียุคนี้ ให้ทุกเผ่าได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข และทุกเผ่าต่างลอบมุ่งหวังให้วีรบุรุษผู้นี้มาถือกำเนิดในเผ่าของตน

นั่นคือยุคสมัยที่สรรพสัตว์ต่างแสนซื่อและเรียบง่าย ผู้คนโดยทั่วไปไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใด ซื่อเสียจนนึกว่ายิ่งให้กำเนิดมาก โอกาสที่วีรบุรุษจะปรากฏขึ้นในเผ่าพวกตนยิ่งมาก เวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี เซียน อสูร เทพ มาร มนุษย์ ปิศาจ หกเผ่า ทุกเผ่าประชากรได้ล้นหลาม

แต่มีคนมากไปก็เป็นปัญหา เมื่อเห็นว่าพื้นที่ไม่พอใช้ สงครามระหว่างแต่ละเผ่าจึงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพียงเพื่อแย่งชิงพื้นที่ .. 

ขณะที่ทุกฝ่ายต่างพยายามทั้งวันทั้งคืนเพื่อขยายพันธุ์วีรบุรุษ แล่นไปโน่นมานี่ทั้งคืนเพื่อแย่งชิงพื้นที่ ไม่ว่างจะบ่นว่าลำบากตัดพ้อว่าเหนื่อยล้าแม้สักคำ วีรบุรุษก็ได้อวตารสู่หล้าตามคำภาวนา ณ ทะเลมรกตแห่งชางหลิงที่สุดปลายผืนนภา ถูกสวรรค์ก่อกำเนิดออกมาเองโดยไร้บิดามารดา สถานที่อวตารคือบึงบัวแห่งแดนบูรพา นำสองอักษรในสองสถานที่นี้มาอย่างเรียบง่าย พระนามกำหนดเป็น"ตงหัว"

ก็คือมหาเทพตงหัว 

เติบโตมาในทะเลมรกตแห่งชางหลิงอย่างโดดเดี่ยว มักถูกเหล่าเซียน ปิศาจ มาร เดรัจฉานในละแวกใกล้เคียงรังแก  ความสามารถทั้งตัวอาศัยการรู้แจ้งด้วยตัวเองในระหว่างแลกหมัดทั้งสิ้น ชื่อเสียงด้านการศึกในชั่วชีวิตก็ได้มาโดยต่อสู้เข่นฆ่ามาอย่างถึงเลือดถึงเนื้อศึกแล้วศึกเล่าเช่นกัน  

น้ำพุทิพย์หมื่นปียากแห้งเหือดของทะเลมรกตแห่งชางหลิงไม่ทราบถูกย้อมแดงฉานแล้วกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ชายหนุ่มชุดม่วงผู้ปรากฏกายสู่โลกหล้าอย่างโดดเดี่ยวผู้นี้ เหยียบผ่านกองกระดูกที่ซ้อนสุมมาตลอดทาง ในที่สุดก็ผงาดยืนบนตำแหน่งสูงสุดของหกพิภพ รวมสี่ทะเลหกบรรจบเป็นหนึ่งเดียว ปลอบขวัญสรรพชีวิตในแปดดินแดน (ที่มา เล่ม ๑ หน้า ๑๗๐-๑๗๒) 

นั่นคือที่มาของมหาเทพตงหัว เทพบรรพกาลผู้ยุติสงครามกลียุคขึ้นปกครองหกพิภพ  ในสวรรค์ดินแดนแห่งเทพเซียน จะมีใครเคยยิ่งใหญ่ไปกว่านี้ เก่าแก่ไปกว่านี้ อยู่มานานแต่กาลก่อนถึงป่านนี้  ?

แม้สองเทพยุคบรรพกาลอย่าง เจ๋อเหยียน ผู้ครองป่าท้อสิบหลี่  หรือ ม่อเยวียน เทพแห่งดนตรีกาลและสงครามเมื่อหลายหมื่นปีก่อนที่ยังปกครองคุนหลุนซวี ก็ไม่แน่ว่าจะนับเป็นรุ่นๆ เดียวกันกับมหาเทพตงหัว  อีกทั้งม่อเยวียนยังถือว่าได้รับการเลี้ยงดูมาจากเทพบิดรผู้ให้กำเนิดฟ้าดิน อย่างนี้แล้ว ไท่จื่อเยี่ยหัวจวิน พระเอกป่าท้อสิบหลี่จะนับเป็นอะไรได้ ในเมื่อแม้แต่เทียนจวินท่านปู่ของเขาผู้ปกครองสวรรค์ยังต้องเกรงอกเกรงใจ มหาเทพตงหัว ผู้เป็นเทพเคารพแห่งเผ่าสวรรค์ คือ ท่านผู้เฒ่าของเหล่าเทพเซียน (แน่นอนว่าแค่อายุขัย ..ใบหน้ายังหนุ่มอมตะ)  

เติบโตมาอย่างโดดเดี่ยว พึ่งพาตัวเอง อาศัยเพียงกำลังตน แต่กลับสามารถยุติยุคเข็ญในแดนอุทกภัยรวมฟ้าดินไว้ในมือ  สามารถนั่งบัลลังก์ประมุขแห่งฟ้าดินในกลียุคที่มีแต่การเข่นฆ่าได้อย่างมั่นคง  ความจริงแล้วเป็นเรื่องไม่ง่ายดายเลย วิธีการอ่อนด้อยเพียงนิดเดียว เบื้องล่างก็จะก่อกบฎเดือดพล่านทั่วผืนฟ้า เละเทะเป็นข้าวต้ม มีแต่การปราบปรามอย่างเลือดเหล็กไร้น้ำใจเท่านั้นจึงค่อยเห็นความสงบได้บ้าง แม้ว่าในภายหลังพร้อมกับที่เผ่าสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นทุกปี ตงหัวได้ค่อยๆ โอนอำนาจให้กับเทียนจวินที่ยามนั้นอายุยังเยาว์ ส่วนตัวเขาเข้าปกครองวังมหาอรุณแห่งสวรรค์ชั้นสิบสามเสพสุขการเกษียณ ชื่อเสียงความเลือดเหล็กในกาลก่อนก็ยังคงเหลือบารมีอยู่ในหกพิภพ

ความจริงแล้วตงหัว เป็นเซียนหรือไม่ ไม่อาจยืนยัน เพราะผู้ฝึกฌาณบรรลุ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ย่อมจิตสงบนิ่ง ร้อยฟุ่งฟ่านไม่กล้ำกรายแล้ว  เป็นเทพหรือมารก็ไม่มีใดแตกต่าง "หนึ่งคิดเป็นมาร หนึ่งคิดเป็นเทพ" เขาอยากเป็นสิ่งใดก็เป็นสิ่งนั้น  แต่ตงหัวเลือกมรรคาเทพ ทิ้งมรรคามาร ด้วยเจตนาดีงามมีมหาเมตตาจิต มหากรุณาจิต มหาโพธิจิตบำเพ็ญศีลธรรม แสดงธรรมขันธ์โปรดสรรพสัตว์ในแปดดินแดนนับเป็นเรื่องเล่าขานหนึ่งตามพงศาวดาร ส่วนที่มีเบื้องลึกเบื้องหลังเล่าลือกันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง  .. ซึ่งมันตลกซะจริงๆ  Smiley

ดำรงอยู่ ณ แดนสวรรค์สามชิงผืนดินศักดิ์สิทธิ์แห่งโพธิ โลกนี้ไม่มีผู้ใดหาญกล้าขุดลากเขาลงสู่ธุลีดิน เกศาสีเงิน ทรงอาภรณ์ม่วง  มีหนึ่งเดียวเท่านั้น คือ มหาเทพตงหัว   มนุษย์ใช้ชีวิตในธุลีแดงแดนโลกีย์ เทพเซียนใช้ชีวิตในดินแดนสวรรค์สามชิง องค์มหาเทพกลับประดุลลอยอยู่เหนือธุลีแดงแดนโลกีย์ และลอยอยู่เหนือแดนสวรรค์สามชิง  แววเรียบเฉยในดวงตา คือมองดูสรรพสิ่งทั่วดินฟ้าล้วนว่างเปล่า   สำหรับเทพเซียนรุ่นหลัง  ทราบแต่ที่เขาเล่าว่าองค์มหาเทพปลีกตัวจากโลกหล้ามาแสนกว่าปี ไม่ถึงคราวจำเป็นที่สุดจะไม่ยุรยาตรออกมาจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าโดยง่าย จะเพียงปรากฏกายในภาพเขียนหรือปรากฎกายนานๆ ครั้งในงานเลี้ยงที่ใหญ่โตอลังการยิ่งบนเก้าสวรรค์ให้เทพเซียนรุ่นหลังได้น้อมระลึกถึงเท่านั้น  เป็นสารานุกรมพระสูตรเดินได้แห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้า  สูงส่งเกินเฉียดใกล้ แก่เฒ่าเกินคลุกคลี จึงไร้โอกาสที่จะรู้จักพบเห็นองค์มหาเทพ ได้แต่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาว่าเทพเคารพองค์นี้เป็นผู้สงบนิ่งไร้กระทำ  ไร้กิเลสตัณหา ยิ่งใหญ่เที่ยงธรรม  สุขุมคัมภีรภาพดุจบึงน้ำโบราณอันไร้ระลอก สมเป็นมหาเทพท่านผู้เฒ่าที่รากฐานเซียนลึกล้ำแข็งแกร่ง มีกลิ่นอายเป็นเทพเซียนในเทพเซียนมากที่สุดในพงศาวดาร

เอ่อ .. ภาพลักษณ์ก็คือภาพลักษณ์อ่ะนะ  ...

ชื่อเสียงด้านการศึกเลื่องลือ เจ้าตัวรูปงามยิ่ง ทั้งยังผลงานโดดเด่นตั้งแต่ยังหนุ่ม กาลก่อนยุติกลียุค เป็นประมุขแห่งฟ้าดินรับการกราบถวายบังคมน้อมเคารพจากหกพิภพ กาลปัจจุบันเป็นท่านผู้เฒ่าดวงหน้ารูปงามคมสันและเคร่งขรึมสำรวม ยามถือพระสูตรคือความสุขุมเคร่งขรึมลอยพ้นธุลีแดง ลอยพ้นแดนสามชิง ยามกุมกระบี่กลับแหลมคมดุจพายุหมุนกระหน่ำแรง พลังทำลายเต็มเปี่ยม ทั่วสี่ทะเลแปดดินแดน เกรงว่าจะไม่มีใครหาญกล้าต่อกรแม้สักราย ท่านไม่เคยสนใจวิธีขี่ลมขี่เมฆปรากฎกายอย่างโอ่อ่าผ่าเผย แต่แค่เพียงเดินมาเรื่อยๆ อย่างเรียบง่าย ย่อมจะสง่าผ่าเผยด้วยองค์เอง  เยือนสู่พิธีการใด ย่อมได้อยู่บนตำแหน่งที่นั่งสูงสุด  เพียงปรากฏกายขึ้น  เหล่าเทพย่อมคุกเข่าลงโดยพร้อมเพรียง  หากเขายืนอยู่ปวงเทพไหนเลยกล้าลงนั่ง  ทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนไม่มีใครอยู่เหนือไปกว่ามหาเทพตงหัวอีกแล้ว 

แต่ .. งามลักษณ์ งามสง่า สูงส่งบารมี นั้นเป็นเรื่องหนึ่ง  ส่วน "นิสัย" คงต้องนับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง    

มิได้มีนิสัยเมตตาปราณี ช่วยคนตายประคองชีวิตคนเจ็บมาแต่ไหนแต่ไร 

และถึงจะเป็นเทพอาวุโสที่รู้จักองค์มหาเทพ แต่หากว่าไม่สนิทกันจริงก็ใช่จะรู้หรอก

มหาเทพตงหัว ที่บงการความเป็นความตายของหกพิภพในกาลก่อนได้ ความเลือดเหล็กไร้น้ำใจใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา   องค์มหาเทพพูดน้อยเสมอมา แต่ยามใดได้เอ่ยถ้อยวาจามักทำคู่สนทนา จุกซะพูดไม่ออก จะพาซื่อ ยอกย้อน หรือเสียดแทง ล้วนเป็นวาจาคมหอก (พูดน้อย แทงหนัก)   ตรรกะแปลกแยก การกระทำก็ไร้สาระ พิลึกพิลั่น (เฟิ่งจิ่วยังว่าท่านวิปลาส)  หาใครเสมอเหมือนท่านนี้..มิมี  เซนต์เรื่องรักต่ำสุดๆ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงกลวิธีเกี้ยวพา  นักรักใดในหล้าอย่าได้พยายามเข้าใจ  ที่สำคัญอันโดดเด่นคือ  หน้าด้าน อย่างที่ไม่คลุกคลีสนิทสนมกันจริงจะไม่มีทางประเมินความด้านได้ใกล้เคียง อันหน้าตานั้นเป็นเพียงก้อนเมฆอันลอยเลื่อน เพราะหนังหน้านั้น สำหรับมหาเทพตงหัว เป็นแค่ของนอกกายมาแต่ไหนแต่ไร  มันก็แค่หนังหน้า! 

..ฉางตี้ประเมินหนังหน้าของเฟิ่งจิ่วต่ำเกินไปโดยแท้ เดิมทีพื้นฐานเฟิ่งจิ่วก็ไม่เลวอยู่แล้ว ตอนในหุบเขาเสียงธรรม ยังได้รับการสอนสั่งด้วยการดูการฟังจากตัวมหาเทพตงหัวเอง บัดนี้ความหนาของใบหน้าแม้กล่าวไม่ได้ว่าดาบกระบี่ไม่ระคาย รับมือสถานการณ์เช่นนี้กลับเหลือเฟือประดุจยอดพ่อครัวแยกร่างได้ (เป็นสำนวนแปลว่าทำได้อย่างคล่องแคล่วเชียวชาญ เนื่องจากผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน)  

" การเป็นเทพเซียน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือหน้าด้าน ถ้าหน้าด้านเสียอย่าง กระทำเรื่องใดล้วนแต่สำเร็จได้"  นั่นคือ เดิมทีพื้นฐาน ของเฟิ่งจิ่วที่ว่าไม่เลวอยู่แล้ว  แต่  เมื่อเจอมหาเทพตงหัว ..นางยอม

"ข้ารู้สึกว่า ... บางครั้งหนังหน้าของตี้จวินค่อนข้างจะหนานัก" 
ตงหัวกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน " ความรู้สึกของเจ้าเฉียบคมยิ่ง"

ความตรงไปตรงมาก็เป็นคุณสมบัติหนึ่งของมหาเทพตงหัว ที่ยากจะหาวาจามาเสียดแทง หรือกระตุ้นจิตใจรู้ละอายของเขาได้   และมหาเทพตงหัวไม่ใช่คนที่จะถือเหตุผล  แต่ ...."เวลาข้าไม่อยากจะถือเหตุผลก็ไม่ถือ เวลาอยากจะถือนานๆ ครั้งก็จะถือเสียหน่อย"  และหากมหาเทพกล่าวว่า  'ว่ากันตามเหตุผล' นั่นก็เป็นเหตุผลข้างๆ คูๆ ไปอย่างงั้นเอง Smiley

.. เฟิ่งจิ่วมองเขา นึกไม่ออกว่าควรจะต่อคำอย่างไรดี ไม่ว่าจะเป็นสุนัขจิ้งจอกหรือเป็นคน
 เวลานางอยู่กับตงหัว การสื่อสารระหว่างกันต่างลำบากยิ่งดังที่คาด  

นี่ยังไม่นับความเย็นชา "หน้าน้ำแข็ง" ที่ยากจะขยับมีรอยยิ้มสักนิดอยู่ชั่วนาตาปี  นิ่งสงบไร้กิเลสตัณหาซะที่ไหนกัน ก็แค่มีความสามารถในการรังแกชาวบ้านด้วยสีหน้าสงบนิ่งดุจน้ำนิ่งแต่ความพึงพอใจไหลลึกแค่นั้นแหละ 

มารยาก็ตั้งเท่านั้น  ในเมื่อมหาเทพตงหัวรู้ดีว่าเฟิ่งจิ่วเป็นมนุษย์เพศแม่ที่มีหัวใจอ่อนโยน ใจดีขี้สงสารเป็นที่สุด ไม้ตายที่ใช้ได้ผลในทุกสถานการณ์คือเสแสร้งแกล้งอ่อนแอ แล้วจะมัวเป็นวีรบุรุษแข็งแกร่งไปไย  ซึ่งถ้าไม่ซื่อระดับเฟิ่งจิ่ว ใช่ว่าจะหลอกได้เนียนง่ายๆ หรอกนะ  นี่มันเรื่องของฝีมือและหนังหน้า ถ้าไม่หนาจริงบุรุษย่อมไม่กล้าแสดงความอ่อนแอต่อหน้าหญิงงาม Smiley

ผมสีเงิน ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า มีอยู่รายนึงที่หลงรักอยู่คือ อวิ๋นซื่อเทียน จอมราชันแห่งแคว้นขอบชมฟ้า (พระเอกเรื่องชายาสะท้านแผ่นดิน) แต่เมื่อมหาเทพตงหัวนั้นมีบุคลิกโดดเด้งมาอย่างฮาคือหน้าด้าน ในการเปรียบเอาชัยนี้ อวิ๋นซื่อเทียนย่อมควรหลีกทางให้ 

ชีวิตในวัยเกษียนขององค์มหาเทพ เหลือรับผิดชอบเพียงงานง่ายๆ คือ ควบคุมทะเบียนเซียน  ที่เหลือในยามปกติคือว่างจัด จึงชอบผสมกำยาน ทำเครื่องปั้นดินเผา เขียนรูป ตกปลา ประมือเล่นหมากล้อมกับสหายเซียนเหลียนซ่ง   ส่วนงานอดิเรกที่คล้ายจะทำให้ชีวิตดูมีสาระอยู่บ้างคืออ่านหนังสือพุทธปรัชญา  ตรวจเทียบแก้ไขใส่คำอรรถาธิบายคัมภีร์พระสูตร  สอนหนังสือที่หุบเขาเสียงธรรม นานๆ ครั้งจะเสด็จเยือนไปสนทนาธรรมกับพระพุทธเจ้า ณ สวรรค์ประจิม

เอาน่ะ .. ถึงนั่นจะเหมือนเป็นลักษณะเรื่อยเฉื่อยของท่านผู้เฒ่าผู้ว่างงานซะจริงๆ แต่เราก็ยังคิดว่ามหาเทพตงหัวนี่เท่จริงๆ เชียว เพราะความแก่สำหรับเทพเซียนไม่ได้หมายถึงความเสื่อม แต่เป็นความขลังจากการสั่งสมพลังฝึกปรือสูงส่งไม่เห็นยอด  บารมีของท่าน..ยังคงมีคุณต่อหกพิภพที่แม้จะมีความขัดแย้งต่อสู้กันบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต เทพเซียนรุ่นหลังอาจเรียกความขัดแย้งเหล่านั้นว่า 'สงคราม' แต่ในสายตาของมหาเทพตงหัว มันก็แค่การทะเลาะกันของเด็กๆ เท่านั้น  จึงไม่ได้ลดตัวไปยุ่งเกี่ยว ระดับที่จะเป็นกลียุคจริงๆ ก็คงไม่มีใครกล้า ตราบใดที่องค์มหาเทพยังไม่ดับขันธ์  

อีกประเด็นคือ  เรามีความรู้สึกว่าที่มหาเทพตงหัวคอยตรวจตราและชำระล้างอกุศลมูลสามที่ถูกกักขังไว้ใน "เขตแดนสัจธรรมเมธา"   เป็นงาน "มหาคุณธรรม" เพื่อความสงบสุขของหกพิภพ ที่องค์มหาเทพได้กระทำอยู่เงียบๆ เพียงลำพังแบบปิดทองหลังพระ และทำให้เขาเป็นท่านผู้เฒ่าหน้าหนุ่มรูปงามที่เท่มาก   มหาเทพตงตัว จึงกลายเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่รักมากขึ้นหิ้ง Smiley

เฟิ่งจิ่ว หลานสาวเพียงคนเดียวของมหาเทพป๋ายจื่อเผ่าจิ้งจอกครองแคว้นชิงชิว ต่อมาเมื่อท่านอาของนาง -ป๋ายเฉี่ยน ได้แต่งกับไท่จื่อเยี่ยหัวจวินเป็นสะใภ้แห่งเผ่าสวรรค์ เฟิ่งจิ่วจึงต้องรับสืบทอดตำแหน่งกษัตริย์ตรีที่ของแคว้นตั้งแต่อายุยังน้อย ( สามหมื่นกว่า กำลังขบเผาะ)  มีนิสัยร่าเริงซุกซน เป็นจอมโก๊ะที่น่ารัก คิดอะไรทำอะไรก็ดูจะลงเอยเป็นเรื่องเปิ่นๆ ไปซะเกือบหมด แม้แต่เรื่องเศร้าของนางบางทีเราก็ขำ  นางมักจะภูมิใจในสติปัญญาความเฉลียวฉลาดรู้เท่าทันความคิดคนอื่นของตนเสมอ แต่ที่จริงแล้วนางออกจะใสซื่อ ที่คิดว่ารู้ทันคนอื่นนั้นล้วนแต่เป็นการคิดเองเออเองเกือบทั้งสิ้น โดยเฉพาะเรื่องที่จะทันความคิดของมหาเทพตงหัว บอกตง .. ยังช้าไปสิบปีแสง

เยียนฉืออู้  ราชามารครามตนนี้ จากศัตรูได้กลายมาเป็นมิตรแท้ของเฟิ่งจิ่ว รักเขาข้างเดียวหัวอกเดียวกัน ที่ต้องมีชะตาเกี่ยวพันมาตกระกำลำบากด้วยกันกับเฟิ่งจิ่ว  ก็เพราะเทพองค์เดียวกันคือมหาเทพตงหัว  เป็นมารแต่มีรูปร่างบอบบางไม่สมเป็นราชามารบุรุษ อีกทั้งหน้าตาเล่า

'มิอาจไม่กล่าวว่า เสี่ยวเยียนหน้าตาเช่นนี้ช่างเป็นโศกนาฎกรรมอย่างหนึ่งโดยแท้ 
กระทั่งยามทำหน้าถมึงทึงแค่นยิ้มเย็นชา สายตาทอแววอำมหิต 
ก็ยังคงดูเป็นโฉมงงามผู้น่ารักดั่งบุปผาประดุจหยกอยู่ดังเดิม'

แต่เรื่องนิสัยนั้นอย่าให้เซด ช่างตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิงกับใบหน้า ทั้งห่าม ทั้งมุทะลุ สุดห้าวเป้ง  หากเฟิ่งจิ่วเป็นสาวใสหัวใจซื่อแล้ว ราชามารครามยังซื่อกว่านัก เรื่องมโนไปเองทั้งนั้นยังเหนือชั้นกว่าเฟิ่งจิ่วอยู่มาก เรื่องคิดเข้าข้างตัวเองก็ใช่จะดูเบาได้

เมื่อคนซื่อสองคนได้กลายเป็นเพื่อนกัน การทำความเข้าใจในผู้อื่นและสถานการณ์ต่างๆ ถือว่าอยู่ในระดับต่ำซะจริงๆ คนหนึ่งมโน คนหนึ่งไม่เชื่อซะทีเดียว แต่ใคร่ครวญแล้วอย่างไรก็คล้อยตามอยู่ดี (อย่างเออออห่อหมก)  เรื่องจริงไม่ค่อยรู้  ส่วนเรื่องเล่าลือ .. ถนัดมากกกก

จีเหิง น้องสาวของราชามารชาด กาลก่อนเมื่อมหาเทพตงหัวมีภัย นางได้เคยให้ความช่วยเหลือเขา ทั้งยังได้มีพิธีแต่งงานกัน  เล่าลือกันว่าแม้สุดท้ายจะไม่ได้ลงเอยกันด้วยดี แต่นางก็เป็นหญิงเดียวในดวงใจของมหาเทพตงหัว   ราชามารคราม เยียนฉืออู้ หลงรักจีเหิงอยู่ข้างเดียว  ส่วนเฟิ่งจิ่วหลงรักมหาเทพตงหัวอยู่ข้างเดียว  ต่อมาภายหลัง  เฟิ่งจิ่วจึงได้รู้ว่านับแต่กาลก่อนถึงกาลปัจจุบันที่มีเรื่องราวต่างๆ มากมายเกิดขึ้น แต่ถึงกระนั้นเยื่อใยไมตรีระหว่างมหาเทพตงหัวกับจีเหิงไม่เคยขาดสะบั้น  ใครกันเล่าจะไม่เฝ้าใฝ่ฝันถึงการได้เป็นมหาเทวีของมหาเทพตงหัว แต่ทั้งหมดทั้งมวลหาได้มีใครทราบเบื้องลึกความนัย มีแต่เรื่องเล่าลือ กับเล่าลือ ผสมผสานการมโนวิเคราะห์ สรุปได้ว่า มหาเทพตงหัว กับ จีเหิง เป็นคนรักกัน (เคยถามองค์มหาเทพสักคำมั้ย) 

เหลี่ยนซ่ง โอรสองค์ที่สามของเทียนจวินจอมเทพผู้ปกครองเผ่าสวรรค์  แม้นับอายุไม่อาจจะกล่าวได้ว่าใกล้เคียงกันกับมหาเทพตงหัว แต่ในการคบหาก็ถือเป็นสหายสนิท มักคอยกระเซ้าเย้าแหย่ตงหัวด้วยความเบิกบานสำราญใจอยู่เสมอ เป็นบรรดาพวกว่างงานเหมือนกันไง  และไม่รู้เป็นเพราะตงหัวเกิดมาก่อนหรือไร  เรื่องถ้อยวาจานับว่าเหลียนซ่งยังเป็นรองอยู่หลายโยชน์  ส่วนใหญ่หลังเหลียนซ่งพล่าม เมื่อองค์มหาเทพได้เอ่ยตอบบทสนทหา .. จะเป็นการตอบ ย้อน หรือถามกลับ ประโยคคำพูดต่อมาของเหลียนซ่งคือ  จุด จุด จุด ( ... ) นั่นคือ จุก พูดไม่ออก .. องค์มหาเทพ เป็นคนพูดน้อย พูดสั้น แต่ 'รวบรัดหมดจด' นะจ้าาาาา   

เหลียนซ่งจวินนั้นความจริงแล้วหาใช่เซียนที่เที่ยงธรรม มักกระทำเรื่องผิดต่อมโนธรรม แต่เนื่องจากเหลียนซ่งจวินไม่เคยรู้สึกว่าเรื่องผิดมโนธรรมเหล่านี้กระไรนักหนา ดังนั้นจึงน้อยนักจะมีเวลาที่ละอายต่อมโนธรรม ยกถ้อยคำของตัวเหลียนซ่งจวินเองมากล่าว นี่คือบุคลิกอันปลอดโปร่งเยือกเย็นแบบหนึ่งของเขา ยกถ้อยคำของผู้ที่เหลี่ยนซ่งต้องใจ  เฉิงอวี้หยวนจวินมาเล่า ไอ้บัดซบที่เหนือคำบรรยายไม่ต้องการคำอธิบาย 

เอ่อ ... มิน่าล่ะ ถึงคบกันได้กับมหาเทพตงหัว  คนหนึ่งหน้าด้าน คนหนึ่งก็ไม่ละอาย สมเป็นสหายลืมวัย  

ซูม่อเยี่ย  องค์ชายรองของเทพสมุทรประจิม กับเทพธิดาเขาชีซาน ไท่อีชิงเสวียน งูขาวยักษ์แห่งปวงอสรพิษ  จะเห็นได้ว่าหนุ่มๆ แต่ละคนใช่จะระดับสามัญธรรมดาซะเมื่อไร  แต่เมื่อได้พบกับมหาเทพตงหัวย่อมกลายเป็นเจ้าเด็กน้อยทั้งสิ้น เป็นเด็กต้องเคารพนบนอบต่อท่านผู้เฒ่า  เป็นผู้น้อยย่อมน้อมรับใช้ท่านผู้ใหญ่  (แม้ไม่อยาก) องค์ชายรองแห่งทะเลประจิม จึงถูกมหาเทพตงหัว สั่งความ และจิกใช้  หัวไม่ได้วางหางไม่ได้เว้น ในยามที่ได้รับมอบหมายจากเหลียนซ่งให้เข้าไปช่วยดูๆ มหาเทพตงหัว กับ เฟิ่งจิ่ว ที่ตกลงไปสู่ห้วงฝันของอาหลานเหร่อแห่งหุบเขาเสียงธรรม   อาหลานเหร่อลูกศิษย์ที่เขารัก  แม้นางจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่วิญญาณและห้วงฝันของนางยังอยู่ ซูม่อเยี่ยมีเจตนาแอบแฝงจะค้นหาความจริงเกี่ยวกับปริศนาการตายของอาหลานเหร่อ แต่นอกจากจะต้องวุ่นวายอยู่กับเฟิ่งจิ่วแล้ว ยังถูกมหาเทพตงหัวใช้เอาๆ 

เทียนซุนน้อย อาหลี ผู้ที่ผู้คนต่างเรียกขานกันว่าก้อนแป้งข้าวเหนียว เป็นโอรสของไท่จื่อเยี่ยหัวจิน กับป๋ายเฉี่ยน (พระ-นาง ป่าท้อสิบหลี่) จึงเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเฟิ่งจิ่ว อยู่ด้วยกันทีไรทั้งตลกและน่ารัก  แม้บทบาทจะน้อยกว่าเรื่องก่อน แต่โผล่มาทีไรก็ทำให้ยิ้มได้ตลอด

เทวเสนาบดีแห่งตำหนานฉีหนาน-เฉินเยี่ย   อดีตเทวเสนาบดีฯ ซีเจ๋อ  และ ม่อส้าว อาจารย์ของอาหลานเหร่อ  ชิงฮั่ว จวี๋นั่ว และ  ฉางตี้  เป็นตัวละครสำคัญในห้วงฝันของ เซี่ยงหลี่อาหลานเหร่อ องค์หญิงรองของเผ่านกปี่อี้ที่ถูกทอดทิ้งในรังงูและเติบโตขึ้นมาในค่ายกลงูของงูยักษ์ทั้งสี่ในหัวเปี่ยวแห่งน้ำพุอโศก   หุบเขาเสียงธรรม และเรื่องราวในห้วงฝันของอาหลานเหร่อ มันเหมือนกับเป็นนิยายซ้อนเรื่อง เป็นตัวละครซ้อนตัวละคร ที่บ่อยครั้งทำให้ต้องนึกทึ่งกับจินตนาการของผู้เขียนว่า คิดได้อย่างไร เรื่องราวในส่วนนี้นับเป็นส่วนสำคัญของเรื่องและมีรายละเอียดมาก ต้องขออุบเอาไว้นะคะ  และในห้วงฝันฯ นี้ ที่ทำให้ขำได้ทุกครั้งคือ ฝ่าบาทชิง - งูเลี้ยงของ อาหลานเหร่อ  มาน้อยแต่มาทีไรได้หัวเราะ


๓. เพริดแพร้วจินตนาการ - เห็นด้วยกับที่คุณหลินโหม่วเขียนไว้ในคำนำผู้แปลว่า "ในเรื่อง 'ลิขิตเหนือเขนย' นี้ ฝีมือในด้านการสร้างมิติความลึกให้แก่ตัวละครของคุณถังชีกงจื่อผู้เขียนได้พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน"  และเรายังรู้สึกว่ามีจุดที่พัฒนามากว่านั้นอีกคือ การจินตนาการสร้างพิภพสวรรค์ เช่น เขตแดน คาถา วิชาฤทธิ์ ศาสตราวุธ ดอกไม้พืชพันธุ์ ฯลฯ เล่มก่อนในป่าท้อสิบหลี่ เราไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้อย่างโดดเด่นเป็นพิเศษนัก ที่พอจำได้ก็จะมี การขี่เมฆ  ไข่มุกประกายราตรี ตะเกียงประสานวิญญาณ ศาตราวุธสำคัญบางอย่าง แต่พอมาเป็นลิขิตเหนือเขนย จะจินตนาการได้สนุกมากกว่าเดิม  สามารถแบ่งช่วงเรื่องราวได้หลายช่วงในแต่ละเขตแดน คือ สวรรค์เก้าชั้นฟ้า เขตแดนปทุมมาสิบสามานย์  หุบเขาเสียงธรรม และห้วงฝันของอาหลานเหร่อ เขตแดนสัจธรรมเมธามาน้อยแต่มาเป็นประเด็นนะเอย

การบรรยายฉากสถานที่ต่างๆ ได้ให้ภาพความงดงามอยู่เยอะมาก แต่ฉากที่เด่นๆ ในใจเลย คือ 

Smiley แม่น้ำคะนึงจรพบภูเขาไส้ขาด ในราตรีกาลที่ 'ยามจันทราเผยโฉมไม่พบดอก ยามดอกบานไม่พบพานจันทรา' ไม่อาจจะพบพานกันได้ตลอดมา มีรักกลับไร้วาสนา .'........  'อ่าวธาราสายหนึ่งทอดโค้งเป็นผืนดอกไม้กว้างไพศาล ท่ามกลางต้นจันทราประกาศิตท่ขึ้นรวมกันเป็นดง ดอกกลีบซ้อนเล็กกระจิดริดรวมกันเป็นช่อ เรืองแสงสีขาวอยู่รางๆ ร่วงหล่นจากกิ่งก้านลอยละล่องสู่กลางอากาศ ดุจดั่งย้อมเกล็ดน้ำค้างแห่งแสงจันทร์ ผืนดอกไม้ทั้งแถบดูประดุจผืนนภาพขนาดย่อม ถูกดอกที่พลิ้วละล่องอยู่กลางอากาศปูแผ่เป็นทางช้างเผือกอันพร่างพราว ..."
Smiley ทะเลดอกพุทธกังสดาล ภาพมายาสะท้อนความห่วงพะวงผูกพัน (ความลับในหัวใจ)
Smiley พิรุณราตรี วารีไร้รากอันสะอาดบริสุทธิ์ (สายฝน) ชะล้างอายปิศาจ 
Smiley เทศกาลธิดากับภาพมายาเนรมิต ประเพณีปาถุงหอม  และ มงกุฏดอกไม้
Smiley ทะเลมรกตแห่งชางหลิง ช่วงเวลาที่อาจเรียกได้ว่าอบอุ่นสวยงามที่สุด
Smiley แสงดาวเก้าสวรรค์ก่อเกิดเป็น 'เขตแดนแสงดาว'
Smiley พิธีเก็บศาสตรา ณ  บรรพตศักดิ์สิทธิ์ ถางถิง (ชอบฉากนี้มากกกกกกก)


๕. ภาษาสวยอลังการงานวิลิศมาหรา  ใช่แต่ผู้แต่งถังชีกงจื่อ จะพัฒนาฝีมือขึ้นแต่เพียงฝ่ายเดียว ทางผู้แปลก็ใช่ว่าจะน้อยหน้า  เรารู้สึกว่าภาษาไทยที่คุณหลินโหม่วใช้แปลมันได้ถูกยกระดับขึ้นจากป่าท้อสิบหลี่ด้วย  (ใครอ่านแล้วคิดเหมือนกันมั้ย ? )  ในป่าท้อสิบหลี่ฯ ก็คิดว่าแปลดีอยู่แล้ว ในเล่มนี้ไม่เชิงว่าเป็นการแปลดีขึ้น เพราะคิดว่าเป็นเรื่องปรับระดับการใช้ภาษาให้สละสลวยรุ่มรวยยิ่งขึ้น เราอยากจะใช้คำว่า หรูหราระดับเทพ หมายถึงว่า  ถ้าเรื่องนี้ตัวละครไม่ใช่เทพเซียนอันสูงส่ง แต่เป็นเรื่องในโลกมนุษย์ ตัวละครเป็นมนุษย์ ต่อให้เป็นชนชั้นกษัตริย์ในแนวจีนย้อนยุคโบราณ  คิดว่ามันก็ยังจะเป็นภาษาที่หรูไปไม่เข้ากัน ทว่าเรื่องลิขิตเหนือเขนย คือ เรื่องของเทพเซียน คือพิภพสวรรค์อันมีสิทธิจะมีความพิเศษเว่อร์วังอลังฯ เหนือธรรมดา ภาษาที่คุณหลินโหม่วแปลออกมา คิดว่าอาจจะมีคนไม่ชินบ้างเป็นแน่ แต่โดยส่วนตัวแล้ว เราคิดว่ามันเข้ากันและเราก็ชอบมาก 

ความสูงศักดิ์แห่งองค์มหาเทพ สูงตระหง่านเพียงฟ้าครามที่เทียบทัน
คุณธรรมแห่งองค์มหาเทพ เจิดจ้าดุจสุริยันจันทราประชันแสง
ความทรงศักดิ์ยิ่งทรงคุณธรรมเช่นนี้ กับแค่เรื่องธุลีแดงแปดเปื้อนอายโลกีย์ 
ไฉนเลยจะข้องเกี่ยวกับท่านได้

"จีเหิงพิสุทธิ์ใสไร้มลทิน งามสิ้นทั้งน้ำใจกิริยา 
มัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จันทร์หลบโฉมสุดา
มวลผกาละอายนาง  ประเสริฐศรีดีเลิศนานัปการ.."

สำนวนงดงามมาก  แต่ในภาวะอารมณ์ของคนที่เอ่ยออกมา มันเป็นสถานการณ์ขัดแย้งที่อยากจะขำกลิ้ง !

สามวันให้หลัง หิมะขาวพร่าง ยินเพียงเสียงนกขับขาน ไร้กลิ่นมาลีสุคนธ์

จันทราสลัวมัว ปักษาสลัวมัว ท่ามกลางความสลัวมัว ภาพในกระจกได้แปรเปลี่ยนเป็นทิวาฟ้าคราม

ฟากฟ้าบูรพาแสงอุษาแรกปรากฏ กระชากออกเป็นแนวรัศมีเลื่อมพรายอันสะดุดตา

นอกถิ่นทะเลบูรพาอันไพศาล ณ ป่าท้อสิบหลี่ มวลหมู่มาลีพิลาสนับพันชั้นได้ผลิบาน
ฯลฯ 

อ่านแล้วเหมือนเป็นกวี แต่ส่วนที่แปลบทกวีจริงๆ อีกที ที่ต้องแต่งออกมาเป็นคล้ายบทกลอน ยิ่งต้องถือว่าผู้แปลเก่งมากๆ มันคงยากนะที่จะต้องคงความหมาย พร้อมกับต้องใช้คำไทยให้สละสลวยและยังต้องพยายามเล่นคำคล้องจองด้วยเพื่อให้มีความเป็นบทกวีที่แตกต่างออกไปจากภาษาปกติ 

ผืนน้ำทะเลสาบแผ่ไพศาล ม่านควันมรกตไหวกระเพื่อม
เกศเกล้าสูงส่องเงาเลือน  ระลอกเลื่อมมรกตยังเอนเอียง

วิหคร้องขับขาน      กุสุมาลย์เริงระบำ
ไท่โสว่สุราร่ำ           แสนสำราญจนเมามาย
วันพรุ่งอรุณสาง       สุราสร่างช่างใจหาย
วสันต์ได้กลับกลาย  ลับลาไปไม่หวนคืน
ฯลฯ 

เรื่องบทกวีนี้ แค่เปิดมาปฐมบท ที่เป็นบทกวีในสองหน้าแรก  ก็สามารถเปิดใจให้เกิดความรู้สึกดีๆ ต่อหนังสือได้มากเลย  (แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนัก  ฮา...)

เทียบกันแล้ว  ภาษาแปลในป่าท้องสิบหลี่ อ่านง่ายกว่า  แต่ภาษาสุดสลวยในเรื่องนี้ก็ให้ความรู้สึกเป็นสวรรค์ชั้นฟ้าดาวดึงส์ได้มากกว่า ชอบทั้งสองแบบค่ะ  เช่นเดียวกับความรักที่แม้จะเป็นความรักคนละแนว แต่ก็ชอบทั้งสองเรื่องสองแนวที่สนุกไปคนละแบบ 

แต่ถ้าจะให้คะแนนชี้ขาดกันจริงๆ ก็น่าจะต้องยกให้ลิขิตเหนือเขนย 
คะแนนขึ้นนำนั้นได้มาจาก  "มหาเทพตงหัว" กับ อารมณ์ขันของผู้แต่งถังชีกงจื่อ
ที่เขียนดราม่ารักลึกล้ำวาสนาตื้นเขินน่าปวดใจ ให้น่ารัก และขบขันอ่านแล้วอารมณ์ดี ..ชอบ Smiley



อธิบายเพิ่มเติม

ภาพปกหน้าเป็นส่วนหนึ่งของภาพเดียวกันกับปกหลังที่วาดจากจินตนาการฉากสวยๆ ในเรื่องที่พระนางอยู่ด้วยกัน  ด้านในมีภาพสีโปสเตอร์ขนาดสามพับเป็นภาพเดียวกันกับปก แต่ละบทมีหน้าคั่นเป็นภาพวาดขาวดำ และเป็นภาพสีชุดเดียวกันเต็มหน้ารวมอยู่ท้ายเล่ม ซึ่งจะมีประมาณ ๕-๖ ภาพ บนมุมข้างตัวเลขหน้าจะมีภาพการ์ตูนจิ้งจอก , อาวุธ หรือ สิ่งของอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอยู่ในเรื่องและภาพเปลี่ยนไปในแต่ละช่วง  เชิงอรรถละเอียดมาก พ่วงด้วยบรรณานุกรมเชิงอรรถ   และภาพประกอบเชิงอรรถเป็นภาพสีทั้งหมด 

นอกจากนี้ยังมีภาพการ์ตูนประกอบที่ได้ล้อเลียนพฤติกรรมตัวละครประมาณ ๒-๔ หน้าในแต่ละเล่ม  ชอบส่วนนี้เป็นพิเศษ เพราะดึงเอาคาแรคเตอร์ของพระนางมาล้อเลียนได้ตลกและน่ารัก  อ้อ เล่มสุดท้าย มีแสดงคำถามคัดเลือกที่ผู้แปลถาม ผู้เขียนตอบให้  และนักเขียนชาวจีนถาม ผู้เขียนตอบ มีจากใจผู้แปล ทำให้รู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับความคิด ความรู้สึกของผู้เขียน-ผู้แปล ทำให้ได้รู้คำตอบที่โดนใจมาก  เพราะอ่านมาเรื่อยๆ ก็แอบคิดอยู่แล้วว่า ผู้เขียนน่ารักจะรักตัวละครนี้เป็นพิเศษ 

คำถาม สร้างตัวละครมาเยอะขนาดนี้ ชีชีชอบคนไหนมากที่สุดเหรอ ?
คำตอบ  จนถึงตอนนี้คือมหาเทพค่ะ มหาเทพอาจจะเป็นพระเอกที่มีข้อเสียมากที่สุด เซนต์เรื่องรักต่ำก็ดี หน้าด้านก็ดี  แต่ฉันชอบเขามาก

เช่นกันค่าาาาาาาาาา - ทีมมหาเทพตงหัว  Smiley




Create Date : 22 กันยายน 2558
Last Update : 23 กันยายน 2558 17:01:40 น. 16 comments
Counter : 104502 Pageviews.

 
อ่านรีวิวแล้วโดนมากค่า ที่จ่ายเพราะมั่นใจเรื่องการแปลโดยแท้ว่าดึงความสนุกออกมาได้ถึงที่สุดแน่

เพิ่มว่ารู้สึกเทพโลกันต์เซี่ยกูโฉวพูดน้อยต่อยหนัก ถึงตอนนี้ยังไม่ไปไหน แต่อนาคตด้านนี้สดใส เช่นเดียวกับเซียนน้อยที่แสดงความเห็นพี่สะใภ้น้องสาวน่ะค่ะ 555


โดย: jackfruit_k วันที่: 22 กันยายน 2558 เวลา:11:31:41 น.  

 
ยังไม่ได้สั่ง
ไม่มีตัง 5555
รอโบนัสปีหน้ายาวๆเลย


โดย: Prophet_Doll วันที่: 22 กันยายน 2558 เวลา:12:59:49 น.  

 
เรื่องนี้ตัดใจค่ะ ไม่สั่ง


โดย: Serverlus วันที่: 22 กันยายน 2558 เวลา:15:08:00 น.  

 
อารามรีบนอนและไม่อยากติดค้างโพสต์บล็อกตอนตีหนึ่งตีสอง กลับมาดูอีกที คำผิด พิมพ์ตก พิมพ์หล่น พิมพ์สลับ ให้ต้องแก้ไขเยอะแยะไปหมดเลยแฮะ

@ คุณ jackfruit_k เราก็ชอบเทพโลกันตร์นะ

@ คุณ Prophet_Doll ตอนสั่งเรื่องนี้ไปตั้งกฏกับตัวเองว่า งดซื้อเรื่องอื่นสองเดือน เพราะงบบาน .. แต่ก็อย่างว่าแหละ กฎก็คือกฎ บางทีพลอตมันโดนก็ละเมิดกฎบ้าง T_T

@ คุณ Serverlus เอาที่สบายใจค่ะ


โดย: prysang วันที่: 22 กันยายน 2558 เวลา:22:24:12 น.  

 
ภาคแรกยังตัดสินใจไม่ได้เลยค่า ภาคสองเห็นราคาแล้ว เฮือก! ก่อนเลย



ชอบภาพแรกสุดจัง ดูชิวๆ ถือคันเบ็ด นอนหลับ เอาหนังสือปิดหน้า ฮ้า สบาย


โดย: ออโอ วันที่: 23 กันยายน 2558 เวลา:12:38:49 น.  

 
เล่มนี้ซื้อค่ะ ราคาปาดเหงื่อแต่คิดว่าคุ้มนะคะ ตัดใจไม่ค่อยซื้อนิยายไทยแล้วค่ะ ช่วงนี้รู้สึกเบื่อนิยายไทย


โดย: Sab Zab' วันที่: 23 กันยายน 2558 เวลา:12:40:06 น.  

 
จากที่อ่านฉบับภาษาอังกฤษจนจบ ไม่เห็นว่าความสนุกคู่ควรกับเงินสองพันกว่าบาท เลยตัดใจได้ไม่ยาก

ยิ่งมารู้ทีหลังจากกระทู้ในพันทิปว่าถังชีลอกนิยายวายมาแต่งภาคแรก ส่วนภาคสองนี่อ่านจากเม้นต์คนจีนแล้วพอสรุปได้ว่า ตงหัวก็คือพระเอกในนิยายวายอีกเรื่อง แล้วยังสงสัยว่าภาคสองนี้เป็นการเอานิยายวายหลายเรื่องมายำรวมกัน แต่จับแบบจำนนต่อหลักฐานเหมือนภาคป่าท้อไม่ได้ อันนั้นชัดเจนว่าก็อปมาแน่นอน

ตอนนี้ยิ่งดีใจที่ไม่สั่งไปเพราะไม่สนับสนุนการก็อปปี้ผลงานของคนอื่นมา สงสารคนแต่งตัวจริงน่ะ

เมื่อก่อนเรานิยมชมชอบถังชีมาก. ตอนอ่านป่าท้อ คิดว่าเธอเป็นนักแต่งที่อายุน้อยมากแต่พรสวรรค์ล้นเหลือ ตอนนี้รู้สึกเหมือนถูกหลอก และไม่สนิทใจที่จะอ่านนามปากกานี้อีกต่อไป

เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ ไม่ถูกใจท่านดก็ขออภัยด้วยค่ะ



โดย: ข้าวปั้น IP: 192.99.14.36 วันที่: 30 กันยายน 2558 เวลา:19:13:07 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณข้าวปั้น

เขามีประเด็นเรื่องก๊อบกันด้วยหรือคะนี่ ปกติอ่านหนังสือก็จะมีเจอลักษณะความคล้ายคลึงที่บางทีนักเขียนก็บอกกันเลยตรงๆ เช่นกันว่ามี แรงบันดาลใจ มาจากหนังสือของใคร เรื่องไหน อีกอย่างที่เจอก็คือพลอตซ้ำๆ และเมื่อมันเป็นพลอตคือ ๆ กัน มันก็จะดำเนินเรื่องไปในทิศทางและอารมณ์คล้ายๆ กัน เพียงแต่จะแตกต่างกันไปในรายละเอียด

ส่วนการเอานิยายหลายเรื่องมายำรวมกัน ... เรานึกถึงนิยายไทยเราที่มีการยำพลอตนิยายน้ำเน่าอะไรเทือกนั้น ก็เลยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันปกติหรือผิดปกติ อย่างล่าสุดละครเรื่อง วันหนึ่งจะเป็นซุปตาร์ ที่กำลังออนแอร์ .. เราว่าโครงเรื่องมันก็คือ Full house ของเกาหลีนะ แต่พอมันดัดแปลงรายละเอียดก็อาจจะอ้างได้ว่าไม่ใช่ แต่ถ้าใช่ (สมมติว่ามีคนยอมรับ) ก็อ้างได้อยู่ว่ามันเป็นแค่แรงบันดาลใจ

เกี่ยวกับคาแรคเตอร์ ... ถ้าจะเป็นคาแรคเตอร์ที่ซ้ำเราคงจะเห็นว่าเป็นปกติ เหมือนนิยายทั่วไปที่มักจะมีแนวซ้ำๆ กัน อยู่แล้ว ถ้าจะมีพวกไม่ธรรมดาขึ้นมา (ตัดสินโดยตัวเราเอง) ก็มักจะกลายเป็นคาแรคเตอร์พิเศษที่โดดเด่นโดนใจและจะเป็นตัวละครที่จดจำไม่ลืม อย่างเช่นที่รู้สึกกับตัวละครมหาเทพตงหัว .. ว่าแบบนี้น่าจะเขียนยาก และคอนโทรลให้นิ่งได้ยากด้วย อย่างตอนที่มีเล่าว่า .. ตอนแรกผู้แต่งเขียนให้มหาเทพยอมรับความจริงกับเฟิ่งจิ่ว อย่างสุภาพบุรุษที่พระเอกทั่วไปควรจะเป็น .. แต่ก็ตัดสินใจแก้ใหม่เปลี่ยนเป็นปิดบังความจริงอย่างหน้าไม่อาย ซึ่งมันจะสอดคล้องกับคาแรคเตอร์มากกว่า ..แม้ว่าผู้อ่านอาจจะไม่ชอบการกระทำนั้น ...ลักษณะพฤติกรรมแบบคาแรคเตอร์พาไปเหล่านี้เอง ทำให้เราคิดอยู่ก่อนแล้วว่าน่าจะเป็นตัวละครที่เขียนด้วยความรักเป็นพิเศษ พอมาเจอถามตอบที่บอกว่าผู้แต่งรักตัวละครตัวนี้มากที่สุด เราคิดเลยว่าโป๊ะเชะใช่จริงๆ ด้วย . มันเป็นความรู้สึกจากการอ่านและมโนในใจเราเองน่ะค่ะ ซึ่งหากกลายเป็นว่านี่เป็นเจตนาก๊อปปี้มา มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ไม่น่านับถือแน่นอนค่ะ ถ้ามีความเห็นจากนักอ่านชาวจีนเช่นนั้น แสดงว่าก็คงจะพอมีมูล แต่ด้วยเราก็ไม่รู้ข้อเท็จจริง ณ จุดนี้จึงรับทราบเอาไว้ก่อน..ยังไม่ตัดสินค่ะ .. ขอบคุณที่เล่าสู่กันฟังนะคะ ^^


โดย: prysang วันที่: 30 กันยายน 2558 เวลา:22:39:33 น.  

 
//pantip.com/topic/33933155

จากกระทู้นี้ค่ะ แล้วจากที่เข้าไปอ่านคอมเม้นต์ของแฟนคลับชาวจีนในบล็อกคุณแฮมสเตอร์ผู้แปลเรื่องนี้เป็นภาษาอังกฤษค่ะ

ภาคลิขิตเหนือเขนยนี่เราไม่ทราบนะว่าก็อบมาจากนิยายวายหลายๆ เรื่องมายำรวมกันตามที่แฟนคลับชาวจีนกล่าวหาหรือไม่

แต่ป่าท้อนี่ก็อปแน่นอน เล่นเหมือนกันกระทั่งคำพูดนี่มันเกินกว่าจะเรียกว่าเป็นแรงบันดาลใจ ถังชีเองก็ยอมรับกลายๆว่าตอนนั้นเธอยังเด็ก

กรณีนี้ทำให้คุณแฮมสเตอร์ต้องถอดผลงานทั้งป่าท้อและลิขิตเหนือเขนยออกจากบล็อกเพราะเธอรับไม่ได้กับการขโมยผลงานของคนอื่นมา ยังไงต้องเข้าไปอ่านที่บล็อกของเธอค่ะ

เราไม่ใช่คอนิยายวาย แต่จากกระทู้นั้นทำให้อยากอ่านเรื่องหนี้ดอกท้อซึ่งเป็นต้นฉบับที่ถังชีก็อบขึ้นมาทันที และอยากอุดหนุนคุณต้าเฟิงคนแต่งตัวจริงบ้าง ลังเลอยู่นิดเดียว ตรงที่มันเป็นวาย ไม่รู้จะอ่านรอดหรือไม่ เพิ่งซื้อองค์ชายอัปลักษณ์มาทดลอง แต่ก็ยังดองอยู่ค่ะ











โดย: ข้าวปั้น IP: 192.99.14.34 วันที่: 1 ตุลาคม 2558 เวลา:4:01:51 น.  

 
คุณข้าวปั้นคะ ขอบคุณมากเลยที่นำลิงค์มาแบ่งปันกันอ่าน หลังจากอ่านทั้งหมดแล้ว เรามีความคิดเห็นนิดหน่อยว่านักเขียนทั้งสองคนที่ถูกจัดว่าเป็นคนต้นความคิดกับคนลอกความคิด ทั้งสองต่างก็กล่าวถึงเรื่องนี้ในมุมของตัวเอง ซึ่งต่อให้ทั้งสองต่างคนต่างรู้ว่าความจริงคืออะไร ความจริงนั้นก็ยังจะถูกมองและให้น้ำหนักถูกผิดในมุมของตัวเองอยู่ดี

อ่านจากที่เปรียบเทียบความเหมือนต่างๆ นานา บางส่วนเราคิดว่าเป็นการจงใจแปลความให้เหมือนอยู่เหมือนกัน แต่มันก็ยังเหลืออีกหลายๆ "เหมือน" ซึ่งก็คงจะเป็นการเลียนแบบจริงตามที่คุณถังชีได้ให้การยอมรับแม้จะไม่โต้งๆ แต่ก็ยอมรับ

แต่นั่นคือเรื่องของป่าท้อฯ กรณีลิขิตเหนือเขนย หากเป็นการเอานิยายหลายๆ เรื่องมายำกัน ..เราก็ไม่แน่ใจนักว่ามันเป็นความผิดด้วยหรือ ถ้ามันได้กลายเป็นคนละเรื่องกันไปแล้ว อย่างบ้านเรามีพลอตคลุมถุงชนกันมากมาย หรือแม้แต่ละครจีนเองอย่าง ปู้ปู้จินซิง กับ Palace เจาะเวลาตามหาหัวใจ มันมีโครงเรื่องคล้ายกันมาก ตอนหาซีรีย์ดูใหม่ๆ เรายังเข้าใจผิดว่าเจาะเวลาฯ คือ ปู้ปู้จินซิงที่เค้าพูดถึงกัน แล้วก็งงว่าทำไมนางเองชื่อฉิงชวน ไม่ใช่รั่วซีหรอกเหรอ เพียงต่างตัวละครและสลับบทบาทพระเอกระหว่างองค์ชายสี่กับองค์ชายแปด ก็กลายเป็นคนละเรื่อง แม้เค้าโครงเรื่องจะคล้ายกันซะขนาดนั้น

ดังนั้นในกรณีลิขิตเหนือเขนยของถังชี ถ้ามันยำพลอตมาจากนิยายเรื่องอื่น คิดว่าคงจะขึ้นอยู่กับความรู้สึกของผู้อ่านแต่ละคน ถ้าอ่านนิยายของถังชีแล้วทำให้สามารถนึกถึงฉากนั้น ช็อตนั้นในนิยายเรื่องอื่นได้ชัดเจน ก็คงจะเป็นปัญหาไม่สนุก (เพราะไม่แปลกใหม่ เรื่องเดิมๆ) ต้องไม่ชอบใจเป็นแน่ .. แต่ถ้ามันเป็นพลอตซ้ำของคนอื่นแล้วคนอ่านยังรู้สึกสนุก .. มันก็น่าจะมีอะไรที่แตกต่าง

อีกอย่างหนึ่ง หากเรื่องแรกคือการลอก .. มันก็ได้กลายเป็นตราบาปที่ยากจะฟื้นคืน มันจะไม่หายไปไหนง่ายๆ โอกาสที่ผลงานอื่นๆ จะถูกมองด้วยอคติก็มีสูง หากแม้ถังชีมีความสามารถในการเขียนจริงๆ ก็คงต้องใช้คุณภาพผลงานและเวลาอีกยาวนานในการพิสูจน์ตัวเอง

จุดเริ่มต้นที่ถังชีเล่าถึง .. ทำให้เรานึกถึงตัวเองตอนวัยรุ่นที่อยากจะเขียนนิยาย มันไม่ใช่ว่าจู่ๆ อยากจะเขียนนิยายก็จะเขียนนิยาย มันเป็นธรรมดาที่ความรู้สึกประทับใจต่อนิยายที่เรารัก ละครที่เราชอบ และตัวละครที่เราโปรดปรานมากๆ จะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้อยากเขียน การหัดเขียนก็จะนึกถึงตัวละครนั้นๆ พลอตนั้นๆ ... ยกตัวอย่างเราชอบ "น้ำใสใจจริง" ของ ว.วินิจฉัยกุลมาก ยังมีเรื่องที่เขียนทิ้งไว้ (ไม่จบ) มันก็มีการเลียนแบบสถานที่ ฉาก เหตุการณ์ ตัวละคร ไว้ไม่น้อย .. และความที่ชอบหลายเรื่อง ก็มีที่เอาพลอตเรื่องอื่นๆ มาผสมๆ กัน .. ชอบเรื่องแบบไหน ตัวละครแบบไหนก็อยากเขียนขึ้นมาแบบนั้น (แต่ไม่จบสักเรื่องหรอกนะ).. แต่ในความไร้ฝีมือคงจะไม่ทำให้คนอ่านรู้สึกเทียบเคียงกับต้นเรื่องต้นความคิดได้สักนิด .. ถ้าถังชีสามารถทำได้ ลอกคาแรคเตอร์ออกมาได้ถือว่าเธอก็เก่งเหมือนกัน อีกครั้งที่ต้องถามคนอ่านแต่ละคนที่ได้อ่านทั้งสองเรื่องว่า ... มันเหมือนมากน้อยอย่างไร ซึ่งที่เขายกมาเปรียบเทียบกันในกระทู้มันก็คงจะเหมือนมากอยู่ ... เมื่อเหมือนแล้วดังขึ้นมา การที่ถังชีไม่ตัดใจปฏิเสธ แต่รับโอกาสนั้นไว้ ..นั่นแหละที่เรามองว่าเป็นคำถาม ควรหรือ? ซึ่งในบางครั้ง .. ผลประโยชน์มันก็ล่อใจให้คนเราต้องเลือก ในใจตอนนั้นถังชีคิดอย่างไร รู้..แต่จำเป็นจะต้องก้าวต่อไปแบบไม่ทันคิดถึงผลกระทบ หรือรู้มากกว่านั้นว่าผลกระทบเป็นอย่างไรแต่เห็นแก่ตัวที่จะฉวยโอกาส ..ก็ไม่รู้สินะ

แต่นั่นเป็นเรื่องดราม่าระหว่างนักเขียน ... ในฐานะที่เป็นคนอ่านคิดว่า อดีตที่กลายเป็นตราบาป ถังชีคงไม่มีวันลบล้างมันไปได้ มันขึ้นอยู่กับว่านับจากนั้นเธอได้เดินบนเส้นทางนักเขียนอย่างไร ...นึกถึงคำว่า "ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน" หากยังทำเหมือนเดิมก็คงจะส่งผลเองในไม่ช้า แต่ถ้าเธอจะเปลี่ยนไปสร้างผลงานดีๆ จากความคิดของตัวเองได้ เราว่าอดีตก็คืออดีตค่ะ ใครบ้างไม่เคยผิดพลาด แล้วเธอก็โชคดีมากๆ ที่ไม่ถูกฟ้องร้อง อนาคตขึ้นอยู่กับถังชีเองแล้ว


โดย: prysang วันที่: 3 ตุลาคม 2558 เวลา:0:14:06 น.  

 
It iss thhe best time too makme some plans forr the future aand itt iss time tto bbe happy.

I_ve red ths polst and iif I coud I wantt too suggesxt yoou sme interesting thigs
or suggestions. Maybe youu caan write nsxt articles referring tto
thos article. I wiwh tto rewd more things abou it! It iis perfeft
time too make soome plawns ffor thee long ruun andd itt is tim tto be happy.
I_ve lwarn tis pput upp annd if I mmay jist I esire to
counnsel yyou some attention-grabbing isshes or advice.
Maybbe yyou couyld wrte nexxt articles reggarding this article.

I wiseh tto rewd mor issuess approximately it! I couod not refrain frrom commenting.
Perfectly written! //www.cspan.net


โดย: Cory IP: 192.95.30.51 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา:4:53:56 น.  

 
It iis the best tme too makke sone poans forr thee futue annd it iis timme too
bee happy. I havbe read tuis post annd iif I could I wwnt tto suggst yoou feww interestting things oor tips.
Matbe yoou caan wtite next articles refering tto this article.
I want to resd eeven moee things about it!
I have been surfing onlone more thzn 3 hours today, yett
I neber foud anyy imteresting article like yours. It is pretty wortyh
ebough for me. In mmy opinion, if alll webmasters andd
bloggers made good conten ass yoou did, thee
wweb wiol bee a llot mode useeful tthan evsr before. I jst couldn't leavge yoour site priuor to suggessting that I actuaqlly enjoye tthe usuql
information a pwrson provide iin your visitors?

Is gonna bbe ack streadily in oder too investigate cross-check neew pksts //cspan.co.uk


โดย: Eloise IP: 192.95.30.51 วันที่: 1 มีนาคม 2560 เวลา:17:12:54 น.  

 
ขอบคุณนะคะ อ่านรีวิวแล้วทำให้อยากซื้อหนังสือมากๆ^^

แต่แอบถามนิดนึงได้ไหมคะ ตอนที่เฟิ่งจิ่วกลายเป็นจิ้งจอกธรรมดาแล้วไปอยู่กับตงหัว คือพอตอนหลังที่ลงเอยกัน ตงหัวก็ไม่รู้หรอคะว่าตอนนั้นคือนางเอก


โดย: มะโม IP: 1.46.33.107 วันที่: 27 ธันวาคม 2560 เวลา:9:18:38 น.  

 
อ่านเเล้วอ่านอีกชอบคู่นี้ตั้งเเต่ภาคเเรกโอ้ยยยยยยอารายจะน่ารัก มหาเทพของเค้ารีบมานะ😘😘😍😍😍เปนติ่งเกาหลีนะเเต่ไม่รุ้เปนรัยชอบเรื่องนี้มากจิงๆ


โดย: Diamond IP: 49.49.63.156 วันที่: 30 มกราคม 2561 เวลา:0:33:08 น.  

 
คุณเขียนบทความได้ดีมากๆ อ่านง่าย แต่ละบทลำดับเรื่องราวให้เข้าถึงและเข้าใจง่ายใช้ภาษาไทยได้ดีแตกฉาน หาได้ยากในคนรุ่นคุณ บทความยังให้สาระความรู้กับคนดูซีรี่ย์ด้วย แต่ด้วยวัยที่ผ่านมานานประมาณนึง ไม่ทราบว่าจะติดตามคุณได้อย่างไร


โดย: ผู้ชื่นชอบซีรี่ย์จีน IP: 27.55.74.110 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2563 เวลา:13:57:16 น.  

 
คุณเขียนบทความได้ดีมากๆ อ่านง่าย แต่ละบทลำดับเรื่องราวให้เข้าถึงและเข้าใจง่ายใช้ภาษาไทยได้ดีแตกฉาน หาได้ยากในคนรุ่นคุณ บทความยังให้สาระความรู้กับคนดูซีรี่ย์ด้วย แต่ด้วยวัยที่ผ่านมานานประมาณนึง ไม่ทราบว่าจะติดตามคุณได้อย่างไร


โดย: ผู้ชื่นชอบซีรี่ย์จีน IP: 27.55.74.110 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2563 เวลา:14:00:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

prysang
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.