และแล้ว เราก็ค่อย ๆ เข้าใกล้กัน ทีละหนึ่งมิลลิเมตร
จากคำโปรยเรื่องราวเริ่มต้นที่บนปกหลัง ไม่มีอะไรอย่างอื่นให้นึกถึงเลย นอกจากมโนไปว่านี่คงจะเป็น มนต์รักข้างหน้าต่าง เดอะบอยเน็กซ์วินโดว์ คนที่ใช่ใกล้ๆ กัน และนั่นต้องน่าสนใจมากแน่ๆ จึงต้องทำมึน ทำลืมว่ามีกองดองใหญ่โตอยู่ไปชั่วขณะหนึ่ง โดยปกติยังมีช่วงเวลาให้ 'มารขาว-มารดำ' ในจิตใจได้รบรากันบ้าง 'หยุด' หรือ 'อย่าหยุดยั้ง' (ฝ่ายหลังช่างมีพละกำลังแก่กล้ายิ่งนัก)แต่ด้วยปกสีน้ำในความมืดที่ทึบทึมขัดหูขัดตาอย่างแรง ราวกับมันจะตะโกนบอกว่า ฉันไม่ใช่หนังสือมนต์รักข้างหน้าต่างอย่างที่เธอแอบคิดอย่างแน่นอน เรียกร้องความสนใจขนาดหนักจึงต้องจัดมาอย่าให้เสีย
อ่านจบแล้ว นึกไม่ออก บอกไม่ถูก ว่าจะเขียนรีวิวหนังสือเล่มนี้อย่างไร มันไม่ใช่ความโรแมนติกใส แต่ก็ไม่โรแมนติกมืดซะทีเดียว มันอาจจะหม่นมัว ทึบทึม แต่มันก็มีแสงรำไรของความหวัง ที่ค่อยๆ สว่างขึ้น และทอประกายแห่งความสุข เป็นแสงรำไรในความทึม เหมือนอย่างหน้าปกหนังสือนั่นรึเปล่านะ
น่าแปลกที่ตัวเราเอง ไม่ใช่คนที่จะนึกสรรหาหนังสือโทนอารมณ์อย่างนี้มาอ่าน เพราะมันจะเริ่มรู้สึกหนักตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ทุกครั้งที่ได้อ่าน.. ก็จะหลงติดตามอารมณ์อย่างนี้ไปได้เรื่อยๆ แล้วก็ลงเอยด้วยความชอบ
คนสองคนที่มาเจอกัน ด้วยหัวใจที่คำว่าต่างคนต่าง 'เหงา' ไม่น่าจะใช่คำที่ตรงพอ เหงาน่ะเหงาแน่ ขนาดอ่านยังรู้สึกเหงาไปด้วยเลย แต่มันเหมือนจะมีอะไรมากกว่านั้น
ต่างคน ต่างเติบโตมาจากครอบครัวที่ ..ไม่ปกติ
และต่างคนต่างเสียแม่..ผู้เป็นหลักที่พึ่งทางใจ
คนหนึ่ง 'ขาดพร่อง' คนหนึ่ง 'แหว่งวิ่น'
ความเปราะบางของจิตใจ ส่งผลให้ความสัมพันธ์อ่อนแอ
ความรู้สึกเกิดขึ้นบนรากฐานของจิตใจที่กะปลกกะเปลี้ยไม่มีความมั่นคงเลยสักนิด
ย่อมเป็นความรักที่เปราะบางอย่างน่ากลัวจะแตกสลายลงง่ายดาย
เหมือนคนสองคนที่หาตัวเองไม่เจอมานานทั้งชีวิต การได้พบอีกฝ่าย เป็นความรู้สึกของการได้ค้นพบจุดหมายปลางทางเสียที คนที่จะเป็นบ้าน เป็นที่ทางของตัวเอง ที่ความสุขจะเริ่มต้นขึ้น
'บานานา ยังคงมาพร้อมกับบรรยากาศเหงาๆ แต่ความเหงาก็มีด้านที่งดงามของมัน เมื่อคนเหงาสองคนมาเจอกัน ความงดงามนั้นจึงค่อยๆ ปรากฏออกมา พาหัวใจให้ช่วยประคับประคองกันไปจนตลอดรอดฝั่ง'
'พร้อมหรือยังที่จะขยับเข้าใกล้ความเหงา เพื่อที่เราสองคนจะได้มาเจอกัน'
ใช่ .. เข้าใกล้กันทีละหนึ่งมิลลิเมตร
'ชิฮิโระ' เรียนจบมหาวิทยาลัยศิลปะ และเริ่มทำงานเป็นช่างเขียนภาพ ศิลปินที่สะท้อนจิตใจในเบื้องลึกผ่านความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับพ่อแม่ สภาพแวดล้อมที่เติบโต รวมทั้งงานศิลปะของตัวเอง ถือเป็นวิธีการบอกเล่าที่ทำให้นึกนิยมผู้แต่งมากทีเดียว
ส่วนตนเป็นคนที่ชอบงานเขียนลักษณะนี้ คือการที่ตัวละครจะบอกเล่าสิ่งต่างๆ รอบตัว เหมือนเรียบง่าย เหมือนเรื่อยๆ แต่สะท้อนความลึกในอารมณ์ที่มีอยู่มากกว่าที่เล่า และนั่นก็คือความขมขื่น
'นาคาจิมะ' นักศึกษาปริญญาโท ภาควิจัยทางการแพทย์ คณะแพทย์ศาสตร์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขาคือความแปลก คือคนที่ทุกข์ทรมานอยู่กับอะไรบางอย่างที่ลึกล้ำ เป็นความมืดมนที่ชิฮิโระหยั่งไปไม่ถึง และก็กลัวที่จะเข้าไปถึงในสักวัน
'ไม่ว่าโลกนี้จะงดงามเพียงใด ก็ไม่อาจพยุงเขาไว้ได้อีกต่อไป ฉันรู้สึกได้จากส่วนลึกของวิญญาณเลยทีเดียว'
'วันคืนที่ไม่มีอะไรแน่นอนของเราสองคน มีสิ่งที่แน่นอนเพียงสิ่งเดียวคือ นาคาจิมะคุงยังอยู่ที่บ้าน และมีชีวิตอยู่'
'ที่ที่เขาอยู่ คือที่ที่ฉันจะกลับไป'
"...ผมตัดสินใจแล้ว ว่าผมจะอยู่แบบนี้ อยู่กับคุณชิฮิโระไปตลอดชีวิต"
'...ฉันบอก ทั้งๆ ที่เราสองคนเป็นคู่ที่เรียกได้ว่าอยู่ระหว่างความเป็นความตาย ราวกับกำลังเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ หากใครคนใดล้มลง ก็จะพาให้อีกคนล้มตามไปด้วย เราเป็นคู่ประกบที่อ่อนแอ กะปลกกะเปลี้ยเหลือเกิน แต่ฉันก็พูดเช่นนั้นด้วยใจที่เชื่อมั่น'
'..ถึงเรื่องนี้อาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่จะผิดอะไรถ้าเราจะมีความหวัง แม้จะเพียงริบหรี่ ใครเล่าจะมาห้ามไม่ให้นำไออุ่นแห่งความหวังอันน้อยนิดมาประคบมือเท้าที่สั่นเทา'
ชอบที่สุดในเรื่องนี้ คือ ความรู้สึกขัดแย้งอยู่ตลอดเวลาของตัวละคร โดยเฉพาะความรู้สึกที่มีต่อพ่อแม่ พึงพอใจในความห่างเหิน แต่ก็โหยหาความชิดใกล้ ไม่อยากเกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่อยากจะตัดขาด เกลียด แต่ก็รักมาก เย็นชาต่อความสูญเสีย แต่ก็เคว้งคว้างเหมือนขาดแกนที่จะทำให้ชีวิตตั้งอยู่ได้
ยกให้เป็นประโยคทองของเรื่องนี้ ..
'ความรัก ไม่ได้มีแค่การโอบกอดด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
ยิ่งเก็บซ่อนความรู้สึกต่อกันไว้เท่าไร ก็ยิ่งมีอะไรที่จะสื่อถึงกันได้อย่างแน่นอน ...
ขอเพียงอ่านนัยออก สัมผัสรับรู้ได้ ก็จะเป็นสมบัติล้ำค่า'
เหงา แต่ก็แฝงความละมุนของไออุ่น เมื่อคนอ้างว้างสองคน..หากันจนเจอ
ในที่สุดหัวใจจะแข็งแรง และไม่ต้องบอกก็รู้ว่าความรักและความสัมพันธ์จะมั่นคง