Group Blog
 
All blogs
 
SEAL Target Geronimo เหยียบพญายม ปฏิบัติการสังหารบินลาเดน ข้อเท็จจริงคือ.....


"เจรอนิโม เจรอนิโม เจรอนิโม" ยืนยัน 'เห็น' เป้าหมายแล้ว


แม้หนังสือเรื่องนี้ ไม่มี Best Seller เป็นตราประดับอยู่บนปก

แต่โดยคำนิยมส่วนตนแล้ว ถือเป็นหนังสือที่ได้รับความชื่นชมระดับ 'ขึ้นหิ้ง' 

ที่ถูกยืนยันรับรองด้วยน้ำตา ไม่ใช่เพราะดราม่า แต่เป็นน้ำตาแห่งความประทับใจ 

เหยียบพญายม

เบื้องหลังปฏิบัติการของหน่วยไล่ล่าโอซามา บิน ลาเดน

ถ่ายทอดแบบก้าวต่อก้าวโดย ชัค ฟารร์

อดีตหัวหน้าหน่วยจู่โจมของซีล-ทีม 6

เขาตีแผ่ภารกิจครั้งประวัติศาสตร์นี้อย่างละเอียด

ทั้งในแง่มุมของเจ้าหน้าที่ฝ่ายวางแผนและฝ่ายปฏิบัติการ

ยิบตั้งแต่ห้องสไนเปอร์บนท้ายเรือ เมิร์สก แอลาแบมม่า กลางอ่าวเอเดน

ยันห้องนอนของบิน ลาเดน กลางกรุงอับบอททาบัด

ชัค ไม่เป็นเพียงแต่นักรบ เขายังเป็นนักประวัติศาตร์ที่อ่านมาก

รู้รอบ และรุ่มรวยข้อมูลเชิงลึก 

สามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างวาระเข้าหากัน ให้เข้าใจถึงที่มา

ภาพรวม และเหตุแห่งความขัดแย้งที่ดำเนินมาจวบจนถึงปัจจุบัน

จากโต๊ะวางแผนถึงสนามรบ จากฟ้าถึงพื้น จากนอกตึกถึงในตึก

เหยียบพญายม-เรื่องรบครบรส ที่เปิดเผยมุมมองความคิด

ตลอดจนเทคนิคการรบและการจารกรรมสมัยใหม่อย่างโจ่งแจ้ง..


SEAL Target Geronimo  ก่อนหน้านั้นไม่คิดอะไรอื่นเลยต่อหนังสือเล่มนี้ นอกจากคิดว่ามันน่าจะเป็นหนังสือชื่นชมหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่เรียกว่า ซีล  อาจจะบรรยายความเลอเลิศในทักษะ ประสบการณ์ และกระบวนการฝึกฝนคัดสรรอันมหาโหดที่จะเหลือรอดมาเป็นซีลได้ก็เฉพาะบุคคลเลิศเลอเท่านั้น เมื่อซีลเป็นศูนย์รวมความเป็นเลิศ   ก็คงจะติดตามมาด้วยการยกย่องผลงานสร้างประวัติศาสตร์ "ปฏิบัติการสังหารบินลาเดน"

หนังสือเรื่องนี้ เหนือความคาดหมายเช่นนั้นไปไกลลิบ 

เพราะผลของการอ่านหนังสือเล่มนี้คือ การเปิดมุมมองสู่โลกของการก่อการร้าย

ขอหยิบยก  คำถอดคน จาก คนถอดความ วิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ มาอ้างอิงถึง

ผมเห็นซีลออกมาเขียนหนังสือกันให้เกลื่อนแผง บางคนเขียนจากมุมมองผู้ปฏิบัติการ บางคนเขียนจากมุมของนักวางแผน อันเป็นการมองเนื้อหาสาระจากมุมที่แตกต่างกัน เหตุที่ผมเลือกแปลเล่มนี้ของชัค ฟารร์ เพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นการมองมุมกว้างของความขัดแข้งที่เกิดขึ้น ทำนองว่า ก่อนที่ไอ้นี่จะต่อยไอ้นั่น ไอ้นั่นมันไปเหยียบเท้าไอ้นี่ อะไรทำนองนั้น

ใช่ .. มันมีหนังสือเกี่ยวกับซีลอยู่เยอะ และยังอยากอ่านอีกมากไม่ว่าจะเขียนจากมุมมองไหนก็เถอะ ซึ่งหนึ่งในเรื่องของซีลเรื่องนี้ก็เด็ดดวงได้ใจ ตอนนี้มีความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับเรื่องของหน่วยสไนเปอร์ - มือสังหารที่ความแม่นยำของพวกเขาเป็นเรื่องน่าขนลุก 

นอกจากเขาจะชี้แจงว่าเกิดเหตุการณ์นั้นนี้ขึ้นเมื่อวันที่เท่าไหร่แล้ว  เขายังมีข้อมูลเชิงลึกที่เชื่อมโยงเหตุการณ์ที่ดูเผินๆ เหมือนจะไม่เกี่ยวกันเลย มาผูกโยงกันให้เราได้พิจารณาถึงความเกี่ยวเนื่องและความเป็นไปได้ในข้อสันนิษฐานนอกกระแสหลัก ผมชอบที่ชัคด่าทั้งอเมริกันและอาหรับ ใครผิด ใครเจ้าเล่ห์ ก็ว่ากันตามเนื้อผ้า

ว่าไปตามเนื้อผ้าจริงค่ะ  นักการเมือง สื่อสาธารณะ  ซีไอเอ เอฟบีไอ อาหรับ อเมริกา ผู้นำประเทศ  ผู้นำขบวนการก่อการร้าย  จนเกิดมีภาพบางอย่างผุดขึ้นในหัวแตกต่างไปจากภาพในหนังฮอลลีวู้ด หรือจินตนาการส่วนตนยามอ่านเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในหนังสือวิชา สังคมศาสตร์ ในวัยมัธยม  หนึ่งในประเด็นโปรดจากเรื่องนี้นอกจากการไล่เรียงเหตุการณ์ 9/11 และปฏิบัติการ เมิร์สก แอลาแบมม่าแล้ว ยังมีเรื่องของ ยิว-มุสลิม ปัญหาอิลราเอล -ปาเลสไตน์  ผู้นำขบวนการพีแอลโอ (องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์) มี ยัตเซอร์ อาราฟัด  และอีกหลายชื่อกลุ่ม ชื่อคน ชื่อสงคราม คุ้นเคยผ่านหูอยู่ในความทรงจำตามการรับรู้ข่าวสารในอดีต ซึ่งการรับรู้อย่างผิวเผินเหล่านั้น เหมือนถูกทำให้กระจ่างขึ้น  และแน่นอนว่าเรารู้ดี มันเป็นแค่เรื่อง "หยิบมือนึง" บางอย่างเป็นการเรียงร้อยข้อมูลผูกโยงกัน บางอย่างเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน  แต่นั่นก็ทำให้มีความเข้าใจคร่าวๆ เกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และที่มาที่ไปของความเกลียดชังที่สหรัฐอเมริกาได้รับ  และถ้าหากว่ากันตามเรื่องที่เกิดขึ้น..ก็สมควรจะได้รับ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าฝ่ายไหนจะได้รับความอยุติธรรม ฝ่ายไหนจะทุกข์ทนขมขื่นเพียงใดก็ตาม ชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่ว่าชาวอาหรับหรือชาวตะวันตก ไม่ควรถูกสังเวยเพื่อการแก้ปัญหา ลัทธิใดก็ตามที่เชื่อว่าความรุนแรงจะนำไปสู่ทางออกเป็นความเลวร้าย  และใครก็ตาม ที่เพิกเฉยต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้น ย่อมถือว่าเป็นความเลวร้ายด้วยเช่นกัน  และนั่นคือสหรัฐอเมริกา ที่เมินเฉยต่อความระทมทุกข์ของชาวอาหรับปาเลสไตน์ใช่หรือไม่

ผมอยากออกตัวไว้ ณ ที่นี้ว่า ที่ผมแปลหนังสือเล่มนี้เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องรบที่ครบรส มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์อันเป็นที่มาของความขัดแย้ง เทคนิคการรบและการจารกรรมสมัยใหม่รวมอยู่ เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์อยู่มาก โดยเฉพาะสำหรับผู้อ่านที่อยู่ในสายข่าวกรองและการทหาร ผมไม่ได้แปลเพราะความสะใจที่ใครสังหารใครได้สำเร็จ

มันครบรสจริง  ไม่ได้ทำให้สะใจ..จริง   ตรงกันข้ามคือมันรู้สึกสะเทือนซางนะ ที่การถ่วงศพบินลาเดนลงทะเลในมหาสมุทรอินเดีย  จะไม่ได้เป็นความหมายของการสิ้นสุดสิ่งใดนอกจากชีวิตของบินลาเดน  อัล ไคด้า จะยังคงอยู่ และความเชื่อในการเลือกใช้ความรุนแรงจะยังมีผู้สานต่อ 

บอกตามตรงครับ ว่าหลังจากเข้าไปคลุกกับข้อมูลมากๆ ถึงวันนี้ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่า สิ่งที่เราเห็นกันอยู่ชัดๆ สิ่งที่ ขา บอกว่ามันเกิดขึ้น แท้แล้วมันเกิดขึ้นด้วยเหตุที่ เขา นำเสนอหรือเปล่า

มันเป็นเช่นนั้นอย่างจริงแท้  และ เขา ในที่นี้ไม่รู้ผู้แปลหมายถึงใคร  ส่วนตนแล้วชี้เป้า "เขา" ไปที่สหรัฐอเมริกาเป็นพิเศษ  สื่อต่างประเทศที่เรารับรู้ มันย่อมมาจากโลกตะวันตกเสียเป็นส่วนใหญ่ .. และไม่ว่าอเมริกาจะอะไรยังไง กับใครก็ตาม  เรารับรู้สถานะและฉากหน้าภารกิจของสหรัฐฯ ต่อประชาคมโลก จากทางฝ่ายตะวันตก  และจากมหาอำนาจแห่งการประชาสัมพันธ์อย่าง "ฮอลลีวู้ด" 

เถอะ .. ถึงเราจะรู้ว่ามันเป็นหนังเข้าข้างตัวเอง แต่ตลอดชีวิตของเราที่ดูหนังมันต้องซึมซับไปบ้างล่ะว่าอเมริกาคือ ฮีโร่สากลผู้ต่อสู้กับเหล่าร้ายฝ่ายตรงข้าม คอยขจัดปัดเป่าอันตรายเพื่อรักษาความสงบสุขของโลกใบนี้  ต่อให้รู้ว่าอเมริกาจะได้อะไรๆ (ในความเป็นจริง) ก็ไม่มีใครสนใจหาความมากนักหรอก เพราะมันเป็นเรื่องของภาพลักษณ์ดีไปซะแล้ว  

อ่านเพลิดเพลินสุดๆ สนุกมากด้วย สนุกจนรู้สึกผิด เพราะทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของสงคราม เหตุการณ์ก่อการร้าย หรือแม้กระทั่งการสังหารหมู่อย่างโหดเหี้ยม  -  ความตายของทหารเป็นเรื่องโศกเศร้า ความตายของประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่ว่าชนชาติใดเป็นโศกนาฎกรรม  

ถ้าคุณเคยเป็นคนชอบวิชาสังคมศาสตร์ สนใจในประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคม เชื่อว่าคุณจะต้องชอบหนังสือเรื่องนี้ แต่ถึงอย่างไร นี่ก็เป็นเพียงหนังสือเล่มหนึ่ง จากผู้เขียนท่านหนึ่ง มันไม่ช่วยให้เราตัดสินได้หรอกว่า .. ทั้งหมดเป็นอย่างที่ถูกวิเคราะห์เจาะลึกตามมุมมองนั้นๆ 

แค่เพียงอยากจะบอกว่านี่เป็นอีกหนึ่งมุมมอง ที่ทำให้การรับรู้ของเรากว้างขึ้น ส่วนตัวแล้วยังสนุกกับเรื่องของ  โอซามา บิน ลาเดน ที่ดูเหมือนจะไม่ใช่ตัวร้ายเท่ๆ อย่างเคยคิด   ตามมโนนึก..เคยวาดภาพเขาที่เป็นผู้นำกลุ่ม อัล ไคด้า ในฐานะนักต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ (ไม่ว่าเขาจะสู้เพื่ออะไรก็ตาม) ที่กล้าต่อกรกับมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ  เป็นผู้บัญชาการนักก่อการร้าย และส่งพวกนั้นไปป่วนโลก  หนึ่งในความป่วนวอดวายนั้นคือเหตุการณ์มหาวิปโยค 9/11 ที่เหลือเชื่อสุดๆ  คือ ..เขาสามารถหลบหนีการตามล่าของทางการสหรัฐฯ มาได้เป็นสิบปี  สหรัฐฯ ที่มีทั้งซีไอเอ เอฟบีไอ หน่วยงานข่าวกรอง หน่วยงานความมั่นคง หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ผู้เชี่ยวชาญในอีกสารพัดด้าน และที่สำคัญคือมีเทคโนโลยีไฮโซสุดๆ จนบางอย่างก็แทบไม่อยากเชื่อว่ามันมีอยู่จริง 

แต่ไม่ว่าสหรัฐฯ จะมีอะไร ก็ไม่ได้ทำให้บินลาเดนจนมุม   มันน่าคิดว่าเขาคงจะเป็นตัวร้ายที่ปราดเปรื่องเฟื่องปัญญาเอามากๆ   และนั่นทำให้เขาเป็นตัวร้ายสุดเท่ ไม่ต่างจาก ราชาปิศาจ พิคโกโร่ ในการ์ตูนดราก้อนบอลที่ฆ่ายากตายยากแถมสูงหล่อเขียวอี๋เท่ดีจริงๆ   แต่ให้ตายเหอะ ภาพบินลาเดน ที่ก่อเกิดขึ้นมาจากเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ช่างแตกต่าง  มันอารมณ์แบบว่า เส้นทางชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย คุณหนูลูกมหาเศรษฐี  อำนาจเงิน  และความสามารถเห่ยๆ ทางยุทธวิธี  นี่น่ะหรือ คือ บิน ลาเดน ?  (อยากรู้ต้องอ่านเอง)  ช่างเป็นตัวร้ายเขย่าโลกที่น่าผิดหวังจริงๆ    และสาเหตุที่ชักนำซีลทีม 6 ไปเหยียบพญายมรายนี้ที่อับบอททาบัดได้ในที่สุด  ..  มันก็ช่าง...น้ำเน่าฮอลลีวู้ดดีๆ นี่เอง  นี่แหละที่มีคำกล่าวว่า บางครั้งความจริงก็ยิ่งกว่านิยาย


กล่าวถึงฮอลลีวู้ด  รู้สึกดีใจที่ได้ดูหนังเรื่อง Captain Phillips ,  Zero Dark Thirty ปฏิบัติการสังหารบินลาเดนซึ่งเน้นเนื้อหาอยู่ที่งานสืบสวนข้อมูลของซีไอเออันนำไปสู่ปฏิบัติการเน็ปจูนสเปียร์ช่วงท้ายเรื่อง  ในส่วนของเรื่องราวปฏิบัติการทหารน่าจะอยู่ที่เรื่อง Code name : Geronimo แต่เรื่องนี้ยังไม่เคยดู แต่จะรีบหาดูเร็วๆ นี้แหละ (อารมณ์มันมา)  และอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เรื่องนี้เล่าถึง เกือบจะขำก๊ากออกมาตอนอ่านเจอประโยคที่ว่า 'เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ฉากจากหนังแอคชั่นฮอลลีวู้ด'   แหม.. อะไรจะรู้ทันปานนั้น กำลังนึกถึงภาพการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกู้ระเบิดในหนังเรื่อง The Hurt Locker อยู่เลย แต่เรื่องสมรภูมิกับระเบิดในอิรักนี้ ไม่แน่ใจว่าใช่เหตุการณ์ที่ถูกนำไปสร้างหนังโดยตรงหรือไม่ 

โดยปกติการอ่านหนังสือก่อน ดูหนังจะเกิดผลสองอย่าง คือถ้าไม่คาดหวังสูง ก็รู้สึกอินกับหนังโอเว่อร์กว่าที่ควรเป็น  แต่การอ่านหนังสือ หลัง ดูหนัง ทำให้ความรู้สึกอินกับหนังลดน้อยลง เพราะเราจะพบว่ามีบางอย่างเบี่ยงเบนดัดแปลงให้เกิดภาพแอคชั่นอันตื่นตาเร้าใจ แต่นั่นคงไม่ได้หมายความเหตุการณ์จริงจะตื่นเต้นระทึกใจน้อยไปกว่า เพียงแต่เหตุการณ์จริง ใครจะไปรู้ดีกว่าคนที่อยู่ในเหตุการณ์  และแม้แต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์เอง ก็จะรู้เฉพาะภารกิจหน้าที่ของตนในเบื้องหน้าที่ต้องลงมือกระทำให้สำเร็จ ในเฮลิคอปเตอร์อีกลำ ในอีกฟากตึก ในอีกชั้น ย่อมไม่รู้ไม่เห็น   ในเบื้องหลังเบื้องลึกของปฏิบัติการ  มันมีรายละเอียดมากมายที่หนังไม่อาจแสดงถึง  และในบางถ้อยคำสั้นๆ ของผู้ปฏิบัติการระดับล่างมันเท่กว่าสุนทรพจน์งามๆ ของระดับผู้นำเป็นไหนๆ 

"คุณยิงสาม-เก็บสามได้ไหม?"

"มันตั้งแปดสิบฟุตนะหัวหน้า"

"สามนัดพร้อมกัน เมล ผมรู้ระยะดี"

ทั้งห้องท็อคเงียบสนิท.....


"แจ้งสตู๊ป ซีโร่ เซเว่น  หน้าต่างเปิดแล้ว"  

เท่สุดๆ ไปเลย กับการออกคำสั่งแต่ละคำของผู้บังคับบัญชาทีมซีล   เหตุการณ์ในหนังเรื่อง Captain Phillips ค่อนข้างมีความใกล้เคียงกับฉากเหตุการณ์ที่บรรยายไว้ในหนังสือเรื่องนี้ เพียงแต่ในรายละเอียดสถานการณ์ลึกลงไป หนังย่อมให้ไม่ได้เหมือนในหนังสือ และหนังก็เน้นไปที่สถานการณ์ของกัปตันฟิลลิปส์ในฐานะตัวประกันด้วย ซึ่ง ทอม แฮงค์ ก็ไม่ทำให้ผิดหวังในฐานะนักแสดงระดับยอดฝีมือ  

มีความเห็นออกมาแตกต่างกันตามที่เคยได้อ่านเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้   แค่โจรสลัดโซมาเลียที่ออกปล้นเพราะความอดหยากสี่คน  สหรัฐฯ ต้องใช้ปฏิบัติการทางทหารเต็มรูปแบบขนาดนั้นเชียวหรือ   จากตอนนั้นถึงตอนนี้เราก็ยังคิดต่างต่อความเห็นนี้ ถ้าเราเป็นพลเมืองอเมริกัน นี่แหละคือความหมายที่ประชาชนจะมอบความรักต่อประเทศชาติ แม้จะเป็นแค่เพียงชีวิตเดียว แต่ขอให้อุ่นใจได้ว่าจะไม่ถูกทอดทิ้งให้เผชิญอันตรายหรือถูกฆ่าทิ้งเพียงลำพัง  มีภารกิจช่วยเหลือตัวประกันครั้งอื่นที่ล้มเหลวบอกไว้ในหนังสือเล่มนี้  แต่กัปตันฟิลลิปส์ได้มีโอกาสรอด ด้วยปฏิบัติการที่อยากจะเรียกมันว่า 'มโหฬาร' ถ้าเทียบกับชีวิตตัวประกันเพียงคนเดียว และนั่นก็สมควรที่เขาจะรักประเทศชาติไปทั้งชีวิตเลยน่ะนะ    เรือพิฆาตยูเอสเอส เบนบริดจ์, เรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอส บ็อกเซอร์, หน่วยจู่โจมซีลทีม 6, หน่วยสไนเปอร์ กระโดดร่มลงจากเครื่องบินสู่อ่าวเอเดน ตามด้วย หน่วยเด็ท แอลฟ่า เหล่าซุปเปอร์เนิร์ดที่ทำงานสนับสนุนซีล 6 ในการติดตั้งระบบสื่อสาร บนทะเลมี เรือพิฆาต  เรือเร็วจู่โจม ติดปืนกลหนักพร้อมเครื่องยิงระเบิดออโตแมติค  บนฟ้ามี เฮลิคอปเตอร์ ใต้น้ำลึกลงไปสามร้อยฟุตมี เรือดำน้ำซีวูลฟ์-คลาส คอยติดตามเรือชูชีพไฟเบอร์กลาสที่ถูกโจรสลัดยึดไปพร้อมกับตัวประกัน กัปตันริชาร์ด ฟิลลิปส์

เอ่อม.. ถ้าเทียบกับโจรสลัดโซมาเรียผอมแห้งสี่คน มันก็เว่อร์จริงๆ นะ ไม่ได้เว่อร์ธรรมดา แต่โพดเว่อร์  ทว่าในมุมกลับกัน ถ้าไม่เว่อร์ขนาดนี้ ใครจะรับประกันชีวิตของกัปตันฟิลลิปส์ในมือของโจรสลัดที่ถือปืน ถ้าไม่มีสปอตเตอร์ สไนเปอร์ และทีมเทคนิคที่จะเอื้ออำนวยต่อการใช้อุปกรณ์เวรี่ๆ ไฮเทคโนโลยีทั้งหลาย อันจะบ่งบอกได้ว่า ในเรือที่ปิดทึบ กัปตันฟิลลิปส์อยู่ตรงส่วนไหนของเรือ โจรสลัดพูดอะไร อยู่ในภาวะอารมณ์ไหน เพื่อที่จะประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยและตัดสินใจได้ถูกต้อง และต้องสามนัดพร้อมกัน (หรือมิฉะนั้นก็ไม่ยิงเลย) หากแม้เพียงโจรสลัดสักคนรอด  ไม่ตายในทันที  หมายความว่า กัปตันฟิลลิปส์  ได้ตายแน่  ต่อให้สหรัฐฯ ยกทั้งกองทัพเรือมาล้อม จะทำอะไรได้

การบอกเล่าเบื้องหลังหลายอย่างในหนังสือเรื่องนี้ เป็นเรื่องไม่เคยรู้มาก่อน มันลดทอนภาพความเป็นฮีโร่สืบสวนของหน่วยงานซีไอเอ เอฟบีไอ  ลบภาพความเป็นพระเอกของสหรัฐให้จืดลง ขยายภาพประชาชนผู้บริสุทธิ์ให้ชัดขึ้น  และภาพของผู้ร้ายคือใครก็ตามที่คร่าชีวิตผู้คนบริสุทธิ์เหล่านั้นไม่ว่าชาวอาหรับ ชาวตะวันตก หรือชาวศาสนาใด  ใครถูกผิด เหตุผล รากเหง้า ซับซ้อนปานใดไม่รู้ล่ะ  แต่นั่นคือเรื่องที่เกิดขึ้น ในอดีตเป็นมา ในปัญหายืดเยื้อมานานนับศตวรรษ และนี่คือหนึ่งในรูปแบบ 'สงคราม' ที่จะยังดำเนินต่อไป

เรื่องของการเมือง เรื่องของสื่อ ความจริง ความลวง คืออะไร เราคงเชื่อถือหรือตัดสินไม่ได้จากหนังสือเล่มเดียว แต่มีความจริงหลายอย่างที่เชื่อถือได้และมันได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ของปฏิบัติการทางทหาร  กัปตันฟิลลิปส์รอดชีวิต ทหารหลายนายสูญเสียชีวิตด้วยอาวุธชีวภาพที่ไม่เคยมีใครยอมรับว่าซัดดัม ฮุสเซนมีอยู่จริง  และหนึ่งในความจริงนั้นคือประวัติศาตร์ที่โลกจะจดจำ โอซามา บิน ลาเดน เสียชีวิตแล้ว โดยปฏิบัติการเน็ปจูน สเปียร์ ที่ใช้รหัสเรียกขานบินลาเดนว่า - เจรอนิโม

ขอหยิบยกบางช่วงตอนมาให้อ่านเรียกน้ำย่อย เพราะในรายเอียดทั้งหมดในหนังสือนั้นมันสนุกกว่ามาก  ขอย้ำสำหรับผู้ที่มีความสนใจแนวนี้ ว่ามันสนุกจริงๆ

ข่าวกรองที่ว่าอัล ไคด้า อาจจะใช้เครื่องบินโดยสารเพื่อจู่โจมเป้าหมายบนพื้นดินนั้นเริ่มอวลขึ้นตั้งแต่ปี 1999 คำเตือนที่ว่านี้เป็นรายงานที่เขียนอย่างชัดเจน ปราศจากความคลุมเครือใดๆ ทั้งสิ้น รายงานซึ่งเตรียมโดยคณะกรรมาธิการข่าวกรองแห่งชาติ (National Intelligence Council) ระบุไว้ละเอียดว่า 'มือระเบิดพลีชีพจากสังกัดกองพันของอัล ไคด้า อาจจี้เครื่องบินพาณิชย์ซึ่งบรรทุกระเบิดไว้เต็มพิกัดพุ่งเข้าชนเพ็นทากอน ศูนย์บัญชาการซีไอเอ หรือทำเนียบขาว'

ข่าวกรองส่วนใหญ่ไม่มีทางชัดเจนไปกว่านี้อีกแล้ว

ห้าเดือนก่อนเหตุการณ์ 9/11 คณะกรรมมาธิการข่าวกรองแห่งชาติได้ชี้ตัวผู้ก่อเหตุและเป้าหมายของการจู่โจม  การที่รัฐบาลอ่านเกมไม่ออกและป้องกันเหตุการณ์ 9/11 ไม่ได้ ไม่อาจโยนผิดว่างานหาข่าวนั้นไร้ประสิทธิภาพ แต่มันเกิดจากความผิดพลาดอย่างเลวทรามของเจ้าหน้าที่ระดับหัวหน้าและการวิเคราะห์ข่าวกรองทั้งสิ้น

......

ในช่วงศตวรรษที่ 90 โอซามามักจะพูดถึงอยู่บ่อยๆ ถึงการที่สหรัฐอเมริกาฆ่าชาวมุสลิม รวมทั้งผู้หญิงและเด็ก ในวันนั้นที่สหรัฐฯ ยังไม่ได้บุกอิรักและอัฟกานิสถาน การประกาศเช่นนี้ทำให้ชาวอเมริกันงงงัน เพราะเท่าที่จำได้ พวกเขาไม่เคยร่วมในสงครามต่อต้านคนอาหรับหรือชาวมุสลิม แต่นี่เป็นการมองข้ามความจริงที่ว่าอาวุธที่ใช้ฆ่าคนอาหรับจำนวนหลายหมื่นคนนั้นคืออาวุธของสหรัฐฯ นักบินอิสราเอลขับเครื่องบินอเมริกัน ทิ้งระเบิดที่คนอเมริกันทำ ทหารอิสราเอลยิงปืนใหญ่อเมริกันที่นำเอาคลัสเตอร์บอมบ์ของอเมริกันไปโปรยใส่ทั้งทหารและพลเมืองชาวอาหรับโดยไม่แยกแยะ

.....

แม้ว่าการโจมตีครั้งนี้จะผ่านเข้าหูสื่อ แต่เรื่องราวของมันก็ถูกปัดเข้าใต้พรมอย่างรวดเร็ว นักข่าวไม่สนใจเรื่องอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง หรือ WMD (Weapon of Mass Destruction) ในอิรัก พวกเขาได้กล่อมให้ตัวเองและพลเมืองอเมริกันส่วนใหญ่ให้เชื่อว่าซัดดัม ฮุสเซนไม่มีอาวุธเคมีในครอบครรอง และเมื่อซัดดัมไม่มี โอซามา บิน ลาเดน จะมีนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้

นั่นคือเรื่องราวที่พวกเขาลงทุนเชื่อกัน แล้วมันก็ผิดมหันต์

.....

ความเงียบอันอื้ออึงที่ห้อมล้อมอาวุธเคมีในอิรักมีความหมายอย่างไร? ทำไมประชาชนอเมริกันจึงถูกปล่อยให้เชื่อว่าอิรักไม่มีอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง? การที่ข่าวนี้สิ้นแรงขับเคลื่อนในสื่อกระแสหลักนั้นมีสาเหตุหลายประการ บางสาเหตุก็เกิดจากการเมือง การที่สื่อทำเป็นตาบอดไม่ยอมรายงานการใช้อาวุธเคมีต่อไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแง่มุมนี้คุกคามความน่าเชื่อถือของตนเอง สำนักข่าวใหญ่หลายแห่งลงทุนไปมากมายกับแนวคิดที่ว่าสงครามนี้ 'ไม่มีเหตุผลเพียงพอ'

อาวุธเหล่านี้หายไปไหน? เกิดอะไรขึ้น? และตอนนี้มันอยู่ที่ไหน?

....

ในบทความติติงรุนแรงชิ้นหนึ่งในนิตยสารเดอะ สเป็คเทเตอร์ ของอังกฤษ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2007 เมลานี ฟิลลิปส์ นักข่าว สรุปเกี่ยวกับความสับสนอลหม่านของ WMD ไว้ดังนี้

ฝ่ายรีพับลิกันไม่แตะเรื่องนี้ เพราะมันจะเผยให้เห็นว่ารัฐบาลบุชล้มเหลวในการหยุดยั้งอันตรายของ WMD ในอิรัก พวกเดโมแครทไม่แตะ ก็เพราะมันแสดงให้เห็นว่าประธานาธิบดีบุชตัดสินใจถูกต้องตั้งแต่ต้นแล้วที่สั่งบุกอิรัก มันเป็นแก่นแท้แห่งความกระอักกระอ่วน


ตามประสาคอนิยาย แม้เปลี่ยนมาอ่านเรื่องที่ไม่ใช่นิยายบ้าง .. ก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองหา "พระเอก" ของเรื่อง  เมื่อเรื่องการเมืองทำให้ ประธานาธิบดีบุช  ประธานาธิบดีโอบามา  ไม่ใช่พระเอกเสียแล้ว  เมื่อพ่อบุญทุ่มอย่าง โอซามา บิน ลาเดน  ก็ไม่ใช้ตัวร้ายเท่ๆ อย่างที่วาดภาพ   ไอมาน ซาวาฮารี คู่หูคนสำคัญของ บิน ลาเดน ก็ดูแอบจิตริษยาพิลึกคน! อิสราเอล ประเทศของชนชาติยิวผู้น่าสงสาร ความรู้สึกนี้ติดมาจากการถูกนาซีกระทำย่ำยีราวกับไม่ใช่มนุษย์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ในยามที่มีพละกำลัง ด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่า (จากสหรัฐ)  ยิวก็แปรเปลี่ยนมาเล่นบทจอมโหดได้เช่นกัน   ครั้นจะหันไปสงสารชาวอาหรับ .. แต่การตอบโต้ในวิถีทางเดียวกันนั่นคือการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์จะนับว่าเป็นเรื่องถูกต้องได้อย่างไร 

แล้วจะเหลือใครเป็นพระเอกล่ะทีนี้?

เจอตัวแล้ว ...เจ้าชายเทอร์กิ อัล-ไฟซาล ขอแอบใส่ภาพพระเอกให้เจ้าชายแห่งราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียผู้นี้ แบบนิยายพาฝันหน่อยๆ  ตำแหน่งเจ้าชาย  ตามนิยายก็ต้องทำภารกิจหน้าที่ประมาณนี้แหละ รู้เรื่อง ทันเกม เป็นระดับพวกผู้นำมีบทบาทสำคัญต่อสถานการณ์สังคมการเมืองของประเทศ ดังนั้นเมื่อมีการกล่าวถึงเจ้าชายองค์นี้ทีไร เป็นต้องนึกภาพพระเอกเจ้าชายทุกทีไป  

แต่ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าควรยกให้ใครเป็นพระเอก "ตัวจริง"  ไม่ใช่ซีลทีม 6 แต่เพียงทีมเดียว แต่เป็นทุกทีมที่ร่วมอยู่ในปฏิบัติการเนปจูนเสปียร์ (Operation Neptune Spear) พวกเขาไม่ได้เป็นพระเอกเพราะสังหารบินลาเดนผู้ซึ่งสวมบทบาทผู้ร้ายจอมบงการ 9/11  แต่เป็นพระเอกเพราะพวกเขาคือ "ทหาร" ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในสนามรบ  ไม่ว่ารัฐบาลจะเอาตัวรอดในความล้มเหลว หรือเอาหน้าในความสำเร็จอย่างไร ไม่ว่าสื่อจะประโคมข่าวใส่สีตีภาพแอคชั่นเป็นการยิงถล่มต่อสู้หนักหน่วง  เป็นฮีโร่ผู้ผดุงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของชาติ เป็นผู้เยียวยาความเจ็บปวดของผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ 9/11  หรือเป็นฆาตกรที่กระทำ 'ภารกิจสังหาร' อันเลือดเย็น และไม่ว่ารัฐบาลจะเคยแถลงการณ์ออกไปแบบไหน หรือหนังฮอลลีวู้ดจะสร้างภาพปฏิบัติการนี้ออกมาอย่างไร  ดูเหมือนว่าชัค ฟารร์ จะไม่สนใจในความสอดคล้องตรงกัน เพราะที่เขาเขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้  ข้อเท็จจริงคือ : ................   

จากที่เคยมีความคิดอยู่หน่อยๆ ว่า พวกซีลเป็นพวก so proud  ภาคภูมิใจในตนจนล้นปรี่ จนบางครั้งก็อดจะรู้สึกไม่ได้ว่าเป็นการยกตนอยู่สักนิด ตอนนี้ขอถอนความคิดนั้น  เพราะพวกเขาสมควรมีความภาคภูมิใจในตนเองเป็นอย่างสูง

ในรายละเอียดปฏิบัติการเนปจูน สเปียร์ ที่ผู้เขียนอ้างว่าเป็นแต่เพียงหยิบมือเดียวของรายละเอียดที่พอจะเปิดเผยได้ นั่นแหละคือที่มาของน้ำตาประทับใจ เพราะมันดูยากไปหมด ในข้อจำกัดจุกจิกมากมาย  นี่คิดเอาเองนะ  .. ถ้าพวกเขาจะต้องตาย สาเหตุอาจไม่ใช่จากฝ่ายตรงข้าม แต่จะตายเพราะข้อจำกัดจากฝ่ายตนเองที่ทำให้พวกเขาต้องตกอยู่ในความเสี่ยงสูงนี่แหละ  ถ้าใครเคยอ่าน Lone Survivor จะรู้ว่านั่นก็เพราะข้อจำกัดเกี่ยวกับกฏการปะทะอาร์โอดี อันเกิดจากมโนธรรมสูงส่งที่ขัดแย้งกับความเป็นจริงในสนามรบและสร้างความกดดันต่อผู้ปฏิบัติการในแนวหน้า .. จะตาย หรือ จะขึ้นศาลทหาร ที่อาจลงเอยด้วยการเน่าตายคาคุกเช่นกัน และการตัดสินใจครั้งนั้นได้ส่งผล  

ดังนั้น พวกเขาเหล่านี้คือชายชาติทหารในอุดมคติ อาชีพที่ความกลัวตายถูกแยกเป็นคนละส่วนกับความกล้าหาญที่จะต้องออกไปเสี่ยงตายเพื่อปฏิบัติภารกิจ  แม้ไม่เป็นข่าว ไม่มีใครเห็นความสำคัญ  แม้ถูกซ้ำเติมในภารกิจล้มเหลว แม้ไม่ได้รับการยกย่องในภารกิจสำเร็จ  ในอดีตหน่วยซีลเคยถูกปฏิเสธจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงว่าไม่มีอยู่จริงเสียด้วยซ้ำ จึงไม่ต้องไปพูดถึงการยกย่องระดับบุคคลเลย เพราะพวกเขาอยู่ในเงามืดของความลับที่ไม่อาจเปิดเผยตัวตน  และแม้สงครามจะถูกกังขาในเหตุผลและความชอบธรรม ซีล ยังคงเตรียมความพร้อม ฝึกฝนตนเองให้เป็นระดับสุดยอด และออกไปลุยเมื่อมีภารกิจเรียกหา  


SEAL Target Geronimo

Chuck Pfarrer เขียน

วิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ ถอดความ

พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2556  สำนักพิมพ์ คเณศบุรี  





Create Date : 04 พฤษภาคม 2557
Last Update : 5 พฤษภาคม 2557 11:50:45 น. 4 comments
Counter : 7540 Pageviews.

 
สวัสดีค่า คุณปรายแสง ^^

มาอ่านรีวิวค่ะ ยาวมากๆ
แต่ว่าแนวนี้่อ่านยากจังค่ะ
ยิ่งตัวละครมีตัวตนจริง
ไม่ไ้ด้ถูกสร้างขึ้นมาแบบนำเดี่ยวแบบพระเอกนิยายยิ่งอ่านยากค่ะ
แต่ดีตรงที่ได้ความเรียลมากๆ

เสียดายนุ่นไม่ค่อยถนัดอ่านแนวนี้เลย
ขอบคุณสำหรับรีวิวมากๆนะคะ T T


โดย: lovereason วันที่: 5 พฤษภาคม 2557 เวลา:1:23:14 น.  

 
อยากอ่านมาก
แต่คงจะต้องเคลียร์หัวสมองสำหรับเล่นี้โดยเฉพาะ

แลดูเป็นงานเครียด ๆ แต่อยากอ่านจริง นะ


โดย: Prophet.doll Oui+ (Pdจิงกุเบล ) วันที่: 5 พฤษภาคม 2557 เวลา:10:23:09 น.  

 
เคยได้ดูแต่เป็นหนัง
Zero Dark Thirty ซึ่งกำกับได้ดี
เข้าชิงออสการ์ด้วยแต่เชือ่ว่า
อย่างไรเสีย หนังสือก็ให้ข้อมูลรายละเอียดได้ดีที่สุด


โดย: Mr.Chanpanakrit วันที่: 7 พฤษภาคม 2557 เวลา:10:59:36 น.  

 
ขออนุญาตนำลิงค์ไปแปะไว้ใน FB ของคเณศบุรีนะครับ

ขอบคุณสำหรับรีวิวครับผม


โดย: วิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ IP: 171.98.25.32 วันที่: 19 มิถุนายน 2557 เวลา:13:27:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

prysang
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.