เที่ยวแล้วสบายใจ...ไม่เน้นรายได้จากงานประจำ

เที่ยวในหน้าที่ครั้งนี้ไปกัมพูชา ตอนจบ : ชมปราสาทอังกอร์ก่อนกลับไทย

หมายเหตุ **
เป็นการนำรีวิวเก่าที่ทำไว้ มาเก็บในบล็อค ข้อมูลไม่ใช่ข้อมูลปัจจุบัน หากต้องการนำข้อมูลนี้ไปใช้ประกอบการท่องเที่ยว ให้เช็คข้อมูลปัจจุบันอีกครั้งค่ะ




รีวิวฉบับเต็มจากบอร์ดบลูแพลนเนต คลิกชมได้จากลิงค์ค่ะ ::

//www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11070732/E11070732.html


สำหรับตอนนี้ เป็นตอนสุดท้ายค่ะ เป็นวันสุดท้ายในกัมพูชา เราตะลุยชมปราสาทกัน 4 แห่ง ก่อนกลับเมืองไทยทางอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้วค่ะ

เนื่องจากไปมานาน ข้อมูลก็ลืมๆเลือนๆไปบ้าง ขออนุญาตนำข้อมูลจากเวปฯและแปะภาพเป็นหลักนะคะ ได้โปรดอภัย



เช้าวันนี้ เราออกจากโรงแรมที่พักตั้งแต่เช้า เนื่องจากเป็นการเที่ยวปราสาททั้งวัน แล้วต้องรีบกลับเมืองไทยให้ทันก่อนด่านปิด จุดแรกต้องไปซื้อตั๋วเข้าชมก่อนค่ะ เหมือนกับการเที่ยวอุทยานแห่งชาติในบ้านเรา คือซื้อตั๋วครั้งเดียวเที่ยวได้ทุกอุทยาน แต่เนื่องจากปราสาทหินในเสียมเรียบมีหลายแห่งและแต่ละแห่งต้องใช้เวลาในการเยี่ยมชมมาก เค้าจึงมีตั๋วแบบทั้งรายวัน รายสองวัน สามวัน จนถึงรายสัปดาห์ค่ะ ของเราซื้อแบบวันเดียว ไปต่อแถวซื้อบัตร ถ่ายภาพแบบทันทีแล้วก้เข้าชมได้เลย



หน้าตาบัตร ด้านหน้าและด้านหลังเป็นแบบนี้ค่ะ รูปไม่ค่อยชัดนะคะ แอคชั่นกันได้เต็มที่เลยเค้าไม่ว่า



จุดแรกเราไปที่ปราสาทบันทรายศรี ค่ะ ทางเข้ามีร้านขายของที่ระลึกอยุ่เยอะเลย ระหว่างทางเข้า มีทุ่งนาสวยๆแบบนี้



ปราสาท บันทายสรี

ปราสาทบันทายสรี หรือ บันเตียเสรย ในภาษาเขมร สร้างโดย พราหมณ์ยัญชวราหะ เมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ 16 สมัยพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 และพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 เพื่อถวายให้แด่พระศิวะ
ปราสาทแห่งนี้ ถูกสร้างโดย คุรุ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในศาสตร์หลายแขนง จึงมีลักษณะงดงามอ่อนช้อย จนได้รัีบชื่อว่า บันเตียเสรย
ปราสาทที่อ่อนช้อยเช่นสตรี (บันเตีย=ป้อมปราสาท, เสตรย=สตรี)
ปราสาทบันทายสรี เป็นปราสาทที่สร้างโดยพราหมณ์ ดังนั้น จะเห็นว่าปราสาทแห่งนี้ต่ำกว่าปราสาทอื่น ๆ ที่สร้างโดยกษัตริย์ ทั้งนี้เพื่อมิให้เป็นการลบหลู่พระเกียรติของกษัตริย์นั่นเอง
จุดเด่นของบันเตียเสรย คือเป็นปราสาทแห่งเดียวสร้างด้วย "หินทรายสีชมพู" ซึ่งเป็นหินทรายที่แข็งแกร่งและงดงามที่สุด ทำให้ลวดลายต่าง ๆ ที่สลักบนเนื้้อหินจะยังคงปรากฏเด่นชัดจนปัจจุบัน
ประกอบกับสีชมพูของเนื้อหินยิ่งขับความงามของลวดลายสลักนั้นให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น
จนพอจะกล่าวได้ว่า หากไม่นับขนาดความใหญ่โตของปราสาท
ปราสาทบันทายสรี เป็นปราสาทที่งดงามที่สุดในเขมร


ข้อมูลจาก ://www.tripangkor.com/destination/banteaySrey.htm




รูปสลักโคนันทะ พาหนะของพระศิวะ ที่ปราสาท บันทายสรี



ทิ้งท้ายปราสาทบันทายสรี อีกภาพก่อนไปจุดต่อไปค่ะ



แวะช๊อปปิ้ง ตามประสานักท่องเที่ยวคนไทย ก่อนขึ้นรถกลับ ของที่ขายก็เหมือนๆกับในตลาดที่เราซื้อเมื่อคืนค่ะ ถ้าหิวบริเวณนี้ก็มีร้านอาหารบริการนะคะ



ระหว่างทางไปยังปราสาทบันทายสรี จะมีหมู่บ้านเล็กๆทำจ้ำตาลโตนดขาย แวะซื้อกันเป็นที่สนุกสนาน แต่น้ำตาลเค้าหอมจริงๆนะคะ



นอกจากน้ำตาลโตนดแล้ว ก็ยังมีเครื่องจักสาน และของที่ระลึกอื่นๆอีกด้วยค่ะ ราคาไม่แพงมาก ใครชอบทำขนมแนะนำให้ซื้อน้ำตาลมาเลยค่ะหอมหวานจริงๆ



จุดต่อไป คือปราสาทตาพรหม ส่วนตัวเราชอบปราสาทนี้มากที่สุด เพราะร่มรื่นและเขียววววววววว ฮ่า ฮ่า



ระหว่างทางเดินไปยังตัวปราสาท มีวงดนตรีคนพิการเล่นเปิดหมวกให้ฟังด้วยค่ะ



ช่วงที่ไป ทุกปราสาทอยู่ระหว่างการบูรณะ หลายๆจุดอาจจะถ่ายภาพไม่ค่อยสวยนะคะ



ปราสาท ตาพรหม

ปราสาท ตาพรหม เป็นปราสาทที่ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สร้างถวายให้กับ พระมารดา เชื่อกันว่า ปราสาทตาพรหมนั้นเป็นอารามหลวงในยุคนั้นด้วย
ส่วนคำว่า ตาพรหม นั้น น่าจะมาจากชื่อของผู้เฝ้าปราสาท ในช่วงที่คณะสำรวจ ชาวฝรั่งเศสเข้ามาถึงตัวปราสาทนี้
จุดเด่นสำคัญของปราสาทตาพรหม คือรากไม้ของต้นสะปง(ไทยเรียกสมพงษ์)
ซึ่งขึ้นครอบคลุมปราสาททั่วบริเวณ บางต้นมีอายุถึง 300 ปี จนได้รับการคัดเลือกเป็น ฉากสำคัญของภาพยนตร์เรื่อง Tumb Raider

ข้อมูลจาก : //www.tripangkor.com/destination/taprom.htm



ภาพสลักรูป เสต๊กโกซอร์ส ซึ่งเป็นไดโนเสาร์ชนิดหนึ่งภายในปราสาทตาพรหม



นางอัปสรา ที่ว่ากันว่าสวยที่สุด แห่งปราสาทตาพรหม



ที่ปราสาทตาพรหม มีจุดถ่ายรูปสวยๆ ให้เจาะถ่ายหลายมุมค่ะ



ห้องอธิษฐาน ให้ทุบที่หน้าอกสามครั้งหลังจากอธิษฐานเค้าว่าจะได้ผลสำเร็จ



ชอบหลายมุมที่นี่มากค่ะ ถ่ายมาเยอะหน่อย



ทิ้งท้ายอีกมุม ก่อนไปทานมื้อกลางวัน



ระหว่างทางที่เดินจากตัวปราสาทมาถึงรถ แม่ค้าตัวน้อยจะคอยตามตื้อให้เราซื้อของ ลดแลกแจกแถมกันอุตลุด แต่ถ้าซื้อคนที่หนึ่ง คนที่สอง-สาม-สี่ ก็จะตามกันมาเป้นขบวน โปรดทำใจ



เราย้อนเข้าไปในตัวเมืองเสียมเรียบ เพื่อไปทานมื้อกลางวันที่ร้านอาหารกลางเมือง ส่วนใหญ่รายการอาหารจะเป็นประเภทปลาน้ำจืด เรื่องรสชาติ ก้ใช้ได้ แต่ไม่อร่อยเท่าอาหารบ้านเราหรอกค่ะ



อาหารเยอะมาก เหลือทุกจาน



ทานกลางวันเสร็จ ก็มุ่งหน้าไปที่ปราสาทบายน นครธม ค่ะ ที่นี่เราต้องเปลี่ยนรถ เป็นรถตู้ของอุทยาน รถของเราไม่สามารถขับเข้าไปได้ค่ะ



ปราสาท บายน

ปราสาท บายน เป็นศูนย์กลางของเมืองนครธม สร้างขึ้นโดย พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ตัวปราสาทนั้น เปรียบเสมือนเป็นเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ตามความเชื่อดั้งเดิม
มีการสันนิษฐานว่าชื่อ "บายน" นั้นน่าจะมาจากคำว่า "ไพรชยนต์" ซึ่งเป็นที่ประทับ ของพระอินทร์ บางกระแสก็ว่า น่าจะมาจากคำว่า "บรรยงค์" อันหมายถึง พระที่นั่งใน พระมหาราชวัง

ข้อมูลจาก : //www.tripangkor.com/destination/bayon.htm



ใบหน้าขนาดใหญ่ที่ปรากฏบนพระปรางค์ของปราสาทบายนนั้น มีจำนวนถึง 54 พระพักตร์ ปัจจุบัน ยังคงเหลือเพียง 37 พระพักตร์เท่านัี้น สำหรับพระพักตร์นั้น สันนิษฐานว่าจะ เป็นพระพักตร์ของพระจ้าชัยวรมันที่ 7 บ้างก็สันนิษฐานว่า เป็นพระพักตร์ของ พระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร ในศาสนาพุทธมหายาน ซึ่งในรัชสมัยนั้น ศาสนาพุทธนิกายมหายาน เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด
ปราสาทบายน ประกอบด้วย ระเบียงคดสองชั้น ชั้นนอกนั้นผุพังเป็นบางส่วน ส่วนกำแพงของระเบียงคตชั้นนอกนั้น จะแกะสลักเป็นเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งเรื่องราวของกษัตริย์

ข้อมูลจาก : //www.tripangkor.com/destination/bayon.htm



ภาพแกะสลัก รอบๆปราสาท



เดินที่ปราสาทบายน มีสิทธิ์หลงได้ง่ายๆ เพราะมีทางเข้าไปรอบทิศ และหน้าตาทุกทิศก็เหมือนๆกันไปหมด ต้องนัดหมายกันให้ดีๆนะคะ



เวลาใกล้หมด ต้องรีบไปต่อ ที่นครวัด

ความยิ่งใหญ่อลังการของปราสาท นครวัด นั้น ไม่ได้มาจากเพียงแค่ขนาดอันใหญ่โตมโหฬาร ของตัวปราสาทเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประวัติศาสตร์ และตำนานที่ซ่อนตัวภายในด้วย

ไปแบบรีบๆร้อนๆ แทบจะไม่ได้อะไร ต้องไปซ่อมแน่นอนค่ะที่นี่



ภาพสลักที่ระเบียงคตชั้นใน

ภาพสลักที่ระเบียงคตชั้นใน ของนครวัดมีความยาวกว่า 600 เมตร
ซึ่งมีภาพสลักสำคัญ ๆ ได้แก่
- ภาพสลักการกวนเกษียรสมุทร
- ภาพสลักการรบที่ทุ่งกุรุเกษตร ซึ่งเป็นการรบระหว่าง ตระกูลเการพ และปาณฑพ จาก มหากาพย์มหาภารตะยุทธ
- ภาพสลักการต่อสู้ระหว่างเทพกับยักษ์ จาก รามายณะ
- ภาพสลักขบวนทัพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เมื่อยกทัพไปปราบพวกจาม ซึ่งในนั้นก็จะมีขบวนทัพของ สยามกุก หรือ ประเทศสยาม เข้าร่วมด้วยในฐานะประเทศราช
นอกจากนี้ที่ระเบียงคตชั้นในยังมีภาพสลักในศาสนาฮินดูอีกมากมาย



ตามความเชื่อในศาสนาฮินดู จะสมมติให้ปราสาทเปรียบดังสวรรค์
ปรางค์ประธาน จะเปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุ เขาที่สูงที่สุดในสวรรค์ ซึ่งเป็นที่ประทับของเทพสูงสุดคือ พระศิวะ
ส่วนพระปรางค์ ทั้งสี่ที่รายล้อมปรางค์ประธานนั้น ก็เปรียบได้กับของขุนเขา ใหญ่น้อยอันเป็นที่สถิตของเทพต่าง ๆ ตามลำดับชั้น



ที่นครวัด มีห้องอธิษฐานเช่นกันค่ะ



ต้องมีเวลาซัก สองวันเต็มๆ ถึงจะชมความงามได้ทั่วทุกมุม



อัปสรา หรือ อัปสร ในภาษาไทยนั้นถือกำเนิดจากการกวนเกษียรสมุทร นางอัปสราในศิลปะขอมแบบนครวัด จะมีรูปร่างอ้อนแอ้นอรชร กว่าศิลปะขอมแบบอื่น



เดินชมความงามยังไม่จุใจ ก็ต้องรีบกลับ เพราะกลัวไปไม่ทันด่านปิด เดี๋ยวจะกลับเมืองไทยไม่ได้

ออกจากนครวัด มุ่งหน้ามาที่จุดผ่านแดนคลองลึกทันเวลาด่านปิดพอดิบพอดีค่ะ ทริปนี้จบลงด้วยความเหนื่อย แต่ก็สนุก





เป็นอันจบทริป ชมปราสาท ที่เสียมเรียบ ขอบคุณที่ติดตามชม สวัสดีค่ะ




 

Create Date : 16 พฤศจิกายน 2555   
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2555 15:15:16 น.   
Counter : 3581 Pageviews.  

เที่ยวในหน้าที่ครั้งนี้ไปเชียงใหม่ : เที่ยวดอยสะเก็ด

หมายเหตุ **
เป็นการนำรีวิวเก่าที่ทำไว้ มาเก็บในบล็อค ข้อมูลไม่ใช่ข้อมูลปัจจุบัน หากต้องการนำข้อมูลนี้ไปใช้ประกอบการท่องเที่ยว ให้เช็คข้อมูลปัจจุบันอีกครั้งค่ะ


สวัสดีค่ะ

สืบเนื่องจากตอนแรก ทริปที่ 12 เดือน มิ.ย. ปี 54 เที่ยวในหน้าที่ครั้งนี้ไปเชียงใหม่ ตอนโลตัสปางสวนแก้ว

ตามลิงค์ >> //www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10741306/E10741306.html

เช้าวันนี้เราเดินทางกลับสู่เชียงราย แต่ยังไม่จบภารกิจ เพราะช่วงเช้ามีประชุมที่สวนพฤกษศาสตร์ทวีชล ซึ่งอยู่ระหว่างทาง เขตอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ก็เลยได้บรรยากาศสวนดอกไม้สวยๆมาฝากนิดหน่อยค่ะ

ที่นำมาฝากแค่นิดหน่อยก็เพราะ สวนกว้างมาก แต่เราต้องเข้าประชุม ออกจากห้องประชุมตอนเที่ยงก้ต้องรีบเดินทางต่อค่ะ ไปชมสวนกันเลยดีกว่านะคะ ออกจากเมืองเชียงใหม่ มุ่งหน้าไปทางดอยสะเก็ด ระยะทางไม่ไกลเท่าไหร่ แต่จำไม่ได้ว่ามันไกลเท่าไหร่ ฮ่า ฮ่า

สวนพฤกษศาสตร์ทวีชล อบู่ทางซ้ายมือค่ะ ตรงทางเข้ามีร้านกาแฟร้านใหญ่เป็นจุดสังเกตค่ะ



มุมสวนสวยๆ เยอะเลยค่ะ น่าเสียดายที่ไม่มีเวลาเที่ยวชมเลย



เวียนรถไปจอดที่ลานจอดรถค่ะ แล้วจะมีรถกอล์ฟมารับไปส่งที่ห้องประชุม ดูแผนผังกันก่อนค่ะ สวนกว้างมาก



ระหว่างรอรถมารับ เก็บภาพสวยๆบริเวณศาลา จุดขึ้นรถนี่ก่อนค่ะ ปลาเยอะมากเลยค่ะ มีอาหารปลาขายด้วย



รถมารับแล้วค่ะ ระหว่างทางไปห้องประชุม ซึ่งอยู่ด้่นในสุด ก็ชมสวนสวยๆไปตลอดทาง



อยากลงไปถ่ายรูป แต่ไม่มีเวลา น่าพาเด็กๆมาจัดกิจกรรมเข้าค่ายจัง ความจริงถ้าบริษัทจะมาจัดกิจกรรมก็เข้าท่านะ



ถึงห้องประชุมแล้ว ยังพอมีเวลาว่างเดินเก็บภาพรอบๆห้องประชุมค่ะ เดินไปชมสวนด้านใน แล้วมองมาที่ห้องประชุมค่ะ สวยดีเน๊อะ



ใกล้ๆกันมีกรงนกสวยงามค่ะ



ที่เราชอบที่สุดก็คือสวนต้นไม้ประจำจังหวัด ครบทั้ง ๗๗ จังหวัดเลย



ลานไม้ประจำจังหวัด ร่มรื่นดีค่ะ แต่ละต้นสูงใหญ่



ตรงนี้เป็นศาลาพันธุ์ไม้ที่มีกลิ่นหอม แค่เดินเข้าไปใกล้ๆก็ได้กลิ่นแล้วค่ะ หอมชื่นใจจริงๆ



ลูกสารภี ต้นไม้ประจำจังหวัดพะเยา



ได้เวลาเข้าห้องประชุม ก็เลยไม่ได้เก็บภาพมาอีก จนเลิกประชุมก็มีรถมาส่งที่ลานจอดรถ ความจริงเค้ามีข้าวให้ทานนะ แต่เราหยิ่ง อ๊ะ ม่ายช่ายยย ฮ่า ฮ่า เราอยากไปหาร้านบรรยากาศดีๆนั่งทานข้าวมากกว่า ก้เลยออกจากสวนทวีชล มุ่งหน้าไปทางเชียงราย เพื่อแวะทานข้าวที่นี่ค่ะ ปางแฟนรีสอร์ท



ร้านอยู่ริมถนนเลยค่ะ มีป้ายบอกตลอดเส้นทาง หาง่าย เป็นทั้งร้านอาหารและรีสอร์ท แต่เราไม่ได้เข้าไปขอชมห้องพัก เนื่องจากมีเวลาไม่มากนัก



เราเลือกนั่งทานข้างบนนี้ ความจริงมีโต๊ะริมธารน้ำตกด้วยค่ะ เดี๋ยวจะพาไปชม



ด้านหลังห้องพักทุกห้องติดลำธารนี้ค่ะ จะมานั่งทานข้าวตรงนี้ก็ได้



มีสะพานแขวนด้วย



อาหารที่สั่งมาทานค่ะ



ราคาค่าอาหารไม่แพงค่ะ ทั้งหมด ก็ตามบิลเลยค่ะ



อิ่มแล้วก็มุ่งหน้าเข้าเชียงรายค่ะ เป็นอันจบทริปเชียงใหม่ ซึ่งหากพอมีเวลาว่างจะนำข้อมูลตะเวนกินถิ่นเชียงราย มาลงเพิ่มเติมให้

สำหรับตอนนี้ ดูรีวิวฉบับเต็มได้จากบอร์ดบลูแพลนเนทเช่นเดิมค่ะ

//www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10741306/E10741306.html

สำหรับท่านที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมของสวนทวีชล เข้าไปชมที่เวปไซท์ได้ตามนี้นะคะ

//www.tweecholbotanicgarden.com/

สวัสดีค่ะ




 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2555   
Last Update : 2 กรกฎาคม 2555 15:04:16 น.   
Counter : 4730 Pageviews.  

เที่ยวในหน้าที่ อุทัย-สิงห์บุรี-อยุธยา : ตอนที่ 1

หมายเหตุ **
เป็นการนำรีวิวเก่าที่ทำไว้ มาเก็บในบล็อค ข้อมูลไม่ใช่ข้อมูลปัจจุบัน หากต้องการนำข้อมูลนี้ไปใช้ประกอบการท่องเที่ยว ให้เช็คข้อมูลปัจจุบันอีกครั้งค่ะ


ทริปนี้ไปเที่ยวในหน้าที่ค่ะ คือการไปทำงานแล้วเอาเรื่องเที่ยวมาเอี่ยวนั่นเอง เส้นทางที่ไปในครั้งนี้คือพื้นที่จังหวัดอุทัยธานี แต่ขากลับเราได้แวะกราบนมัสการหลวงพ่อจรัญ ที่วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี และแวะไหว้พระที่วัดท่าซุงกับเดินเล่นที่ตลาดน้ำอโยธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาด้วยค่ะ

หวังว่าข้อมูลการเดินทางในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆบ้างเหมือนเคยนะคะ


ปล.เนื่องจากเดินทางเป็นหมู่คณะ เส้นทางการเดินทางและจุดแวะพักระหว่างทางจึงไม่มีลงในรายละเอียดเหมือนเช่นทุกทริปค่ะ



เนื่องจากเป็นการเที่ยวในหน้าที่ เราต้องเข้าห้องประชุมเพื่อสัมนาในเช้าวันจันทร์ ตั้งแต่แปดโมงเช้า และเป็นการเดินทางคณะใหญ่ จึงนัดเวลาออกจากจุดนัดพบ(จันทบุรี)ตั้งแต่เวลาดึก ไปรุ่งสางเอาที่อุทัยธานีค่ะ เข้าเช็คอินที่โรงแรมที่เราต้องสัมนา คือโรงแรมห้วยขาแข้งเชษฐ์ศิลป์ ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีขนส่งค่ะ ย่านนี้หาของกินง่ายสะดวก เพราะหลังบขส.ก็คือตลาดสด

** รายละเอียดที่พัก ดูที่หมวด รีวิวที่พัก นะคะ



ทานข้าวเสร็จก็เข้าห้องประชุมเครียด ไปจนถึงเที่ยงค่ะ ไม่มีภาพมาให้ชมบรรยากาศนะคะ เพราะมันเครียดมากกกกกกกกกก ช่วงบ่ายเราต้องออกไปดูงานการบริหารจัดการร้านค้าขององค์การบริหารส่วนจังหวัดอุทัยธานี ศูนย์แสดงสินค้า OTOP ของจังหวัดอุทัยธานีตั้งอยู่ริมถนนเลยค่ะ ถ้าใครจะเข้ามาเมืองอุทัยฯต้องผ่าน อยู่ขาออกค่ะ



ศูนย์แห่งนี้บริหารจัดการโยองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุทัยธานี นอกจากร้านค้าที่ขายสินค้าโอทอป ,สินค้าพื้นเมือง และผลิตภัณฑ์จากชุมชนแล้ว ยังมีห้องจัดประชุมสัมนาและร้านอาหารบริการด้วยค่ะ

บริเวณด้านหน้าอาคารมีการจัดสวนจำลองห้วยขาแข้ง และรูปเหมือนของคุณสืบ นาคะเสถียร อยู่ด้วย



ภายในศูนย์ มีสินค้าครบทุกสิ่งค่ะ ทั้งผลิตภัณฑ์ชุมชน และของที่ระลึกประเภทเสื้อยืด,โปสการ์ด ก็มีนะคะ



สินค้าขึ้นชื่ออย่างผ้าทอตีนจก ของอำเภอบ้านไร่ก็มีจำหน่ายที่นี่ หากมาอุทัยฯมาซื้อสินค้าที่นี่ที่เดียวก็ครบค่ะ ไม่ต้องขับรถไปไกลถึงแหล่งผลิต ราคาไม่แตกต่างกันค่ะ

ปล.สองผืนนี้ปลื้มมากค่ะ ซื้อปุ๊บใส่ปั๊บเลยชอบบบบบบบบบบบ



บริเวรณด้านนอกก็มีสินค้าที่เจ้าของผลิตภัณฑ์นำมาจำหน่ายเองด้วยนะคะ การจัดร้านสวยงามได้บรรยากาศดีค่ะ พวกมีดพับ,งานเหล็ก จะอยู่ข้างนอกนี้เยอะ



ฟังบรรยายสรุปและอุดหนุนผลิตภัณฑ์ชุมชนกันไปพอประมาณก็กลับไปเข้ากลุ่มที่โรงแรมต่อค่ะ ก่อนจะย้อนออกมาที่วัดสังกัสรัตนคีรี กันอีกรอบ ทางขึ้นผ่านศาลาประชาคมและสนามกีฬาค่ะ

ที่วัดสังกัสนี้จะเดินขึ้นทางด้านหน้าก็ได้นะคะ (ที่จัดพิธีตักบาตรนั่นแหละค่ะ) แต่เราขึ้นทางรถทางด้านหลังดีกว่า ไม่เหนื่อย สามารถชมวิวได้ทั่วเมืองอุทัยเลยค่ะ เห็นที่พักของเราด้วย



วัดสังกัสรัตนคีรี

ตั้งอยู่เชิงเขาสะแกกรัง สุดถนนท่าช้าง ในเขตเทศบาลเมือง ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองอุทัยธานี มีประวัติว่าในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้นำพระพุทธรูปขนาดย่ อมที่ชำรุดไปไว้ตามหัวเมืองต่างๆ สำหรับเมืองอุทัยธานีได้รับ 3 องค์ โดยอัญเชิญลงแพมาขึ้นฝั่งที่ท่าพระ (ตรงข้ามศาลาประชาคมจังหวัดอุทัยธานี) แล้วนำมาประดิษฐานไว้ที่วัดขวิด พระพุทธรูปองค์หนึ่งมีขนาดใหญ่เป็นพระเนื้อสำริดปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 3 ศอก สร้าง ในสมัยพระเจ้าลิไท ฝีมือช่างสุโขทัย มีส่วนเศียรกับส่วนองค์พระเป็นคนละองค์ เข้าใจว่าคงซ่อมเป็นองค์เดียวกันก่อนนำมาไว้ที่เมืองอุทัยธานี ต่อมาเมื่อยุบวัดขวิดไปรวมกับวัดทุ่งแก้ว จึงได้ย้ายพระพุทธรูปองค์นี้ไปไว้ที่วัดสังกัสรัตนคีรี ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองไ ป 1 กิโลเมตร และได้ทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ในพระเศียร พร้อมกับถวายนามว่า พระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์ ในวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ของทุกปี จะมีประเพณีตักบาตรเทโว โดยพระสงฆ์ประมาณ 500 รูปจะเดินลงบันไดจากยอดเขาสะแกกรังมารับบิณฑบาตที่ลานวัดเป็นประเพณีที่สำ คัญของจังหวัด


ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดียค่ะ



มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้สักการะหลายอย่างค่ะ โดยเฉพาะองค์พระะพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของชาวอุทัยธานี แต่เราไม่ได้ถ่ายภาพมาค่ะ ถ่ายมาแต่พระพุทธรูปองค์อื่นๆ

เห็นหลายๆคนโยนเหรียญที่พระสังกัจจายน์องค์นี้ เราไม่ทราบความหมายค่ะ จะถามใครก็ไม่มีใครให้ถามเลย เราก็เลยไม่ได้โยนกับเค้าหรอก



ใช้เวลาอยู่ที่นี่พอสมควรก็กลับไป ประชุมกลุ่มสรุปบทเรียนที่โรงแรมกันในช่วงเย็น-ค่ำต่อค่ะ

ทิวทัศน์เมืองอุทัยฯ จากเขาสะแกกรัง



เข้าพักที่โรงแรมแล้ว วันรุ่งขึ้นทานอาหารเช้า แล้วก็ออกเดินทาง ก่อนกลับก็แวะซื้อขนมปังสังขยาเจ้าดัง ที่ร้านเยื้องๆกับโรงพยาบาล

ก่อนจากลาเมืองอุทัย ต้องแวะไปวัดท่าซุงกันก่อนค่ะ ไม่อย่างนั้นจะหาว่าเรามาไม่ถึงเมืองอุทัย

อันที่จริงวัดเดิมจะอยู่อีกฝั่งถนนค่ะ แต่เราตั้งใจจะมากราบพระในวิหารแก้ว ซึ่งอยู่ฝั่งนี้ เมื่อเข้าไปในบริเวณวัด ทางด้านซ้ายจะเป็นอาคารขายสินค้าที่ระลึก ถัดไปจะเป็นอาคารวิหารแก้ว ด้านหน้าจะมีพระบรมราชานุเสาวรีย์รัชกาลที่ ๑,รัชกาลที่ ๕ ,รัชกาลที่ ๖ และรัชกาลที่ ๗



ภายในวัดมีพื้นที่กว้างมาก จึงมีบริการรถสามล้อเครื่องพาชมวัด แนะนำว่าให้เข้าไปกราบร่างหลวงพ่อฤษีลิงดำ และพระพุทธรูปในวิหารแก้วก่อนค่ะ

ประวัติ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

พระราชพรหมยาน
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี

เกิดเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ เดิมชื่อสังเวียน เป็นบุตรคนที่ ๓ ของนายควง นางสมบุญ สังข์สุวรรณ เกิดที่ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี มีพี่น้อง ๕ คน เมื่ออายุ ๖ ขวบ เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาล วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนจบชั้นประถมปีที่ ๔ เมื่ออายุ ๑๕ ปี เข้ามาอยู่กับท่านยายที่บ้านหน้าวัดเรไร อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี ในสมัยนั้น และได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ อายุ ๑๙ ปี เข้าเป็นเภสัชกรทหารเรือ สังกัดกรมการแพทย์ทหารเรือ พออายุครบบวช

อุปสมบท เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ วัดบางนมโค โดยมีพระครูรัตนาภิรมย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิหารกิจจานุการ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เล็ก เกสโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อายุ ๒๑ ปี สอบได้นักธรรมตรี อายุ ๒๒ ปี สอบได้นักธรรมโท อายุ ๒๓ ปี สอบได้ นักธรรมเอก

ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๔๘๑ ได้ศึกษาพระกรรมฐาน จากครูบาอาจารย์หลายท่าน อาทิเช่นหลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค, หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก, พระอาจารย์เล็ก เกสโร วัดบางนมโค, พระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน, พระครูอุดมสมาจารย์ วัดน้ำเต้า, หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ, หลวงพ่อเนียม วัดน้อย, หลวงพ่อโหน่ง วัดอัมพวัน (วัดคลองมะดัน) และหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ

พ.ศ. ๒๔๘๑ เข้ามาจำพรรษาที่วัดช่างเหล็ก อำเภอตลิ่งชัน ธนบุรี เพื่อเรียนบาลี ต่อมา สอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ได้ย้ายมาอยู่ที่วัดอนงคาราม หลังจากนั้นได้เป็นรองเจ้าคณะ ๔ วัดประยูรวงศาวาส เป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโค และย้ายไปอยู่อีกหลายวัด

พ.ศ. ๒๕๑๑ จึงมาอยู่วัดท่าซุง บูรณะซ่อมสร้างและขยายวัดท่าซุง จากเดิมมีพื้นที่ ๖ ไร่เศษ จนกระทั่งเป็นวัดที่มีบริเวณพื้นที่ประมาณ ๒๘๙ ไร่

พ.ศ. ๒๕๒๗ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ "พระสุธรรมยานเถร"

พ.ศ. ๒๕๓๒ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ "พระราชพรหมยาน ไพศาลภาวนานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี"

มรณภาพ

ตุลาคม ๒๕๓๕ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)ได้อาพาธด้วยโรคปอดบวมอย่างแรง และติดเชื้อในกระแสโลหิต เข้ารักษาที่โรงพยาบาลศิริราช และมรณภาพที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๖.๑๐ น.

ตลอดระยะเวลาที่อุปสมบทอยู่ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ได้ทำหน้าที่ของพระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนาอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ

ทางด้านชาติ ได้สร้างโรงพยาบาล , สร้างโรงเรียน , จัดตั้งธนาคารข้าว , ออกเยี่ยมเยียน ทหารหาญของชาติและตำรวจตระเวณชายแดนตามหน่วยต่างๆ เพื่อปลุกปลอบขวัญและกำลังใจ และ แจกอาหาร , ยา , อุปกรณ์อำนวยความสะดวก และวัตถุมงคลทั่วประเทศ


ทางด้านพระศาสนา ได้สั่งสอนพุทธบริษัทศิษยานุศิษย์ให้มุ่งพระนิพพานเป็นหลัก โดยให้ประพฤติปฏิบัติกาย , วาจา , ใจ , ในทาน , ในศีลและในกรรมฐาน ๑๐ ทัศ และมหาสติปัฏฐานสูตร ได้พิมพ์หนังสือคำสอนกว่า ๑๕ เรื่อง และบันทึกเทปคำสอนกว่า ๑,๐๐๐ เรื่อง นอกจากนี้ยังได้แสดงธรรม เทศนาทางสถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์เป็นครั้งคราว นอกจากนี้ ยังเดินทางไปสงเคราะห์คณะศิษย์ในต่างจังหวัดและต่างประเทศทุกๆ ปี

ทางด้านวัตถุ ท่านได้ช่วยสร้างพระพุทธรูปและถาวรวัตถุไว้ในพระพุทธศาสนามากกว่า ๓๐ วัด รวมทั้งการบูรณะฟื้นฟูวัดท่าซุงด้วยเงินกว่า ๖๐๐ ล้านบาท ได้สร้างพระไตรปิฎก , หนังสือมูลกัจจายน์ และถวายผ้าไตรแก่วัดต่างๆ ปีละไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ ไตร

ทางด้านพระมหากษัตริย์ท่านได้สนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยการจัดตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชประสงค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ศูนย์ฯ นี้ได้ดำเนินการสงเคราะห์ราษฎรในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ งานของศูนย์ฯ รวมทั้งการแจกเสื้อผ้า , อาหาร และยารักษาโรคแก่ราษฎรผู้ยากจน , การช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยทางธรรมชาติ , การส่งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกรักษาพยาบาลราษฎรผู้เจ็บป่วย , การให้ทุน นักเรียนที่เรียนดีแต่ยากจน , การบริจาคทุนทรัพย์ให้แก่มูลนิธิและโรงพยาบาลต่างๆ ฯลฯ

นับได้ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) เป็นปูชนียบุคคลผู้อยู่ด้วยความกรุณา เป็นปกติ พร่ำสอนธรรมะและสิ่งทีเป็นประโยชน์และสงเคราะห์เกื้อกูลมหาชนด้วยเมตตามหาศาลสมกับ เป็น ศากยบุตรพุทธชิโนรส แท้องค์หนึ่ง

ขอบคุณข้อมูล : เว็บศิษย์หลวงพ่อ





ออกมาด้านนอกวิหาร คุณลุงท่านนี้ก็พร้อมที่จะพาเราไปสักการะและเที่ยวชมจุดอื่นๆภายในวัดต่อค่ะ (ค่าบริการคนละ 8 บาท จ่ายเมื่อชมครบทุกจุดแล้วค่ะ ขึ้นคันไหนต่อไปจุดใดก็ได้)



คุณลุงให้ความรู้เรื่องการเที่ยวชมวัดด้วยค่ะ จุดแรกไว้พระศรีอริยะก่อน เสร็จแล้วก็ข้ามไปที่วิหารฝั่งตรงข้าม ต้องขออภัยจำชื่อไม่ได้แล้วค่ะ จากนั้นก็ไปไหว้หลวงพ่อเงินไหลมา เทมา และจุดสุดท้าย คือการเข้าชมปราสาททองคำ ซึ่งยังสร้างไม่เสร็จค่ะ

ชมวัดทั่วทุกมุมเสร็จเรียบร้อย คุณลุงพาไปส่งถึงรถกันเลยทีเดียว เราออกเดินทางจากอุทัยธานี ไปแวะทานมื้อกลางวันง่ายๆ ที่ริมถนนสายเอเชียเขตจังหวัดสิงห์บุรี ก่อนแวะไปไหว้พระจุดต่อไป



จุดต่อไป เราจะไปกราบหลวงพ่อจรัญ ที่วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรีค่ะ
ผู้คนนิยมมาปฏิบัติธรรมที่นี่กันมาก วันที่เราไปก็เห็นต่อคิวลงชื่อปฏิบีติธรรมกันเป็นแถวยาวเลย สำหรับการเดินทางมาที่วัดนี้ ทางเวปไซท์ของหลวงพ่อแจ้งไว้ละเอียดเลยค่ะ

ลองเข้าไปดูได้ //www.jarun.org/v6/th/contact-map.html

หลวงพ่อจะลงมาพบกับญาติโยมสองช่วงเวลาเช้า-บ่าย



กราบหลวงพ่อเสร็จ ก็ออกเดินทางต่อค่ะ จุดหมายต่อไปเราจะไปไหว้พระที่วัดท่าการ้อง อยุธยา และแวะเที่ยวตลาดน้ำอโยธยาก่อนกลับบ้านซึ่งสามารถเลื่อนลงไปชมในตอนถัดไปได้เลยค่ะ

และรีวิวฉบับเต็ม คลิ๊กชมตามลิงค์นะคะ
:: //www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10611332/E10611332.html




 

Create Date : 03 มิถุนายน 2555   
Last Update : 3 มิถุนายน 2555 16:31:32 น.   
Counter : 5768 Pageviews.  

เที่ยวในหน้าที่ อุทัย-สิงห์บุรี-อยุธยา : ตอนจบ

หมายเหตุ **
เป็นการนำรีวิวเก่าที่ทำไว้ มาเก็บในบล็อค ข้อมูลไม่ใช่ข้อมูลปัจจุบัน หากต้องการนำข้อมูลนี้ไปใช้ประกอบการท่องเที่ยว ให้เช็คข้อมูลปัจจุบันอีกครั้งค่ะ


จากสิงห์บุรีมุ่งหน้าอยุธยา เพื่อมาที่วัดท่าการ้อง วัดที่เค้าประกาศชัดเจนว่า.. มาแล้วต้องมาอีก จากลานจอดรถด้านหน้า ต้องเดินผ่านร้านขายของฝากก่อนเข้าวัด แต่บรรยากาศไม่ค่อยคึกคักเท่าไหร่ค่ะ

วัดท่าการ้องเป็นวัดเก่าแต่ดูไม่เก่า เพราะตกแต่งภูมิทัศน์สวยงาม จนปิดบังความเสื่อมโทรมของตัวอาคารไปได้อย่างกลมกลืนค่ะ



ดูกันชัดๆ หน้าบันเป็นไม้ล้วนๆค่ะ ทั้งหน้าบัน บานประตู หน้าต่างทุกบานล้วนเป็นไม้ รวมไปถึงธรณีประตูและพื้นโบสถ์ด้วย อนุรักษ์ได้ดีจริงๆค่ะ



พื้นที่วัดไม่กว้างมาก แต่จัดตกแต่งไว้สวยงามไปเสียทุกมุม

ข้อมูลในวิกิพีเดียบอกไว้ว่า..

วัดท่าการ้อง เป็นวัดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ. 2092 ประมาณ 450 ปี เศษมาแล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้างและสร้างในปีใด สันนิษฐาว่าคงเป็นวัดที่ราษฎรสร้าง เพราะไม่ปรากฏรายชื่อพระอารามหลวงสมัยอยุธยา ตามบันทึกพระราชพงศาวดาร วัดท่าการ้องมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยามากมาย



เข้าโบสถ์ไปกราบพระประธานคือ "หลวงพ่อยิ้ม" กันก่อนค่ะ

หลวงพ่อรัตนมงคล หรือ "หลวงพ่อยิ้ม" พระประธานสมัยอยุธยาที่เก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระพุทธรูปปั้นลงรักปิดทองนั่งสมาธิราบ ปางมารวิชัย มีพุทธลักษณะงดงามยิ่ง โดยเฉพาะพระโอษฐ์ที่งามและมีอาการดังจะยิ้มให้แก่ผู้มาสักการะเสมอ มีประชาชนเคารพนับถือมาก



ปัจจุบันวัดท่าการ้อง เป็นเสมือนอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยว และถูกบรรจุไว้ในโปรแกรมไหว้พระเก้าวัดด้วย บริเวณท่าน้ำหน้าวัดมีตลาดน้ำเล็กๆอยู่ด้วย แต่วันที่เราไปตลาดวายไปซะแล้วล่ะค่ะ



ศาลากลางเปรียญ เป็นอาคารทรงไทยไม้สัก สร้างสมัยอยุธยา น่าเสียดายที่เรามีเวลาไม่มาก มาเป็นหมูคณะก็มีข้อเสียแบบนี้แหละค่ะ ก็เลยไม่ได้ขึ้นไปชมบนศาลาไม้อายุกว่าร้อยปีหลังนี้



รอบๆบริเวณวัดจะมีมุมสวยๆ ให้สักการะสิ่งศักย์สิทธิ์และถ่ายรูป ทั่วบริเวณไปหมดค่ะ



ร้านขายของที่ระลึกของไปรษณีย์ไทย ก็มีนะคะ หรือจะไปซื้อสินค้าพื้นเมือง ร้านกาแฟ ร้านขนม ก็มีบริการค่ะ



จุดเด่นอีกอย่างของวัดท่าการ้องก็คือ "ห้องน้ำสะอาด" สะอาดยอดเยี่ยมขนาดไหนต้องแวะไปชมหน่อยค่ะ แค่ทางไปห้องน้ำก็ร่มรื่นแล้วค่ะ มีสะพานข้ามสระน้ำสวยงาม



มีชั้นวางรองเท้าให้เป็นระเบียบเรียบร้อย แต่คนตาบอดไม่ต้องถอดรองเท้านะคะ ^__^



เข้าห้องน้ำแล้ว..ถือว่ามาถึงแล้ว ฮ่า ฮ่า ไปที่อื่นต่อได้
จากวัดท่าการ้อง ขับผ่านอุทธยานประวัติศาสร์กรุงเก่าของเรา เพื่อไปยังตลาดน้ำอโยธยาค่ะ



ที่ตลาดน้ำอโยธยามีร้านค้าน่ารัก น่านั่ง มากมายไปหมด นั่งเพลินๆ คนมาเที่ยวตลาดมีผู้วัยค่ะ ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนทุกวัยมาได้ เหมาะกับการพาครอบครัวมาเดินเล่นมากๆ





จุดหมายปลายทางของเรา "ก๋วยเตี๋ยวเรือ" ค่ะ ได้บรรยากาศก๋วยเตี๋ยวเรือ ริมฝั่งตลาดน้ำ



ทานเสร็จ เดินเล่นอคกพักนึงก้เดินทางกลับค่ะ สนใจชมรีวิวฉบับเต็มจากบอร์ดพันทิป คลิ๊กชมได้จากลิงค์นี้เลยนะคะ

:: //www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10614771/E10614771.html




 

Create Date : 03 มิถุนายน 2555   
Last Update : 3 มิถุนายน 2555 15:37:59 น.   
Counter : 4517 Pageviews.  

เพราะชะตาฟ้าลิขิตเชียงราย-เชียงใหม่ :: ตอน 1

หมายเหตุ **
เป็นการนำรีวิวเก่าที่ทำไว้ มาเก็บในบล็อค ข้อมูลไม่ใช่ข้อมูลปัจจุบัน หากต้องการนำข้อมูลนี้ไปใช้ประกอบการท่องเที่ยว ให้เช็คข้อมูลปัจจุบันอีกครั้งค่ะ


สวัสดี่ค่ะ

ทริปนี้ขอรีวิวรวบยอดการเดินทาง 2 ช่วง มารวมเป็น 1 ทริปเลยนะคะเนื่องจากว่า เป็นการเดินทางไปที่เดียวกัน ในช่วงใกล้ๆกัน แบบกึ่งๆเที่ยว กึ่งๆทำงาน คือเราไปเที่ยวแต่ผู้ร่วมทริปไปทำงานน่ะค่ะ และต่อไปนี้คาดว่าเราจะต้องมารีวิวสถานที่ท่องเที่ยวทางภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายบ่อยกว่าเดิม เพราะชะตาฟ้าลิขิตให้เราต้องเดินทางไปที่นั่นแทนการลงใต้ซะแล้วล่ะค่ะ ^_^

การเดินทางแรก เรานั่งเครื่องจากสุวรรณภูมิไปลงที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย พักเชียงราย 1 คืน ทำธุระแล้วก็กลับในวันรุ่งขึ้น ส่วนการเดินทางช่วงที่ 2 นั่งเครื่องไปลงเชียงราย พักเชียงราย 1 คืนแล้วก้ขับรถไปพักเชียงใหม่ 2 คืน ก่อนกลับมาเชียงรายอีก 1 คืน แล้วก็เดินทางกลับค่ะ

อย่างที่บอกว่าเป็นการเดินทางที่ไม่เชิงไปเที่ยวโดยเฉพาะ ข้อมูลท่องเที่ยวอาจจะไม่มาก แต่คิดว่าข้อมูลที่เราไปพบมาอาจจะเป็นประโยชน์บ้างนะคะ ไปชมกันเลยดีกว่าค่ะ

การเดินทางในช่วงแรกเราไปแค่ 2 วันก็เลยขับรถไปจอดที่สนามบินค่ะ เพราะคำนวนดูแล้วค่ารถในการเดินทางไปสนามบินจากบ้านเรา กับค่าจอดรถน่าจะพอๆกัน ขับตรงไปที่อาคารจอดรถชั้น 5 อัตราค่าจอดรถวันละ 250 บาทค่ะ



ช่วงนี้ที่เชียงรายฝนตกบ่อยค่ะ วันที่เราไปก็เจอฝนตกหนักช่วงที่เคลื่องลงจอด เราไปเที่ยวบินสุดท้ายถึงเชียงรายก็ใกล้ค่ำพอดี ไปถึงรถจากที่พักบ้านณัฐวดีรีสอร์ท มารับที่สนามบิน แล้วคุณต้นเจ้าของที่พักซึ่งเดินทางมารับเราด้วยตัวเอง ก็พาไปทานมื้อเย็นที่ร้านรถเข็นง่ายๆใกล้หอนาฬิกา จอดรถหน้าโรงแรมสุขนิรันดร์แล้วเดินไปได้ค่ะ



เป็นร้านรถเข็นเล็กๆ แต่มีลูกค้านั่งเต็มร้านข้าวต้มปลาร้านนี้จานเด็ดของที่นี่..ข้าวต้มปลา ราคาชามละ 40 บาท เนื่อปลาสด ไม่เละ ไม่คาว น้ำซุปหอมอร่อยค่ะ นอกจากข้าวต้มปลาแล้วยังมี บะกุ๊ดเต๋ ด้วย หอมเครื่องยาจีนกลมกล่อม หรือจะสั่งเนื้อปลาลวก มาทานกับน้ำจิ้มก็อร่อยค่ะ



ทานอิ่มก็เดินทางเข้าที่พักค่ะ เหมือนเช่นเคยที่มาเชียงรายเรามักจะพักที่นี่ "บ้านณัฐวดีรีสอร์ต" ครั้งนี้คุณต้นจัดให้เราพักที่ห้อง 204 ค่ะ ราคาค่าห้องพักคืนละ 1200 บาท พร้อมอาหารเช้าเต็มที่ ไม่มีอั้น รายละเอียดเคยลงไว้แล้วที่หมวด รีวิวที่พัก นะคะ เปิดหาดูได้ค่ะ



การเดินทางช่วงแรก ไม่มีอะไรมาก ไปต่อที่การเดินทางช่วงที่สองกันเลยนะคะ

.
.
.

ช่วงที่สอง เป็นการเดินทางไฟลท์บ่าย ซึ่งมักจะเจอบัสเกตประจำ ผู้โดยสารไม่ค่อยหนาแน่นค่ะ



เดินทางมาถึงเชียงรายประมาณบ่ายสามโมง รถมารับพาไปร่วมพิธีรดน้ำดำหัวท่านพ่อเมือง ที่เปิดจวนต้อนรับชาวเชียงรายทุกคน มีน้องๆ ชาวเชียงรายมาร่วมแสดงฟ้อนพื้นเมืองให้แขกได้ชื่นชม



ความจริงที่จวนมีอาหาร-เครื่องดื่มเลี้ยงไม่อั้นเลยค่ะ เพราะโรงแรม-ภัตตาคารต่างๆ มาออกบูธบริการเต็มที่ แต่มันนั่งทานไม่สะดวก พวกเราก็เลยออกมาหาอะไรทานกันข้างนอก อาหารร้านนี้อร่อยนะ ราคาก้กลางๆ ไม่ถูก ไม่แพง เสียตรงที่ว่าหาที่จอดรถยากไปซักหน่อย (ความจริงในเมืองเชียงรายมันก็หาที่จอดรถยากทุกที่อ่ะเน๊อะ ฮ่า ฮา)



นั่งคุยกันไป ทานกันไปพักนึง ก็แยกย้ายไปจัดการภารกิจหน้าที่ แล้วนัดเจอกันอีกทีหลังเลิกงาน

ที่ร้านนี้ค่ะ อยุ่ใกล้ๆหอนาฬิกาเหมือนเดิม ร้าน"เชียงรายรำลึก"

ร้านตกแต่งสวยมากค่ะ เป็นอาคารไม้โปร่งๆ โล่งๆ เราเลือกนั่งที่ชั้น 2 พื้นที่ด้านนอกนี้ ทำเลดีมากค่ะ โดยเฉพาะช่วงเวลา 1 ทุ่ม 2 ทุ่ม และ 3 ทุ่ม เราสามารถชมหอนาฬิกาเปลี่ยนสีได้จากร้านนี้เลย หากอยากนั่งมุมนี้ ต้องจองล่วงหน้านะคะ กันพลาด



คืนนั้นเราได้โต๊ะ ในห้องด้านในค่ะ เหมาะสำหรับมานั่งคุยกันเงียบๆ เป็นส่วนตัวดี ภายในห้องตกแต่งสวยงามไม่แพ้ด้านนอก

**ความเห็นส่วนตัว**
เราว่าบรรยากาศชิลๆ เพลินๆ ดีค่ะ แต่รสชาติอาหารเราว่าธรรมดาค่ะ

สมควรแก่เวลา เก็บค่าอาหาร-เครื่องดื่ม



เก็บภาพบรรยากาศชั้นล่างมาฝากอีกนิด บรรยากาศดีจริงๆค่ะ



กลับเข้าที่พัก ที่เดิม ห้องเดิม ราคาเดิม ในคืนพระจันทร์เต็มดวง ก่อนที่เช้ารุ่งขึ้น ตื่นขึ้นมาทานมื้อเช้าแบบเต็มที่ แล้วก็ออกเดินทางไปทำธุระที่ศูนย์ราชการแห่งใหม่ของจังหวัดเชียงราย บรรยากาศดี๊..ดี อยู่ติดแม่น้ำกกด้วยค่ะ และทุกๆเช้าวันจันทรื-ศุกร์ ไปรษณีย์รถยนต์คันนี้จะมาจอดให้บริการที่ด้านหน้าอาคารศาลากลาง จนถึงบ่ายโมงตรงค่ะ

ส่งโปสการ์ดหาเพื่อนฝูงที่สะสมตราประทับ "ไปรษรณีย์รถยนต์" ไปเท่าที่จะพอหาโปสการ์ดได้ในกระเป๋า แล้วเราก้ออกเดินทางสู่เชียงใหม่

พนง.ประจำรถบอกว่าลูกค้าน้อยมาก ฝากประชาสัมพันธ์ด้วยว่า ไปรษณีย์รถยนต์จังหวัดเชียงราย จอดให้บริการตามจุดดังนี้ค่ะ

จันทร์-ศุกร์
8.30-13.00 หน้าศาลางกลาง
13.30 เป็นต้นไป (จำเวลาปิดไม่ได้ขอโทษทีค่ะ) ที่หน้าห้าง BigC

เสาร์
8.30-13.00 หน้าวัดร่องขุ่น
13.30 เป็นต้นไป (จำเวลาปิดไม่ได้ขอโทษทีค่ะ) ที่หน้าห้าง BigC

ส่วนวันอาทิตย์ไม่แน่ใจค่ะ ว่าเปิดหรือไม่ เอาไว้จะถามมาใหม่แล้วกัน



ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาทักทายลงชื่อให้กำลังใจนะคะ พบกันใหม่ตอนหน้า ที่เชียงใหม่ สวัสดีค่ะ

รีวิวฉบับเต็ม ตามนี้ค่ะ ::
//www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10498877/E10498877.html




 

Create Date : 28 พฤษภาคม 2555   
Last Update : 28 พฤษภาคม 2555 15:24:20 น.   
Counter : 4231 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

prettyguide
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




สวัสดีค่ะ

ยินดีต้อนรับสู่ prettyguide's blog ค่ะ

สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องอัญมณี และของดีเมืองจันท์ เชิญลงชื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนได้ค่ะ prettyguide จะขออาสาพาเพื่อนๆเที่ยวเมืองจันท์ให้ครบทุกซอกทุกมุม ใครอยากไปไหน หรืออยากได้ข้อมูลของจันทบุรี ก็บอกมาได้เลยค่ะ

================================

ภาพถ่ายทั้งหมด
ภายใน blog นี้สงวนลิขสิทธิ์
ตามพระราชบัิญญัติสิขสิทธิ์ พ.ศ.2537
ห้ามทำซ้ำ ดัดแปลง หรือนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาิิต
New Comments
[Add prettyguide's blog to your web]