เที่ยวแล้วสบายใจ...ไม่เน้นรายได้จากงานประจำ

เที่ยวเหนือ เมื่อเริ่มหนาว : ตอนที่ 6 ปิดทริปที่ลำปาง

ตอนนี้ น่าจะเป็นตอนสุดท้ายของรีวิวทริป นี้แล้วล่ะค่ะ
จากตอนที่แล้ว เราเดินทางมาถึงลำปาง เข้าไปดูที่พักในศูนย์ฝึกอบรม กฟผ.แม่เมาะ ตอนนี้จะพาไปชมทุ่งบัวตอง ค่ะ
และวันรุ่งขึ้นก็ไปร่วมพิธีแต่งงาน แต่ก็ยังแอบเว๊บไปเดินถนนคนเดิน มาด้วย

ถ้าพร้อมแล้ว ไปชมภาพบรรยากาศภายในเหมืองแม่เมาะด้วยกันค่ะ

ออกจากที่พัก เราก็มุ่งหน้าเข้าไปที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะค่ะ
ทุกปีในช่วงเดือนพฤศจิกายน จะมีการเปิดเทศกาลท่องเที่ยวแม่เมาะ
ขับรถเข้าไปที่จุดชมวิวค่ะ จะมีป้ายบอกทางไปเรื่อยๆ ว่าไปทุ่งบัวตอง


ดอกบัวตองยังน้อยอยู่ค่ะ แล้วก็ยังบานไม่เต็มที่
มันก็เลยไม่เหลืองอร่าม เหมือนแถวเชียงราย ,แม่ฮ่องสอน มองเห็นวิวสวยๆ จากเหมืองแม่เมาะ









ขึ้นไปถึงที่จุดชมวิว มีการจัดซุ้มให้ถ่ายรูปด้วย
หลังจุดถ่ายรูป เป็นจุดกางเต้นท์ เห็นแล้วก็ให้นึกสงสัย คนมาเที่ยวเยอะแยะมากมาย ใครจะกล้ากางเต้นท์นอนละเนี่ย มันติดกันกะจุดชมวิว แล้วก็ถ่ายภาพเลยอ่ะ พื้นที่ไม่กว้างมากเท่าไหร่ แอบนึกหวั่นใจ
ถ้าช่วงเปิดเทศกาล คนมาเที่ยวกันเยอะๆ จะไปยืนตรงไหนกันละเนี่ย

ฝั่งตรงข้าม เป็นลานจอดรถ มีร้านอาหารแผงลอยบริการค่ะ ได้เวลาพอสมควร ก็กลับค่ะ อันที่จริงภายในเหมืองแม่เมาะนี้ ยังมีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ให้เราไปเยี่ยมชมอีกหลายจุด แต่เนื่องจากร้อน และหิว ก็เลยกลับค่ะ

อีกอย่าง..

เราตั้งใจจะไปดูความเรียบร้อย ที่บ้านงานก่อนด้วย
ขาดเหลืออะไร จะได้เตรียมทัน สำหรับงานวันรุ่งขี้น















แวะไปที่บ้านงาน แล้วก็กลับเข้าไปที่พัก ในศูนย์ฝึกอบรม เจ้าภาพจัดให้เราทานมือเย็นกันที่นี่เลย ค่ะ สะดวกดี อิ่มแล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เตรียมตื่นแต่เช้า

เช้าวันรุ่งขึ้น ตืนตั้งแต่ ตี 4
อาบน้ำแต่งตัว เก็บข้าวของออกไปบ้านเจ้าสาว


วันนี้หนุ่มเมืองจันท์ คุณ assu
เค้ายกขันหมากไปสู่ขอ สาวลำปาง คุณ mitm2001

บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข สนุกสนาน น่าปลื้มใจจังค่ะ Smiley



ช่วยงานที่บ้านเจ้าสาวอยู่จนเสร็จสิ้นพิธีเช้า

เย็นนี้ มีงานเลี้ยงต่ออีกที่โรงแรมเวียงลคอร พอเสร็จงานเช้า
เราก็เข้าไปที่โรงแรมต่อ เจ้าภาพจัดให้เราพักที่นี่ ในคืนนี้ด้วย

ข้อมูล ::
แวะเติมน้ำมัน ที่ตัวเมืองลำปาง 1090 บาท



ข้อมูลที่พัก ตามไปชมได้ที่หมวด "รีวิวที่พัก" นะคะ

พักผ่อนซักครู่ เราก็ออกไปหามื้อกลางวันทาน ร้านน่านั่งในเมืองลำปาง มีเยอะมากค่ะ

แต่...


เปิดตอนเย็น

ขับวนหากันอยู่ทั่วเมือง โชคดีที่ร้านนี้เปิด
อยู่ริมแม่น้ำด้วย ทำเลโปรดเลยล่ะค่ะ ร้าน The Riverside





วิวแม่น้ำ ลมพัดเย็นๆ สุขใจค่ะ อาหารรสชาติใช้ได้ค่ะ ราคาก็ไม่แพงเว่อร์ อาหาร 3 อย่าง (มีข้าวด้วย) ดาวแดง 3 ขวด หมดไป 650 บาทค่ะ







อิ่มแล้ว กลับเข้าไปที่รงแรม

ลงไปดูบริเวณสวนอาหาร ศาลาหลวง ที่จะใช้เป็นห้องจัดเลี้ยงในคืนนี้
บรรยากาศดีค่ะ น่ามานั่งดื่ม เสียจริงเชียว

เพราะตื่นเช้า(มาก) พอตกบ่ายก็เลยง่วง
ขึ้นห้องไปนอนค่ะ ตื่นขึ้นมา ก็ได้เวลาลงไปงานเลี้ยงพอดี


มุมนี้ จากหน้าต่างห้องพักค่ะ



งานเลี้ยงฉลองสมรส ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย ชื่นมื่น
พอจบพิธีการปุ๊บ เราก็แว๊บขึ้นห้องไปเปลี่ยนชุด ออกตะลุยตลาดกันเลยค่ะ
เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกมาเรียกสองแถวหน้าโรงแรมค่ะ บอกคนขับว่าไปถนนคนเดิน ราคาค่ารถคนละ 20 บาทค่ะ



สองแถวมาส่งเราลง ตรงปากซอย ถนนทิพย์วรรณ เดินกันจนเมื่อยค่ะ
ไม่ค่อยได้ซื้ออะไรซักเท่าไหร่ เดินถ่ายภาพบ้านเรือนเก่าๆซะมากกว่า









ร้านเด่น ร้านดัง "ม้าหมุน" อุดหนุนเสื้อยืดไปคนละตัวค่ะ



มีเกสท์เฮ้าท์ เปิดใหม่อยู่ 2-3 แห่ง

พี่เจ้าของเชิญชวนให้เราเข้าไปชมข้างใน แต่ว่ามันดึกแล้ว
กลัวจะเดินไม่ทั่ว เลยไม่ได้เข้าไปชม เสียดายเหมือนกัน





ประมาณ สามทุ่ม ร้านค้าก็เริ่มเก็บของกันแล้วล่ะค่ะ เราเดินย้อนออกมาเรียกรถ ตรงจุดเดิม รถสองแถววิ่งรอบเวียง มีตลอดทั้งคืนค่ะ ค่ารถก็คนละ 20 บาทเหมือนเดิม ไปส่งถึงโรงแรมเลย

เพิ่งรู้สึกว่าหิว
เพราะตอนเย็นที่งานเลี้ยง มัวแต่ช่วยงานเจ้าภาพ
ไม่ได้นั่งโต๊ะรับประทานอาหารแบบแขกทั่วไป

ก็เลยแวะที่ห้องอาหารของโรงแรมค่ะ ราดหน้าทะเล อร่อยดี
เอ๊...หรือว่าเพราะหิว



นอนหลับสบายทั้งคืน
ตื่นเช้ามาเตรียมเดินทางกลับค่ะ 8.30 น. ออกเดินทางจากลำปาง
มีนัดกับรุ่นน้องคนหนึ่ง ให้มาพบกันที่ จ.ตาก

ไปถึงจุดนัดพบ ก็เลยมีเจ้ามือเลี้ยงข้าว
อาหารปักษ์ใต้แท้ๆ หาทานได้ที่เมืองตาก คอนเฟิร์มว่าร้านนี้ หรอยจังฮู้





11.30 - ออกเดินทางจาก ตาก
12.20 - แวะซื้อเฉาก๊วย เจ้าอร่อยที่กำแพงเพชร

จากนั้นก็วิ่งยาวกลับบ้านค่ะ ประมาณ 1 ทุ่มก็ถึงบ้านที่จันทบุรีโดยปลอดภัย
เป็นอันจบทริป "เที่ยวเหนือ เมื่อเริ่มหนาว" ตั้งแต่วันที่ 3-9 พฤศจิกายน 52

ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจ เข้ามาพูดคุย และลงชื่อให้กำลังใจกันมาโดยตลอดนะคะ หวังว่ารีวิวนี้จะพอมีข้อมูลในการเดินทางของเพื่อนๆ บ้าง

ทริปต่อไป ยังไม่ได้วางแผนค่ะ ว่าจะไปไหน
แต่สัญยาว่าถ้าได้ไป จะกลับมารีวิวให้ชมกันอีกแน่นอน

ขอบคุณ และสวัสดีค่ะ



ติดตามรีวิวฉบับเต็มจากบอร์ดบลูแพลนเนทได้ จากลิงค์นะคะ

//www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E8572092/E8572092.html




 

Create Date : 11 เมษายน 2553   
Last Update : 11 เมษายน 2553 15:27:04 น.   
Counter : 3488 Pageviews.  

ขับรถเที่ยวอิสานใต้ ด้วยความประทับใจ "อุบลราชธานี" : ตอนที่ 1

ทริปนี้ ไปมาเมื่อเดือนตุลา ปี 52ค่ะ
เป็นการเดินทางสู่ภาคอิสาน ด้วยรถยนตร์กะบะ 4WD. เครื่อง 3000
กินน้ำมันเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน

เป็นทริป 3 วัน 2 คืนค่ะ
แต่อันที่จริง แค่ 2 วันครึ่งนะคะ เพราะกว่าจะออกเดินทางก็ครึ่งวันเข้าไปแล้ว ล่ะคะ



ออกเดินทางจากรุงเทพ ประมาณ 11 โมงครึ่ง
ถามใคร ก็บอกว่าหาที่พักระหว่างทางเถอะ มันไกล

กว่าจะไปถึงเมืองอุบล ก็ 8-9 ชม.
แต่เรามานั่งคำนวณเวลาดูแล้ว ยิงยาวเลยดีกว่า

ไปค่ำที่อุบลก็ไม่เป็นไร เพราะเรามีเพื่อนที่นั่น (ก็เพื่อนจากสังคมไซเบอร์ แห่งนี้นั่นแหละค่ะ) โทร.ไปปรึกษาเรื่องที่พักได้ ไม่มีอะไรน่าห่วง


จากกรุงเทพ ใช้เส้นทางวิภาวดี-รังสิต ออกพหลโยธิน แล้วไปเลี้ยวขวาเข้า ทล.หมายเลข 2 ถนนมิตรภาพ ก่อนเลี้ยวขวาอีกครั้งก่อนถึงสีคิ้ว เพื่อเข้า ทล.หมายเลข 24 ตรงไปเรื่อยๆ จนถึง อ.ขุขันธุ์ จ.ศรีสะเกษ ก็เลี้ยวซ้ายเข้า ทล.หมายเลข 220 ผ่านเมืองศรีสะเกษ เลี้ยวขวา เข้า ทล.226 เข้ากันทรารมย์ ,วารินชำราบ อุบลราชธานี ค่ะ



โชคไม่ดี เจอฝน(เกือบ)ตลอดทาง

ฝนตกหนักมากช่วงตั้งแต่ สูงเนิน,โชคชัย ไปจนเข้าเขตบุรีรัมย์ เข้าเขตจังหวัดบุรีรัมย์ ฝนซาเม็ดลงบ้างแต่ก็ยังมีเม็ดฝนลงมาอยู่ ถนนเส้น 24 นี้ขับง่าย ทางตรงตลอด แต่ว่าจะเป็นถนนรถวิ่งสวนทางนะคะ สี่เลนแค่ช่วงโคราช ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นช่วงอำเภอนางรอง หรือไม่ก็ปราสาท
ฟ้าเริ่มเปิดแล้วค่ะ แต่ว่า..ก็เกือบจะเย็นแล้ว



เข้าเขตศรีสะเกษ ก็เกือบจะค่ำแล้ว เลี้ยวขวาเข้าสาย 226 ไปทางกันทรารมย์ ก่อนเข้าเขตอุบลทางอำเภอวารินชำราบ

โทร.นัดหมายกับน้องที่อยู่อุบล น้องๆทำเสียงตกใจ โห..พี่ทำไมถึงเร็วจัง

ขอบคุณน้อง "ก้านกล้วยสีสด" ที่อำนวยความสะดวกทุกเรื่อง
และขอบคุณน้อง "เจ้าจุก" ที่มาต้อนรับดูแลนะจ๊ะ

ขอบคุณ



เจ้าบ้านจัดการหาที่พักไว้ให้เราเรียบร้อย
ไปถึงที่พัก ก็ค่ำพอดี เก็บของดูห้อง แล้วออกไปทานข้าวกันค่ะ

พิกัดร้าน อยู่ในซอยตรงข้ามกับโรงพยาบาลศรีมหาโพธิ์
ไม่ได้ถ่ายรูปทางเข้ามา เพราะว่ามืดแล้ว ร้านจะอยู่ในซอยหมู่บ้าน

ชื่อ "บ้านกลางซอย"

เจ้าบ้านดูแลเราอย่างดี

จัดหารข้าวปลาอาหารมาให้ ไม่บกพร่อง อร่อยทุกอย่างเลยค่ะ
แต่ว่ากินไม่หมด เพราะสั่งมาเยอะมาก และเดินทางมาเหนื่อย ต้องขอโทษเจ้าบ้านด้วย

ราคาก็ไม่แพงนะคะ ร้านนี้
ใครผ่านไปเมืองอุบลราชธานี แนะนำเลยค่ะ ด้านหน้าร้านเป็นแบบนี้ค่ะ

ไม่ได้ถ่ายรายการอาหารมาเพราะว่าแสงมันน้อย มือสั่น ไม่กล้าใช้แฟลช เกรงใจแขกโต๊ะอื่นค่ะ



กินข้าวอิ่ม เจ้าถิ่นพาไปรู้จักร้าน "ระหว่างทาง"
ร้านนี้อยู่ตรงใกล้กับทุ่งศรีเมืองค่ะ ขายโปสการ์ด ของที่ระลึก ต่างๆ

สอยเสื้อยืดมาคนละตัว สองตัว
ก็รีบกลับ เพราะเลยเวลาที่ต้องปิดร้านแล้ว
ตั้งใจไว้ว่า เดี๋ยวเช้าจะแอบมาอีก



เสร็จแล้วก้กลับเข้าที่พัก ทีแรกคุยกันว่าจะไปนอนที่โขงเจียม 1 คืน
แต่เกิดเปลี่ยนใจ เพราะอยากไปนั่งกินข้าวบนแพริมแม่น้ำมูล
ก็เลยคิดว่าจะพักในเมืองทั้งสองคืนเลย คุยกันไว้ว่า ถ้าที่นี่โอเค ก็จะพักต่อ

ความจริงเรื่องสภาพห้องพัก ก็ไม่ได้แย่มากหรอกค่ะ
เรารับได้ แต่พอเช้าก็ตัดสินใจว่า..

เช็คเอาท์เหอะ นอนไม่ค่อยหลับเลยเมื่อคืน

เพราะมีเสียงน้องตุ๊ก มาร้อง "ตั๊บแก่ ตั๊บแก่" อยู่หลังห้องค่ะ

เช้า.. เช็คอ้าท์ แล้วก็ไปกินกันที่ร้าน "สามชัยกาแฟ" ค่ะ พิกัดร้าน อยู่ข้างศาลจังหวัด ค่ะ เป็นร้านเด่นร้านดัง ใครๆก็รู้จัก

โจ๊กใส่ไข่ ,ขนมปัง ไส้หมูยอ-กุนเชียง,ปาท่องโก๋ ,กาแฟโบราณ และ ข้าว-เลือดหมูต้ม







ท้องอิ่มก้ออกเดินทางต่อ

แวะไปร้านระหว่างทาง เพื่อกักตุนโปสการ์ด เอาไปล่าตราประทับ ส่งหามิตรรัก แฟนอักษร

วันนี้เราจะไปเที่ยวนอกเมืองค่ะ แพลนเอาไว้ว่าจะไปโขงเจียม, น้ำตกแสงจันทร์ , แล้วก็จะแวะไปดูความเปลี่ยนแปลงที่ กุดข้าวปุ้น ถิ่นเก่าที่คุณผู้ชายเคยมาอยู่ สมัยบรรจุเข้ารับราชการครั้งแรก (โอ้ว..นานไปมั้ยเนี่ย )

ใช้เส้นทางการเดินทางเป็นวงกลมค่ะ
ขาไปใช้เส้น 217 ไปจึงถึงช่องเม็ก
แล้ววิ่งเลาะ 2173 ไปโขงเจียม แล้ววิ่งตามเส้นสีเขียวไปกุดข้าวปุ้น
หากลับใช้เส้นทาง สีเหลือง เข้าสู่ตัวเมือง ค่ะ

ระหว่างทาง ผ่านหาดพัทยาน้อย
แวะลงไปถ่ายรูปนิดหน่อย บรรยากาศเงียบเหงาค่ะ เพราะยังเช้าอยู่



เราไม่ได้แวะเข้าไปที่เขื่อนสิรินธร เพราะเกรงว่าจะเสียเวลามาก
จึงตรงดิ่งไปที่ช่องเม็กเลยค่ะ ไม่ได้ตังใจหรอกว่าจะไปซื้ออะไร แค่ตั้งใจไปดูบรรยากาศเท่านั้น

เงียบเหงาดีค่ะ
เหมือนตลาดชายแดนแถวๆบ้านเลย (ช่องบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน)



ไม่รู้จะข้ามไปฝั่งโน้นทำไม ก็เลยจอดรถลงไปถ่ายรูป แล้วก็กลับค่ะ





ระหว่างทาง จากช่องเม็ก ไป อ.โขงเจียม
ผ่านแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งค่ะ ทั้งแก่งตะนะ ,ชมรมอนุรักษ์พันธุ์ม้าพื้นบ้าน ,เขื่อนปากมูล, ถ้ำเหวสินธุ์ชัย แต่เราไม่ได้แวะที่ไหนเลยค่ะ

มุ่งหน้าไปโขงเจียม กันเลย
สะพานข้ามแม่น้ำ ใกล้จุดที่แม่น้ำทั้งสองสาย มาพบกัน โขงสีปูน มูลสีคราม



อ.โขงเจียม เป็นอำเภอเล็กๆ ค่ะ
ถนนในตัวอำเภอเป็นถนนคอนกรีต สายเล็กๆ
สองข้างทางมีบ้านพักเล็กๆ บริการหลายแห่ง ออกไปชมวิว แม่น้ำสองสีกันดีกว่าค่ะ ทำไมไม่เห็น สองสีเลยค่ะ

หรือว่าต้องดูจากมุมสูง ..... หรือว่าต้องนั่งเรือไปดูทางแม่น้ำ

ฟ้าครึ้ม ไม่มีแดดเลยค่ะ
แต่ว่าอากาศร้อนอบอ้าว เอาเรื่องเหมือนกัน
บริเวณนี้มีแพอาหาร และร้านขายของที่ระลึกหลายเจ้า
แต่เรายังไม่ค่อยหิว ก็เลยคิดว่าเดินทางต่อกันดีกว่า







จากโขงเจียม เรามุ่งหน้าไป อช.ผาแต้มกันค่ะ
จ่ายค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานกันก่อน คนละ 20 บาท รถคันละ 30 บาทค่ะ

จ่ายครั้งเดียว เที่ยวได้ทุกอุทยาน ภายใน 1 วัน



เสาเฉลียง

เสาเฉลียง ลักษณะคล้ายดอกเห็ด มีจุดกำเนิดและวิวัฒนาการมาจากหินทราย 2 ยุค คือ หินทรายยุคไดโนเสาร์ (Jurassic Period) มีอายุประมาณ 180 ล้านปี และหินทรายยุคครีเตเชียส (Cretacecus Period) เกิดจากการกัดเซาะของน้ำ ลม และแสงแดด ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายล้านปี ประกอบกับการเปลี่ยนแปลง (ยุบและยกตัว) ของเปลือกโลก และในขณะเดียวกัน ตะกอนของเนินหินทรายที่เหลือจากการชะล้างพังทลาย ก็เริ่มแข็งตัวขึ้นโดยลำดับ ซึ่งเรียกว่า ขบวนการสึกกร่อนและต้านทานทางธรรมชาติ ส่วนต้นของเสาหิน มีวิวัฒนาการมาจาก การสะสมตะกอนของหินทราย ในยุคไดโนเสาร์ โดยในยุคนั้น สภาพลมฟ้าอากาศ ไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อความแข็งและยึดตัวของเม็ดหินทราย
ยุคถัดมาคือ หินทรายยุคครีเตเชียส อันเป็นหินที่ทับอยู่ส่วนบนซึ่งแข็งแรง ทนต่อการสึกกร่อนได้ดีกว่าส่วนที่เป็นเสาหินท่อนล่าง ดังนั้น เมื่อถูกกัดกร่อนทีละเล็กละน้อยนานๆ เข้า ส่วนต้นของเสาหินจึงมีลักษณะสูงชะลูดคล้ายโคนเห็ด แต่หินส่วนที่ทับ หรือเกยทับอยู่ข้างบน จะไม่ติดเป็นเนื้อเดียวกับเสาหิน เพราะเกิดต่างยุคและต่างเงื่อนไขของสภาพแวดล้อม เป็นผลให้สามารถคงรูปใกล้เคียงสภาพเดิม ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ ยื่นคลุมเลยส่วนที่เป็นต้นเสาหินออกไปคล้ายดอกเห็ด นับเป็นประติมากรรมทางธรรมชาติชิ้นเอกร่วมกันของหินทรายทั้ง 2 ชุด ซึ่งก่อให้เกิดเสาหินกระจายอยู่มากกว่า 10 แห่ง โดยเฉพาะบริเวณภูกระบอ มีอยู่มากมายคล้ายสวนหิน

ชาวท้องถิ่นเรียกเสาหินที่คล้ายดอกเห็ดนี้ว่า "เสาเฉลียง" ซึ่งแผลงมาจากคำว่า "สะเลียง" เป็นภาษาส่วยที่หมายถึง "เสาหิน"

ลักษณะก้อนหินแต่ละก้อน มีรูปร่างแปลกตาตามจินตนาการของแต่ละคน อันเกิดจากธรรมชาติที่ใช้เวลานับล้านปี เป็นผู้สร้างสรรค์ขึ้นมา เช่น หินเต่าชมจันทร์ มีรูปร่างคล้ายเต่ากำลังแหงนหน้ามองฟ้า หินโยคี น้ำหนักประมาญ 50 ตัน แต่สามารถโยกได้ด้วยคนเพียงคนเดียว เป็นต้น


ข้อมูลจาก //guideubon.com/news/view.php?t=40&s_id=7&d_id=4 ขอบคุณค่ะ



แวะไปประทับตราอุทยานกันก่อนค่ะ ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
และไปดูข้อมูลพระอาทิตย์ขึ้นวันนี้ค่ะ

ที่นี่จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใคร คงเคยได้ยินรายงานนะคะ ผาชนะได จังหวัดอุบลราชธานี ไง





ไปชมภาพเขียนสี กันดีกว่าค่ะ ก่อนลงไปชมภาพเขียนสี

ไปชมวิวกันก่อน ที่จุดชมวิวผานางลี้ วิวสวยค่ะ เสียดายที่อากาศอบอ้าวไปนิด ฟ้าครึ้ม ฝน











ฝั่งโน้น คือประเทศลาวค่ะ
ยืนอยู่ตรงนี้เราได้ยินเสียงแตรรถจากฝั่งโน้น ชัดเจนเลยค่ะ



จบตอนแรกค่ะ เลื่อนลงไปอ่านตอนสองกันได้เลยนะคะ
หรือรับชมรีวิวฉบับเต็มจากบอร์ดบลูแพลนเนท จากลิงค์ค่ะ

//www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E8386758/E8386758.html




 

Create Date : 01 เมษายน 2553   
Last Update : 1 เมษายน 2553 20:40:21 น.   
Counter : 8416 Pageviews.  

ขับรถเที่ยวอิสานใต้ ด้วยความประทับใจ "อุบลราชธานี" : ตอนจบ

ทริปเยือนถิ่นเก่า อีสานใต้ ปลายทางที่จังหวัดอุยลราชธานี
2 วันครึ่ง 2 คืนเต็ม ค่ะ

ตอนนี้เป็นตอนจบ
หากต้องการชมตั้งแต่ตอนแรก เข้าไปย้อนรอยชมได้ที่ด้านบนนะคะ
ตอนที่สอง ซึ่งเป็นตอนจบนี้ จะเริ่มกันที่ผาแต้ม ค่ะ
ก่อนแวะไปเยี่ยมถิ่นเดิม หมู่บ้านเล็กๆ ในอำเภอกุดข้าวปุ้น
แล้วขับรถย้อนกลับมานอนในตัวเมือง ไปเที่ยวกันต่อนะคะ

จากจุดชมวิวถ้ำนางลี้
เดินย้อนไปชมภาพเขียนสีกันต่อค่ะ มาถึงตอนนี้

เพื่อนร่วมทาง ทิ้งกันซะแล้วค่ะ
ไม่ยอมลงไปด้วยกัน บอกว่าเคยมาแล้ว ลงไปคนเดียวเหอะ

เนี่ยน้า..
ไม่ยอมออกกำลังกาย แค่นี้ก็เหนื่อยซะแล้ว ทางลงไป ค่อนข้างชันนะคะ
ขาลงไปน่ะไม่เท่าไหร่ ขาขึ้นมานี่สิ่







ทางเดินเลาะไปตามผาหิน

ด้านขวาจะชันลงไปเรื่อยๆ ทางเป็นหินทรายค่อนข้างลื่น
ถ้ามีเด็กๆมาด้วย ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษนะคะ ทางลาดลงบ้าง ขึ้นเนินบ้าง
ต้องระมัดระวังเรื่องของพื้นรองเท้าเป็นพิเศษ เพื่อกันอุบัติเหตุลื่นล้มค่ะ มีจุดนั่งพักเป็นระยะๆ ถ้าเหนื่อย



ถึงจุดแรกแล้วค่ะ ดูใกล้ๆ เป็นรูปปลา



เดินต่อไปค่ะ

จุดนี้จะมีน้ำไหลลงมาจากหน้าผา
ทำให้พื้นเปียก ต้องระวังนะคะ เพราะความชุ่มชื้นของน้ำตามธรรมชาติที่ไหลลงมา
ทำให้บริเวณนี้เต็มไปด้วยพืชนานาชนิดค่ะ



เดินมาถึงช่วงที่ 2 แล้วค่ะ

ภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ กลุ่มที่ 2 (ผาแต้ม)
เป็นภาพเขียนสีกลุ่มที่ใหญ่อยู่ห่างจากเขียนกลุ่มผาขาม 300 เมตร ภาพเขียนสีในจุดนี้ เป็นกลุ่มภาพเขียนสีที่มีขนาดใหญ่ และ ยาวถึง 180 เมตรมีหลากหลายแบบทั้งภาพคน สัตว์ และอื่นๆ กว่า 300 ภาพ ปะปนกัน บางภาพก็ซ้อนทับกันอยู่ ภาพที่พบในจุดนี้จะมีลักษณะ สามารถแยกประเภทได้ชัดเจนใช้สีแดงเป็นส่วนใหญ่ มีการใช้เทคนิคทั้งการลงสี และการทำรูปรอยลงในเนื้อหินลักษณะเด่นของกลุ่มภาพเขียนสีที่ผาแต้มนี้จะเป็นภาพของฝ่ามือมนุษย์ แบบทึบ และแบบโปร่ง ภาพสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ เห็นได้ชัดเจนว่า เป็นทั้งสัตว์บก และสัตว์น้ำ ภาพเขียนที่เป็นสัตว์บก เช่น ช้าง วัว หมา และภาพเขียนสีที่เป็นสัตว์น้ำ เช่น เต่าหรือตะพาบ ปลาบึก(ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่พบในลำน้ำโขง) ลักษณะของการวาดภาพมีทั้งการวาดโครงร่าง และการระบายสีทึบ ภาพสัตว์ต่างๆ ที่ปรากฏอยู่นี้ควรเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของมนุษย์ในยุคนั้น การสร้างภาพเขียนสีสร้างโดย 2 เทคนิคใหญ่ๆ คือ 1. การลงสี (Pictograph) หรือการสร้างภาพด้วยสี ในวิธีต่างๆ เช่นวาดด้วยสีแห้ง(Drawing Withdraw Pigment) เขียนหรือ ระบายเป็นรูป (Painting) พ่นสี (Stenciling) สะบัดสี (Paint Splattering) การทาบหรือทับ (Imprinting) 2. การทำรูปรอยลงในหิน มีวิธีต่างๆ เช่นฝน จารขูดขีด แกะหรือ ตอก ฯลฯ การใช้สีที่พบจะเป็นสีแดงจะสัมพันธ์กับพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความตาย เพราะตามแหล่งโบราณคดีหลายแห่งในประเทศไทย มักจะพบสีแดงหรือสิ่งของ สีแดงในหลุมฝังศพงานศิลปะที่ผาแต้ม จึงอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความตายของผู้ตายในสมัยนั้นภาพเขียนสีในอุทยานแห่งชาติ ผาแต้มที่พบและมีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทยมีทั้งหมด 4 กลุ่มตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติชื่อว่าศิลปะถ้ำ สีที่คนในยุคโบราณมักใช้ในการวาดคือ หินเทศ ที่จริงแล้วก็คือ หินทราย ชนิดหนึ่ง มีชื่อหลักว่าหินทรายแดง จะพบได้ทั่วไปในพื้นที่ประเทศไทย และจะพบมากในพื้นที่ภาคอีสานซึ่งเต็มไปด้วยภูเขาหินทราย หินทรายแดงจะประกอบด้วยอนุภาคดินทรายแป้งที่ความละเอียดมาก สีเทาปนแดง แร่ที่เป็นองค์ประกอบหลักคือแร่ควอตร์และแร่เหล็กที่เรียกว่า hematite คนในยุดก่อนรู้จักนำเอาหินทรายแดงมาใช้ ประโยชน์โดยเฉพาะตามแหล่งภาพเขียนสีโบราณจะพบว่ามีการนำเอาหินทรายแดงหรือหินเทศมาใช้เป็นวัตถุดิบในการวาดภาพตามผนังถ้ำ ตามหน้าผา หรือวาดลงบนเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ

ที่มา : //park.dnp.go.th/visitor/scenicshow.php?id=150









สาแก่ใจแระ (ความจริงเหนื่อย) กลับดีกว่า

ไม่สามารถเดินไปจนสุดทางได้ค่ะ ยอมแพ้
เหนื่อยจริงๆ ร้อนด้วย ที่สำคัญฝนเริ่มลงเม็ดแล้วล่ะค่ะ



ระหว่างทางเดินกลับ

เห็นถุงขนมถูกทิ้งอยู่ตามหน้าผาเยอะแยะไปหมด
ไอ้เราจะปีนลงไปเก็บก็ใช่ที่ เดี๋ยวตกลงไปไม่มีใครรู้ใครเห็น

นึกสงสัยว่า เออนะช่างไม่มีวินัยกันซะเลย
พอใกล้ถึงทางขึ้น สวนกับน้องๆนักเรียนกลุ่มใหญ่ กำลังเดินลงมา
ทุกคนถือขนมติดมือกันมาทั้งนั้น ก็เลยถึงรู้ที่มา

ไอ้เราจะเข้าไปสอนไปบอกเค้า ก็กลัวเด็กมันจะย้อนเอา
แต่แค่สงสัย.. ว่าคุณครู เค้าไปไหนนะ ไม่ลงมาด้วย จะได้คอยควบคุมดูแลเด็กๆ



มาถึงบางอ้อ..อีกครั้ง

คุณครู กำลังสนุกสนานอยู่กับการถ่ายภาพหมู่ ข้างบนนี้ค่ะ
สนุกสนานกันยิ่งกว่าเด็กๆซะอีก

อืม..คุณครูขา
ไม่ลงไปดูแลเด็กๆ กันหน่อยหรือคะ
ไม่รู้ว่าได้สอน ได้บอกกันหรือเปล่าเน๊อะ เรื่องขยะอ่ะ

ไม่เอา ไม่เอา เรามาเที่ยวนะ ทำใจให้ร่าเริง
รีบไปต่อดีกว่า ฝนลงเม็ดแล้ว



เพราะฝนตก
ทำให้ที่วางแผนไว้จะไปเที่ยวน้ำตกก็เลยล้มเลิก
แก่งตะนะ ก็ไม่ได้แวะค่ะ เพราะน้ำมาก ก็มองไม่เห็นแก่ง

เราก็เลยมุ่งตรงไป กุดข้าวปุ้นกันเลย
ระหว่างทาง คุณผู้ชายจำได้คลับคล้าย คลับคลาว่าจะมีทางเลี้ยวไปตัวอำเภอได้

แวะถามน้องๆ นักศึกษาที่เดินอยู่ปากทาง
น้องบอกใช่แล้ว เข้าไปทางนี้ได้ค่ะ ไปอีกไกลเหมือนกัน พี่แวะถามชาวบ้านไปเรื่อยๆนะคะ


เลยถามน้องเค้าว่า..จะไปไหน

น้องบอกว่า...ไปหมู่บ้านในนี้

ถามต่อ... ไปด้วยกัน มั้ย

"ไปค่ะ ขอบคุณค่ะพี่ "

กระโดขึ้นท้ายรถเลยน้อง แต่รถพี่สูงอ่ะ น้องขึ้นไหวป่าววววว
55555555555555555555555555555555555555555555+



จากปากทางกับ จุดที่เราจอดแวะส่งน้องๆ
ระยะทางก็ไกลหลายกิโลอยู่นะคะ
นึกในใจ ถ้าไม่เจอเราเค้าเดินกันแบบนี้ทุกวันเลยเหรอเนี่ย ไกลมากกกกก

ถนนเป็นทางคอนกรีตเล็กๆ ผ่านเข้าไปในหมู่บ้าน
แต่ไม่ไกลเท่าไหร่ ก็เป็นทางดินแดงแล้วล่ะค่ะ สองข้างทางเป็นนาข้าวเขียวไปหมด


ถามคุณผู้ชายว่า.. มาถูกทางแน่นะ
มันไม่น่าจะเป็นทางเชื่อมระหว่างอำเภอได้อ่ะ

คุณผู้ชายบอก..ได้ดิ่
สมัยที่เคยอยู่ที่นี่ก็เป็นแบบนี้แหละ แต่บ้านคนจะน้อยกว่านี้

ยังคงจอดถามชาวบ้านไปเรื่อยๆ ทุกคนบอกขับตรงไปเรื่อยๆ ถามไปเรื่อยๆเลย เดี๋ยวก็ถึง



กลิ่นข้าวออกรวงใหม่ หอมมากค่ะ
เปิดกระจกก็ได้กลิ่นเลย ชื่นใจมากกกกกกกกกกกก

ทางเป็นหลุมเป็นบ่อ เพราะฝนตกหนักมาหลายวัน

คุณผู้ชายบอก ไม่ต้องกลัวนะ รถเราขับเคลื่นสี่ล้อ



อ๋อ..
อย่างนี้ นี่เอง ตอนออกจากบ้านถึงย้ำนัก ย้ำหนา
ว่าไปอุบลฯทริปนี้ เอารถกะบะไปนะ เราก็ว่าเปลืองน้ำมันจะตาย
ทำไมไม่เอารถเก๋งไป(ฟร๊ะ)555555555555+





แวะไปถามหาชาวบ้านที่เคยทำงานด้วยกันมากับคุณผู้ชาย ปรากฏว่าล้มหาย ตายจากกันไปเกือบหมดแล้ว รุ่นพี่ ที่เคยทำงานด้วยกันก็แต่งงานแต่ง
การกับลูกสาวชาวบ้านถิ่นนี้ ลงหลักปักฐานอยู่กันที่นี่ จนกระทั่งปัจจุบันได้เป็นหัวหน้าส่วนระดับอำเภอกันไปหมดแล้ว คงเป็นเพราะไม่อยากทิ้งถิ่น ความก้าวในหน้าที่การงานก็เลยดูเหมือนจะช้ากว่าคนที่ย้ายไปเรื่อยๆ (แบบอิตาคนข้างๆอิชั้นเป็นต้น)

เมื่อจนที่ที่อยากเจอ ได้เห็นที่ที่เคยอยู่
เราก็กลับเข้ามาในเมืองค่ะ คืนนี้เราจะไปพักกันที่ อุบลบุรี รีสอร์ท รายละเอียดที่พักตามไปชมได้ที่หมวด "รีวิวที่พัก" นะคะ

เดินชมที่พักกันซักพัก เราก็ออกไปรับประทานอาหารเย็นค่ะ

ไม่ไกลจากที่พัก ขับมุ่งหน้าเข้าเมืองอุบลฯ ก่อนข้ามสะพานเสรีประชาธิปไตย เลี้ยวซ้ายลงข้างสะพาน จะมีร้านแพริมน้ำอยู่หลายเจ้าค่ะ

จะลอดใต้สะพานไปอีกฝั่ง หรือจะเลี้ยวซ้ายก็ตามสะดวก
เราเลือกเลี้ยวซ้ายไปร้านนี้ค่ะ (เลือกจากร้านที่มีรถจอด แสดงว่าน่าจะอร่อย)

ร้านพลอยไพจิตร ค่ะ

เพราะบรรยากาศแบบนี้แหละ ที่ทำให้เราตัดสินใจพักในเมืองกันอีกคืน







บรรยากาศดี อาหารอร่อย

โดยเฉพาะปลาช่อนแป๊ะซะ รสชาติเยี่ยม !!! ค่ะ



รับประทานมื้อเย็นอิ่มกำลังดี แต่ยังไม่อยากเข้านอน
แอบแว๊บบบบไปฟังเพลงที่ค๊อฟฟี่ช๊อปของโรงแรมต่อค่ะ


เช้าตื่นขึ้นมา
อาบน้ำเก็บข้าวของเตรียมเช็คเอ้าท์ แล้วก็เข้าไปทานมื้อเช้า
ห้องเดียวกับที่ฟังเพลงเมื่อคืนนั่นแหละค่ะ เช็คเอ้าท์ แล้วเราก็เข้าไปหาซื้อของฝากค่ะ

บริเวณข้างศาลากลาง หรือตรงข้ามอำเภอ นั่นแหละเพราะศาลากลาง กับที่ว่าการอำเภออยู่ติดกัน ร้านนี้คุณผู้ชายเค้าซื้อประจำ ตั้งแต่ทำงานที่นี่

ระแวกนี้ มีร้านของฝากหลายร้านค่ะ

เลือกซื้อหากันได้ตามสะดวกเลย ราคาก็ไม่แตกต่างกันหรอกค่ะ มาเมืองอุบล ต้องซื้อหมูยอ นอกจากหมูยอ ก็ต้องซื้อ แหนมเนือง,แหนมซี่โครง,กุนเชียง และที่ขาดไม่ได้ "เค็มบักนัด" รู้จักกันมั้ยเอ่ย ?????

เค้าว่าเป็นปลาร้าหมักกับสับปะรดน่ะค่ะ คงประมาณน้ำบูดู ของภาคใต้กระมัง







ซื้อของฝากเสร็จแล้วนึกขึ้นได้ "ยังไม่ได้กินก๋วยจั๊บเลย"
เพราะที่โรงแรมมีอาหารเช้า กลัวขาดทุนเลยลืมไปเสียสนิท ว่าจะมาหาก๋วยจั๊บญวนกินมื้อเช้า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร

ถึงจะอิ่มแค่ไหนก็สามารถค่ะ

เดินไปแค่สอง-สามก้าว ก็ถึงแล้วร้านอาหารพื้นเมือง อยู่ใกล้ๆกันแค่นี้เอง
สั่งมาก่อนเลยค่ะ ก๋วยจั๊บกระดูกหมู หันไปเจอถาดอะไรหน้าตาแปลกๆ

เหมือนข้าวเกรียบปากหม้อก็ไม่เชิง ปอเปี๊ยะสดก็ไม่ใช่
วางไว้ใกล้ๆหมูย่าง ถามไถ่ ได้ความว่าคือ"ขนมเหนียวหน้าหมูย่าง"

ไหนลองจัดมาพิจารณาใกล้ๆ ซักที่นึงซิคะน้อง


ปรากฏว่า... อร่อยมากค่ะ
ถ้าไม่อิ่มอืดอยู่ คงได้ต่อจานที่สองเป็นแน่แท้







ยังค่ะ ยังไม่หมดเท่านี้
ขนมปังค่ะ ซื้อไว้เป็นเสบียงระหว่างเดินทาง



ออกเดินทางเถอะค่ะ เดี๋ยวจะสาย
เราใช้เส้นทางเดิมค่ะ จากอุบลราชธานี ,วารินฯ,กันทรารมย์ ศรีสะเกษ ขุขันธ์ เข้าสาย 24 แล้วมาเลี้ยวซ้ายเข้าสายมิตรภาพ เหมือนเดิม แต่มาแยกเข้าสาย 304 ที่ปักธงชัยค่ะ เพราะขากลับเราจะไปจันทบุรี

หลายคนแนะนำให้ไปทางสระแก้ว แต่ด้วยว่าฝนตก และเกรงว่ากว่าจะถึงก็มืดค่ำ เราจึงยอมขับอ้อมไปอีกหลายกิโล เพื่อขับบนถนนสี่เลนตลอดสายดีกว่า

มาถึงวังน้ำเขียวช่วงบ่ายแก่ๆ
แวะทานมื้อบ่ายกันที่ร้านสะเต๊กต้นน้ำ ท่ามกลางสายฝนค่ะ

สั่งอาหารจานเดียวมาทานคนละจาน เครื่องดื่มคนละแก้ว แล้วก็ออกเดินทางต่อค่ะ





กลับถึงบ้าน(จันทบุรี) ตอนใกล้ค่ำพอดี
เป็นการเดินทางอีกหนึ่งทริปที่ประทับใจค่ะ

ขอบคุณเจ้าบ้านเมืองอุบลราชธานี ที่ดูแลอย่างดีเยี่ยม
ทั้งๆที่เราไปเยือนแบบไม่ค่อยได้ให้เวลาตั้งตัว

ขอบคุณทุกท่านที่ผ่านเข้ามาทักทาย และลงชื่อให้กำลังใจนะคะ
ทริปต่อไป ยังไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ และปลายทางจะเป็นที่ไหน

แต่สัญญาว่า จะกลับมารีวิวให้ชมกันอีกแน่นอนค่ะ



สวัสดีค่ะ



ชมรีวิวฉบับเต็มที่บอร์ดบลูแพลนเนทได้ จากลิงค์นะคะ

//www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E8387478/E8387478.html




 

Create Date : 01 เมษายน 2553   
Last Update : 1 เมษายน 2553 18:35:07 น.   
Counter : 3068 Pageviews.  

ด้วยความคิดถึง "พัทยา"

สวัสดีค่ะ

อย่าเพิ่งเบื่อนะคะ มารีวิวพัทยาอีกแล้ว
เป็นเพราะว่า .. หลายคนที่ทราบว่าไปพัทยา ก็จะถามว่า

"อีกแล้วเหรอ .. ไปทำอะไรเนี่ย บ่อยจัง ??"

ก็นะ คนมันชอบ ฮ่า ฮ่า

แต่ครั้งนี้มีของแถม ค่ะ ยังไม่เคยนำภาพมาลงเลย
กับร้านอาหารบรรยากาศดี ที่ไร่องุ่นซิลเวอร์เลค "Silverlake Wine&Grill"

จริงๆ ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ กิจกรรมก็กิน,เดิน,นั่ง,นอน,ดื่ม ไปตามเรื่องตามราว อย่างที่เคยรีวิวไว้แล้ว เดิมทีตั้งใจว่าทริปนี้จะไม่รีวิว แต่ปรากฏว่า..ไปเห็นบรรยากาศความเงียบเหงาของสถานประกอบการแล้ว ก็เลยคิดว่ามารีวิวเพื่อเชิญชวนกันไปเที่ยวดีกว่าค่ะ เที่ยวไทยจะได้ครึกครื้น เศรษฐกิจไทยจะได้คึกคักค่ะ



ไปถึงพัทยาตอนเย็นแล้วล่ะค่ะ

เข้าเช็คอิน เก็บของเข้าที่พัก ที่เก่า ที่เดิม แหล่งกบดานของเรา
ย่านพัทยาเหนือ ซอย 3 ซอยเดียวกันกับโรงแรม เอ-วัน นั่นแหละค่ะ

ไม่ขอลงรายละเอียดที่พักนะคะ เพราะว่าเคยรีวิวไว้แล้ว
ที่นี่แหละค่ะ บี.เจ.ฮอลิเดย์ ลอดจ์ ที่พักประจำของเรา รายละเอียดที่พักชมได้จากเวปไซท์ของโรงแรมเลยนะคะ

//www.bjpattaya.com/index.html



ได้ห้องพัก ห้องเก่า วิวเดิมค่ะ
พักกันซะจนรู้ใจกันไปหมดทั้งโรงแรมแล้ว



เก็บของแล้วก็ลงไปเดินเล่นชายหาดค่ะ
จากที่พักเดินออกมา ยังไม่ทันไรก็เหยียบพื้นทรายแล้วล่ะค่ะ

ร่มชายหาดเริ่มเก็บกันแล้ว เพราะใกล้เวลาพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า

ถามแม่ค้า เก้าอี้ผ้าใบเค้าบอกว่า..
ลูกค้าก็ยังพอมี แต่ว่ายอดขายและรายได้ไม่ค่อยเยอะ
เป็นไปตามสภาพเศรษฐกิจอ่ะนะ อีกอย่างช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงที่นักท่องเที่ยวแถบยุโรปมาพัก คนก็เลยดูน้อยๆค่ะ นักท่องเที่ยว ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าขาประจำที่มาบ่อย มาแล้วก็มาอีกค่ะ อย่างน้อยก็ 1-2 ปีครั้ง







เริ่มคอแห้ง
ข้ามถนนไปนั่งร้านประจำ หาอะไรดื่มกันดีกว่า

วิวแบบนี้ นั่งมองทะเล ดูคน ดูรถ สบายใจ แอบผิดหวังเล็กน้อย
มาคราวนี้ ที่นี่เปลี่ยนคนบริหาร อะไร หลายอย่างเปลี่ยนไป
โดยเฉพาะโปรแกรมแฮ๊ปปี้อาวน์ ดื่ม 2 ฟรี 1 นักดนตรี ก็เปลี่ยนวงอ่ะ
มานั่งตั้งนาน ลองเครื่องอยู่นั่นแหละ ไม่เล่นซักกะที ยังดีที่รสชาติอาหารยังคงเดิม แต่มีไห้เลือกไม่กี่รายการหรอกนะคะ










พระอาทิตย์ตกแล้ว..
วันนี้นั่งไม่นาน เพราะนักร้องวงเดิม ไม่อยู่แล้ว
เลยเช็คบิลหมดไปแค่ 890 บาท
เดินไปร้านสะดวกซื้อ
หาเครื่องดื่มมานั่งดื่มต่อที่ระเบียงห้องพัก จนดึก

เช้า...
เอ๊ะ..ไม่สิ่ ต้องสาย(มากกกกกกกก)ตะหาก
ก็ตื่นลงมากินมื้อแรกตอนเกือบเที่ยงค่ะ
ฟ้าแจ่ม.... อากาศดีมั่กๆ



ตั้งใจว่าจะกินควบมื้อเที่ยงไปเลย แล้วก็จะเดินทางกลับ



ปรากฏว่า...

สายรายงานมาว่าวันนี้ป้าๆลุงๆ ชาวบีพี
เค้าจะมาปาร์ตี้กันที่พัทยา เอาไงดี เอาไง อยู่ต่อดีกว่ามั้ย
แบบว่าคิดถึง อยากเจอป้าๆ ลุงๆ ไม่ได้เจอกันมานานแระ (รึเปล่า?)

สรุป..
อยู่ต่ออีกคืนค่ะ ก็เลยฆ่าเวลา ด้วยการไปนั่งดื่มริมทะเลรอ

ดื่มแล้วติดลม
ก็เลยต้องกินอีก ต้มยำกุ้งมะพร้าวอ่อนที่นี่เค้าอร่อยค่ะ





นัดกับป้าๆ ตอนเย็น
แต่เราตามไปก็เกือบค่ำแล้วล่ะค่ะ ที่ร้านเจ๊จุก 2
ใกล้ๆกับโรงแรมชลจันทร์ ไม่ได้ถ่ายรูปมาเลย เพราะมัวแต่คุย
แล้วก็ไม่ได้กินอะไรเลยด้วย เพราะเพิ่งแน่นไปจากแซนดาเล

ปรากฏว่า..
พอแยกย้ายกับคณะ ขับรถกลับเข้าที่พัก
เกิดหิวขึ้นมาซะงั้น เลยต้องออกไปกันอีกรอบที่ร้านข้าวต้ม ค่ะ
ไม่รู้รู้สึกไปเองหรือเปล่า ว่าตอนนี้อาหารมันอร่อยสู้เมื่อก่อนไม่ได้อ่ะ



เช้า..
พยายามโทร.หาป้าๆ จะชวนไปกินกาแฟ บนเขา
แต่ป้าไม่รับ ร้านกาแฟบนเขา(สวนสาธารณะ หลังป้าย P A T T A Y A นั่นแหละ) ก็ยังไม่เปิด เลยขับเลยไปจอมเทียนค่ะ ยังเช้าอยู่
ร้านส่วนใหญ่ยังไม่เปิด จนไปเจอร้านเล้กๆ ริมหาด สั่งกาแฟ กับเค้กมากินซะหน่อย



ซักพักก็ไปต่อค่ะ ไร่องุ่นซิลเวอร์เลค วันนี้อยากทานพิซซ่าค่ะ
ก็เลยขึ้นไปนั่งที่ร้านอาหารของไร่ ด้านในอาคารจะแบ่งเป็น 2 โซน
คือโซนคล้ายๆกับพิพิธภัณฑ์เล็กๆ แสดงเครื่องมือการผลิตภาพยนตร์
และสื่อสิ่งพิมพ์ ที่ลงข่าวของเจ้าของไร่ เมื่อครั้งยังแสดงภาพยนตร์อยู่

คุณสุพรรณษา เนื่องภิรมย์ ค่ะ







อีกโซนเป็นห้องอาหารค่ะ

แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาค่ะ
เราออกไปนั่งโซนด้านนอก ค่ะ สั่งเครื่องดื่มเย็นๆ มาจิบพร้อมชมวิวสวยๆ ระหว่างรอพิซซ่า ที่นี่ใช้เตาถ่านในการอบพิซซ่า ไปยืนดูเค้าทำมาด้วยล่ะค่ะ สำหรับคนที่ชอบพิซซ่าแบบบางกรอบ น่าจะชอบนะคะ กลิ่นแป้งหอม เพราะใช้เตาถ่านอบค่ะ

พิซซ่า ถาดใหญ่มากกกกกกก

กินสองคนไม่หมด ก็เลยให้พนักงานใส่กล่องให้ค่ะ











วิ่งข้ามฝั่งไปซื้อองุ่น กับขนม ก่อนกลับบ้านค่ะ

จบแล้วค่ะ..

รีวิวพัทยาที่คุ้นเคย
ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม ลงชื่อให้กำลังใจ
แล้วพบกันใหม่ ทริปต่อไปนะคะ

รีวิวฉบับเต็ม และข้อมูลพัทยาที่เคยไปทั้งหมดติดตามได้จากลิงค์ค่ะ

//www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E8305648/E8305648.html



สวัสดีค่ะ






 

Create Date : 31 มีนาคม 2553   
Last Update : 31 มีนาคม 2553 16:20:24 น.   
Counter : 2248 Pageviews.  

สูดโอโซนที่วังน้ำเขียว..ขับรถเที่ยวนครนายก

การเดินทางครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนกันยายน ปี 52 ค่ะ

Smiley    Smiley    Smiley    Smiley    Smiley    Smiley    Smiley    Smiley   Smiley



สวัสดีค่ะ

เพิ่งกลับมาจากเดินทาง (อีกแล้วววววว)
ทริปนี้ไปไม่ไกลค่ะ ใกล้ๆ แค่วังน้ำเขียว พัก 1 คืน เดินทางเป็นวงกลม

ขาไปใช้เส้นทาง วิภาวดี-รังสิต -พหลโยธิน - มิตรภาพ - เขาใหญ่ - ลำพระเพลิง - วังน้ำเขียว

ขากลับ ใช้เส้นทาง 304 วังน้ำเขียว - ทับลาน - กบินท์บุรี - ปราจีน - นครนายก - รังสิต


ก็คนมันว่างงงงง ขับรถสำรวจเส้นทางเล่นซะงั้น
เปล่าหรอกค่ะ ที่จริงพอดีว่าต้องไปทำธุระที่สระบุรี ก็เลยต้องใช้เส้นทางเป็นวงกลมแบบนี้ ขากลับอยากไปไหว้พระพิฆเณศวร์ ก็เลยกลับทางนครนายก แวะเขื่อนขุนด่านปราการชล ก่อนด้วยค่ะ

ไปเที่ยวด้วยกันนะคะ

Smiley




ออกเดินทางจากกรุงเทพ ตอนเกือบบ่ายสองโมง
ใช้เส้นทางโทลเวย์วิภาวดี-รังสิต ฟ้าแจ่มสุด สุด ไม่นานนักก็เข้าเขตสระบุรี

จัดการธุระเสร็จเรียบร้อย ก็เลี้ยวขวาเข้าถนนมิตรภาพ
มุ่งหน้าสู่อำเภอปากช่อง นครราชสีมา ก่อนถึงป้ายจังหวัดนครราชสีมา
กลับรถเลี้ยวขวาเข้าถนนทางหลงชนบทสาย 1016

จะมีป้ายบอกไป เขาแผงม้า ,วังน้ำเขียว และป้ายสารพัดรีสอร์ท ค่ะ







จุดสังเกตก็คือ ปากทางจะเป็นร้าน แดรี่โฮม

ถนนเส้นทางเป็นถนนเล็กๆ แต่สองข้างทางจะเต็มไปด้วยรีสอร์ทและร้านอาหารสวยๆ รวมไปถึง ร้านยอดฮิตอย่าง พรีโม พอสโต้ ด้วยค่ะ



ระยะทางค่อนข้างไกล นะคะเส้นนี้ เกือบ 100 กม.ได้
แล้วก็เป็นถนนแบบที่วิ่งผ่านภูเขา ผ่านหมู่บ้าน ทำความเร็วได้ไม่มาก

เหมาะสำหรับขับสำรวจที่พัก และร้านอาหารค่ะ
เพราะมีตลอดเส้นทางนี้กันเลยล่ะ ผ่านไร่ดาวเรืองด้วยค่ะ



ถ้าเห็นอ่างเก็บน้ำ ลำพระเพลิง ก็แสดงว่าใกล้จะถึงปากทางวังน้ำเขียวแล้วล่ะค่ะ มีรีสอร์ท ที่น่าสนใจอยู่บริเวณนี้ 2-3 แห่ง เล็งไว้แล้ว โอกาสหน้าจะหาเวลามาปลีกวิเวก



ไม่นานก็ผ่านเขาแผงม้า ออกมาเส้นทางหลัก สาย 304
เลี้ยวซ้าย ผ่านตลาดวังน้ำเขียว พอถึง กม.59 กลับรถเลี้ยวเข้าหมู่บ้านไทยสามัคคี ค่ะ ไม่ต้องกลัวเลยทางเลี้ยว เพราะมีป้ายรีสอร์ท เยอะมากกกกก



เนื่องจากเราไปถึงตอนใกล้จะมืดแล้ว
ไม่อยากตะเวนหาที่พัก ก็เลยมุ่งหน้าไปที่ ที่พักที่เราเล็งไว้ จากการเซิร์ทหาทางเนต เสี่ยงดวงเอาก็แล้วกัน เลี้ยวเข้าไปนิดเดียวก็เจอป้ายบอกทางเข้ารีสอร์ทซะแล้ว เราพักกันที่ สตาร์การ์เด้น รีสอร์ท ค่ะ รายละเอียดที่พัก จะนำไปลงไว้ที่หมวด "รีวิวที่พัก" นะคะ



ตกลงได้ที่นอนแล้ว ก็ออกไปหาที่กิน ร้านอาหารที่นี่เปิดเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ค่ะ เพราะวันธรรมดาไม่มีลูกค้า ขับรถออกไปหาข้าวกินค่ะ เจอร้านนี้ก็จอดเลย ไม่เลือกมากแล้ว หิว





กินอิ่ม กลับเข้าที่พัก
สั่งดาวแดงมานั่งกินกันต่อที่ ซุ้มหน้าบ้าน

อากาศเย็นสบาย จุกเตาน้ำมันหอมระเหยไว้ด้วย สดชื่นนนนนนน


แต่..

ดาวแดงขวดที่ 3 ยังไม่ทันหมดดี
เสียงพายุฝนดัง ก้องป่ามาแต่ไกล มองหน้ากันเลิกลั่ก ได้ยินเสียงอะไรมั้ย
รีบเก็บของวิ่งเข้าห้องเกือบไม่ทัน มาเร็วมากๆ แค่ก้าวขึ้นบันไดยังไม่ทันเปิดประตูห้อง ทั้งลมทั้งฝนก็มาถึงแล้วค่ะ ก็เลยต้องยุติการดื่ม เข้านอนตอนซัก 4 ทุ่มกว่าๆ



เช้าตื่นขึ้นมา
อากาศยังคงสดชื่น เตรียมตัวอาบน้ำเก็บข้าวของ เดินทางต่อค่ะ

บ๊าย..บาย วังน้ำเขียว
แล้วจะหาเวลามาเยี่ยมใหม่นะจ๊ะ



ออกจากบ้านไทยสามัคคี เลี้ยวซ้าย วิ่งไปทางปราจีนค่ะ



แวะทานมื้อเช้าที่ร้านนี้ค่ะ "ร่มเย็น ทับลาน"
ก่อนถึงบ้านผางาม นิดเดียวค่ะ ที่นี่มีที่พักบริการด้วยค่ะ
ร้านอาหารมีทั้งโซนด้านนอก รับอากาศธรรมชาติ และโซนด้านใน มีกาแฟสดด้วยค่ะ


อาหารก็รสชาติอร่อยใช้ได้









อิ่มแล้วก็เดินทางต่อ

ขึ้นเขา ลงเขา พอสนุกสนาน สำราญใจ
ผ่าน อช.ทับลาน แต่ไม่ได้แวะเข้าไปชมดอกลานบาน 5 ปี ครั้ง ถึงสี่แยก กบินร์บุรี เลี้ยวขวาไปทางปราจีนบุรีค่ะ ขับตรงไปเรื่อยๆ

จนไปถึงทางแยกไปนครนายก
จุดหมายปลายทางเราคือ เขื่อนขุนด่านปราการชล ค่ะ ไม่นานเท่าไหร่ เราก็ไปถึงเขื่อนขุนด่านปราการชล









ไม่นานเท่าไหร่ เราก็ไปถึงเขื่อนขุนด่านปราการชล
ฟ้าดูครึ้มๆ ขมุกขมัว แต่อากาศร้อนมากๆ เหมือนฝนจะตกเลยล่ะค่ะ







หิวแล้ว..

ไปหาไก่ย่างกินดีกว่า
จอดรถแล้วก็งง สองร้านนี้ชื่อเดียวกัน แต่มันคนละร้านนี่นา
เลยไม่รู้ว่า..ตกลง ร้านไหน อร่อยกว่ากัน สั่งมาแล้วก้กินไม่หมด เยอะเหลือเกิน ความเห็นส่วนตัว ส้มตำหวานไปหน่อยอ่ะร้านนี้





กินอิ่ม ก็ออกเดินทางต่อค่ะ
ตามความตั้งใจที่จะไปสักการะพระพิฆเณศวร์ อากาศร้อน แต่คนก็ยังคงเยอะ
นี่ขนาดวันธรรมดานะ ถ้าเสาร์-อาทิตย์ คนคงจะเยอะกว่านี้

ส่วนใหญ่ เค้าก็จะมาตะเวนไหว้พระกัน
เพราะระแวกนี้มีวัดดังๆ หลายแห่งค่ะ และแน่นอนค่ะ ต้องไปขอกับ "หนูหูทิพย์" วันนึงๆ ได้รับฟังคำขอพรจากผู้เลื่อมใสศรัทธา ไม่ได้ขาด







ได้ไหว้พระสมความตั้งใจ ก็เดินทางกลับค่ะ
ใช้เส้นทางรังสิต-นครนายกกลับบ้าน แอบอยากแวะทานก๋วยเตี๋ยวเรือ
แต่คนขับรถไม่ยอมจอด บอกว่ากินจนอ้วนขนาดนี้แล้ว ยังจะแวะอีกเร๊อะ

ความจริงคุณเธอรีบทำเวลาค่ะ
เพราะว่าแวะไปเอาของที่บ้าน(กรุงเทพ) แล้วเดินทางต่อไปนอนพัทยา
รีวิวหน้า จะมาบอกนะคะ ว่า พริตตี้ไกด์ ไปทำอะไรที่พัทยา บ่อยเหลือเกิน


สำหรับรีวิวนี้
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาชม ลงชื่อให้กำลังใจด้วยค่ะ

อ่านรีวิวฉบับเต็มได้จากลิงค์ นะคะ

//www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E8292053/E8292053.html






 

Create Date : 30 มีนาคม 2553   
Last Update : 30 มีนาคม 2553 20:54:43 น.   
Counter : 5849 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

prettyguide
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




สวัสดีค่ะ

ยินดีต้อนรับสู่ prettyguide's blog ค่ะ

สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องอัญมณี และของดีเมืองจันท์ เชิญลงชื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนได้ค่ะ prettyguide จะขออาสาพาเพื่อนๆเที่ยวเมืองจันท์ให้ครบทุกซอกทุกมุม ใครอยากไปไหน หรืออยากได้ข้อมูลของจันทบุรี ก็บอกมาได้เลยค่ะ

================================

ภาพถ่ายทั้งหมด
ภายใน blog นี้สงวนลิขสิทธิ์
ตามพระราชบัิญญัติสิขสิทธิ์ พ.ศ.2537
ห้ามทำซ้ำ ดัดแปลง หรือนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาิิต
New Comments
[Add prettyguide's blog to your web]