ของขวัญสำหรับคุณพ่อ


บทความจากเนชั่นสุดสัปดาห์ โดย กระวานกะกานพลู
________________________________________________________

เมื่อคุณพ่อกับคุณแม่วางแผนไว้ว่าจะมีน้องกันแล้ว โดยไม่กังวลว่าจะมีสงครามหรือเปล่า สิ่งแรกที่หวานใจของกันและกันต้องทำอย่างแรกคืออะไร
กฤษฎี โพธิทัต หรือแพ็ต คุณแม่กำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สองวัยสามสิบต้นๆ มีคำแนะนำว่า อย่างแรกคือต้องเลิกบุหรี่ เลิกดื่มเหล้าเสียก่อน (เป็นเรื่องยากสำหรับคนที่ติด แต่เป็นเรื่องง่ายสำหรับคนที่ไม่เคยข้องแวะอยู่ก่อนแล้ว)
"จำเป็นมากค่ะที่จะต้องเลิก อันตรายก็รู้ๆ กันอยู่ ส่วนเรื่องโภชนาการก็ต้องเริ่มตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ด้วยซ้ำไป" คุณแพ็ตกล่าว
หลังจากนั้นว่าที่คุณแม่ก็บำรุงร่างกาย ไม่ใช่เนื้อ นม ไข่ แต่ควรเป็นอาหารจำพวกผัก ผลไม้เยอะๆ นมก็เป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะมีแคลเซียมสูง เด็กจะดูดแคลเซียมจากร่างกายคุณแม่ ถ้าคุณแม่ไม่กินแคลเซียมเสริม ก็อาจทำให้เป็นโรคกระดูกพรุนได้ หลายคนดื่มนมไม่ได้ ก็กินผักใบเขียวที่มีแคลเซียมเยอะแทน เช่น ผักบุ้ง ปลาตัวเล็กตัวน้อย หรือเต้าหู้ที่ทำมาจากเกลือแคลเซียม เป็นเต้าหู้หลอดที่แพ็คอยู่ในน้ำก็ได้เหมือนกัน
โปรตีน ก็อย่างเช่น ไข่ ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเขียว ข้าวกล้อง ถ้าคุณแม่ที่รับประทานมังสวิรัติบวกไข่แล้วดื่มนมก็จะได้โปรตีนเพียงพอแล้วเสริมพวกงาดำบำรุงกระดูกไปด้วย
การกินให้พอดี ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไปเป็นเรื่องสำคัญ คุณแม่หลายๆ คนน้ำหนักเพิ่มถึง 30 กิโลกรัมก็น่าเป็นห่วงอยู่ คุณแพ็ตซึ่งจบปริญญาโททางสาธารณสุขศาสตร์ ด้านโภชนาการ จาก Loma Linda University สหรัฐอเมริกาและเป็นอาจารย์พิเศษอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล แนะนำว่า ถ้าใครมีน้ำหนักตัวน้อยก่อนตั้งครรภ์ ก็ควรเพิ่มประมาณ 15-20 กิโลกรัมก็พอ ถ้ามีน้ำหนักปกติควรเพิ่มขึ้นประมาณ 12-15 กิโลกรัม ใครที่มีน้ำหนักตัวมากไม่ควรเพิ่มขึ้นมากกว่า 12 กิโลกรัม อันนี้คือเกณฑ์ปกติ
"6 สัปดาห์แรกก็ได้ยินเสียงหัวใจเค้าเต้นแล้ว 3 เดือนแรกน้ำหนักเพิ่มขึ้น 1-2 กิโลกรัม บางคนสองเดือนก็ 5 กิโลกรัมแล้ว น้ำหนักควรเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เดือนที่ 4 ไปแล้วควรเพิ่มเดือนละ 1 กิโลกรัม ใครที่กินอาหารเยอะ พวกเค้ก ขนมหวานมากๆ อาจมีปัญหากลังคลอด ต้องมาลดน้ำหนักส่วนเกินมาก เพราะไขมันไปสะสม ถ้าใครมีโรคประจำตัว เช่นโรคเบาหวานต้องระวังมาก เพราะอาจมีปัญหาเรื่องตัวบวม ควรพบแพทย์อยู่สม่ำเสมอ เพราะเด็กจะตัวโตมากกว่าปกติ"
การควบคุมอาหารสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่อยากกินอาหารตลอดเวลา ควรเลือกกินที่เป็นผักผลไม้เยอะๆ ส่วนตัวคุณแพ็ตเองก็ไม่ต่างจากคุณแม่คนอื่นๆ คืออยากกินตลอดเวลาเหมือนกัน
"ชอบกินไอติมมาก แต่จะระวังเรื่องปริมาณ ไม่กินทุกมื้อ แต่จะกินวันละครั้งเพื่อให้หายอยาก ก็ตักออกมากิน ไม่กินทั้งกล่อง"
อาหารควรกินวันละสามมื้อ แต่ไม่หนักมาก ค่อยๆ รับประทานเคี้ยวให้ละเอียด รับรู้รสชาติของอาหารด้วยความขอบคุณธรรมชาติที่มอบสิ่งดีๆ ให้กับลูก แล้วมีมื้อว่างเล็กๆ แทรกไว้เป็นสัก 5-6 มื้อเล็กๆ จะได้ไม่แน่นท้องมากเกินไป เพราะช่วง 7 เดือนขึ้นเมื่อท้องใหญ่จะมากดกระเพาะอาหารข้างบนทำให้รู้สึกแน่น
การออกกำลังกายสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ควรหักโหม อาจจะเดินเท้าเปล่าในสวนตอนเช้าๆ ให้น้ำค้างและแผ่นดินสัมผัสกับอุ้งเท้า จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย ทำให้คุณแม่และคุณลูกสดชื่นไปพร้อมๆ กัน ว่ายน้ำ ก็แจ๋วเหมือนกัน จะช่วยทำให้คลอดง่าย โยคะก็เล่นได้เป็นบางท่า แต่ไม่ใช่แอโรบิคค่ะ
"แพ็ตเองก็เล่นโยคะเหมือนกัน เดิน แล้วก็ว่ายน้ำ วันหนึ่งออกกำลังกายสัก 30 นาทีก็ใช้ได้"
การพักผ่อน เป็นเรื่องสำคัญมากอีกเช่นกัน จริงๆ แล้วสำคัญทุกเรื่องเลยล่ะจ้า คุณลูกที่ลืมตาดูโลกขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้นั้น หากย้อนไปถามคุณแม่ดูจะรู้ว่า 9 เดือนที่อยู่ในบ้านอันแสนอบอุ่นเล็กๆ ในตัวคุณแม่นั้น คุณแม่ต้องดูแลหัวใจเล็กๆ อีกดวงหนึ่งให้ปลอดภัยกระทั่งคลอดออกมานั้น ไม่ง่ายเลยจ้า
ว่ากันด้วยเรื่องพักผ่อนต่อ คุณแพ็ตเล่าว่า คุณแม่ตั้งครรภ์จะรู้สึกเหนื่อยง่าย แพ้ท้องช่วงสามเดือนแรก พอเดือนที่ 4-5-6 จะรู้สึกกระฉับกระเฉง พอเดือนที่ 7 เริ่มช้าลงนิดนึง เพราะหนักพุง
กาแฟ เป็นเรื่องที่ยังไม่มีข้อสรุปตายตัวแต่ควรเลิกไปเลยจะดีกว่า เพราะมีคาเฟอีน ช็อกโกแล็ต โกโก้ก็มีอยู่บ้าง เลิกได้จะดีมากกว่า...เอ เหลืออะไรให้หนูกินได้บ้างเนี่ย (เด็กตัวเล็กๆ ในพุงคุณแม่ถาม) แล้วคุณแพ็ตตอบลูกน้อยในครรภ์ว่า หลักการรับประทานอาหารที่แม่วางไว้กับตัวเองในแต่ละมื้อคือ มีผักไหม ถ้ากินก๋วยเตี๋ยวจะขอผักมาเพิ่ม ถ้าทำเองจะมีผักสดจานหนึ่งไว้แนม
"แม่ไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ แต่ยังกินปลาอยู่บ้าง เน้นผัก ผลไม้ เพิ่มแคลเซียมจากโยเกิร์ต ชีส และนม น้ำผลไม้ไม่ดื่มเยอะมาก จะผสมกับน้ำเปล่า แล้วดื่ม เพราะน้ำผลไม้มีแคลอรี่สูง fiber หรือกากใยน้อย กินผลไม้สดๆ ดีกว่าได้ fiber เยอะ เพราะปัญหาของคนแม่คือท้องผูกจ้า"
ส่วนน้ำต้องดื่มเยอะเลย ประมาณ 8-10 แก้วต่อวัน น้ำช่วยในระบบขับถ่าย และช่วยระบบไหลเวียนของเลือดซึ่งเพิ่มปริมาณขึ้นมาก อารมณ์เป็นเรื่องที่ต้องเอาใจใส่ อารมณ์ดีก็จะดีกับลูกในท้อง พยายามอย่าเครียด แม้ว่าจะห้ามยาก แต่ถ้าเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็พยายามให้มันหายไปโดยเร็ว เปิดเพลง เล่านิทานให้เขาฟังก็ดีค่ะ
สิ่งที่ควรลดคือน้ำตาล เรากินน้ำตาลกันมากเกินไปแล้ว อันตรายของน้ำตาลทรายขาวพอๆ กับระเบิดนิวเคลียร์เลยล่ะจ้า (ไว้จะหาโอกาสมานำเสนอนะจ๊ะ) หันมากินน้ำตาลสดที่ได้จากผลไม้สดๆ จะดีกว่า
ถ้าผ่านช่วง 9 เดือนแล้ว ในวันคลอด คุณพ่อควรอยู่กับคุณแม่ จับมือ ให้กำลังใจในช่วงเวลาเจ็บปวดที่สุดของแม่ ในวันเกิดของลูก ให้นมลูกนานเท่าที่จะนานได้ นมเหลืองๆ ที่ออกมาในช่วงสองสามวันแรกสำคัญมากเพราะจะมีแอนตี้บอดี้ป้องกันเชื้อโรคให้กับลูก
โรงพยาบาลควรเปิดโอกาสให้แม่กับลูกอยู่ด้วยกันหลังคลอด เพราะความใกล้ชิดแรกคลอดทำให้ลูกอบอุ่น และรู้สึกปลอดภัยไปตลอดชีวิต
"ยิ่งอุ้มเด็กมากเท่าไหร่ เด็กจะรู้สึกอบอุ่น ความสนิทสนมทำให้เขามั่นใจ คุณพ่อมีความสำคัญมากที่สุดเลยค่ะ ถ้าวางแผนจะมีลูกก็ควรเลิกสูบบุหรี่ เลิกดื่มเหล้า เพราะถ้าป่วย เป็นอะไรขึ้นมาไม่คุ้มเลยกับครอบครัวที่เรารัก เคยเห็นคนที่เข้าไปในห้องล้างไตแล้วน้ำตาไหล นึกถึงภรรยาเขา ลูกของเขา ..."
9 เดือนที่มีค่า กว่าจะผ่านไปได้ ต้องแลกด้วยชีวิตของแม่ทั้งชีวิตเลยทีเดียว เพื่อมอบของขวัญที่มีค่าที่สุดให้คุณพ่อ



Create Date : 27 มิถุนายน 2554
Last Update : 27 มิถุนายน 2554 22:02:57 น.
Counter : 480 Pageviews.

0 comment
เยี่ยมจริง..ที่ได้เป็นพ่อ

ข้อมูลจาก ทีมรักลูกวิชาการ
เป็นพ่อนี้ดียังไง... เรารวบรวมมาฝาก เพื่อคุณพ่อและว่าที่คุณพ่อโดยเฉพาะค่ะ
คนที่ไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกนี้ คงจะไม่รู้ว่าการที่ได้เป็น "พ่อ" ของลูกตัวน้อยนั้น มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษและยอดเยี่ยมขนาดไหน
ถ้าไปถามถึงความรู้สึกของคุณผู้ชายทั้งหลายว่า ทำไมน้า..การได้เป็นคุณพ่อถึงดีนัก คำตอบที่ได้มาก็คือ...
ภูมิใจที่ได้สร้างชีวิตน้อย ๆ ขึ้น
ฟังดูแล้วแสนเชยและดูน้ำเน่าเหลือหลาย แต่มันก็เป็นความรู้สึกจริง ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อได้ทราบว่า ตนเองได้มีส่วนช่วยทำให้ชีวิตน้อยๆ ที่บริสุทธิ์อีกชีวิตเกิดขึ้น เพื่อมาเป็นสมาชิกคนใหม่ของครอบครัว มันเป็นความภาคภูมิใจของผู้ชายเกือบทุกคนบนโลกนี้เลยเชียวล่ะคุณเอ๋ย
คือหน้าที่อันแสนสุข
ถึงแม้ว่าการมีสมาชิกตัวน้อยเพิ่มขึ้นในครอบครัว จะทำให้คุณรู้สึกวิตกกังวล เหนื่อยล้าบ้าง แต่ในความยุ่งยากนั้นก็มีความสุข สนุกสนาน ซึ่งคุณไม่สามารถจะหาพบจากที่ไหนได้ เพราะทุกขณะคุณก็จะได้เห็นความน่ารัก สดใสของลูกปนแทรกอยู่ตลอดเวลา นอกจากนั้นการที่ได้ดูแลปกป้องและเห็นลูกค่อย ๆ เติบโตขึ้นทีละน้อยด้วยความแข็งแรงแจ่มใส ก็ไม่น่าสงสัยว่าหน้าที่แห่งความสุขนี้ จึงเป็นเสน่ห์ชิ้นสำคัญของการได้เป็นพ่ออย่างหนึ่งทีเดียว
ได้เป็นคนพิเศษ
หลายคนอาจจะไม่คิดว่า
เพียงแค่รอยยิ้มและการเข้ามาโอบกอดด้วยความดีใจของเจ้าตัวน้อยเมื่อเห็นหน้าคุณพ่อคนดี จะทำให้เกิดความรู้สึกพิเศษขึ้นได้ในใจได้ แต่เชื่อเถอะคะว่า การที่ได้เป็นคนสำคัญของใครสักคนนั้น มันเป็นเรื่องที่น่าประทับใจยิ่งนัก เพราะไม่ว่านอกบ้านคุณจะเป็นใคร ยิ่งใหญ่หรือธรรมดาสามัญแค่ไหน แต่สำหรับลูกแล้ว พ่อ...คือคนพิเศษเสมอ
เพิ่มพูนความรักต่อกัน
การช่วยเหลือ ความห่วงใย รวมถึงความยากลำบากที่เกิดขึ้นเมื่อมีเจ้าตัวเล็กขึ้นมา จะช่วยเพิ่มพูนความรัก ความเข้าใจและความใกล้ชิด ระหว่างคุณพ่อและคุณแม่ให้มากขึ้น ดังนั้นถ้าจะว่าไปแล้ว ลูกจึงเหมือนโซ่ทองชั้นดีที่คล้องใจของพ่อแม่เข้าไว้ด้วยกันให้เหนียวแน่น มั่นคงยิ่งขึ้น
เป็นผู้ใหญ่ขึ้น
ก่อนหน้านั้นผู้ชายธรรมดา ๆ อย่างคุณ อาจจะมีมุมมองไม่กว้างไกล ความคิดความอ่านไม่เป็นผู้ใหญ่มากนัก ถึงแม้จะแต่งงานมีครอบครัวแล้วก็เถอะ แต่การที่มาเป็นคุณพ่อ ซึ่งต้องรับผิดชอบชีวิตของเจ้าตัวน้อยที่เกิดมานั้น คงทำให้คุณต้องปรับตัว ปรับใจ เข็มแข็ง เป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ และรู้จักคิดถึงคนอื่น ๆ มากขึ้นกว่าเดิม
มีคนให้รักและถูกรักเพิ่มขึ้น
เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ทุกคนที่ต้องการเป็นที่รัก และมอบความรักให้คนอื่น การที่มีสมาชิกตัวน้อยคนพิเศษ ที่คุณสามารถมอบความรักให้เต็มหัวใจ และคิดว่าลูกก็รักคุณมากเช่นกัน จะไม่ให้คนเป็นพ่อมีความสุขได้อย่างไร
พบที่เติมพลังใจชิ้นสำคัญ
แทบไม่น่าเชื่อว่า เจ้าตัวเล็กที่เกิดมานี้ จะเป็นเสมือนแบตเตอรี่ชั้นเยี่ยมที่คอยชาร์ตไฟ เติมพลังให้กับคนที่ถูกเรียกว่า "พ่อ" ได้อย่างดี เพราะไม่ว่าจะเหนื่อยหนัก อ่อนล้าสักเพียงไหน ก็มีผู้ชายหลายคนยอมรับว่า เพียงได้เห็นหน้าใส ๆ ของลูกที่บ้านก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งแล้ว
ถึงแม้ว่าอาจจะมีคุณพ่อหลายคนให้เหตุผลต่างไปจากนี้ก็ตาม แต่เราเชื่อว่าความรู้สึก "เป็นสุข" กับการที่ได้เป็นพ่อของผู้ชายแทบทุกคนบนโลกใบนี้ คงไม่ต่างกันมากนักหรอกค่ะ




Create Date : 27 มิถุนายน 2554
Last Update : 27 มิถุนายน 2554 22:02:27 น.
Counter : 398 Pageviews.

0 comment
พ่อสอนลูก

บทความจากเนชั่นสุดสัปดาห์ โดย : น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์
คุณผู้อ่านเชื่อในพลังอำนาจของความคิดในทางสร้างสรรค์ หรือที่เรียกว่าความคิดในทางบวกบ้างไหมครับ กล่าวกันว่า ไม่มีอำนาจหรือพลังงานอะไร ที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าพลังจิตของคนเราอีกแล้ว และความคิดในทางที่ดีนั้น ย่อมนำสิ่งที่ดีๆ มาสู่ชีวิตของคนที่คิดอยู่เสมอ
ที่จริง ผมเป็นผู้ชายวัยทอง... อารมณ์ดี แต่ขี้ลืม !!
เคยคิดบ้างไหมครับว่า คนในวัยทองกับคนในวัยรุ่นนั้นน่ะ เหมือนๆ กันคือ กำลังหลงทางอยู่ และหาหนทางที่ควรจะเดินไป... คนในวัยทองกำลังหาทางที่จะเดินไปสู่จุดหมายปลายทางของชีวิต คือความสุขในบั้นปลาย แต่ไม่รู้จะเดินไปทางไหน ในขณะที่วัยรุ่นกำลังจะมีชีวิตที่เดินเข้าสู่โลกกว้าง และมีทางเดินให้เลือกหลายทาง จนไม่รู้จะเลือกทางไหนเช่นกัน
ดังนั้น ถ้าวัยทองกับวัยรุ่นรู้จักพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ ต่อกัน ก็จะช่วยเหลือเกื้อกูล และให้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน... จริงไหมครับ
ก่อนปีใหม่ ผมก็มีความคิดหวังตั้งใจว่า จะพูดคุยสิ่งที่ดีๆ งามๆ ต่อวัยรุ่นให้เขามีหลักในการดำเนินชีวิตที่เหมาะสมกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป และมีคุณภาพชีวิต รวมทั้งมีความเข้าใจผู้ใหญ่พ่อแม่ไปในทางที่ดีด้วย และคิดว่า ตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นไป ก็จะพยายามใกล้ชิดกับวัยรุ่นที่ดีๆ ทั้งหลายในที่ต่างๆ เท่าที่จะทำได้ ตามโอกาสที่อำนวย
คงจะเป็นเพราะความคิดในทางบวกแบบนั้นกระมังครับ ที่ทำให้สัปดาห์แรกของปีใหม่ ผมได้มีโอกาสพบกับน้องๆ วัยรุ่นที่น่ารัก นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ให้โอกาสผมไปพูดคุยเกี่ยวกับเพศศึกษาที่เหมาะสมกับวัยรุ่น
เป็นความประทับใจที่ดีมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต พวกเขาตั้งใจฟัง ถามไถ่ในสิ่งที่ต้องการรู้ เพื่อที่จะนำไปใช้เป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของพวกเขา...
และเป็นครั้งแรก ที่ผมเห็นน้ำตาของวัยรุ่น...
เมื่อผมพูดให้พวกเขาฟังว่า พ่อแม่ของลูกๆ ทุกคนรักลูกนะ อาจจะไม่มีโอกาสบอกว่ารักต่อลูก เพราะมัวแต่ทำงานหาเงินหาทองเพื่อส่งเสียให้ลูกๆ ได้เล่าเรียนดีๆ มีการศึกษาสูงๆ ไว้เป็นทรัพย์สมบัติที่จะติดตัวพวกลูกๆ ตลอดไป ที่พ่อแม่ก้มหน้าก้มตาทำงานหนักทุกวันนี้ส่วนหนึ่งก็เพื่อลูก ทุกคนหวังแค่เพียงว่า ลูกๆ จะเป็นคนดีและมีชีวิตที่ดีในวันข้างหน้าเท่านั้น
...และถ้าวันนี้ ลูกๆ ทุกคนจะกลับบ้านไปบอกคุณพ่อคุณแม่ว่า พวกเราก็รักคุณพ่อคุณแม่เท่านั้น ลูกๆ ทุกคน ก็จะเห็นภาพที่แสดงให้เห็นว่า คุณพ่อคุณแม่รักลูกๆ มากเท่าไร
พ่อแม่ก็รอความรักจากลูกๆ อยู่เหมือนกัน...
และบ้านที่มีความรัก รอลูกๆ อยู่ ขอแต่เพียงลูกๆ เข้าใจว่า เป็นบ้านที่มีความรักเท่านั้น
พลังอำนาจของความรักนั้น มันล้นเหลือนัก และความรักนั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์จะมอบให้แก่กันได้ เช่นนี้ กลับบ้านเถอะลูก...ไปบอกคุณพ่อคุณแม่ที่บ้านว่า ลูกรักคุณพ่อคุณแม่
ผมเห็นน้ำตาของลูกสาวหลายคนในห้องนั้น... และก็ปลื้มใจแทนคุณพ่อคุณแม่ของพวกเธอ
นี่แหละครับ เป็นความรักที่บริสุทธิ์...ความรักที่ปลอดภัย
ก็เลยอยากจะบอกคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายว่า ลูกๆ เขาก็รักพวกคุณนะครับ มีความรักไปให้เขาที่บ้าน เป็นเพื่อนกับพวกเขา เข้าใจความคิดของพวกเขา และปรับความคิดแบบโบราณเก่าๆ แก่ๆ ให้ทันสมัยตามพวกเขาบ้าง
...แล้วคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายจะเป็นคนน่ารักของลูกๆ คุณ
เช่นเดียวกับผม...
เชื่อเถิดครับ เด็กๆ เยาวชนของเราทุกคน เกิดมานั้นน่ะ อยากเป็นคนดีแทบทั้งนั้น เพียงแต่สังคมของเราไม่เอื้ออำนวยให้พวกเขามากนัก สังคมของเราไม่ค่อยปลอดภัยสำหรับเยาวชนของเราแล้วในขณะนี้ และทุกคนจะต้องร่วมมือร่วมใจกันทำให้สังคมของเราดีขึ้น น่าอยู่ขึ้น... ด้วยความรัก ความเข้าใจ และความผูกพันของทุกคนในครอบครัว
สังคมเริ่มต้นที่บ้าน... ถ้าบ้านนี้มีรัก ไม่นานสังคมเราก็จะมีแต่ความรักที่มอบให้แก่กัน
ทุกอย่าง มันยากตรงที่เริ่มต้น...ยากตรงก้าวแรกที่ก้าวออกไป แต่เมื่อเริ่มก้าวแรกได้แล้ว ก้าวต่อไปก็จะตามมา...ตามมา อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เลิกความคิดเดิมๆ เสียเถิดครับ เลิกคิดว่า วัยรุ่นของเราไม่ดี
ก็พอพวกคุณบอกว่า เขาไม่ดีแล้ว...เขาจะดีอย่างไร
ทำไมไม่คิดว่า เขาเป็นคนดีบ้าง และช่วยเหลือเขาให้ดีขึ้น เป็นดังที่พวกคุณตั้งความหวังเอาไว้
ทำงานให้น้อยลงสักนิดนะครับ คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย...มีเวลาให้ลูกของคุณเพิ่มขึ้นอีกนิด ติดตามดูแลการเจริญเติบโตของพวกเขาแต่วัยเด็กและเป็นที่พึ่งที่พักพิงทางใจให้กำลังใจเขา ในยามที่เขาต้องการและยินดีกับพวกเขา ในเวลาที่พวกเขาทำอะไรสำเร็จ
แล้วคุณจะไม่ผิดหวังกับเวลาที่คุณทุ่มเทให้ความรักแก่เขาเลย... เพียงแต่ต้องเป็นความรักที่ถูกต้อง สมเหตุ สมผล และไม่เกินเลย
หลายคนคิดว่า การให้เงินทองแก่ลูก เป็นการแสดงความรัก
หลายคนคิดว่า การช่วยเหลือลูกทำการบ้านและทำอะไรให้หมด เป็นการแสดงความรัก
หลายคนคิดว่า การปกป้องลูกทุกวิถีทาง เป็นการแสดงความรัก
ฯลฯ ...อาจจะเป็นความรักจริง แต่เป็นความรักในทางที่ผิด
ที่จริงแล้ว การจะสอนลูกให้รู้จักการดำรงชีวิตนั้น ไม่ใช่เป็นการจับปลาให้ลูกกิน แต่เป็นการสอนลูกถึงวิธีการจับปลาต่างหาก เพราะคุณพ่อคุณแม่จะจับปลาให้ลูกกินได้ตลอดชีวิตของพวกเขาหรือ อายุพ่อแม่จะยืนยาวกว่าพวกเขาหรือ... ก็เป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้น พ่อแม่ที่รักลูกต้องสอนลูกจับปลา ไม่ใช่จับปลาให้ลูก
โดยเฉพาะเรื่องเพศศึกษานั้น ต้องให้ลูกๆ ของเรารู้อย่างกระจ่างว่า จะเกิดอะไรกับพวกเขา เมื่อพวกเขาเข้าสู่วัยรุ่น การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทางร่างกายและจิตใจที่เกิดขึ้นกับพวกเขาเป็นอย่างไร และพวกเขาจะปรับตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ นั้นได้อย่างไร
สอนพวกเขาด้วยเหตุ และผล และสอนอย่างไม่เป็นทางการ สอนจากเหตุการณ์ ข่าวต่างๆ ที่ปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์ และข่าววิทยุโทรทัศน์ ช่วยกันวิเคราะห์วิจารณ์ว่า ในสถานการณ์แบบนั้น ควรจะปฏิบัติตนอย่างไรให้ปลอดภัยและผ่านวิกฤตการณ์ดังกล่าวไปได้
และไม่สอนด้วยอารมณ์...
อย่าให้หลักการที่ว่า กฎข้อที่ 1 พ่อแม่ถูกเสมอ
กฎข้อที่ 2 พ่อแม่เป็นคนเลี้ยงดูพวกเธอมา ต้องเชื่อพ่อแม่
และกฎข้อที่ 3 ถ้าไม่เชื่อพ่อแม่ให้ไปดูกฎข้อที่ 1
...แบบนั้นมันใช้ไม่ได้หรอกครับในยุคสมัยนี้ เพราะมันเป็นอำนาจของพวกเผด็จการที่จะบงการชีวิตคนอื่น ในสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นสิทธิขั้นมูลฐานของมนุษยชาติที่ประกาศขององค์การสหประชาชาติ ก็ไม่เห็นมีข้อไหนที่พ่อแม่มีสิทธิที่จะสั่งให้ลูกทำแบบโน้นทำแบบนี้ โดยที่พวกเขาไม่เห็นด้วย
ผู้เจริญแล้วจึงพึงต้องพูดจากันด้วยเหตุและผล... อย่าใช้อารมณ์กัน
ถ้าคิดไม่ออกว่าจะให้ลูกทำแบบที่ตนเองต้องการ แต่ยังหาเหตุผลประกอบไม่ได้... แทนที่จะบอกว่า แล้วต่อไปๆ ลูกก็จะรู้เองแหละว่าทำไมต้องทำแบบที่พ่อบอกนี้
ขอให้พูดแทนว่า... เออลูกเอ๋ย ยังตกลงกันไม่ได้ว่าแบบที่พ่อเป็นดีกับแบบลูกเห็นว่าดีนั้นน่ะ ควรเลือกแบบไหน ลูกก็ให้เกียรติพ่อนิดหน่อยได้ไหม ลองทำตามที่พ่อบอกดูก่อน แล้วถ้าลูกมีเหตุผลที่ดีและเหมาะสมที่พ่อรับฟังได้ พ่อก็จะตามใจลูก
...แบบนี้ลูกก็ต้องพยายามไปหาเหตุผลมาชักจูงพ่อแม่ และพวกเขาก็จะเข้าใจว่า สามารถพูดกับพ่อแม่ด้วยเหตุด้วยผลได้ โดยไม่จำเป็นจะต้องใช้อารมณ์
เมื่อพวกเขาหาเหตุผลที่ดีงามมาสนับสนุนความคิดได้ ทำให้พ่อแม่เห็นดีด้วยและยอมตามแล้ว
...เขาก็จะเกิดวุฒิภาวะ เริ่มเป็นผู้ใหญ่ที่มีเหตุผล
เพื่อที่จะเป็นพ่อแม่ที่ดีในอนาคต
ลูกๆ ทุกคนก็อยากจะให้พ่อแม่ไว้ใจพวกเขาเหมือนกัน และมีความสุขเมื่อพ่อแม่ยอมรับในความสามารถของพวกเขา
เพราะฉะนั้น ชมพวกเขาบ้าง เมื่อพวกเขาทำดี
อย่าเพียงแต่ติติงหรือดุด่าว่าพวกเขาทำไม่ดีดังใจของผู้ใหญ่เท่านั้น
แต่ต้องชมเฉพาะที่เป็นจริงนะครับ ไม่ใช่ชมจนเกินเลยไป



Create Date : 27 มิถุนายน 2554
Last Update : 27 มิถุนายน 2554 22:02:00 น.
Counter : 410 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  

มนแพรวา
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]