All Blog
แนวทางปฏิบัติเพื่อเพิ่มโอกาสในการกำหนดเพศทารกตามต้องการ
แนวทางปฏิบัติเพื่อเพิ่มโอกาสในการกำหนดเพศทารกตามต้องการ

โดยปกติการกำหนดเพศทารกโอกาสเกิดเพศชาย/หญิง จะเกิดจากฝ่ายชาย เนื่องจากในน้ำอสุจิของผู้ชายจะมีสเปิร์ม 2 ชนิด ในการกำหนดเพศ

1.สเปิร์มตัวผู้ (Y) มีขนาดตัวเล็ก หัวกลมเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว จะตายเมื่อช่องคลอดมีสภาวะเป็นกรด
2.สเปิร์มตัวเมีย (X) มีขนาดใหญ่ หัวรูปไข่เคลื่อนไหวได้ช้า แต่จะทนต่อสภาวะเป็นกรดในช่องคลอด สเปิร์มทั้ง 2 ชนิดจะไม่ถูกทำลาย เมื่อช่องคลอดมีสภาวะเป็นด่าง แต่จะทำให้สเปิร์มตัวผู้เคลื่อนไหวได้เร็วมากขึ้น

โดยปกติในการมีเพศสัมพันธ์ ฝ่ายชายจะหลั่งอสุจิซึ่งมีตัวสเปิร์มทั้งสองชนิดรวมกันประมาณ 200 - 400 ล้านตัว ถ้าสเปอร์มตัวใดสามารถวิ่งไปถึงไข่ที่ปล่อยออกจากรังไข่ก่อนก็จะกำหนดเพศของทารกที่จะเกิดขึ้นได้ การที่จะทำให้สเปิร์มตัวผู้หรือตัวเมียวิ่งไปถึงไข่นั้น ขึ้นอยู่กับสภาวะสิ่งแวดล้อม และจังหวะโอกาสในช่วงของการมีเพศสัมพันธ์ และด้วยคุณสมบัติทางกายภาพของสเปิร์ม จึงเป็นที่มาของแนวทางปฏิบัติเพื่อเพิ่มโอกาสในการกำหนดเพศทารกตามต้องการได้

1.การปรับเปลี่ยนสูตรอาหารเพื่อเพิ่มโอกาสให้ได้เพศทารกตามต้องการ
การเพิ่มโอกาสได้บุตรชายบุตรสาวจากการปรับเปลี่ยนอาหารนี้ คุณจะต้องรับประทานก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือนขึ้นไป และเมื่อประจำเดือนคุณขาดแล้ว ตรวจว่าตั้งครรภ์แล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องรับประทานต่อไป
+ ผู้ที่ต้องการบุตรสาว
สามี ควรรับประทานอาหารจำพวก ผัก ผลไม้ ไข่ขาว ผลิตภัณฑ์จากนม สาหร่าย เป็นต้น ให้มากขึ้น
ภรรยา ควรรับประทานอาหารจำพวก เนื้อสัตว์ อาหารทะเล ให้มากขึ้น
+ ผู้ที่ต้องการบุตรชาย
สามี ควรรับประทานอาหารจำพวก เนื้อสัตว์ อาหารทะเล ให้มากขึ้น
ภรรยา ควรรับประทานอาหารจำพวก ผัก ผลไม้ ไข่ขาว ผลิตภัณฑ์จากนม สาหร่าย เป็นต้น ให้มากขึ้น

2.ระยะเวลาที่ควรมีเพศสัมพันธ์
+ ผู้ที่ต้องการบุตรสาว
ไม่มีความจำเป็นต้องงดการมีเพศสัมพันธ์ สามารถมีได้บ่อยครั้งในช่วงไข่ตก ควรมีเพศสัมพันธ์หลังจากวันที่ฮอร์โมนLHสูงสุด แล้วภายใน24ชั่วโมง เพื่อให้ไข่ตกออกมาพอดี
+ ผู้ที่ต้องการบุตรชาย
ก่อนหน้าควรงดการมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อให้สเปิร์ม Y มีปริมาณมาก และมีเพศสัมพันธ์ก่อนและหลังระยะไข่ตก ควรมีเพศสัมพันธ์หลังจากวันที่พบ LH สูงสุด แล้วประมาณ 24 –36 ชม. เพื่อให้ไข่เดินทางมาใกล้ที่สุด

3.การสอดใส่อวัยวะเพศชายขณะมีเพศสัมพันธ์
+ ผู้ที่ต้องการบุตรสาว
ขณะหลั่งไม่ควรสอดอวัยวะให้ลึก ให้อยู่ปากช่องคลอดหรืออยู่ตื้นๆ
+ ผู้ที่ต้องการบุตรชาย
ขณะหลั่งฝ่ายชายควรสอดใส่อวัยวะเพศให้ลึกที่สุด เพื่อเพิ่มโอกาสให้สเปิร์ม Y จะไปเจอไข่ได้ก่อน

4. การถึงจุดสุดยอดขณะมีเพศสัมพันธ์
+ ผู้ที่ต้องการบุตรสาว

ฝ่ายหญิงไม่ควรมีความรู้สึกถึงจุดสุดยอด เพื่อไม่ให้น้ำเมือกซึ่งมีสภาวะเป็นด่างถูกขับออกมา
+ ผู้ที่ต้องการบุตรชาย
ฝ่ายหญิงถ้ามีความรู้สึกทางเพศถึงจุดสูงสุดยิ่งดี เพราะสภาวะเป็นด่างบริเวณปากมดลูก จะเพิ่มขึ้น สเปิร์ม Y จะวิ่งได้เร็วขึ้น

5.การสวนล้างช่องคลอดก่อนมีเพศสัมพันธ์
+ ผู้ที่ต้องการบุตรสาว
ทำสภาวะช่องคลอดให้เป็นกรด เพื่อลดความสามารถในการเคลื่อนที่ของสเปิร์ม Y โดยสวนล้างช่องคลอด โดยใช้น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 1 ลิตร ควรผสมทิ้งไว้ 15 นาทีก่อนใช้
+ ผู้ที่ต้องการบุตรชาย
ทำสภาวะภายในช่องคลอดให้เป็นด่าง โดยการสวนล้างช่องคลอดด้วยโซดาไบคาร์บอเนต 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำสะอาด 1 ลิตร ควรผสมทิ้งไว้ 15 นาทีก่อนใช้
***การสวนล้างช่องคลอดเองควรต้องระมัดระวังเรื่องความสะอาดของทั้งน้ำที่นำมาใช้อุปกรณ์และวิธีสวนเพื่อป้องกันการติดเชื้อแนะนำให้ใช้อุปกรณ์สวนชนิดใช้แล้วทิ้งซึ่งมีจำหน่ายตามร้านขายยาค่ะ***

6.ตำแหน่งที่ควรใช้ในการมีเพศสัมพันธ์
+ ผู้ที่ต้องการบุตรสาว
ต้องให้ฝ่ายหญิงอยู่ด้านบนฝ่ายชายอยู่ด้านล่าง
+ ผู้ที่ต้องการบุตรชาย
ต้องให้ฝ่ายชายอยู่ด้านบนฝ่ายหญิงอยู่ด้านล่าง ซึ่งท่านี้จะช่วยให้สเปิร์ม Y จะวิ่งไปเจอกับไข่ได้เร็วขึ้น
แนวทางปฏิบัตินี้เป็นเพียงวิธีการเพื่อเพิ่มโอกาสในการกำหนดเพศทารกตามต้องการ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้เพศบุตรตามต้องการ100%นะคะ เพราะการที่จะให้สเปริม์YหรือXเจอกับไข่ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างด้วยค่ะ

( บทความนี้แปลและเรียบเรียงจาก Choice of a baby BOY or GIRL ขอขอบคุณ คุณเอ๋ ที่เอื้อเฟื้อข้อมูลต้นฉบับมาให้อ่านกันค่ะ )



Create Date : 24 มิถุนายน 2553
Last Update : 24 มิถุนายน 2553 13:03:17 น.
Counter : 505 Pageviews.

0 comment
ทำไงดี...มีลูกยากจัง
ทำไงดี...มีลูกยากจัง
ข้อมูลจาก นิตยสารรักลูก
นั่นสิคะ...เพราะปัญหามิได้อยู่แค่ว่า "มีลูกยาก" เท่านั้น แต่ยังอยู่ที่ "ทำใจยาก (ยิ่งกว่า)" เมื่อพยายามมี แต่มีไม่สำเร็จสักทีด้วยน่ะสิ เฮ้อ! ทางออกของเรื่องนี้มีบ้างไหม..อย่างไร ไปดูคำตอบจากหมอสูติฯค่ะ
ถ้าพูดถึงครอบครัวในภาพที่ทุกคนจินตนาการไว้ก็คงต้องประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูก อยู่กันอย่างพร้อมหน้า นั่งรับประทานอาหารด้วยกัน เย้าแหย่กันตามประสาตามวิถีชีวิตของแต่ละคน มีความสุขเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของลูก ได้เห็นการเจริญเติบโตและความก้าวหน้าของลูก นั่นเป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกท่านต้องการและตั้งความหวังไว้ แต่จะมีพ่อแม่กลุ่มหนึ่งที่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถมีลูกไว้เชยชมได้ ดังเช่นประสบการณ์ของพ่อแม่คู่ที่กำลังจะเล่าให้ฟัง ซึ่งอาจจะตรงหรือใกล้เคียงกับประสบการณ์ของพ่อแม่บางท่าน
กรณีศึกษา
พ่อแม่ที่จะคุยถึงวันนี้อายุ 29 ปีทั้งคู่ มีอาชีพค้าขาย แต่งงานกันมาประมาณ 5 ปี ไม่ได้คุม กำเนิดด้วยวิธีใดๆ เลย ประจำเดือนมาสม่ำเสมอตรงเวลาตลอด เคยตั้งครรภ์เมื่อประมาณ 3 ปีก่อน แต่เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจทำให้ยังไม่พร้อมที่จะมีลูก เลยตัดสินใจทำแท้ง เมื่อเวลาผ่านไป สภาพเศรษฐกิจดีขึ้น พอลืมตาอ้าปากได้ ก็อยากที่จะมีลูก เพื่อให้ครอบครัว สมบูรณ์ จึงได้ไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจรักษา ได้รับยากระตุ้นให้ไข่สุกอยู่ 8 รอบเดือน แต่ไม่ตั้งครรภ์
ผลสุดท้ายแพทย์แนะนำให้ทำการส่องกล้องตรวจวินิจฉัยทางหน้าท้อง (วิธีการทำคือ แพทย์ จะทำให้แม่หลับ หลังจากนั้นแพทย์จะเปิดแผลเล็กๆ ที่บริเวณใต้สะดือ และสอด กล้องเข้า ภายในช่องท้อง โดยที่ในขณะนั้นแม่จะนอนในท่าศีรษะต่ำเพื่อให้ลำไส้มากองบริเวณท้อง ส่วนบนทำให้เห็นมดลูกและปีกมดลูกได้ง่ายขึ้น ด้วยวิธีนี้แพทย์จะสามารถตรวจมดลูก หลอดมดลูก รังไข่ ว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่ มีพังผืดตรงตำแหน่งใด พร้อมกันนั้น ก็สามารถ ฉีดสีดูได้ว่าหลอดมดลูกตันหรือไม่)
ผลการตรวจพบว่ามดลูกปกติแต่ปลายหลอดมดลูกตันทั้งสองข้างจนทำให้หลอดมดลูก โป่งพอง มีถุงน้ำที่รังไข่ข้างขวาขนาดเส้นผ่าศูนย์ กลางประมาณ 4 เซนติเมตร ตรวจเชื้ออสุจิพบ ว่ามีเชื้ออสุจิน้อยกว่าเกณฑ์ แพทย์จึงแนะนำให้ทำเด็กหลอดแก้ว แต่มีปัญหาว่าเชื้อ อสุจิ ไม่ยอมผสมกับไข่ จึงต้องทำอิ๊กซี่ (ICSI) ต่อ คุณแม่ท่านนี้ได้ใส่ตัวอ่อน 2 ครั้ง แต่โชคร้าย ยังไม่ตั้งครรภ์
สำหรับการรักษา เนื่องจากหลอดมดลูกของคุณแม่ตันทั้งสองข้าง ดังนั้นไม่มีทางเลือก คงต้อง ทำเด็กหลอดแก้ว และถ้าเชื้อคุณพ่ออ่อนด้วยก็คงต้องแนะนำทำอิ๊กซี่ เพราะโอกาส ที่จะ ได้ใส่ ตัวอ่อนกลับจะมากกว่า ปัญหาอยู่ที่ว่าหลอดมดลูกที่โป่งพองมากหรือน้อยขนาด
ไหน ถ้าน้อยอาจจะทำการผ่าตัดเปิดปลายหลอดมดลูก และถ้าเชื้อไม่อ่อนมากก็อาจจะท้องได้เอง แต่ถ้าหลอดมดลูกโป่งพองมากจนใช้การไม่ได้ ก็ควรจะตัดทิ้งก่อน ที่จะใส่ตัวอ่อนเพราะ จะทำให้โอกาสการตั้งครรภ์ลดลงถ้า ยังมีหลอดมดลูกที่โป่งพองอยู่
..................................................
เรื่องราวของพ่อแม่คู่นี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ ตัวอย่างที่ได้ใช้ความ พยายามอย่างสูง
ในการ ที่จะมีลูกสักคน ใครที่ไม่เคยมีความรู้สึกนี้อาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องลงทุน ลงแรงขนาดนี้ แต่ผู้ที่ประสบปัญหาการมีลูกยากในขณะนี้คงเข้าใจถึงหัวอกพ่อแม่คู่นี้ดี

อย่างไรจึงเรียกว่า "มีลูกยาก"
เมื่อพูดถึงการมีลูกยากโดยทั่วไปจะหมายความว่าชายหญิงอยู่ด้วยกัน มีเพศสัมพันธ์กัน สม่ำเสมอ โดยไม่ได้คุมกำเนิดแล้วยังไม่สามารถที่จะมีลูกได้ในระยะเวลา 1 ปี นั่นเป็น ความหมายโดยทั่วๆไป แต่อยากจะเตือนว่าคุณแม่ท่านไหนที่อายุมาก โดยเฉพาะอายุมาก กว่า 38 ปีขึ้นไป ถ้าได้พยายามที่จะมีลูกสัก 6 เดือนแล้วยังไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ควรจะรีบ ปรึกษาแพทย์ อย่าชะล่าใจปล่อยไปเรื่อยๆ เพราะยิ่งอายุมากโอกาสการตั้งครรภ์จะน้อยลง การรักษาจะยากขึ้นมาก แต่ถ้าอายุยังน้อยก็ยังพอที่จะรอได้ ยังไม่ต้องใจร้อนรีบปรึกษา
เพราะโดยทั่วไป ชายหญิงอยู่ด้วยกันมีเพศสัมพันธ์กันสม่ำเสมอ จะมีโอกาสการตั้ง ครรภ์ภายในปีแรกประมาณร้อยละ 85 มีเพียงร้อยละ 15 เท่านั้นที่จะเข้าข่ายการมีลูกยาก แต่ยกเว้นในคู่ที่ประวัติมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาการมีลูกยาก เช่น ฝ่ายหญิงเคยผ่า ตัดในช่อง ท้องมาก่อน มีประวัติการอักเสบในอุ้งเชิงกราน หรือฝ่ายชายเคยมีลูกอัณฑะ อักเสบ หรือเคย ผ่าตัดบริเวณลูกอัณฑะ เป็นต้น คู่เหล่านี้ควรจะปรึกษาแพทย์แต่เนิ่นๆ แล้วสำหรับบางคู่ ทำไมการมีลูกสักคนจึง "ยาก" กว่าใครๆ ไปพบคำตอบและทางออก ของคนมี ลูกยาก ได้ในเรื่อง พร้อมกับคำอธิบายว่าอะไรคือ การผสมเทียม การทำกิ๊ฟ การทำเด็กหลอดแก้ว และการทำอิ๊กซี่ และแต่ละวิธีมีดีมีด้อยต่างกันอย่างไร ไปพบกับเรื่องราวทั้งหมดได้ในคอลัมน์ ใส่ใจสุขภาพ ภาคคุณแม่คนใหม่เลยค่ะ





Create Date : 24 มิถุนายน 2553
Last Update : 24 มิถุนายน 2553 13:02:28 น.
Counter : 619 Pageviews.

0 comment
ท้องชัวร์ หรือมั่วนิ่ม
แม่เจ้า…ประจำเดือนมาเลทไป 10 วันแล้ว ท้องหรือเปล่าเนี่ย…
ถ้าการรอไปตรวจกับคุณหมอไม่ทันใจ ลองมาเช็กตัวเองกันก่อนดีกว่า
ว่าอย่างเนี้ย ท้องชัวร์หรือมั่วนิ่ม
ท้องหรือไม่ท้อง
 ประจำเดือนขาดหายไปจากที่ควรจะมา 10 วันขึ้นไป (ทั้งที่เคยมาปกติเป็นประจำทุกเดือน โดยที่ไม่มีเรื่องเครียด วิตกกังวลใดๆ)
 อารมณ์อ่อนไหว และแปรปรวนง่ายกว่าปกติ
 ตกขาวลักษณะปกติ แต่มีปริมาณมากขึ้น
 เต้านมคัดและเจ็บ บางครั้งรู้สึกปวดๆ ด้วย
 คลื่นไส้ อาเจียน ในช่วงเวลาใดๆ ก็ได้
 รู้สึกเวียนศีรษะ หน้ามืดจะเป็นลม
 ปวดปัสสาวะบ่อยขึ้น
 รู้สึกว่ากินอะไรก็ไม่อร่อย หรือได้กลิ่นอาหารที่เคยชอบก็อยากอาเจียน
 รู้สึกอยากกินของแปลกๆ ทั้งที่ไม่เคยกินมาก่อน ซึ่งบางครั้งไม่สามารถหาคำอธิบายได้
 ซื้อชุดทดสอบการตั้งครรภ์มาตรวจเองแล้ว พบว่าได้ผลบวก

ถ้าคำตอบของคุณคือใช่มากกว่าครึ่งแล้วล่ะก็ เตรียมไชโย โห่ฮิ้ว…ต้อนรับสมาชิกตัวน้อยที่เพิ่มเข้ามาในครอบครัวในอีกไม่ช้ากันได้เลย แต่เพื่อความชัวร์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ รีบตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาลหรือคลินิกใกล้บ้าน เพื่อตรวจปัสสาวะเลยค่ะ ถ้าคุณหมอบอกว่าผลเป็นบวกก็แสดงว่าตั้งครรภ์แน่แต่ถ้าเป็นผลลบก็แสดงว่า คุณแม่ไม่ได้ตั้งครรภ์
ถ้าคุณหมอถามถึงประจำเดือนครั้งสุดท้ายว่ามาเมื่อไหร่ ต้องตอบวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้ายที่มาปกติ ไม่ใช่วันสุดท้ายของประจำเดือนนะคะ เช่น ประจำเดือนมาวันที่ 10-15 สิงหาคม เดือนต่อไปจะมา วันที่ 9 หรือ 10 กันยายน ฉะนั้น คำตอบของประจำเดือนครั้งสุดท้ายของคุณคือ 10 สิงหาคมค่ะ
เมื่อทราบว่าตั้งครรภ์แน่แล้ว คุณแม่ก็ควรจะฝากครรภ์กับคุณหมอทันทีที่ตั้งครรภ์ เพื่อความปลอดภัยของเจ้าหนู และตัวคุณแม่เอง แล้วเริ่มต้นวางแผนชีวิตครอบครัว ดูแลตัวเอง และลูกตั้งแต่วันนี้ไปเลยนะคะ
(update 20 มกราคม 2004)
[ ที่มา..นิตยสารดวงใจพ่อแม่ ปีที่ 21 ฉบับที่ 244 พฤษภาคม 2546



Create Date : 24 มิถุนายน 2553
Last Update : 24 มิถุนายน 2553 13:01:44 น.
Counter : 470 Pageviews.

0 comment
ทฤษฎีเกี่ยวกับการเลือกเพศบุตร
ทฤษฎีเกี่ยวกับการเลือกเพศบุตร

1.การเลือกเพศบุตรก่อนจะเกิดการปฏิสนธิของไข่กับอสุจิ (Preconception)
มีทฤษฎีซึ่งพูดถึงการรับประทานอาหารที่มีโปตัสเซียม และโซเดียมสูง เช่น ไส้กรอก เนื้อสัตว์ ถั่ว มะเขือเทศ ว่าจะช่วยให้ได้บุตรเป็นผู้ชาย ส่วนใครที่ต้องการบุตรสาวก็ให้เลือกรับประทาน นม ไข่ และผักใบเขียว ซึ่งมีแคลเซียมและวิตามินดีมากๆ ทั้งนี้ไม่มีข้อยืนยันถึงผลที่ได้
ส่วนทฤษฎีที่น่าจะมีความเป็นไปได้คือ การศึกษาที่พบว่าอสุจิ Y (เพศชาย) ทนต่อสภาวะความเป็นด่างได้ดีและมีขนาดเล็ก จึงน่าจะวิ่งได้เร็วกว่าอสุจิ X (เพศหญิง) ซึ่งมีขนาดใหญ่ (น่าจะอุ้ยอ้ายกว่า) และชอบภาวะที่เป็นกรด จึงมีการนำเอาคุณสมบัติที่แตกต่างกันนี้มาใช้เป็นวิธีคัดเลือกกลุ่มอสุจิ เพื่อเพิ่มโอกาสที่อสุจิเพศใดเพศหนึ่งจะได้ชิงตัดหน้าเข้าไปผสมกับไข่ได้ก่อน และมากกว่าอีกเพศหนึ่งได้
กล่าวคือ ถ้าต้องการบุตรชายให้ร่วมเพศและพยายามให้ภรรยาถึงจุดสุดยอดพร้อมกับสามี (เฮ้อ! ยากจัง) แต่ถ้าอยากได้บุตรสาวให้ร่วมเพศ 2-3 วันก่อนไข่ตก และก่อนเริ่มบรรเลงกิจกรรมกันนั้นให้ล้างช่องคลอดด้วยน้ำส้มสายชู่อ่อนๆ (กรด)
เกี่ยวกับเรื่องนี้หากพิจารณาในทางปฏิบัติจริงๆ แล้ว น่าจะเป็นไปได้ยากที่จะทำให้ได้ครบตามข้อกำหนดดังกล่าวทั้งหมด ทฤษฎีเหล่านี้ในทางการแพทย์จึงไม่เป็นที่น่าเชื่อถือนัก แต่เหตุที่เรามักได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ว่าได้ผล ก็เพราะคนที่บังเอิญได้เพศตรงตามต้องการ มักจะเที่ยวป่าวประกาศไปทั่วด้วยความดีใจและภาคภูมิใจ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วยังมีที่ผิดหวังอยู่เป็นจำนวนมาก เพียงแต่คนเหล่านั้นมักจะเงียบเฉยเพราะอับอาย เขินจังเลยตัวเอง ฯลฯ จึงทำให้เรารู้สึกไปว่าทฤษฎีเหล่านี้ใช้แล้วได้ผลนั่นเอง
ฉะนั้นถ้าจะคัดแยกอสุจิ X หรือ Y ออกจากกันให้ได้ผล ที่น่าเชื่อถือจริงๆ ต้องใช้วิธีทางห้องทดลอง โดยใช้สารบางอย่าง เช่น อัลบูมิน ฯลฯ ซึ่งจะช่วยคัดแยกกลุ่มอสุจิได้ตามต้องการ จากนั้นจึงนำอสุจิที่คัดแล้วฉีดกลับเข้าสู่โพรงมดลูก แทนการมีเพศสัมพันธ์ตามปกติ จึงจะทำให้โอกาสการมีบุตรตรงตามเพศที่ต้องการเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ต้องเข้าใจด้วยว่า การคัดอสุจิทิ้งบางส่วน ย่อมส่งผลให้โอกาสสำเร็จในการตั้งครรภ์ลดลงกว่าการใช้อสุจิทั้งหมดที่เก็บได้

2.การเลือกเพศบุตรภายหลังการปฏิสนธิของไข่กับอสุจิ (Postconception)
หลังจากคัดแยกอสุจิ X หรือ Y ในห้องทดลองแล้ว จะนำอสุจิเพศที่ต้องการนั้นมาผสมกับไข่ภายนอกร่างกาย รอให้เกิดการปฏิสนธิแล้วจากนั้นจึงทำการเลี้ยงตัวอ่อนให้เจริญเติบโตต่อในหลอดทดลอง (ที่เรียกว่าเด็กหลอดแก้ว) ซึ่งปัจจุบันเทคนิคที่ทันสมัยและให้ผลการตั้งครรภ์สูงที่สุดคือ การเลี้ยงไปจนถึงตัวอ่อนระยะสุดท้าย (วิธีบลาสโตซิสท์ คัลเจอร์)
จากนั้นนำตัวอ่อนที่ได้มาตรวจโครโมโซมเสียก่อน ให้รู้ว่าตัวไหนเป็นตัวอ่อนเพศชายหรือหญิง แล้วจึงเลือกแต่ตัวอ่อนซึ่งมีโครโมโซมปกติ และตรงตามเพศที่ต้องการ นำมาใส่กลับให้ฝังตัวเข้าสู่โพรงมดลูกต่อไป เรียกว่า การทำ PGD (คัดเลือกเพศของตัวอ่อน ก่อนที่ตัวอ่อนจะฝังเข้าสู่โพรงมดลูก) ซึ่งจะบอกเพศได้ตรงและแม่นยำเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ทีเดียว
หลังจากที่ตัวอ่อนฝังตัวเรียบร้อยจนเกิดการพัฒนาเป็นทารกแล้ว ยังมีวิธีตรวจเพื่อยืนยันเพศของทารกได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ โดยการเจาะตรวจจากเซลล์รก (CVS) เจาะน้ำคร่ำ เจาะตัวอย่างเลือดจากสายสะดือทารก หรือตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (อัลตร้าซาวนด์ 2D-3D-4D) แต่นั่นหมายถึงการตั้งครรภ์ได้เกิดตัวทารกที่สมบูรณ์ขึ้นแล้ว ถ้าได้เพศไม่ตรงกับที่ตั้งใจ คงทำอะไรไม่ได้ เพราะการจงใจทำแท้งอาจเกิดอันตราย และยังผิดกฎหมาย ศีลธรรม จริยธรรมอันดีงามอีกด้วย



Create Date : 24 มิถุนายน 2553
Last Update : 24 มิถุนายน 2553 13:00:50 น.
Counter : 678 Pageviews.

0 comment
เตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์
เตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์

การวางแผนเพื่อเตรียมตัวที่จะให้กำเนิดลูกน้อยเป็นเรื่องสำคัญที่คู่สมรสสามารถทำได้ นอกจากจะทำให้คุณมีโอกาสประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์แล้ว คุณยังสามารถมีโอกาสได้ลูกน้อยซึ่งสมบูรณ์ และเป็นปรกติที่สุดอีกด้วย โดยคุณทั้งคู่ควรวางแผนอย่างน้อย 3 เดือนล่วงหน้าก่อนเริ่มตั้งครรภ์ คุณควรรักษาสุขภาพและกินอาหารที่มีประโยชน์อยู่เสมอ เพื่อเตรียม พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ หากมีข้อใดที่คุณรู้สึกวิตกกังวล คุณควร ปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางแก้ไขหรือรักษาต่อไป

ข้อคิดในการเตรียมตัวเพื่อตั้งครรภ์

1) โรคประจำตัว
หากคุณมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน, โรคหัวใจ, โรคลมชัก, โรคหืด, โรคไต ควรปรึกษาแพทย์ก่อนมีครรภ์เสมอ เพราะอาจต้องเปลี่ยนยาซึ่งอาจมีผลต่อทารกในครรภ์ หรืออาจทำให้ตั้งครรภ์ได้ยาก คุณควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะถ้าได้แพทย์ดูแลคุณอย่างใกล้ชิด ก็มีโอกาสที่จะมีลูกที่สมบูรณ์ได้

2) หัดเยอรมัน (Rubella)
หากคุณไม่เคยมีภูมิต้านทานโรคหัดเยอรมันและติดเชื้อในระหว่างการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรก เพราะเป็นช่วงที่ทารกกำลังสร้างอวัยวะภายในที่ซับซ้อน จะทำให้ลูกมีโอกาสเกิดความพิการได้ เช่นหูหนวก, ตาบอด, สมองเล็ก, หัวใจรั่ว หากเป็นไปได้ควรให้แพทย์ตรวจเลือดหาภูมิคุ้มกันหัดเยอรมันก่อนการตั้งครรภ์เสมอ ถ้ายังไม่มีภูมิคุ้มกัน แพทย์จะฉีดวัคซีนให้และคุณควรคุมกำเนิดหลังฉีดวัคซีนนี้อย่างน้อย 3 เดือน (ถ้าคุณตั้งครรภ์แล้ว ห้ามฉีดวัคซีนนี้ตลอดระยะการตั้งครรภ์)

3) โรคทางกรรมพันธุ์
ตามประวัติของครอบครัวคุณทั้งสองฝ่ายมีโรคกรรมพันธุ์หรือไม่ เพราะโรคบางชนิดสามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ เช่น ฮีโมฟีเลีย (Haemophilia) คือโรคที่เลือดไหลไม่หยุด เกิดจากการขาดสารที่ช่วยในการสร้างลิ่มเลือดในตับ ดังนั้น หากมีบาดแผลเกิดขึ้นที่ใดก็ตามเลือดจะออกไม่หยุด หรือโรคทาลัสซีเมีย (Thalassemia) คือโรคโลหิตจาง หรือโรคซีด ในประเทศไทยมีคนเป็นโรคนี้มากโดยเฉพาะแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรืออีสาน ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีญาติใกล้ชิดเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ลูกคุณก็มีโอกาสเป็นโรคเหล่านี้ได้ ฉะนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนการตั้งครรภ์ และอาจต้องพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุกรรมโดยเฉพาะ เพื่อตรวจสอบว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้มากน้อยเพียงใด

4) การใช้ยา
หากรู้สึกว่าอาจจะตั้งครรภ์ควรงดใช้ยาทุกชนิด ถ้าจำเป็นต้องใช้ยาเพราะมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกใช้ยาที่ไม่เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ทางที่ดี ควรปรึกษาแพทย์เรื่องการใช้ยาก่อนการตั้งครรภ์

5) เคยใช้หรือกำลังใช้ยาคุมกำเนิด
คุณควรหยุดใช้ยาคุมกำเนิดทันทีและให้เวลาธรรมชาติของร่างกายคุณกลับคืนสู่สภาพเดิม โดยควรรอให้มีประจำเดือนอย่างน้อย 3 ครั้งก่อนการตั้งครรภ์ โดยให้สามีคุณใช้ถุงยางอนามัยระหว่างนั้น

6) รับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์
หากคิดจะตั้งครรภ์ คุณควรหัดรับประทานอาหารให้ครบส่วน และกินผักสด, ผลไม้สดให้ติดเป็นนิสัย เพื่อจะได้มีโอกาสตั้งครรภ์ และมีบุตรที่แข็งแรง สุขภาพดี

4) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
เพื่อให้ร่างกายสดชื่น แข็งแรง เช่น เดินออกกำลังกาย, ว่ายน้ำ ทั้งยังช่วยให้ร่างกายไม่ค่อยปวดหลัง ปวดเอว ขณะตั้งครรภ์ด้วย

5) เหล้า, บุหรี่
ถ้าคุณคิดที่จะตั้งครรภ์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเลิกดื่มเหล้าและงดสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้ความสามารถในการมีลูกลดลงทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย เพราะแอลกอฮอล์มีพิษทำลายคุณภาพของอสุจิและไข่ รวมทั้งทำลายเซลล์สมองและระบบประสาทของทารกในครรภ์ ซึ่งมีผลต่อการเติบโตของทารกในครรภ์และมีโอกาสทำให้เกิดการแท้งบุตร ส่วนบุหรี่จะทำให้มีโอกาสคลอดทารกก่อนกำหนด หรือทารกเสียชีวิตระหว่างคลอด หากไม่เสียชีวิต ทารกมักมีน้ำหนักตัวน้อย คุณแม่ที่ไม่สูบบุหรี่แต่สูดดมควันบุหรี่จากคุณพ่อหรือผู้อื่นเป็นประจำ ก็มีผลเช่นเดียวกัน

ฉะนั้น นอกจากคุณพ่อคุณแม่ควรงดสูบบุหรี่แล้ว คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงการสูดควันบุหรี่จากผู้อื่นอีกด้วย

9) น้ำหนักตัว
ถ้าเป็นไปได้คุณแม่ควรมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เมื่อคิดตามส่วนสูงเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือนก่อนตั้งครรภ์ ถ้าน้ำหนักมากหรือน้อยเกินไป ควรพบแพทย์เพื่อควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม ระหว่างตั้งครรภ์ไม่ควรลดความอ้วน เพราะจะทำให้ทารกขาดสารอาหารที่จำเป็น

10) อายุ
อายุที่เหมาะสมจะมีบุตรของผู้หญิงเราคือ อายุ 20 - 30 ปี แต่ปัจจุบันผู้หญิงแต่งงานช้าลงและมีบุตรเมื่ออายุมากขึ้น ดังนั้น หากคิดจะมีลูกเมื่ออายุเกิน 35 ปี ควรปรึกษาแพทย์ เพราะยิ่งมีลูกตอนอายุมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะมีลูกยากหรือมีลูกไม่สมบูรณ์ก็สูงขึ้นเท่านั้น

11) เวลา
หากคุณทั้งคู่ทำงานหนัก แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน หรือแม้กระทั่งเวลาส่วนตัว คงต้องคิดทบทวนดูให้ดีก่อนจะมีลูก เพราะเด็กๆ ต้องการความรัก, ต้องการเวลา และความอบอุ่นจากพ่อแม่ เพื่อคอยดูแลเอาใจใส่เค้าตั้งแต่เป็นทารกแรกเกิดจนเติบโต เวลาสำหรับสังสรรค์กับเพื่อน, เข้าสังคม เที่ยวเตร่เฮฮา หรือแม้แต่เวลาส่วนตัวจะลดน้อยลงเต็มทีเมื่อคุณมีลูก

12) การเงิน
คุณควรคำนึงถึงความสามารถในการหารายได้ และขนาดของครอบครัวที่คุณต้องการว่าเหมาะสมกันแค่ไหน เพราะค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูก เรื่องอาหารการกินอยู่ เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ จิปาถะฯ ปรกติจะตกประมาณ 15 - 25% ของรายได้ครอบครัว หากคิดจะมีลูกก็ควรวางแผนในการเก็บเงิน และการใช้จ่ายเงินทองให้ดี เพื่อจะได้ไม่ทำให้เกิดภาวะการเงินฝืดเคืองจนมีหนี้สินจำนวนมาก เป็นการนำความเครียดมาสู่ครอบครัวโดยใช่เหตุ



Create Date : 24 มิถุนายน 2553
Last Update : 24 มิถุนายน 2553 13:00:01 น.
Counter : 434 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  

มนแพรวา
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]