Group Blog
All Blog
(•‿•) ♥นักปฏิบัติธรรม♥(•‿•)


"นักปฏิบัติธรรม"
  คือคนที่ผ่านการถือศีลมาก่อน
   ศีลเป็นสิ่งที่เราควรปฏิบัติ 
 เพราะเป็นเครื่องนำเราไปสู่ความสุข

การปฏิบัติตามศีลต้องปฏิบัติทั้งกายและใจ 
 ถึงจะเรียกได้ว่าเป็น "นักปฏิบัติธรรม" 
  ดังเช่นศีลข้อ 2 ท่านให้เว้นจากการลักทรัพย์
กายเราก็พร้อมที่จะไม่หยิบของใครมาเป็นของเรา
โดยที่เจ้าของเขาไม่อนุญาต
แต่ไม่ใช่กายเราเท่านั้นที่จะไม่หยิบ
ใจของเราก็ต้องพร้อมที่จะไม่หยิบด้วย
ไม่ใช่มือไม่หยิบแต่ใจยังอยากได้ของนั้นอยู่รอนๆ 
  แบบนี้เรียกว่ายังไม่พร้อมทั้งกายและใจ 
  แม้จะไม่ได้หยิบของนั้นมาเลย
ก็เป็นได้เพียงแค่คนถือศิลเท่านั้น 
 แต่ยังไม่ถือว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมแต่อย่างใด


นักปฏิบัติธรรม คือ
คนที่นอกจากจะไม่หยิบแล้ว
ยังมองดูสิ่งนั้นด้วยจิตใจที่เฉยเมย
  เพราะรู้อยู่ตลอดเวลาว่ามันไม่ใช่ของเรา 
 แม้โอกาสจะเปิดให้แค่ไหนก็ไม่อยากได้


คนเราปฏิบัติธรรมเพื่อนำไปสู่การพ้นทุกข์ 
 แต่การที่จะเป็นนักปฏิบัติธรรมได้
ต้องผ่านการเป็นคนถือศีลมาก่อน ถือศีลจนชิน
และรู้สึกได้ถึงความจริงแท้ของศีลแล้วนั่นแหละ
   จิตใจของเราถึงจะเลื่อนขึ้นมา
เป็นนักปฏิบัติธรรมได้เองโดยอัตโนมัติ

พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนเราไว้ว่า
   อะไรในโลกนี้ที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่า
ความทุกข์นั้นไม่มีอีกแล้ว
   โลกนี้มีแต่ความทุกข์ เต็มไปด้วยทุกข์
อบอวลอยู่ด้วยความทุกข์ 
   ล้อมรอบตัวเราอยู่นี้ก็คือความทุกข์ 
  หันไปทางไหนก็จะพบแต่ความทุกข์เท่านั้น
ที่ปรากฎอยู่ จะทุกข์มากหรือทุกข์น้อย เท่านั้นเอง

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า 
  ความสุขในโลกนี้หามีไม่ 
  สิ่งที่เราคิดว่ามันเป็นความสุข 
 เพราะเราได้ดังใจหวังในสิ่งที่เราปรารถนา
  เช่น เรามีเงิน เรามีทุกสิ่งที่อยากมี
   สิ่งเหล่านั้นที่เราคิดว่ามันคือความสุข
   แท้จริงที่ทำให้เราคิดเช่นนั้นเพราะ
ความทุกข์มันลดลงต่างหาก
   ความสุขจริงๆมันไม่มีหรอก
เปรียบเสมือนความมืดนั่นแหละ 
  ถ้ามันมืดน้อยลงความสว่างมันก็เพิ่มขึ้น
ความสว่างที่เราเห็นน่ะ 
 แท้จริงก็เพราะมันมืดน้อยลงเท่านั้นเอง


คนทุกคนนั้นเมื่อเกิดมาแล้ว
ก็อยู่ท่ามกลางความทุกข์แท้ๆ 
 แต่กลับไม่รู้ว่ามีความทุกข์มันล้อมรอบกายเราอยู่
   ขยับตัวไปทางไหนก็จะกระทบกับมันทุกครั้งนั่นแหละ
   แต่เราไม่รู้ตัว เมื่อไม่รู้ตัวก็จะพากันทำอะไรต่อมิอะไร
ที่ล้วนแล้วแต่จะชักนำเอาความทุกข์มาให้เรา
ในวันข้างหน้ากันมากขึ้น 
 เราเริงร่ากับมันเพราะหลงคิดว่ามันคือความสุข
    จนกว่าเราจะได้ปัจจัยแห่งความอยากครบนั่นแหละ
    ความทุกข์มันก็จะมาเยือนตัวเรา
ถึงตอนนั้นน้ำตาจะเช็ดหัวเข่า
   ใครๆก็ไม่สามารถจะช่วยเราได้ 
 นอกจากตัวของเราเอง


"อัตตา หิ อัตโน นาโถ" ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน


การที่ตนเองเท่านั้นที่จะช่วยตนเองได้
เพราะทุกข์นั้นมันเกิดที่ใจเราเอง ใจมันอยู่ในตัวเรา
ใครที่ไหนก็ช่วยไม่ได้ 
   เราจะต้องทำใจของเราให้หมดไปจากทุกข์ต่างหาก 
  ทุกข์นั้นถึงจะพ้นไปได้

วิธีแก้ก็คือ เราจะต้องเรียนรู้ความทุกข์นั้นๆก่อนว่า
มันเป็นใครมาจากไหน เมื่อรู้ที่มาแล้ว
 (ที่มาแห่งการเกิดทุกข์) 
 เราก็จะต้องเรียนรู้ความจริงแท้ของสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์นั้น 
 ว่าคืออะไร แล้วความทุกข์นั้นก็จะพ้นจากใจเราไปเอง
    อุปสรรคของการแก้ทุกข์คือ 
 เราไม่ค่อยสนใจการเรียนรู้ความทุกข์สักเท่าไร
    ปล่อยตัวปล่อยใจมาเป็นเวลานานเกือบค่อนชีวิต
   แล้วอยู่ๆจะมาค้นหาความทุกข์
เพื่อรู้จักตัวตนที่แท้จริงแห่งทุกข์นั้นน่ะมันยาก 
    แต่หากมีความพยายามเรียนรู้และค้นหาความจริง
สาเหตุแห่งการเกิดทุกข์นั้นได้
ก็ไม่เหลือบ่าฝ่าแรงเราหรอกนะ


สิ่งที่นำมาซึ่งความทุกข์ก็คือ "ตัณหา" 
 ตัณหาคือความอยาก
อะไรที่ทำให้เราเกิดความอยากขึ้นมา
นั้นแหละเรียกว่า ตัณหา
ดับตัณหาให้ได้ก่อน 
  ความทุกข์ก็จะดับตามไปเองแหละ







Create Date : 16 กรกฎาคม 2554
Last Update : 18 กันยายน 2557 22:41:11 น.
Counter : 1486 Pageviews.

2 comment
ทำบุญตักบาตร....อธิษฐานอะไรกันดีล่ะ






เราตักบาตรพระกันทุกเช้า
  เราอธิษฐานอะไรกันบ้างนะ
เมื่อฉันยังเด็ก 
 พระจะเดินมาบิณฑบาตถึงหน้าบ้าน 
 แม้จะเป็นบ้านทะเล
แต่พระท่านก็ยังเดินมาโปรด
   ฉันถูกบังคับให้ต้องตักบาตรพระทุกเช้า
ด้วยเหตุผลที่พ่อจะพูดเข้าหูว่า
" มันจะได้รู้ว่ามันถือศาสนาพุทธ เพราะ
นับวันมันก็จะเข้ารีดไปกับยายชีซะแล้ว" 
 พ่อคงจะเห็นฉันยกมือขึ้นแตะ
หน้าผาก แล้วมาแตะที่อก 
 ย้ายไปแตะบ่าขวา แล้วกลับมาแตะบ่าซ้าย
เป็นแน่แท้ ก็จะให้ทำอย่างไรล่ะ 
 เพราะพ่อนั่นแหละส่งฉันเข้าเรียน
ในโรงเรียนคอนแวนต์ตั้งแต่เล็ก
  โดยพูดกับแม่ว่า " ส่งไปให้ยายชีอบรม
สั่งสอน เพราะเราไม่มีเวลา"
  ก็เป็นอย่างนี้แหละทำให้ฉันเติบโต
มาโดยการเรียนรู้การสวดมนต์แบบศาสนาคริสต์
  ก็ไม่มีใครสอนฉันสวดมนต์
ของศาสนาพุทธเลยนี่นา 
   ฉันเรียนมาจนโรงเรียนไล่ให้ออกไปเรียนที่อื่น
เพราะไม่มีชั้นให้เรียนแล้ว 
 และเมื่อฉันได้ออกไปสู่โลกภายนอก
ณ. โรงเรียนแห่งใหม่ฉันต้องสวดมนต์ทุกเช้า 
 ทำให้ฉันได้รู้จักการสวดมนต์ของศาสนาพุทธบ้าง
   แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีนั่นแหละ 
 เพราะคำที่สวดนั้นฉันไม่รู้จะแปลอย่างไรดี
  แต่ก็เอาเถอะ ฉันก็สวดจนคล่อง
โดยใช้เวลาไม่นานนัก 
  เอาละๆๆเข้าเรื่องซะที ทุกเช้าฉันจะเห็นแม่
เตรียมข้าวสวย 1 ขันลงหิน 
  พร้อมกับ กับข้าวอีกสองอย่าง 
 ไม่ได้ใส่ถุงพลาสติกอะไรหรอก
พระท่านมีลูกศิษย์หิ้วปิ่นโตตามน่ะ
  แม่ตักกับข้าวใส่ปิ่นโต
แล้วยกขึ้นอธิษฐานในใจทุกครั้งก่อนส่งคืนเด็กวัด
  ส่วนข้าวสุกแม่ก็จะยกขันจบหัวทุกครั้ง
ก่อนตักข้าวใส่ลงไปในบาตรพระ ฉันไม่รู้หรอก
ว่าแม่อธิษฐานอะไร และไม่เคยสนใจด้วย

จวบจนฉันได้ย้ายเข้าไปเรียนในกรุงเทพฯ
หลังจากเรียนจบฉันก็ได้สอบเข้ารับราชการ
และกรมได้ส่งให้ไปทำงานในภาคเหนือ
   ซึ่งที่นี่เองฉันได้เห็นคนทางเหนือ
เขาทำบุญตักบาตรกันมากมาย 
  พุทธศาสนาช่างเบ่งบานดีแท้ ฉันได้แต่คิด
  และเริ่มสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว 
 ฉันมักจะพูดคุยซักถามเรื่องพุทธศาสนากับหลายๆคน
  จึงได้ความกระจ่างมาบ้างแล้วว่า 
 ทำบุญตักบาตรแล้วทำให้จิตใจสดชื่นอิ่มบุญว่างั้นเถอะ
   ฉันเคยถามหลายคนว่าเวลาทำบุญตักบาตร
คุณอธิษฐานอะไรบ้าง 
  ก็ได้รับคำตอบที่คล้ายๆกันว่า 
 อธิษฐานให้เราพ้นจากภยันตราย
  ให้ครอบครัวเรามีความสุข 
 บ้างก็ว่าขอโชคลาภ 
 บ้างก็ว่าขอให้สมความปรารถนาในทุกสิ่งที่ตนหวังไว้ 
  บางคนว่าขอให้ตัวพ้นจากทุกข์
ทั้งหลายทั้งปวง ฉันได้ยินแล้วบอกตรงๆว่า
  "ทึ่งมากเลย" ฟังดูคล้ายกับว่า
ศาสนาพุทธนั้นอัศจรรย์มากขออะไรก็ได้
  ชักสนใจขึ้นมาอีกแล้วซิ
ฉันเริ่มเรียนรู้พุทธศาสนามากขึ้น
   ฉันเริ่มหาหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนามาอ่านมากมาย 
 รับแจกมาบ้าง ซื้อมาบ้าง ขอยืมเขามาอ่านบ้าง 
 ด้วยความอยากรู้ว่า ความจริงมันคืออะไรกันแน่

ฉันใช้เวลาวันหยุดราชการ
ท่องเที่ยวไปตามวัดต่างๆ  เข้าไปพูดคุยกับพระบ้าง
   ชีบ้าง มรรคทายกบ้าง เด็กวัดบ้าง 
  คนเฒ่าคนแก่บ้าง 
 ไม่มีอะไรหรอกอยากรู้เท่านั้นว่า
   คนเหล่านี้เขาคิดอะไรเกี่ยวกับพุทธศาสนาบ้างก็เท่านั้น
    ฉันเก็บเกี่ยวข้อมูลมาเรื่อยๆ
 ทุกครั้งที่ฉันไปหาความกระจ่างแจ้งเรื่องพุทธศาสนา
  บอกตรงๆว่ายังไม่โดนใจเลย
เพราะฉันสรุปได้ว่า 
 แทบทุกคนมักจะเอาตนเป็นที่ตั้ง 
 ขอโน่นขอนี่ เมื่อยังไม่สมหวังก็โทษเอาว่า
ยังไม่หมดเวรหมดกรรมบ้าง 
 ทำบุญน้อยไปบ้าง และหลากหลายเหตุผล
ที่จะนำมากล่าวอ้างกัน 
  แต่ก็ยังไม่ละทิ้งการทำบุญตักบาตรกันแต่อย่างไร

ฉันเริ่มก้าวต่อไปอีก
โดยใช้วันหยุดราชการหลายวันติดต่อกัน
เดินทางไปยังจังหวัดอื่นที่ได้อ่านพบในหนังสือ
ว่ามีพระภิกษุที่เคร่งครัด
และเป็นนักปฏิบัติธรรมที่มีชื่อคนรู้จักกันมากมาย 
 ฉันเข้าไปอธิษฐานจิต ขอเรียนรู้
และฝึกปฏิบัติในวัดดังกล่าว 
  ทำให้ฉันได้มีโอกาสได้สนทนาธรรมกับพระอาจารย์บ้าง
   ฉันถามท่านว่าเวลาคนตักบาตรพระ
ทำไมถึงนิยมอธิษฐานขอโน่นขอนี่
  แล้วเขาเหล่านั้นจะได้สมหวังหรือไม่คะ
พระอาจารย์ท่านฟังแล้วก็ยิ้ม กล่าวเบาๆว่า 
 การตักบาตรพระนั้น
ถือเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง 
  ก็พระไม่มีอาชีพใดๆนี่ เห็นไม๊
ข้าวยังต้องขอบิณฑบาตจากญาติโยมเลย 
 เมื่อรับบาตรแล้วพระท่านก็ให้ศีลให้พรแก่ญาติโยมทุกครั้ง
  พรเหล่านั้นถือว่าเป็นพรที่ดี
  แค่ได้รับพรญาติโยมก็มีความสุขแล้ว
   แต่จะให้สมหวังสมปรารถนาตามที่ร้องขอนั้น
ไม่อาจเป็นไปได้หรอก 
  เพราะทุกคนเกิดมาพร้อมกับกรรม 
 ถ้ายังไม่ละเว้นการทำกรรมก็เท่ากับ
เสริมสร้างกรรมเพิ่มขึ้นไปอีก 
 แล้วเมื่อไรมันจะหมดกรรมซะทีล่ะโยม
   แต่ถ้าหยุดกระทำกรรมใดๆแล้ว 
 กรรมที่มีมาก็จะค่อยๆหมดไปในที่สุด 
 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องสุดแต่บุญและกรรมที่มีมานะ 
 ฉันจึงถามท่านว่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่า
เราได้หยุดทำกรรมแล้ว  
พระอาจารย์ท่านยิ้มและตอบว่า 
 "แค่รักษาศีล 5 ให้ได้ครบถ้วนทุกวันก็ถือว่า
ได้ละเว้นจากกรรมไปมากโขแล้วละโยม" 
 ท่านได้ทิ้งท้ายไว้ก่อนจะหันหลังเดินจากไป

ฉันเริ่มได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง
หลังจากรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่หามาได้ 
 สรุปได้ว่าหากเราจะขอพรใดๆ 
 จากการทำบุญตักบาตรของเราแล้วละก็
ถือว่าเรายังมีกิเลส มีตัณหา
ที่ทำให้เราเกิดความอยากมากมาย
แต่หากเราคิดง่ายๆเพียงว่า 
  การทำบุญตักบาตรของเรานี้
เพื่อเป็นการทำให้พระพุทธศาสนา
ยังคงมีความหมายและคงอยู่ตลอดไป 
 เพื่อเป็นเครื่องชี้นำทางให้ทุกคนเชื่อถือ
และปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรม ไม่เห็นแก่ตัว
และ ประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีตลอดไปชั่วชีวิต
  แค่รักษาศีล 5 ทุกข้อไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
ก็นับว่า เราได้ทำบุญไม่เบียดเบียนผู้อื่นแล้วละ
สักวันผลบุญที่ทำไว้ก็จะแพร่แผ่กระจาย
มาสู่ตัวเราเองนั่นแหละ
ไม่จำเป็นต้องไปอธิษฐานจิตใดๆให้พระเจ้าช่วยหรอก
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวเอง ทั้งนั้น





♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥



Create Date : 15 พฤษภาคม 2554
Last Update : 18 กันยายน 2557 22:28:07 น.
Counter : 2807 Pageviews.

1 comment
เรื่องของตัณหา




ตัณหา คือ ความอยาก

อะไรที่มันทำให้เราเกิดความอยากขึ้นมา

นั่นแหละคือตัณหา 


  และตัณหานี่แหละที่เป็นตัวนำพา

ความทุกข์ทั้งมวลมาให้


ใครไม่มีตัณหาก็ไม่มีทุกข์  

 เมื่อไม่มีทุกข์ก็พบแต่ความสุข


เหตุแห่งตัณหา คือ อายตนะหก

ได้แก่ ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ

ซึ่งเป็นประตูทั้งหกที่เปิดรับตัวตัณหา 


 หากเราปิดประตูอายตนะหกนี่้

ตัณหาก็เข้ามาสู่ตัวเราไม่ได้  ความทุกข์มันก็ไม่เกิด


  ซึ่งไม่ใช่ง่ายหรอกที่จะปิดประตูทั้งหกนี้

   ลองทำดูสักครั้งเพื่อทดสอบตัวเอง


 การดับทุกข์นั้นเราต้องอาศัย"สติ"

เท่านั้นเป็นผู้ดับทุกข์


สติ   คือ  ความระลึกรู้

ต้องรู้ว่าาเรากำลังอยู่ในสภาวะอะไร 


 และกำลังทำอะไรอยู่

คนมีสติคือคนที่รู้อยู่ตลอดเวลาว่า

ตนเองมีความเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้อย่างไร


  เช่นกำลังโกรธ   กำลังเกลียด 

ถ้าเราไม่รู้ถึงสิ่งเหล่านี้ เรียกได้ว่า

เราไม่มีสติอยู่กับตัวเราเลย


เรากำลังตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลสตัณหา

 ซึ่งมันจะบงการให้เราทำอะไร  

ก็ต้องทำตามที่มันบัญชา

เขาเรียกว่าตกเป็นทาส


 แต่ถ้าเรามีสติอยู่กับตัวเราแล้ว

เราก็รู้ได้ว่าขณะนี้

กิเลสตัณหาได้เข้ามาเล่นงานเราเข้าแล้ว


เรากำลังโกรธ  เรากำลังเกลียด 

 พอรู้อย่างนี้แล้ว  เราก็บอกตัวเองได้ว่า 


เราจะโกรธ จะเกลียดไปทำไมกัน

เพราะนั่นแสดงได้ว่า

เราได้ตกเป็นทาสของตัณหาซะแล้ว


 ดังนั้น  การมีสติเท่านั้น

ที่จะทำให้มนุษย์เรามีความสงบสุขอันแท้จริง

ได้การจะมีสติอยู่ตลอดเวลาได้ต้องฝึก 


  ฝึกในการรู้ตัวทั่วพร้อม 

 คือให้หมั่นระลึกอยู่เสมอว่า 

ขณะนี้เรากำลังทำอะไรอยู่


การฝึกให้สติอยู่กับต้วเรียกว่า

การเจริญสติ.....





Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 18 กันยายน 2557 22:10:00 น.
Counter : 1439 Pageviews.

3 comment
ตามรู้ดูตัว(เอง)

คนสองคนเดินมาหาตัวฉัน
คนหนึ่งนั้นจับต้องได้คือมังสา
คนหนึ่งไร้กายสิ้นบินไปมา
ร่วมนำพาให้ฉันเดินเพริศเพลินกัน


คนที่หนึ่งคือกายฉันนั้นแน่แท้
คนหนึ่งแปรเปลี่ยนไปคือใจฉัน
สองคนรวมเป็นร่างเสริมเติมชีวัน
แล้วช่วยกันผันเปลี่ยนฉันทุกวันคืน

 

ใจฉันนั้นบางวันดีมีความสุข
เป็นการปลุกกายสู้ดูไม่ฝืน
แต่บางวันใจเป็นทุกข์กายลุกยืน
เหมือนเซลื่นยืนเศร้าเฝ้าระทม


เขาร่วมกันเสริมแต่งแข่งกันปั้น
เอาชีวันฉันเดิมพันวันขื่นขม
ร่วมกันแต่งตัวฉันนั้นตามอารมณฺ์
ให้เศร้าตรมให้สุขสันต์ให้ฝันเพลิน


บางขณะจิตพาหลงพะวงคิด
ฉันเฝ้าติดตามไปไม่ขัดเขิน
ชั่วขณะจิตจะดับกลับคืนเดิม
แล้วจึงเติมความคิดใหม่ใส่ให้ดู


ร่างกายฉันนั้นมองไปก็ใช่เที่ยง
อยากหลีกเลี่ยงความชราพาอดสู
เป็นไปตามวัยวุฒิสุดชื่นชู
ขอให้รู้กายเสี่อมได้ตายทุกคน


ตามให้รู้ดูให้เห็นเป็นไม่เที่ยง
สุดหลีกเลี่ยงเกี่ยงยึดไว้ใจสับสน
ถึงเวลาเขามาอยู่ดูน่ายล
อย่ากังวลห่วงงามกายหมายยึดครอง


ใจต่างหากที่คิดดีมีประโยชน์
ไร้ความโกรธไร้ความโลภตอบสนอง
ใจตั้งคิดสติมั่นหมั่นตรึกตรอง
ไม่ควรลองสิ่งไม่ควรล้วนพาตรม






Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 4 กันยายน 2557 11:22:51 น.
Counter : 1378 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ