Group Blog
All Blog
|
(õ‿õ) ..✿ ...สนทนาธรรมกับหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ ...ตอนที่ 1
อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี ไปวัดป่าสุคะโต ต.ท่ามะไฟหวาน อ.แก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ เพื่อไปกราบนมัสการและเยี่ยมเยียนหลวงพ่อคำเขียน ซึ่ง แม่ชีท่านรู้จักมาเป็นเวลากว่าสามสิบปีแล้ว ด้วยทราบว่าท่านป่วยเป็นมะเร็ง และขณะนี้ได้ออกจากโรงพยาบาลมาจำวัดอยู่ที่วัดป่าสุคะโตแล้ว ด้วย ความที่เราไม่เคยรู้จักท่านเลย แต่ได้ยินคำกล่าวเล่าขานถึงท่านจากพี่เล็ก เพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งได้รู้จักกันไม่นาน แต่ได้นำพาให้เราได้เรียนรู้และได้ ปฏิบัติธรรม พี่เล็กเล่าว่าหลวงพ่อคำเขียนท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อเทียน และท่านเก่งเรื่องกัมมัฎฐาน เราเลยอยากจะไปพบท่านเพื่อขอคำชี้แนะ จากท่านในเรื่องกัมมัฎฐานบ้าง คณะของเราเดินทางไปถึงวัดป่าสุคะโต เมื่อวันที่ 11 สิ่งหาคม 2550 และได้เข้าพักอาศัยอยู่ที่วัด วัดนี้เป็นวัดที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ แต่ก็เต็มไปด้วยผืนป่า เกือบทั้งหมด จะยกเว้นก็เฉพาะบริเวณที่เป็นศาลา และเป็นกูฎิพระ และ ที่พักขอ่งญาติโยมผู้ไฝ่ธรรม เท่านั้น เราได้เข้าพักอยู่ในบ้านพักซึ่งสร้าง ขึ้นเป็นหลังเล็กๆ เหมาะสำหรับผู้มาปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง เพราะทั้งสงบ และร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่นานาพันธุ์ ธรรมดาของผู้ที่เข้ามาปฏิบัติธรรม จะต้องอยู่คนเดียว เพราะจะได้ใช้เวลาทั้งหมดเรียนรู้กายใจ โดยไม่เอา เวลาไปพูดคุยในเรื่องไร้สาระทำให้เสียเวลาในการปฏิบัติ แต่ในครั้งนี้เรา ได้เข้าพักอยู่กันสามคนโดยมีพี่เล็ก กับ น้องรินลูกสาวพี่เล็ก รวมพักอยู่ ด้วยกัน แต่ไม่ต้องกลัวว่าเราทั้งสามจะจับวงจ้อกันไม่เลิกหรอกนะ เพราะ ทั้งพี่เล็ก และน้องริน นั้น เป็น่นักปฏิบัติธรรมมานานแล้วรู้ระเบียบและรู้แจ้ง มากกว่าเรานัก เราอยู่ด้วยกันแต่แทบจะไม่ได้พูดคุยกันเลย นอกจาก จะถามกันบ้างแต่ก็เป็นเรื่องธรรมะล้วนๆ กฎของวัดนี้ต้องตื่นตี 3 เพื่อจะได้ไปทันในการทำวัตรเช้า ทุกคนต้องเดินมุ่งตรงไปยังศาลา ซึ่งอยู่ห่างไกลจากที่พักพอสมควร และ ต้องเดินผ่านความมืดและป่าไม้ที่ขึ้นอยู่โดยทั่วไป ดังนั้นสิ่งสำคัญของเรา ก็คือ ไฟฉายส่องนำทาง ซึ่งต้องมี และร่มซึ่งขณะที่เราไปนั้นฝนยังมีตก อยู่เป็นครั้งคราว วันแรกที่ไปก็ไม่มีปัญหาไปถึงศาลาก็จะพบญาติธรรมซึ่ง มาปฏิบัตินั่งอยู่กันหลายท่านแล้ว สักครู่พระสงฆ์ท่านก็เดินกันมาเป็นแถว อย่างมีระเบียบ แต่ที่น่าทึ่งก็คือ ไม่มีเสียงพูดหรือเสียงใดๆๆ นอกจาก เสียงร้องของธรรมชาติเท่านั้น เราต่างเดินไปหยิบเบาะรองนั่งมาคนละผืน แล้วก็นั่งกัน เป็นแถวอย่างมีระเบียบโดยไม่ต้องบอกหรือมีใครมาจัดแถวให้นั่งแต่อย่างใด จากนั้นพระท่านก็เริ่มนำสวดมนต์ ก็หลายบทอยู่หรอก รวมทั้งบทที่สวด ทำวัตรเช้าด้วย เมื่อเสร็จจากการสวดมนต์แล้วก็จะมีการเดินจงกลม และ นั่งสมาธิ ก็ใช้เวลาพอประมาณ เมื่อเสร็จแล้วพระท่านก็จะเทศโปรดการ ฟังเทศจากท่านด้วยความตั้งใจเราได้อะไรมามากมาย จนรำพึงกับตนเอง เลยว่า เรานีช่างโง่จริงๆ ในเรื่องธรรมะมีอีกตั้งมากมายที่เราไม่รู้ เรามัว แต่หลงเดินทางเสาะแสวงหาธรรมมานาน เสียเวลาจริงๆ ทั้งๆที่ธรรมะนั้น อยู่ไม่ไกลจากตัวเราเลย หรืออาจจะเรียกได้ว่าอยู่กับตัวเราเสียด้วยซ้ำไป กว่าจะรู้ก็เสียเวลาไปเป็นสิบปีแล้ว อมิตพุทธ เมื่อเสร็จจากการฟังธรรมแล้ว เราต่างก็กราบลาและ เดินทางกลับมายังที่พัก ซึ่งก็ยังไม่สว่างต้องเดินส่องไฟฉายมาตลอดทาง เมื่อกลับมาถึงที่พักเราก็ต่างนั่งสมาธิทบทวนไปจนฟ้าเริ่มสาง เราก็เดินไป ยังศาลาอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆกับทางเข้าวัด ที่นี่เราจะไปตักบาตรพระกัน เมื่อไปถึงจะเห็นญาติโยมชาวบ้านมากันมากมายแล้ว เป็นที่น่าสังเกตุว่า ที่นี่เขาตักบาตรด้วยอาหารมังสะวิรัต ไม่มีเนื้อสัตว์ ไม่เบียดเบียนชีวิตใดๆ ชาวบ้านยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ที่น่าแปลกคือความเงียบ แทบจะไม่ได้ยิน เสียงสนทนาใดๆ เลย ถ้าจะพูดกันเขาก็แทบจะกระซิบ และไม่มีการพูด คุยไร้สาระใดๆ เมื่อตักบาตรเสร็จแล้วต่างก็เข้าไปนั่งยังศาลาเพื่อรอเวลา พระท่านมาฉันอาหาร ขณะนั่งรอเราได้เห็นผู้คนที่เข้ามานั่งรอในศาลานี้แทบ ทุกคนไม่ว่าหนุ่ม สาว หรือคนเฒ่าคนแก่ ต่างก็นั่งหลับตาแล้วยกมือทำ สมาธิตามแบบอย่างที่หลวงพ่อเทียนท่านสอนไว้ ซึ่งเราก็นั่งสังเกตุต่อมา ก็ลองทำตามดู ทำง่ายๆสบายๆ เมื่อทำได้เราก็หลับตาและทำอย่างเขา บ้างจนกระทั่งพระลงมาที่ศาลานั่นแหละถึงได้ต่างพร้อมกันกราบนมัสการ แล้วจึงร่วมกันถวายอาหารแต่พระสงฆ์ และเมื่อพระสงฆ์ท่านฉันอาหาร เสร็จแล้วก็ให้ศีลให้พร จากนั้นท่านก็กลับกุฏิของท่าน พวกชาวบ้านก็ ต่างลงมือรับประทานอาหารกัน แต่ก็แปลกอีกนั่นแหละการรับประทาน อาหารครั้งนี้มีแต่ความเงียบแทบจะไม่ได้ยินเสียงช้อนกระทบกับชามข้าว เลย เมื่อรับประทานเสร็จทุกคนจะนำชามข้าวของตนเองไปล้าง จากนั้น ก็มาตักอาหารที่เหลือแบ่งใส่ปิ่นโตเพื่อนำไปรับประทานเป็นอาหารมื้อ กลางวันกันที่ที่พักของตน สรุปก็คือรับประทานอาหารวันละสองมื้อนั่นเอง ส่วนตอนเย็นนั้นก็จะมีน้ำปานะให้ดื่ม ซึ่งเราสามารถไปหาดื่มได้จากโรงครัว โดยไม่จำกัด เสร็จแล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับที่พักเพื่อไปปฏิบัติภารกิจ ของตนเองและเดินจงกลมนั่งสมาธิด้วย่ตนเองอย่างสงบต่อไป วันที่สองเราเริ่มชินเมื่อตื่นขึ้นมาตอนตี 3 เราก็บอกกับ พี่เล็กว่าเราจะเดินล่วงหน้าไปศาลาก่อนนะ จากนั้นเราก็เดินออกมาคนเดียว เราเดินไปเรื่อยๆ แต่ก็น่าแปลกไม่ถึงศาลาสักทียิ่งเดินก็ยิ่งเหมือนไกล ออกไปมากยิ่งขึ้น จนเราไม่แน่ใจว่าเราเดินมาถูกทางหรือเปล่า จึงตัดสินใจ เดินกลับไปทางเก่าคิดว่าจะไปเริ่มต้นเดินใหม่ให้ถูกทาง แต่เมื่อเราเดิน กลับไปก็ยังไม่ถึงที่พักอีกนั่นแหละ แต่ก็ได้ผ่านบ้านพักซึ่งปลูกไว้เป็น ระยะๆ แต่แทบจะไม่เห็นคนเดินเลย เราคิดว่าเราน่าจะหลงทางจริงๆแล้ว เมื่อเราเดินต่อไปโดยอาศัยบ้านพักคนเป็นหลัก สักพักเราก็พบกับคนที่ เขาเดินอยู่เราจึงเดินตามไป ในที่สุดเราก็เดินมาถึงศาลาจนได้ พี่เล็ก ได้ถามว่าเราไปไหนมา ทำไมถึงได้มาช้านัก เรายิ้มๆและตอบเบาๆว่า ไปหาทางสงบน่ะ ฮ่าๆๆๆ นี่แหละบทเรียนละ เราอยู่ปฏิบัติธรรมจนเข้าวันที่ 14 สิ่งหาคม 2550 ตอน เย็นวันนี้พี่เล็กได้บอกเราว่า แม่ชีรื่นชวนไปกราบนมัสการหลวงพ่อคำเขียน ที่กุฏิของท่านกัน ท่านคงจะแปลกใจว่าทำไมมาถึงวัดถึงไม่เข้าไปกราบ นมัสการท่านตั้งแต่เรามาถึง จึงขอกล่าวไว้ ณ. ที่นี้ว่า เนื่องจากท่านอาพาธ การที่จะเข้าพบท่านนั้นต้องคอยสอบถามอาการจากพระที่ดูแลท่านก่อนว่า วันนี้ท่านแข็งแรงและพร้อมที่จะให้เราได้เข้ากราบนมัสการหรือยังเท่านั้น และแล้ววันนี้ที่รอคอยก็มาถึงแล้ว หลังจากเราได้รับการอบรมสั่งสอน วิธีการทำกัมมัฎฐานจากอาจารย์พระลูกวัดของท่าน จนเข้าใจเพียงพอที่ จะนำกลับไปปฏิบัติด้วยตนเองได้แล้ว เราก็จะได้พบกับพระอาจารย์ซะที โปรดติดตามตอน 2 ในบทสนทนาของพระอาจารย์ คำเขียนต่อนะคะ วันนี้เอวังก่อนค่ะ (‿) ✯ ✯ ✯ ✯ ✯ (‿✿) ❖ รู้พระพุทธศาสนา ต้องรู้ไตรลักษณ์ ❖
จนนักก็เกิดความเบื่อหน่ายในความจน ทุกข์ในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ซึ่งนั่นเราคิดไปเอง แท้จริงแล้วมันก็คิอทุกข์นั่นเอง ไม่ได้เตรียมตัวอะไรไว้เลย ในที่สุดก็ต้องเจอทุกข์ หลังจากที่รู้จักว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว เราก็ควรจะปฏิบัติให้ถูกต้อง อย่างเราๆ มนุษย์เดินดินกินข้าวแกง แล้วมันเกิดประโยชน์ หรือเป็นคุณ เป็นโทษกับเราอย่างไร (‿✿) ✯ ✯ ✯ ✯ ✯ (‿)✿ อยากมี"บารมี"ไม๊จ๊ะ ...มาลองทำดู..♥
อย่าไปประมาทตนว่า เราไม่ใช่พระพุทธเจ้า เพียงแต่ เราจะมีความอดทนพยายามแค่ไหน เมื่อทำได้ก็สำเร็จได้ทุกคนนั่นแหละ นะจ๊ะเธอจ๋า.....เอาละ ลองมาศึกษาและลองทำดูนะจ๊ะ น้อยคนนักที่จะเป็นคนเลว บางท่านอาจจะไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ ซึ่งก็หมายความว่า มีความพยายาม เราต้องรู้จักควบคุมอารมณ์อันศิวิไลนี้ (ยากใช่ไม๊จ๊ะ แข็งใจพยายามหน่อยนะเธอ) หากเต็มล้นไปด้วย คนเก่ง คนฉลาด คนดี โปรดนำไปไตร่ตรองกันดูสักนิดเถิด เป็นทาสแห่งความโกรธ ความอาฆาต คนเขียนก็ขี้เกียจเขียน คนอ่านก็ขี้เกียจอ่าน จริงไม๊จ๊ะ รู้จักแก้ปัญหาของชีวิตที่เป็นสาเหตุแห่งการเกิดทุกข์ นี่แหละเขาเรียกว่า คนมีปัญญาละ ไม่ว่าจะเป็นในทางโลก หรือทางธรรม ความสำเร็จทุกรายนั่นแหละจ้า.....♥!♥ และความอดทนควบคู่กันเสมอ เพื่อแสวงหาความสุขในภายภาคหน้านั้น และขันติคือความอดทน ทั้งสิ้น ความจริงใจต่อผู้อื่น เราตั้งใจแล้วว่าเราจะดำรงตนอยุ่ในศีลธรรมอันดีงาม จะนำความรู้ที่มีมาพัฒนาชาติบ้านเมืองของเรา นะจ๊ะเธอ...... พร้อมที่จะเป็นผู้ให้ด้วยความจริงใจ ทำได้เช่นนี้จึงจะเรียกได้ว่าเรามี "อุเบกขา" แล้วนะจ๊ะเธอ อย่าโลดแล่นไปตามอุบายของอารมณ์ นิ่งเสีย เฉยเสีย นั่นแหละ ถึงจะเรียกได้ว่า อย่าเก็บมาทุกข์เสียเอง นั่นแหละ อย่ารีบร้อน อย่าหวั่นไหว และประสบความสำเร็จในการพากเพียรทำ ........เอวังค่ะ...... (‿)✿ ...ช่วยหยุดฉันที...ฉันเหนื่อยแล้ว....✿
หากชีวิตที่เกิดมาไม่ครบถ้วน ไม่เห็นมีใครสักคนที่จะพูดว่า นี่ไง...สิ่งเหล่านี้เพียงแค่เกริ่นก็จะรู้แล้วว่า สอนให้รู้จักกรรมดี กรรมชั่ว ยังไงๆ พระท่านก็ต้องให้ช่วยตัวเองนั่นแหละ จะค้นพบความสุขได้อย่างไรเล่า .......จริงไม๊จ๊ะเธอ ในโลกอันชุลมุนวุ่นวายนี้ เพราะเมื่อเรามีอะไรแล้ว เราก็อยากจะมีอีก ไม่เจ็บ...ไม่เจอ...ไม่รู้สึกตัวหรอก เธอมัวแต่โลดแล่นไปโน่นไปนี่ไม่หยุด ดูแลกายฉันให้ดีๆซิ ไหนว่ารักกันนักรักกันหนา หากเธอไม่ยอมหยุด กายฉันก็จะไม่ยอมหยุด กายฉันเหนื่อยเหลือเกินแล้ว ที่มันเกิดขึ้นกับเธอไม่รู้จักจบเองนั่นแหละ เธอก็ลองใช้กลอุบายซิ จนรู้ว่าเธอนิ่งได้แล้ว เธอสามารถตามลมหายใจได้แล้ว (‿)✿ ไม่เห็นทุกข์.....ไม่เห็นธรรม ......
แต่ที่แน่ๆ เป็นเช่นนี้เกินครึ่งในยุคปัจจุบัน สาเหตุใหญ่ๆ ก็ไม่มีอะไร ทุกคนต้องการเงิน ชีวิตก็ปาเข้าไปค่อนคนแล้วละ จิดใจคนไทยนั้นก็ยังมีธรรมะครอบครองอยู่ บางคนก็มีจิตใจที่มุ่งมั่น เอาเป็นเอาตาย แต่บางคนก็เข้าท่านะ ค่อยๆเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ตามหลักพระพุทธศาสนาท่านสอนไว้ก่อนนะเธอจ๋า ทีนี้พอรู้หรือยังล่ะ ธรรมะน่ะไม่มีอะไรยาก ก่อนอื่นใช้เวลายามที่เราไม่ต้องทำอะไรแล้ว ลองนั่งเหมือนกับนั่งสมาธิดูซิ ทำจิตให้นิ่งๆ อยู่กับตัวเอง อะไรมันทำให้เรามีความสุข ทีนี้พอรู้หรือยังล่ะ ขั้นต้นแห่งการปฏิบัตินั้น |
tangkay
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?] (‿✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้ แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ .... สิบปีผ่านไป....... อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์ แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ Link |