Group Blog
All Blog
(õ‿õ) ..✿ ...สนทนาธรรมกับหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ ...ตอนที่ 1



เมื่อครั้งที่เราได้มีโอกาสติดตามแม่ชีรื่น แห่งสำนักเขาน้ำซับ
อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี ไปวัดป่าสุคะโต ต.ท่ามะไฟหวาน อ.แก้งคร้อ
จังหวัดชัยภูมิ เพื่อไปกราบนมัสการและเยี่ยมเยียนหลวงพ่อคำเขียน ซึ่ง
แม่ชีท่านรู้จักมาเป็นเวลากว่าสามสิบปีแล้ว ด้วยทราบว่าท่านป่วยเป็นมะเร็ง
และขณะนี้ได้ออกจากโรงพยาบาลมาจำวัดอยู่ที่วัดป่าสุคะโตแล้ว ด้วย
ความที่เราไม่เคยรู้จักท่านเลย แต่ได้ยินคำกล่าวเล่าขานถึงท่านจากพี่เล็ก
เพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งได้รู้จักกันไม่นาน แต่ได้นำพาให้เราได้เรียนรู้และได้
ปฏิบัติธรรม พี่เล็กเล่าว่าหลวงพ่อคำเขียนท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อเทียน
และท่านเก่งเรื่องกัมมัฎฐาน เราเลยอยากจะไปพบท่านเพื่อขอคำชี้แนะ
จากท่านในเรื่องกัมมัฎฐานบ้าง คณะของเราเดินทางไปถึงวัดป่าสุคะโต
เมื่อวันที่ 11 สิ่งหาคม 2550 และได้เข้าพักอาศัยอยู่ที่วัด

วัดนี้เป็นวัดที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ แต่ก็เต็มไปด้วยผืนป่า
เกือบทั้งหมด จะยกเว้นก็เฉพาะบริเวณที่เป็นศาลา และเป็นกูฎิพระ และ
ที่พักขอ่งญาติโยมผู้ไฝ่ธรรม เท่านั้น เราได้เข้าพักอยู่ในบ้านพักซึ่งสร้าง
ขึ้นเป็นหลังเล็กๆ เหมาะสำหรับผู้มาปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง เพราะทั้งสงบ
และร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่นานาพันธุ์ ธรรมดาของผู้ที่เข้ามาปฏิบัติธรรม
จะต้องอยู่คนเดียว เพราะจะได้ใช้เวลาทั้งหมดเรียนรู้กายใจ โดยไม่เอา
เวลาไปพูดคุยในเรื่องไร้สาระทำให้เสียเวลาในการปฏิบัติ แต่ในครั้งนี้เรา
ได้เข้าพักอยู่กันสามคนโดยมีพี่เล็ก กับ น้องรินลูกสาวพี่เล็ก รวมพักอยู่
ด้วยกัน แต่ไม่ต้องกลัวว่าเราทั้งสามจะจับวงจ้อกันไม่เลิกหรอกนะ เพราะ
ทั้งพี่เล็ก และน้องริน นั้น เป็น่นักปฏิบัติธรรมมานานแล้วรู้ระเบียบและรู้แจ้ง
มากกว่าเรานัก เราอยู่ด้วยกันแต่แทบจะไม่ได้พูดคุยกันเลย นอกจาก
จะถามกันบ้างแต่ก็เป็นเรื่องธรรมะล้วนๆ

กฎของวัดนี้ต้องตื่นตี 3 เพื่อจะได้ไปทันในการทำวัตรเช้า
ทุกคนต้องเดินมุ่งตรงไปยังศาลา ซึ่งอยู่ห่างไกลจากที่พักพอสมควร และ
ต้องเดินผ่านความมืดและป่าไม้ที่ขึ้นอยู่โดยทั่วไป ดังนั้นสิ่งสำคัญของเรา
ก็คือ ไฟฉายส่องนำทาง ซึ่งต้องมี และร่มซึ่งขณะที่เราไปนั้นฝนยังมีตก
อยู่เป็นครั้งคราว วันแรกที่ไปก็ไม่มีปัญหาไปถึงศาลาก็จะพบญาติธรรมซึ่ง
มาปฏิบัตินั่งอยู่กันหลายท่านแล้ว สักครู่พระสงฆ์ท่านก็เดินกันมาเป็นแถว
อย่างมีระเบียบ แต่ที่น่าทึ่งก็คือ ไม่มีเสียงพูดหรือเสียงใดๆๆ นอกจาก
เสียงร้องของธรรมชาติเท่านั้น

เราต่างเดินไปหยิบเบาะรองนั่งมาคนละผืน แล้วก็นั่งกัน
เป็นแถวอย่างมีระเบียบโดยไม่ต้องบอกหรือมีใครมาจัดแถวให้นั่งแต่อย่างใด
จากนั้นพระท่านก็เริ่มนำสวดมนต์ ก็หลายบทอยู่หรอก รวมทั้งบทที่สวด
ทำวัตรเช้าด้วย เมื่อเสร็จจากการสวดมนต์แล้วก็จะมีการเดินจงกลม และ
นั่งสมาธิ ก็ใช้เวลาพอประมาณ เมื่อเสร็จแล้วพระท่านก็จะเทศโปรดการ
ฟังเทศจากท่านด้วยความตั้งใจเราได้อะไรมามากมาย จนรำพึงกับตนเอง
เลยว่า เรานีช่างโง่จริงๆ ในเรื่องธรรมะมีอีกตั้งมากมายที่เราไม่รู้ เรามัว
แต่หลงเดินทางเสาะแสวงหาธรรมมานาน เสียเวลาจริงๆ ทั้งๆที่ธรรมะนั้น
อยู่ไม่ไกลจากตัวเราเลย หรืออาจจะเรียกได้ว่าอยู่กับตัวเราเสียด้วยซ้ำไป
กว่าจะรู้ก็เสียเวลาไปเป็นสิบปีแล้ว อมิตพุทธ

เมื่อเสร็จจากการฟังธรรมแล้ว เราต่างก็กราบลาและ
เดินทางกลับมายังที่พัก ซึ่งก็ยังไม่สว่างต้องเดินส่องไฟฉายมาตลอดทาง
เมื่อกลับมาถึงที่พักเราก็ต่างนั่งสมาธิทบทวนไปจนฟ้าเริ่มสาง เราก็เดินไป
ยังศาลาอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆกับทางเข้าวัด ที่นี่เราจะไปตักบาตรพระกัน
เมื่อไปถึงจะเห็นญาติโยมชาวบ้านมากันมากมายแล้ว เป็นที่น่าสังเกตุว่า
ที่นี่เขาตักบาตรด้วยอาหารมังสะวิรัต ไม่มีเนื้อสัตว์ ไม่เบียดเบียนชีวิตใดๆ
ชาวบ้านยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ที่น่าแปลกคือความเงียบ แทบจะไม่ได้ยิน
เสียงสนทนาใดๆ เลย ถ้าจะพูดกันเขาก็แทบจะกระซิบ และไม่มีการพูด
คุยไร้สาระใดๆ เมื่อตักบาตรเสร็จแล้วต่างก็เข้าไปนั่งยังศาลาเพื่อรอเวลา
พระท่านมาฉันอาหาร

ขณะนั่งรอเราได้เห็นผู้คนที่เข้ามานั่งรอในศาลานี้แทบ
ทุกคนไม่ว่าหนุ่ม สาว หรือคนเฒ่าคนแก่ ต่างก็นั่งหลับตาแล้วยกมือทำ
สมาธิตามแบบอย่างที่หลวงพ่อเทียนท่านสอนไว้ ซึ่งเราก็นั่งสังเกตุต่อมา
ก็ลองทำตามดู ทำง่ายๆสบายๆ เมื่อทำได้เราก็หลับตาและทำอย่างเขา
บ้างจนกระทั่งพระลงมาที่ศาลานั่นแหละถึงได้ต่างพร้อมกันกราบนมัสการ
แล้วจึงร่วมกันถวายอาหารแต่พระสงฆ์ และเมื่อพระสงฆ์ท่านฉันอาหาร
เสร็จแล้วก็ให้ศีลให้พร จากนั้นท่านก็กลับกุฏิของท่าน พวกชาวบ้านก็
ต่างลงมือรับประทานอาหารกัน แต่ก็แปลกอีกนั่นแหละการรับประทาน
อาหารครั้งนี้มีแต่ความเงียบแทบจะไม่ได้ยินเสียงช้อนกระทบกับชามข้าว
เลย เมื่อรับประทานเสร็จทุกคนจะนำชามข้าวของตนเองไปล้าง จากนั้น
ก็มาตักอาหารที่เหลือแบ่งใส่ปิ่นโตเพื่อนำไปรับประทานเป็นอาหารมื้อ
กลางวันกันที่ที่พักของตน สรุปก็คือรับประทานอาหารวันละสองมื้อนั่นเอง
ส่วนตอนเย็นนั้นก็จะมีน้ำปานะให้ดื่ม ซึ่งเราสามารถไปหาดื่มได้จากโรงครัว
โดยไม่จำกัด เสร็จแล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับที่พักเพื่อไปปฏิบัติภารกิจ
ของตนเองและเดินจงกลมนั่งสมาธิด้วย่ตนเองอย่างสงบต่อไป

วันที่สองเราเริ่มชินเมื่อตื่นขึ้นมาตอนตี 3 เราก็บอกกับ
พี่เล็กว่าเราจะเดินล่วงหน้าไปศาลาก่อนนะ จากนั้นเราก็เดินออกมาคนเดียว
เราเดินไปเรื่อยๆ แต่ก็น่าแปลกไม่ถึงศาลาสักทียิ่งเดินก็ยิ่งเหมือนไกล
ออกไปมากยิ่งขึ้น จนเราไม่แน่ใจว่าเราเดินมาถูกทางหรือเปล่า จึงตัดสินใจ
เดินกลับไปทางเก่าคิดว่าจะไปเริ่มต้นเดินใหม่ให้ถูกทาง แต่เมื่อเราเดิน
กลับไปก็ยังไม่ถึงที่พักอีกนั่นแหละ แต่ก็ได้ผ่านบ้านพักซึ่งปลูกไว้เป็น
ระยะๆ แต่แทบจะไม่เห็นคนเดินเลย เราคิดว่าเราน่าจะหลงทางจริงๆแล้ว
เมื่อเราเดินต่อไปโดยอาศัยบ้านพักคนเป็นหลัก สักพักเราก็พบกับคนที่
เขาเดินอยู่เราจึงเดินตามไป ในที่สุดเราก็เดินมาถึงศาลาจนได้ พี่เล็ก
ได้ถามว่าเราไปไหนมา ทำไมถึงได้มาช้านัก เรายิ้มๆและตอบเบาๆว่า
ไปหาทางสงบน่ะ ฮ่าๆๆๆ นี่แหละบทเรียนละ

เราอยู่ปฏิบัติธรรมจนเข้าวันที่ 14 สิ่งหาคม 2550 ตอน
เย็นวันนี้พี่เล็กได้บอกเราว่า แม่ชีรื่นชวนไปกราบนมัสการหลวงพ่อคำเขียน
ที่กุฏิของท่านกัน ท่านคงจะแปลกใจว่าทำไมมาถึงวัดถึงไม่เข้าไปกราบ
นมัสการท่านตั้งแต่เรามาถึง จึงขอกล่าวไว้ ณ. ที่นี้ว่า เนื่องจากท่านอาพาธ
การที่จะเข้าพบท่านนั้นต้องคอยสอบถามอาการจากพระที่ดูแลท่านก่อนว่า
วันนี้ท่านแข็งแรงและพร้อมที่จะให้เราได้เข้ากราบนมัสการหรือยังเท่านั้น
และแล้ววันนี้ที่รอคอยก็มาถึงแล้ว หลังจากเราได้รับการอบรมสั่งสอน
วิธีการทำกัมมัฎฐานจากอาจารย์พระลูกวัดของท่าน จนเข้าใจเพียงพอที่
จะนำกลับไปปฏิบัติด้วยตนเองได้แล้ว เราก็จะได้พบกับพระอาจารย์ซะที

โปรดติดตามตอน 2 ในบทสนทนาของพระอาจารย์
คำเขียนต่อนะคะ วันนี้เอวังก่อนค่ะ


(•‿•) ✯ ✯ ✯ ✯ ✯



Create Date : 17 กันยายน 2554
Last Update : 22 กันยายน 2554 11:48:38 น.
Counter : 1809 Pageviews.

0 comment
(•‿•✿) ❖ รู้พระพุทธศาสนา ต้องรู้ไตรลักษณ์ ❖



ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


อนิจจัง คือ สิ่งต่างๆทั้งปวงที่เกิดขึ้นมานั้น 
 มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ 
เราไม่สามารถที่จะหยุดการเปลี่ยนแปลงนี้ได้
    ไม่มีอะไรที่จะเป็นตัวของมันเองที่จะหยุดได้
แม้เพียงชั่วขณะหนึ่งก็ตาม 
 เช่น ร่างกายเราเมื่อเกิดมามีการเจริญเติบโต 
  มีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ 
 และในที่สุดของการเปลี่ยนแปลง
ก็คือ การตาย เป็นต้น
นี่แหละเขาเรียกว่าอนิจจัง 
 มีเกิด แล้วก็มีดับไป เป็นของธรรมดา


ทุกขัง ก็คือ สิ่งต่างๆทั้งหลายทั้งปวง
เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว 
 มันย่อมจะมีทุกข์ในตัวของมันเอง 
  เช่นร่างกายเราเมื่อเจ็บป่วยก็เป็นทุกข์
จนนักก็เกิดความเบื่อหน่ายในความจน
   รวยมากนักก็เกิดทุกข์เพราะอยากรวยยิ่งๆขึ้นไปอีก
   ไม่มีความเพียงพอ สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมานี้
ไม่ใช่เฉพาะการทำให้มีตัวตนเท่านั้น 
  แม้แต่ความคิดซึ่งยังไม่มีตัวตน บางครั้งก็ทุกข์
ทุกข์ในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น 
  หรือทุกข์ในสิ่งที่เกิดและมีอยู่แล้ว 
 ทั้งหลายทั้งปวง มันทำให้ทุกข์ทั้งสิ้น
   แม้แต่บางครั้งาเราคิดว่ามันคือความสุข
ซึ่งนั่นเราคิดไปเอง แท้จริงแล้วมันก็คิอทุกข์นั่นเอง
  ทุกข์เมื่อมีอะไรต่อมิอะไรตามติดความสุขนั้นมา
   เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่ทุกข์ โกหกคนอื่นได้
แต่โกหกตนเองย่อมไม่ได้แน่นอน
   ที่อ้างว่าไม่เคยมีทุกข์นั่นน่ะ จริงรึลองคิดดูดีๆ 
   โบราณเขาเรียกทุกข์ 108 ไง ไม่ทุกข์นั่นก็ทุกข์นี่ 
 มันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลานั่นแหละ 
  ไม่งั้นจะเสาะแสวงหาการดับทุกข์กันไปทำไม


อนัตตา คือ การบอกให้รู้ว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมานั้น 
 เราไม่ควรไปยึดมั่น ถือมั่น กับมัน 
 ไอ้นี่ก็ของเรา ไอ้นั่นก็ของเรา 
  อันนั้นก็ใช่ อันนี้ก็ใช่ 
 ยึดมั่นถือมั่นมันไปซะหมด 
  คิดว่ามันเป็นตัวตนที่เราจะเข้าครอบครองเป็นเจ้าของได้ 
  ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นมันเข้ามันก็จะทำให้เราเกิดทุกข์ 
   ตำแหน่งใหญ่โต คนโน้นก็ท่าน คนนี้ก็ท่าน
  ทุกคนให้ความเคารพยำเกรง เลยคิดว่า
ข้าฯนี้ใหญ่ ข้าฯนี้เก่ง ไม่มีใครอีกแล้วที่จะเก่งเท่าข้าฯได้
   ลืมนึกไปว่า น้ำมีขึ้นมีลง 
  เมื่อถึงคราต้องลงแล้วจะทำอย่างไร
ไม่ได้เตรียมตัวอะไรไว้เลย 
 เพราะยึดมั่นถือมั่นในตนเองเป็นใหญ่นั่นแหละ
ในที่สุดก็ต้องเจอทุกข์


ดังนั้น "ไตรลักษณ์" ในพระพุทธศาสนาก็คือ
การบอกให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แยกให้ถูก รู้ให้ได้ 
 ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปิดกั้นตนเองไม่ยอมรับรู้ใดๆ 
  หลงตัวเองซะงั้น แล้วคุยนักคุยหนาว่าเป็นชาวพุทธ 
 โธ่เอ๊ย ยังไม่ทันรู้แจ้งเห็นจริง
ก็ทึกทักเข้าข้างตนเองซะแล้ว 
  ตั้งสติ ไตร่ตรองดีๆแล้วเราจะรู้ว่า
  พุทธศาสนานั้น เรายังแทบไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำ
   ดังนั้นเมื่อเราต้องการรู้จักพุทธศาสนาที่แท้จริง 
  เราจึงต้องปฏิบัติให้ถูกต้องก่อน
หลังจากที่รู้จักว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว 
  เราไม่อยากยึดมั่นถือมั่นมันแล้ว
เราก็ควรจะปฏิบัติให้ถูกต้อง


ก่อนอื่น เราต้องรักษาศีล และปฏิบัติศีลโดยเคร่งครัดก่อน
อย่างเราๆ มนุษย์เดินดินกินข้าวแกง
แค่ศีล 5 ก็ถือว่าเจ๋งแล้วละ 
 ต่อไปก็ต้องมีสติมีสมาธิ 
  แล้วมันก็จะเกิดปัญญาขึ้นมาเองนั่นแหละ 
  ต้องพยายามทำกรรมฐาน ภาวนาให้ถูกต้อง 
  เราต้องปฏิบัติเพื่อให้ได้รู้ว่าสิ่งทั้งปวงมันคืออะไร
แล้วมันเกิดประโยชน์ หรือเป็นคุณ เป็นโทษกับเราอย่างไร 
  ต้องให้รู้แจ้งให้ได้ โดยไม่มีข้อสงสัย
และขัดแย้งต่อตนเองอีก
  มองจนเห็นว่าเมื่อมันไม่หยุดมันก็เพิ่มแต่ทุกข์ 
  แต่ถ้าเราหยุดได้ ในที่สุด ความสุขก็จะตามมา 
  อย่าคิดว่ามันไม่ใช่ มันเป็นไปไม่ได้
   เลิกคิดซะ เพราะไม่มีอะไรหรอกที่จะเหนือกว่า
ความพยายามของมนุษย์ 
  ดังนั้นจงเป็นกำลังใจให้กับตนเอง 
  พยายามต่อไป โดยไม่เกิดการท้อถอย นั่นแหละ
ถึงจะเรียกได้ว่า เราได้เห็นไตรลักษณ์แล้ว ....
เอวังนะจ๊ะ


(•‿•✿) ✯ ✯ ✯ ✯ ✯









Create Date : 15 กันยายน 2554
Last Update : 23 กันยายน 2557 20:35:09 น.
Counter : 1468 Pageviews.

1 comment
(•‿•)✿ อยากมี"บารมี"ไม๊จ๊ะ ...มาลองทำดู..♥




พระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญเพียร 
 ท่านทำบารมี ทั้ง 10 ข้อนี้จนครบถ้วน 
 จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ 
  แต่เราคนธรรมด๊า...ธรรมดา
อย่าไปประมาทตนว่า เราไม่ใช่พระพุทธเจ้า
ไม่มีทางทำสำเร็จหรอก ไม่จริง
แน่นอน บารมีทั้ง 10 ข้อนั้น
  มันก็แค่การกระทำของมนุษย์ทั้งนั้น
เพียงแต่ เราจะมีความอดทนพยายามแค่ไหน
ในการทำบารมีต่างหากล่ะ
เมื่อทำได้ก็สำเร็จได้ทุกคนนั่นแหละ 
  แม้ไม่ครบ 10 ข้อก็ถือว่าท่านได้ทำแล้วเพียรต่อไป
  สักวัน 10 ข้อก็จะสำเร็จ ไม่เหลือบ่าฝ่าแรงลมอะไรหรอก
นะจ๊ะเธอจ๋า.....เอาละ ลองมาศึกษาและลองทำดูนะจ๊ะ


ข้อ 1. ทาน คือ การให้ ให้เพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่น
ซึ่งไม่ใช่เราและไม่ต้องหวังผลแห่งการให้
ว่าจะนำพาเราไปสู่วิมานแดนสวรรค์ชั้นไหนๆทั้งนั้น
   ทานนี้ไม่ได้ทำกันง่ายๆนะจ๊ะ ต้องฝึกฝน
  ฝึกฝนตนเองในการรู้จักการเป็นผู้ให้ 
 เช่น มีเงินมากนักก็บริจาค
ซื้ออุปกรณ์ในทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลของรัฐ
  เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยที่ยากไร้ซะบ้าง
  แจกให้คนไม่มีจะกินบ้าง 
  คนแก่ที่ตกทุกข์ได้ยากเพราะถูกทอดทิ้งก็ไม่น้อย
  ให้เขาบ้างเถิดนะ พิจารณากระเป๋าคลังของเราซิ
มีมากน้อยเพียงใด ที่จะพอเหลือเจียดเจือจุน
ให้กับสังคมได้บ้าง นั่นแหละคือ การให้ 
   หมั่นอบรมสั่งสอนลูกหลานให้รู้จักการเป็นผู้ให้
ตั้งแต่ยังเล็กให้ประกอบติดตัวไป
ยามเติบโตภายภาคหน้า 
 ฝึกฝนให้รู้จักการให้ทานนี่แหละ น่าเลื่อมใสนัก
  เขาจะติดนิสัยที่มีจิตใจเมตตาช่วยเหลือผู้อื่น 
  ไม่เห็นแก่ตัวไปจนวันตายเชียวละ

ข้อ 2. ศีล คือ การบังคับตนเองให้มีระเบียบ 
 ประพฤติตนให้ถูกต้อง ทั้ง กาย วาจา ใจ 
 ไม่มุ่งร้าย ทำร้ายหรือทำลายผู้อื่น
  ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม หรือแม้แต่คิดก็ไม่ควร
   คนมีศีลธรรมประจำใจนั้น
น้อยคนนักที่จะเป็นคนเลว 
 เพราะเมื่อมีศีลอยู่กับตัว เวลาจะทำอะไร
ก็หวั่นกลัวเกรงต่อบาป
  จิตใจก็จะอ่อนโยน (แต่ไม่อ่อนแอนะ)
  สังเกตุจากใบหน้าของคนมีศีลซิ จะผ่องใส นุ่มนวล 
 แม้แต่รอยยิ้มก็ทำให้โลกทั้งโลกสว่างไสวได้
   ไม่เชื่อก็ต้องลองรักษาศีลดู
แล้วคุณก็จะได้รู้เองนั่นแหละ .....ฮิๆๆ


ข้อ 3. เนกขัมมะ 
 คำๆนี้คงจะไม่ค่อยเคยได้ยินกันใช่ไม๊ล่ะจ๊ะ
บางท่านอาจจะไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ
   คำๆนี้คือ การหลีกเลี่ยงจากอารมณ์
ซึ่งก็หมายความว่า มีความพยายาม
ที่จะไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ตนเองนั่นแหละ 
  ยกตัวอย่างให้มันจ๊าปหน่อยก็คือ 
  ไม่ตกอยู่ในกามารมณ์(ความอยาก)นั่นเอง
เราต้องรู้จักควบคุมอารมณ์อันศิวิไลนี้
อย่าให้มันกระเจิดกระเจิง
จนเป็นเหตุให้เวลาที่มีค่าของเราหมดไปกับอารมณ์นี้
จนลืมเรื่องอื่นๆไปโดยสิ้นเชิง
(ยากใช่ไม๊จ๊ะ   แข็งใจพยายามหน่อยนะเธอ)
   คนที่ทำข้อนี้ได้ดีทีเดียวต้องยกให้ พระภิกษุทั้งหลาย
   เพราะเมื่อท่านได้ละทิ้งเพศฆราวาสไปแล้ว
ท่านต้องตัดทิ้ง เนกขัมมะ ไปเลยทีเดียวละ
  เพราะท่านได้มองดูแล้วไม่ได้ก่อเกิดประโยชน์ใดๆ
    ส่วนมนุษย์เรานั้น
 ก็เพราะควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้นี่แหละ
จึงเป็นเหตุให้ประชากรล้นโลกมาจนทุกวันนี้ไงเธอ
หากเต็มล้นไปด้วย คนเก่ง คนฉลาด คนดี 
  ก็ไม่ว่ากัน แต่ปัจจุบันไม่ใช่อย่างที่เห็น
  มันเต็มไปด้วยคนไร้สติ ครองสติของตนไม่ค่อยจะได้
ซึ่งเห็นอยู่มากมาย จุดเริ่มต้นมาจากผู้ใหญ่
ซึ่งละทิ้งและมองไม่เห็นความสำคัญของผู้เยาว์
   ไม่ดูแลเอาใจใส่เท่าที่ควร 
 เรื่องนี้น่าเป็นห่วงจริง..จริง (เครียด.)
โปรดนำไปไตร่ตรองกันดูสักนิดเถิด 
 หากเราทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดี
ให้เขานำไปลอกเลียนแบบได้ก็ยังพอช่วยได้บ้าง
ไม่มากก็น้อยละ....
ทาสของอารมณ์ไม่ใช่มีเพียงกามารมณ์เพียงอย่างเดียวนะ
  มีอีกมากมายหลายอย่างเช่น
เป็นทาสแห่งความโกรธ ความอาฆาต 
 ความกลัว และอื่นๆอีกมากมาย
คนเขียนก็ขี้เกียจเขียน คนอ่านก็ขี้เกียจอ่าน จริงไม๊จ๊ะ


ข้อ 4. ปัญญา หมายถึง การรู้ในสิ่งที่ควรรู้ 
 และรู้เท่าที่ควรรู้ ไม่ใช่รู้เพ้อเจ้อมากมาย 
  รู้ไปก็ไร้ค่าใช้ทำประโยชน์อะไรก็ไม่ได้ 
 เพ้อฝันไปเรื่อยเฉื่อย เอาเป็นจริงจังอะไรไม่ได้เลย
  อย่างนี้ไม่เรียกว่ามีปัญญาหรอกนะเธอจ๋า 
    การรู้ในสิ่งที่ควรรู้ก็คือ รู้ในเรื่องที่จะไม่ทำให้เกิดทุกข์
รู้จักแก้ปัญหาของชีวิตที่เป็นสาเหตุแห่งการเกิดทุกข์
   สามารถพิจารณาการกระทำของตนเองได้
ว่าอะไรทำให้เกิดทุกข์ แล้วหลีกเลี่ยงไปให้พ้นซะ
นี่แหละเขาเรียกว่า คนมีปัญญาละ


ข้อ 5. วิริยะ คือความเพียร 
  ไม่ยอมแพ้ พากเพียรเรียนรู้นำไปปฎิบัติให้แล้วเสร็จ
   สร้างสรรผลงานให้เป็นที่ภาคภูมิใจทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น 
 ด้วยความพยายามขจัดอุปสรรคต่างๆให้หมดสิ้นไป
   เช่น พากเพียรให้ตนเองได้ขจัดทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง
ที่นำมาสู่ตนให้สิ้น จนจิตใจสงบนิ่งไม่ดิ้นรน ไม่แสวงหา
   "วิริยะ" สามารถนำมาใช้ได้ในทุกสถานการณ์
ไม่ว่าจะเป็นในทางโลก หรือทางธรรม 
  ขอให้เรามีวิริยะเถิด จะประสบ
ความสำเร็จทุกรายนั่นแหละจ้า.....♥!♥

ข้อ 6. ขันติ คือ ความอดทน ซึ่งคู่กันกับวิริยะ
  ถ้ามีวิริยะแต่ไม่มีขันติก็ไม่สำเร็จ 
   งานทุกชิ้นที่จะออกมาดีจะต้องมาจากความพากเพียร
และความอดทนควบคู่กันเสมอ 
  เฉกเช่น การปฎิบัติตนให้อยู่ในความสงบ
เพื่อแสวงหาความสุขในภายภาคหน้านั้น
ก็ต้องขึ้นอยู่กับวิริยะคือความเพียร
และขันติคือความอดทน ทั้งสิ้น 
 ต้องทน ทนต่อความเมื่อยล้า ทนต่อความเจ็บปวด 
  ทนต่ออะไรต่อมิอะไรมากมายหลายอย่าง
ที่เข้ามากระทบกายใจเรา 
 เพื่อให้เราหมดสิ้นกับวิริยะและขันติ
   แต่เราต้องแน่วแน่ว่าเราต้องทนได้ ต้องรอคอยได้ 
 นี่แหละคือขันติ ความอดทนไงล่ะจ๊ะเธอ..

ข้อ 7. สัจจะ คือ ความจริงใจ
  หมายถึง ความจริงใจต่อตนเองและต่อผู้อื่นด้วย 
    ความจริงใจต่อตนเองคือ จริงใจต่อตนเอง 
 ต่อหน้าที่การงาน ต่ออุดมคติ 
 หรืออุดมการณ์ที่คิดไว้
ความจริงใจต่อผู้อื่น 
  ก็คือความซื่อสัตย์ไงล่ะจ๊ะเธอ ความซื่อสัตย์นั้น
เรากระทำต่อผู้อื่นความหมายก็ชัดเจนอยู่แล้ว
   คนซื่อสัตย์นั้นใครๆ ก็ยกย่องว่าเป็นคนดีทั้งนั้นแหละ 
  ซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น แล้วอย่าลืมซื่อสัตย์ต่อตนเอง
ด้วยนะจ๊ะเธอ.....☺☺☺

ข้อ 8. อธิฎฐาน แปลว่า ใจตั้งมั่น 
 ปักใจมั่นในการที่จะกระทำการใดๆให้สำเร็จ
ตามที่ตนได้คิดเอาไว้ หรือได้มุ่งหวังเอาไว้แล้ว เช่น
เราตั้งใจแล้วว่าเราจะดำรงตนอยุ่ในศีลธรรมอันดีงาม
   ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัว
     เด็กๆตั้งใจมั่นว่าจะเรียนหนังสือให้เก่ง จะเป็นคนดี
จะนำความรู้ที่มีมาพัฒนาชาติบ้านเมืองของเรา 
 ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราตั้งมั่นตั้งใจเอาไว้
  เราก็ทำไปตามที่ใจตั้งมั่น
   และทั้งนี้ทั้งนั้น จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อ
   คิดแล้วต้องทำด้วยก็เท่านั้นเอง 
  แต่หากตนประพฤติปฎิบัติในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความดี 
  ความจริงใจ ก็ไม่อาจเรียกว่า อธิฎฐาน หรอก
นะจ๊ะเธอ......

ข้อ 9. เมตตา คำๆนี้ไม่ต้องอธิบายก็รู้กันไปทั่วแล้วละ
  แค่ได้ยินก็รู้ถึงความรัก.... ความอ่อนโยน
พร้อมที่จะเป็นผู้ให้ด้วยความจริงใจ
  โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ   ความประทับใจที่ผู้อื่นมีให้เรา
ก็เกิดจากความมีเมตตานี่แหละ เ
ข้าใกล้ใครเขาก็จะรับรู้ถึงความอบอุ่น
ที่มีออกมาจากตัวเราทีเดียวละ 
  แต่ความมีเมตตานี้ต้องมีการกระทำร่วมด้วยเสมอ
  ถึงจะรู้สึกได้ว่าเรามีเมตตาจริง...จริง......


ข้อ 10. อุเบกขา คือ ความอดทน 
  ทนได้ต่อแรงกระทบไม่ว่าใครจะว่าอะไร
  หรือยากลำบากเพียงใด ต้องทนให้ได้
  ทนทุกสิ่งทุกอย่างได้และไม่นำพามาให้เกิดทุกข์กับตนเอง
  จนในที่สุดก็จะหมดความอดทน
ทำได้เช่นนี้จึงจะเรียกได้ว่าเรามี "อุเบกขา" แล้วนะจ๊ะเธอ
    อุเบกขาไม่ใช่จะประสบความสำเร็จในตอนจบเสมอไปหรอก
   ความอดทนนั้นเราไม่ควรไปขีดข้อกำหนดไว้ 
 เช่น เรามีเจตนา มีความหวังดีที่จะทำประโยชน์ให้กับคนอื่น
  แต่ไม่สามารถทำสำเร็จ พบกับอุปสรรคมากมาย
  เราก็จะต้องไม่ท้อถอย หรือไม่เป็นบ้าไปกับมัน
   เราต้องนิ่ง ยึดใจให้มั่น อย่าหวั่นไหว
อย่าโลดแล่นไปตามอุบายของอารมณ์
ที่มันก่อประทุขึ้นมาในตัวเราทุกขณะ
นิ่งเสีย เฉยเสีย นั่นแหละ ถึงจะเรียกได้ว่า
 มี "อุเบกขา" แล้วนะจ๊ะเธอ
อย่าเก็บมาทุกข์เสียเอง 
  เราควรแก้ไขไปตามความสามารถที่มีอยู่
  แต่ถ้าไม่สำเร็จก็แก้ไขต่อไปเรื่อยๆ  
สักวันหนึ่งก็จะประสบกับความสำเร็จเอง
นั่นแหละ อย่ารีบร้อน อย่าหวั่นไหว 
  ตั้งสติตั้งมั่นใจดีๆ 
ทุกสิ่งไม่อยู่เหนือความพยายามหรอกจ้า...
ขอเพียงแต่ต้องมีความอดทน อดกลั้น เท่านั้นเอง ......


รวมทั้งหมด 10 ข้อนี้ ลองทำดูนะจ๊ะ 
 แล้วเราจะได้ "บารมี"เป็นการตอบแทน 
 หรือจะเรียกอีกนัยหนึ่งก็คือ "บารมี ทั้ง 10" 
  หากเราประพฤติปฎิบัติได้อย่างครบถ้วนแล้วละก็ 
  นี่แหละคือคำตอบที่ว่า 
"ความสุขคืออะไร และได้มาอย่างไรนั่นเอง" 
 ลองทำดูนะจ๊ะทุกท่าน และขอขอบคุณที่ทนอ่าน
  ขออวยพรให้คุณและครอบครัวประสบแต่ความสุข
และประสบความสำเร็จในการพากเพียรทำ
  "บารมี ทั้ง 10 " ข้อ กันนะคะ
........เอวังค่ะ......












Create Date : 09 กันยายน 2554
Last Update : 23 กันยายน 2557 15:20:33 น.
Counter : 2476 Pageviews.

1 comment
(•‿•)✿ ...ช่วยหยุดฉันที...ฉันเหนื่อยแล้ว....✿



"กรรม" คำๆนี้ไม่รู้ว่ามันเกิดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ 
 แต่ในความคิดของฉันว่ามันเกิดขึ้นมา
พร้อมกับตัวตนของมนุษย์นี่แหละ
  และมันมาพร้อมกับทุกๆ ชีวิต
ที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้ด้วยแน่นอน
   เริ่มตั้งแต่ลืมตาดูโลกใบนี้
หากชีวิตที่เกิดมาไม่ครบถ้วน
ตามที่เขาเรียกว่า อาการ 32 ของมนุษย์ 
 ผู้คนที่พบเห็นก็จะช่วยกันพูดว่า
  คนๆนี้มีกรรมมาแต่กำเนิด 
 แถมยังเหมารวมไปอีกว่าชาติที่แล้ว
คงจะทำบาปทำกรรมไว้มากมาย 
  ชาตินี้จึงต้องเป็นเช่นนี้
ไม่เห็นมีใครสักคนที่จะพูดว่า 
  คนๆนี้เกิดมาก่อนที่เซลล์ต่างๆ
 ในร่างกายจะสร้างร่างกายให้ครบถ้วน
   ตามหลักวิทยาศาสตร์แห่งโลกปัจจุบันนี้
และที่พากันร่ำเรียนเพื่อรู้จริง แสวงหาเพื่อรู้แจ้งกัน
   แต่ถ้าหากเกิดมาแล้วอยู่ในตระกูลรวย 
 เขาเรียกคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด 
 ก็จะต้องพูดกันว่าคนๆนี้ชาติที่แล้วทำบุญมาดี
  ชาตินี้เกิดมาจึงสบาย เฮ้อ....ก็ว่ากันไป
นี่ไง...สิ่งเหล่านี้เพียงแค่เกริ่นก็จะรู้แล้วว่า
เขาเอาจากไหนมาพูด จะที่ไหนซะอีกล่ะ
ถ้าไม่ใช่ เนื้อหาในพระพุทธศาสนา 
 ที่สั่งสอนให้คนทำแต่กรรมดี
สอนให้รู้จักกรรมดี กรรมชั่ว 
 สอนให้รู้จักทุกข์ แต่ถ้าเป็นเรื่องสุขแล้วละก็
ยังไงๆ   พระท่านก็ต้องให้ช่วยตัวเองนั่นแหละ
   ตัวเองไม่ช่วยตัวเองแล้ว
จะค้นพบความสุขได้อย่างไรเล่า .......จริงไม๊จ๊ะเธอ


ทุกชีวิตที่เมื่อลืมตาดูโลก 
 มีชีวิตเจริญเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ
ในโลกอันชุลมุนวุ่นวายนี้ 
 ลองนั่งนึกนั่งสังเกตุดูซิ วุ่นซะไม่มีละ....
ไม่ว่าจะเรื่องกิน เรื่องนอน เรื่องเรียน เรื่องเที่ยว 
 หรือเรื่องอะไรต่อมิอะไรมันก็แลวุ่นไปซะหมด.... 
 น่าเหนื่อยนะ แต่เราไม่รู้ตัวหรอกว่าเราเหนื่อย
เพราะเมื่อเรามีอะไรแล้ว เราก็อยากจะมีอีก
และจะต้องมีให้มากกว่าเดิมหรือดีกว่าเดิม
  มีไปเรื่อยๆ   ไม่รู้จักพอสักที 
 เมื่อได้มาสมความปรารถนาแต่ละครั้งก็จะปรีดิ์เปรม 
 ยินดีไปซะหมด แถมบางคนยังไม่แค่นั้น 
 ยังชมตัวเองซะอีกว่า เก่งซะไม่มีใครเทียมละ เหอๆๆๆ
   ก็ว่ากันปาย ความเหนื่อยไม่มีปรากฎเลย
มุ่งมันไปข้างหน้าเรื่อยๆไม่ยอมหยุด
  ส่วนคนที่ไม่มีหรือไม่ได้ตามใจปรารถนา
ก็จะเริ่มแสดงอาการอ่อนล้า เหนือยหน่าย 
 หมดกำลังใจมันไปซะงั้น 
 โอ๊ย...อะไรกันนักกันหนาล่ะเนียะ 
  หยุดซะทีได้ไม๊ แค่คิดก็เหนื่อยจะแย่แล้วละนะเธอ
   และกว่าจะคิดได้น่ะคุณเอ๋ย เขาเรียกว่า...
ไม่เจ็บ...ไม่เจอ...ไม่รู้สึกตัวหรอก 
  เหนื่อยไม๊จ๊ะ พอได้หรือยัง ที่มีอยู่เมื่อนำมาพิจารณาแล้ว
ก็น่าจะเกิดการเพียงพอได้แล้วนะ
  แค่ตัวเองก็พอว่านี่ยังไปห่วงคนโน้น คนนี้ 
 ลูกหลานรัชทายาทรอบตัวเองอีก 
 อย่างนี้หมดลมหายใจก็ยังไม่หายเหนือยหรอกนะขอบอก
   แล้วจะเรียกร้องให้ใครช่วยหยุดให้ได้ล่ะ 
 ตัวเองยังไม่รู้จักหยุดแล้วใครที่ไหนจะหยุดคุณเธอได้น๊อ.....
อมิตพุทธ

เอาละๆ เข้าเรื่องกันซะทีนะเธอ มา..มานั่งตรงนี้ 
 นั่งนิ่งๆ นิ่งทั้งตัว นิ่งทั้งใจ ตามดูใจไป
ว่าขณะกายนั่งนิ่งๆ น่ะคุณเธอโลดแล่นไปไหนแล้ว 
 ตามดูไปนะไม่ต้องไปทักท้วงเธอหรอก 
 แล้วค่อยๆนำเธอกลับเข้ามานั่งอยู่กับเราบ้าง 
 ดูกายเราบ้างถามเธอซิว่าเห็นไหม 
 กายน่ะเหนื่อยล้าเต็มทนแล้วนะ 
  หยุดเสียทีเถอะฉันเบื่อตามเธอแล้วละ 
 ช่วยหยุดดูแลกายฉันบ้าง อยุ่กับตัวฉันนะ อยู่นานๆ
  อย่าโลดแล่นไปเที่ยวไหนอีก
เธอมัวแต่โลดแล่นไปโน่นไปนี่ไม่หยุด
  ดูซิทำไมเธอถึงไม่สงสารกายบ้างนะ
ดูแลกายฉันให้ดีๆซิ ไหนว่ารักกันนักรักกันหนา
  เกิดมาพร้อมกันเหมือนคู่แฝดไง 
 ทำไมจึงสนุกสนานแต่ผู้เดียวล่ะ 
 มันไม่ยุติธรรมเลยนะเธอจ๋า
หากเธอไม่ยอมหยุด กายฉันก็จะไม่ยอมหยุด
  อยากรู้นักว่าหากกายฉันมันอ่อนล้าหมดแรงลาโลกไป
   เธอจะอยู่อย่างไร นี่ไม่ได้ขู่นะ แต่เตือนเธอเท่านั้น 
  ช่วยหยุดเสียที หยุดความอยาก 
 หยุดตัณหาทั้งหลายทั้งมวลเสียเถอะ 
  แล้วมาอยู่กับกายฉันตลอดไปไม่ไปไหน
  ดูแค่กายฉัน ตรวจดูซิว่าลมหายใจของฉันน่ะ
เข้าออกอย่างไร เร็วช้า ช่วยฉันพิจารณาด้วย
กายฉันเหนื่อยเหลือเกินแล้ว 
  ใจ..เธอไม่เหนื่อยเลยหรือไรจ๊ะ 
 หากเธอนิ่งอยู่กับกาย นิ่งสนิท ไม่โลดแล่น 
 เธอก็จะหยุดตัณหาทั้งหลายทั้งปวง
ที่มันเกิดขึ้นกับเธอไม่รู้จักจบเองนั่นแหละ


หากเธออ้างว่าเธอหยุดไม่ได้ 
 และไม่สามารถหยุดได้จริงๆ
เธอก็ลองใช้กลอุบายซิ
  เพื่อจะช่วยหยุดใจเธอไงจ๊ะ ลองซิ 
 ลองนั่งดูลมหายใจเข้า (พุทธ) ลมหายใจออก (โธ) 
 ลองดูซิพร่ำไปเรื่อยๆชอบไม๊ เพลินไม๊ 
 ถ้าไม่ถูกจริตไม่ชอบก็เปลี่ยนได้นะ ใช้อะไรก็ได้
เข้า(หนอ)ออก(หนอ) ก็ได้ 
 หากไม่พอใจก็เปลี่ยนได้อีกนั่นแหละเปลี่ยนจนพอใจ
จนรู้ว่าเธอนิ่งได้แล้ว เธอสามารถตามลมหายใจได้แล้ว
  สบาย สบาย นิ่ง นิ่งสนิท เป็นอันใช้ได้แล้ว 
 หยุดพักตัวเองเป็นแล้ว พยายามหยุดบ่อยๆนะ
เธอจะได้หายเหนื่อย หายฟุ้งซ่านไง
   มันดีจริงๆ นะ หมดความอยากทั้งหลายทั้งปวง 
 พอใจแค่นี้ มันสุขจริงๆนะ ลองดู
เธอลองชวนกายชวนใจสมัครสมานร่วมกันทำดูนะ
  ทำบ่อยๆ  มันจะเคยชิน และจะพบว่าที่เขาเรียกว่า
 "ความสุข" นั้นมันเป็นเช่นไร ไงจ๊ะ 
 ไม่ต้องร่ำร้องให้ใครช่วยหยุดเราหรอก 
 เราหยุดตัวเราเองได้จ้า.....เอวัง นะจ๊ะ....



Create Date : 08 กันยายน 2554
Last Update : 23 กันยายน 2557 20:08:37 น.
Counter : 1573 Pageviews.

2 comment
(•‿•)✿ ไม่เห็นทุกข์.....ไม่เห็นธรรม ......
เกริ่นหัวข้อตรงๆ แบบนี้แหละ 
 ใครจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ไม่รู้
แต่ที่แน่ๆ เป็นเช่นนี้เกินครึ่งในยุคปัจจุบัน
   คนสมัยก่อนโน้นเรื่องธรรมะต้องมาก่อน
   มีการอบรมสั่งสอนลูกหลานให้รู้จักธรรมะ 
 รู้จักใดควร ไม่ควรแต่ปัจจุบันนี้
จะเหลือการอบรมเช่นนี้ก็เพียงส่วนน้อยเสียแล้ว 
 น่าเสียดายจัง เพราะถ้ามีการอบรมกันมาแต่เด็กแล้ว
ทุกคนจะเกรงกลัวต่อบาป ต่อการกระทำความผิด
  ทำให้ผู้อื่นต้องเกิดทุกข์ มีจิตใจที่อ่อนโยน
และไม่ทำร้ายผู้อื่นไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
   ไม่เห็นแก่ตัวเอง แต่ก็นั่นแหละทุกคนก็อ้างว่า
โลกเราพัฒนา โลกเราเจริญแล้ว
  เราเฝ้าสังเกตมาตลอดอายุที่ผ่านมานี้ก็พบว่า 
  โลกพัฒนาขึ้นมากจริงๆ แต่พัฒนาวัตถุนะ
  ไม่ได้พัฒนาจิตใจแต่อย่างไร
หรืออาจจะเป็นเพราะมนุษย์ที่มีมันสมอง
ในการคิดค้นวัตถุต่างๆลืมมองตนเอง
ว่าควรจะพัฒนาจิตใจมนุษย์ไปพร้อมๆกันด้วย
  ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นการพัฒนาที่สมบูรณ์แบบที่สุด 
 ยิ่งเจริญรุ่งเรืองทางด้านวัตถุมากเท่าไร 
  ความเสื่อมทางด้านจิตใจของมนุษย์ก็ยิ่งทวีคูณ ขึ้นเท่านั้น

ในโลกยุคปัจจุบันเต็มไปด้วยคนเห็นแก่ตัว
   คนเอารัดเอาเปรียบคนที่ด้อยกว่า คนฉวยโอกาส 
 และคนที่ทำร้ายเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง
สาเหตุใหญ่ๆ ก็ไม่มีอะไร ทุกคนต้องการเงิน
  เพราะคิดว่าเงินเป็นทุกสิ่ง ทุกอย่าง 
  เงินซื้อชื่อเสียงก็ได้ ซื้ออะไรต่อมิอะไรก็ได้ 
 แถมยังซื้อคนก็ได้ด้วย มันน่าอัศจรรย์จริงๆ 
   แต่ที่แน่ๆ เงินไม่สามารถซื้อหรือยื้อชีวิตของคน
ให้อยู่ตลอดไปโดยไม่มีการตายได้ 
 ข้อนี้น้อยคนที่จะคิดได้
และกลับตัวกลับใจไม่เป็นทาสของเงิน 
 ว่างๆก็ลองนั่งนึก นั่งไตร่ตรองดูก็ได้ว่า
เงินนั้นมันมีคุณเมื่อไร และมันให้โทษอย่างไร
   เฮ้อ....แต่กว่าจะนึกได้
ชีวิตก็ปาเข้าไปค่อนคนแล้วละ
   ทีนี้ละเมื่อเห็นทุกข์กันก็เริ่มจะไขว่คว้า
หาธรรมะเข้ามาปลอบประโลมใจกันละ
   แต่ก็ยังดีใจนะเพราะนี่แสดงให้เห็นว่า
จิดใจคนไทยนั้นก็ยังมีธรรมะครอบครองอยู่ 
  เพียงแต่มันจะถูกเก็บไว้ลึกเท่าใดก็เท่านั้นแหละ.....
ไม่อาจจะหยั่งรู้?????? ♪♪♪♪♪

มนุษย์เราในปัจจุบันนี้
  มีการแสวงหาธรรมกันหลายรูปแบบ
บางคนก็มีจิตใจที่มุ่งมั่น เอาเป็นเอาตาย
กับการปฏิบัติธรรม อยากบรรลุเป็นพระอรหันต์
  จนบางครั้งสติแตกนึกว่าตนบรรลุธรรมแล้ว
  สามารถเห็นอะไรต่อมิอะไรที่คนธรรมดาไม่สามารถเห็นได้ 
 โอ้...อนิจจา...น่าสงสารแท้ๆ นอกจากจะไม่ได้อะไรแล้ว
ยังเสียเวลาอีกต่างหากนะเธอ...

แต่บางคนก็เข้าท่านะ ค่อยๆเรียนรู้ไปเรื่อยๆ
  ไม่รีบร้อน ไม่เร่งรัดตัวเอง
  ปฏิบัติตามที่อาจารย์ที่สอนธรรมะสอนให้ปฏิบัติ 
 เคร่งครัดจริงจังอยากให้ตนพ้นทุกข์ 
  อยากจะมีแต่ความสุข ว่างั้นเถอะ
แต่อนิจจาเธอลืมไปว่าที่เธอเรียกว่าทุกข์นั้นมันเกิดจากอะไร 
  หาสาเหตุแห่งการเกิดทุกข์
ตามหลักพระพุทธศาสนาท่านสอนไว้ก่อนนะเธอจ๋า 
  หาให้พบก่อนนะจ๊ะแล้วค่อยๆดับสาเหตุ
แห่งการเกิดทุกข์นั้นให้ได้เสียก่อน
  นั่นแหละสุขก็จะตามมานะเธอนะ 
  ท่านอาจารย์ทุกท่านท่านก็ปรารถนาดี
สอนให้เราปฏิบัติให้ถูกต้อง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น
เราเองก็ต้องช่วยตัวเราเองด้วยนะจ๊ะ 
 เพราะเหตุแห่งทุกข์ของเราน่ะ 
 ไม่มีพระอาจารย์ที่ไหนท่านจะหยั่งรู้ได้ดอก 
 นอกจากตัวเราเอง เมื่อหาเหตุได้แล้ว
ก็ปฏิบัติไปตามขั้นตอนที่ท่านได้อบรมสอนสั่งเถิด 
 ท่านอาจจะพ้นทุกข์และพบกับความสุขได้แน่จ้า.....อมิตพุทธ...


ทีนี้พอรู้หรือยังล่ะ ธรรมะน่ะไม่มีอะไรยาก
การปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติอย่างสบาย...สบาย 
  ไม่บังคับตนเองเกินไป เพราะการบังคับนอกจากไม่ช่วยแล้ว
ยังเพิ่มทุกข์อีกแน่ะ เพิ่มอย่างไรหรือ....
ก็อยากพ้นทุกข์ไวๆ  เมื่อมันไม่พ้นซะที
ก็เกิดทุกข์เพิ่มขึ้นอีกก็เท่านั้น 
   ลองปฏิบัติด้วยตนเองก่อนปะไร 
  ปฏิบัติที่ๆเราอยู่นั่นแหละ ยังไม่ต้องไปที่ไหนหรอก
ก่อนอื่นใช้เวลายามที่เราไม่ต้องทำอะไรแล้ว
  หมดภาระหน้าที่แล้ว ถึงเวลาที่เราจะได้พักผ่อนแล้ว
  ไม่มีใครรบกวน ตอนนี้แหละเหมาะมากเลยนะจ๊ะ
ลองนั่งเหมือนกับนั่งสมาธิดูซิ ทำจิตให้นิ่งๆ  อยู่กับตัวเอง
มองตัวเองดูให้รู้ว่าวันนี้เราทำอะไรไปบ้าง 
  และสิ่งที่ทำไปอะไรมันทำให้เราเกิดทุกข์
อะไรมันทำให้เรามีความสุข 
 พิจารณาอย่างยุติธรรมดูซิ ไม่มีใครรู้กับเราหรอกนะ
ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าข้างตนเองหรอก
  ตำหนิตนเองได้ชื่นชมตนเองได้ 
 ไม่มีใครเขามารับรู้กับเราหรอกนะจ๊ะ 
 ลองอบรมสั่งสอนตนเองและสัญญากับตนเอง
ว่าจะไม่ทำการใดๆที่จะเป็นเหตุก่อเกิดทุกข์อีกแล้ว 
 ทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น ทำทุกวันจนชำนาญ
  รู้เหตุแห่งทุกข์ได้แล้วนั่นแหละ
   จึงค่อยไปหาอาจารย์สนทนาธรรมกับท่าน 
 ท่านอาจจะมีกลเม็ดเด็ดๆ
 ให้เรากลับมาปฏิบัติอีกมากมายก็ได้นะจ๊ะ ต้องลองดู

ทีนี้พอรู้หรือยังล่ะ ขั้นต้นแห่งการปฏิบัตินั้น
ต้องทำกับตนเองก่อน เมื่อชำนาญหรือพบข้อกังขาใดๆ
ที่เราไม่อาจจะมีคำตอบให้กับตัวเราเองได้แล้ว
  ก็จงเก็บรวบรวมไว้ เมื่อถึงครา
ที่จะต้องไปพบและมีโอกาสได้สนทนาธรรมกับพระอาจารย์แล้ว 
  จงหยิบยกข้อกังขาเหล่านั้นออกมาเป็นปุจฉา เถิด
   แล้วท่านก็จะได้รับคำตอบที่กระจ่างชัดกลับมา
   แต่โปรดจำไว้ว่า ธรรมะต้องดำเนินไปโดยเรียบง่าย
  ไม่บังคับหรือไม่เร่งรีบ สบาย สบาย 
  ใจสบาย อยู่กับตัวเองให้ได้ก่อน
จึงค่อยโบยบินไปหาอุบายต่างๆ 
ที่จะทำให้เราพ้นทุกข์เพิ่มเติมต่อไป...เอวังนะจ๊ะ








Create Date : 07 กันยายน 2554
Last Update : 20 กันยายน 2557 21:35:22 น.
Counter : 1461 Pageviews.

2 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ