ความรู้สึกของน้องม๋า...



1. ชีวิตของฉันอย่างมากก็จะสิ้นสุดเพียงแค่ 10-15 ปีเท่านั้น การต้องแยกจากเธอไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ นับเป็นความปวดร้าวอย่างยิ่งของฉันจึงโปรดสังวรให้จงหนัก..ก่อนจะรับฉันเข้ามาในชีวิต


2. ให้เวลากับฉันสักหน่อยเพื่อทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าเธอต้องการอะไรจากฉัน


3. จงเชื่อมั่นในตัวฉันเพราะเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับความเป็นอยู่ของฉัน


4. อย่าโกรธฉันให้นานนัก และอย่าลงโทษฉันด้วยการกักขัง เธอมีทั้งหน้าที่การงาน ความบันเทิง และมิตรสหาย แต่ฉันนั้น.....มีเพียงเธอ


5. พูดกับฉันบ้างแม้ฉันจะไม่เข้าใจคำพูดแต่ฉันก็เข้าใจเธอได้จากน้ำเสียง



6. พึงระลึกอยู่เสมอว่า...ไม่ว่าเธอจะปฏิบัติอย่างไรต่อฉัน ฉันจะไม่มีวันลืมเธอเลย



7. โปรดอย่าทุบตีฉัน เพราะแม้ฉันจะทุบตีเธอกลับไม่ได้ แต่ฉันก็สามารถกัด หรือข่วนตะกุยเธอได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันไม่อยากกระทำเลย


8. ก่อนจะดุด่าฉันสำหรับท่าทีที่คล้ายไม่เชื่อฟัง ดื้อดึง เกียจคร้าน ขอจงได้ถามตัวเธอเองก่อนว่า เกิดสิ่งผิดปกติกับตัวฉัน หรือไม่บางทีอาจจะมาจากเรื่องของอาหารหรือถูกทิ้งไว้กลางแดดนานเกินไป...หรือหัวใจของฉันแก่ชราและอ่อนล้าเสียแล้ว


9. ดูแลฉันเมื่อยามแก่เฒ่าด้วย เพราะวันหนึ่งเธอก็ต้องเป็นเช่นนั้น


10. อยู่กับฉันเมื่อช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมาถึง ขออย่าได้พูดเป็นอันขาดว่า... ฉันทนดูไม่ได้ ขออย่าให้มันเกิดขึ้นต่อหน้าเลย เพราะเรื่องราวทั้งหมดจะง่ายขึ้นหาก ...เธออยู่ด้วย...




 

Create Date : 03 มกราคม 2553    
Last Update : 3 มกราคม 2553 23:04:32 น.
Counter : 487 Pageviews.  

จะมีสักคนมั้ย??

สองสามวันก่อน แม่ป่วย...

ผู้หญิงใจแข็งคนนี้ ยืนกรานว่าจะไม่ไปโรงพยาบาลโดยเด็ดขาด เธอกินยาจีน พักผ่อนอยู่บ้าน

เสียงบ่นของแม่...หายไป กลับมีเสียงของใครอีกคนขึ้นมาแทน...เสียงของพ่อ

พ่อที่ปกติแล้วลูกๆ ทุกคนลงมติว่า...ดุ และเงียบขรึม
วันนี้พ่อกลายเป็นผู้ชายขี้บ่นไปซะแล้ว...

พ่อบ่นทั้งวันและทุกวัน เรื่องที่บ่นก็มีอยู่เรื่องเดียว...บ่นแม่
พ่อบ่นว่า แม่ไม่ยอมไปหาหมอ แต่...คนขี้บ่นนี่แหละ ที่ไปปรึกษาเภสัชกรที่ร้านขายยา

ซื้อหายาอมแก้เจ็บคอ ยาแก้ไข้ที่แม่ใช้ประจำมาวางไว้ให้ข้างเตียง

พ่อ...ที่ปกติชอบออกไปหากับข้าวแปลกๆ ข้างนอกกิน เป็นกิจวัตร บ่นว่าเบื่อกินข้าวที่บ้าน

แต่...พ่อก็สั่งฉันไปซื้อกับข้าวที่ร้านโปรดของแม่มากินที่บ้าน เพียงเพราะไม่อยากให้แม่อยู่บ้านคนเดียว

แม่แตะกับข้าวได้คำเดียว...เอาใจพ่อ ทั้ง ๆ ที่ฉันก็ว่ากับข้าวอร่อยดี

แต่...พ่อกลับว่า วันนี้เชฟฝีมือตก ทำไม่อร่อย...เลยไม่ถูกปากแม่

แล้ววันนี้...แม่อาการดีขึ้น

ลุกขึ้นมาเดินเหินได้นิดหน่อย บ่น...อยากกินแครกเกอร์กับโกโก้ร้อน

แต่...ของแห้งที่บ้านหมด รวมทั้งแครกเกอร์ยี่ห้อโปรดด้วย
พ่อ...ผู้ชายที่แสดงออกตลอดเวลา...ว่าเกลียด การเดินซูเปอร์มาเก็ต

บอกลูก ๆ ว่าน้ำส้มของพ่อหมด ไปซื้อกันเถอะ

พวกเราอมยิ้ม ผู้ชายปากแข็ง...จะบอกว่าไปซื้อของให้แม่ก็ไม่ได้ ต้องอ้างยังโน้นยังงี้

แต่...แค่ย่างเท้าเข้าห้างสรรพสินค้า คนจะซื้อน้ำส้มแต่เดินหา...แครกเกอร์ เฮ้อ...

พ่อ...มีโรคประจำตัว...โรคหัวใจ พ่อต้องเดินช้าๆ เพราะไม่อยากให้หัวใจทำงานหนักเกินไป

แต่ในซุปเปอร์มาเก็ตวันนี้ พ่อเดิน...เข้าช่องโน้น ออกช่องนี้ เพราะแม่กินได้แต่ข้าวต้ม

ข้าวต้มซองชนิดมีเครื่องกับพร้อมปรุงถูกพ่อกวาดมาทุกชนิด
เครื่องข้าวต้ม...ทั้งผักดอง ผักกระป๋อง

พ่อหยิบทุกขวดทุกกระป๋องมาอ่าน...หายี่ห้อที่แม่ชอบ

ความจริงจะสั่งฉัน ให้ไปหาซื้อน่าจะง่ายกว่านะ แต่พ่อก็เลือกที่จะทำเอง

เพราะพ่อเลือกของเหล่านั้น...ด้วยความรัก ฉันทำได้แค่เข็นรถตาม...

แต่แค่นี้ก็ยากแล้วนะ เพราะเข็นตามไม่ทันสักที.....

ถ้าเทียบกับใจที่ไปถึงชั้นวางขวดผักดองเรียบร้อยแล้ว ของผู้ชายตรงหน้า

หลังที่เริ่มคุ้มงอตามวัยของพ่อนำอยู่ข้างหน้าลิ่วๆ
ตาของพ่อ...ที่มีไว้มองผู้หญิงคนเดียวในชีวิต มองหาแต่สรรพสิ่งที่เหมาะกับแม่

ณ วินาทีนั้น ฉันอิจฉา...อิจฉาผู้หญิงที่นอนป่วยอยู่ที่บ้าน
อิจฉาแม่ตัวเอง เพราะพ่อที่ลูกๆ คุ้นเคย คือผู้ชายที่ไม่เคยแคร์ใคร...

กับลูกๆ...เรารู้...พ่อรัก เพราะพ่อแสดงออกกับเราเสมอ
หากกับแม่...พวกเราเพิ่งรู้...พ่อห่วงแม่มากมาย
คงเพราะปกติเราเห็นแต่แม่ที่คอยดูแลพ่อ
โรคประจำตัวพ่อเยอะแยะนี่นา

แม่...ซึ่งเป็นผู้หญิงที่แข็งแรง อึด...ในสายตาพวกเรา
ยามเมื่อได้รับการดูแลจากพ่อ ดูเหมือนจะซึ้งไม่ต่างจากเรา
คนซึ่งร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดสี่สิบห้าปี ดูแลกันและกันยามป่วยไข้

คงไม่มีอะไรน่าชื่นใจไปกว่านี้แล้วมั้ง

ฉันหันมามองรอบตัว

สักวันข้างหน้า...ยามเมื่อชีวิตได้ผ่านวันเวลา
ทั้งความสุข ความทุกข์ ความโศก

จะมีใครสักคนมั้ย...ที่ยืนข้างๆฉัน ดูแล...ยามที่ฉันป่วยไข้

จะมีใครสักคนมั้ย...ที่จำได้ กับแค่แครกเกอร์ยี่ห้อโปรดของฉัน

จะมีใครสักคนมั้ย...ที่ยอมเดินฝ่าฝูงคนพลุกพล่าน ที่ตัวเองแสนเกลียด

เพียงเพื่อเครื่องกระป๋อง... ที่อยากจะเลือกสรรแต่สิ่งดีๆเพื่อคนอันเป็นที่รัก

จะมีใครสักคนมั้ย...ที่ส่งยาอมแก้เจ็บคอให้ฉัน พร้อมกับบอกว่า คราวก่อนเจ็บคอ กินแล้วหาย นี่ยังเหลือ เอาไปกินสิ
ทั้ง ๆ ที่ยาอมหลอดนั้น มันยังไม่ได้แกะ!!




 

Create Date : 17 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2552 15:44:55 น.
Counter : 330 Pageviews.  

คนที่ใช่กว่า...


เรามีเรื่องของคู่รัก 2 คู่มาเล่าให้ฟัง …
ทั้ง 2 คู่ต่างก็เป็นคู่รักที่รักกันมาก
ดูแลเอาใจใส่และเข้าอกเข้าใจกันมานาน 7- 8 ปี
เป็นคู่รักที่คนรู้จักต่างก็แน่ใจว่า
อีกไม่นานก็คงได้ยินข่าวดีจากคู่รัก 2 คู่นี้แน่ๆ

แต่แล้ววันนึงก็เกิดเหตุการณ์เดียวกันขึ้นกับคู่รักทั้ง 2 คู่



….. เมื่อฝ่ายชายก็ได้พบใครใหม่ที่คิดว่า 'ใช่' มากกว่า
ผู้หญิงคนใหม่ที่สวยกว่าและมีเสน่ห์มากกว่า
ฝ่ายชายตัดสินใจคบดูใจด้วย โดยที่ยังไม่เลิกกับคู่รักเดิม ….
ยิ่งคบเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าใช่
ผู้หญิงคนใหม่ที่คบกันมา 2 - 3 เดือน กับคนรักคนเดิมใน 7- 8 ปีที่ผ่านมา
เริ่มถ่วงดุลน้ำหนักที่เท่ากันบนตาชั่งการตัดสินใจขอ งเขา
ทายสิว่า ชายหนุ่มทั้งคู่เลือกใคร



เขาทั้งคู่เลือกผู้หญิงคนใหม่ ….
สิ่งที่ผู้ชายทั้งคู่ต่างหยิบยกมากล่าวถึงก็คือ คนรักคนเดิมที่เคยคบด้วย
มีอะไรบางอย่างที??เขาไม่ค่อยชอบใจ อาจจะเป็นนิสัยส่วนตัวบางประการ
แต่ในขณะที่คบกันมานั้น
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาพอรับได้เมื่อเทียบกับความดีอื่นๆ ที่เธอทำให้เขา
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความรักอย่างหมดใจที่เธอมีให้เข า
แต่วันนึงที่พบผู้หญิงคนใหม่ อะไรที่เคยทนได้ก็กลับทนไม่ได้ขึ้นมา
โดยเฉพาะเมื่อผู้หญิงคนใหม่ไม่ได้มีข้อเสียในจุดนั้น เหมือนคนรักเก่า




แต่ข้อแตกต่างอยู่ที่ … ผู้ชายคนที่ 1
ถูกคนรักของเขาจับได้เองว่าเขามีผู้หญิงคนใหม่
และเมื่อขาบอกว่าเ ขาเลือกผู้หญิงคนใหม่ เขาให้เหตุผลว่า
' เขาดีกว่าคุณทุกอย่าง เขาคอยดูแลผม
เขาเข้าใจผม(และที่สำคัญเขาสวยกว่า และใหม่กว่าคุณด้วย) '



ส่วนผู้ชายคนที่ 2 … เลือกสารภาพก! ับคนรักว่า
' ผมเป็นคนผิดเองที่นอกใจคุณ แต่คนที่ผมเลือกก็เป็นเขา
ขอโทษนะ ผมผิดเอง ขอโทษจริงๆ'



ถามคุณว่า ถ้าต้องเลือกระหว่างการปฏิบัติของผู้ชาย 2 คนนี้
…. แบบไหนที่ดูเป็น ' ลูกผู้ชาย' มากกว่ากัน
แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ถ้ามีทางเลือก … ผู้หญิงเราคงไม่เลือกสักทาง จริงไหม
เพราะถ้าเราเลือกได้จริงๆ เราก็ขอเลือกให้เขามีเราคนเดียวมากกว่า
เราเชื่อว่า สิ่งที่คนส่วนใหญ่(อาจจะไม่ทุกคน … แต่ก็เชื่อว่าเป็นจำนวนมาก)
ต้องการมากที่สุดในการตัดสินใจที่จะรักและใช้ชีวิตอยู่่ร่วมกับใครสักคนแล้ว
ก็คือความ'จงรัก' และ'ภักดี'



คุณทมยันตี เคยกล่าวถึงคำทั้ง 2 คำไว้ และเราสรุปเป็นใจความได้ว่า
' จงรัก' อาจจะมากมายในวัยหนุ่มสาว
อาจจะร้อนแรง อาจท่วมท้นในยามแรกรัก!
แต่วันนึงอาจจะจืดจางได้ตามกาลเวลา
แต่คนรักคู่ใดๆในโลกก็มักเริ ่มชีวิตคู่ด้วยคำๆ นี้
แต่ 'ภักดี' นั้นชั่วชีวิต
ความจงรักหรือความรักนั้น เราเชื่อว่ามันไม่เข้มข้น ร้อนแรงตลอดไปก็จริง
แต่มันคงเหลืออวลไอเป็นใยบางๆ ไว้ตราตรึงใจบ้างกระมังในยามที่เราหวนนึกถึงมัน
แต่การที่คนสองคนอยู่กันมานานแสนนานขนาดนี้ ย่อมต้องมีความผูกพัน
ความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจซึ่งกันและกันบ้างไม่มากก็น้อย




สิ่งที่เราเห็นจากคู่รักทั้ง 2 คู่ก็คือ
… ฝ่ายชายหมดความ 'จงรัก' ลงไป
แต่ความรู้สึกอื่นๆ ล่ะ ความผูกพันของคนสองคน ความเห็นอกเห็นใจ
ความเข้าอกเข้าใจที่เคยมี มันไม่เหลือพอที่จะผูกใจเขาให้อยู่กับเราแล้วหรือ
คู่รักทั้ง 2 คู่ เป็นคู่ที่เรารู้จักดีทั้ง 2 คู่ ตอนที่เขารักกัน
เขาก็รักกันมาก เขาดูแลกันเป็นอย่างดี ตอนนี้เมื่อถึงจุดแตกหัก
เราพอรู้ว่าฝ่ายหญิงจะเป็นอย่างไร
พอเข้าใจว่าผู้หญิงที่รักและภักดีต่อฝ่ายชายแต่เพียง ผู้เดียวจะรู้สึ กอย่างไร
ผู้หญิง 1 ใน 2 คนนี้บอกกับฝ่ายชายตอนที่เขามาขอเลิกว่า


' ไม่เป็นไร ฉันจะอยู่กับคุณก่อน จะอยู่ดูแลคุณอีกสักพักเพราะตอนนี้
คนรอบข้างคุณและ! เพื่อนๆ ของเราไม่ค่อยมีใครอยู่ข้างคุณแล้ว
พอเพื่อนๆ ของเรายอมรับผู้หญิงคนใหม่ของคุณได้แล้วฉันก็จะไป'




แต่ฝ่ายชาย เราไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะคิดอย่างไร
อาจจะกำลังมีความสุขกับผ ู้หญิงคนใหม่ ความรักอาจกำลังท่วมท้น
อาจกำลังวางแผนสร้างอนาคตที่สดใสกันอยู่
เขาอาจจะมีความรักที่รุ่งโรจน์กว่าที่ผ่านมาก็เป็นได้
เราก็หวังไว้แต่ว่าวันนึง เขาคงจะไม่เจอคนที่ 'ใช่มากกว่า' อีก
เพราะนั่นหมายถึง ผู้หญิงที่ต้องเสียใจจะเพิ่มขึ้นอีก 2 คน




ถ้าเราคิดจะมองหาคนที่ถูกใจ คนที่ 'ใช่' คุณเชื่อไหมว่า
เราหาได้เกือบชั่วชีวิต
แต่คนที่จะตรงใจคุณจริงๆ 100% นั้น ไม่มีหรอก
นอกจากคุณจะหยุดความต้องการที่ไม่มีข้อสิ้นสุดของตัว คุณเองลง
เราเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา ไม่ได้ต้องการบอกว่าใครผิดใครถูก
แต่ต้องการให้คุณหยุดคิดสักนิดว่า อะไรในชีวิตที่คุณต้องการ
อะไรที่เป็นสิ่งที่ยั่งยืนกว่ากัน
มนุษย์เรา หากจะรักและคิดจะใช้ชีวิตร่วมกับใคร
ก็คงจะต้องการเพียงแต่ ' เพื่อนคู่ชีวิต' สักคน
คนที่อยู่กับเราเสมอไม่ว่ายามทุกข์ยาก ลำบาก
หรือผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน
คนที่มองเห็นข้อเสียและข้อผิดพลาดของคุณ แต่ก็ยังรักและยังอภัยให้คุณได้เสมอ
คนที่พร้อมจะอยู่กับคุณแม้คุณจะกลายเป็นตาแก่หัวล้าน พุงยาน หนังเหี่ยว
เขาก็พร้อมที่จะแก่เฒ่าไปพร้อมกับคุณ แต่คนที่ว่ามานี้
คุณมักลืมเขาในยามที่คุณยัง มีความสุขอยู่ >



ในยามที่ชีวิตของคุณยังเป็น 'ผู้เลือก' ที่ถูกห้อมล้อมด้วยผู้ถูกเลือกได้อยู่
ในยามที่คุณยังมีหน้าตา
มีเครื่องประกอบชีวิตที่เป็นที่สนใจจากคนเหล่านั้นอย ู่
คุณอาจจะต้องนึกถึงเขาอีกที ในยามที่คุณไม่มีใครแล้ว
ในยามที่คนที่คุณคิดว่า 'ใช่' เขาก็ไปกับคนใหม่ที่เขาก็คิดว่า 'ใช่'
มากกว่าคุณเหมือนกัน




 

Create Date : 11 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2552 8:55:09 น.
Counter : 289 Pageviews.  

ข้อคิดดีๆในการใช้ชีวิต

เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ

เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ

เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต

เวลาเจอนายจอมละเมียด ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)

เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ

เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย





เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต

เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี

เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง

เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ

เวลาเจอคนที่ใช่ แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง

เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม







เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์

เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด

เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบททดสอบที่ว่า "มารไม่มีบารมีไม่เกิด"

เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม "ในวิกฤตย่อมมีโอกาส"

เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต

เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์






จะไม่มีเชื้อโรคใดเจาะผ่านภูมิคุ้มกันของเราได้ หากมีจิตใจที่คิดแต่สิ่งดี ภายในวิกฤตที่เลวร้าย หากใช้สติและเหตุผลพิจารณาอย่างรอบคอบ เราอาจจะได้เห็นด้านดีๆ ของชีวิตที่ซ่อนอยู่ก็ได้




 

Create Date : 29 ตุลาคม 2552    
Last Update : 29 ตุลาคม 2552 10:25:01 น.
Counter : 311 Pageviews.  

เมื่อฉันแก่ตัวลง...

อยากจะมอบเรื่องนี้ให้กับผู้ที่ไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ชิดผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้าน


เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของลุกผู้ชายคนหนึ่ง ที่ตระเวนทั้งเรียนทั้งทำงานไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แม้เขาจะเติบกล้าเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ ความรู้เพิ่มมากขึ้น โลกใบนี้เริ่มเล็กลง แต่พ่อแม่ที่อยู่บ้านเดิม(ในเมืองจีน)ก็เริ่มแก่ตัวลง

ลูกคนนี้ทำงานอยู่ต่างประเทศ ไม่ค่อยได้กลับมาเยี่ยมพ่อแม่ ได้แต่ติดต่อกันทางจดหมาย โชคดีต่อมามีไอพีการ์ด เลยได้คุยสดกันบ้าง ทุกครั้งแม่ก็จะคอยเตือนให้ระวังสุขภาพของตัวเอง ตั้งใจทำงาน ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ ไม่ต้องกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ เพราะจะสิ้นเปลืองเงินทอง... ยิ่งพูดก็ยิ่งซ้ำๆซากๆ เขารู้ดีว่าแม่เริ่มคิดถึงเขามาก

จนกระทั่งปีนี้ แม่อายุ 75 เขาจึงตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมแม่ โดยตั้งใจว่าจะอยู่สัก 1 เดือน จะไม่ทำอะไรเป็นพิเศษ แต่ขอเป็นเพื่อนแม่เพียงอย่างเดียว พอบอกข่าวนี้ให้แม่ทราบ

แม้จะมีเวลาอีกตั้ง 2 เดือนเศษ แม่ก็เริ่มเตรียมตัวในการต้อนรับการกลับมาเยี่ยมบ้านของลูก แม่ดึงเอาสมุดบันทึกมาจดสิ่งที่ต้องตระเตรียม แม่เตรียมรายการอาหารที่ลูกชอบ ดึงเอาผ้าห่มที่ลูกเคยชอบห่มมาปะชุนใหม่... สำหรับคนอายุ 75 เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย



พอกลับถึงบ้าน ตอนอยู่บนเครื่องบิน เคยตั้งใจว่าจะขอกอดแม่ให้ชื่นใจสักครั้ง แต่พอมาเห็นแม่ แม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผอมแห้ง หน้าตาเหี่ยวย่น ช่างไม่เหมือนแม่คนก่อนหน้านี้เลย...

แม่ใช้เวลาทั้งชั่วโมงเตรียมอาหารที่ลูกเคยชอบ โดยที่หาทราบไม่ว่า เดี๋ยวนี้ลูกไม่ได้ชอบอาหารแบบนั้นแล้ว และเพราะแม่ตาไม่ค่อยดี รสชาติอาหารจึงแย่มากๆ บางจานก็เค็มจัด บางจานก็จืดสนิท ผ้าห่มที่แม่อุตส่าห์เตรียมให้ ทั้งหนาทั้งหยาบ ไม่สบายกายเลย แม่หารู้ไม่ว่า เดี๋ยวนี้ลูกนอนห้องแอร์และใช้ผ้าห่มขนแกะแล้ว แต่เขาก็ไม่บ่นอะไร เพราะเขาตั้งใจจะกลับมาเป็นเพื่อนแม่จริงๆ

สองสามวันแรก แม่ยุ่งอยู่กับเรื่องจิปาถะ จนไม่มีเวลาพักผ่อน พอเริ่มได้พัก แม่ก็เริ่มพูดมาก สอนโน่นสอนนี่ พูดแต่ปรัชญาเก่าๆ ซึ่งปรัชญาเหล่านั้น 10กว่าปีก่อนก็เคยพูดแล้ว พอลูกบอกให้ฟังว่า ปรัชญาเหล่านั้นไม่ทันสมัยแล้ว แม่ก็เริ่มนิ่งเงียบและเศร้าซึม



“เหตุการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ผมพบว่าสุขภาพแม่แย่ลง โดยเฉพาะสายตา อาหารบางจานมีแมลงวันด้วย บางทีอาหารหกบนเตา แม่ก็เก็บใส่จานตามเดิม
ครั้นผมพยายามชวนแม่ไปกินนอกบ้าน แม่ก็บอกอาหารข้างนอกไม่สะอาด ของแปลกปลอมเยอะ เมื่อผมบอกแม่ว่าจะหาคนรับใช้มาช่วยแม่สักคน แม่ก็โวยวายว่า แม่เองยังสามารถทำงานเลี้ยงดูเด็กให้ผู้อื่นได้เลย ผมเลยพูดไม่ออก พอผมจะออกไปช้อปปิ้ง แม่ก็จะตามไปด้วย ทำเอาวันนั้นทั้งวัน พวกเราไม่ได้ไปช้อปปิ้งเลย...”



“พอพวกเราเริ่มคุยกันในเรื่องทันสมัย แม่ก็จะหาว่าพวกเราเพี้ยน ผมก็เริ่มบอกแม่อย่างไม่ค่อยเกรงใจว่า แม่ นี่มันสมัยใหม่แล้ว แม่ต้องหัดมองโลกในแง่ใหม่ๆบ้าง... ช่วงครึ่งเดือนหลังที่อยู่กับแม่ ผมเริ่มขัดแม่มากขึ้นเรื่อยๆ และรู้สึกรำคาญเพิ่มมากขึ้น แต่เราไม่เคยทะเลาะกันนะ พอผมขัดแม่ แม่ก็หยุดกึกลง ไม่พูดไม่จา ในตามีแววเหม่อลอย – โลกซึมเศร้าแบบคนแก่ของแม่ชักหนักขึ้นเรื่อยๆ”



“ได้เวลาที่ผมจะต้องเดินทางกลับ แม่ดึงกล่องกระดาษกล่องหนึ่งออกมา ในนั้นเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ที่แม่ตัดเก็บไว้ในช่วงที่ผมไปอยู่เมืองนอก แม่เริ่มสนใจข่าวต่างประเทศเมื่อผมเดินทางไปนอก ทุกครั้งที่มีข่าวตึงเครียดในประเทศนั้นๆ แม่จะตัดข่าวเก็บไว้ ตั้งใจจะมอบให้ผมตอนที่ผมกลับมา แม่พูดอยู่เสมอว่า อยู่นอกบ้านนอกเมือง ต้องระวังตัวให้มากๆ ครั้งหนึ่งมีเรื่องคนญี่ปุ่นต่อต้านและข่มเหงคนจีน มีการปะทะกันด้วย แม่เป็นห่วงมาก ถามเพื่อนบ้านว่าจะส่งข่าวไปเตือนผมที่ญี่ปุ่นได้อย่างไร ตอนนั้นผมสอนอยู่ที่ญี่ปุ่น”



แม่ดึงเอาปึกกระดาษข่าวนั้นออกมาอย่างยากลำบาก วางใส่ในมือผมเหมือนของวิเศษชิ้นหนึ่ง มันหนักมาก ผมเริ่มรู้สึกลำบากใจ เพราะผมไม่อยากนำกลับไป
มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ผมรู้ว่าแม่เก็บมันด้วยความยากลำบาก แม่สายตาไม่ค่อยดี ต้องใช้แว่นขยาย อ่านได้วันละ 2 หน้าก็เก่งแล้ว นี่ยังตัดเก็บได้ขนาดนี้
ทันใดนั้นมีข่าวแผ่นหนึ่งปลิวหลุดลงมา แม่รีบเอื้อมไปหยิบ แต่แทนที่แม่จะเก็บเข้ากองเดิม แม่กลับพับเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเอง

ผมรู้สึกเอะใจ เลยถามว่า “แม่ นั่นกระดาษอะไร ขอผมดูหน่อยนะ” แม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงล้วงออกมาวางบนข่าวปึกนั้น แล้วหุนหันเข้าครัวไปทำกับข้าวทันที



ผมหยิบแผ่นข่าวนั้นขึ้นมาดู มันเป็นบทความบทหนึ่ง ชื่อว่า “เมื่อฉันแก่ตัวลง” ตัดจากหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2004 เป็นช่วงที่ผมเริ่มเถียงกับแม่ถี่มากขึ้นทุกที บทความนั้นคัดมาจากนิตยสารฉบับหนึ่งของเม็กซิโก ฉบับเดือนพฤศจิกายน ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบทันที ....




เมื่อฉันแก่ตัวลง ไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น ขอโปรดเข้าใจฉัน มีความอดทนต่อฉันเพิ่มขึ้นอีกสักนิด

ตอนฉันทำแกงหกใส่เสื้อตัวเอง ตอนฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า ขอให้คิดถึงตอนแรกๆที่ฉันใช้มือสอนเธอทำทุกอย่าง

ตอนฉันเริ่มพร่ำบ่นแต่เรื่องเดิมๆที่เธอรู้สึกเบื่อ ขอให้อดทนสักนิด อย่าเพิ่งขัดฉัน ตอนเธอยังเล็กๆ ฉันยังเคยเล่านิทานซ้ำๆซากๆ จนเธอหลับเลย

ตอนฉันต้องการให้เธอช่วยอาบน้ำให้ อย่าตำหนิฉันเลยนะยังจำตอนที่เธอยังเล็กๆ ฉันต้องทั้งออดทั้งปลอบเพื่อให้เธอยอมอาบน้ำได้ไหม

ตอนฉันงงกับวิทยาการใหม่ๆ อย่าหัวเราะเยาะฉัน จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทนตอบคำถาม “ทำไม ทำไม”ทุกครั้งที่เธอถามได้ไหม

ตอนฉันเหนื่อยล้าจนเดินต่อไม่ไหว ขอจงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอออกมาช่วยพยุงฉัน เหมือนตอนที่ฉันพยุงเธอให้หัดเดินในตอนที่เธอยังเล็กๆ

หากฉันเผอิญลืมหัวข้อที่กำลังสนทนากันอยู่ ให้เวลาฉันคิดสักนิด ที่จริงสำหรับฉันแล้ว กำลังพูดเรื่องอะไรไม่สำคัญหรอก ขอเพียงมีเธออยู่ฟังฉัน ฉันก็พอใจแล้ว

ตอนเธอเห็นฉันแก่ตัวลง ไม่ต้องเสียใจ ขอให้เข้าใจฉัน สนับสนุนฉัน ให้เหมือนตอนที่ฉันสนับสนุนเธอตอนเธอเพิ่งเรียนรู้ใหม่ๆ

ตอนนั้นฉันนำพาเธอเข้าสู่เส้นทางชีวิต ตอนนี้ขอให้เธอเป็นเพื่อนฉันเดินไปให้สุดเส้นทาง ให้ความรักและอดทนต่อฉัน

ฉันจะยิ้มด้วยความขอบใจ ในรอยยิ้มของฉันมีแต่ความรักอันหาที่สิ้นสุดมิได้ของฉันที่มีให้กับเธอ



ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบ เกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ (ใจแข็งจริง ไอ้หมอนี่) ตอนนั้น แม่เดินออกมา ผมแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนแรกแม่คงอยากให้ผมได้อ่านบทความนี้หลังจากผมกลับไปแล้ว จึงคะยั้นคะยอให้ผมนำข่าวปึกนั้นกลับไป ตอนผมจัดกระเป๋าเดินทาง ผมต้องสละไม่เอาสูทกลับไป
1 ตัว จึงยัดเก็บปึกข่าวเหล่านั้นเข้าไปได้ รู้สึกแม่จะดีใจมาก เหมือนกับว่าหนังสือพิมพ์เหล่านั้นเป็นยันต์โชคลาภสำหรับผม และเหมือนกับว่าการที่ผมยอมรับหนังสือพิมพ์เหล่านั้น ผมได้กลับมาเป็นเด็กดีของแม่อีกครั้งหนึ่ง แม่ตามมาส่งผมจนถึงรถแท็กซี่เลยที่เดียว



หนังสือพิมพ์ที่ผมนำกลับมาเหล่านั้น ไม่ได้ใช้ทำประโยชน์อะไรเลย แต่บทความ “เมื่อฉันแก่ตัวลง” บทนั้น ผมได้ตัดเก็บไว้ในกรอบ เอาไว้ข้างตัวฉันตลอดไป


..............




 

Create Date : 01 ตุลาคม 2552    
Last Update : 1 ตุลาคม 2552 14:38:11 น.
Counter : 252 Pageviews.  

1  2  
 
 

Choco-Uro
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Choco-Uro's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com