Never Ending Journey ....
Group Blog
 
All blogs
 
จาก West สู่ East (ตอนที่ 2)

   

ต้องลดเวลาลง 1 ชั่วโมงอีกแล้ว คราวนี้ใช้เส้นทาง I-65 ลงมา Indiana เที่ยวสนามแข่งรถ INDY 500 ที่ Motor Speedway เค้าไม่ได้เปิดให้คนทั่วไปเข้าชมด้านใน เราก็เลยได้แค่เฉียดสนามแข่งด้านหน้า



เดินทางต่อไปยังอนุสาวรีย์กลางใจเมือง ซึ่งลักษณะและที่ตั้งก็คล้ายๆกับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยของเรา คือเป็นวงเวียน แล้วก็ไป President Benjamin Harrison Home



ผ่านเข้าสู่รัฐ Ohio ตลอดทางที่รถวิ่งมาก็จะเห็นใบไม้เปลี่ยนสีละลานตาไปหมด เหลือง ส้ม แดง สารพัดพันธ์ของต้นเมเปิ้ล ดูแล้วมันสบายใจ สบายตาซะจริงๆ ถ้าจะมาเที่ยวฝั่ง east ดูใบไม้เปลี่ยนสีละก้อ ต้องมาช่วงตุลาคม รับรองว่าจะไม่ผิดหวังแน่ๆ



ข้าม West Verginia ไป Pennsylvania การเดินทางในช่วงนี้จากรัฐนึงไปรัฐนึงจะใช้เวลาไม่มาก เพราะว่ารัฐจะเล็ก และอยู่ติดๆกัน ไม่เหมือนทางฝั่ง west แต่ละรัฐต้องขับกันเป็นวันๆ ที่ Pittsburgh ได้แวะ Three Rivers Stadium



สนามแข่งอเมริกันฟุตบอลของทีม Pittsburgh Steelers วันนี้ไม่มีการแข่งขัน เลยดูเงียบๆ พึ่งจะเสร็จสิ้นการแข่งขันเมื่อวาน วันนี้เลยเปิดทำความสะอาด พวกผมแอบเข้าไปถึงข้างในสนาม สักเดี๋ยวเจ้าหน้าที่มาเห็นโวยใหญ่ ว่าใครให้เข้ามา เราทำหน้าตาเฉยบอกว่าไม่รู้ แต่ไม่ง้อหรอกเพราะถ่ายรูปกันเสร็จแล้วพอดี อิ...อิ



ถามทางคนแถวนั้นว่าจะขึ้นไปจุดชมวิวของเมือง ที่สามารถมองเห็น 3 สะพาน ก็มีคนใจดีบอกทางจนเราได้เจอ เป็นจุดสูงสุดที่สามารถมองเห็นวิวของเมืองได้ทั้งหมด ขึ้นเหนือโดยใช้เส้น I-79 มุ่งหน้าสู่ Niagara Falls ตื่นเต้นจังเลย



ขับรถเลียบ The Great Lakes มาเรื่อยๆ ที่จอดรถกับทางไปน้ำตกไกลพอสมควร มองจากทางฝั่งนี้จะเห็นเพียงส่วนโค้งของน้ำตกเท่านั้น ละอองน้ำตกฟุ้งกระจายสูงจนมองเห็นได้ไกลเป็นเมตร ถ้าเป็นช่วงหน้าหนาว นักท่องเที่ยวจะเข้ามาไม่ได้เพราะว่าหิมะตก บริการให้นั่งเรือลอดใต้น้ำตกก็คงจะไม่สามารถทำได้ เพราะตัวน้ำตกกลายเป็นน้ำแข็งไปหมด วันนี้โชคดีมีหิมะตกลงมาปุยเล็กๆ พอให้ได้สัมผัส ได้เวลาข้ามประเทศเข้าสู่ Canada แล้ว ผ่านด่านเชคพาสปอร์ตและวีซ่าไม่มีปัญหา ว่ากันว่าน้ำตกไนอาการ่าฝั่งแคนาดาจะสวยกว่าฝั่งอเมริกา น่าจะจริง



มองจากทางฝั่งนี้ จะเห็นน้ำตกเป็นรูปครึ่งวงกลมทั้งหมด พลังน้ำตกแรงมาก ละอองกระเซ็นกลายเป็นหมอกคลุมไปทั่ว อากาศ 2 องศาเซลเซียสเท่านั้น ต่อไปยัง Toronto มีหอสูงคล้าย Space Needle ที่ Seattle เพื่อนแนะนำร้าน King Noodle ก็หาเจอได้ไม่ยาก โซ้ยบะหมี่กันเต็มที่หลังจากกินอาหารขยะมาหลายมื้อแล้ว คนจีนเยอะเหมือน พาหุรัด เยาวราช ส่วนใหญ่จะอพยพมาจากฮ่องกง เช้าตื่นมาเห็นรถมีเกร็ดน้ำแข็งเกาะเต็มไปหมด พื้นเหยียบลงไปเสียงดังกรอบแกรบ ต้องหากาแฟร้อนๆกินแก้หนาว แวะ Sky Dome สัญญลักษณ์ของ Toronto



เดินข้ามถนนไปอีกไม่ไกลนัก จะมี Hocky Hall of Fame ซึ่งเป็นที่เก็บรวบรวมประวัติต่างๆเกี่ยวกับ hocky รวมถึงบรรดานักฮอกกี้ที่มีชื่อเสียงของเมืองด้วย ด้วยเพราะว่าเป็นเมืองหนาว กีฬาประเภทนี้จึงเป็นที่นิยมแพร่หลาย



เลือกเส้นทาง 401 east ไป Ottawa เมืองหลวงของ Canada ไม่ค่อยดังเหมือนเมืองอื่น เช่น Toronto หรือ Montreal มีที่น่าสนใจก็คือ Parliament Building ที่ทำการรัฐบาล เป็นตึกทรงยุโรปอายุเก่าแก่



ทำเลสวยด้านหลังจะเป็นแม่น้ำ Ottawa River มีหอนาฬิกา และอาคาร 100 กว่าปีตั้งอยู่บนเนินเด่นเป็นสง่า ตัดกับผืนหญ้าสีเขียวสด อากาศเย็นสบายแค่ 6 องศา นั่งรถรางเล็กชมทั่วบริเวณ เดินไม่ไหวเพราะว่ากว้างมาก เมืองถัดไปคือ Montreal เคยเป็นสถานที่จัดโอลิมปิคหลายปีก่อน แวะ Biodome กำลังซ่อมแซม



ตกลงกันว่ารีบไป Quebec จะได้ใช้เวลาที่นั่นเยอะๆ ใช้เส้นทาง I-40 แวะ Citadelle ปราสาทใหญ่ติดกับแม่น้ำ St.Laurant แล้วก็ Notre Dame Du Quebec Roman Catholic ไปไหนไม่ได้เริ่มมืดแล้ว ชอปปิ้งดีกว่า หาที่ชอปใกล้ๆกับโรงแรม ห้างชื่อ Eaton ใหญ่ที่สุดของเมือง เดินจนห้างปิด



ไปน้ำตกMontmorency อยู่ริมข้างทาง มองเห็นจากถนน แต่พวกเราเดินเข้าไปข้างใน ยังเช้ามากเลยไม่มีนักท่องเที่ยวเท่าไร อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆน่าจะอยู่ที่ 0 องศา มองได้จากป้ายที่ติดไว้ โบกมือลา Canada จะเข้า USA ที่รัฐ Maine คาดว่าหิมะพึ่งจะหมดไป ยังพอมีเห็นเป็นก้อนๆ อยู่ที่ลานจอดรถ



ก่อนออกขอแวะชอปปิ้งส่งท้ายที่ Duty Free กำลังจะเข้าเขต USA หิมะลงมาปรอยๆอีกครั้งเยอะพอสมควร ลงจากรถไปเล่นหิมะกัน ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ Maine เป็นด่านเล็กๆ เจ้าหน้าที่ไม่เคร่งครัดนัก แค่ถามว่าไปไหนกันมา ดูพาสปอร์ตแบบลวกๆ (แต่ตอนนี้คงไม่มีอีกแล้วหลังจาก 9/11)เข้าสู่ US ด้วยเส้นทาง 201 south แวะเมือง Bangor มาถึง Maine ตั้งใจจะไป French Man Bay สถานที่ดูปลาวาฬ โชคไม่ดีที่ยังไม่ถึงฤดูปลาวาฬจะมา ก็เลยเปลี่ยนแผนไป Sand Beach สุดยอดของ North East มองเห็นชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติคเต็มไปด้วยเกาะใหญ่เกาะน้อยได้สุดลูกหูลูกตา ล่องใต้ลงมาที่ Portland ด้วยเส้นทาง I-95 South ถึง Maine แล้วนี่ ต้องกินกุ้ง Lobster



วนหาร้านขายกุ้งสดๆเค้าก็จะทำให้เราด้วย เจอร้านเดียวที่ยังเปิดขาย เค้าก็ต้มให้ น้ำจิ้มอะไรก็ไม่มี ตระเวณหาร้านอาหารไทย โชคดีมากเลย ไปขอซื้อข้าว-กับข้าว แล้วก็มะนาว-น้ำปลา คุยกับเจ้าของร้านได้ความว่า ธุรกิจที่นั่นถ้าหน้าหนาวจริงๆ จะหยุดกันยาว 3 เดือน กะว่าจะหาที่วิวสวยๆ ริมชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติค นั่งละเลียดกินกุ้ง lobster เจอประภาคารแห่งหนึ่ง มี park เล็กๆ พอลงจากรถ หนาวมาก แต่ขนของลงไปนั่งทีโต๊ะปิคนิคแล้ว ยังไงก็ต้องทน บรรยากาศเริ่ดมากแต่ว่าหนาวสุดๆ นั่งแกะกุ้งนี่มือแข็งจนง้างแทบไม่ออก ขนาดว่าแดดเปรี้ยงๆนะ เดินทางสู Boston



เช้าตื่นขึ้นมาน้ำแข็งเกาะรถเต็มเลย ต้องมาช่วยกันขูดออก มองไม่เห็นทางกระจกหน้าฝ้าไปหมด ผู้คนแต่งตัวดูแปลกไปจากที่เราคุ้นเคย ใส่เสื้อคลุมยาวๆ แบบยุโรป แวะเข้าไปที่ Haward University จอดรถไว้ข้างนอก แล้วเดินเข้าไปในมหาลัย บรรยากาศดูร่มรื่น มีสะพานโค้งด้านหลังเป็นหอนาฬิกาสีแดง ที่คลองนี้จะเอาไว้แข่งเรือซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ของยูนี้ นักศึกษาเดินกันขวักไขว่ หน้าตายุ่งๆ ท่าทางจะเรียนหนัก

(โปรดติดตามตอนที่ 3 )





Create Date : 16 กันยายน 2548
Last Update : 24 ตุลาคม 2549 8:59:44 น. 4 comments
Counter : 906 Pageviews.

 
แวะบ้านของ Steelers ด้วย ... อิจฉาง่ะ


โดย: oat-cnx (SF-The KOP ) วันที่: 23 กันยายน 2548 เวลา:17:33:50 น.  

 
ตอนอยู่บอสตัน ถ้าวันไหนจะไปกินล็อบสเตอร์
ดิฉันรับหน้าที่เตรียมน้ำจิ้มค่ะ
กระเทียม พริก รากผักชี ปั่นละเอียด
ใส่น้ำปลา น้ำตาล น้ำมะนาว เหยาะเกลือนิด น้ำตาลหน่อย
ใส่ขวดโหลแก้ว
ห่อหุ้มกันหก กันแตกอย่างดี
พอไปถึงร้านก็เลือกสั่ง Lobster น้ำหนัก 1 ปอนด์ครึ่ง
แล้วก้อควักออกมาค่ะ ควักออกมาเลย น้ำจิ้มสูตรสุดยอด
ลอบสเตอร์ที่บอสตันถ้าหาตัวละ 12 เหรียญกินได้นับว่าถูกมากๆ ต้องรู้แหล่ง
ร้านส่วนใหญ่จะ 2 เหรียญขึ้นไป
แต่พอไปที่ Maine เคยเจอร้านที่ตัวละ 7.99 เหรียญเองค่ะ
ที่จำได้แม่นเพราะเราไม่เคยเจอถูกเท่านี้มาก่อนไงคะ
(แต่ก้อนานมาแล้วนะคะ)


โดย: parachute วันที่: 23 กันยายน 2548 เวลา:21:46:58 น.  

 
อ้าวพิมพ์ตกไป
20 เหรียญขึ้นไปค่ะ ไม่ใช่ 2 เหรียญ


โดย: parachute วันที่: 23 กันยายน 2548 เวลา:21:48:09 น.  

 
ผมเองเวลาไปเวกัสแล้วไปกินลอปสเตอร์หรืออลาสก้าคิงส์แครบ ก็ต้องทำน้ำจิ้มอย่างคุณ parachute เหมือนกันครับ ห้องอาหารสุดหรู พอลับตาบ๋อยก็เอาน้ำจิ้มสูตรเด็ดขึ้นมา ฝรั่งโต๊ะข้างๆ หรือบ๋อยคนอื่นเดินผ่านมาแถวๆโต๊ะเรา มันทำจมูกฟุดฟิดๆ ว่า What's smell??? ฮ่าๆๆๆๆ แต่สำหรับเราแล้ว แซ่บหลาย ไม่งั้นไม่ไหวครับ มันเลี่ยนอย่าบอกใคร อ้อ... ตอนผมไป Maine กุ้งก็ราคานี้แหละครับ ตัวละ 8 เหรียญ แต่สดมั่กๆๆ


โดย: แพนด้า (calpoppy ) วันที่: 26 กันยายน 2548 เวลา:16:23:00 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

calpoppy
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ไม่ใช่คนเชียงใหม่ แต่มาอยู่แล้ว รักเชียงใหม่จนไม่อยากย้ายไปไหนอีก ...

I LOVE CHIANGMAI ....
Friends' blogs
[Add calpoppy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.