เก็บตก F4@Tokyo - คำแปลจากนิตยสาร Hao Cool ของญี่ปุ่น
ไจ่ไจ๋และมาร์ส จากปากคำของเสี่ยวซิ่ว-ไล่หย่าเหยียน
บทความชิ้นนี้เอามาจากนิตยสารญี่ปุ่นชื่อ Junon Faryu Star Now Magazine เป็นบทสัมภาษณ์พระรองนางรองเรื่องมาร์ส 2 คน คือ ไล่หย่าเหยียน หรือ เมแกน คนที่เล่นเป็นฉิงเหม่ย กับ เสี่ยวซิ่ว ที่เล่นเป็นต๊ะเหย่ถึงแม้จะไม่ได้สัมภาษณ์ไจ่ไจ๋โดยตรง แต่บทความชิ้นนี้ก็พูดถึงไจ่ไจ๋ กับบรรยากาศการถ่ายทำมาร์สเอาไว้พอสมควรเลยหยิบเอามาฝากกันอ้อ...เราแปลบทความนี้มาจากภาษาอังกฤษที่คุณlaiou2002 แห่งเว็บ vicpower.net ผู้มีคุโนปการกับแฟนไจ๋เป็นอย่างยิ่งแปลเอาไว้...ต้องขอบพระคุณเอาไว้ที่นี่ด้วย...ถ้าไม่มีเค้าเราก็คงพลาดอะไรดีๆไปเยอะ....หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมมันขยันแปลจัง...ที่เห็นแปลบ่อยๆนี่ไม่ใช่ขยันอะไรหรอก...จริงๆเป็นเพราะตัวเองก็อยากรู้เรื่องไจ๋อยู่แล้ว...เวลาเจอข่าวหรือบทความถ้าอ่านเฉยๆแล้วมันไม่ค่อยได้อารมณ์...ต้องแปลไปด้วยถึงจะเข้าใจแจ่มแจ้งเลยแปลออกมาบ่อยๆ...แล้วไหนๆก็แปลแล้วจะเก็บไว้อ่านคนเดียวไปไย...สู้เอามาแปะให้คนอื่นๆ (โดยเฉพาะแฟนไจ๋) ให้อ่านด้วยดีกว่าเพื่อเป็นการเผยแพร่ความน่ารักของไจ๋ไจ๋จะได้เข้าคอนเซปต์ของแฟนๆไจ๋ที่ว่า
เบื้องหลังการถ่ายทำมาร์สที่ญี่ปุ่น
"มาร์ส" เป็นละครไต้หวันที่สร้างจากการ์ตูนญี่ปุ่น...จะไม่ให้มีฉากที่ญี่ปุ่นเลยก็กระไรอยู่....ว่าไหมเนอะ...ไม่รู้ผู้กำกับคิดแบบนี้รึเปล่าเลยยกกองไปถ่ายทำที่แดนปลาดิบซะร่วมเดือน....แต่ฉากที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่...หรือจะเรียกได้ว่าทั้งหมด...เกิดขึ้นที่สนามแข่งรถทั้งสิ้น...ซึ่งทางทีมงานก็ได้เลือกเอาสนาม Sugo ที่เมืองเซนได เป็นสถานที่ถ่ายทำ.....บล็อคนี้เอาไว้แปะบทความเกี่ยวกับเบื้องหลังการถ่ายทำมาร์สที่ญี่ปุ่นซึ่งเก็บรวบรวมมาจากหลายๆที่...ทั้งจากเว็บที่แฟนๆญี่ปุ่นมาเขียนเล่าประสบการณ์เอาไว้ แล้วก็จากนิตยสารญี่ปุ่นบางฉบับขอเริ่มต้นด้วยเรื่องเล่าจากแฟนๆที่มาถ่ายทอดผ่าน f4.tv เอาไว้...เราเอาคำแปลภาคภาษาปะกิตที่คุณ laiou2002 จากเว็บ vicpower.net แปลเอาไว้มาถ่ายทอดเป็นภาษาไทยอีกทีนะ.....จัสมินซัง : รายงานตัวฉัน สามี แล้วก็ลูกสาวที่เพิ่งจะอายุได้ 6 ขวบมาจากจังหวัดฟุกุชิมา พวกเราได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการถ่ายทำเมื่อวันที่ 6,7 และ 8 มีนาคม (มีฉันคนเดียวที่ได้เข้าร่วมการถ่ายทำวันที่8) ฉันรู้จักเอฟโฟร์จากนิตยสารที่ได้เป็นที่ระลึกจากเพื่อนคนหนึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ฉันได้กลายมาเป็นแฟนของพวกเขา ครอบครัวของเราทั้ง 3 คน ต่างตั้งตารอการถ่ายทำครั้งนี้กันเป็นอย่างมากสภาพอากาศเริ่มเลวร้ายมาตั้งแต่วันก่อนแล้ว หิมะได้เริ่มตกหนักตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 6 มีนาคม แม้ว่าในช่วงเช้าทางทีมงานจะแจ้งให้เราทราบว่า วันนี้การถ่ายทำต้องยกเลิก แต่หลังจากที่ไจ่ไจ๋มาปรากฎตัวเป็นกรณีพิเศษเพื่อทักทายแฟนๆ ดูเหมือนว่าอากาศจะบรรเทาความเลวร้ายลง ดังนั้น ก็เลยมีการถ่ายทำกันขึ้นใหม่ในตอนบ่าย การถ่ายฉากตัวประกอบบนอัฒจรรย์ได้เริ่มขึ้น เนื่องจากหิมะตกแรงมาก สามีกับลูกสาวฉันเลยต้องออกจากการถ่ายทำกลางครันเพื่อเข้าไปหลบในบ้านพัก ฉันมัวแต่เก็บกวาดที่นั่งของพวกเราอยู่เลยตามไปช้า ขณะที่สามีกับลูกสาวฉันซึ่งออกจากที่นั่งคนดูเร็วกว่าเลยทำให้พวกเขาเจอไจ๋กับผู้จัดการกำลังเดินตรงไปยังห้องพักเข้าโดยบังเอิญสามีฉันพูดกับเขาเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า ถึงแม้อากาศจะหนาวมากแต่ก็อย่าท้อถอยนะ ไจ่ไจ๋ไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นก็เลยยิ้มตอบกลับมาแบบไม่ค่อยแน่ใจนักแต่เมื่อลูกสาววัย 6 ขวบของเราทักทายเขาเป็นภาษาจีนว่า หนีห่าว ไจ่ไจ๋ซึ่งใส่ชุดนักบิดสีแดงก้มตัวลงมามองตาลูกสาวของฉัน แล้วยิ้มออกมาหวานหยด ก่อนจะทักทายกลับมาว่า หนีห่าวแม้ว่าฉันจะตามสามีกับลูกสาวมาทันทีหลัง แต่โชคไม่ดีที่ฉันไม่ได้เจอไจ่ไจ๋เหมือนกับพวกเขา สามีของฉันบอกว่า ผมเห็นแต่ใบหน้าจริงจังของไจ่ไจ๋ตอนที่กำลังถ่ายทำอยู่ แต่ภาพใบหน้าเปื้อนยิ้มของไจ่ไจ๋ที่มีให้ลูกสาวของเรายังตราตรึงอยู่ในความทรงจำผม เขาเป็นชายหนุ่มที่วิเศษมากไจ่ไจ๋จะออกมาข้างนอกบ่อยๆเพื่อดูพวกตัวประกอบถ่ายทำในสภาพอากาศที่หนาวเย็นจนจับแข็ง ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนใจดีจริงๆจินิจิซัง : รายงานฉันเข้าร่วมการถ่ายทำในวันที่ 6-7 มีนาคม หิมะเริ่มตกในเซนไดตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 6 ดูเหมือนจะเป็นลางไม่ดีซักเท่าไร ยิ่งเข้าใกล้สนามซูโกมากเท่าไร หิมะก็ยิ่งพอกพูนหนาขึ้นเท่านั้น เพิ่งมีการประกาศออกมาว่าการถ่ายทำยกเลิก เนื่องจากเมื่อวันก่อนฉันต้องรีบจับรถบัสมาเซนไดหลังเลิกงาน ฉันเลยถึงกับหมดแรง แต่เราก็ได้เจอกับไจ่ไจ๋แล้วก็ได้ดูวิดีโอรักใสใสเพราะความใจดีของทีมงาน อากาศหนาวยะเยือก รู้สึกเหมือนลบ 30 องศา ทั้งที่ฉันสวมแจ็คเกตผ้าสำลีแล้วเราก็นั่งนิ่งๆ แต่มันก็หนาวเสียจนฉันตัวสั่นไปหมดมีคนเข้าร่วมการถ่ายทำช่วงบ่ายไม่กี่คน เป็นเรื่องยากที่จะทำท่าว่ากำลังดูการแข่งขันโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตรงหน้าเลย เนื่องจากมีหลายคนไม่ได้สวมเสื้อผ้าหนาๆ ฉันเลยเป็นห่วงว่าพวกเขาจะเป็นหวัดซาจิซัง : รายงานเราถ่ายทำกันบนอัฒจรรย์เป็นเวลา 2-3 ชั่วโมงโดยไม่ได้สวมแจ็คเกต พวกตัวประกอบนั่งอยู่บนอัฒจรรย์คนดูที่หันหน้าเข้าหาห้องพักนักกีฬาโดยที่ดวงตาคอยจับจ้องมองไจ่ไจ๋เข้าๆออกๆห้องพักซึ่งอยู่คนละฟากกับอัฒจรรย์คนดูบางครั้งเราก็ได้เห็นสีหน้าของไจ่ไจ๋เวลาได้ยินเสียงเชียร์จากอัฒจรรย์คนดูด้วยระหว่างนั้นมีการถ่ายทำรายการทีวี (ฟันแฟนรัน) ไจ่ไจ๋กับไอซามาปรากฎตัว ไอซากระซิบอะไรบางอย่างใส่หูไจ๋ แล้วไจ่ไจ๋ก็ทักทายเราเป็นภาษาญี่ปุ่นจากนั้นเป็นช่วงถามตอบกับไจ๋ไจ๋ บางทีอาจเป็นเพราะความหนาวยะเยือก ไจ่ไจ๋เลยยืนตัวแข็งเหมือนหุ่นยนต์หลังจากนั้นเราก็เริ่มการถ่ายทำด้านบนของห้องพักนักแข่ง มีตัวประกอบแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้ขึ้นไปบนนั้น ฉันได้แค่ดูด้านบนห้องพักนักแข่งจากข้างล่าง ไจ่ไจ๋ดูหนาว สวมแค่เสื้อคลุมมีฮู้ดทำจากขนแกะเพียงตัวเดียว เขาจะเป็นหวัดไหมนะ (สวดมนต์) มันหนาวซะจนนักแสดงทุกคนทนไม่ได้ต้องสวมถุงมือให้ความอบอุ่น ไจ่ไจ๋กับผู้กำกับแหงนมองท้องฟ้าเพื่อคำณวนสภาพอากาศ ดูเหมือนว่าไจ่ไจ๋จะมีฉากที่ต้องถ่ายทำแค่ไม่กี่ฉาก เขานั่งลง บางครั้งก็ลุกขึ้นยืน พูดคุย และเล่นกับทุกคนผู้กำกับถ่ายทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างระมัดระวัง เขาจะไม่ยอมจนกว่าจะพอใจ อันที่จริงแล้ว ไจ่ไจ๋เองก็เช็คจอมอนิเตอร์ดูอย่างเอาจริงเอาจังด้วยเช่นกันแม้ว่าฉันจะไม่ได้ร่วมแสดงด้วย แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นทีมงานคนหนึ่งจากการได้อยู่ร่วมกับทุกคนในสถานที่เดียวกันอัตสึโกะซัง : รายงานแม้ว่าฤดูใบไม้ผลิที่เริงร่าจะยังลอยอยู่ในอากาศ แต่หิมะได้ตกลงมาเบาบางตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 6 มีนาคม ฉันกับเพื่อนมาจากคันโตเมื่อวันก่อน ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคมแล้วที่เมื่อเราหายใจออกอากาศจะกลายเป็นสีขาว พวกเราต้องการเสื้อผ้าหนาๆแล้วก็ขนสัตว์เลยออกไปหาซื้อ แต่กลับมีแต่เสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิ พวกเราหาสิ่งที่ต้องการไม่ได้เลยพอเรามาถึงสนามแข่งซูโก ทุกสิ่งถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ มีรอยเท้าอยู่บนหิมะใหม่ๆ สนามบินเซนไดต้องปิดลงเพราะพายุ น่าสงสารไจ่ไจ๋ซึ่งมาจากไต้หวันที่ต้องมาเจอกับสภาพอากาศแบบนี้ พวกเราทุกคนต่างสวดมนต์ขอให้หิมะหยุดตก ซึ่งก็ดูท่าว่าจะได้ผล ในตอนบ่าย สภาพอากาศเริ่มดีขึ้น ทีมงานต้องทำงานหนักเพื่อปัดกวาดหิมะออกจากที่นั่งคนดู พวกเราคิดจะเสนอตัวเข้าช่วยแต่ไม่มีพลั่ว เราไม่อยากทำด้วยมือเปล่า แม้ว่าพวกเราจะคอยอยู่เฉยๆโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่พวกเราก็หนาวจากการที่ไม่ได้ทำอะไรนอกจากคอยฉันคิดว่าแม้หิมะจะรุนแรง แต่พอฉันได้เห็นไจ่ไจ๋ใกล้ๆ ฉันก็สามารถทนความหนาวได้ (หัวใจฉันกำลังเต้นแรง)แม้ว่าดวงอาทิตย์จะฉายแสงแล้วแต่หิมะก็ยังตกอยู่ ทว่า การถ่ายทำต้องเริ่มแล้ว บทพูดของพวกเราง่ายๆ แต่พวกเราพูดไม่เก่ง ฉันชักเริ่มจะกังวลแล้ววันนี้ไจ่ไจ๋ต้องถ่ายทำด้วย เขาสวมเสื้อคลุมมีฮู้ดกับถุงมือยืนอยู่ท่ามกลางสายลมหนาวเป็นเวลานาน ฉันคิดว่ามันยากไม่น้อย (สู้เขา! วิค) เนื่องจากอากาศหนาว ไจ่ไจ๋เลยพูดตลกกับเพื่อนนักแสดง เขาน่ารักมากเราต้องกลับบ้านแล้ว ยังต้องมีคนมาเข้าฉากอีกหากทีมงานถ่ายทำไม่เสร็จภายในวันนี้ พรุ่งนี้พวกเรายังต้องการตัวประกอบเข้าฉากอยู่อีก ใครที่สามารถมาได้โปรดช่วยมากันหน่อยฉันต้องกลับบ้านแล้วทั้งๆที่ฉันทิ้งหัวใจเอาไว้ที่นี่ คนที่สามารถอยู่ต่อได้ขอให้สู้ต่อไป พร้อมกับเอาหัวใจฉันไว้ด้วยตอนนี้ฤดูใบไม้ผลิแล้ว ความตื่นเต้นที่ไม่อาจมองเห็นได้ก็มาถึงพร้อมกัน ฉันเห็นละครที่ถ่ายทำเสร็จแล้ว มันดูต่างออกไปมาก ฉันคงจะมีความสุขมากเวลาที่ละครเรื่องนี้ออกอากาศGenben-san : รายงาน ฉันได้ไปเซนได!!!!!เป็นครั้งแรกที่ฉันไปเป็นตัวประกอบเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับไจ่ไจ๋สุดที่รัก (><) ฉันเป็นคนแถบคันโต ฉันไม่เคยเจอความหนาวจนแข็งมาก่อนจนกระทั่งบัดนี้ ถึงกระนั้นประสบการณ์ที่ได้รับก็สุดยอดจนไม่อาจจะลืมเลือนได้ไจ่ไจ๋!! ไจ่ไจ๋น่ารักไปเสียหมดไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม มีช่วงหยุดพักสั้นๆซึ่งไจ่ไจ๋ได้ปั้นลูกบอลหิมะแล้วก็เล่นเกมกับเพื่อนนักแสดง ยิ่งไปกว่านั้นนะ คุณยังได้ยินเขาพูด ขี้โกงนี่!!! ด้วย เขาช่างน่ารัก นอกเหนือจากใบหน้าอันน่ารักของไจ่ไจ๋แล้ว ฉันยังประทับใจกับท่าทางเหล่านั้นของเขามาก* ที่ประทับใจเป็นพิเศษก็คือ ฉันไม่อาจลืมภาพเขาโบกมือแล้วก็พูดบ๊ายบายมายังรถบัสที่พาพวกเรากลับ ไจ่ไจ๋เป็นเด็กดีจริงๆ! (><) พวกเราเอาแต่ตะโกนออกมาว่า คาวาอี้ คาวาอี้ (ผู้แปล น่ารัก ในภาษาญี่ปุ่น)ไจ่ไจ๋ในมาร์สคงจะดูเท่แล้วก็หล่อฉันอยากเห็นไจ่ไจ๋ผู้หล่อเหลาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้!!!ฉันจะตั้งตารอวันที่ฉันจะได้ดูมาร์ส (^0^)ยูมิซัง : รายงานสถานที่ที่เราเข้าร่วมการถ่ายทำหนาวมากเสียจนฉันตะโกนออกไปโดยไม่ตั้งใจว่า พวกคุณทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน ฉันเคยเป็นตัวประกอบในละครญี่ปุ่นมาแล้วหลายเรื่อง แต่นี่เป็นครั้งแรกสำหรับละครไต้หวัน หากนำมาเปรียบเทียบกัน ที่ญี่ปุ่นนักแสดงจะไปรออยู่ในห้องเวลาที่ตัวเองไม่ได้เข้าฉาก แต่สำหรับครั้งนี้ ไจ่ไจ๋จะอยู่ในฉากแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้ถ่ายทำ ฉันดีใจมากที่เราได้เห็นเขาบ่อยมากเนื่องจากฉันไม่เคยเข้าร่วมงานใดๆของไจ่ไจ๋มาก่อนเลยจนกระทั่งบัดนี้ ครั้งนี้จึงเป็นประสบการณ์สดใหม่สำหรับฉันที่ได้เห็นการแสดงออกทางสีหน้าที่หลากหลายของไจ่ไจ๋เวลาที่อยู่ในกองถ่ายเนโมโตะซัง : รายงานแม้ว่าวันนั้นไจ่ไจ๋จะไม่ได้เข้าฉาก แต่เขาก็ออกมาเผชิญกับความหนาวข้างนอกเพื่อดูเพื่อนนักแสดง และตัวประกอบถ่ายทำกันไจ่ไจ๋ได้รับการเลี้ยงดูมาดีจริงๆ เขาเอาใจใส่เพื่อนร่วมงานอย่างแท้จริง ฉันคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีมากไจ่ไจ๋สวมเสื้อคลุมมีฮู้ดสีน้ำเงินกับเสื้อขนสัตว์ให้ความอบอุ่น ไจ่ไจ๋มองดูคล้ายสัตว์หายากจากประเทศทางใต้ที่พ่ายแพ้ต่ออากาศหนาวจนจับแข็งอย่างราบคาบ เขาเคี้ยวมากฝรั่งอยู่บ่อยๆ สองมือซุกไว้ในกระเป๋า ศีรษะคลุมด้วยฮู้ด สาวเท้าเดินด้วยก้าวสั้นๆ และหลังที่ค่อมสำหรับไจ่ไจ๋ที่มาจากไต้หวัน นี่ต้องเป็นความหนาวแบบสุดๆ หลังจากที่ได้เห็นหลังของเขาหยุดครั้งแล้วครั้งเล่า และจิบชาอย่างช้าๆทำให้ฉันรู้สึกอยากจะพูดออกมาว่า ไจ่ไจ๋ หยุดก่อนในส่วนของการถ่ายทำนั้น แม้แต่ฉากที่ไม่สลักสำคัญอะไรก็มีการถ่ายใหม่ ฉันเลยได้รู้ซึ้งเอาเดี๋ยวนั้นว่าการสร้างละครทีวีซักเรื่องหนึ่งต้องมีโปรดักชั่นที่ใหญ่มาก ฉากที่พวกเราร่วมแสดงเป็นฉากที่ทัตสึยะ (ต๊ะเหย่) กับฮารุมิ (ฉิงเหม่ย) มาดูเร (หลิง) แข่งรถ ทั้งนักแสดงแล้วก็พวกเราตัวประกอบต่างแต่งกายกันด้วยเสื้อผ้าบางๆ ช่างเป็นความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสที่ต้องมีการถ่ายฉากต่างๆใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เราก็นับถือที่พวกเขาต้องการให้ทุกอย่างออกมาดีฉันคิดว่าไจ่ไจ๋คงรู้ถึงความยุ่งยากของสถานการณ์ดี เขาจึงชวนเพื่อนนักแสดงคุยเพื่อทำให้บรรยากาศระหว่างการถ่ายทำดีขึ้น และเมื่อพวกเราตัวประกอบตะโกนเรียกว่า ไจ่ไจ๋ เขาก็จะโบกมือแล้วก็พยักหน้าให้เราในแบบที่หมายความว่า อืม...ผมรู้แล้วการปรากฎตัวของไจ่ไจ๋เปรียบเสมือนที่พักพิงหัวใจของพวกเราเราปรากฎตัวแค่ฉากเดียวในละครเรื่องยาว แต่มีคนมากมายที่ทำงานร่วมกัน เริ่มตั้งแต่ผู้กำกับไปจนถึงตากล้องแล้วก็ทีมงานฝ่ายอื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก ฉันเป็นแค่เด็กมัธยมจึงประหลาดใจกับเรื่องนี้มาก ทัศนคติของฉันเปลี่ยนไปนับแต่นั้น ละครที่ฉันดูทางทีวีเกิดขึ้นจากการทำงานหนักของคนเป็นจำนวนมากเพื่อไปให้ทันรถไฟ ฉันต้องขึ้นรถประจำทางรอบบ่าย 3 กลับ ภาพสุดท้ายที่เราเห็นคือแผ่นหลังของไจ่ไจ๋ที่กำลังถ่ายทำอยู่บนที่พักนักแข่ง ถึงแม้พวกเราจะคิดว่าไม่ดีเลยที่จะไปขัดจังหวัดเขาระหว่างการถ่ายทำ แต่พวกเราก็ลังเลที่จะไป พวกเราเลยตะโกนออกไปด้วยเสียงอันดังว่า ไจ่ไจ๋ บ๊ายบายไจ่ไจ๋ไม่ได้เมินเฉยเรา เขาหันกลับมาโดยที่มือยังอยู่ในกระเป๋า ไจ่ไจ๋ยิ้มแล้วก็โบกมือให้เราภาพนั้นกลายเป็นความทรงจำสุดท้าย และความทรงจำที่ดีที่สุดของฉัน
สาวแกร่งแรงเกินร้อยภาคพิเศษ ตอน รูอิ เจ้าชายขี้เซา
การ์ตูนภาคพิเศษตอนนี้เอามาจากหนังสือชื่อ Hana Yori Dango Character Book Side Story ของโยโกะ คามิโอะ คนแต่ง "สาวแกร่งแรงเกินร้อย"เสียดายที่บ้านเราไม่ได้แปลตอนนี้ออกมาเป็นภาษาไทยทั้งๆที่เนื้อหาออกจะน่ารัก....เผอิญเราไปท่องเว็บ //www.hanayoridango.net/ มาแล้วไปเจอที่แฟนๆเค้าแปลเป็นภาษาอังกฤษเอาไว้....ก็เลยหยิบมาแปลเป็นภาษาไทยต่อเผื่อแผ่คนที่เป็นแฟนการ์ตูนเรื่องนี้เหมือนกันต้องขอขอบคุณคุณเอลินา ซี ที่แปลจากญี่ปุ่นเป็นอังกฤษเอาไว้ แล้วก็ขอบคุณทางเว็บสำหรับรูปภาพที่เอามาใช้ด้วยนะคะThank you Elina C. (eliishi) for English translation and //www.hanayoridango.net/ for scan pictures. เอาหละ...มาอ่านไปพร้อมๆกันดีกว่าค่ะ...เจ้าชายขี้เบื่อขอต้อนรับสู่สวนฝนดาวตกอันพิลึกพิลั่นและงดงาม!!กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเจ้าชายหนุ่มรูปงามนาม หลุยส์ วีเซลทุกวันมีแต่ความเบื่อหน่าย เจ้าชายเลยทรงเอาแต่บรรทม ไม่ว่าบรรดามหาดเล็กจะเล่นปาหี่ให้ดูยังไง(ซากุราโกะกับชิเงรุสวมทักซิโดพูดเหน่อๆสำเนียงคันไซ ส่วนคาซึยะถูกถาดตีหัว)หรือมีเจ้าชายประเทศข้างเคียงมาเยี่ยม(โซอิจิโร-นายว่าเจ้าหญิงประเทศเพื่อนบ้านสวยไหม อากิระ-ไปปาร์ตี้กันเหอะ ปาร์ตี ปาร์ตี้) แม้แต่จะถูกเจ้าชายเผด็จการจากประเทศหนึ่งเล่นงาน(โดเมียวจิ ตื่น!)ไม่ว่าใครจะพยายามยังไงเจ้าชายหลุยส์ก็ยังทรงเบื่อหน่ายอยู่ฉันต้องไปนอนแล้วหละ เจ้าชายทรงเดินจากไปท่ามกลางเสียงร้องเรียกของบรรดาข้าราชบริพาร แต่แล้วในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงคืนหนึ่ง ขณะที่เจ้าชายกำลังพยายามข่มตาหลับอ๊บๆ ก็มีเสียงกบร้องแหบๆมาเรียกความสนใจจากพระองค์ เจ้าชายหลุยส์ทรงช็อคที่เห็นกบสีเขียวตัวหนึ่งเกาะหน้าต่างอยู่ แถมเจ้ากบตัวนี้ดันสวมชุดซะด้วย แล้ววันอันน่าเบื่อของเจ้าชายก็เปลี่ยนไปยี้ ฝ่าบาททรงป้อนหนอนให้ .พวกเจ้าหญิงพากรี๊ดกร๊าดกันด้วยความขยะแขยงที่เห็นเจ้าชายหลุยส์ใช้ตะเกียบป้อนหนอนให้กบ ช่วงเวลาที่รื่นรมย์กับ Pyonmi (ชื่อที่เจ้าชายทรงตั้งให้) ได้เริ่มต้นขึ้นแทน ในขณะที่เจ้าชายทรงคิดว่าช่วงเวลาแห่งความสนุกจะคงอยู่ตลอดไป แต่แล้ววันหนึ่งพระองค์กลับทรงได้รับฟังคำสารภาพอันตะขิดตะขวงใจจาก PyonmiPyonmi นั่งอยู่บนหมอนที่เจ้าชายหลุยส์ทรงทำให้ด้วยพระหัตถ์พูดว่า จริงๆแล้วแล้วหม่อมฉันเป็นมนุษย์ผู้หญิงหละ แต่เจ้าชายกลับตอบแค่ว่า เหรอ ฉันก็คิดอยู่แล้วเชียวฝ่าบาททรงทราบเหรอเพคะ Pyonmi ตะโกนดังลั่นด้วยความตกใจ ขณะที่เจ้าชายทรงอธิบายอย่างสงบว่า ก็เพราะไม่มีกบที่ไหนใส่เสื้อผ้าน่ะซี่ Pyonmi พูดต่อในขณะที่หลุยส์ตั้งใจฟัง หม่อมฉันเป็นแบบนี้เพราะถูกพ่อมดสาป หากจะคืนร่างเดิม หม่อมฉันต้องใช้ของ 3 สิ่ง ได้โปรด ฝ่าบาท Pyonmi ร่ำไห้ขอร้อง ช่วยหาของ 3 สิ่งให้หม่อมฉันที เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ถึงแม้เจ้าชายจะคิดว่าแบบที่เธอเป็นอยู่ก็ดีอยู่แล้ว แต่พระองค์ก็ทรงตกลง ตกลง จริงเหรอเพคะ ขอบพระทัย Pyonmi ตะโกนด้วยความดีใจแล้วกระโดดขึ้นมาบนเศียรเจ้าชาย จากนั้น Pyonmi ก็อธิบายใหญ่ว่าของ 3 สิ่งคือ @#$% แล้วก็ ^$ กับ *@?.แต่หลุยส์ไม่เข้าใจ นั่นมันภาษาอะไรน่ะ ฝ่าบาทได้โปรดทรงตั้งใจฟังหน่อย @#% กับ Pyonmi พยายามอธิบายสุดความสามารถ เดี๋ยวก่อน ฉันไม่เข้าใจจริงๆนะ ฝะ ฝ่าบาท พระองค์ตั้งใจช่วยหม่อมฉันจริงๆรึเปล่าเนี่ย ฮานาซาวะ รูอิ เสียงตะโกนดัง รูอิลืมตาขึ้นมานอนหลับอยู่นี่อีกแล้ว เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก รูอิตื่น เห็นซึคุชิก้มมองลงมา วันนี้อากาศสดใสเธอเลยอดไม่ได้ต้องมาแอบงีบใช่ไหมล่า ซึคุชิพูดเธอคืนร่างเป็นคนแล้วเหรอ รูอิพูดสวนขึ้นพร้อมกับเอามือขยี้ตา ซึคุชิมองหน้ารูอิแบบช็อคสุดๆแล้วตะโกนออกมาว่า อะไรนะ คนอะไร รูอิซึ่งมีรอยยิ้มราวเทพบุตรพูดต่อว่า เธอนี่เหมือนกบจริงๆ ซึคุชิช็อกสุดๆก่อนจะตะโกนว่า คนบ้า จบแล้วค่า....
zaizai in TAIWAN TV DRAMA
บทสัมภาษณ์ไจ่ไจ๋ในนิตยสารญี่ปุ่น ไต้หวัน ทีวี ดรามาถอดความจากจีนเป็นอังกฤษ : laiou2002รูปประกอบ : zhenzhenบทสัมภาษณ์ที่ยาวและน่าสนใจชิ้นนี้มีขึ้นในเดือนมีนาคม 2548 ตอนที่ไจ่ไจ๋เดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อโปรโมทมาร์ส และรักใสใสฯพวกเขามาญี่ปุ่นกันจริงๆ!!การแถลงข่าวแบบรีบด่วนที่ญี่ปุ่นของเอฟโฟร์มีขึ้นเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2548 เหตุผลที่พวกเขามาญี่ปุ่นก็เพื่อถ่ายสมุดภาพเอฟโฟร์ที่มีกำหนดวางแผงในเดือนกรกฎาคมพวกเขามาถึงสนามบินนาริตะกันทีละคน เจอร์รีกับแวนเนสมาถึงเมื่อวันที่ 23 เม.ย. เคนกับไจ๋มาวันที่ 24 เม.ย. ยกเว้นเคนซึ่งอยู่ญี่ปุ่นต่อแล้ว คนที่เหลือต่างเดินทางออกจากญี่ปุ่นด้วยความเร่งรีบในวันที่ 27 เม.ย. งานแถลงข่าวจัดขึ้นตอนเช้าของวันสุดท้ายที่พวกเขาอยู่ญี่ปุ่น หลังจากล่วงเข้าปี 2548 เอฟโฟร์ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นมากนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เจอกับสื่อมวลชนญี่ปุ่น ดังนั้น จึงมีสื่อมวลชนเป็นจำนวนมากเข้าร่วมงานนี้พวกเขามีแฟนๆที่คลั่งไคล้อยู่เป็นจำนวนมากมาตั้งแต่เปิดตัวในญี่ปุ่น เชื่อได้เลยว่าคนจำนวนมากจะต้องคิดว่า : ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงก้าวขึ้นเวทีเจ้าชาย 4 คนก้าวขึ้นบนเวทีโดยเรียงลำดับจากเคน ไจ๋ เจอร์รี และแวนเนส ทุกคนสวมสูท หล่อเหลาจนคุณขาแทบขวิดกล่าวคำทักทายทั้ง 4 คนกล่าวคำทักทายสื่อมวลชนเป็นภาษาญี่ปุ่นกันทีละคน ฉันประทับใจกับทักษะทางภาษาของแวนเนสเป็นพิเศษอำลาการถ่ายรูปครั้งสุดท้ายสิ้นสุดลงแล้วเอฟโฟร์ก็จากไป...อยู่นานกว่าเดิมนิดหน่อยนิสัยที่เรียบง่ายไม่เหมาะกับวงการบันเทิงแต่เกิดมาพร้อมกับคุณสมบัติในการเป็นดาราเสน่ห์ที่ขัดแย้งของน้องคนสุดท้องแห่งเอฟโฟร์ครั้งแรกที่ฉันได้เห็นไจ่ไจ๋แบบใกล้ชิด ฉันหลงใหลกับสีหน้าท่าทางที่เหมือนเด็กของเขามากเสียยิ่งกว่าเครื่องหน้าอันงดงาม เขาดูขี้อายมีเพียงนัยน์ตาของเขาเท่านั้นที่เคลื่อนไหวไปมา เนื่องจากมีแวนเนสกับเคนซึ่งพูดภาษาอังกฤษคล่องปรื๋อยืนประกบอยู่ ไจ๋เลยเอาแต่หัวเราะคิกคัก และเหลือบมองคนทั้งคู่ บางครั้งเมื่อได้รับการกระตุ้นจากแวนเนส ไจ่ไจ๋จะยืดตัวตรงแล้วพูดออกมา 2-3 คำเหมือนเด็กซนๆถูกครูสั่ง ไจ่ไจ๋ทำตัวเหมือนน้องนุชคนสุดท้องที่น่ารักจริงๆ แต่ถึงกระนั้น คุณสามารถเห็นท่าทางแมนๆของเขาได้ในมาร์ส ผลงานชิ้นล่าสุดการสัมภาษณ์มีขึ้นในเดือนมีนาคมที่โรงแรมในตัวเมืองที่เขาพักอยู่กับดาราเรื่องมาร์สคนอื่นๆ ต้าเอสมาที่ห้องที่มีการสัมภาษณ์เพื่อถ่ายรูป พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน ห่วงใยกันและกัน และทำงานกับสื่ออย่างอารมณ์ดีผู้สัมภาษณ์ : โอ วะ ซังช่างภาพ : นากางาวะ ฟูมิโอะแม่เป็นคนจ้ำจี้จำไชให้เข้าวงการบันเทิงถาม : ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าทำไมถึงได้เข้าวงการ เพราะคุณไปเป็นเพื่อนเพื่อนที่ไปทดสอบหน้ากล้องรึเปล่าไจ่ไจ๋ : ครับ ผมไปกับเพื่อนคนหนึ่งที่ไปทดสอบบทชิงเหอในรักใสใสแล้วเกิดไปเข้าตาทีมงานเข้าถาม : ในตอนแรกคุณไม่ได้สนใจวงการบันเทิงเลยใช่ไหมไจ่ไจ๋ : ครับ เพราะว่าผมขี้อาย ตอนแรกผมนึกภาพตัวเองทำงานต่อหน้าฝูงชนไม่ออกเลยถาม : งั้นแล้วทำไมถึงตัดสินใจเข้าวงการบันเทิงซะล่ะไจ่ไจ๋ : วันที่ผมไปเข้าตาทีมงานนั้น โปรดิวเซอร์ชวนผมมาเล่นรักใสใสฯ แต่ผมไม่มั่นใจในทักษะการแสดงของตัวเอง แต่นอกเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผมไม่สามารถนำพาตัวเองให้ทำสิ่งนั้นได้เอาซะเลย ผมก็เลยบอกปัดข้อเสนอไปทันที ผมกลับไปบ้านแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟังแบบขำๆ แม่ผมเกิดสนอกสนใจเรื่องนี้ขึ้นมา (หัวเราะ) ท้ายที่สุด เพราะแรงกดดันจากแม่ ผมเลยต้องตอบตกลง เมื่อผมตอบรับไปกับทางโปรดิวเซอร์แล้วก็เริ่มมีการจัดแจงให้ผมเข้าคลาสการแสดง ผมก็เริ่มเรียนการแสดงทันทีถาม : งั้นก็ต้องขอบพระคุณแม่คุณสำหรับสิ่งที่คุณมีอยู่ตอนนี้ไจ่ไจ๋ : ครับ (หัวเราะ) ผมช่วยสานฝันของแม่ถาม : แม่คุณหน้าสวยเหมือนคุณรึเปล่าไจ่ไจ๋ : แม่หน้าเหมือนผมยังกับแกะเลยครับ (หัวเราะ)ต้าเอสโมโหเมื่อไจ่ไจ๋บอกว่าเป็นแฟนน้องสาวเธอถาม : ความประทับใจเมื่อคุณได้พบเอฟโฟร์คนอื่นๆ และต้าเอสครั้งแรกคืออะไรไจ่ไจ๋ : แวนเนสกับผมเรียนการแสดงด้วยกันตอนแรก เราเข้ากันได้ดีในทันที ส่วนอีก 2 คนนั้นอยู่ในวงการอยู่แล้ว แถมยังมีประสบการณ์ในการแสดงมากกว่า ผมถือว่าเขาเป็นรุ่นพี่ บาร์บี้กับน้องสาวเธอก่อตั้งวงที่เรียกว่า เอสโอเอส ตอนแรกผมเป็นแฟนน้องสาวเธอ (หัวเราะ) บาร์บี้ตัวเล็กมาก ผมประหลาดใจว่ายังมีคนที่เหมือนตุ๊กตาแบบนี้อยู่ด้วยเหรอตอนที่ผมพบบาร์บี้ครั้งแรก ผมดีใจที่เรากลายมาเป็นเพื่อนกันถาม : ตอนที่คุณบอกว่าคุณเป็นแฟนน้องสาวเธอ บาร์บี้โมโหใช่ไหมไจ่ไจ๋ : เธอหัวเสียทันทีที่ผมพูดแบบนั้นออกไป (หัวเราะ)ถาม : ระหว่างสมาชิกเอฟโฟร์ด้วยกัน โดยเฉพาะเจอร์รีที่แก่กว่าคุณ 4 ปี แถมยังเป็นรุ่นพี่ในวงการ คุณต้องได้รับความเอาใจใส่เป็นพิเศษเรื่องการแสดงเพราะว่าเป็นเพื่อนที่เด็กกว่า แล้วก็เป็นศัตรูหัวใจรึเปล่า (ป.ล.....ตรงนี้ไม่ค่อยเข้าใจภาษาอังกฤษเท่าไร...เลยแปลออกมางงๆหน่อยนะ)ไจ่ไจ๋ : อันที่จริงผมไม่รู้สึกว่าอายุของเราต่างกันมากขนาดนั้น ผมคิดว่า เมื่อเราเริ่มทำงาน แม้แต่กับคนที่แก่กว่า 10 ปี เราก็ควรจะปฎิบัติกับพวกเขาอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้น ผมเลยไม่ค่อยรู้สึกเรื่องความแตกต่างของอายุมากนัก แต่ตอนนั้นเจอร์รีเป็นนายแบบที่มีชื่อเสียงแล้ว ผมเคยเห็นเขาในนิตยสาร และทีวีมาก่อนหน้าที่ผมจะเข้าวงการ ดังนั้น ก็เหมือนกับคนทั่วไปรู้สึกเวลาที่ได้เจอดารา ตอนที่ผมเจอเขาครั้งแรกผมประหม่า แต่เมื่อเราทำงานด้วยกัน และกลายมาเป็นเพื่อนกันในไม่ช้า ผมก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลาย เขาต่างจากภาพที่มองเห็นภายนอก และก็บริสุทธิ์เหมือนเด็กหนุ่ม ปรกติแล้วเจอร์รีจะคบหาได้ง่าย แต่ถ้าเขาเริ่มทำงานแล้วละก็ เขาจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จะทำทุกอย่างด้วยความจริงจัง ด้านนี้ของเขาส่งผลดีต่อผม ซึ่งผมก็ได้เรียนรู้จากเขาไปเมืองนอกครั้งแรกเพื่อถ่ายละครที่โอกินาวาถาม : สมาชิกเอฟโฟร์ไปไหนด้วยกันนอกเวลางานรึเปล่าไจ่ไจ๋ : ในตอนแรกเราไม่รู้จักกัน เราเลยไม่ค่อยได้คบหาสมาคมกันมากนัก แต่พอเราถ่ายรักใสใสฯถึงครึ่งหลัง เราทุกคนก็กลายเป็นเพื่อนกัน เวลาที่ผมได้หยุด ผมจะไปเยี่ยมพวกเขาที่กองถ่ายหรือไม่ก็ออกไปหาอะไรดื่มด้วยกัน เรากลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันจริงๆตอนที่เราออกอัลบั้มด้วยกัน ช่วงนั้นเราออกไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยถาม : ตอนนี้พวกคุณทั้ง 4 คนกลายเป็นดาราดังของเอเชียไปแล้ว คุณหาช่วงเวลาแบบนั้นไม่ได้อีกแล้วใช่ไหมไจ่ไจ๋ : เนื่องจากตอนนี้เราแยกกันทำงานเราเลยมีความรู้สึกใกล้ชิดกันมากขึ้น อันที่จริงเราทุกคนต่างยุ่งมาก แล้วก็ไม่มีเวลาไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุข และทนุถนอมช่วงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันมากกว่าเดิม ตอนนี้ แค่การได้กินข้าวด้วยกันก็เป็นสิ่งที่ต้องถนอมเอาไว้ถาม : คุณได้ไปโอกินาวาเพื่อถ่ายละครรักใสใสฯด้วยใช่ไหม ช่วยเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้เราฟังหน่อยสิไจ่ไจ๋ : มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้ไปเมืองนอก ปรกติแล้วคนส่วนใหญ่จะนั่งเครื่องบินไปเมืองนอก แต่ในบทเขียนให้เราไปโอกินาวาทางเรือ ตอนแรกเราทุกคนตื่นเต้นหวาดเสียวมาก โดยเฉพาะผมซึ่งได้ไปต่างประเทศเป็นครั้งแรก ผมตื่นเต้นแล้วก็ตัวลอยไปด้วยความสุข ก่อนที่เราจะไป ทางทีมงานเตือนพวกเราแล้วว่าให้เอายาแก้เมาเรือไปด้วย แต่ผมไม่เคยขึ้นเรือมาก่อน แล้วก็ไม่รู้ว่าการเมาเรือเป็นยังไง ผมก็เลยไม่สนใจ เราสนุกกันมาก แล้วก็ถ่ายทำวันแรกเสร็จโดยไม่มีความขลุกขลักเลยแม้แต่น้อย แต่พอตกกลางคืน พวกเราหัวเราะกันไม่ออกอีกต่อไป พวกเราเมาเรือกันหมดทุกคน (หัวเราะ) เราอาเจียนแล้วก็มีสภาพย่ำแย่มาก (หัวเราะ) (ถึงตอนนี้ไจ่ไจ๋เหลือบตาไปดูบาร์บี้ที่กำลังถ่ายรูปอยู่ใกล้ๆ) ผมคิดว่ามันเกิดขึ้นกับบาร์บี้ด้วยเหมือนกันถาม : คุณต้องผ่านความยากลำบากแบบนั้นในการถ่ายทำ งั้นช่วยเล่าฉากที่คิดว่าควรค่าแก่การดูให้เราหน่อยจะได้ไหมไจ่ไจ๋ : ฉากจูบกับซันไช่บทชายหาดตอนที่เราเดินทางโดยเรือ ผมคิดว่าตัวเองดูเจ๋งเหมือนกัน (ไจ่ไจ๋ยิ้มอายๆ) รักใสใสฯเป็นละครเรื่องแรกของผม บาร์บี้ก็เหมือนกัน มันเป็นฉากจูบในละครฉากแรกของผม มันเหมือนกับการขโมยจูบแรกของกันและกัน (หัวเราะ) (อันที่จริงแล้วบาร์บี้ถ่ายฉากจูบครั้งแรกกับเจอร์รี่)****หมายเหตุ***ที่ไจ๋พูดตรงนี้หมายความว่าไจ๋คิดว่าตัวเองถ่ายฉากจูบกับต้าเอสเป็นคนแรก ขณะที่คนสัมภาษณ์คิดว่าเป็นเจอร์รี ซึ่งแฟนๆจากพลังไจ๋เค้าแย้งว่าจริงๆแล้วไจ๋ถ่ายฉากจูบกับต้าเอสก่อนเจอร์รี แต่ออกอากาศทีหลังต่างหาก คนเลยเข้าใจผิดพูดตลกฝืดๆเป็นวิธีที่ไจ่ไจ๋ตอบแทนๆ F3 ที่ให้ความช่วยเหลือถาม : นอกเหนือจากให้ความสำคัญเรื่องรักแล้ว มิตรภาพระหว่างเพื่อนฝูงก็เป็นสิ่งสำคัญในรักใสใสฯ ในชีวิตจริงคุณมีญาติหรือเพื่อนๆแบบเดียวกับเอฟโฟร์รึเปล่าไจ่ไจ๋ : แน่นอนว่าผมมีญาติๆแล้วก็เพื่อนๆอยู่มากมาย ไต้หวันมีกองทหารที่คนจะนอนแล้วก็อาบน้ำด้วยกัน อยู่ด้วยกัน แต่ปรกติแล้วหาได้ยากที่เพื่อนๆจะอาบน้ำด้วยกัน เมื่อเร็วๆนี้ผมได้ไปเที่ยวน้ำพุร้อนกับเพื่อนสนิทสองสามคน บ่อน้ำพุร้อนของไต้หวันต่างจากญี่ปุ่น มีห้องส่วนตัวที่คนมักจะเข้าไปอาบคนเดียว แต่ครั้งนั้นพวกเราไปอาบกันที่โรงอาบน้ำสาธารณะ เราทุกคนกระโดดลงน้ำโดยไม่มีเสื้อผ้าติดกาย เป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากมากสำหรับผม ผมรู้สึกว่ามิตรภาพของเราแน่นแฟ้นขึ้นหลังจากเหตุการณ์นั้นนะ (หัวเราะ)ถาม : ไต้หวันไม่มีโรงอาบน้ำสาธารณะเหรอไจ่ไจ๋ : มีไม่กี่ที่ เป็นธรรมเนียมที่คนจะสวมชุดว่ายน้ำเวลาอยู่ในที่สาธารณะอย่างสปา เนื่องจากผมไม่คุ้นเคย ในตอนแรกผมจึงคัดค้านการไม่สวมอะไรเลยอย่างรุนแรงเพราะผมอาย แต่ไม่ช้าผมก็เริ่มสนุกกับมัน เราสาดน้ำร้อนใส่กันเหมือนเด็กๆถาม : ในความคิดของคุณ สมาชิกเอฟโฟร์มีความสัมพันธ์กันแบบไหนไจ่ไจ๋ : ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราเป็นยิ่งกว่าเพื่อนร่วมงานกัน สำหรับผม นี่คือกลุ่มแรกของผม ผมเล่นละครเรื่องแรก ออกเทปชุดแรกกับพวกเขา ผมขี้อายมาก ในตอนแรกผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเวลาให้สัมภาษณ์ คนอื่นๆจะเข้ามาช่วยชีวิตผม เพื่อเป็นการตอบแทนพวกเขา ผมเลยเล่าเรื่องตลกให้พวกเขาฟัง แต่เป็นตลกฝืดทั้งหมดเลย (หัวเราะ) แต่หลังจากได้ฝึกปรือมากเข้า เรื่องตลกของผมก็ได้รับความนิยม และกลายเป็นสิ่งสร้างชื่อให้กับผม นักข่าวไต้หวันคิดว่ามันน่าสนใจ เวลาสัมภาษณ์ พวกเขามักจะถามว่า ช่วยเล่าตลกฝืดๆให้ฟังหน่อยสิ (หัวเราะ) แม้ว่าตอนนี้พวกเราจะทำงานที่แตกต่างกันไป แต่สำหรับผมแล้วไม่มีใครจะมาแทนที่สมาชิกเอฟโฟร์ได้ฉากจูบกับบาร์บี้เป็นไฮไลท์ที่ดีที่สุดของมาร์สถาม :ช่วยเล่าเรื่องมาร์สให้ฟังหน่อย มาร์สเป็นเรื่องเกี่ยวกับวัยรุ่นที่จิตใจมีบาดแผลรุนแรง แถมคุณยังเล่นเป็นคนน้องด้วย การที่ต้องเจอความท้าทายจากการเล่นเป็น 2 ตัว คุณต้องใช้ความพยายามในการเล่นอย่างไรบ้างไจ่ไจ๋ : นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าตัวเองเล่นละครได้อย่างมืออาชีพ หลังจากอ่านบท ผมคิดว่าบททั้งคู่เล่นยาก เพื่อเตรียมตัวรับบทนี้ ผมจึงไปหาผู้กำกับ ผู้กำกับแนะนำให้ผมอ่านหนังสือ แล้วบอกว่าหลังจากอ่านหนังสือแล้วผมจะเข้าใจแง่มุมด้านจิตใจของหลิง หลังจากอ่านหนังสือจบเราก็เริ่มถ่ายทำกันในสถานที่จริง การเล่นเป็นคน 2 คนไม่ได้ยากมากมาย ผมแค่เปลี่ยนแปลงวิธีการเล่นนิดหน่อย แต่ที่ผมว่าเล่นยากกว่าคือฉากบู๊ของหลิง ในการถ่ายฉากต่อสู้ที่ออกมาดูเท่ห์ เราต้องอาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อให้ได้ภาพออกมาดีถาม : คุณจะแนะนำให้ดูฉากไหนในมาร์สไจ่ไจ๋ : เราทุกคนต่างทำงานกันหนักมากในมาร์ส ผมหวังว่าคุณจะดูมันทุกตอน แต่ถ้าต้องแนะนำ ก็น่าจะเป็นฉากจูบกับคิระซึ่งสวยมาก คุณต้องเห็นเอง ในชีวิตจริง ความสัมพันธ์ระหว่างบาร์บี้กับผมคือพี่สาวกับน้องชาย เรามักจะพูดจาตลกๆแล้วก็แกล้งกัน การต้องมาถ่ายฉากจูบเลยทำให้เขินมาก บาร์บี้มีแฟนแล้ว ก่อนที่จะถ่ายเราจะบอกกันว่าให้ถ่ายเสร็จในเทคเดียว แต่พอเห็นหน้ากัน พวกเราก็จะหลุดหัวเราะออกมา บางครั้งต้องเทคตั้งหลายหนกว่าจะถ่ายได้ฉากเดียว (หัวเราะ)ผมมีแนวโน้มเป็นนักแสดงมากกว่านักร้องถาม : คุณทั้งเล่นละครแล้วก็ร้องเพลง คุณจะทำงานทั้ง 2 อย่างนี้ต่อไปรึเปล่าไจ่ไจ๋ : นับตั้งแต่ผมเข้าวงการมาจนถึงตอนนี้ ผมออกเทปในไต้หวันไปแล้ว 2 ชุด แล้วก็เล่นละครมาหลายเรื่อง ผมจะเล่นละครแล้วก็หนังถ้ามีบทดีๆ แต่ถ้าถามตัวผม ผมชอบการแสดงมากกว่าร้องเพลงถาม : ไจ่ไจ๋ ถ้าคุณเจอคนที่ชอบ คุณเป็นคนแบบไหน ตามติดไม่ปล่อยเหมือนเต้าหมิงซื่อ หรือเฝ้าดูแลเอาใจใส่แบบเล่ยไจ่ไจ๋ : อืม ในชีวิตจริง ผมคิดว่าผมเหมือนเต้าหมิงซื่อมากกว่า (หัวเราะ) ประเภทไล่ตามแบบเต็มสตีม (หัวเราะอย่างเบิกบาน)ถาม : แล้วคุณชอบผู้หญิงแบบไหนไจ่ไจ๋ : ผมชอบผู้หญิงอ่อนโยน แต่คงจะไม่ดีถ้าเธอไม่ชอบพูด คงจะดีที่สุดถ้าเธอสามารถเล่นบาสเกตบอลกับเพื่อนผู้ชายของผมได้ นอกเหนือจากนั้นแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือความกตัญญูต่อพ่อแม่ เป็นเรื่องดีที่จะกตัญญูต่อพ่อแม่ของผม แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ กตัญญูต่อพ่อแม่ของเธอเอง เหตุผลก็คือว่า คนที่กตัญญูต่อพ่อแม่ตัวเองจะต้องไม่ใช่คนเลวถาม : ตอนเด็กๆคุณเป็นเด็กแบบไหน คุณหน้าหวาน คุณโด่งดังแถวบ้านรึเปล่าไจ่ไจ๋ : ไม่ใช่เลย ผมแตกต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง ตอนเด็กๆผมค่อนข้างเป็นตัวป่วนถาม : คุณเป็นเด็กแอคถีฟรึเปล่าไจ่ไจ๋ : แอคถีฟเกินไปด้วยซ้ำถาม : แล้วคุณเก่งอะไรไจ่ไจ๋ : ผมชอบวาดรูปแล้วผมก็ค่อนข้างจะเก่งเรื่องนี้ พี่ชายผมก็ชอบวาดรูป เรามักจะวาดแข่งกัน ผมเกลียดการแพ้เป็นพิเศษ ผมจะแอบดูรูปที่พี่วาดจากหางตา (ถึงตอนนี้ไจ๋แกล้งทำเป็นมองด้วยหางตา) ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพี่ชายผมวาดภาพบ้าน ผมก็จะวาดแบบเดียวกัน (ไจ๋ทำท่าวาดภาพ) ถ้าผมเห็นเขาวาดต้นไม้ เพื่อไม่ให้แพ้ผมก็จะวาดต้นไม้ด้วย ผมจะเอาภาพวาดไปให้แม่ดูแล้วถามประมาณว่า รูปของผมสวยกว่าใช่ไหม ผมมีความมุ่งมันมากจริงๆ (หัวเราะ)ข้อเสนองานที่ต่างประเทศต้องรวมค่าตั๋วไปกลับทุกอาทิตย์ด้วย (หัวเราะ)ถาม : มีแผนจะไปทำงานที่ต่างประเทศในอนาคตรึเปล่าไจ่ไจ๋ : มีข้อเสนอเข้ามาอยู่เสมอ แต่ผมยังเป็นนักเรียนอยู่แล้วก็จำเป็นต้องเข้าเรียนอาทิตย์ละ 3 วัน เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะไปอยู่ต่างประเทศนานๆเพื่อถ่ายทำ ผมเลยรับงานในไต้หวันมากกว่าที่อื่น มีข้อเสนอทุกประเภทจากฮ่องกง และจีน สิ่งแรกที่ผมจะถามไปก็คือ พวกเขาจะจ่ายค่าตั๋ว 2 ใบทุกอาทิตย์ เพราะว่าผมต้องกลับไปไต้หวันรึเปล่า (หัวเราะ) ผมล้อเล่นน่ะ ตอนนี้การไปทำงานที่ต่างประเทศค่อนข้างลำบาก ปัจจุบันไม่มีแผนไปทำงานที่ต่างประเทศเป็นชิ้นเป็นอันนักถาม : มีแฟนๆจำนวนมากไปรอรับคุณที่สนามบินตอนมาญี่ปุ่น ช่วยพูดอะไรกับพวกเขาหน่อยไจ่ไจ๋ : ตอนนั้นผมมีความสุขมาก ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นแฟนๆมารอกันเป็นจำนวนมาก ต้องขอบคุณการสนับสนุนของแฟนๆที่ทำให้ผมมาไกลถึงขนาดนี้ คงจะเป็นเรื่องดีถ้าในอนาคตสมาชิกเอฟโฟร์จะสามารถไปที่อื่นนอกจากโตเกียว ไปเยือนสถานที่อื่นในญี่ปุ่นเพื่อโปรโมทตอนที่ถ่ายรูปก่อนจะสัมภาษณ์ ตากล้องออกคำสั่งแล้วคำสั่งเล่า อาทิ จับตรงนี้ มองตรงนั้น นั่งตรงนี้ ไจ่ไจ๋ก็จะทำอย่างที่บอก แต่เขาจะบอกว่า ถ่ายไปเยอะๆเลยครับ ให้พอพิมพ์อัลบั้มรูปได้เล่มหนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะวิตกที่การถ่ายรูปเสร็จเร็วกว่ากำหนด- รูปที่ไจ๋ทำหน้าตลกๆ และยิ้มแบบซุกซนถ่ายระหว่างถ่ายรูปทำหน้าจริงจัง- แต่นอกเหนือจากการโพสต์ท่าพวกนั้นแล้ว ไจ่ไจ๋แค่จ้องมองกล้องอย่างจริงจังก็แสดงให้เห็นใบหน้าที่สวยงาม และนัยน์ตาพราวของเขาได้ อีกครั้งหนึ่งที่ความคิดผุดขึนมาในใจฉันว่าทั้งที่เป็นชายหนุ่มที่ง่ายๆสบายๆแบบนี้ แต่เขาถูกกำหนดมาเล้วให้เป็นดารานับตั้งแต่เข้าเริ่มเข้าสู่วงการ ไจ่ไจ๋ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการออกเสียงมาตลอด ระหว่างให้สัมภาษณ์ ไจ่ไจ๋จะหันไปขอคำยืนยันจากสตาฟด้วยคำถาม อาทิ ผมออกเสียงถูกรึเปล่า ออกเสียงถูกใช่ไหม (แต่ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนว่าไจ๋จะออกเสียงผิดอยู่สองสามครั้ง)แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นดาราใหญ่แล้ว แต่ไจ่ไจ๋ก็ยังขี้อายอยู่ ในตอนแรกเขาต้อนรับเราด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดูประหม่านิดๆ ระหว่างให้สัมภาษณ์เขาพูดคุยอย่างมีความสุขด้วยนัยน์ตาโตที่เคลื่อนไหวไปมา ตอนที่มีการสัมภาษณ์ ไจ่ไจ๋ยังเป็นหวัดนิดหน่อย หลังการสัมภาษณ์ที่โรงแรม เขามีคิวแน่นเอี้ยดทั้งการแถลงข่าว พบปะกับแฟนๆ และออกรายการวิทยุสด แต่ทั้งหมดนี้แล้ว เขาก็ยังดูขี้อายนิดๆ ตอบคำถามหรือยิ้มแบบซุกซนอยู่ตลอดเวลา แตกต่างจากรอยยิ้มเพื่อการค้าของศิลปินอย่างสิ้นเชิง น่าจะเป็นเพราะธรรมชาติแล้วเขาเป็นคนน่ารัก และสุภาพ ไจ่ไจ๋เป็นคนที่สดชื่น ง่ายๆ แล้วก็หล่อเหลา คงจะเป็นเรื่องน่าสนใจมากที่จะดูกันต่อไปว่าเขาจะเติบโตเป็นนักแสดง และผู้ชายแบบไหนออกเสียงผิดระหว่างสัมภาษณ์ไจ่ไจ๋กำลังเล่าเรื่องการเดินทางไปโอกินาวา หลังจากที่เขาพูดว่าพวกเขาเดินทางโดยเรือ ไจ่ไจ๋ก็หันไปถามทีมงานที่นั่งอยู่ด้วยว่าถูกรึเปล่าเพราะว่าเขามีปัญหาในการออกเสียง อัน กับ อัง ไจ่ไจ๋ทดลองออกเสียงช้าๆก่อน ซึ่งทุกคนก็รับรองว่าถูก แต่ความพยายามของไจ๋สูญเปล่า...เขาพูดผิดเข้าเต็มเปาไจ่ไจ๋ออกเสียง ซางชวน (shang chuan) ผิดเป็น ซางชวง (shang chuang ) แล้วซางชวนนั้นคือการขึ้นเรือ ขณะที่ซางชวงคือการขึ้นเตียง ซึ่งหมายถึงไปนอนหรือในทางกลับกันอาจหมายถึงการเมคเลิฟ ไจ่ไจ๋พูดถึงการเดินทางไปโอกินาว่าอย่างสนุกสนาน แต่ทว่าการพูดเรื่องการเดินทางอาจถูกตีความว่าเป็นการเมคเลิฟแทน สตาฟทำได้แค่ยิ้มแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจบแล้วจ้า