Group Blog
 
All Blogs
 

เก็บตก F4@Tokyo - คำแปลจากนิตยสาร Hao Cool ของญี่ปุ่น




คำแปลจากนิตยสารญี่ปุ่น “ฮาว คูล” ฉบับ 25 ม.ค. 2549


Image hosting by Photobucket


ต้องขอขอบคุณผู้มีอุปการะคุณมา ณ ที่นี้ นั่นคือ

cocochan (vicpower.net)ผู้สแกนรูปอันสวยงามมาแปะ

gk (vicpower.net)มือแปลจากภาษาญี่ปุ่นมาเป็นภาษาปะกิต

laiou2002 (vicpower.net)ที่เอารูปเอาเรื่องมาแปะให้เราได้อ่านกัน

คำแปลหน้าที่ 6-10


Image hosting by Photobucket

ปี 2548 เป็นปีที่เอฟโฟร์ผุดขึ้นมาในญี่ปุ่น
ถึงแม้ว่าญี่ปุ่นจะเป็นที่สุดท้ายในเอเชีย แต่ในที่สุด เราก็สังเกตเห็นเสน่ห์ของเอฟโฟร์เข้าจนได้

แฟนญี่ปุ่นจำนวนมากที่ทอดตามองโดเมียวจิกับรูอิที่ยัง “ละอ่อน” อยู่เป็นครั้งแรกในปี 2544 ได้ค้นพบเอฟโฟร์ในภาพลักษณ์ใหม่ และมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเมื่อพวกเขามาญี่ปุ่นในปี 2548

เริ่มจากภาพในงานแถลงข่าว ตามด้วยภาพในหนังสือ F4@Tokyo เราได้เห็นหนุ่มๆเหล่านี้ – เป็นผู้ใหญ่มากพอที่จะดูหล่อเหลาในชุดสูท แต่ก็ยังคงความอ่อนเยาว์ (ดังในเรื่องรักใสใสฯ) เอาไว้ยามโพสต์ท่าถ่ายรูปบนท้องถนนในกรุงโตเกียว

8 เดือนมาแล้วนับจากตอนนั้น เราอยากจะเรียกความตื่นเต้นในช่วงเวลานั้นกลับมาใหม่ แล้วในปี 2549 นี้พวกเราก็จะตั้งหน้าตั้งตารอดูเอฟโฟร์ที่เติบโตมากขึ้นกว่าเดิมกันต่อไป


เบื้องหลังการถ่ายอัลบั้มภาพ F4@Tokyo

Image hosting by Photobucket

เสาร์ 23 เมษายน 2548
- 13.00 เจอร์รี่มาถึงสนามบินนาริตะ
- 16.00 แวนเนสมาถึงสนามบินนาริตะ


Image hosting by Photobucket

Image hosting by Photobucket

Image hosting by Photobucket

มีแฟนกว่า 1,000 คนมารอเอฟโฟร์อยู่ที่สนามบินนานาชาตินาริตะ สมาชิกเอฟโฟร์คนแรกที่มาถึงคือเจอร์รี่ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยจึงไม่มีแผนพบปะพูดคุยกับสื่อที่ห้องรับรองของสนามบิน แต่เมื่อมีไมโครโฟนตัวหนึ่งยื่นมาข้างหน้า เจอร์รี่เลยต้องตอบคำถามออกไป อีกประมาณ 3 ชั่วโมงถัดมา แวนเนสก็มาถึง แวนเนสที่มีกีตาร์อยู่ในมือข้างหนึ่งพูดพึมพำว่า “ไปโตเกียวกันตอนนี้เลยเหอะ”

-19.00 เจอร์รี่กับแวนเนสลองชุดที่โรงแรมโตเกียว โดม


สกู๊ปเจาะลึก – เอพิโซด 1

อาหารมื้อแรกของเจอร์รีคือแฮมเบอร์เกอร์ ระหว่างเดินทางจากนาริตะไปโตเกียว เจอร์รี่ได้แวะพักที่ลานจอดรถแห่งหนึ่งบนไฮเวย์ เมื่อสตาฟฟ์ถามว่าอยากกินอะไรเป็นของว่าง เจอร์รี่ขอแซนวิชแฮมชิ้นหนึ่ง แต่ไม่มีแซนด์วิชแฮมขาย สตาฟฟ์เลยซื้อแฮมเบอร์เกอร์มาให้เขาอันหนึ่ง ในวันสุดท้ายที่มีการถ่ายรูปกัน สมาชิกเอฟโฟร์ได้ร้องขอแฮมเบอร์เกอร์เป็นอาหารกลางวัน ดูเหมือนว่าแซนด์วิชจะเป็นอาหารโปรดของพวกเขานะเนี่ย


อาทิตย์ 24 เมษายน 2548
- 10.00 แวนเนสถ่ายรูปที่เฮาส์ สตูดิโอในย่านคาบูกิโช ชินจูกุ (รูป A)

Image hosting by Photobucket

-การถ่ายรูปมีขึ้นที่สตูดิโอซึ่งดัดแปลงมาจากโรงแรมเก่าแห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนั้นดูค่อนข้างน่ากลัว แต่แวนเนสกลับชอบฉากที่เซ็ตขึ้น เขาอารมณ์ดีถึงขั้นกระโดดข้ามถังขยะในห้องไปมา แถมยังขอให้เอาภาพนี้ใส่ไว้ในหนังสือด้วย (แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใส่ไว้เนื่องจากไม่เข้ากับดีไซน์ของหนังสือ)

- 12.00 แวนเนสถ่ายรูปบนถนนในย่านคาบูกิโจ ชินจูกุ (ภาพ B)

แวนเนสสนใจท้องถนนในคาบูกิโชมากเพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มาที่นี่ พอมีคนเล่าให้ฟังว่าจะมีคนแปลกๆมาปรากฎตัวที่ถนนสายนี้ในยามค่ำคืน แวนเนสก็ตอบออกมาว่า “ผมหวังว่าจะได้กลับมาที่นี่ตอนกลางคืน” แม้ว่าทีมงานจะพยายามทำตัวไม่เป็นจุดเด่นระหว่างการถ่ายทำ แต่แวนเนสดูเท่เกินไปสำหรับถนนคาบูกิโชในในตอนกลางวัน (มันแน่อยู่แล้ว......) พวกคนเดินถนนเก๊าะเลยหยุดมองดูเขากันใหญ่

Image hosting by Photobucket

-13.00 แวนเนสถ่ายภาพเสร็จ

หลังจากถ่ายภาพเสร็จ แวนเนสก็ไป คิตาซาวา เพื่อช้อปปิ้งด้วยตัวเอง แถมยังนั่งรถไฟด่วนสาย Koda ไปเสียด้วยนะ (แน่จริงมานั่ง BTS บ้านเรามั่งจิ) ในเวลาเดียวกันนั้น เจอร์รี่ซึ่งพร้อมสำหรับการถ่ายรูปที่จะเริ่มขึ้นในตอนเย็นก็ได้ไปกินอาหารกลางวันที่ คันรากุซากะ (ป.ล. ตรงนี้คนแปลจากภาษาญี่ปุ่นเป็นปะกิตเค้าบอกว่าไม่แน่ใจว่าออกเสียงถูกร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่านะ) ใกล้ๆกับโรงแรมที่พักอยู่ เจอร์รี่ใช้เวลาเดินผ่านร้านอาหารทีละร้านๆจนกระทั่งไปลงเอยที่ร้านอาหารญี่ปุ่นเก่าแก่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง

-16.00 เจอร์รี่ถ่ายภาพที่สตูดิโอใน ชินกิบะ (ภาพ C กับ D)

-ทีมงานสามารถเช่าไลฟ์เฮาส์ที่ป๊อปปูลาร์แห่งหนึ่งมาใช้ถ่ายทำได้ทั้งที่เป็นช่วงสุดสัปดาห์ ทีมงานต้องการภาพเจอร์รี่ที่เป็นผู้ใหญ่ใช้เวลาหลังเลิกงานอย่างเพลิดเพลินริมสระน้ำ (ภาพ D) ซึ่งเจอร์รี่ก็โพสต์ท่าได้ตามนั้น ในตอนนั้นลมค่อนข้างแรงแล้วอุณหภูมิก็ต่ำ ทางทีมงานเลยแนะนำให้เจอร์รี่สวมเสื้อโค้ต แต่เจอร์รี่กลับบอกว่าภาพจะออกมาสวยกว่าถ้าเขาสวมแค่สูทตัวเดียว ด้วยเหตุนี้เอง เราก็เลยได้ภาพสวยๆออกมา

- 20.00 เจอร์รี่ถ่ายภาพเสร็จ
-20.00 เคนกับไจ๋มาถึงสนามบินนาริตะ


Image hosting by Photobucket

Image hosting by Photobucket

พอมาถึง เคนก็ขอแลกเงินทันที เคนบอกว่าจะมาช้อปปิ้งที่โตเกียวแล้วก็จะแลกเงินที่สนามบินเป็นประจำ (เหมือนเราเลย...ไปเมืองนอกทีไรแลกเงินที่หนามบินทู้กที.....ไม่มีเวลาไปแลกที่อื่นล่ะสิคุณเสี้ยว) ระหว่างทางไปโตเกียว เคนบอกว่าอยากไปร้านที่อาโอยามะระหว่างอยู่ที่นี่

อีกฝากหนึ่ง ไจ๋ (ถ้าจะพูดให้ถูกต้องเป็นรถบัส) ไม่สามารถเข้าไปใกล้โรงแรมได้เพราะมีแฟนๆจำนวนมากมาออกันอยู่ด้านนอกโรงแรม เรื่องจึงลงเอยด้วยการให้ไจ๋กระโดดขึ้นรถแท็กซี่แล้วนั่งเข้าไปในโรงแรม แต่พอเข้าไปถึง สิ่งแรกที่ไจ่ไจ๋ทำไม่ใช่เช็คอิน แต่ดันตรงดิ่งไปหาแกงกะหรี่กินเสียนี่! (เฮ้อ....น้องชายฉาน.....มันชอบกินแกงกะหรี่จริงๆนะเนี่ย)


-23.00 เคนกับไจ๋ลองเสื้อที่โรงแรมโตเกียว โดม

สกู๊ปเจาะลึก – เอพิโซด 2

ที่เคาน์เตอร์ร้านขายราเมนชื่อดังแห่งหนึ่ง....เจอร์รี่กับแวนเนสที่มาถึงญี่ปุ่นก่อนหน้าเคนกับไจ๋วันหนึ่งได้ออกไปร้านขายราเมนสุดป๊อปที่ขึ้นชื่อเรื่องโตโรในย่านอิบิจูด้วยกัน (ป.ล. โตโรนี่เป็นเนื้อส่วนพุงของปลาทูนาซึ่งเป็นส่วนที่อร่อยมากกกกกเพราะจะมีไขมันแทรกอยู่ในเนื้อด้วย...ทำให้เวลากินแทบจะละลายเข้าไปในปาก.....โอย...พูดแล้วน้ำลายไหล) (ป.ล.2...อ่านแล้วสงสัยนิดๆว่าร้านขายราเมนเค้าขายไอ้เจ้าโตโรนี่ขายด้วยฤา....เพราะได้ยินมาว่า (ยังไม่เคยไปญี่ปุ่นอ่ะ) ตามปรกติร้านขายราเมนจะขายแต่ราเมน....ถ้าจะกินโตโรน่าจะไปกินที่ร้านขายซูชินิ....หรือร้านนี้พิเศษออกไป.....เอาเป็นว่าแปลไปตามนี้แล้วกันนะ)

ทั้งคู่กินที่เคาน์เตอร์ขายบะหมี่ปะปนกับลูกค้าทั่วๆไป หลังจากนั้น เจอร์รี่กับแวนเนสก็ไปชิบูยาเพื่อซื้อของที่ร้านขายเสื้อผ้าแล้วก็เครื่องประดับบนถนนสายหลัก แถมยังไปร้านทสึทายาด้วยนะ


จันทร์ 25 เมษายน 2548
-10.00 ถ่ายรูปหมู่ที่สวนริมชายฝั่งใน เซนานจิมา

Image hosting by Photobucket


-ทั้งหนุ่มๆเอฟโฟร์แล้วก็ทีมงานต่างตื่นเต้นกับการถ่ายรูปหมู่ครั้งแรกในญี่ปุ่นที่จะติดตรึงอยู่ในความทรงจำไม่แพ้กัน....เจอร์รี่กับแวนเนสซึ่งถ่ายรูปเดี่ยวของตัวเองเสร็จแล้วนั้นดูผ่อนคลายเป็นพิเศษ แต่พอพวกเขาพร้อมจะถ่ายรูป ฝนเจ้ากรรมดันตกลงมา โชคไม่ดีที่สามารถถ่ายได้เพียงไม่กี่ช็อตก่อนที่ทีมงานทั้งหมดต้องวิ่งเข้าไปหลบในรถบัส

-12.30 ถ่ายรูปหมู่ที่โตเกียวทาวเวอร์

-ฝนหยุดตกระหว่างที่พวกเขาเปลี่ยนสถานที่ถ่ายทำ ดังนั้น เมื่อทีมงานมาถึงโตเกียวทาวเวอร์ อากาศจึงแจ่มใสมาก ไจ๋กับเคนเพิ่งมาถึงเมื่อวันก่อน พวกเขาก็เลยวิตกนิดหน่อย แต่พอถูก “บังคับ” ให้เข้าไปในสนามเด็กเล่นก็เริ่มคึกคักขึ้นมา แวนเนสกระโดดเข้าไปในตัวอันปังแมนแล้วก็ชอบใจเอามากๆถึงขั้นขอให้ตากล้องถ่ายรูปเอาไว้ ช็อตนี้ถูกรวมเอาไว้ในหนังสือด้วย แล้วก็เป็นภาพที่ป๊อปปูลาร์มากภาพหนึ่งเลยหละ

Image hosting by Photobucket

-16.00 ถ่ายรูปหมู่ที่สตูดิโอในอาโอยามา

Image hosting by Photobucket

หลังจากที่ได้มีการถ่ายภาพหนุ่มๆยามที่ไม่ได้อยู่บนเวทีกันไปมากแล้ว ธีมของการถ่ายภาพที่นี่คือ “เอฟโฟร์บนเวทีที่มีสไตล์“ ไจ๋กับเคนที่เริ่มผ่อนคลายกับการถ่ายรูปบ้างแล้วก็เริ่มเล่นตลกคะนองกัน อีกฟากหนึ่ง เจอร์รี่กับแวนเนสคงจะเหนื่อยนิดหน่อยกับการขึ้นโตเกียวทาวเวอร์เลยนั่งพักกันอยู่บนโซฟา ช่างเป็นภาพตัดกันที่ดูดีเสียนี่กระไร

หลังจากถ่ายภาพหมู่แล้วก็เป็นการเจาะถ่ายทีละคนโดยเริ่มจากเจอร์รี่ ไจ่ไจ๋น่ารักมาตอนรอให้ถึงคิวตัวเองอย่างเงียบๆ (กรี๊ด....อยากเห็น)


- 20.00 การถ่ายทำในวันนี้เสร็จลง

สกู๊ปเจาะลึก – เอพิโซด 3

ของที่ระลึกจากญี่ปุ่นของแวนเนส ทำเอาทีมงานเซอร์ไพรส์ไปตามๆกัน นี่เป็นครั้งแรกที่หนุ่มๆเอฟโฟร์ได้ไปโตเกียวทาวเวอร์ หลังถ่ายเสร็จ พวกเขาได้ไปกินข้าวกลางวันกันที่ร้านอาหารริมถนนแล้วก็ซื้อของกันที่ร้านขายของที่ระลึก แวนเนสใช้เวลาซื้อของฝากอยู่นานถึง 20 นาทีก่อนจะมาลงเอยที่พวงกุญแจน่ารักๆรูปตัวมาสคอตของโตเกียวทาวเวอร์ ตามคำแนะนำของสตาฟฟ์

คำแปลหน้า 11-12


Image hosting by Photobucket


อังคาร 26 เมษายน 2548
-9.00 ไจ่ไจ๋ถ่ายรูปที่ชิบูยา (รูป H)

-ช็อตแรกๆถ่ายที่สี่แยกสถานีรถไฟชิบูยาอันแสนจะเบียดเสียดวุ่นวาย โชคดีที่เป็นตอนเช้าตรู่เลยทำให้มีคนสังเกตเห็นไจ่ไจ๋ไม่มากนัก ไจ่ไจ๋ที่กลืนไปกับท้องถนนในชิบูยาได้อย่างแนบเนียนโพสต์ท่าน่ารักๆใส่ตากล้องแบบที่เห็นในภาพ H

Image hosting by Photobucket

ตอนอยู่ที่สี่แยก ทีมงานวางแผนจะถ่ายภาพตอนที่ไฟเขียวพอดี แต่ไจ่ไจ๋ก็แกล้งทำท่าว่าข้ามถนนไม่ทัน


-11.00 ไจ่ไจ๋ถ่ายภาพที่เฮาส์ สตูดิโอในฮิกะชิกิตาซาวะ (ภาพ I)

สำหรับการถ่ายภาพชุดนี้ ทีมงานได้เตรียมชาญี่ปุ่น (แบบที่ใช้ในพิธีชงชา) เอาไว้ในห้องญี่ปุ่นแบบโบราณปูด้วยเสื่อตาตามิ ไจ่ไจ๋มองดูชาด้วยสีหน้าค่อนข้างประหลาดใจ หลังถ่ายเสร็จ ทีมงานเลยถามว่าอยากจะลองดื่มชาดูไหม ไจ่ไจ๋หยุดคิดนิดหนึ่งแล้วตอบว่า “ดูท่าว่าจะขม....ผมขอผ่านดีกว่า) ไจ่ไจ๋ยังสนใจสิ่งละอันพันละน้อยอย่างบานประตูเลื่อนแล้วก็อื่นๆอีกมากมาย ฯลฯ อีกด้วย

Image hosting by Photobucket

- 13.00 ถ่ายรูปหมู่ที่เฮาส์ สตูดิโอในฮิกะชิกิตาซาวะ (ภาพ J)

หลังจากถ่ายรูปหมู่ที่เฮาส์สตูดิโอกันไปบ้างแล้ว ทีมงานก็วางแผนจะย้ายไปสวนโยโยกิเพื่อถ่ายภาพเพิ่มเติมในตอนบ่าย แต่ฝนกลับตกลงมาอีกแล้ว แถมคราวนี้ยังมีฟ้าผ่าลงมาด้วย ดูท่าว่าฝนคงจะไม่หยุดตกง่ายๆ ดังนั้น ทีมงานเลยต้องเปลี่ยนตารางการทำงานใหม่ พอได้ยินเรื่องที่ต้องเปลี่ยนแผนงานใหม่ ไจ่ไจ๋เลยพูดขึ้นมาว่า “สงสัยผมคงจะพาฝนมาอีกแล้ว...ผมเคยถูกเรียกว่า “พระพิรุณ” หรือเทพแห่งสายฝนมาก่อน (ไม่ใช่เทพแห่งสงคราม God Mars เหรอจ๊ะน้องไจ๋...อิอิ) ไจ่ไจ๋ยังได้พูดถึงเรื่องนี้ในการแถลงข่าวที่มีขึ้นในวันถัดไปด้วย

- 16.00 เคนถ่ายภาพบนถนนในรปปงหงิ (ภาพ K)

Image hosting by Photobucket

-เคนเคยบอกเอาไว้ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงว่าอยากไปอาโอยามา แต่ว่าที่นี่ไม่ใช่อาโอยามา การถ่ายรูปมีขึ้นแบบสบายๆบนท้องถนน ช็อตหลังๆถ่ายกันที่ร้านทสึทายา (แต่ที่นี่เป็นร้านหนังสือนะ...ไม่ใช่ร้านวิดีโอแบบบ้านเรา) ที่ตั้งอยู่หน้าตึก รกคูปงงิ ระหว่างที่ทีมงานพักดื่มชา เคนจ่มจ่อมอยู่ที่มุมหนังสือภาพถ่าย ดูหนังสือบางเล่มด้วยใจจดจ่อ เขามองหาอะไรบางอย่างอยู่จนกระทั่งนาทีสุดท้ายที่พวกเราต้องไปกันแล้ว

-19.00 ถ่ายรูปหมู่บนถนนที่กินซ่า และในรถลีมูซีน (ภาพ L หน้า 12)

Image hosting by Photobucket


วันนั้นแวนเนสมาถึงสถานที่ถ่ายทำเร็วไปนิดก็เลยต้องไปนั่งรอที่ร้านกาแฟบนสี่แยกถนนกินซ่าสาย 4 (กินซา ชิโชเมะ) จากนั้น สี่หนุ่มก็รวมตัวกันเพื่อถ่ายช็อตสุดท้าย บนถนนกินซ่า เอฟโฟร์ยืนอยู่ข้างรถลีมูซีนในชุดสูทสีดำ คนที่ผ่านไปผ่านมาอดไม่ได้ที่จะต้องร้องตะโกนออกมาว่า “พวกเขาหล่อจังเลย”

Image hosting by Photobucket

- 20.00 การถ่ายทำเสร็จสิ้น (สำหรับเจอร์รี่ แวนเนส ไจ่ไจ๋เท่านั้น)

สกู๊ปเจาะลึก – เอพิโซด 4

เอฟโฟร์ฉลองกันบนถนนในกินซ่า ยกเว้นเคนคนเดียว อีก 3 คนที่เหลือถ่ายหนังสือภาพเล่มนี้เสร็จแล้ว เมื่อถ่ายช็อตสุดท้ายเสร็จ พวกเขาเลยคว้าเอาแชมเปญ (ที่มีไว้ถ่ายทำ) มาฉลองวาระที่ถ่ายเสร็จกัน

Image hosting by Photobucket

แวนเนสกับไจ่ไจ๋ถึงกับออกมาจากลีมูซีนแล้วดื่มแชมเปญจากขวดกันบนถนนด้วย ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะได้เห็นภาพเหล่านี้โดยมีท้องถนนกินซ่ายามเย็นเป็นฉากหลัง คนเดินถนนคงประหลาดใจที่ได้เห็นเอฟโฟร์บนถนนในโตเกียว





 

Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2549    
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2549 17:07:19 น.
Counter : 1219 Pageviews.  

“ไจ่ไจ๋และมาร์ส” จากปากคำของเสี่ยวซิ่ว-ไล่หย่าเหยียน



บทความชิ้นนี้เอามาจากนิตยสารญี่ปุ่นชื่อ Junon Faryu Star Now Magazine เป็นบทสัมภาษณ์พระรองนางรองเรื่องมาร์ส 2 คน คือ ไล่หย่าเหยียน หรือ เมแกน คนที่เล่นเป็นฉิงเหม่ย กับ เสี่ยวซิ่ว ที่เล่นเป็นต๊ะเหย่

ถึงแม้จะไม่ได้สัมภาษณ์ไจ่ไจ๋โดยตรง แต่บทความชิ้นนี้ก็พูดถึงไจ่ไจ๋ กับบรรยากาศการถ่ายทำมาร์สเอาไว้พอสมควรเลยหยิบเอามาฝากกัน

อ้อ...เราแปลบทความนี้มาจากภาษาอังกฤษที่คุณ
laiou2002 แห่งเว็บ vicpower.net
ผู้มีคุโนปการกับแฟนไจ๋เป็นอย่างยิ่งแปลเอาไว้...ต้องขอบพระคุณเอาไว้ที่นี่ด้วย...ถ้าไม่มีเค้าเราก็คงพลาดอะไรดีๆไปเยอะ....


Image hosted by Photobucket.com

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมมันขยันแปลจัง...ที่เห็นแปลบ่อยๆนี่ไม่ใช่ขยันอะไรหรอก...จริงๆเป็นเพราะตัวเองก็อยากรู้เรื่องไจ๋อยู่แล้ว...เวลาเจอข่าวหรือบทความถ้าอ่านเฉยๆแล้วมันไม่ค่อยได้อารมณ์...ต้องแปลไปด้วยถึงจะเข้าใจแจ่มแจ้งเลยแปลออกมาบ่อยๆ...แล้วไหนๆก็แปลแล้วจะเก็บไว้อ่านคนเดียวไปไย...สู้เอามาแปะให้คนอื่นๆ (โดยเฉพาะแฟนไจ๋) ให้อ่านด้วยดีกว่าเพื่อเป็นการเผยแพร่ความน่ารักของไจ๋ไจ๋จะได้เข้าคอนเซปต์ของแฟนๆไจ๋ที่ว่า

...let's support ZaiZai together....


พล่ามมาเสียเยอะ....เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า....

“ไจ่ไจ๋และมาร์ส” จากปากคำของเสี่ยวซิ่ว-ไล่หย่าเหยียน


Image hosted by Photobucket.com

พูดคุยกับเสี่ยวซิ่ว-เมแกน
สัมภาษณ์พิเศษที่ไทเป
เบื้องหลังมาร์ส
เราบอกคุณหมดทุกอย่าง
พบกับต๊ะเหย่ และฉิงเหม่ยจากมาร์สกันอีกครั้ง!
เราได้มาพูดคุยกับพวกเขาที่นี่!
ไม่ว่าจะเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในการถ่ายทำไปจนถึงเรื่องลับๆที่เกิดขึ้นช่วงหยุดพักจากการถ่ายทำ และเรื่องที่ว่าไจ่ไจ๋เป็นอย่างไรเวลาอยู่นอกเวลางาน
ทั้งคู่จะบอกเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจกับคุณ ตรงกันข้ามกับเนื้อหาที่ต้องคิดลึกของละคร
และนี่คือสกู๊ปเจาะลึกที่ส่งตรงจากพวกเค้าทั้งสองคน!


ออกสตาร์ทด้วยความเข้มข้น


เมแกน - พวกเรา ไจ่ไจ๋ แล้วก็ต้าเอสต้องเข้าคลาสเรียนแอคติ้งกันเดือนหนึ่ง เริ่มจากการสร้างทีมเวิร์คระหว่างพวกเราทั้ง 4 คน

เสี่ยวซิ่ว – ตอนแรกๆพวกเรายังอายอยู่ แต่ไม่นานเราก็เข้ากันได้ดีมาก

เมแกนมาถึงคาเฟที่นัดหมาย วันนั้นเธอสวมอะไรบางอย่างที่ดูคล้ายชุดวันพีซ เธองดงามมากเสียจนทำให้ร้านสว่างวาบขึ้นมาทันใดด้วยแสงสว่างหลายร้อยวัตต์ เธอสบตากับทุกคนที่อยู่ที่นั่น

Image hosted by Photobucket.com

เสี่ยวซิ่วมาถึงหลังจากนั้นเล็กน้อย “คุณจะให้พวกเราเรียกว่าอะไร” เมื่อถูกถามแบบนี้เขาก็ตอบอย่างอายๆว่า “เสี่ยวซิ่วก็ได้ครับ เพื่อนๆเรียกผมแบบนี้ ช่วยบอกคนที่ญี่ปุ่นให้เรียกผมแบบนี้แล้วกัน”

Image hosted by Photobucket.com

เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบไจ่ไจ๋ แต่เราก็เข้ากันได้ดีในเวลาไม่นาน


คำถาม 1. พวกคุณไม่ได้เจอกันมาพักหนึ่งแล้วใช่ไหม?

เสี่ยวซิ่ว : รู้สึกจะราวๆ 3-4 เดือนใช่ไหม

เมแกน : ซักพักใหญ่ๆแล้วค่ะ เราเข้ากันได้ดีมากตอนที่ถ่ายทำใช่ไหม?

เสี่ยวซิ่ว : เวลาที่พวกเราไม่ได้เจอหน้ากัน เรามักจะติดต่อกันด้วยการพูดคุย พวกเราสนิทกันมาก (หัวเราะ)

คำถาม 2. มาร์สดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูน พวกคุณได้อ่านการ์ตูนเรื่องนี้เมื่อไร?

เสี่ยวซิ่ว : ผมอ่าน 2 เดือนก่อนเริ่มถ่ายทำ ตอนแรกเนื้อหาค่อนข้างผ่อนคลายเพราะเกี่ยวกับด้านที่สนุกสนานของชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย แต่แล้วเรื่องหนักๆก็เริ่มปรากฎขึ้นทีละเล็กละน้อย ผมต้องอ่านแล้วก็ถ่ายทอดสิ่งที่ผมอ่านไปในเวลาเดียวกัน

เมแกน : ฉันขอยืมการ์ตูนเรื่องนี้มาจากที่ทำงานตอนที่ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะรับบทฉิงเหม่ย ฉันคิดว่ามันซีเรียสไปนิด ตอนที่อ่านฉันรู้สึกว่าตัวเนื้อเรื่องมีเจตนาที่ดีแล้วก็มีอารมณ์ขันด้วย ฉันหวังว่าการรับบทบาทหนึ่งในมาร์สจะส่งผลในด้านบวกต่อคนหลายๆคน

คำถาม 3. คุณหลิว เหลียง จั้ว ที่รับบทหลี่ชวนเป็นนักแสดงที่ช่ำชองมากใช่ไหม?

เมแกน : ค่ะ ก่อนที่จะเริ่มการถ่ายทำ พวกเรา 4 คน ไจ่ไจ๋ ต้าเอส เสี่ยวซิ่วแล้วก็ฉัน ต้องไปเรียนแอคติ้งเดือนหนึ่งภายใต้การดูแลของเขา

เสี่ยวซิ่ว : เพื่อให้พวกเราทั้ง 4 คนสนิทสนมแล้วก็เข้ากันได้ดีขึ้นพวกเราได้เริ่มเรียนการแสดงภายใต้การดูแลของคุณหลิว อันดับแรก เราต้องเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรา 4 คนให้ดีขึ้น ผู้กำกับไช่บอกว่าการถ่ายทำจะยังไม่เริ่มจนกว่าพวกเราจะรู้จักกันและกันดีขึ้น พวกเราเล่นเกมกันหลายเกม เป็นเกมแอคติ้ง อย่างเช่น จะแสดงเป็นคนรวยยังไง (หัวเราะ) หลังจากนั้นพวกเราค่อยฝึกฝนบทบาทของตัวเอง

เมแกน : ที่จริงแล้วมีเวลาเหลือไม่มากก่อนการถ่ายทำจะเริ่มขึ้น เพื่อให้พวกเราเข้าถึงบทบาทได้อย่างรวดเร็ว คุณหลิวให้พวกเราเขียนอัตชีวประวัติของตัวละครที่พวกเราแต่ละคนรับบทบาท ฉันเขียนประวัติของฉิงเหม่ย ไจ่ไจ๋เขียนของหลิงกับเซิ่ง จากนั้นพวกเราก็ต้องพรีเซนต์อัตชีวประวัติที่เราเขียนต่อหน้าคนอื่นๆ พวกเราจะถกกันแล้วบอกว่า “ตรงนี้ไม่น่าจะเป็นแบบนี้นะ”

เสี่ยวซิ่ว : นอกจากนี้พวกเรายังต้องพูดคุยกันเรื่องที่ว่าจะเข้าถึงบทบาทของตัวเองได้ยังไง หลังจากนั้น คุณหลิวจะขอให้เราแต่ละคนลองนึกถึงลักษณะท่าทาง และพฤติกรรมของบทบาทที่แต่ละคนรับ ยกตัวอย่างเช่น เราจะได้รับหัวข้อว่า “เวลาที่ดื่มน้ำ คุณจะทำท่าทางยังไง” เราต้องเข้าถึงสภาพจิตใจของตัวละครที่พวกเราเล่น อาทิ ต๊ะเหย่ หรือหลิง แล้วก็แสดงมันออกมา

เมแกน : เนื่องจากพวกเราทุกคนคิดว่ามาร์สนั้นสำคัญมาก พวกเราจึงฝึกบทเรียนเหล่านั้นกันหนักมาก ดังนั้น ความสัมพันธ์ของพวกเราจึงใกล้ชิดกันมากซึ่งช่วยทำให้การแสดงของพวกเราง่ายขึ้น

Image hosted by Photobucket.com


คำถาม 4. เมแกน คุณได้ร่วมงานกับไจ่ไจ๋มาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นมิวสิควิดีโอ รักใสใสภาค 2 แล้วก็มาร์ส คุณไม่ได้สนิทกับเข้าอยู่แล้วหรือ?

เมแกน : อันที่จริงแล้วในการถ่ายทำเอ็มวีแล้วก็ละครพวกนั้นฉันไม่ได้เจอกับไจ่ไจ๋เลย ทำไมฉันถึงต้องสนิทกับเขาด้วยล่ะ เอ็มวีตัวนั้นมีเนื้อหาว่าไจ่ไจ๋รักฉันแบบไม่หวังอะไรตอบแทน ส่วนในรักใสใสภาค 2 ฉันนับถือแล้วก็ต้องการฮัวเจ๋อเล่ยมาก “ใช่ ฉันรู้ว่าเขาเป็นรุ่นพี่ – ฮัวเจ๋อเล่ยแห่งเอฟโฟร์” นั่นหละที่ฉันรู้สึก (หัวเราะ) แต่เราได้รับการสอนในบทเรียนของคุณหลิวว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราต้องให้ความร่วมมือกัน หลังจากนั้น สิ่งสำคัญที่สุดที่พวกเราได้รับการสอนก็คือ การใช้สายตาแสดงความรู้สึก คุณหลิวสอนเราเรื่องนี้หลายครั้งเอามากๆ “ใช้สายตาของเธอแสดงความรักออกมา”

คำถาม 5. เสี่ยวซิ่ว นี่เป็นครั้งแรกที่คุณได้ร่วมงานกับไจ่ไจ๋ใช่ไหม?

เสี่ยวซิ่ว : พบเจอไจ่ไจ๋ครั้งแรกที่ห้องเรียนของคุณหลิว ตอนแรกเราอายๆด้วยกันทั้งคู่ ไจ่ไจ๋ก็อายคนแปลกหน้าเหมือนกัน แต่อายุเราใกล้เคียงกัน พอเราได้เริ่มพูดคุยกันเราก็เข้ากันได้ในทันที ที่นอกเหนือไปกว่านั้น พอเราคุ้นเคยกันแล้วเราก็กลายเป็นพวกส่งเสียงหนวกหู ดังนั้น เราทั้งคู่มักจะถูกดุบ่อยๆตอนอยู่ในกองถ่ายว่า “ไจ่ไจ๋กับเสี่ยวซิ่ว หนวกหูเกินไปแล้วนะ เงียบๆหน่อย” ผมละคิดถึงตอนที่เราเจอกันครั้งแรกมากเลย

คำถาม 6. ในตอนแรก หลิงหลบแปรงลบกระดานที่ครูขว้างมา ต๊ะเหย่เลยโดนเข้าไปแทน ฉากนี้ไม่ได้มีในการ์ตูน

Image hosted by Photobucket.com


เสี่ยวซิ่ว : ครับ ไม่มี เนื่องจากว่าผมไม่ได้ถูกขว้างด้วยแปรงลบกระดานจริงๆจึงต้องมีการถ่ายทำกันหลายครั้ง เริ่มจากอาจารย์ขว้างแปรงลบกระดานมา จากนั้นตากล้องก็จะถ่ายช็อตโคลสอัพสายตาผม ครับ ต้องถ่ายกันหลายครั้งมาก (หัวเราะ) ถ้าจะให้ระบุลงไปชัดๆก็ซักประมาณ 7-8 ครั้งได้

เมแกน : หายนะชัดๆเลยว่าไหม

เสี่ยวซิ่ว : หายนะจริงๆ (หัวเราะ) แป้งที่โปะแปรงลบกระดานอยู่เป็นแป้งสาลีผง ตอนที่ต้องถ่ายใหม่ สิ่งแรกที่ต้องทำคือปัดผงแป้งที่ติดผมของผมอยู่ออกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ต้องใช้ผ้าเช็ดตัวแห้งๆปัดแป้งออกจากผมของผม (หัวเราะ) ในฉากนั้น ไจ่ไจ๋นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านหน้าผม ระหว่างที่มีการถ่ายใหม่กัน 7-8 ครั้ง ไจ่ไจ๋ไม่เคยถูกปาโดนเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาปราดเปรียวมาก (หัวเราะ) เราใช้เวลาถ่ายฉากนั้นกันประมาณ 6 ชั่วโมง ท้ายที่สุดผู้กำกับก็พอใจ ดังนั้น สีหน้าท่าทางที่คุณได้เห็นกันไม่ใช่การแสดงแน่นอน นั่นเป็นสภาพจริงของผมในตอนนั้นเลยหละ (หัวเราะ)

คำถาม 7. ประมาณตอนที่ 3 ฉิงเหม่ยต้องรังแกฉิหลัวแรงกว่าในการ์ตูนมาก หลังถ่ายทำเสร็จคุณยังอินกับบทอยู่รึเปล่า?

Image hosted by Photobucket.com


เมแกน : ฉันกดดันมากตอนอ่านสคริปต์ เป็นเพราะว่าฉันนับถือต้าเอสมาก เธออายุมากกว่าฉันหลายปี ฉันเลยวิตกกังวลมาก ต้าเอสบอกฉันว่า “ไม่เป็นไร ก็แค่การแสดง ไม่ต้องเป็นห่วง เล่นได้เต็มที่เลย” แต่ถึงเธอจะพูดแบบนั้น ฉันก็ยังรู้สึกแย่มากอยู่ดี

เสี่ยวซิ่ว : แต่ภาพเธอดูแรงมากเลยนะ

เมแกน : ขอบใจมากกกก...มันเป็นละครย่ะ ฉันต้องแสดงออกมาแบบนั้น

ช่วงกลางเครื่องวิ่งเต็มกำลัง


“เบียร์ที่พวกเรากินกันในฉากเป็นเบียร์จริงทั้งหมด
เราทั้งคู่เมาแล้วก็คึกคักกระปรี้กระเปร่ากันมาก” (เสี่ยวซิ่ว)
“ไจ่ไจ๋ในสนามแข่งรถดูเท่มาก ฉันประทับใจจริงๆ” (เมแกน)


คำถาม 8. ในฉาก 3 ฉิงเหม่ยไปดักรอหลิงที่อพาร์ทเมนต์ของเขา แต่สิ่งที่เธอได้รับจากหลิงคือ “ฉันคบกับผู้หญิง 8 คนในเวลาเดียวกัน เธอก็แค่หนึ่งในนั้น” ฉิงเหม่ยดูเจ็บปวดมากในตอนนั้นเมื่อเธอได้รับการปฏิเสธอย่างเย็นชา และไม่รักษาน้ำใจ

เมแกน : เนื่องจากว่าก่อนที่จะถ่ายฉากนี้ ตัวฉันได้อินไปกับอารมณ์ความรู้สึกของฉิงเหม่ยไปแล้ว แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ฉันก็ยังรู้สึกอยากร้องไห้อยู่เลย ตอนแรกจะเริ่มจากการโคลสอัพหน้าไจ่ไจ๋ ตอนนั้นฉันเกือบจะร้องไห้อยู่แล้ว พอถึงคราวที่ต้องโคลสอัพหน้าฉันบ้าง ไจ่ไจ๋ทำตัวน่ารักมากกกก แล้วก็พยายามทำให้ฉันหายกังวล เนื่องจากกล้องถ่ายจากด้านหลังไจ่ไจ๋จึงทำให้ไม่เห็นหน้าเขา เขาทำหน้าลิงแล้วก็ทำเสียงคล้ายๆ “เอี้ยเอี้ย” หลอกฉัน แถมยังทำตาเหล่ แล่บลิ้นออกมาแผล่บๆด้วย เขาเล่นตลกให้ฉันดู (หัวเราะ) ฉากโคลสอัพหน้าฉันเลยต้องคัท แต่ก็ช่วยให้ฉันผ่อนคลายขึ้น

คำถาม 9. ไจ่ไจ๋นิสัยดีมากใช่ไหม

เมแกน : ค่ะ เขามักจะรู้ว่าบรรยากาศในกองถ่ายเป็นยังไงแล้วก็จงใจปล่อยมุขตลกออกมาเพื่อทำให้บรรยากาศที่มืดมนผ่อนคลายขึ้น แต่ในตอนที่ 3 สายตาของไจ่ไจ๋ดูน่ากลัวมากจริงๆตอนที่เขาพูดกับฉันว่า “ถ้าเธอทำแบบนี้กับฉิหลัวอีก คราวหน้าฉันจะฆ่าเธอแน่ๆ”

Image hosted by Photobucket.com


คำถาม 10. ในตอน 3 ต๊ะเหย่เดทกับฉิหลัว อยู่ดีๆวันรุ่งขึ้นทรงผมของต๊ะเหย่ก็เปลี่ยนไปใช่รึเปล่า?

เมแกน : ฮ่าๆๆ

เสี่ยวซิ่ว : อืม (หัวเราะ) มันน่ากลัวมาก ลืมเรื่องนี้ไปซะเถอะ ผมว่ามันคงจะยุ่งเพราะการนอน...ไม่ การนอนไม่ทำให้ผมเป็นแบบนั้นแน่นอน ทรงผมของผมเป็นความผิดพลาด ผู้กำกับก็สังเกตเห็นแต่มันถูกตัดไปแล้ว ครับ ผมจำฉากออกเดทได้ ต๊ะเหย่วิตกมากว่าเขาจะไม่เป็นตัวของตัวเอง (หัวเราะ) เนื่องจากผมเองก็อายคนแปลกหน้าอยู่แล้ว ผมเลยเข้าใจความวิตกกังวลของการออกเดทครั้งแรกได้ดี แน่นอนว่ามันจะหายไปเมื่อคุณคุ้นเคยกับมัน แต่ตอนแรกคุณจะเป็นกังวลเอามากๆ

Image hosted by Photobucket.com


คำถาม 11. หลังจากนั้น ต๊ะเหย่ได้เลิกกับฉิหลัวเพื่อเปิดทางให้หลิง คุณเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ไหม?

เสี่ยวซิ่ว : ถ้าเป็นผมน่ะเหรอ อืมมมม ผมอาจจะทำแบบนั้นไม่ได้ แต่ถ้าอีกซักสองสามปี ถ้าผมอายุมากขึ้น บางทีผมอาจจะเป็นแบบเดียวกับต๊ะเหย่ก็ได้

คำถาม 12. แล้วเสี่ยวซิ่วทุกวันนี้เป็นยังไง?

เสี่ยวซิ่ว : ถ้าเป็นแบบผมในวันนี้ ผมก็จะตามจีบ และจู่โจมต่อไป!

เมแกน : เธอชอบผู้หญิงแบบไหน ฉิหลัวหรือฉิงเหม่ย?

เสี่ยวซิ่ว : แบบที่ต่างไปจากนี้โดยสิ้นเชิง (หัวเราะ) ลักษณะผู้หญิงที่ผมชอบเปลี่ยนไปเรื่อยๆ (เขาดูอายๆ) ถ้าผมชอบเธอก็เท่ากับว่าเธอเป็นแบบที่ผมชอบ แต่ผมมักจะถูกใจผู้หญิงฉลาดๆ ผมเข้าใจความรู้สึกเป็นกังวลตอนออกเดทครั้งแรกได้ดี!

คำถาม 13. ได้ยินมาว่าเบียร์ที่ต๊ะเหย่กับหลิงกินกันในตอนที่ 4 เป็นเบียร์จริงๆเพราะผู้กำกับไช่บอกว่าแทนด้วยน้ำชาไม่ได้

Image hosted by Photobucket.com


เสี่ยวซิ่ว : ครับ เป็นเบียร์จริงทั้งหมด ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มีการเตรียมเบียร์จริงๆไว้ทุกฉากที่หลิงกับต๊ะเหย่ดื่มเบียร์กันด้วย (หัวเราะ) พวกเรารู้ดีว่าไม่ควรเมา แต่ในความเป็นจริงเรารู้สึกดีหลังจากที่แอลกอฮอล์เข้าไปในร่างกาย (หัวเราะ) เราทั้งคู่ก็เลยตื่นเต้นแล้วก็กระดี๊กระด๊ากันมาก (หัวเราะ)


คำถาม 14. ในตอนที่ 5 หลิงพ้นจากช่วงพักการเรียนแล้วต๊ะเหย่เข้ามาในห้องพร้อมเขา เพื่อนร่วมชั้นต้อนรับหลิงกันใหญ่ หลิงเอาหนังสือโป๊เล่มล่าสุดออกมาโชว์ต่อหน้าทุกคน

เสี่ยวซิ่ว : เราทั้งคู่เอาแต่พูดว่า “มีอะไรอยู่ข้างในน่ะ ฉันอยากเห็นจัง...” ผมจำฉากนั้นได้ดี มันอยู่ระหว่างการถ่ายทำพวกเราเลยต้องสะกดใจไว้ เราเฝ้ารอเวลาที่จะได้ดูรูปข้างใน ไจ่ไจ๋กับผมคิดหาทางเบนความสนใจของทีมงานไปยังเรื่องอื่นกันใหญ่...

ตอนที่ 7 อดีตเริ่มเผยออกมามากขึ้นเรื่อยๆ


คำถาม 15. ไจ่ไจ๋ต้องขี่มอเตอร์ไซค์ที่สนามแข่งรถซูโกในเมืองเซนได เป็นยังไงบ้าง?

เมแกน : ยอดมากเลย! ยอดมากเกินไปด้วยซ้ำ! ฉากที่สนามแข่งตอนที่ไจ่ไจ๋หยุดรถแล้วก้าวลงจากมอเตอร์ไซค์ เขายิ่งดูเท่มากขึ้นตอนที่เขาถอดหมวกกันน็อคออก (เขาเท่มาก! เมแกนพูดแบบนี้ติดๆกันกว่า 10 ครั้ง)

เสี่ยวซิ่ว : แน่หละว่าเขาดูเท่ บางทีฉันอาจจะดูเท่กว่าก็ได้ ฮ่าๆๆ

เมแกน : เสี่ยวซิ่ว เธอก็เห็นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ว่าตอนที่สาวๆเห็นไจ่ไจ๋ในฉากนั้น พวกเธอตายไปเลย แล้วก็กลายเป็นแฟนไจ่ไจ๋นับแต่นั้น

Image hosted by Photobucket.com


คำถาม 16. เสี่ยวซิ่วไม่ได้ปรากฎตัวในตอน 19 แล้วบอกว่า “เรียกฉันนักบิดพเนจร” เหรอ?

เสี่ยวซิ่ว : ครับ (หัวเราะ) แต่อันที่จริงผมไม่มีใบขับขี่มอเตอร์ไซค์รุ่นใหญ่เลยมีทีมงานอยู่รอบๆตัวผมคอยพยุงแล้วก็สอนผมเต็มไปหมด ผมดูไม่เท่เอาซะเลย (หัวเราะ) แต่ผมก็คิดจะไปขอใบขับขี่อยู่เหมือนกันนะ

คำถาม 17. เสี่ยวซิ่ว แล้วการขับรถยนต์ล่ะเป็นยังไง?

เสี่ยวซิ่ว : ผมชอบขับรถตามลำพังมาก วันนี้ผมก็ขับรถจากบ้านมาที่นี่เอง ตอนที่ยังเด็กผมอยากเป็นคนขับรถแท็กซี่ผมจะได้ขับรถไปไหนต่อไหนที่ผมชอบด้วยแท็กซี่ของตัวเอง ที่สูงๆในไต้หวันที่ผมชอบขับรถไปดูวิวถนนสวยๆคือที่หยางหมินซวน ที่นั่นคุณจะได้เห็นทิวทัศน์ไทเปยามค่ำคืนแบบพานอรามา นอกจากนี้ที่นั่นยังมีน้ำพุร้อนด้วย คุณจะได้รับความสดชื่นมาก

คำถาม 18. ตอนที่ 7 หลังกลับจากญี่ปุ่นมาไต้หวัน ในฉากที่ไจ่ไจ๋กับเสี่ยวซิ่วเล่นบาสเกตบอลกัน คุณเข้าขากันได้ดีมากจนนำรอยยิ้มมาสู่ไปหน้าทุกคน

เสี่ยวซิ่ว : ผมอยู่ทีมบาสตั้งแต่มัธยมต้นจนมัธยมปลาย ผมได้รับเลือกเป็นนักบาสตัวจริง ก็ไม่ถึงกับชนะการแข่งขันครั้งใหญ่ๆหรอก แต่ผมจะได้รับเลือกเป็นตัวจริงอยู่เสมอ

คำถาม 19. ยอดมากเลย (ทุกคนชื่นชมทักษะในการเล่นบาสของเสี่ยวซิ่วกันทุกคน รวมถึงผู้จัดการด้วย)

เสี่ยวซิ่ว : แม้ว่าผมจะไม่สูงมาก (เสี่ยวซิ่วสูง 180 ซม.) ผมชอบเล่นกีฬาจริงๆ ตอนที่ผมถ่ายฉากเล่นบาสกับไจ่ไจ๋ ผมไม่สามารถแสดงเทคนิคการเล่นบาสฯออกมาได้ (หัวเราะ) แต่ผมคิดอยู่ในใจว่า “ฉันเล่นเก่งนะ แต่....” อืม ผมต้องเก็บกดมาก ผมพูดเล่นน่ะ

ไจ่ไจ๋เองก็เล่นบาสมาตั้งแต่เด็กๆ จริงๆแล้วเขาก็เก่งพอๆกับผม เราทั้งคู่ยังเล่นบาสด้วยกันยามที่มีเวลาว่าง แล้วก็เป็นเพราะว่าพวกเราไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นนักบาสที่มีประสบการณ์ เราก็เลยแกล้งชมกันแบบแดกดันว่า “โอ้ นายเก่งมาก” “นายยอดมาก"


คำถาม 20. หลังกลับจากญี่ปุ่น ซาจือ แฟนเก่าของหลิง เริ่มปรากฎตัวใช่ไหม? (ในตอนที่ 7)

Image hosted by Photobucket.com


เมแกน : หลังจากที่ซาจือปรากฎตัวขึ้น อดีตที่มืดมนของหลิงก็เริ่มเผยตัวออกมา สิ่งที่เปิดเผยไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนัก อดีต และปัจจุบันของหลิงฉายกลับไปกลับมา มีอยู่หลายฉากมากที่ให้ข้อคิด แล้วก็ยังมีฉากสำคัญๆที่ให้ความกระจ่างเรื่องอดีตของหลิงอีกด้วย

เสี่ยวซิ่ว : ในฉากเหล่านั้น ฉิงเหม่ยกลับกลายมาเป็นคนที่ให้กำลังใจ และสร้างความเบิกบานใจให้กับคนอื่นเป็นอย่างมาก ผมคิดว่าคนดูก็เริ่มตระหนักถึงเรื่องนี้เหมือนกัน เด็กสาวผู้แสนดีที่เป็นห่วงเป็นใยเพื่อน ท่ามกลางบรรยากาศที่มืดมน มีเพียงฉิงเหม่ยคนเดียวเท่านั้นที่เข้มแข็ง และมีพลังใจ

Image hosted by Photobucket.com


เมแกน : นิสัยของฉันเพิ่งจะมาเหมือนกับฉิงเหม่ยเอามากๆก็ตอนกลางเรื่องนี่เอง (หัวเราะ) เธอใส่ใจเรื่องของคนอื่นราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง ฉิงเหม่ยดุฉิหลัวที่กำลังจะเลิกกับหลิงว่า “เธอห้ามปล่อยให้เขาหลุดมือไปเด็ดขาด!” (อยู่ตอนที่ 8) ในชีวิตจริงฉันก็เป็นแบบเดียวกัน ถ้าเพื่อนๆของฉันบอกว่า “ฉันนอนไม่ค่อยพอเลย” ฉันก็จะบอกแบบโกรธๆว่า “การอดนอนไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ” ถ้าพวกเขาอดอาหาร ไม่ค่อยกินอะไรฉันก็จะบอกว่า “มันไม่ดีต่อร่างกายของเธอ ไม่ดีเลยนะ” (หลังจากนั้นเมแกนได้เลื่อนแก้วชาเย็นที่ทีมงานกำลังดื่มอยู่ออกไปแล้วพูดว่า) “เครื่องดื่มอุ่นๆดีต่อสุขภาพของผู้หญิงมากกว่าเครื่องดื่มเย็นๆ” แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆเธอก็ไม่ละเลย (หัวเราะ) เธอช่างเหมือนแม่ที่จู้จี้ขี้บ่นเสียจริงๆ!

หัวใจของเธอหวั่นไหวไหม? บทสุดท้าย
“อันที่จริง ไจ่ไจ๋นั้นราศรีคนคู่...ช่างน่าสยดสยองจริงๆ (หัวเราะ)” (เสี่ยวซิ่ว)
“คนเราเปลี่ยนได้เพราะความรัก นี่คือสารที่ละครเรื่องนี้หวังว่าคนดูจะรับรู้” (เมแกน)


คำถาม 21. ไจ่ไจ๋ต้องเล่นเป็นฝาแฝด คุณคิดว่าเขาเล่นเป็นไง?

Image hosted by Photobucket.com


เสี่ยวซิ่ว : เพื่อเล่นเป็นหลิง และเซิ่งให้ดูแตกต่างกัน ไจ่ไจ๋ได้ไปพูดคุยกับคุณหลิวหลายครั้งมากเรื่องการแสดงความรู้สึกทางสายตา และภาษากาย ถ้าผมได้รู้จักพวกเขาตอนอยู่มัธยม ผมคงจะออกไปเล่นสนุกกับหลิง แต่จะปรับทุกข์เรื่องจริงจังกับเซิ่ง

เมแกน : ถ้าเป็นเรื่องสนุกๆฉันก็จะไปพูดคุยกับหลิงเหมือนกัน เราคงจะทำเรื่องสนุกๆด้วยกัน แต่ถ้าฉันมีปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ฉันจะไปคุยกับเซิ่ง แต่ว่าอันที่จริงไจ่ไจ๋ก็ราศรีคนคู่ (เมถุน) อยู่แล้ว

เสี่ยวซิ่ว : ช่างน่าสยองเสียนี่กระไร (หัวเราะ) ไม่ว่าคุณจะกำลังพูดถึงฝาแฝดคนไหนอยู่ก็ตาม ยังไงก็หนวกหูเหมือนกันน่ะแหละ (หัวเราะ) ลำพังไจ่ไจ๋คนเดียวตอนนี้ก็มีหมายเลข 1 กับหมายเลข 2 อยู่แล้วไม่ใช่หรือ? เขาพูดม้ากมาก ได้โปรดเถอะ แค่คนเดียวก็จะแย่อยู่แล้ว (หัวเราะ)

ขอบคุณการแสดงความรู้สึกทางสีหน้าของไจ่ไจ๋ ฉากนั้นโอเค แค่ครั้งเดียวก็ผ่าน

คำถาม 22. ฉากในห้องอาหารมหาวิทยาลัยตอนที่ 11 ผู้หญิงคนที่ถูกถงเต่าปฏิเสธกำลังจะตบหน้าหลิง ต๊ะเหย่ที่ไม่รู้เรื่องราว กำลังจะหันตัวไปกลับถูกตบแทน เขากลายมาเป็นแพรรับบาปแทนหลิงอีกแล้ว?

เสี่ยวซิ่ว : อ้า! น่ากลัวมาก ฉากนี้ใช้เวลาถ่ายตั้ง 3 ชั่วโมงแน่ะ! ผู้หญิงคนนั้นไม่กล้าตบผม ผมเลยบอกว่า “ไม่ต้องกังวล ไม่เป็นไรหรอก” ไจ่ไจ๋สนุกมากกับการคอยดูว่าผมถูกตบแล้วจะเป็นยังไง (หัวเราะ) เขามองดูเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไม่อินังขังขอบราวกับว่าเป็นเรื่องของคนอื่น ไม่ใช่เรื่องของฉัน (หัวเราะ)

คำถาม 23. ในตอนเดียวกัน หลิงพูดอย่างซุกซนว่า “ขอให้เธอกับต๊ะเหย่สมหวัง” เขาดูน่ารักราวกับเด็กซนๆตอนที่ทำท่ารูดซิปปาก เขาดูน่ารักมากใช่ไหม?

เมแกน : การถ่ายทำฉากนี้น่าสนใจมาก! มันเป็นจุดหักเหจุดหนึ่งในละคร หลิงเข้าใจความรู้สึกของฉันแล้วก็ทำให้ฉันสบายใจ สายใยความเป็นเพื่อนระหว่างทั้งคู่พัฒนาขึ้นไปอีก หลิงมาบ้านฉันเพื่อตามหาฉิหลัว ก่อนถ่ายฉากนี้ผู้กำกับกับไจ่ไจ๋แอบกระซิบกระซาบกันทำให้ฉันคิดว่า “มันเรื่องอะไรกัน” จากนั้นผู้กำกับได้บอกว่า “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่เป็นทริคให้ฉิงเหม่ยรู้สึกเขินเท่านั้นเอง! ฉันหน้าแดงแล้วก็อายมาก ต้องขอบคุณการแสดงสีหน้าของไจ่ไจ๋ที่ทำให้เราถ่ายฉากนี้กันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

คำถาม 24. ในตอนที่ 13 หลิงกับต๊ะเหย่ดื่มเบียร์กันอยู่ริมถนน หลิงพูดว่า “นายจะทำยังไงถ้าฉิงเหม่ยถูกฆ่าตาย” เป็นฉากที่ค่อนข้างจะซีเรียสนะ ว่าไหม?

Image hosted by Photobucket.com


เสี่ยวซิ่ว : ตอนนั้นเราก็ดื่มเบียร์จริงๆกันอีกเหมือนกัน (หัวเราะ) แต่ว่าเบียร์มันค่อนข้างจะอุ่น (หัวเราะ) พวกเราก็เลยเมาทั้งที่ดื่มกันเข้าไปแค่นิดเดียวเอง ผู้กำกับเลยบอกว่า “พวกนายสองคนเมาได้ที่เลยนะเนี่ยสงสัยคราวหน้าคงต้องเปลี่ยนมาใช้น้ำชาแทนซะแล้ว” ไจ่ไจ๋กับผมเลยรีบพูดว่า “เอ่อ...เบียร์ก็ดีแล้วครับ! พวกเราอยากให้ใช้เบียร์ต่อไป!” (หัวเราะ) ขอโทษด้วยที่พวกเราคออ่อนไปหน่อย

คำถาม 25. ต๊ะเหย่แวะไปหาหลิงที่ที่ทำงานพาร์ทไทม์ของหลิง (ตอน 15) คุณสองคนคุยกันโดยที่มือหนึ่งถือขวดเบียร์โคโรนาอยู่ คุณกำลังดื่มเบียร์อยู่ใช่รึเปล่า ?

เสี่ยวซิ่ว : มันตลกมาก! ไจ่ไจ๋กับผมพูดว่า “เบียร์อีกแล้ว!” แถมเบียร์พวกนั้นก็เป็นเบียร์จริงๆเหมือนเคย (หัวเราะ) ผู้กำกับวิตกนิดหน่อย แต่พวกเราพูดว่า “โชคดีชะมัด!” (หัวเราะ)

คำถาม 26. ฉิหลัวหนีออกจากบ้าน ฉิงเหม่ยเลยมาที่ห้องหลิงเพื่อเอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน หลิงมาที่ประตูเพื่อรับเอาเสื้อผ้าไป แต่ฉิงเหม่ยกลับเบียดหลิงแทรกตัวเข้าห้องไป (ตอนที่ 16) รู้สึกว่าจะมีการต่อปากต่อคำที่น่าสนใจกันใช่ไหม?

ฉิงเหม่ย : การถ่ายทำตอนนั้นก็น่าสนใจมากเช่นกัน ไจ่ไจ๋เคยทำให้ฉันขายขี้หน้ามาแล้ว (ฉาก 11) ฉันเลยถือโอกาสเอาคืนไจ่ไจ๋ในฉากนี้ (หัวเราะ) พอถึงตอนที่ต้องโคลสหน้าไจ๋ใกล้ๆแล้วไม่เห็นหน้าฉัน ฉันเลยทำหน้าตลกๆใส่เขา ฉันอยู่ในจุดที่ทีมงานจะมองไม่เห็นสีหน้าของฉัน แน่นอนว่าไจ่ไจ๋ถึงกับอึ้งไปเลย

ไม่ว่าเราจะเป็นคนประเภทไหน เราต่างต้องการความรัก

คำถาม 27. นับจากตอนที่ 10 เป็นต้นไป ความสัมพันธ์กับถงเต่าเริ่มสลับซับซ้อนมากขึ้น ตัวคุณมองเรื่องนี้ยังไง

เมแกน : ถงเต่ารับบทโดยโชน เราเคยเล่นละครด้วยกันมาแล้วเราเลยเข้ากันได้ดี แต่ในมาร์ส ขณะที่เขามีรอยยิ้มบนใบหน้าก็มีฆาตกรอยู่ลึกลงไปในแววตาของเขาด้วย เขาดูน่ากลัวมากจริงๆ การปรากฎตัวของถงเต่ามีขึ้นเพื่อสอนเราว่า ไม่ว่าเราจะเป็นคนประเภทไหน เราต่างต้องการความรัก ถ้าถงเต่าได้รับความรักมากกว่านี้ เขาก็คงไม่เป็นแบบที่เป็นอยู่

คำถาม 28. ถงเต่าอยู่ไปจนถึงตอนจบใช่ไหม?

เมแกน : ในตอนสุดท้าย (ตอนที่ 20) เด็กผู้หญิงคนหนึ่งจับมือถงเต่าให้วาดรูป นั่นสื่อความหมายว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นกำลังมอบความรักให้ถงเต่า หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า เป็นการมอบความหวังให้คนๆหนึ่ง ไม่ว่าคนๆนั้นจะสิ้นหวังแค่ไหน ตราบเท่าที่มีความรัก ก็มีความเป็นไปได้ที่คนๆนั้นจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ความรักให้อนาคตและความหวังแก่ผู้คน นี่คือสารจากผู้กำกับ

เสี่ยวซิ่ว : การจะดัดแปลงการ์ตูนเป็นละคร ผู้กำกับไช่ต้องคิดเยอะมาก ผู้กำกับได้เพิ่มความลึกด้านอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครลงไปในสคริปต์ มาร์สเลยกลายเป็นโปรดักชั่นใหม่ที่น่าประทับใจ

จบแล้วคร้าบ....




 

Create Date : 20 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 1 ธันวาคม 2548 0:46:33 น.
Counter : 2620 Pageviews.  

เบื้องหลังการถ่ายทำมาร์สที่ญี่ปุ่น





"มาร์ส" เป็นละครไต้หวันที่สร้างจากการ์ตูนญี่ปุ่น...จะไม่ให้มีฉากที่ญี่ปุ่นเลยก็กระไรอยู่....ว่าไหมเนอะ...

ไม่รู้ผู้กำกับคิดแบบนี้รึเปล่าเลยยกกองไปถ่ายทำที่แดนปลาดิบซะร่วมเดือน....แต่ฉากที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่...หรือจะเรียกได้ว่าทั้งหมด...เกิดขึ้นที่สนามแข่งรถทั้งสิ้น...ซึ่งทางทีมงานก็ได้เลือกเอาสนาม Sugo ที่เมืองเซนได เป็นสถานที่ถ่ายทำ.....

บล็อคนี้เอาไว้แปะบทความเกี่ยวกับเบื้องหลังการถ่ายทำมาร์สที่ญี่ปุ่นซึ่งเก็บรวบรวมมาจากหลายๆที่...ทั้งจากเว็บที่แฟนๆญี่ปุ่นมาเขียนเล่าประสบการณ์เอาไว้ แล้วก็จากนิตยสารญี่ปุ่นบางฉบับ

ขอเริ่มต้นด้วยเรื่องเล่าจากแฟนๆที่มาถ่ายทอดผ่าน f4.tv เอาไว้...

เราเอาคำแปลภาคภาษาปะกิตที่คุณ laiou2002 จากเว็บ vicpower.net แปลเอาไว้มาถ่ายทอดเป็นภาษาไทยอีกทีนะ.....


Image hosted by Photobucket.com

จัสมินซัง : รายงาน

ตัวฉัน สามี แล้วก็ลูกสาวที่เพิ่งจะอายุได้ 6 ขวบมาจากจังหวัดฟุกุชิมา พวกเราได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการถ่ายทำเมื่อวันที่ 6,7 และ 8 มีนาคม (มีฉันคนเดียวที่ได้เข้าร่วมการถ่ายทำวันที่8) ฉันรู้จักเอฟโฟร์จากนิตยสารที่ได้เป็นที่ระลึกจากเพื่อนคนหนึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ฉันได้กลายมาเป็นแฟนของพวกเขา ครอบครัวของเราทั้ง 3 คน ต่างตั้งตารอการถ่ายทำครั้งนี้กันเป็นอย่างมาก

สภาพอากาศเริ่มเลวร้ายมาตั้งแต่วันก่อนแล้ว หิมะได้เริ่มตกหนักตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 6 มีนาคม แม้ว่าในช่วงเช้าทางทีมงานจะแจ้งให้เราทราบว่า “วันนี้การถ่ายทำต้องยกเลิก” แต่หลังจากที่ไจ่ไจ๋มาปรากฎตัวเป็นกรณีพิเศษเพื่อทักทายแฟนๆ ดูเหมือนว่าอากาศจะบรรเทาความเลวร้ายลง ดังนั้น ก็เลยมีการถ่ายทำกันขึ้นใหม่

ในตอนบ่าย การถ่ายฉากตัวประกอบบนอัฒจรรย์ได้เริ่มขึ้น เนื่องจากหิมะตกแรงมาก สามีกับลูกสาวฉันเลยต้องออกจากการถ่ายทำกลางครันเพื่อเข้าไปหลบในบ้านพัก ฉันมัวแต่เก็บกวาดที่นั่งของพวกเราอยู่เลยตามไปช้า ขณะที่สามีกับลูกสาวฉันซึ่งออกจากที่นั่งคนดูเร็วกว่าเลยทำให้พวกเขาเจอไจ๋กับผู้จัดการกำลังเดินตรงไปยังห้องพักเข้าโดยบังเอิญ

สามีฉันพูดกับเขาเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า “ถึงแม้อากาศจะหนาวมากแต่ก็อย่าท้อถอยนะ” ไจ่ไจ๋ไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นก็เลยยิ้มตอบกลับมาแบบไม่ค่อยแน่ใจนัก

แต่เมื่อลูกสาววัย 6 ขวบของเราทักทายเขาเป็นภาษาจีนว่า “หนีห่าว” ไจ่ไจ๋ซึ่งใส่ชุดนักบิดสีแดงก้มตัวลงมามองตาลูกสาวของฉัน แล้วยิ้มออกมาหวานหยด ก่อนจะทักทายกลับมาว่า “หนีห่าว”

แม้ว่าฉันจะตามสามีกับลูกสาวมาทันทีหลัง แต่โชคไม่ดีที่ฉันไม่ได้เจอไจ่ไจ๋เหมือนกับพวกเขา สามีของฉันบอกว่า “ผมเห็นแต่ใบหน้าจริงจังของไจ่ไจ๋ตอนที่กำลังถ่ายทำอยู่ แต่ภาพใบหน้าเปื้อนยิ้มของไจ่ไจ๋ที่มีให้ลูกสาวของเรายังตราตรึงอยู่ในความทรงจำผม” เขาเป็นชายหนุ่มที่วิเศษมาก

ไจ่ไจ๋จะออกมาข้างนอกบ่อยๆเพื่อดูพวกตัวประกอบถ่ายทำในสภาพอากาศที่หนาวเย็นจนจับแข็ง ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนใจดีจริงๆ


Image hosted by Photobucket.com

จินิจิซัง : รายงาน

ฉันเข้าร่วมการถ่ายทำในวันที่ 6-7 มีนาคม หิมะเริ่มตกในเซนไดตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 6 ดูเหมือนจะเป็นลางไม่ดีซักเท่าไร ยิ่งเข้าใกล้สนามซูโกมากเท่าไร หิมะก็ยิ่งพอกพูนหนาขึ้นเท่านั้น เพิ่งมีการประกาศออกมาว่าการถ่ายทำยกเลิก เนื่องจากเมื่อวันก่อนฉันต้องรีบจับรถบัสมาเซนไดหลังเลิกงาน ฉันเลยถึงกับหมดแรง แต่เราก็ได้เจอกับไจ่ไจ๋แล้วก็ได้ดูวิดีโอรักใสใสเพราะความใจดีของทีมงาน อากาศหนาวยะเยือก รู้สึกเหมือนลบ 30 องศา ทั้งที่ฉันสวมแจ็คเกตผ้าสำลีแล้วเราก็นั่งนิ่งๆ แต่มันก็หนาวเสียจนฉันตัวสั่นไปหมด

มีคนเข้าร่วมการถ่ายทำช่วงบ่ายไม่กี่คน เป็นเรื่องยากที่จะทำท่าว่ากำลังดูการแข่งขันโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตรงหน้าเลย เนื่องจากมีหลายคนไม่ได้สวมเสื้อผ้าหนาๆ ฉันเลยเป็นห่วงว่าพวกเขาจะเป็นหวัด


Image hosted by Photobucket.com

ซาจิซัง : รายงาน

เราถ่ายทำกันบนอัฒจรรย์เป็นเวลา 2-3 ชั่วโมงโดยไม่ได้สวมแจ็คเกต พวกตัวประกอบนั่งอยู่บนอัฒจรรย์คนดูที่หันหน้าเข้าหาห้องพักนักกีฬาโดยที่ดวงตาคอยจับจ้องมองไจ่ไจ๋เข้าๆออกๆห้องพักซึ่งอยู่คนละฟากกับอัฒจรรย์คนดู

บางครั้งเราก็ได้เห็นสีหน้าของไจ่ไจ๋เวลาได้ยินเสียงเชียร์จากอัฒจรรย์คนดูด้วย

ระหว่างนั้นมีการถ่ายทำรายการทีวี (ฟันแฟนรัน) ไจ่ไจ๋กับไอซามาปรากฎตัว ไอซากระซิบอะไรบางอย่างใส่หูไจ๋ แล้วไจ่ไจ๋ก็ทักทายเราเป็นภาษาญี่ปุ่น

จากนั้นเป็นช่วงถามตอบกับไจ๋ไจ๋ บางทีอาจเป็นเพราะความหนาวยะเยือก ไจ่ไจ๋เลยยืนตัวแข็งเหมือนหุ่นยนต์

หลังจากนั้นเราก็เริ่มการถ่ายทำด้านบนของห้องพักนักแข่ง มีตัวประกอบแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้ขึ้นไปบนนั้น ฉันได้แค่ดูด้านบนห้องพักนักแข่งจากข้างล่าง ไจ่ไจ๋ดูหนาว สวมแค่เสื้อคลุมมีฮู้ดทำจากขนแกะเพียงตัวเดียว เขาจะเป็นหวัดไหมนะ (สวดมนต์) มันหนาวซะจนนักแสดงทุกคนทนไม่ได้ต้องสวมถุงมือให้ความอบอุ่น ไจ่ไจ๋กับผู้กำกับแหงนมองท้องฟ้าเพื่อคำณวนสภาพอากาศ ดูเหมือนว่าไจ่ไจ๋จะมีฉากที่ต้องถ่ายทำแค่ไม่กี่ฉาก เขานั่งลง บางครั้งก็ลุกขึ้นยืน พูดคุย และเล่นกับทุกคน

ผู้กำกับถ่ายทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างระมัดระวัง เขาจะไม่ยอมจนกว่าจะพอใจ อันที่จริงแล้ว ไจ่ไจ๋เองก็เช็คจอมอนิเตอร์ดูอย่างเอาจริงเอาจังด้วยเช่นกัน

แม้ว่าฉันจะไม่ได้ร่วมแสดงด้วย แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นทีมงานคนหนึ่งจากการได้อยู่ร่วมกับทุกคนในสถานที่เดียวกัน


Image hosted by Photobucket.com

อัตสึโกะซัง : รายงาน

แม้ว่าฤดูใบไม้ผลิที่เริงร่าจะยังลอยอยู่ในอากาศ แต่หิมะได้ตกลงมาเบาบางตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 6 มีนาคม ฉันกับเพื่อนมาจากคันโตเมื่อวันก่อน ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคมแล้วที่เมื่อเราหายใจออกอากาศจะกลายเป็นสีขาว พวกเราต้องการเสื้อผ้าหนาๆแล้วก็ขนสัตว์เลยออกไปหาซื้อ แต่กลับมีแต่เสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิ พวกเราหาสิ่งที่ต้องการไม่ได้เลย

พอเรามาถึงสนามแข่งซูโก ทุกสิ่งถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ มีรอยเท้าอยู่บนหิมะใหม่ๆ สนามบินเซนไดต้องปิดลงเพราะพายุ น่าสงสารไจ่ไจ๋ซึ่งมาจากไต้หวันที่ต้องมาเจอกับสภาพอากาศแบบนี้ พวกเราทุกคนต่างสวดมนต์ขอให้หิมะหยุดตก ซึ่งก็ดูท่าว่าจะได้ผล ในตอนบ่าย สภาพอากาศเริ่มดีขึ้น

ทีมงานต้องทำงานหนักเพื่อปัดกวาดหิมะออกจากที่นั่งคนดู พวกเราคิดจะเสนอตัวเข้าช่วยแต่ไม่มีพลั่ว เราไม่อยากทำด้วยมือเปล่า แม้ว่าพวกเราจะคอยอยู่เฉยๆโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่พวกเราก็หนาวจากการที่ไม่ได้ทำอะไรนอกจากคอย

ฉันคิดว่าแม้หิมะจะรุนแรง แต่พอฉันได้เห็นไจ่ไจ๋ใกล้ๆ ฉันก็สามารถทนความหนาวได้ (หัวใจฉันกำลังเต้นแรง)

แม้ว่าดวงอาทิตย์จะฉายแสงแล้วแต่หิมะก็ยังตกอยู่ ทว่า การถ่ายทำต้องเริ่มแล้ว บทพูดของพวกเราง่ายๆ แต่พวกเราพูดไม่เก่ง ฉันชักเริ่มจะกังวลแล้ว

วันนี้ไจ่ไจ๋ต้องถ่ายทำด้วย เขาสวมเสื้อคลุมมีฮู้ดกับถุงมือยืนอยู่ท่ามกลางสายลมหนาวเป็นเวลานาน ฉันคิดว่ามันยากไม่น้อย (สู้เขา! วิค) เนื่องจากอากาศหนาว ไจ่ไจ๋เลยพูดตลกกับเพื่อนนักแสดง เขาน่ารักมาก

เราต้องกลับบ้านแล้ว ยังต้องมีคนมาเข้าฉากอีกหากทีมงานถ่ายทำไม่เสร็จภายในวันนี้ พรุ่งนี้พวกเรายังต้องการตัวประกอบเข้าฉากอยู่อีก ใครที่สามารถมาได้โปรดช่วยมากันหน่อย

ฉันต้องกลับบ้านแล้วทั้งๆที่ฉันทิ้งหัวใจเอาไว้ที่นี่ คนที่สามารถอยู่ต่อได้ขอให้สู้ต่อไป พร้อมกับเอาหัวใจฉันไว้ด้วย

ตอนนี้ฤดูใบไม้ผลิแล้ว ความตื่นเต้นที่ไม่อาจมองเห็นได้ก็มาถึงพร้อมกัน ฉันเห็นละครที่ถ่ายทำเสร็จแล้ว มันดูต่างออกไปมาก ฉันคงจะมีความสุขมากเวลาที่ละครเรื่องนี้ออกอากาศ


Image hosted by Photobucket.com

Genben-san : รายงาน

ฉันได้ไปเซนได!!!!!

เป็นครั้งแรกที่ฉันไปเป็นตัวประกอบเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับไจ่ไจ๋สุดที่รัก (><) ฉันเป็นคนแถบคันโต ฉันไม่เคยเจอความหนาวจนแข็งมาก่อนจนกระทั่งบัดนี้ ถึงกระนั้นประสบการณ์ที่ได้รับก็สุดยอดจนไม่อาจจะลืมเลือนได้

ไจ่ไจ๋!! ไจ่ไจ๋น่ารักไปเสียหมดไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม มีช่วงหยุดพักสั้นๆซึ่งไจ่ไจ๋ได้ปั้นลูกบอลหิมะแล้วก็เล่นเกมกับเพื่อนนักแสดง ยิ่งไปกว่านั้นนะ คุณยังได้ยินเขาพูด “ขี้โกงนี่!!!” ด้วย เขาช่างน่ารัก นอกเหนือจากใบหน้าอันน่ารักของไจ่ไจ๋แล้ว ฉันยังประทับใจกับท่าทางเหล่านั้นของเขามาก

* ที่ประทับใจเป็นพิเศษก็คือ ฉันไม่อาจลืมภาพเขาโบกมือแล้วก็พูดบ๊ายบายมายังรถบัสที่พาพวกเรากลับ ไจ่ไจ๋เป็นเด็กดีจริงๆ! (><) พวกเราเอาแต่ตะโกนออกมาว่า “คาวาอี้ คาวาอี้” (ผู้แปล – “น่ารัก” ในภาษาญี่ปุ่น)

ไจ่ไจ๋ในมาร์สคงจะดูเท่แล้วก็หล่อ
ฉันอยากเห็นไจ่ไจ๋ผู้หล่อเหลาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้!!!
ฉันจะตั้งตารอวันที่ฉันจะได้ดูมาร์ส (^0^)


Image hosted by Photobucket.com

ยูมิซัง : รายงาน

สถานที่ที่เราเข้าร่วมการถ่ายทำหนาวมากเสียจนฉันตะโกนออกไปโดยไม่ตั้งใจว่า “พวกคุณทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน” ฉันเคยเป็นตัวประกอบในละครญี่ปุ่นมาแล้วหลายเรื่อง แต่นี่เป็นครั้งแรกสำหรับละครไต้หวัน หากนำมาเปรียบเทียบกัน ที่ญี่ปุ่นนักแสดงจะไปรออยู่ในห้องเวลาที่ตัวเองไม่ได้เข้าฉาก แต่สำหรับครั้งนี้ ไจ่ไจ๋จะอยู่ในฉากแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้ถ่ายทำ ฉันดีใจมากที่เราได้เห็นเขาบ่อยมาก

เนื่องจากฉันไม่เคยเข้าร่วมงานใดๆของไจ่ไจ๋มาก่อนเลยจนกระทั่งบัดนี้ ครั้งนี้จึงเป็นประสบการณ์สดใหม่สำหรับฉันที่ได้เห็นการแสดงออกทางสีหน้าที่หลากหลายของไจ่ไจ๋เวลาที่อยู่ในกองถ่าย


Image hosted by Photobucket.com

เนโมโตะซัง : รายงาน

แม้ว่าวันนั้นไจ่ไจ๋จะไม่ได้เข้าฉาก แต่เขาก็ออกมาเผชิญกับความหนาวข้างนอกเพื่อดูเพื่อนนักแสดง และตัวประกอบถ่ายทำกัน

ไจ่ไจ๋ได้รับการเลี้ยงดูมาดีจริงๆ เขาเอาใจใส่เพื่อนร่วมงานอย่างแท้จริง ฉันคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก

ไจ่ไจ๋สวมเสื้อคลุมมีฮู้ดสีน้ำเงินกับเสื้อขนสัตว์ให้ความอบอุ่น ไจ่ไจ๋มองดูคล้ายสัตว์หายากจากประเทศทางใต้ที่พ่ายแพ้ต่ออากาศหนาวจนจับแข็งอย่างราบคาบ เขาเคี้ยวมากฝรั่งอยู่บ่อยๆ สองมือซุกไว้ในกระเป๋า ศีรษะคลุมด้วยฮู้ด สาวเท้าเดินด้วยก้าวสั้นๆ และหลังที่ค่อม

สำหรับไจ่ไจ๋ที่มาจากไต้หวัน นี่ต้องเป็นความหนาวแบบสุดๆ หลังจากที่ได้เห็นหลังของเขาหยุดครั้งแล้วครั้งเล่า และจิบชาอย่างช้าๆทำให้ฉันรู้สึกอยากจะพูดออกมาว่า “ไจ่ไจ๋ หยุดก่อน”

ในส่วนของการถ่ายทำนั้น แม้แต่ฉากที่ไม่สลักสำคัญอะไรก็มีการถ่ายใหม่ ฉันเลยได้รู้ซึ้งเอาเดี๋ยวนั้นว่าการสร้างละครทีวีซักเรื่องหนึ่งต้องมีโปรดักชั่นที่ใหญ่มาก ฉากที่พวกเราร่วมแสดงเป็นฉากที่ทัตสึยะ (ต๊ะเหย่) กับฮารุมิ (ฉิงเหม่ย) มาดูเร (หลิง) แข่งรถ ทั้งนักแสดงแล้วก็พวกเราตัวประกอบต่างแต่งกายกันด้วยเสื้อผ้าบางๆ ช่างเป็นความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสที่ต้องมีการถ่ายฉากต่างๆใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เราก็นับถือที่พวกเขาต้องการให้ทุกอย่างออกมาดี

ฉันคิดว่าไจ่ไจ๋คงรู้ถึงความยุ่งยากของสถานการณ์ดี เขาจึงชวนเพื่อนนักแสดงคุยเพื่อทำให้บรรยากาศระหว่างการถ่ายทำดีขึ้น และเมื่อพวกเราตัวประกอบตะโกนเรียกว่า “ไจ่ไจ๋” เขาก็จะโบกมือแล้วก็พยักหน้าให้เราในแบบที่หมายความว่า “อืม...ผมรู้แล้ว”

การปรากฎตัวของไจ่ไจ๋เปรียบเสมือนที่พักพิงหัวใจของพวกเรา

เราปรากฎตัวแค่ฉากเดียวในละครเรื่องยาว แต่มีคนมากมายที่ทำงานร่วมกัน เริ่มตั้งแต่ผู้กำกับไปจนถึงตากล้องแล้วก็ทีมงานฝ่ายอื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก ฉันเป็นแค่เด็กมัธยมจึงประหลาดใจกับเรื่องนี้มาก ทัศนคติของฉันเปลี่ยนไปนับแต่นั้น ละครที่ฉันดูทางทีวีเกิดขึ้นจากการทำงานหนักของคนเป็นจำนวนมาก

เพื่อไปให้ทันรถไฟ ฉันต้องขึ้นรถประจำทางรอบบ่าย 3 กลับ ภาพสุดท้ายที่เราเห็นคือแผ่นหลังของไจ่ไจ๋ที่กำลังถ่ายทำอยู่บนที่พักนักแข่ง ถึงแม้พวกเราจะคิดว่าไม่ดีเลยที่จะไปขัดจังหวัดเขาระหว่างการถ่ายทำ แต่พวกเราก็ลังเลที่จะไป พวกเราเลยตะโกนออกไปด้วยเสียงอันดังว่า “ไจ่ไจ๋ บ๊ายบาย”

ไจ่ไจ๋ไม่ได้เมินเฉยเรา เขาหันกลับมาโดยที่มือยังอยู่ในกระเป๋า ไจ่ไจ๋ยิ้มแล้วก็โบกมือให้เรา

ภาพนั้นกลายเป็นความทรงจำสุดท้าย และความทรงจำที่ดีที่สุดของฉัน


Image hosted by Photobucket.com




 

Create Date : 16 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 1 ธันวาคม 2548 0:46:11 น.
Counter : 1116 Pageviews.  

สาวแกร่งแรงเกินร้อยภาคพิเศษ ตอน รูอิ เจ้าชายขี้เซา



การ์ตูนภาคพิเศษตอนนี้เอามาจากหนังสือชื่อ Hana Yori Dango Character Book Side Story ของโยโกะ คามิโอะ คนแต่ง "สาวแกร่งแรงเกินร้อย"

Image hosted by Photobucket.com

เสียดายที่บ้านเราไม่ได้แปลตอนนี้ออกมาเป็นภาษาไทยทั้งๆที่เนื้อหาออกจะน่ารัก....เผอิญเราไปท่องเว็บ //www.hanayoridango.net/ มาแล้วไปเจอที่แฟนๆเค้าแปลเป็นภาษาอังกฤษเอาไว้....ก็เลยหยิบมาแปลเป็นภาษาไทยต่อเผื่อแผ่คนที่เป็นแฟนการ์ตูนเรื่องนี้เหมือนกัน

ต้องขอขอบคุณคุณเอลินา ซี ที่แปลจากญี่ปุ่นเป็นอังกฤษเอาไว้ แล้วก็ขอบคุณทางเว็บสำหรับรูปภาพที่เอามาใช้ด้วยนะคะ

Thank you Elina C. (eliishi) for English translation and //www.hanayoridango.net/ for scan pictures.

เอาหละ...มาอ่านไปพร้อมๆกันดีกว่าค่ะ...

เจ้าชายขี้เบื่อ

ขอต้อนรับสู่สวนฝนดาวตกอันพิลึกพิลั่นและงดงาม!!

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเจ้าชายหนุ่มรูปงามนาม “หลุยส์ วีเซล”

Image hosted by Photobucket.com

ทุกวันมีแต่ความเบื่อหน่าย เจ้าชายเลยทรงเอาแต่บรรทม

Image hosted by Photobucket.com

ไม่ว่าบรรดามหาดเล็กจะเล่นปาหี่ให้ดูยังไง
(ซากุราโกะกับชิเงรุสวมทักซิโดพูดเหน่อๆสำเนียงคันไซ ส่วนคาซึยะถูกถาดตีหัว)

หรือมีเจ้าชายประเทศข้างเคียงมาเยี่ยม
(โซอิจิโร-นายว่าเจ้าหญิงประเทศเพื่อนบ้านสวยไหม อากิระ-ไปปาร์ตี้กันเหอะ ปาร์ตี ปาร์ตี้)

Image hosted by Photobucket.com

แม้แต่จะถูกเจ้าชายเผด็จการจากประเทศหนึ่งเล่นงาน
(โดเมียวจิ – ตื่น!)

Image hosted by Photobucket.com

ไม่ว่าใครจะพยายามยังไงเจ้าชายหลุยส์ก็ยังทรงเบื่อหน่ายอยู่
“ฉันต้องไปนอนแล้วหละ” เจ้าชายทรงเดินจากไปท่ามกลางเสียงร้องเรียกของบรรดาข้าราชบริพาร

Image hosted by Photobucket.com

แต่แล้วในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงคืนหนึ่ง ขณะที่เจ้าชายกำลังพยายามข่มตาหลับ

Image hosted by Photobucket.com

“อ๊บๆ” ก็มีเสียงกบร้องแหบๆมาเรียกความสนใจจากพระองค์

Image hosted by Photobucket.com

เจ้าชายหลุยส์ทรงช็อคที่เห็นกบสีเขียวตัวหนึ่งเกาะหน้าต่างอยู่ แถมเจ้ากบตัวนี้ดันสวมชุดซะด้วย

Image hosted by Photobucket.com

แล้ววันอันน่าเบื่อของเจ้าชายก็เปลี่ยนไป
“ยี้ ฝ่าบาททรงป้อนหนอนให้….พวกเจ้าหญิงพากรี๊ดกร๊าดกันด้วยความขยะแขยงที่เห็นเจ้าชายหลุยส์ใช้ตะเกียบป้อนหนอนให้กบ
ช่วงเวลาที่รื่นรมย์กับ Pyonmi (ชื่อที่เจ้าชายทรงตั้งให้) ได้เริ่มต้นขึ้นแทน

Image hosted by Photobucket.com

ในขณะที่เจ้าชายทรงคิดว่าช่วงเวลาแห่งความสนุกจะคงอยู่ตลอดไป แต่แล้ววันหนึ่งพระองค์กลับทรงได้รับฟังคำสารภาพอันตะขิดตะขวงใจจาก Pyonmi
Pyonmi นั่งอยู่บนหมอนที่เจ้าชายหลุยส์ทรงทำให้ด้วยพระหัตถ์พูดว่า “จริงๆแล้วแล้วหม่อมฉันเป็นมนุษย์ผู้หญิงหละ”

Image hosted by Photobucket.com

แต่เจ้าชายกลับตอบแค่ว่า “เหรอ ฉันก็คิดอยู่แล้วเชียว”
“ฝ่าบาททรงทราบเหรอเพคะ” Pyonmi ตะโกนดังลั่นด้วยความตกใจ ขณะที่เจ้าชายทรงอธิบายอย่างสงบว่า “ก็เพราะไม่มีกบที่ไหนใส่เสื้อผ้าน่ะซี่”

Image hosted by Photobucket.com

Pyonmi พูดต่อในขณะที่หลุยส์ตั้งใจฟัง “หม่อมฉันเป็นแบบนี้เพราะถูกพ่อมดสาป หากจะคืนร่างเดิม หม่อมฉันต้องใช้ของ 3 สิ่ง ได้โปรด ฝ่าบาท” Pyonmi ร่ำไห้ขอร้อง “ช่วยหาของ 3 สิ่งให้หม่อมฉันที”

Image hosted by Photobucket.com

เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ถึงแม้เจ้าชายจะคิดว่าแบบที่เธอเป็นอยู่ก็ดีอยู่แล้ว แต่พระองค์ก็ทรงตกลง
“ตกลง จริงเหรอเพคะ ขอบพระทัย” Pyonmi ตะโกนด้วยความดีใจแล้วกระโดดขึ้นมาบนเศียรเจ้าชาย

Image hosted by Photobucket.com

จากนั้น Pyonmi ก็อธิบายใหญ่ว่าของ 3 สิ่งคือ @#$% แล้วก็ ^$ กับ *@?.”
แต่หลุยส์ไม่เข้าใจ “นั่นมันภาษาอะไรน่ะ” “ฝ่าบาทได้โปรดทรงตั้งใจฟังหน่อย @#% กับ” Pyonmi พยายามอธิบายสุดความสามารถ “เดี๋ยวก่อน ฉันไม่เข้าใจจริงๆนะ”
“ฝะ ฝ่าบาท พระองค์ตั้งใจช่วยหม่อมฉันจริงๆรึเปล่าเนี่ย”

Image hosted by Photobucket.com

“ฮานาซาวะ รูอิ” เสียงตะโกนดัง รูอิลืมตาขึ้น
“มานอนหลับอยู่นี่อีกแล้ว เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”

Image hosted by Photobucket.com

รูอิตื่น เห็นซึคุชิก้มมองลงมา “วันนี้อากาศสดใสเธอเลยอดไม่ได้ต้องมาแอบงีบใช่ไหมล่า” ซึคุชิพูด
“เธอคืนร่างเป็นคนแล้วเหรอ” รูอิพูดสวนขึ้นพร้อมกับเอามือขยี้ตา

Image hosted by Photobucket.com

ซึคุชิมองหน้ารูอิแบบช็อคสุดๆแล้วตะโกนออกมาว่า “อะไรนะ” “คนอะไร”

Image hosted by Photobucket.com

รูอิซึ่งมีรอยยิ้มราวเทพบุตรพูดต่อว่า “ เธอนี่เหมือนกบจริงๆ”

Image hosted by Photobucket.com

ซึคุชิช็อกสุดๆก่อนจะตะโกนว่า “คนบ้า”

Image hosted by Photobucket.com

จบแล้วค่า....




 

Create Date : 26 กันยายน 2548    
Last Update : 1 ธันวาคม 2548 0:45:49 น.
Counter : 1031 Pageviews.  

zaizai in TAIWAN TV DRAMA




บทสัมภาษณ์ไจ่ไจ๋ในนิตยสารญี่ปุ่น “ไต้หวัน ทีวี ดรามา”

ถอดความจากจีนเป็นอังกฤษ : laiou2002
รูปประกอบ : zhenzhen

บทสัมภาษณ์ที่ยาวและน่าสนใจชิ้นนี้มีขึ้นในเดือนมีนาคม 2548 ตอนที่ไจ่ไจ๋เดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อโปรโมทมาร์ส และรักใสใสฯ

Image hosted by Photobucket.com

พวกเขามาญี่ปุ่นกันจริงๆ!!

การแถลงข่าวแบบรีบด่วนที่ญี่ปุ่นของเอฟโฟร์มีขึ้นเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2548 เหตุผลที่พวกเขามาญี่ปุ่นก็เพื่อถ่ายสมุดภาพเอฟโฟร์ที่มีกำหนดวางแผงในเดือนกรกฎาคม

พวกเขามาถึงสนามบินนาริตะกันทีละคน เจอร์รีกับแวนเนสมาถึงเมื่อวันที่ 23 เม.ย. เคนกับไจ๋มาวันที่ 24 เม.ย. ยกเว้นเคนซึ่งอยู่ญี่ปุ่นต่อแล้ว คนที่เหลือต่างเดินทางออกจากญี่ปุ่นด้วยความเร่งรีบในวันที่ 27 เม.ย. งานแถลงข่าวจัดขึ้นตอนเช้าของวันสุดท้ายที่พวกเขาอยู่ญี่ปุ่น หลังจากล่วงเข้าปี 2548 เอฟโฟร์ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นมาก

นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เจอกับสื่อมวลชนญี่ปุ่น ดังนั้น จึงมีสื่อมวลชนเป็นจำนวนมากเข้าร่วมงานนี้

พวกเขามีแฟนๆที่คลั่งไคล้อยู่เป็นจำนวนมากมาตั้งแต่เปิดตัวในญี่ปุ่น เชื่อได้เลยว่าคนจำนวนมากจะต้องคิดว่า : ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง

Image hosted by Photobucket.com

ก้าวขึ้นเวที
เจ้าชาย 4 คนก้าวขึ้นบนเวทีโดยเรียงลำดับจากเคน ไจ๋ เจอร์รี และแวนเนส ทุกคนสวมสูท หล่อเหลาจนคุณขาแทบขวิด

Image hosted by Photobucket.com

กล่าวคำทักทาย
ทั้ง 4 คนกล่าวคำทักทายสื่อมวลชนเป็นภาษาญี่ปุ่นกันทีละคน ฉันประทับใจกับทักษะทางภาษาของแวนเนสเป็นพิเศษ

Image hosted by Photobucket.com

อำลา
การถ่ายรูปครั้งสุดท้ายสิ้นสุดลงแล้วเอฟโฟร์ก็จากไป...อยู่นานกว่าเดิมนิดหน่อย

Image hosted by Photobucket.com

นิสัยที่เรียบง่ายไม่เหมาะกับวงการบันเทิง
แต่เกิดมาพร้อมกับคุณสมบัติในการเป็นดารา
เสน่ห์ที่ขัดแย้งของน้องคนสุดท้องแห่งเอฟโฟร์
ครั้งแรกที่ฉันได้เห็นไจ่ไจ๋แบบใกล้ชิด ฉันหลงใหลกับสีหน้าท่าทางที่เหมือนเด็กของเขามากเสียยิ่งกว่าเครื่องหน้าอันงดงาม เขาดูขี้อายมีเพียงนัยน์ตาของเขาเท่านั้นที่เคลื่อนไหวไปมา เนื่องจากมีแวนเนสกับเคนซึ่งพูดภาษาอังกฤษคล่องปรื๋อยืนประกบอยู่ ไจ๋เลยเอาแต่หัวเราะคิกคัก และเหลือบมองคนทั้งคู่ บางครั้งเมื่อได้รับการกระตุ้นจากแวนเนส ไจ่ไจ๋จะยืดตัวตรงแล้วพูดออกมา 2-3 คำเหมือนเด็กซนๆถูกครูสั่ง ไจ่ไจ๋ทำตัวเหมือนน้องนุชคนสุดท้องที่น่ารักจริงๆ แต่ถึงกระนั้น คุณสามารถเห็นท่าทางแมนๆของเขาได้ในมาร์ส ผลงานชิ้นล่าสุด

การสัมภาษณ์มีขึ้นในเดือนมีนาคมที่โรงแรมในตัวเมืองที่เขาพักอยู่กับดาราเรื่องมาร์สคนอื่นๆ ต้าเอสมาที่ห้องที่มีการสัมภาษณ์เพื่อถ่ายรูป พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน ห่วงใยกันและกัน และทำงานกับสื่ออย่างอารมณ์ดี

ผู้สัมภาษณ์ : โอ วะ ซัง
ช่างภาพ : นากางาวะ ฟูมิโอะ

Image hosted by Photobucket.com

แม่เป็นคนจ้ำจี้จำไชให้เข้าวงการบันเทิง
ถาม : ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าทำไมถึงได้เข้าวงการ เพราะคุณไปเป็นเพื่อนเพื่อนที่ไปทดสอบหน้ากล้องรึเปล่า

ไจ่ไจ๋ : ครับ ผมไปกับเพื่อนคนหนึ่งที่ไปทดสอบบทชิงเหอในรักใสใสแล้วเกิดไปเข้าตาทีมงานเข้า

ถาม : ในตอนแรกคุณไม่ได้สนใจวงการบันเทิงเลยใช่ไหม

ไจ่ไจ๋ : ครับ เพราะว่าผมขี้อาย ตอนแรกผมนึกภาพตัวเองทำงานต่อหน้าฝูงชนไม่ออกเลย

ถาม : งั้นแล้วทำไมถึงตัดสินใจเข้าวงการบันเทิงซะล่ะ

ไจ่ไจ๋ : วันที่ผมไปเข้าตาทีมงานนั้น โปรดิวเซอร์ชวนผมมาเล่นรักใสใสฯ แต่ผมไม่มั่นใจในทักษะการแสดงของตัวเอง แต่นอกเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผมไม่สามารถนำพาตัวเองให้ทำสิ่งนั้นได้เอาซะเลย ผมก็เลยบอกปัดข้อเสนอไปทันที ผมกลับไปบ้านแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟังแบบขำๆ แม่ผมเกิดสนอกสนใจเรื่องนี้ขึ้นมา (หัวเราะ) ท้ายที่สุด เพราะแรงกดดันจากแม่ ผมเลยต้องตอบตกลง เมื่อผมตอบรับไปกับทางโปรดิวเซอร์แล้วก็เริ่มมีการจัดแจงให้ผมเข้าคลาสการแสดง ผมก็เริ่มเรียนการแสดงทันที

ถาม : งั้นก็ต้องขอบพระคุณแม่คุณสำหรับสิ่งที่คุณมีอยู่ตอนนี้

ไจ่ไจ๋ : ครับ (หัวเราะ) ผมช่วยสานฝันของแม่

ถาม : แม่คุณหน้าสวยเหมือนคุณรึเปล่า

ไจ่ไจ๋ : แม่หน้าเหมือนผมยังกับแกะเลยครับ (หัวเราะ)

Image hosted by Photobucket.com

ต้าเอสโมโหเมื่อไจ่ไจ๋บอกว่าเป็นแฟนน้องสาวเธอ
ถาม : ความประทับใจเมื่อคุณได้พบเอฟโฟร์คนอื่นๆ และต้าเอสครั้งแรกคืออะไร

ไจ่ไจ๋ : แวนเนสกับผมเรียนการแสดงด้วยกันตอนแรก เราเข้ากันได้ดีในทันที ส่วนอีก 2 คนนั้นอยู่ในวงการอยู่แล้ว แถมยังมีประสบการณ์ในการแสดงมากกว่า ผมถือว่าเขาเป็นรุ่นพี่ บาร์บี้กับน้องสาวเธอก่อตั้งวงที่เรียกว่า เอสโอเอส ตอนแรกผมเป็นแฟนน้องสาวเธอ (หัวเราะ) บาร์บี้ตัวเล็กมาก ผมประหลาดใจว่ายังมีคนที่เหมือนตุ๊กตาแบบนี้อยู่ด้วยเหรอตอนที่ผมพบบาร์บี้ครั้งแรก ผมดีใจที่เรากลายมาเป็นเพื่อนกัน

ถาม : ตอนที่คุณบอกว่าคุณเป็นแฟนน้องสาวเธอ บาร์บี้โมโหใช่ไหม

ไจ่ไจ๋ : เธอหัวเสียทันทีที่ผมพูดแบบนั้นออกไป (หัวเราะ)

ถาม : ระหว่างสมาชิกเอฟโฟร์ด้วยกัน โดยเฉพาะเจอร์รีที่แก่กว่าคุณ 4 ปี แถมยังเป็นรุ่นพี่ในวงการ คุณต้องได้รับความเอาใจใส่เป็นพิเศษเรื่องการแสดงเพราะว่าเป็นเพื่อนที่เด็กกว่า แล้วก็เป็นศัตรูหัวใจรึเปล่า (ป.ล.....ตรงนี้ไม่ค่อยเข้าใจภาษาอังกฤษเท่าไร...เลยแปลออกมางงๆหน่อยนะ)

ไจ่ไจ๋ : อันที่จริงผมไม่รู้สึกว่าอายุของเราต่างกันมากขนาดนั้น ผมคิดว่า เมื่อเราเริ่มทำงาน แม้แต่กับคนที่แก่กว่า 10 ปี เราก็ควรจะปฎิบัติกับพวกเขาอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้น ผมเลยไม่ค่อยรู้สึกเรื่องความแตกต่างของอายุมากนัก แต่ตอนนั้นเจอร์รีเป็นนายแบบที่มีชื่อเสียงแล้ว ผมเคยเห็นเขาในนิตยสาร และทีวีมาก่อนหน้าที่ผมจะเข้าวงการ ดังนั้น ก็เหมือนกับคนทั่วไปรู้สึกเวลาที่ได้เจอดารา ตอนที่ผมเจอเขาครั้งแรกผมประหม่า แต่เมื่อเราทำงานด้วยกัน และกลายมาเป็นเพื่อนกันในไม่ช้า ผมก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลาย เขาต่างจากภาพที่มองเห็นภายนอก และก็บริสุทธิ์เหมือนเด็กหนุ่ม ปรกติแล้วเจอร์รีจะคบหาได้ง่าย แต่ถ้าเขาเริ่มทำงานแล้วละก็ เขาจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จะทำทุกอย่างด้วยความจริงจัง ด้านนี้ของเขาส่งผลดีต่อผม ซึ่งผมก็ได้เรียนรู้จากเขา

Image hosted by Photobucket.com

ไปเมืองนอกครั้งแรกเพื่อถ่ายละครที่โอกินาวา
ถาม : สมาชิกเอฟโฟร์ไปไหนด้วยกันนอกเวลางานรึเปล่า

ไจ่ไจ๋ : ในตอนแรกเราไม่รู้จักกัน เราเลยไม่ค่อยได้คบหาสมาคมกันมากนัก แต่พอเราถ่ายรักใสใสฯถึงครึ่งหลัง เราทุกคนก็กลายเป็นเพื่อนกัน เวลาที่ผมได้หยุด ผมจะไปเยี่ยมพวกเขาที่กองถ่ายหรือไม่ก็ออกไปหาอะไรดื่มด้วยกัน เรากลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันจริงๆตอนที่เราออกอัลบั้มด้วยกัน ช่วงนั้นเราออกไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย

ถาม : ตอนนี้พวกคุณทั้ง 4 คนกลายเป็นดาราดังของเอเชียไปแล้ว คุณหาช่วงเวลาแบบนั้นไม่ได้อีกแล้วใช่ไหม

ไจ่ไจ๋ : เนื่องจากตอนนี้เราแยกกันทำงานเราเลยมีความรู้สึกใกล้ชิดกันมากขึ้น อันที่จริงเราทุกคนต่างยุ่งมาก แล้วก็ไม่มีเวลาไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุข และทนุถนอมช่วงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันมากกว่าเดิม ตอนนี้ แค่การได้กินข้าวด้วยกันก็เป็นสิ่งที่ต้องถนอมเอาไว้

ถาม : คุณได้ไปโอกินาวาเพื่อถ่ายละครรักใสใสฯด้วยใช่ไหม ช่วยเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้เราฟังหน่อยสิ

ไจ่ไจ๋ : มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้ไปเมืองนอก ปรกติแล้วคนส่วนใหญ่จะนั่งเครื่องบินไปเมืองนอก แต่ในบทเขียนให้เราไปโอกินาวาทางเรือ ตอนแรกเราทุกคนตื่นเต้นหวาดเสียวมาก โดยเฉพาะผมซึ่งได้ไปต่างประเทศเป็นครั้งแรก ผมตื่นเต้นแล้วก็ตัวลอยไปด้วยความสุข ก่อนที่เราจะไป ทางทีมงานเตือนพวกเราแล้วว่าให้เอายาแก้เมาเรือไปด้วย แต่ผมไม่เคยขึ้นเรือมาก่อน แล้วก็ไม่รู้ว่าการเมาเรือเป็นยังไง ผมก็เลยไม่สนใจ เราสนุกกันมาก แล้วก็ถ่ายทำวันแรกเสร็จโดยไม่มีความขลุกขลักเลยแม้แต่น้อย แต่พอตกกลางคืน พวกเราหัวเราะกันไม่ออกอีกต่อไป พวกเราเมาเรือกันหมดทุกคน (หัวเราะ) เราอาเจียนแล้วก็มีสภาพย่ำแย่มาก (หัวเราะ) (ถึงตอนนี้ไจ่ไจ๋เหลือบตาไปดูบาร์บี้ที่กำลังถ่ายรูปอยู่ใกล้ๆ) ผมคิดว่ามันเกิดขึ้นกับบาร์บี้ด้วยเหมือนกัน

ถาม : คุณต้องผ่านความยากลำบากแบบนั้นในการถ่ายทำ งั้นช่วยเล่าฉากที่คิดว่าควรค่าแก่การดูให้เราหน่อยจะได้ไหม

ไจ่ไจ๋ : ฉากจูบกับซันไช่บทชายหาดตอนที่เราเดินทางโดยเรือ ผมคิดว่าตัวเองดูเจ๋งเหมือนกัน (ไจ่ไจ๋ยิ้มอายๆ) รักใสใสฯเป็นละครเรื่องแรกของผม บาร์บี้ก็เหมือนกัน มันเป็นฉากจูบในละครฉากแรกของผม มันเหมือนกับการขโมยจูบแรกของกันและกัน (หัวเราะ) (อันที่จริงแล้วบาร์บี้ถ่ายฉากจูบครั้งแรกกับเจอร์รี่)

****หมายเหตุ***ที่ไจ๋พูดตรงนี้หมายความว่าไจ๋คิดว่าตัวเองถ่ายฉากจูบกับต้าเอสเป็นคนแรก ขณะที่คนสัมภาษณ์คิดว่าเป็นเจอร์รี ซึ่งแฟนๆจากพลังไจ๋เค้าแย้งว่าจริงๆแล้วไจ๋ถ่ายฉากจูบกับต้าเอสก่อนเจอร์รี แต่ออกอากาศทีหลังต่างหาก คนเลยเข้าใจผิด

Image hosted by Photobucket.com

พูดตลกฝืดๆเป็นวิธีที่ไจ่ไจ๋ตอบแทนๆ F3 ที่ให้ความช่วยเหลือ
ถาม : นอกเหนือจากให้ความสำคัญเรื่องรักแล้ว มิตรภาพระหว่างเพื่อนฝูงก็เป็นสิ่งสำคัญในรักใสใสฯ ในชีวิตจริงคุณมีญาติหรือเพื่อนๆแบบเดียวกับเอฟโฟร์รึเปล่า

ไจ่ไจ๋ : แน่นอนว่าผมมีญาติๆแล้วก็เพื่อนๆอยู่มากมาย ไต้หวันมีกองทหารที่คนจะนอนแล้วก็อาบน้ำด้วยกัน อยู่ด้วยกัน แต่ปรกติแล้วหาได้ยากที่เพื่อนๆจะอาบน้ำด้วยกัน เมื่อเร็วๆนี้ผมได้ไปเที่ยวน้ำพุร้อนกับเพื่อนสนิทสองสามคน บ่อน้ำพุร้อนของไต้หวันต่างจากญี่ปุ่น มีห้องส่วนตัวที่คนมักจะเข้าไปอาบคนเดียว แต่ครั้งนั้นพวกเราไปอาบกันที่โรงอาบน้ำสาธารณะ เราทุกคนกระโดดลงน้ำโดยไม่มีเสื้อผ้าติดกาย เป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากมากสำหรับผม ผมรู้สึกว่ามิตรภาพของเราแน่นแฟ้นขึ้นหลังจากเหตุการณ์นั้นนะ (หัวเราะ)

ถาม : ไต้หวันไม่มีโรงอาบน้ำสาธารณะเหรอ

ไจ่ไจ๋ : มีไม่กี่ที่ เป็นธรรมเนียมที่คนจะสวมชุดว่ายน้ำเวลาอยู่ในที่สาธารณะอย่างสปา เนื่องจากผมไม่คุ้นเคย ในตอนแรกผมจึงคัดค้านการไม่สวมอะไรเลยอย่างรุนแรงเพราะผมอาย แต่ไม่ช้าผมก็เริ่มสนุกกับมัน เราสาดน้ำร้อนใส่กันเหมือนเด็กๆ

ถาม : ในความคิดของคุณ สมาชิกเอฟโฟร์มีความสัมพันธ์กันแบบไหน

ไจ่ไจ๋ : ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราเป็นยิ่งกว่าเพื่อนร่วมงานกัน สำหรับผม นี่คือกลุ่มแรกของผม ผมเล่นละครเรื่องแรก ออกเทปชุดแรกกับพวกเขา ผมขี้อายมาก ในตอนแรกผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเวลาให้สัมภาษณ์ คนอื่นๆจะเข้ามาช่วยชีวิตผม เพื่อเป็นการตอบแทนพวกเขา ผมเลยเล่าเรื่องตลกให้พวกเขาฟัง แต่เป็นตลกฝืดทั้งหมดเลย (หัวเราะ) แต่หลังจากได้ฝึกปรือมากเข้า เรื่องตลกของผมก็ได้รับความนิยม และกลายเป็นสิ่งสร้างชื่อให้กับผม นักข่าวไต้หวันคิดว่ามันน่าสนใจ เวลาสัมภาษณ์ พวกเขามักจะถามว่า “ช่วยเล่าตลกฝืดๆให้ฟังหน่อยสิ” (หัวเราะ) แม้ว่าตอนนี้พวกเราจะทำงานที่แตกต่างกันไป แต่สำหรับผมแล้วไม่มีใครจะมาแทนที่สมาชิกเอฟโฟร์ได้

Image hosted by Photobucket.com

ฉากจูบกับบาร์บี้เป็นไฮไลท์ที่ดีที่สุดของมาร์ส
ถาม :ช่วยเล่าเรื่องมาร์สให้ฟังหน่อย มาร์สเป็นเรื่องเกี่ยวกับวัยรุ่นที่จิตใจมีบาดแผลรุนแรง แถมคุณยังเล่นเป็นคนน้องด้วย การที่ต้องเจอความท้าทายจากการเล่นเป็น 2 ตัว คุณต้องใช้ความพยายามในการเล่นอย่างไรบ้าง

ไจ่ไจ๋ : นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าตัวเองเล่นละครได้อย่างมืออาชีพ หลังจากอ่านบท ผมคิดว่าบททั้งคู่เล่นยาก เพื่อเตรียมตัวรับบทนี้ ผมจึงไปหาผู้กำกับ ผู้กำกับแนะนำให้ผมอ่านหนังสือ แล้วบอกว่าหลังจากอ่านหนังสือแล้วผมจะเข้าใจแง่มุมด้านจิตใจของหลิง หลังจากอ่านหนังสือจบเราก็เริ่มถ่ายทำกันในสถานที่จริง การเล่นเป็นคน 2 คนไม่ได้ยากมากมาย ผมแค่เปลี่ยนแปลงวิธีการเล่นนิดหน่อย แต่ที่ผมว่าเล่นยากกว่าคือฉากบู๊ของหลิง ในการถ่ายฉากต่อสู้ที่ออกมาดูเท่ห์ เราต้องอาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อให้ได้ภาพออกมาดี

ถาม : คุณจะแนะนำให้ดูฉากไหนในมาร์ส

ไจ่ไจ๋ : เราทุกคนต่างทำงานกันหนักมากในมาร์ส ผมหวังว่าคุณจะดูมันทุกตอน แต่ถ้าต้องแนะนำ ก็น่าจะเป็นฉากจูบกับคิระซึ่งสวยมาก คุณต้องเห็นเอง ในชีวิตจริง ความสัมพันธ์ระหว่างบาร์บี้กับผมคือพี่สาวกับน้องชาย เรามักจะพูดจาตลกๆแล้วก็แกล้งกัน การต้องมาถ่ายฉากจูบเลยทำให้เขินมาก บาร์บี้มีแฟนแล้ว ก่อนที่จะถ่ายเราจะบอกกันว่าให้ถ่ายเสร็จในเทคเดียว แต่พอเห็นหน้ากัน พวกเราก็จะหลุดหัวเราะออกมา บางครั้งต้องเทคตั้งหลายหนกว่าจะถ่ายได้ฉากเดียว (หัวเราะ)

Image hosted by Photobucket.com

ผมมีแนวโน้มเป็นนักแสดงมากกว่านักร้อง

ถาม : คุณทั้งเล่นละครแล้วก็ร้องเพลง คุณจะทำงานทั้ง 2 อย่างนี้ต่อไปรึเปล่า

ไจ่ไจ๋ : นับตั้งแต่ผมเข้าวงการมาจนถึงตอนนี้ ผมออกเทปในไต้หวันไปแล้ว 2 ชุด แล้วก็เล่นละครมาหลายเรื่อง ผมจะเล่นละครแล้วก็หนังถ้ามีบทดีๆ แต่ถ้าถามตัวผม ผมชอบการแสดงมากกว่าร้องเพลง

ถาม : ไจ่ไจ๋ ถ้าคุณเจอคนที่ชอบ คุณเป็นคนแบบไหน ตามติดไม่ปล่อยเหมือนเต้าหมิงซื่อ หรือเฝ้าดูแลเอาใจใส่แบบเล่ย

ไจ่ไจ๋ : อืม ในชีวิตจริง ผมคิดว่าผมเหมือนเต้าหมิงซื่อมากกว่า (หัวเราะ) ประเภทไล่ตามแบบเต็มสตีม (หัวเราะอย่างเบิกบาน)

ถาม : แล้วคุณชอบผู้หญิงแบบไหน

ไจ่ไจ๋ : ผมชอบผู้หญิงอ่อนโยน แต่คงจะไม่ดีถ้าเธอไม่ชอบพูด คงจะดีที่สุดถ้าเธอสามารถเล่นบาสเกตบอลกับเพื่อนผู้ชายของผมได้ นอกเหนือจากนั้นแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือความกตัญญูต่อพ่อแม่ เป็นเรื่องดีที่จะกตัญญูต่อพ่อแม่ของผม แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ กตัญญูต่อพ่อแม่ของเธอเอง เหตุผลก็คือว่า คนที่กตัญญูต่อพ่อแม่ตัวเองจะต้องไม่ใช่คนเลว

ถาม : ตอนเด็กๆคุณเป็นเด็กแบบไหน คุณหน้าหวาน คุณโด่งดังแถวบ้านรึเปล่า

ไจ่ไจ๋ : ไม่ใช่เลย ผมแตกต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง ตอนเด็กๆผมค่อนข้างเป็นตัวป่วน

ถาม : คุณเป็นเด็กแอคถีฟรึเปล่า

ไจ่ไจ๋ : แอคถีฟเกินไปด้วยซ้ำ

ถาม : แล้วคุณเก่งอะไร

ไจ่ไจ๋ : ผมชอบวาดรูปแล้วผมก็ค่อนข้างจะเก่งเรื่องนี้ พี่ชายผมก็ชอบวาดรูป เรามักจะวาดแข่งกัน ผมเกลียดการแพ้เป็นพิเศษ ผมจะแอบดูรูปที่พี่วาดจากหางตา (ถึงตอนนี้ไจ๋แกล้งทำเป็นมองด้วยหางตา) ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพี่ชายผมวาดภาพบ้าน ผมก็จะวาดแบบเดียวกัน (ไจ๋ทำท่าวาดภาพ) ถ้าผมเห็นเขาวาดต้นไม้ เพื่อไม่ให้แพ้ผมก็จะวาดต้นไม้ด้วย ผมจะเอาภาพวาดไปให้แม่ดูแล้วถามประมาณว่า “รูปของผมสวยกว่าใช่ไหม” ผมมีความมุ่งมันมากจริงๆ (หัวเราะ)

Image hosted by Photobucket.com

ข้อเสนองานที่ต่างประเทศต้องรวมค่าตั๋วไปกลับทุกอาทิตย์ด้วย (หัวเราะ)
ถาม : มีแผนจะไปทำงานที่ต่างประเทศในอนาคตรึเปล่า

ไจ่ไจ๋ : มีข้อเสนอเข้ามาอยู่เสมอ แต่ผมยังเป็นนักเรียนอยู่แล้วก็จำเป็นต้องเข้าเรียนอาทิตย์ละ 3 วัน เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะไปอยู่ต่างประเทศนานๆเพื่อถ่ายทำ ผมเลยรับงานในไต้หวันมากกว่าที่อื่น มีข้อเสนอทุกประเภทจากฮ่องกง และจีน สิ่งแรกที่ผมจะถามไปก็คือ พวกเขาจะจ่ายค่าตั๋ว 2 ใบทุกอาทิตย์ เพราะว่าผมต้องกลับไปไต้หวันรึเปล่า (หัวเราะ) ผมล้อเล่นน่ะ ตอนนี้การไปทำงานที่ต่างประเทศค่อนข้างลำบาก ปัจจุบันไม่มีแผนไปทำงานที่ต่างประเทศเป็นชิ้นเป็นอันนัก

ถาม : มีแฟนๆจำนวนมากไปรอรับคุณที่สนามบินตอนมาญี่ปุ่น ช่วยพูดอะไรกับพวกเขาหน่อย

ไจ่ไจ๋ : ตอนนั้นผมมีความสุขมาก ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นแฟนๆมารอกันเป็นจำนวนมาก ต้องขอบคุณการสนับสนุนของแฟนๆที่ทำให้ผมมาไกลถึงขนาดนี้ คงจะเป็นเรื่องดีถ้าในอนาคตสมาชิกเอฟโฟร์จะสามารถไปที่อื่นนอกจากโตเกียว ไปเยือนสถานที่อื่นในญี่ปุ่นเพื่อโปรโมท

Image hosted by Photobucket.com

ตอนที่ถ่ายรูปก่อนจะสัมภาษณ์ ตากล้องออกคำสั่งแล้วคำสั่งเล่า อาทิ จับตรงนี้ มองตรงนั้น นั่งตรงนี้ ไจ่ไจ๋ก็จะทำอย่างที่บอก แต่เขาจะบอกว่า “ถ่ายไปเยอะๆเลยครับ ให้พอพิมพ์อัลบั้มรูปได้เล่มหนึ่ง” ดูเหมือนว่าเขาจะวิตกที่การถ่ายรูปเสร็จเร็วกว่ากำหนด

- รูปที่ไจ๋ทำหน้าตลกๆ และยิ้มแบบซุกซนถ่ายระหว่างถ่ายรูปทำหน้าจริงจัง
- แต่นอกเหนือจากการโพสต์ท่าพวกนั้นแล้ว ไจ่ไจ๋แค่จ้องมองกล้องอย่างจริงจังก็แสดงให้เห็นใบหน้าที่สวยงาม และนัยน์ตาพราวของเขาได้ อีกครั้งหนึ่งที่ความคิดผุดขึนมาในใจฉันว่าทั้งที่เป็นชายหนุ่มที่ง่ายๆสบายๆแบบนี้ แต่เขาถูกกำหนดมาเล้วให้เป็นดารา

นับตั้งแต่เข้าเริ่มเข้าสู่วงการ ไจ่ไจ๋ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการออกเสียงมาตลอด ระหว่างให้สัมภาษณ์ ไจ่ไจ๋จะหันไปขอคำยืนยันจากสตาฟด้วยคำถาม อาทิ “ผมออกเสียงถูกรึเปล่า” ออกเสียงถูกใช่ไหม (แต่ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนว่าไจ๋จะออกเสียงผิดอยู่สองสามครั้ง)

แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นดาราใหญ่แล้ว แต่ไจ่ไจ๋ก็ยังขี้อายอยู่ ในตอนแรกเขาต้อนรับเราด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดูประหม่านิดๆ ระหว่างให้สัมภาษณ์เขาพูดคุยอย่างมีความสุขด้วยนัยน์ตาโตที่เคลื่อนไหวไปมา ตอนที่มีการสัมภาษณ์ ไจ่ไจ๋ยังเป็นหวัดนิดหน่อย หลังการสัมภาษณ์ที่โรงแรม เขามีคิวแน่นเอี้ยดทั้งการแถลงข่าว พบปะกับแฟนๆ และออกรายการวิทยุสด แต่ทั้งหมดนี้แล้ว เขาก็ยังดูขี้อายนิดๆ ตอบคำถามหรือยิ้มแบบซุกซนอยู่ตลอดเวลา แตกต่างจากรอยยิ้มเพื่อการค้าของศิลปินอย่างสิ้นเชิง น่าจะเป็นเพราะธรรมชาติแล้วเขาเป็นคนน่ารัก และสุภาพ ไจ่ไจ๋เป็นคนที่สดชื่น ง่ายๆ แล้วก็หล่อเหลา คงจะเป็นเรื่องน่าสนใจมากที่จะดูกันต่อไปว่าเขาจะเติบโตเป็นนักแสดง และผู้ชายแบบไหน

Image hosted by Photobucket.com

ออกเสียงผิดระหว่างสัมภาษณ์
ไจ่ไจ๋กำลังเล่าเรื่องการเดินทางไปโอกินาวา หลังจากที่เขาพูดว่าพวกเขาเดินทางโดยเรือ ไจ่ไจ๋ก็หันไปถามทีมงานที่นั่งอยู่ด้วยว่าถูกรึเปล่าเพราะว่าเขามีปัญหาในการออกเสียง “อัน” กับ “อัง” ไจ่ไจ๋ทดลองออกเสียงช้าๆก่อน ซึ่งทุกคนก็รับรองว่าถูก แต่ความพยายามของไจ๋สูญเปล่า...เขาพูดผิดเข้าเต็มเปา

ไจ่ไจ๋ออกเสียง “ซางชวน” (shang chuan) ผิดเป็น “ซางชวง” (shang chuang ) แล้วซางชวนนั้นคือการขึ้นเรือ ขณะที่ซางชวงคือการขึ้นเตียง ซึ่งหมายถึงไปนอนหรือในทางกลับกันอาจหมายถึงการเมคเลิฟ ไจ่ไจ๋พูดถึงการเดินทางไปโอกินาว่าอย่างสนุกสนาน แต่ทว่าการพูดเรื่องการเดินทางอาจถูกตีความว่าเป็นการเมคเลิฟแทน สตาฟทำได้แค่ยิ้มแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

จบแล้วจ้า

Image hosted by Photobucket.com




 

Create Date : 16 กันยายน 2548    
Last Update : 1 ธันวาคม 2548 0:45:31 น.
Counter : 1172 Pageviews.  

1  2  

calico cat
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








Friends' blogs
[Add calico cat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.