All Blog
ประสบการณ์ของวีซ่าอเมริกา
สวัสดีค่ะ
เจ้าของกระทู้ ได้เข้ามาอาศัยห้องไกลบ้าน ในการเตรียมตัวของวีซ่า อเมริกา ตั้งแต่เริ่มแรกตอนต้นปี แต่ด้วยเหตุการณ์หลายๆ อย่าง ทำให้พินหมดอายุไป มาจองได้อีกทีวันที่ 27/07/2011 นี้ล่ะค่ะ

การจองก็ไม่ยาก(อย่างที่เคยคิด) จองได้หลายทาง เราซื้อพินด้วย notebook แล้วนั่ง refresh ไปมาๆ จนสำเร็จประมาณ วันพุธ ช่วง 5 โมงเย็น จองด้วย safari ผ่าน iPhone ได้ด้วยนะเออ

เราเด็กบ้านนอก เลยต้องหาที่พักแถวๆ นั้นเอาแบบนอนคืนเดียว ถ้าใครอยากมีที่พัก ลองดูตรงสวัสดี อินน์ นะ เค้าอยู่หลังสวนซอย 5 เดินทะลุซอยต้นสน มาทางด้านหลังตึกสินธร แล้วข้ามสะพานลอยมาจะถึงสถานฑูตในเวลา 5 นาที แต่ห้องพักจะเก่าไปหน่อย แต่อุปกรณ์ครบ ราคาที่เราจองผ่าน agoda 770/คืนนะ

เรานัดได้รอบ 8.00 น. นึกว่าอยู่ใกล้ เลยออกจากที่พัก 7.00 ว่าสบายแล้ว เค้านัดก่อน 30 นาที เอาใบนัดที่พิมพ์จากระบบไปด้วยนะ อย่าลืม ไปถึง ได้อยู่ปลายแถวตรงตรีนสะพานลอยพอดี แต่สัก 7.30 น้องเสื้อชมพูจะมาแยกคิวตามเวลา เราก็จะได้เป็น 2 แถว รวมเวลารอหน้าสถานฑูตประมาณ 1 ชม. เห็นจะได้ เข้าไปก็ต้องฝากของที่เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกอย่าง ที่สำคัญ เอาบัตรประจำตัวไปด้วยนะ จะได้ไม่เรื่องมากกับคุณพี่ รปภ. เค้า แล้วหลังจากนั้นไปต่อคิวตรวจสอบเอกสาร อ้อ อย่าลืมหยิบใบสีฟ้ามากรอกด้วยนะ
ซึ่งใช้แค่
1.พาสปอร์ต
2.ใบ confirm DS 160
3.รูปถ่ายตัวจริง
4.ใบรับรองการทำงานจากที่ทำงาน
5.ใบเสร็จรับเงินค่าธรรมเนียม (เอาแค่ใบสีขาวไม่เอาใบสีฟ้า)

เค้าจะถามว่ามีจดหมายเชิญจากทางอเมริกามั้ย พาสปอร์ตเล่มเก่ามีวีซ่าเมกาหรือเปล่า ถ้ามีก็เอาแนบใส่ซองและรับบัตรคิวไปด้วย

อันนี้จะผ่านด่านพี่สาว 3 คนด้านหน้าก่อนที่จะเข้าไปพบกงศุล รอคิวประมาณ 30 นาที เค้าจะให้สแกนนิ้วมือ และถามคำถามเบื้องต้น เราก็ถูกถามนิดหน่อย
ไปกี่วัน
10 วัน
พักกับใคร คนชื่อ... ใช่มั้ย เป็นใคร
เป็นเพื่อนของเพื่อนที่ไปด้วย
ขอรูปถ่ายตัวจริงหน่อยค่ะ
โอเค ยื่นให้

เคสหน้าเราที่นานหน่อยคือ สาวน้อยคนหนึ่ง เค้าจะไปเยี่ยมเพื่อนที่โน่น ชื่ออะไรจำไม่ได้ แต่ไปนาน 30 วันแน่ะ เค้าถามย้ำหลายครั้งมาก ว่าไม่ใช่แฟนนะคะ เธอก็ยืนยันว่าไม่ใช่ ส่วนอีกคนที่นานตั้งแต่ด่านพี่สาว 3 คนคือ คนแอฟริกานะ ถามเยอะมาก นานมาก ได้ยินคร่าวๆ ว่าเธอจะกลับไปเรียนหรือทำ thesis ให้จบนี่แหละ

หลังจากนั้นเราก็ได้บัตรคิวมาเพื่อรอสัมภาษณ์กับท่านกงศุลตัวจริง วันนี้ เปิดแค่ 2 ช่อง เป็นช่องพี่ฝรั่งหล่อๆ ใจดีๆ กับพี่ฝรั่งท้วมๆ ใจดีเหมือนกัน(ตามความรู้สีก) นั่งรอนานมากๆ ค่ะ ประมาณ 3 ชม. ตั้งแต่ 9.30 - 11.20 กันเลย คนนั่งรอข้างในประมาณ 100 คนเห็นจะได้ เราก็นั่งอ่าน DS160 ที่พริ๊นท์มาให้ครบทุกหน้า 3 รอบแล้วยังไม่เรียกซักที เค้าจะเรียกทีละ 10 คน 1 แถวเท่านั้นเอง ถึงคิวเราประมาณ 11.10 ก็ไปต่อคิว วันนี้ก็มีคนได้บ้างไม่ได้บ้าง น้องสาวคนนั้นที่จะไป 30 วันน่ะ เห็นเข้าไปสัมภาษณ์กับพี่ฝรั่งหนุ่มๆ นานมากๆ แต่ในที่สุดก็ไม่ได้ เพราะเห็นถือพาสปอร์ตกลับไป ส่วนพี่แอฟริกา ไม่แน่ใจว่าได้หรือไม่ได้ เพราะสัมภาษณ์นานมาก และมีต้องไปเสียค่าธรรมเนียมอะไรอยู่ ส่วนเราได้สัมภาษณ์กับพี่ฝรั่งท้วมๆ ใจดีๆ
คำถามมีดังนี้
Q:คุณจะไปทำอะไรครับ
A:ไปเที่ยวค่ะ (ตอบอย่างหนักแน่นมาก)
Q: คุณทำงานที่ ..... มานานกี่ปีแล้ว
A: 7 แล้วค่ะ (ยกมือชูให้เห็นด้วย) 7 ปีค่ะ
Q: จะไปกี่วันครับ
A: ประมาณ 10 วันค่ะ
Q:คุณเคยไปต่างประเทศหรือเปล่าครับ
A: เคยไปค่ะ ไป ฮ่องกง สิงคโปร์ และไปญี่ปุ่น มา 2 ครั้งค่ะ
Q: คุณจะไปกับใครครับ
A: คุณ .... ค่ะ
Q: แล้ว visa ของคุณ .... ล่ะครับ
A: ได้รับวีซ่าเมื่อเดือนที่แล้วเรียบร้อยค่ะ
Q: คุณมีบ้านที่เมืองไทยมั้ยครับ
A: มีค่ะ อยู่บ้านกับพ่อและแม่ที่ .... ค่ะ
อ้อ.. ทำงานอยู่ที่ ... นะคะ
Q: คุณจะไปเที่ยวที่ไหนครับ
A: จะไปลอสแองเจลลิส กับซานฟราน ค่ะ

พี่เค้าก็กรอกๆ ข้อมูลลงในคอม ซักพัก แล้วก็ยึดพาสปอร์ตเราไป(ซึ่งอยากให้ยึดมากกก) ส่งใบสีฟ้าให้ และไล่ให้ไปจ่ายเงินซะ เราหน้าบานมากๆ ยกมือสวัสดี ขอบคุณพี่เค้า แล้วก็รีบเดินหน้าบานไปจ่ายเงินที่ไปรษณีย์ข้างนอก 75 บาท
ไม่กล้าถามไรเค้ามาก กลัวจะเปลี่ยนใจ เราเอาสมุดบัญชีธนาคารไปแค่ 2 เล่มเอง เผื่อเค้าจะถามเรื่องงบประมาณ นอกนั้นไม่ได้เอาหลักฐานอะไรไปเลย เพราะมีเหตุให้ต้องรีบขึ้นมาด้วย บางคนเอาไปเยอะ แต่เค้าก็ไม่ค่อยได้ใช้ สิ่งที่สำคัญมากที่สุด คือ เอกสารรับรองการทำงานจากบริษัทของเราอ่ะ เค้าก็ยึดเอาไปเลย ไม่คืน เรายังนอยด์ตอนเห็นคนอื่นเค้าเตรียมเอกสารไปเยอะเป็นกระเป๋าๆ เลยกลัวว่าเค้าจะขอดู แต่จริงๆ คือคงดูที่คนจะไปมากกว่านะ ว่าดูน่าเชื่อถือ ไปแล้วไม่ไปลับ กลับมาบ้านเราแน่นอน

วันนี้ 30/7/2011 ได้รับซองไปรษณีย์มาแล้ว ได้ 10 ปีจ้า

ข้อมูลส่วนตัวเล็กน้อย เราอายุ 30 ต้นๆ เงินเดือนไม่มากไม่มาย ทำงานบริษัทเอกชนแต่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ และยังโสดจ๊ะ

โพสต์ไว้เผื่อเป็นประสบการณ์ให้คนที่กำลังจะขอวีซ่านะจ๊ะ ไม่ยากอย่างที่คิดเพียงหลักฐานครบและเรามีความตั้งใจจริงๆ



Create Date : 06 สิงหาคม 2554
Last Update : 6 สิงหาคม 2554 22:47:44 น.
Counter : 2294 Pageviews.

0 comment
ไปญี่ปุ่น(อีกแล้ว) ตอนที่ 3
ช่วงที่กำลังวุ่นวายใจ ว่าเราจะได้วีฯ หรือเปล่า เราก็หาได้ปล่อยเวลาให้เสียไปอย่างเปล่าๆ ไม่ อิฉันก็ทำการแพลนว่าจะไปเที่ยวไหนอะไรอย่างไร ทรปนี้ดีคือ เราเป็นคนแพลนทั้งหมด เพราะ เพื่อนสาว อะไรก็ได้ เพิ่งเคยไปครั้งแรก และงานรัดตัว พุงปลิ้นเลย เอยย

แผนการที่ได้มีดังนี้

วันที่ 1

ลงนาริตะ ไปพักที่เดิม กับคุณป้าเชน ที่ House Ikebukuro

//www.housejp.com.tw/englishindex.htm

คือหาที่ื่อื่นแล้วมันก็แพงบ้าง ไกลบ้าง จริงๆ อยากอยู่ชินจูกุ เพราะจะไป Kawaguchiko แต่โรงแรมแถวนั้น ก็แพง และบางแห่งเดินก็ไกล อยู่กับป้าเช็นก็ดี เพราะที่นั้น โทรกลับบ้านฟรี 5 นาทีหรือไงก็ไม่รู้ แถมซักผ้าฟรี กินน้ำฟรี ครัวก็ฟรี ทีีวีจอยักษ์ อินเตอร์เน็ทก็ฟรี คืนละ 3000Y/คน เท่าเดิมเลย ก็ไม่รู้จะหาที่อื่นไปทำไม แถมตอนจองไม่ต้องจ่ายมัดจำ จองไปก่อน แล้ว 2 อาทิตย์ก่อนเดินทาง ก็จงอีแมวไปบอกเค้าหน่อยว่าจะไปจริงๆ นะ แล้วค่อยเอาตังค์ไปจ่ายที่โน่นเลย ก็นะ ดีขนาดนี้ไม่จองไม่ได้แล้ว อ้อ..จำได้ ครั้งที่แล้ว คุณป้าเอาหนมปังมาให้เป็นอาหารเช้าทุกวันเลยด้วย น่ารักจริงๆ

บ่าย ไปอิมพีเรียลพาเลซ จองทัวร์ไว้ด้วยน้า
ใครสนใจ ไปเว็บนี้ เลือก application for visit เลย เค้าปิดเว็บตอนเที่ยงคืนถึงตี 5 นะ เราก็กรอกจองไป 2 คนแล้วค่อยเอาใบจองทัวร์เข้าไปที่ gate ให้เค้าดู

//sankan.kunaicho.go.jp/english/guide/koukyo.html

หลังจากจบทัวร์ 75 นาที ยังเลือกไม่ได้ว่าจะไปไหนดี เพราะมีเยอะ อาจจะโอไดบะ หรือไม่ไปเที่ยวๆ แถบนั้น เช่น รปปงหงิ ชิบุยะ หรือไรดี รอโหวตกันสองคนอีกทีละกัน

วันที่ 2

KAMAKURA-YOKOHAMA
เน้นๆ พิพิธภัณฑ์ราเมน คืออยากไปลองชิมซักครั้งนะ ว่าจะอร่อยจริงไรจริงหรือเปล่า

วันที่ 3

ออกจากโตเกียว มุ่งไป คะวะคุจิโคะ พักที่ Kawaguchiko station inn
คือ โครตใกล้สถานี เดิน 1 นาที เพียงข้ามถนนก็ถึงเลย จะไปลำบากไปทำไม ส่วนไปเที่ยวยังไงๆ ก็ต้องมาขึ้นรถตรงสถานีอยู่ดี เที่ยวนี้จะซื้อตั๋ว retro bus 2 วันเลย จะได้ไปเก็บรูปฟูจิซังให้หนำใจ

วันที่ 4
อยู่คะวะคุจิโคะ ได้ถึงก่อนเที่ยง หลังจากนั้น เราจะต่อรถขึ้นเหนือไป MATSUMOTO แล้วก็ไปต่อรถบัสของ nouhibus เพื่อไป Takayama ดูเวลาแล้ว ต้องไปก่อน 17.10 น่ะ รอบสุดท้าย

//www.nouhibus.co.jp/english/matsumoto.html

เพราะเป็นทางที่ดีที่สุดที่เราไม่ต้องไปอ้อมขึ้น shinkansen ที่ YOKOHAMA เพื่อไป NAGOYA เพราะ จาก NAGOYA ไป TAKAYAMA เนี่ย 2 ชม. เลยนะ แต่เราต้องเสียค่ารถทัวร์อีก 3000 เยน แต่ประหยัดเวลามากกว่าก็ต้องยอมล่ะ

วันที่ 5
แน่นอน TAKAYAMA-SHIRAGAWAGO
เป็นไฮไลท์ของทริปนี้เลย อยากไปมากๆ ที่พักเราจอง J-Hopper Takayama

//takayama.j-hoppers.com/

แนะนำให้จองผ่าน web j-hopper ไปเลย แต่ต้องกรอกหมายเลขบัตรเครดิตหน่อยนะ เพื่อนความมั่นใจของเค้า แต่เค้าไม่เก็บมัดจำเรานะ ถ้าจองผ่าน hostelworld ก็เสีย 10% จองไว้ 2 คืน คืนนี้ก็นอน Takayama ต่อไป

วันที่ 6
ออกจาก TAKAYAMA ไปเกียวโต คงถึงบ่ายๆ
หลังจากหาที่พักมาหลายที่ สนใจ hana hostel

//kyoto.hanahostel.com/

แต่เต็มในวันที่เราจะไป ส่วนที่อื่น ส่วนใหญ่ก็เดินจากสถานีประมาณ 10 นาทีบ้าง 15 นาทีบ้างพอๆ กัน J-hopper ก็มีนะ แต่ ไม่มีลิฟท์อ่ะดิ ราคาก็ 3000Y เท่ากัน อิฉันจะจองไปทำไม ว่าแล้วก็ใช้บริการที่เดิมคือ K's house น่ะแหละ
เคยไปแล้วชอบ ใหญ่ดี มีลิฟท์ มีครัว มีที่นั่งเล่นใหญ่มาก สะอาด สตาฟฟ์ใจดี
แถมเข้าไปดูใน web ตอนนี้เปิดเพิ่มอีก 1 ตึก เราอาจจะได้พักตึกใหม่ก็ได้ ว่าแล้วก็จองโดยพลัน 3 คืน

//kshouse.jp/index_e.html


ส่วนตอนบ่ายจะไปไหนยังตกลงใจไม่ได้ เพราะตรงกับวันพุธ อยากไป Torkko Arashiyama แต่มันปิดทุกวันพุธ แต่ยังมียกเว้นช่วงนี้(หรือเปล่า ??) คงต้องเช็คกับที่พักดู ครั้งที่แล้วไม่ได้ไปมันมืดเร็วมากก


Full Operation Trams are as follows
●March 15 - April 7
●April 28 - May 5
●July 21 - August 31
●October 15 - December 14

ก็มีก๊อกสอง ถ้าไม่มี ก็อาจจะเดินเีที่ยวธรรมดา หรือไม่ก็ออกไปโกเบ ไปหาไรกินอ่ะนะ คนมันมี JR-Pass ไง

วันที่ 7

วันสุดท้ายของ Pass ก็อาจจะยิงยาวไป Hiroshima เนื่องจาก ใกล้เวลาซากุระเต็มที พยายามลงล่างให้ได้มากที่สุดเ่ท่าที่จะทำได้ เผื่อไว้ๆ
ได้ไปดูเสาโทริ ในทะเลที่เกาะมิยาจิมะด้วย จะได้ดูคุ้มที่ใช้ JR-PASS

วันที่ 8
คงหมกตัวในเกียวโต อย่างน้องต้องไป คิโยมิซึ กะ กิออนแน่ๆ

วันที่ 9
แบกกระเป๋าไปนอนโอซาก้า

//www.chuogroup.jp/selene/th/index.html

ที่นี่เลย


ไปหลั่นล้า UNIVERSAL แล้วกลับมาที่โรงแรม เพราะใกล้คันไซแอร์พอร์ต ขากลับค่อยกลับด้วย รถแบบ limited ได้ 36 นาทีก็ถึงสนามบิน เพราะเรากลับไฟลท์เช้าตรู่ ไปใกล้ๆ อุ่นใจกว่า เพราะถ้านอนเกียวโต อิฉันต้องตื่นตี 5 แหงๆ เดี๋ยวตกเครื่องละลำบาก

วันที่ 10

แหกขี้ตาตื่นกลับบ้านด้วยน้อง CX นั่นแหละ 9:30 เชียวนะ


เอาล่ะ วางไปคร่าวๆ อย่างนี้แล้ว อีก 28 วันจะได้รู้กันว่าทำได้หรือไม่ได้เน้อ





Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2554 23:28:25 น.
Counter : 3233 Pageviews.

0 comment
ไปญี่ปุ่น(อีกแล้ว) ตอนที่ 2

หลังจากยื่นขอวีซ่าไปแล้ว เราก็ได้รับโทรศัพท์ให้เข้าไปรับผลวีซ่าได้ที่ศูนย์ JVAC ซึ่งอยู่ที่ชั้น 15 ของอาคารสีลมคอมเพลกซ์ ไปง่ายมาก ลง BTS ศาลาแดง เข้าไปทางห้าง เดินลงกะไดเลื่อนออกมา เพื่อที่จะไปขึ้นลิฟท์ฝั่งสำนักงาน กดไปชั้น 15 เจอหน้าคุณพี่ยาม บอกว่า มารับวีซ่าค่ะ แค่นี้เค้าก็เปิดให้เข้าไปแล้ว หลังจากนั้นก็กดบัตรคิว และได้เรียกไปที่เคาเตอร์รับวีซ่า เราก็เอาสลิปที่ได้จากตอนที่เราส่งไปรษณีย์ไปด้วย ก็ได้รับซองกลับมา ก็รีบเปิดดู และแล้ว.. วีซ่าของเราและเพื่อนก็ผ่านอย่างง่ายดาย เราไปสมัครวันที่ 2 ได้รับวีซ่าวันที่ 8 ติดเสาร์-อาทิตย์ 2 วัน ดังนั้นการดำเนินการเร็วมาก แค่ 3-4 วันเท่านั้นเอง

เอกสารที่เตรียมไปขอวีซ่า เราเตรียมตามเช็คลิสต์คือ
1.พาสปอร์ตฉบับจริง
2.รูปถ่าย 2 x 2 นิ้ว ของจริง เราใช้รูปที่ถ่ายไปสมัครวีฯ ของเมกา แบบหน้าใหญ่เปิดหูด้วย
3.หนังสือรับรองจากที่ทำงาน ที่ทำงานเราเขียนละเอียดมาก คือ ประมาณเรียน สถานกงศุล ประเทศญี่ปุ่น แจ้งว่าเราเป็นพนักงาน ทำงานมาตั้งแต่ปีไหน จนปัจจุบันอยู่ในตำแหน่งอะไร เงินเดือนเท่าไหร่ และได้ลาพักร้อนตั้งแต่วันที่เท่านี้ ถึงวันที่เท่านั้น และขอให้ทางกงศุลช่วยอนุมัติวีซ่าท่องเที่ยวให้กับเราด้วย หลังจากวันที่กำหนดแล้ว ทางเราจะรีบกลับมาทำงานที่บริษัทอย่างเร็วที่สุด ประมาณนั้น อันนี้ให้ฉบับจริงเท่านั้น
4.สเตทเม้น คือถ่ายบุ๊คแบงค์ทุกหน้านะคะ ไม่ใช่ 6 เดือน คือทุกหน้าที่มีในเล่มนั้นเลย เอาตัวจริงไปด้วย เค้าจะนับๆ ดูๆ แต่จากประสบการณ์ครั้งแรกที่ไปขอ ถ้าทำงานบริษัทมหาชน เค้าไม่เอาสเตทเม้นนะ

คนที่ไปขอครั้งแรกก็เอาทะเบียนบ้านตัวจริงไปด้วย ห้ามฝากคนอื่นไปขอ ให้ไปขอด้วยตัวเองเท่านั้น

แล้วก็พวก ใบคำร้อง ใบเช็คลิสต์ และ แบบสอบถาม ซึ่งส่วนใหญ่จะตอบว่า No ทั้งนั้นเลย

แค่นี้แหละ ไม่มีอะไรอื่นเลย อันนี้ตอนกรอกจุดประสงค์ที่จะไป ไม่ต้องใส่ความยาวสาวความยืดอะไรเลยนะจ๊ะ ให้ระบุแค่ว่า SIGHTSEEING พอ ไม่ควรระบุว่า TRAVEL อันนี้มีคำแนะนำในการกรอก อยู่ในเว็บนะ (น่าจะใช่)
พวกแผนการท่องเที่ยว หรือ เอกสารการจองตั๋วก็ไม่ได้ให้ไป เพื่อนเราขอครั้งแรกก็เตรียมมาเท่ากัน แค่ทำให้เค้ามั่นใจมากๆ ว่าเราไปแล้วก็กลับมาทำงานของเราก็จะผ่านแค่ันั้นเอง

หลังจากนั้น เมื่อวีฯ ผ่าน ก็วี๊ดว๊ายกันพักนึง แล้วเราหาตั๋ว+JR rail Pass ไว้ก่อนเมื่อปลายเดือนที่แล้ว เราเป็นพวกจองเผื่อไว้ อยากไปสนามบินนึง กลับอีกสนามบินนึง ค่าตั๋วมันก็ต้องแพงหน่อยนึง เห็นโปร ANA แล้วตกใจ อยากได้ แต่พอโทรไปถามจริงๆ มันต้องไปและกลับที่นาริตะเท่านั้น จึงจะได้ราคานั้น เท่าที่ดูประมาณ 27,000 รวม JR แล้ว

เอเยนต์ที่โทรหาก็มีแค่ 2 แห่ง คือ TV-Air อันนี้ทุกคนน่าจะรู้กิตติศัพท์กันดี
ว่าพี่เค้าก็งานเยอะ และดุแค่ไหน ก็เลยไม่กล้าคุยอะไรมาก รู้แค่ว่าเต็มไปเกือบหมดแล้ว เหลืออีกที่นึงเราหาใน net ได้คือ H.I.S Thailand คุณเอ น่ารักมากเลย เราโทรไปเค้าพยายามหาตั๋วบินตรงให้ก่อน แต่ส่วนใหญ่จะเต็มหมดเลย เค้าเลยหาแบบบินอ้อมให้ คือ CX หรือ Cathay Pacific ซึ่งเราได้ราคารวม JR แล้วอยู่ที่ 30,800 บาท ก็โอเคนะ เพราะขาไปได้ไปถึงโน่น 6 โมงเช้า
แต่ขากลับไฟลท์เย็นเต็มหมด เราเลยต้องเลื่อนไปกลับเช้าของอีกวันนึง
ซึ่งก็ไม่เท่าไหร่ เพราะยังไงก็มีเวลาให้เหลือเฟือ เผื่อไปเดินเล่นสบามบินฮ่องกงได้อีก พอเราได้ราคาที่พอใจ ก็ไม่ได้หาอีก เราเคยนั่ง JAL เมื่อ 2 ปีที่แล้ว
เราว่า seat เค้าเล็กอ่ะ ขนาดผู้หญิง(ซึ่งตัวไม่เล็ก) อย่างเรานั่งแล้วอึดอัดเลย
อาหารเนี่ย คือไม่ค่อยอร่อยอ่ะ แล้วจอทีวีกะหนังก็ไม่ค่อยสนุก สู้ของ CX ไม่ได้ เราเคยนั่งไป HK อ่ะ CX ดูอินเตอร์กว่า seat ก็สบายกว่าด้วย ก็เลยเอาก็เอาพอใจทีเดียวในราคาเท่านี้ ใครสนใจจะไปญี่ปุ่น อย่าลืมเอเยนต์นี้นะ บริการดีและน่ารักทีเดียว ราคาก็โอมากๆ

พอได้วีฯ เสร็จเราก็ไปออกตั๋วกันเลย HIS เค้าอยู่ชั้น UL อาคาร Interchange ตรงสถานีรถใต้ดินสุขุมวิท ไปก็สะดวกเลย ขึ้นไปจ่ายเงิน และน้องก็ออก e-ticket และเอกสารสำหรับ JR-Rail Pass ให้เรียบร้อย และที่นี่มี Hand out สำหรับท่องเที่ยวญี่ปุ่นเพียบบ หน้าตาคล้ายๆ ที่เราได้ตอนไปขอที่ ITC ที่ญี่ปุ่นยังไงอย่างนั้น แวะไปเอาได้ ตอนนี้ UNIVERSAL STUDIO เค้ากำลังลดราคา 10% นะ เหลือ 5200Y สำหรับคนเอาคูปองจากนอกประเทศไปอ่ะ เรียกว่าส่งเสริมการท่องเที่ยวกันอย่างสุดๆ ไปเลย

หลังจากได้ e-ticket มาเราก็ไปเตรียมจองที่นั่งผ่าน web ของ cathay ที่

//www.cathaypacific.com/cpa/en_INTL/manageyourtrip/managemybooking?loginType=nonmember

หรือเข้าไปหน้า home เค้าแล้วก็เลือกเอาตรง manage booking นะคะ
หลังจากนั้นก็ใส่ e-ticket number แล้วเข้าไปเลือกที่นั่งได้เลย คู่มือในการเลือกที่นั่งลองหาอ่านผ่าน

//www.seatguru.com/

ก็ลองเลือกกันไปว่าจะนั่งตัวไหนอะไร ยังไงกับสายการบินไหนถึงจะดูดีและคุ้มค่ากับเงินค่าตั๋วที่เราเสียไปมากที่สุด

ส่วนทริกเล็กๆ สำหรับคนที่นั่งไปลงนาริตะ เค้าว่าให้นั่ง seat ฝั่ง ซ้ายนะจ๊ะ หรือฝั่งที่ขึ้นต้นด้วย A มิใช่ H นะ เพื่อที่ว่าโอกาสดีๆ อาจจะเห็น ฟูจิซังจากด้านบนได้เลย เฮ้อ ว่าแล้ว เราก็จองไว้แล้วล่ะ เผื่อไว้ๆ แถมยังมีอะไรให้เล่นๆ อีกเยอะ ลองเข้าไปดูได้นะ ไม่น่าเชื่อสายการบินเค้าทำอะไรได้ก้าวไกลขนาดนี้แล้ว เราน่ะเชยจริงๆ เมื่อก่อนเวลาไปแต่ละที ไปฝากความหวังไว้กับ ground ตอนเช็คอิน ขอที่นั่งตรงติดหน้าต่างนะ รอลุ้นว่าจะมีหรือไม่มี แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ก็สบายเลย เดี๋ยวช่วงวันที่ใกล้ๆ จะเดินทางก็คงต้องแวะเข้ามาดูอีกที เพราะคำเตือนเค้าว่า จะพยายามจัดให้ แต่ถ้ามีเหตุจำเป็นก็อาจจะยกเลิกโดยไม่ต้องบอกก่อน เอาน่า หวังไว้ๆ เผื่อจะเจอฟูจิซังจริงๆ ซักกะที ครั้งที่แล้วเค้าอ๊ายยอายเรา ไม่เห็นเล้ยยยย

ส่วนการตรวจสอบ e-ticket ของเรา ก็ถ้าจองผ่าน amadeus ก็เข้าไปโลดที่

//www.checkmytrip.com

เผื่อไว้ๆ บางคนคิดว่าตั๋วอาจจะราคาถูกและดีอย่างไม่น่าเชื่อ กลัวจะถูกเอเยนต์หลอก ก็เอาไว้ตรวจสอบดู เค้ามีให้ d/l และ ส่ง mail ได้อีกด้วย ความรู้ใหม่ประดับสมองอีกแล้ว เฮ้อ..เชยจริงๆ เลยชั้น


ตอนนี้ก็เหลือแค่เตรียมแผน เตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมลากันอย่างจริงจังและคำนวณค่าใช้จ่ายเพื่อที่จะได้เตรียมแลกเงินไว้แต่เนิ่นๆ แล้วล่ะ













Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2554 22:51:17 น.
Counter : 1764 Pageviews.

0 comment
ไปญี่ปุ่น(อีกแล้ว) ตอนที่ 1
เราและเพื่อนได้ดำริว่าอยากไปญี่ปุ่นกันอีกสักครั้ง หลังจากไปเหยียบกันมาแล้ว 1 ครั้ง และได้ถือฤกษ์งามยามดี ช่วงต้นเดือนมีนาคมปีนี้ ที่เราว่างกัน ก็เลยจัดทริปขึ้นมาตามใจฉัน

อันดับแรกสุดก็ขอวีซ่า ตอนนี้ทางสถานฑูตเค้าใจดีมาก เปิดศูนย์รับเรื่องขอวีซ่าตั้ง 5 แห่งทั่วประเทศ เราเองก็ถือว่าโชคดีมีที่ขอวีซ่าในจังหวัดด้วยคือที่ไปรษณีย์นั่นเอง อยากรู้เพิ่มเติมไปได้ที่

//www.jp-vfsglobal-th.com/thai/index.html

สำหรับผู้ที่ขอวีซ่าครั้งแรกก็ยังต้องทำตามระเบียบสถานฑูตนั่นก็คือต้องไปยื่นคำร้องด้วยตนเอง หลักฐานหรือเอกสาร ว่างๆ ก็แวะไปขอและนั่งคุยกับเจ้าหน้าที่ได้ก่อน ใจดีเนาะ(ที่ภูเก็ตน่ะ) จะได้เตรียมเอกสารและหลักฐานต่างๆ ไปได้พร้อมทีเดียว และได้เอาใบคำร้องมานั่งกรอกก่อน อันนี้ขอทำเครื่องหมายดอกจันทน์ว่า

**** ต้องกรอกเป็นอักษรตัวพิมพ์ใหญ่เท่านั้น*****

ส่วนเอกสารต่างๆ เค้าก็จะมีเช็กลิสต์ให้ก็เตรียมกันไป ให้พร้อมเพรียง

หลังจากกรอกข้อมูลเสร็จ ยื่นเอกสารลงซอง เจ้าหน้าที่จะมีสลิปให้กรอกว่า จะให้ส่งคืนพาสปอร์ตเราได้ที่ไหน เห็นว่ามีให้เลือก 3 ที่ คือ
ที่ศูนย์ JVAC ที่สีลมคอมแพลกซ์ที่ กทม.
ที่ไปรษณีย์ที่บ้านเรา
และตามที่อยู่ที่เราจะให้ส่งไป
ทั้งหมดจะส่งเป็น EMS ก็จะมีเลขที่ EMS ให้ทั้งขาออกและขาเข้า

เราต้องชำระค่าธรรมเนียมวีซ่า 1080 บาท และค่าบริการอีก 535 บาท
รวมแล้วต้องชำระทั้งหมด 1615 บาทนะจ๊ะ

แล้วเจ้าหน้าี่จะให้สลิปก๊อปปี้กับเราไว้ บังเอิญว่าเรามีธุระต้องไป กทม.อาทิตย์หน้าพอดี เราก็เลยขอให้เจ้าหน้าที่จัดส่งไปให้ที่ศูนย์ JVAC ที่ สีลม แล้วเราจะแวะไปรับด้วยตนเอง อันนี้ก็ง่าย
เมื่อได้รหัส EMS มา เราอยากรู้ว่าเค้าส่งไปถึงเมื่อไหร่ ก็ Track ได้จาก web

//track.thailandpost.co.th/trackinternet/Default.aspx

ของไปรษณีย์ได้เลย
ส่วนคนที่อยากรู้ความคืบหน้าว่า Application ของเราไปถึงไหนแล้วนั้น
ก็คลิ๊กไปที่

//www.jp-vfsglobal-th.com/thai/track.html

ตรวจสอบได้เลย ตอนนี้ของเรายังอยู่ที่สถานฑูต ก็รออยู่เหมือนกันว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน

ชักจะเครียด ลุ้นๆ อยู่ซะแล้ว



Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2554 0:32:24 น.
Counter : 863 Pageviews.

0 comment
ได้ไปแล้วนะ ญี่ปุ่นน่ะ ภาคปฏิบัติ ตอน 8
วันที่ 8 เที่ยวโตเกียว

เหลือวันบัตรผ่าน JR-rail Pass อีกวันนึงเราก็ตัดสินใจว่า จะไปเที่ยวโตเกียวกัน ก็เอาแค่รอบๆ Yamanote Line ก็เพียงพอแล้วล่ะ แต่มาโตเกียวทั้งทีไม่ไปศาลเจ้าที่อาซาคุสะ ก็เหมือนมาไม่ถึงโตเกียวใช่มั้ย ยังไงก็ต้องแวะซักหน่อย

แต่รถไฟที่จะไปศาลเจ้าอาซาคุสะเนี่ย ไม่อยู่่ใน JR ก็ต้องเสียเงินไปตามระเบียบ แต่ว่าไม่ต้องกลัวว่าจะหลงหาทางขึ้นไม่เจอ เพราะว่าจะมีป้ายบอกทางตลอดว่าให้ขึ้นทางไหน และไม่หลง เพราะว่าพอขึ้นจากรถไฟใต้ดินก็ถึงเลย..ไม่ต้องเดินหาเหมือนเวลาที่เราไปเที่ยวบ้านนอก ;)

อันนี้ landmark เค้าล่ะ ปล.พ่อหนุ่มคนนั้นเรามิได้ตั้งใจถ่ายนะ 5 5 5





ร้านขายของฝากทางเข้า ของน่ารักและจุ๊กจิ๊กๆ เพียบบบบ










และอย่าลืมแวะซื้อขนมปลาไส้ถั่วแดงไว้หม่ำตอนร้อนๆ ด้วย



ทางเข้าข้างใน และมุมมหาชน..ไม่ถ่ายไม่ได้แล้ว แต่ตอนที่เราไปทางวัดเค้าปิดซ่อมภายนอกอยู่เลยไม่ได้ถ่ายตัววัดมา




ทาโกยากิ อันใหญ่มาก แต่ไม่ได้กินเพราะยังอิ่มอยู่เลย



มุมมหาชนอีกที ;)







อันนี้ปู่ย่าตายาย พาหลานมาเที่ยว เจ๊บอกเค้าเอามาอวดกัน... ว่าไปนั่น






ปากทางเข้ามีร้านขายของที่ระลึกของ Ghibli studio ด้วย ใครเป็นแฟนโตโตโร่ หรืออื่นๆ แวะเข้าเยี่ยมชมได้ แต่ราคาก็ อื้อหือ อยู่เหมือนกัน

หลังจากนั้น เราก็พลัดหลงกับเพื่อนสาว ฮ่าๆๆ (สงสัยต้องการพลัดหลงกับเราแน่ๆ เลย) เลยคิดไม่ออกว่าจะไปไหนกันดี เราเลยชวนเจ๊ไป อุเอโนะดีกว่า เห็นเค้าว่าในสวนมีไรให้ทำเยอะ เราก็จับรถไฟไปกัน ต้องนั่งรถย้อนกลับมาเพื่อมาขึ้น Yamanote Line ก่อน หลังจากนั้นก็ Free ไป

ไปถึงสวนอุเอโนะ แหะๆ สิ่งที่เห็นตอนออกจากสถานีรถไฟคือ. ร้านร้อยเยน ที่ใหญ่กว่าแถวที่พักมาก เราสองคนเลยตรงดิ่งเข้าไปดู และ ได้มาคนละเล็กน้อยออกมาฝนก็ตกเปาะแปะๆ อยากโทรกลับบ้าน เลยเดินไปถามคุณตำรวจ แกก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่บอกให้เราไปที่ตู้ที่มี international call ก็เห็นตรงหน้าสวนก็เลยลองกดดูแต่..มันทำไม่ได้ เลยไม่ได้โทรอีก บรรยากาศมืดครึ้มมากกกก เจ๊เลยถอดใจไม่อยากไปเดินชมสวน เราเลยได้แต่ถ่ายรูปกับท่านอุเอโนะ(ใช่มั้ยหว่า) เอาไว้ และตั้งใจว่า ถ้ามีโอกาสจะมาเยี่ยมเยียนอีก



เหอๆๆ ถุงร้านร้อยเยนอยู่ในมือ ซะงั้น




หลังจากออกจากหน้าสวน สิ่งเดียวที่เจ๊และเรามุ่งไปก็คือ ตลาด อาเมโยโกะ (อีกครั้ง) และเที่ยวนี้ได้เดินดูหลายอย่างนะ ตลาดนี้เค้าขายของถูกจริงๆ ได้กินสตอเบอรี่ ไม้ละ 200 เยน แต่ลูกบักเอ้ก มากก หวานฉ่ำ จนอยากกลับไปซื้ออีก อิอิ รองท้งรองเท้า เครื่องสำอางค์เยอะแยะมากมาย ได้เดินทั่วกว่าที่เราดูตอนกลางคืนวันนั้นอีก และเจ๊ก็อดที่จะแวะร้าน มัตสุโมโต้ไม่ได้ซักที แหะๆๆ เราก็เลยแวะติดแหงกด้วยคน แต่ร้านที่อาเมโยโกะ ถูกกว่าที่ อิเคบุคุโระ จริงนะ หลายอย่างเลย

หลังจากที่ระดมถ่ายรูปกันเพียบ mem เจ๊ก็เต็ม เราเลยขึ้นรถจากอุเอโนะ ไปอาคิฮาบาระกัน ได้ซื้อเมมที่ ร้าน Tax free ก็ไม่ถูกกว่าเมืองไทยเท่าไหร่หรอก แต่กล้องอ่ะ ถูกกว่าเยอะ ครึ่งๆ อย่าง Ixus บ้านเรา ที่โน่นเค้าเรียก Ixy ถูกกว่า เกือบ 5000 บาทแน่ะ แต่ก็ไม่แน่ใจเลยไม่ได้ซื้อมาฝากน้อง ยังเสียดายอยู่เลยนะเนี่ย.. หลังจากซื้อเมม เราก็แวะ ตู้กดไข่กัน มีเยอะมากกกก เลือกไม่ถูกเลย กดๆ ไปแบบว่าจะเอาไปฝากชาวบ้านชาวช่องเค้าเผื่อได้ของดีราคาถูก แต่ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก ย่านนี้ใครชอบอีเลคโทรนิคส์ พลาดไม่ได้จริงๆ

หลังจากนั้นก็เริ่มเย็นและฝนเริ่มตก เราก็เลยนั่งรถไปลง Hatajuku แต่ไม่มีไรหรอกเงียบมาก เลยเดิน windows shopping ไปเรื่อยๆ จนถึงชิบุยะ เจอร้าน Uniqlo ใหญ่มาก มีตั้ง 3 ชั้น เลยแวะไปหลบฝนซักหน่อย ได้ของติดไม้ติดมือมาในราคาประหยัด ร้านที่นี่เสื้อจะแนววัยรุ่นกว่า ร้านที่อยู่ตรงอิเคะ หรือ สนามบินนะ แล้วก็เดินๆๆ ไปถึง โน่นเลย ทาวเวอร์เรกคอร์ด ตืกสีเหลืองๆ 7 ชั้นเด่นเป็นสง่า แวะอยู่เกือบ ชม. หนุกหนานมาก ชั้นบนเป็นร้านหนังสืออ่ะ ชอบๆ อย่างแรง
แล้วเราก็แวะกินเครปเย็นกันแถวๆ นั้นแหละ ก็อร่อยดี แต่สตอเบอรี่เปรี้ยวนะ สู้ตรงตลาดอาเมโยโกะมิได้

แล้วเราก็ไหลตามฝูงชนมาเรื่อยๆ จนถึงห้าแยกอันโด่งดังของย่านชิบุยะ ก็ขึ้นไปตรงสะพานลอย แล้วก็เก็บรูปมาซักหน่อย









หลังจากนั้นก็กลับที่พัก อย่างอ่อนแรง อ้อ แวะซื้อข้าวที่เซ้เว่น.. ได้หม่ำกะแกงไตปลาแห้งอ่ะ สุดยอด... แก้เลี่ยนได้อย่างดี เพื่อนอีก 2 คนกลับมาพอดี ชีนั่งรถเที่ยวกันถึงโยโกฮาม่าแหละ แต่มันไม่ใช่ shin yokohama อ่ะดิ เลยเห็นว่าไม่มีไร เราก็ไม่ได้เตรียมข้อมูลไว้เหมือนกัน ฮา

พรุ่งนี้เราจะไป Disney Sea แล้ว เพราะตั๋ว JR หมดอายุ ไปเที่ยว Disney Sea ดีก่า



Create Date : 01 ตุลาคม 2553
Last Update : 1 ตุลาคม 2553 11:59:51 น.
Counter : 1501 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  

m-e-e-n-a
Location :
ภูเก็ต  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



ชอบกิน
ชอบวิ่ง
ชอบว่ายน้ำ
ชอบทำอะไรก็ได้ให้เอนโดรฟีนหลั่ง
ชอบถ่ายรูป
ชอบออกเดินทาง
ชอบหลายอย่าง บางอย่างทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่อยากทำ

อิสระของชีวิต ไม่ใช่เพราะมีเงินเพียงพออย่างเดียว
เราต้องมีเวลาให้กับของกินที่มีประโยชน์ ทำประโยชน์ให้กับสังคม สังสรรค์เฮฮากับเพื่อนดีๆ ออกเดินทางค้นหาคำตอบของชีวิต ดูหนัง ฟังเพลง เสพงานศิลป์ เพื่อความรื่นรมณ์อีกด้าน และที่สำคัญมีเวลาใส่ใจกับคนในครอบครัวของเราด้วย ทำอย่างนี้ได้เมื่อไหร่.. ชีวิตเราจะสมบูรณ์ที่สุด