Poomjai Jaa \\(^_^)// \\(^-^)// \\(^O^)//
Group Blog
 
All Blogs
 
ล่องเรือไหว้พระเก้าวัด: 2 วัดสุดท้าย "วัดคฤหบดี" และ "วัดเทวราชกุญชรฯ"

เมื่อออกจากวัดอมรินฯ ก็ล่องเรือออกแม่น้ำเจ้าพระยาอีกครั้งแล้วเลี้ยวซ้ายไปทางเทเวศน์ สักพักก็มาถึงที่หมายลำดับที่ 8 "วัดคฤหบดี"



ประวัติวัด


"วัดคฤหบดี" เป็นวัดที่พระยาราชมนตรีบริรักษ์ (ภู่) ต้นสกุล “ภมรมนตรี” เป็นผู้สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๓ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ได้โปรดพระราชทานนามวัด และพระราชทานพระแซกคำไว้เป็นพระประธานในพระอุโบสถด้วย

แต่เดิมนั้นพระยาราชมนตรีบริรักษ์ (ภู่) มีบ้านอยู่ริมฝั่งตะวันตกแม่น้ำเจ้าพระยา เหนือบ้านปูน ตำบลบางพลัด (แขวงบางยี่ขันปัจจุบัน) ได้ถวายตัวเข้ารับราชการตั้งแต่ครั้งสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ยังทรงกรมเป็นพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ (บ้านเดิมคือ บริเวณวัดคฤหบดีทุกวันนี้)

ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ได้โปรดตั้งนายภู่จางวางเป็นพระยาราชมนตรีบริรักษ์ จางวางมหาดเล็ก และได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นว่าการพระคลังมหาสมบัติ ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบ้านที่พระศรีสุนทรโวหาร (สุนทรภู่) อาศัยอยู่ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของท่าพระ (ท่าช้างวังหลัง) ให้พระยาราชมนตรีบริรักษ์ (ภู่) ได้อยู่อาศัยใหม่ พระยาราชมนตรีฯ จึงได้ยกบ้านเดิมของท่านให้สร้างเป็นวัด และนำความน้อมเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ พระองค์ได้ทรงรับไว้เป็นพระอารามหลวง พร้อมกับพระราชทานนามว่า “วัดคฤหบดี” และได้พระราชทานพระแซกคำไว้เป็นพระประธานในพระอุโบสถด้วย

ในสมัยรัชกาลที่ ๕ โปรดให้ทำการปฏิสังขรณ์วัดคฤหบดีครั้งใหญ่ ทำให้อาคารเสนาสนะต่าง ๆ มีสภาพถาวรมั่นคงเป็นที่พอพระราชหฤทัย และได้ทรงพระราชทานตราประจำรัชกาลพระองค์ท่านประดิษฐานไว้จนกระทั่งบัดนี้

(่ข้อมูลจาก https://wadkaruhabodee.wetpaint.com/page/ประวัติวัดคฤหบดี)

พระเจดีย์ ทรงทวารวดี ย่อมุข เป็นเจดีย์ประจำตระกูล “ชุมสาย ณ อยุธยา” บรรจุอัฐิของตระกูล “ภมรมนตรี” และ “ชุมสาย”




หอระฆัง



พระอุโบสถ ขนาดกว้าง ๑๔ เมตร ยาว ๒๐.๐๕ เมตร ทรงจีน หลังคาลด ๒ ชั้น ไม่มีช่อฟ้าใบระกา หน้าบันประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ และเครื่องถ้วยชาม ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นลายปูนปั้นรูปดอกพุดตาน บานประตูหน้าต่างด้านในเขียนลายต้นไม้ และดอกไม้แบบจีน มีลักษณะเหมือนกับพระวิหาร






"หลวงพ่อแซกคำ" สมัยเชียงแสน หน้าตักกว้าง ๑๘ นิ้ว ปางมารวิชัย เป็นพระพุทธรูปทองคำโบราณ สร้างขึ้นประมาณระหว่าง พ.ศ.๑๗๐๐ - ๑๘๐๐ นับว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีอภินิหารศักดิ์สิทธิ์คู่กับพระแก้วมรกต ได้อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ พ.ศ.๒๓๖๙ และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ โปรดพระราชทานให้เป็นพระประธานในพระอุโบสถของวัดคฤหบดี ตั้งแต่เริ่มตั้งวัดมาจนถึงปัจจุบัน


ประวัติหลวงพ่อ พระพุทธแซกคำ
หลวงพ่อแซกคำ เป็นพระพุทธรูปเนื้อทองคำโบราณหน้าตักกว้าง 18 นิ้ว สูง 65 เซ็นติเมตร ภาในองค์หลวงพ่อ ได้บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุไว้ ๙ องค์

หลวงพ่อแซกคำ เป็นพระพุทธรูปที่มีความสำคัญมาก เป็นพระคู่บ้านคู่เมือง ในสมัยอาณาจักรล้านนา (นครเชียงใหม่) ซึ่งมีพระเจ้าไชยเชษฐา เป็นพระมหากษัตริย์

กาลต่อมาพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช มีความจำเป็นต้องเสด็จไปครองราชสมบัติในอาณาจักรล้านช้าง พระนครกรุงศรีสัตนาคนหุด (หลวงพระบาง) ได้อัญเชิญพระพุทธรูปที่สำคัญ มีความศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย ๓ องค์ คือ พระแก้วมรกต, พระพุทธแซกคำ และพระบาง

ในปีพ.ศ.๒๑๐๐ พระจ้าไชยเชษฐาธิราช ได้ย้ายราชธานี จากหลวงพระเบาง ไปตั้งอยู่ที่นครเวียงจันทน์ และอัญเชิญพระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์ไปด้วย หลวงพ่อพระพุทธแซกคำ ได้ประดิษฐานอยู่ที่นครเวียงจันทน์ สืบมาหลายรัชกาลนานถึง 269 ปี

ในต้นสมัยของรัชกาลพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๓) ทรงให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์) เป็นแม่ทัพ ไปปราบกบฏเวียงจันทน์ ได้จับกุมเจ้าอนุกษัตริย์นำตัวมากรุงเทพฯ พร้อมได้อัญเชิญพระพุทธแซกคำ (ซึ่งรอดหูรอดตา จากครั้งที่เจ้าพระยากษัตริย์ศึก ยกทัพไปตีลาว ในสมัยกรุงธนบุรี) นำมาทูลเกล้าถวาย พระเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระพุทธแซกคำ ให้มาเป็นพระประธานสถิตย์ประดิษฐานในพระอุโบสถ พระอารามหลวงวัคฤหบดี เป็นศรีสง่าแก่พระอารามนับตั้งแต่พุทธศักราช ๒๓๖๗ มาจนถึงทุกวันนี้

(ข้อมูลจาก https://www.dvddiary.com/web/index.php?name=News&file=article&sid=116)

"หลวงพ่อแซกคำ" องค์จำลอง ตั้งอยู่ภายนอกให้สักการะบูชา


เมื่อสักการะหลวงพ่อแซกคำเรียบร้อย ฝนก็โปรยลงมาบางๆ ให้พอฉุ่มฉ่ำ ช่วยลดความร้อนยามบ่ายลงจนอากาศเย็นสบาย แล้วพวกเราก็ขึ้นเรือข้ามไปฝั่งพระนครเพื่อเข้าสู่วัดสุดท้ายของทริปนี้ "วัดเทวราชกุญชร วรวิหาร"



"วัดเทวราชกุญชรฯ" เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิด วรวิหาร ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. ๑๘๕๐ เดิมเป็นวัดราษฎร์ สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ชาวบ้านเรียกว่า วัดสมอแครง ซึ่งมีผู้สันนิษฐานว่า คำว่า สมอ เพี้ยนมาจากคำว่า ถมอ เป็นภาษาเขมร แปลว่า หิน เดิมนั้นชาวบ้านอาจเรียกว่า วัดถมอแครง จนเพี้ยนมาเป็นสมอแครงในที่สุด ซึ่งมีความหมายว่า หินแกร่ง ครั้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงรับวัดแห่งนี้เป็นพระอารามหลวง และพระราชทานนามว่า วัดเทวราชกุญชร โดยนำมาจากพระนามเดิมของกรมพระพิทักษ์เทเวศร เพราะกรมพระพิทักษ์เทเวศร ทรงบูรณปฏิสังขรณ์

ปัจจุบันกรมศิลปากรจดทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญ

(ข้อมูลจาก https://www.watdevaraj.com/index.php?mo=10&art=108997)

พระอุโบสถ


พระประธาน


อิ่มบุญ...


พระพุทธรูปศิลปะสมัยต่าง ๆ ๙ องค์
ขนาดหน้าตัก ๑๙ นิ้ว สูง ๔๓ นิ้ว เทด้วยทองเหลือง ลงลักปิดทอง จำนวน ๙ องค์ ดังนี้
๑. ปางสมาธิ ศิลปสมัยทวารวดี
๒. ปางสมาธิ ศิลปสมัยลพบุรี
๓. ปางมารวิชัย ศิลปสมัยเชียงแสน
๔. ปางมารวิชัย ศิลปสมัยอู่ทอง
๕. ปางมารวิชัย ศิลปสมัยสุโขทัย
๖. ปางลีลา ศิลปสมัยสุโขทัย
๗. ปางสมาธิ ศิลปสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
๘. ปางสมาธิ ศิลปสมัยรัตนโกสินทร์ตอนกลาง
๙. พระคันธารราษฎร์

(ข้อมูลจาก https://www.watdevaraj.com/index.php?mo=10&art=108997)



เทวราชกุญชร เป็นกุฏิพำนักของเจ้าอาวาส


เทวราชธรรมสภา ชั้นบนเป็นที่ พำนักของพระสงฆ์ ชั้นล่างปรับเป็นสำนักงานวัด มีห้องประชุม ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องเซ็นงานของเจ้าอาวาส และห้องทำงานเลขานุการ


พิพิธภัณฑ์สักทอง
ลักษณะทรงปั้นหยาประยุกต์ ๒ ชั้นกว้าง ๑๖.๗๕ เมตร ยาว ๓๐.๑๕ เมตร
จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ด้านพุทธศาสนาที่สำคัญเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนทั่วไปทั้งชาวไทยและต่างชาติ



ลักษณะ เป็นทรงปั้นหยาประยุกต์ ๒ ชั้น กว้าง ๑๖.๗๕ เมตร ยาว ๓๐.๑๕ เมตร เป็นเนื้อที่ชั้นละประมาณ ๕๐๕ ตารางเมตร รวม ๒ ชั้น มีเนื้อที่ประมาณ ๑,๐๑๐ ตารางเมตร



ชั้นบน : ห้องด้านซ้าย จัดแสดงรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้ง (ไฟเบอร์กลาส) เท่าพระองค์จริง ของสมเด็จพระสังฆราช ๑๘ พระองค์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อประชาชนผู้ศรัทธาได้กราบไหว้บูชา
ห้องด้านขวา ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา เพื่อให้ประชาชนได้สักการบูชา เพื่อความเป็นสิริมงคล



ชั้นล่าง : จัดแสดงภาพพระประวัติของสมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์ จัดแสดงนิทรรศการวัดเท วราชกุญชร และมูลนิธิ ศ.ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน

(ข้อมูลจาก https://www.watdevaraj.com/index.php?mo=10&art=108997)



เมื่อครบ 9 วัด เรือด่วนเจ้าพระยาก็พาพวกเรามาส่งขึ้นบกที่ท่าสาธร เวลา 17.00 น. พอดีแป๊ะตามกำหนดการเลย เยี่ยมจริงๆ อิ่มบุญ อิ่มอก อิ่มใจ กันถ้วนหน้า...


ของแถมท้ายทริป...

ไหนๆก็มาถึงท่าสาธรทั้งที สถานีรถไฟฟ้า BTS ก็อยู่ตรงนี้เอง เลยไปลองของใหม่ นั่งรถ BTS ฟรี ไม่เสียตัง ไปเยี่ยมชมสถานีกรุงธนบุรีกับสถานีวงเวียนใหญ่กันดีกว่า


ป้ายสีสันสดใส


ยืนรอตรงนี้


รางรถไฟฟ้าช่วงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา


สถานีวงเวียนใหญ่


จากการเยี่ยมชม 2 สถานีใหม่พบว่า มีคอนโดขึ้นรายล้อม 2 สถานีนี้ถึง 11 คอนโด!!! เลยนะ ท่านับกันไม่ผิด อดคิดไม่ได้ว่าการที่มี BTS ข้ามแม่น้ำมาจะ่สามารถช่วยลดปริมาณการจราจรได้มากแค่ไหน หากคอนโดเหล่านี้มีคนเข้าอยู่เต็มหมดกันทุกเจ้า

แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคตที่ยากจะคาดเดา เนื่องเพราะสภาพเศรษฐกิจซบเซากันอย่างนี้ ที่ไม่รู้ว่าจะฟื้นตัวกันเมื่อไหร่ จะมีปริมาณคนที่มีฐานะเพียงพอจะซื้อหาู่คอนโดเหล่านี้หมดหรือไม่ ก็คงต้องให้กาลเวลาทำงานของมันไป

สรุปของทริปนี้ -> สบายๆ อากาศร้อนๆ เย็นๆ กำลังดี (เพราะมีฝนตก) เดินทางกันสะดวก อิ่มบุญกันทั่วหน้านะจ้าา


Create Date : 04 มิถุนายน 2552
Last Update : 10 ตุลาคม 2566 11:01:50 น. 0 comments
Counter : 6548 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

P_Man
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add P_Man's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.