Group Blog
 
All blogs
 

ไปงานรับซ้อมรับปริญญาของเพื่อนมา - บางมด

เช้าวันเสาร์ - เย็นวันเสาร์

หน้าบ้าน หน้าวัดเสมียน บางมด discovery ราชเทวี จตุจัร กลับบ้าน

นินทา: เพื่อนผมครับ จบแล้วครับ เรียนที่บางมดครบ 8 ปี จบเฉียดฉิว

วันนี้มันเลยเรียกเพื่อนๆทั้งหลายทั้งปวงไปถ่ายรูปกัน ชวนเป็นร้อย แต่ไปแค่สิบกว่าคน

ไปตามรูปดีกว่า

ถ่ายระหว่างเดินไป ทางวัดเสมียนนารี


ใครว่า ฟ้าเมืองกรุงยามเช้าไม่สวย - 6 โมงครึ่ง


สวนเล็กๆ ใกล้ๆป้ายรถเมล์หน้าวัดเสมียน


อันนี้เป็นพุ่มไรไม่รู้ เหมือนพุ่มหวายเลย สวยดี


อันนี้ ตอนไปรับน้องวุ้นมาแล้ว - แฟนเพื่อนครับ ที่เห็นปากน่ะ เพื่อนผม
น้องวุ้นนี่หน้าตาก็ดีนะครับ
แต่กินขนม-ดูดิ โคตรเลอะเลย
บ้านอยู่ตรงข้ามเซนต์โยอ่ะ



ไปถึงบางมดจนได้

นี่รูปคนรับปริญญา


ไอ้คนรับ ถ่ายกะเพื่อนๆ (รูปแค่บางส่วน - ส่วนใหญ่ใช้กล้องไอ้ตากล้องถ่าย)








หญ้าที่บางมด แน่ะ


อันนี้นอนถ่ายตึก ชอบต้นไม้ต้นนี้


ฟ้า บางมดครับ


ขยะที่ไอ้ฝนทิ้งเรี่ยราด ถ่ายประจาน


จากนั้น พอเที่ยงกว่าๆ ผมก็ไป discovery ไปหาข้าวทาน และดูหนัง chicken little

หนังเลิกห้าโมงกว่าๆ
เดินเล่นตามประสาคนโสดไป ราชเทวี

coco-street
มุมนี้ ร้านน่านั่ง ร้านชื่อ ซาวรี


เดินมาอีกหน่อย เจอร้านอาหาร ชื่อใต้ ฟังดูไม่น่ากิน (ฮา)


บันไดรถไฟฟ้า ถ้าไม่เห็นขาคนข้างบน ดูเหมือน ถ่ายลงข้างล่างเลยอ่ะ





คุณพระ บนสถานีรถไฟฟ้า - สีกาเดินเฉียดหลายคนเลย


น้าพุไฟ ที่สวนจตุจักร ในครึ่งชั่วโมงต่อมา


กกไม้น้ำ กลางบึง - เวลาผ่านไปห้านาที ฟ้ามืดซะแล้ว



................

จบวันอันหน้าเบื่อ




 

Create Date : 04 ธันวาคม 2548    
Last Update : 4 ธันวาคม 2548 9:28:49 น.
Counter : 863 Pageviews.  

Le voyage de « Pong »

Tonight is the night, when I found some things between my journey - that's called my night.


 

Jazzanova - ตำแหน่งเดียวกันกับที่ตั้งคลื่นแทรกเก่า คลื่นแทรก3 ซอยสุขุมวิท 24;

 

บันทึกฉบับนี้จะไล่เลียงผ่านเหตุการณ์ในแต่ละร้าน คนละวาระในวันเดียวกัน...วันนี้ วันแรกของเดือนธันวาคม

.......

 

สี่ทุ่มห้าสิบ ถึงห้าทุ่มสี่สิบห้า ..

 

คืนนี้เสียง piano ของอาจารย์.... ชื่อหายไปกับเสียงเปียโนและสุราในสายเลือด;

เสียง piano บรรเลงแบบ improvise เพลงเดิมของศิลปินเจ้าของงานนั้นๆ

ทำให้รับรู้ว่า นี่แหละคือ ลายเซ็นต์ของเพลงแจ๊ส เป็นแจ็สที่พูดแทนนักดนตรีที่บรรเลงนั้นว่า

 

"กูจะเล่นของกูอย่างนี้ เพราะกูอยากให้มึงฟังอย่างนี้ และกูอยากได้ยินแบบนี้"

........

 

ร้านอิจิบัง เวลาเที่ยงคืน ก็ยังคงเป็นอิจิบังเดียวกันกับอิจิบัง เมื่อ 4-5 ปีก่อน ที่ยังเรียน IT และมาหัวราน้ำที่ คลื่นแทรก แทบทุกสัปดาห์

Curry Ramen - Shitty taste เวลาผ่านไป ราคาขึ้น สี่สิบบาท แต่รสชาดสวะลงหน่อย.... โคตรขี้เหนียวหมูเลย แต่ให้เส้นเหมือนกับว่า ที่นั่นเป็นโรงงานทำเส้น กินเส้นไปประมาณ ซองมาม่า ยังเหลือเส้นเกือบเต็มชาม ซดน้ำ วางตะเกียบแล้วเก็บตังค์ 120 บาท ไม่ให้ทิป เนื่องด้วยไม่พอใจอะไรหลายอย่าง.......

 

หรือว่า เมื่อเวลาผ่านไป แล้วลิ้นของเราละเอียดอ่อนขึ้น ตามความกระแดะที่พอกพูนจากประสบการณ์

เวลาที่เดืนผ่าน สิ่งต่างๆที่เคยผ่านลิ้น ทำให้ลิ้นแยกรสชาดได้ดีขึ้น ? (หรือเปล่า) หรือมันเป็นเพียงเพราะว่า ครั้งก่อนๆที่กระเดือก Ramen ร้านนั้นลงไป สุราก็เต็มสายเลือดแล้ว ไม่มีที่ว่างในสมองให้ประสาทลิ้น ถามสมองว่า อร่อยรึเปล่า

..........

 

สี่ทุ่มตรง ถึง สี่ทุ่มครึ่ง

 

Bed supperclub

 

โซฟาเตียงอันเท่าควาย กับเพลง funk ที่เปิด ตอบแทนความคุ้มค่า เงิน 500 entrance fee ที่ให้เครื่องดื่มสองแก้วแล้ว

ชิวมาก

อยากอยู่นานๆเหมือนกัน แต่ว่า นั่งไปแล้วเหงา.... น่าจะมีคนไปด้วยซักกลุ่มนึง ไปโยกตัว ตามเสียง funky ที่มี Beat กระชั้นอารมณ์เหลือเกิน.... มีบางช่วงเปิดแนว latino beat + disco ผสมเสียงได้ดี

 

ตัดสินใจเดินออกมาแสวงหาปลายทางแห่งใหม่

.........

 

สามทุ่ม  ถึง สามทุ่มเจ็ดนาที

 

ลง BTS ที่นานา แล้วเดินเข้าร้าน subway

สั่ง sandwidch หัวหมา Italian herb bread เป็นเครื่องห่อหุ้มไส้แซนด์วิช - จัดแจงใช้ Italian MBT เป้นไส้ ซึ่งมีแฮม มีมีทโลฟ มีไรไม่รู้อีกอย่างวาง แล้วเอาชีสสองแผ่นแปะ กับผักอีกมหาศาล - สั่ง Vinery source ราด

สั่ง คุ๊กกี้ chocolate ship หนึ่งอัน กับน้ำแครอท เดินขึ้นไปชั่นบน

นั่งสวาปามแซนวิชโง่ ที่มีราคาโง่เหมือนคนซื้อ - ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ข้าวของราคาแพงขึ้น ข้าวแกงกับสองอย่าง จานละยี่สิบห้า - แซนวิชโง่ กินข้าวแกงได้สองวัน หกมึ้อ คนมันโง่ตามกระแสโลก กระแสทุนนิยม

หูเจ้ากรรมดันได้ยิน บทสนทนาของหญิงไทยสองคน ชายต่างประเทศสองคน ที่พูดเป็นภาษาอังกฤษ - และหน้าตาผมดันบ้านนอก ซะด้วย - บทสนทนาไม่เกรงใจกันเลย แต่จับความได้ว่า (แปลแล้ว) ผู้ชายบ่นว่าเจอผู้หญิงคู่นี้ครั้งนี้สองแล้ว ไม่ได้ไปต่อด้วยกันซักที

ผู้หญิงบอกว่า เรายังเรียนอยู่นี่ ยังต้องเรียนวันธรรมดาที่ RIS เอาไว้ weekend นี้ ไปเที่ยวด้วยกัน แล้วจะไปค้างคืนที่ห้องผู้ชายพวกนั้น............

 

ซดน้ำแครอท แล้วเดินลงมาจากสังคมสมัยใหม่ด้านบน

 

ไปตามทางของผม ที่ไม่มีจุดหมาย

 

เดินเข้าสุขุมวิท 11

.........

 

สามทุ่ม สิบ ถึง สามทุ่มห้าสิบห้า

 

Zanzibar - ร้านนี้เคยมาทานกับคุณแม่ ตอนกลางวัน เมื่อสามปีก่อน

 

เปลี่ยนไปพอสมควรกับการ ตกแต่งภายนอก......

 

spaghetti seafood กุ้ง หอย ปู ปลา จานใหญ่ มาเร็วมาก จนงงว่า พ่อครัวมัน เวฟ มาให้รึเปล่าวะ หรือว่า โต๊ะอื่นสั่งแล้วไม่เอาวะ แต่ก็ยังดูสวย และร้อนๆ อยู่

ส่วนอืกจาน  spicy garoupa - ปลาเก๋าผัด สั่งตั้งนาน จนจะออกแล้วยังไม่มา เลย cancel ไป

 

มีวง jazz เล่นในสวน ชิวมากๆเลย แต่เล่นต่อแค่ครึ่งชั่วโมงหลังจากที่ปองไปถึง -- ไม่จุใจ

ถามเด็กเสริฟว่า ยังมีวงเล่นต่ออีกใหม - วันนี้มีวงเดียวครับ - เช็ค เลยน้อง

 

กระดกสิงห์ในมือ แล้วก็เช็คบิล ก่อนออกเดืนทางแสวงหาปลายทางแห่งใหม่

...........

 

สี่ทุ่มครึ่ง เกือบถึงสี่ทุ่มสี่สิบ

 

Ana cafe' หรือ pub ตรงข้าม Bed supperclub เลย

 

Yo, hiny please? -

- one sixty

- keep change

 

ธนบัตรใบละร้อยใบหนึ่ง ห้าสิบและยี่สิบ อีกอย่างละใบ หยิบยื่นไปแลกกับ เมรัยในขวดเขียว

เสียงลำโพงดังออกมาเป็น แนว house แต่ บางบีตที่ปล่อยออกมาเมื่อเวลาผ่านไปสามนาที ก็กลายเป็น trance

 

กะหรี่ ตัวดำ ตะโกนร้องด้วยความสนุก

 

ที่แห่งนี้ ไม่ใช่ที่ของผม

ปลายทางของเราเป็นที่ไหนกัน.....

.............

 

เที่ยงคืนห้าสิบ ถึงบ้านอย่างปลอดภัย

 

การเดินทางครั้งนี้ของผมบอกว่า ที่ของผม คือที่บ้าน ไปไหนมาก็ช่าง แต่สุดท้ายก็ต้องกลับบ้าน

บ้านไม่มีความดึงดูด บ้านไม่มีแรงเสือกใส บ้านไม่มีแรงกระชาก แต่ตัวคนต่างหาก ที่มีแรงยึดเหนี่ยวติดกับบ้าน

 

และ

 

เหล้าของ ริชมอนเด้ ทุกๆอันที่บ่มเพาะต่ำกว่า 15 ปี กินเปล่าๆ ไม่อร่อย กิน on the rock แล้ว เสียสุขภาพคอ

ต่ำกว่า pure malt และ gold แล้ว

พยายามอย่ากิน on-the-rock เลย

 

สู้ของพวก เพอร์นอค-ริคาร์ด ไม่ได้ --> สู้ชีวาสไม่ได้เลย แม้แต่น้อย




 

Create Date : 02 ธันวาคม 2548    
Last Update : 2 ธันวาคม 2548 3:38:46 น.
Counter : 486 Pageviews.  

ตอแหลชะมัด - ชนักที่ปักหลัง


คำว่า แฟน เนี่ย

เคยคิดบ้างมั้ย ว่ามีแฟนแล้วไม่เหงา?

มันต่างจากไม่มีแฟนตรงไหน
ในกรณีที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน บ่อยๆ
ในกรณีที่ อยู่คนละบ้าน
ในกรณีที่ เจอหน้ากันอาทิตย์ละสองวัน วันละสองชั่วโมง

โทรคุยกันวันละ ยี่สิบห้านาที

มันต่างอะไรกับเพื่อนคนหนึ่ง ที่อาจจะไม่ค่อยสนิทด้วยซ้ำไป

อยากเจอเพื่อน ก็ไปหา
อยากดูหนัง เรียกมันมา
อยากกินข้าว ก็โทรหา
อยากปรึกษา ก็บอกกล่าว

ที่ของแฟนมันต่างอะไรกับที่ของเพื่อนล่ะ

คำๆนี้มันก็แค่ชนัก ของ Ego ที่คอยป่าวประกาศให้โลกทั้งโลกรู้ว่า
"กูมีของตาย"

คำนี้ฟังแล้วรู้สึก ตอแหลดี....




 

Create Date : 28 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2548 3:16:07 น.
Counter : 526 Pageviews.  

พระบรมบรรพต.... - งานวัด ภูเขาทอง


จาริก ตามรอยวัฒนธรรมอันเปลี่ยนแปลง ไปพระบรมบรรพต




เริ่มต้นจากการเอาเอกสารไปให้น้องสาวที่จุฬา ออกเดินทางจากบ้านสองทุ่มกว่า ๆ


ระหว่างยืนรอรถเมล์ ก็สนทนากับคุณป้า อายุ 72 ที่มาจากเมืองนนท์เพื่อมาซื้อไวน์แดงดีกรีอ่อนแรง ถึงแถวประชานิเวศน์ ….. “คุณป้าบอกว่า Je t' aime เป็นภาษากระเหรี่ยง”......



บนพื้นฐานทางวิชาการ และแหล่งข้อมูลที่แตกต่างกัน ทำให้การรับรู้แตกต่างกัน ผมอาจจะผิด หรือ ข้อมูลของคุณป้าอาจจะผิด แต่ความรับรู้ของคนในสองช่วงเวลานี้ ก็ไม่เหมือนกันแล้ว


คุณป้า เจ็ดสิบกว่า ผมยี่สิบกว่าๆ วัฒนธรรมอันดีงานของคนสองยุค ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ เพียงแต่การรับรู้ที่มีแตกต่างกันบ้าง



ส่งที่หอน้องสาวที่สามย่าน สามทุ่มนิดๆ



แมวน้อยอยู่หน้าหอ U center ... เดินตามทางมาเจอกระจก แล้วหยุด ประหลาดใจกับเงาตัวเอง





น่าขำดีนะ


บางที ถ้าคนเราถ้าไม่มีการคะนึงถึงอะไร อย่างเช่นดังแมว อาจจะทำให้รู้สึกดีๆขึ้นก็ได้


ทุกๆอย่างที่เจอ ไม่ต้องมีเหตุผล แต่ล้วนแล้วเป็นสิ่งใหม่ๆ สิ่งที่หน้าตื่นตา เกิดขึ้นทุกวัน ทุกนาที



เราอยู่ในโลกที่มีตรรกะมากเกินความพอดี หมุนตามโลกที่มันเปลี่ยนอยู่ทุกวัน เอาความวุ่นวานความสับสนมาสุมอยู่กับตัวเองเรื่อยไป...... หยุดตื่นตากับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปทุกๆวัน แล้วลองมองแคบลงมา ดูสิ่งรอบตัวเราบ้างสิ เราอาจพบกับความติ่นตา ที่เรามองข้ามมันไปนานแล้วก็ได้.....



ผ่านตลาดสามย่าน ผ่านวิถีประชาชนที่ทานข้าว ดิ่มกิน ผ่านแม่ค้ากำลังเก็บของ วิถีของพวกเขาที่เป็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน กระแสทุนนิยม ยังปกคลุมวิถีประชาได้ไม่เต็มตัว.....



เดินมาขึ้นรถเมล์ฝั่งตรงกันข้ามกับตลาด.... ตัดสินใจจะไปวัด สระเกศ จะไปงานวัดที่ภูเขาทอง แต่ไม่รู้ว่ารถเมล์สายไหนจะผ่านไป ก็ขึ้นมั่ว ไปสาย 25 บอกกระปี๋ว่าจะไปราชดำเนินกลาง กระปี๋ ก็บอกว่าสายนี้ไม่ผ่าน ให้ไปสายอื่น (เค้าบอกสายมา จำไม่ได้) รถเคลื่อนไปนิดนึงแล้ว เราก็บอกว่า จะลงป้ายหน้า กระปี๋ก็ยิ้มให้ บอกว่า ให้ไปลงป้ายหัวลำโพงดีกว่า (ท่าทางเราบ้านนอกมากเลยแหละ) แต่อัธยาศัย กระปี๋คนนั้นดีมากเลย ดูจาก figure และสีผิว กริยาท่าทาง และสำเนียงที่เจือมากับภาษากลาง ทำให้รู้ว่า หล่อนมาจากอีสานตอนบน แถวมุกดาหาร หรือข้างเคียงแน่ๆ


นอกจากเราแล้ว กระปี๋คนนั้นก็ยิ้มทักทาย คนที่(คาดว่า)น่าจะมาจากอีสานบ้านเดียวกันกับหล่อนอีกคู่นึง ท่าทางว่า สองคนนั้นจะเป็นคนพึ่งเข้ามาผจญกับสังคมศึวิไลซ์กลางเมืองหลวง เดินทางเข้ามาหาโอกาสที่มีมากมายในเมืองกรุงนี้ โอกาสนับร้อยนับพันที่หาได้ดาษดื่น งานทั้งหลายแหล่ที่คนกรุงทอดทิ้งให้ คนที่เดินทางเข้ามาหาโอกาสได้คว้ามันไว้ งานที่ถูกตีราคาว่าต่ำทรามสำหรับความศิวิไลซ์ แต่คนต่างถิ่นที่คว้าโอกาสในการทำงานนั้นเป็นคนต่ำทรามด้วยงั้นหรือ ? วัฒนธรรมการมองคนอันผุพังนี้ ถูกฝังรากลงไปในสังคมตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ??


งานของคนบอกคุณค่าของคนทุกๆคนได้อย่างนั้นหรอกหรือ ?? คำถามเหล่านี้วิ่งเข้ามาในหัว เมื่อย่างก้าวลงรถที่หัวลำโพง............



ตัดสินใจว่า จะไม่รอรถเมล์ คิดว่าจะนั่งรถตุ๊กๆสูดอากาศของเมืองกรุงที่ไม่เคยมีโอกาสทำมาเป็นเวลานานแล้วบ้าง


ก็ได้รถตุ๊กๆหนึ่งคัน ตกลงราคาได้ 40 บาท ผมว่ามันถูกนะถ้าเทียบกับค่าครองชีพของเราในแต่ละกัน ผมไม่ต่อเลย แม้เชื่อว่า ผมควรจะได้ไปในราคา 25 – 30 บาท


วันเวลาที่เปลี่ยนไป ค่าครองชีพที่สูงขึ้น คนเรามันก็จำเป็นต้องใช้เงินทั้งฝ่ายผู้ให้บริการและผู้รับบริการ




(ภาพนี้ถ่ายเมื่อนั่งตุ๊กๆ ผ่านหัวลำโพงด้วยความเร็ว เปิดหน้ากล้องทิ้งไว้ โดยไม่มีขาตั้งกล้องบนตุ๊กๆ ผมอยากได้ไฟเป็นเส้นๆอย่างนี้แหละ )



ขณะผ่านร้านขายยาจีน ผมได้กลิ่นหอมที่ไม่ได้ดมมาเป็นเวลานานแล้ว.... คิดถึงวัยเด็กจริงๆ เคยเดินผ่านร้านขายยาที่ปากซอยกิ่งเพชร ก็กลิ่นนี้เหมือนกัน 20 กว่าปีแล้ว กลิ่นยาตัวเดิม ก็ยังคงกลิ่นเดิม แต่คนที่ใส่ใจกับกลิ่นเดิมๆ จะเหลือสักกี่คนที่ได้หยุดดม โดยไม่คิดถึงอย่างอื่น.......



ผ่านวงเวียนโอเดิน ก็ยังเป็นกองๆ แท่ง มีป้ายจราจรเช่นเมื่อวานซืน




ผ่านวงเวียน 22 สาวขายบริการก็ยังยืน หยั่งเชิงอยู่ริมถนนในเงาตึก....



ผ่าการจราจรยามราตรีไปยังปลายทาง à วัดสระเกศ



ฝูงชนมหึมา เดินกันขวักไขว่ไปมา อยู่ริมสองบาทวิถี รถราขวักไขว่ แม้ว่าจะเป็นรถเดินทางเดียวก็ตามแต่การจราจรก็ยังเคลื่อนตัวได้ช้ามาก ผมเดินลง ผ่านด้านหน้าวัดไปด้านข้างๆ



กระแสวัฒนธรรมที่เชี่ยวกราก พาเอาวัฒนธรรมแปลกใหม่ๆ หรือต่างศาสนา ต่างนิกาย เข้ามาผสมผสานกับสิ่งดั้งเดิมได้



ด้านหน้าวัด มีอาการอิสลามขายเต็มเลย ทั้งมะตะบะ ทั้งซุปหางวัว ฯลฯ อยู่ริมทางเข้าวัดเลย เป็นอิสลามมาจากชุมชนอิสลามแถวนั้น........


ครั้งหนึ่ง ผมเคยเชื่อ โดย เพื่อนอิสลามของผมคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า อยู่ใกล้วัด ผิดกฎศาสนา มีควรอยู่ใกล้ ถือเป็นการหมิ่นพระเจ้าของเขา... แต่ทุกวันนี้ผมเห็นหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลา และตามความเหมาะสม วัฒนธรรมก็ต้องดิ้นรนก็ต้องปรับตัวไปตามการอยู่รอดของมนุษย์ผู้ควบคุมวัฒนธรรมนั้นไว้



ผมเดินผ่านงานขายของ ตามประสางานวัดทั่วไป ที่ขาดไม่ได้ก็คือ ไข่ปลาหมึก ขนมครกไข่นกกระทา น้ำปั่น เสื้อผ้าราคาถูก ฯลฯ เหมือนกันทุกงานวัด จนแทบจะกลายเป็น icon ของงานวัดไปแล้ว



งานวัด ? งานเฉลิมฉลองประจำปีตามเทศกาล งานที่ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อจุดประสงค์ทางด้านทำนุบำรุงวัด หรือเป็นงานขายของ ?? ของที่มาขาย เหมือนเป็นพระเอกของงานแทนที่จะเป็นพระ เป็นเจดีย์ เป็นความเชื่อ หรืออะไรที่เกี่ยวกับวัดไปแล้ว à วัฒนธรรมงานวัด ควรเปลี่ยนเป็นงานขายของราคาถูกดีกว่ามั้ง ??



เดินผ่านงานเข้าไปด้านใน เห็นประตูหลังของอุโบสถ มีให้ซื้อดอกไม้ไปไหว้พระ หลวงพ่อ อัฐารส องค์จำลองอยู่ด้านหลังอุโบสถ มีเต้นกางให้ไหว้พระปิดทอง มีพระสงค์สองสามองค์อยู่บริเวณนั้น คนหนึ่ง แนะนำวัด องค์หนึ่งรดน้ำมนต์ และอีกองค์หนึ่งคอยดูแลเรื่องทำบุญ





ย่างเข้าอุโบสถจากด้านหลังก็พบพระ หลวงพ่อดุสิต ปางสมาธิ






พอเดินไปด้านหน้า ก็เจอหลวงพ่อ อัฐารสองค์จริง ยืน สูงมาก ร่วมสิบห้าเมตรได้






----


เดินมาเรื่อยๆ ผ่านฝูงชนมา...... เดี๋ยวค่อยมาต่อละกัน ตาจะปิด



----

ช้าไปสองวัน มัวแต่ยุ่งๆอยู่

วันนั้น เล่าถึงตอนที่จาริกไปยังซุ้มหลวงพ่อ อัฐารส จริงๆ ก็จดเป็นไดอารี่ไว้ เอามาอ่านก็ยังพอจำอารมณ์ได้บ้าง


----

เดินผ่านงานวัดอีกช่วงหนึ่ง ก่อนจะถึงทางขึ้นภูเขาทอง คนมากมายมหาศาล ยังเบียดเสียดยัดเยียดเช่นเดียวกับทางที่เดินผ่านมา เขาเดินทางมาทำไมกันหรือ?
จะว่าเหมือนลามะเฒ่าแห่งธิเบตเดินแสวงบุญเพื่อให้พานพบกับจุดจบของตัวเองนั้น ก็คงมิใช่เยี่ยงนั้นดอก เพราะทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส สนุกสนานรื่นเริงกับความบันเทิงเล็กๆน้อยในวัด

จุดที่ทำให้ขบคิดถึงเรื่องนี้ก็คือ เขามาทำไมกันที่วัด แสวงบุญ หาความหมายอะไรบางอย่างจากศาสนาและจากวัด ทำบุญ หรือสืบทอดวัฒนธรรมดังเช่นที่เคยทำกันมาแต่เมื่อคราวปู่คราวย่า ตาทวดเคยทำกันมา ??

สิ่งที่ทำติดต่อกันมาจนกลายเป็นวัฒนธรรมหนึ่งเฉพาะสังคมนั้นๆ ผสมผสานกับความเชื่อหลากหลายจากหลายๆกระแสวัฒนธรรม ไม่ว่าสิ่งที่มาจากศาสนา ขนบหรือความเชื่อที่คล้ายๆกัน ทำให้วัฒนธรรมย่อยนั้นขยับขยายออกเป็นจารีตที่ต้องสืบทอดกันมาในช่วงต่อๆไป

คนที่เดินไปเดินมาบางคน อาจจะไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่า เค้ามากันทำไม มาแสวงหาอะไร หรือว่ามาเพื่ออะไร แต่ว่าเมื่อมาแล้ว เค้าได้ความอิ่มเอมความสุข ไม่ว่าจะเกิดจากงานวัด หรือเกิดจากการทำบุญ

------
ผมเดินขึ้น ผ่านบันได สามร้อยกว่าขั้นเพื่อไปยังจุดหมาย ซึ่งก็คือสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อยู่ใต้พระบรมบรรพต

ตรงตีบันได ผมเห็นน้ำตกเล็กๆ มองเผินๆ ก็เนียนตาดีอยู่หรอก แต่มาสะดุดตาที่ป้ายเตือนว่า “อันตรายห้ามลงเล่นน้ำตก”

เหตุแห่งป้ายเตือน มันก็น่าจะเกิดจากสองสามเรื่อง คือ เคยมีอุบัติเหตุ หรือว่า เคยมีคนลงไปเล่นแล้วสร้างความเสียหายให้กับน้ำตกก็เป็นได้
น้ำตกจำลอง กับวัฒนธรรมอันไม่ดีของคนบางประเภท ทำให้เกิดการเตือนกันเชียวหรือ? มันสะท้อนเหมือนกับว่า คนที่เดินไปเดินมาเป็นคนไร้วัฒนธรรมอันดีงาม จ้องที่ก่อกวน จ้องทำลายน้ำตกอย่างนั้นหรือ....
ผมเชื่อว่าอาจจะมีคนที่รู้สึกอดสู เหมือนโดนด่า อย่างเช่นเดียวกับผมอยู่อีกหลายคนไม่มากก็น้อยนะครับ....


ลืมอคติแล้วมุ่งหน้าต่อไปด้านบน เพื่อไปให้ถึงจุดหมาย
ระหว่างทาง มองลงมาข้างล่าง ชุมชนริมวัดสระเกศและละแวกข้างเคียง รวมถึงวัดเทพธิดาราม สวยมากๆ เมื่อมองไปยังแสงไปของสถานที่เบื้องล่างจากมุมสูง กระทรวงมหาดไทย ในละเวกข้างเคียงก็ดูดีเหลือเกิน



(รูปนี้ ถ่ายโดยไม่มีขาตั้งกล้อง ไม่ใช้แฟลชเปิดหน้ากล้องไว้ซักพัก มือผมไม่ค่อยนิ่ง ภาพเลยไม่ค่อยสวย)

เดินขึ้นไปปะกับฝูงชนจำนวนมากที่บริเวณที่สักการะ พระบรมสารีริกธาตุ คนเบียดเสียดกัน จนไม่ค่อยมีที่นั่งไหว้ ....
จากนั้น ก็ขึ้นบันไดไปบริเวณพระบรมบรรพต

สวยงามมากๆ

แต่ในทางกลับกัน ผมกลับสังเวชใจ ที่ผู้หญิงบางคนใส่กระโปรงสั้นมากๆ ขึ้นมาที่นี่ ผู้หญิงบางคนใส่สายเดี่ยวคอลึกๆมากๆ นั่งลงกราบเจดีย์ ผู้หญิงบางคนโนบรา จุกโผล่ชัดเจนมาก หลากหลายคำถามที่เกิดขั้นในหัว อยากจะถามเธอทั้งหลายเหล่านั้นว่า “มาทำไมกัน” “เพื่ออะไรหรือ” วัฒนธรรม ที่เกี่ยวเนื่องกับความเหมาะสม มันมลายออกไปจากใจพวกเธอทั้งหลายเหล่านั้นหมดแล้วหรือ? หรือว่า วัฒนธรรมเหล่านั้นได้สูญสลายไปตามกาลเวลา ก่อนที่จะได้ตกผลึกไปสู่เธอเหล่านั้น มันโดนกลืนกินโดยวัฒนธรรมตะวันตก ที่เรากระสันต์จะรับเข้ามาเพียงเพื่อสนองตันหาที่เป็นทาสของอำนาจเงินชาวตะวันตกกัน
นโยบายที่ถูกร่างโดยขี้ข้าเงินตรา แล้วเราเลือกมันไปเป็นคนบริหารบ้านเมือง – สังเวชเหลือเกิน ผมส่ายหัวสองสามครั้ง ก่อนจะเดินทักษินานุวัตร เวียนขวาสามรอบ แล้วเดินลงไปอย่างใจหาย

ผมมองลงมาเห็นส่วนหนึ่งของงานวัด บริเวณเครื่องเล่น มองดูชิงช้าสวรรค์ ติดไฟ สวยดี


จากนั้นเมื่อลงจากภูเขาทอง ผมตัดสินใจเดินบ่ายหน้าหนีจากงานวัด โดยเลือกเส้นทางที่ใกล้ที่สุด ที่จะไปออกทางแยกสำราญราษฎร์ ผมผ่านคณะลิเกคณะหนึ่ง ก็เห็นอยู่วิกเดียวเท่านั้น ผมเห็นลิเลเล่นไป โดนมีคนดูอยู่แค่ 4 คน ซึ่ง ดูเหมือนรู้จักมักจี่กับพระ-นางเป็นอย่างดี ซึ่งดูได้จากการหยอกล้อกัน แสดงว่า เป็นขาประจำ แต่มีคนดูอยู่แค่สี่คน จะพอจุนเจือ ทางคณะได้อย่างไร วัฒนธรรมลิเก ที่ผ่านทางแยกของสายน้ำวัฒนธรรมอันเชี่ยวกรากนี้ จะหยั่งรากอยู่ได้อีกนานเท่าใด ถ้าไม่มีคนดู ลิเกก็อยู่ไม่ได้ ลิเกอยู่ไม่ได้ ก็ไม่มีคนแสดง ไม่มีคนฝึก แล้วอีกหน่อยจะยังคงเหลืออยู่ในประเทศไทยหรือ ?

ผมเกิดมาในช่วงรอยต่อของวัฒนธรรมทั้งหลายที่เข้ามาผสมผสานกัน ผมเกิดทันสิ่งที่เด็กรุ่นใหม่มองว่าล้าหลัง แต่ผมก็ยังเติบโตมากับกระแสตะวันตก MTV culture ผมโตมากับ 286 PC 386 486 ฯลฯ และผมก็ยังเกิดทันที่จะฟังเพลงของ แมคอินทอช ผมยังทันเล่นไล่จับ เล่นตีจับ เกิดมาและอยู่พร้อมกับวัฒนธรรม “แฟนฉัน” ลิเกในความหมายของทุนนิยม ก็คือ สิ่งที่ไม่ฮิป สิ่งที่ใกล้ตายแล้ว...... คณะลิเก สมควรที่จะจบลมหายใจตัวเองในกระแสทุนนิยมแล้วงั้นหรือ หรือว่าจะมีมือดีจากรัฐฐะ ยื่นมือมาช่วย มาจุนเจือ มาส่งเสริม และหา strategy ทำให้กลับมาเป็นที่นิยม ไม่ว่าในไทยหรือต่างชาติ.... สร้างกันได้หรือยัง กระแส T- culture ที่มาแทน J-pop และ K-culture

ผมยังมีเรื่องสับสนในจิต คิดใคร่ครวญอยู่ในหัวใจอยู่หลายเรื่อง ผมเดินทอดอารมณ์โดยมีจุดหมายต่อไปคือบ้าน แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ดี ที่จะต้องถึงบ้าน...... สี่ทุ่มกว่าแล้ว ผ่าน “สพานสมมตอมรมารค”
ผมเดินออกมาผ่านแยกสำราญราษฎร์ เดินออกไปทางป้อมปราบ ผ่านวัยรุ่นหลายกลุ่ม เด็กม.ต้น ม.ปลาย อนาคตของไทย อยู่ในมือของพวกเขาเหล่านี้บางส่วน....... – นั่งมั่วสุมกัน สูบบุหรี่ จิบเบียร์ ดูดปากกันริมกำแพงวัด อยู่ตรงป้ายรถเมล์ก็มี..... next generation นี่แหละ generation ถัดไปของวัฒนธรรม

คนเหล่านี้ ถ้าโชคดีกลับตัวได้ ก็จะเป็นคนอีกรุ่นที่มีประกาย แต่ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ในเวลาสี่ห้าปี ก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีปัญหา อาจจะเป็นภาระสังคม อาจจะเป็นกลุ่มทำลายสังคม กลุ่มทีทำลายความดีงามของคำว่า “ไท” ไป

ผมออกมา แล้วเลี้ยวไปทางโลหะปราสาท

มองดูเสาวรีย์ รัชกาลที่ 1 (มั้ง เข้าไปดูไม่ได้สวนปิด)


มองเข้าไปที่ที่พำนัก ก็สวยดียามค่ำคืน


ผมเดินไปตามถนนราชดำเนิน ผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สถานที่ที่วีรชนไทยผู้เรียกร้องประชาธิปไตย ใช้ชีวิตแลกมาซึ่งอธิปไตย ที่ตอนนี้ตกอยู่ในมือของคนกลุ่มหนึ่ง................



จิตใจมันมองผ่านไปหลายเรื่องมากเลยครับ แวะที่หน้าร้านเมืองโบราณแป๊บนึง ดื่มด่ำกับพระจันทร์ ขึ้น 13 ค่ำ ฟ้าแจ้งกระจ่าง จนเหมือนกับว่า จะไม่มีฝนในคืนนั้น...... ยามร้าน นอนหลับอยู่ตรงบันไดร้าน.... ชายหญิงคู่หนึ่งทะเลาะกันข้างๆ ก่อนจะเดินตัดหน้ารถข้ามถนนไปทะเลาะกันต่อที่อีกฝั่งถนน

Café De moc ร้านเดิม ยังอยู่ แต่ปิด............

ผมทอดน่องผ่านไปเรื่อยๆ เพื่อพบปะกับอีกหลากหลายชีวิต หลากหลายวัฒนธรรม ตามสองข้างทางที่เย็นสบาย

ผมไปจนถึงอนุสรสถาน 14 ตุลา 19 ที่แยกคอกวัว ..... โทรมลงเยอะเลย ชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งสนทนากันอยู่ แต่แววตาของคนทั้งคู่ โชนไปด้วยไฟราคะ ..... ริมถนนหน้าอนุสรสถาน เลยหรือ???

ผมข้ามมายังตรอกข้าวสาร.....................................



ก็ยังคงเป็นตรอกข้าวสาร แหล่งรวมวัฒนธรรมที่หลากหลาย แต่สามารถผสมกลมกลืนกันได้เป็นอย่างดี ผมรู้สึกว่า ผมอยู่ที่ china town ที่ซิดนี่ย์ เหมือนอยู่ soho ในลอนดอน แต่ผมคงจะไม่รู้สึกว่าอยู่กลางเมืองบางกอกจนกระทั่ง เด็กเชียร์เบียร์เดินมาเรียกแขกเข้าไปในร้าน แล้วทักผมเป็นภาษาไทย.........

ผมเดินเลาะเข้าไปใน gallery ใน sunset street อยู่ด้านบน starbucks……… บ้านเจ้าพระยาคนหนึ่งของไทย กลายเป็นร้านขายกาแฟ franchise จากมะกัน......



มันเป็นการผสมผสาน ผมคงต่อต้านได้ไม่เต็มปาก แต่ผมก็คงจะสนับสนุนเรื่องพวกนี้อย่างเต็มที่ไม่ได้ หากผมเพียงแต่ใช้สองตา และหนึ่งสมองรับรู้เท่านั้น โดยปราศจากข้อมูลใดๆของเจ้าของสถานที่ และวัตถุประสงค์ในการทำเช่นนั้น............... อคติ เป็นสิ่งที่ติดตัวผมตลอดเวลา ยามสบถถึงวัฒนธรรม.........



.....................................
วันนั้นผมอิ่มเอม ผมสังเวช ผมสงสัย ผมศรัทธา ผมตะลึง ผมอดสู หลากหลายอารมณ์เหลือเกินที่มองเห็นถึงความล่มสลายของวัฒนธรรมหนึ่ง ในกระแสธารที่เชี่ยวของวัฒนธรรมอันหลากหลาย




 

Create Date : 16 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2548 3:28:55 น.
Counter : 522 Pageviews.  

Fortune teller: Believe or Leave it

ความเชื่อ หรือ งมงาย – ไม่ใช่สิ่งที่แตกต่างกันมากนัก เราอยู่ในสังคมที่ถูกทำให้เชื่อ ในสิ่งที่พิสูจน์ได้ และพิสูจน์ไม่ได้ เหตุผลร้อยแปดสามารถสรรหามาอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างได้ – super natural ปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนหากจะกล่าวอ้างถึงความงมงาย........



เมื่อไม่รู้ที่มา เมื่อไม่เห็นที่ไป มนุษย์ย่อมหาที่พึ่ง เป็นเหตุแห่งที่มาของศาสนา ในเวลาเดียวกัน ผู้รู้ก็ย่อมเป็นที่ต้องการในแถลงไขความข้องใจทั้งปวง และความอ่อนแอในใจคน ถูกชักพาไปตามความเชื่อของคนหมู่หนึ่ง – หมอดู เป็นที่พึ่งในครานี้



สถิติ และความหน้าจะเป็น คือคณิตศาสตร์ ที่ชัดเจนในการอธิบายที่มาของคำพยากรณ์ทั้งหลายทั้งปวงของผู้ประกอบอาชีพหมอดู



การวิเคราะห์ การอ่านท่าที ก็คือรัฐศาสตร์ ที่ใช้ในการอธิบายวิธีการพูด ลักษณะท่าทาง และความเชื่อมั่น ในการจูงใจของบรรดาหมอดู ประสบการณ์สูง



การใช้จังหวะ ที่จะพูด ก็คือศิลปศาสตร์ ในการดึงความสนใจ และมองหาช่องโหว่วของท่าทาง และดึงความไม่สบายใจให้ออกมา ของหมอดู



การลำดับเหตุการณ์ และการพูดถึงปัญหา เป็นจิตวิทยา ในการโน้วน้าว และสร้างท่าทีให้คล้อยตามของหมอดู



การยกตัวอย่างของการวิเคราะห์ความหมายจากปัญหาและคำพูด เป็นวิทยาศาสตร์ ในการวิเคราะห์ ในการอิงกับตรรกะและความรู้ที่มีของหมอดู ในการทำให้ยอมรับ



.....



ศาสตร์หลากหลาย อันประกอบกันเป็นหมอดู ...



ไม่แปลกใจที่บรรดาหมอดูทั้งหลายที่โด่งดัง ล้วนเป็นคนฉลาด ล้วนเป็นศิลปิน และเป็นคนที่มีอิทธิพล



.....



ไม่ว่า เค้าคนนั้นจะเป็นอย่างไร แต่ในสังคมไทย เค้าคนนั้น ก็เป็นผู้ที่มีอิทธิพลในระดับหนึ่งต่อการตัดสินใจ ของคนกลุ่มหนึ่ง



เชื่อหรือไม่ .... ถูกกำหนดไว้โดยชะตา ??




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2548    
Last Update : 24 ตุลาคม 2548 3:31:02 น.
Counter : 521 Pageviews.  

1  2  3  

vir'
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add vir''s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.