Chocolate is like love, you never get enough.
Group Blog
 
All blogs
 

หน้าต่างของหัวใจ

ภายในห้องสี่เหลี่ยมเกือบจัตุรัสขนาดไม่ใหญ่นัก ฝ้าเพดานสีขาวที่ดูจะต่ำไปสักหน่อยทำให้ดูอึดอัดไม่น้อย แต่ก็ได้ข้างฝาที่ทำจากไม้ซึ่งทาด้วยสีฟ้าอ่อนๆ ทำให้ดูสบายตาขึ้นบ้าง มีเตียงไม้ไม่เก่านักนอนได้สองคนอยู่หนึ่งเตียง ข้างๆนั้นมีโต๊ะเล็กๆตั้งขนาบอยู่ทั้งซ้ายขวา ที่ว่างตรงปลายเตียงมีเก้าอี้เก่าๆข้างบนมีพัดลมที่เก่าไม่แพ้กัน ถัดจากโต๊ะเล็กๆก็มีชุดโต๊ะและเก้าอี้ไม้กลางเก่ากลางใหม่สำหรับอ่านหนังสือ บนโต๊ะมีโคมไฟเล็กๆ มีเอกสาร หนังสือวางปะปนกันระเกะระกะ แสดงถึงความไม่ใยดีของเจ้าของเท่าไรนัก


“เธอ”ก้าวเข้ามาในห้องนี้ตอนกลางคืนเหมือนๆกับทุกวัน แต่ทว่าวันนี้ดูจะมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่บนใบหน้ากลมๆของเธอ และก็เหมือนเดิมที่เธอนั่งลงที่เก้าอี้กลางเก่ากลางใหม่เพื่อสะสางงานหรืออ่านหนังสือไปตามเรื่องตามราวก่อนที่จะล้มตัวลงนอน แต่ในคืนนี้เป็นอีกคืนหนึ่งที่เธอยังไม่ปิดไฟในทันทีที่รู้สึกง่วง เธอหยิบสมุดบันทึกเล่มเดียวที่มีขึ้นมาจากลิ้นชักด้วยความทะนุถนอมพร้อมกับภาพที่โลดแล่นไปไกลนักในห้วงความคิดคำนึงของเธอ บวกกับแววตาที่ดูเป็นประกายมากกว่าทุกวันยิ่งทำให้เธอร้อนใจอยากเล่าเรื่องราวให้เจ้าสมุดฟังเร็วๆ เธอบรรจงเปิดสมุดไปเรื่อยอย่างเบามือจนไปถึงหน้าที่ยังขาวสะอาด รอให้เธอแต่งแต้มความทรงจำลงไป เธอเอื้อมมือหยิบดินสอคู่ใจเพื่อเริ่มถ่ายทอดเรื่องราวและความรู้สึกให้กับเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ฟังอีกครั้ง...

วันนี้เธอมีนัดกับเพื่อนที่สวนจตุจักร บ่ายโมงตรง หน้าตู้เอทีเอ็ม เป็นเวลาและสถานที่ที่ได้ตกลงกันไว้ เธอตั้งใจออกจากบ้านเร็วขึ้นเพื่อให้ไปถึงก่อนเวลาเล็กน้อย เพราะเธออยากให้เพื่อนรู้ว่าเธอก็ตรงต่อเวลาเป็นกับเขาเหมือนกัน ...ตามที่ตั้งใจ เธอไปถึงก่อนใครจึงยืนรออย่างเงียบๆ เสียงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้น ปลายสายคือเพื่อนคนหนึ่งที่นัดไว้ เขาโทรมาเพื่อบอกว่ากำลังจะออกจากบ้านให้เธอรออีกหน่อยเพราะบ้านของเขาอยู่ไม่ไกลนัก


หลังจากวางสายเธอรู้สึกเฉยๆไม่ได้โกรธที่เพื่อนไม่ตรงต่อเวลา เพราะเธอก็เป็นอย่างนี้อยู่บ่อยๆ คิดในทางดีว่าเขาอาจจะตื่นสาย นาฬิกาไม่ปลุก เธอยืนรอเงียบๆต่อไป พลางมอง - คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เธอมองไปเห็นชาวต่างชาติคนหนึ่งกำลังโบกรถแท็กซี่ซึ่งเป็นแท็กซี่ค่อนข้างเก่า เขายกข้าวของที่ดูว่าหนักไม่น้อยขึ้นรถ เธอสังเกตจากรถที่ทรุดตัวลงไปพอควร คนช่างคิดช่างสังเกตอย่างเธอตั้งคำถามขึ้นมาในใจ ว่าทำไมเขาจึงไม่เลือกรถใหม่ๆ แอร์เย็นๆ นั่งสบายๆนะ เพราะถ้าเป็นเธอไม่มีทางแน่ที่เธอจะเรียกรถเก่าๆ แต่แล้วเธอก็กลับแย้งขึ้นมาในใจตัวเองว่า ถึงจะเก่าแต่ยังไงก็คือรถ รถที่สามารถพาเราไปถึงจุดหมายได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ ใหญ่หรือเล็ก นั่นสินะความจริง รถแท็กซี่คันนั้นเริ่มแล่นออกไป....เธอหันหน้ากลับมาอีกทางเพื่อมองหาเพื่อน


ดวงตาของเธอไปหยุดประสานอยู่ที่ดวงตาอีกคู่หนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าเจ้าของดวงตาคู่นี้จะมองเธออยู่ก่อนแล้ว นั่นแสดงว่าเขาจำเธอได้ เธอรู้สึกคุ้นเคยกับดวงตาคู่นี้เหลือเกิน ชื่อๆหนึ่งพุ่งเข้ามาในหัวเธออย่างจัง เธอดีใจที่ได้เจอเขาอีกครั้ง เธอรู้สึกว่าเขากำลังจะยิ้มให้เธอ ด้วยความที่เธอไม่ใช่คนที่จัดว่าสวยจึงไม่กล้าที่จะยิ้มทักทายเขาก่อน ทั้งที่สมองอยากจะสั่งการให้เจ้าปากยิ้มกว้างออกมาเสียที ได้แต่คิดว่าถ้าเขายิ้มให้ก่อนเธอจะรู้สึกว่ากำแพงที่น่ากลัวได้พังทลายลงแล้ว และเธอก็จะยิ้มให้เขาทันทีอย่างไม่ลังเล


“สวัสดีค่ะ จำเราได้ไหม” คำทักทายที่ก้องอยู่ในใจเธอ


ไม่มีเสียงใดๆเล็ดรอดออกมาจากปากคนทั้งสอง และไม่มีรอยยิ้มจากใครทั้งนั้น เขาเดินผ่านเธอไปพร้อมกับดวงตาที่ค่อยๆมองไปทางอื่น เธอยังคงยืนอยู่ที่เดิมเพียงแต่หันหน้าไปพร้อมกับดวงตาที่ยังมองไปที่เขา เธอเห็นเขาเดินเข้าไปหาเพื่อน เขาก็นัดเพื่อนไว้ไม่ต่างจากเธอ เพื่อนของเขาเดินมากดเงินที่ตู้เอทีเอ็มซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเธอนัก เขาเดินตามมา เป็นโอกาสอีกครั้งที่ดวงตาของคนทั้งคู่จะสบประสานกันอีก แต่แล้วเธอก็ทำได้แค่แอบมองด้วยแววตาเหงาๆอย่างเงียบเชียบ


ความเสียดายเริ่มคืบเข้ามาเกาะกุมหัวใจดวงน้อยของเธอ คำว่า “ถ้า”เป็นร้อยถ้าเริ่มเข้ามาในสมอง คำถามหลายคำถามถูกตั้งขึ้นด้วยตัวเธอเองแต่เธอไม่มีคำตอบ ไม่รู้ว่าทำไม? ทำไมไม่ยิ้มให้เขาก่อน ทำไมไม่เข้าไปทักเขา ทำไมเขาไม่ยิ้ม แล้วทำไมเขาต้องมองเธอด้วย คงเป็นเพราะเขาจำเธอได้บ้างล่ะมั้ง คำถามสุดท้ายเป็นคำถามเดียวที่เธอพอจะมีคำตอบ คำตอบที่ออกจะเข้าข้างตัวเองไปสักหน่อย เขาและเพื่อนเดินเข้าไปในสวนจตุจักร เธอยังคงไม่ละสายตาจากเขา และเขาเองก็คงจะรู้อยู่เหมือนกันว่ามีใครบางคนลอบมองเขาอยู่


เธอยังคงยืนรอเพื่อนต่อไป แต่ในหัวใจตอนนี้กลับเต้นไม่เป็นจังหวะเสียแล้ว ภายในหัวก็คิดถึงแต่เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป เป็นเรื่องจริงที่ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที ไม่มีเวลามากมายให้เธอตัดสินใจได้ว่า จะยิ้มหรือไม่ยิ้ม จะทักหรือไม่ทัก แน่นอน...เวลาเดินต่อไปโดยไม่หยุด ไม่หยุดรอการตัดสินใจของเธอ โหดร้ายเหลือเกินสำหรับตัวเธอ แต่เธอไม่โทษเวลาหรอก ไม่มีใครผิดทั้งนั้น


เธอรู้สึกขอบคุณอะไรบางอย่างที่ได้ทำให้เธอเจอกับเขาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเป็น ความบังเอิญ หรือความประหลาดกันแน่ที่ให้โอกาสแก่เธอ ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีอะไรเพิ่มเติมจากเดิม ยังคงไม่มีคำพูด มีเพียงดวงตาที่สอดประสานกันอย่างเงียบงัน แต่สิ่งหนึ่งที่เพิ่มขึ้นคือความรู้สึกดีดีของเธอที่มีต่อเขา เธอรู้ดีว่าความรู้สึกนี้ไม่ใช่ความรัก เพราะคำว่ารักสำหรับเธอนั้นมีพื้นฐานมากจากความเข้าใจซึ่งกันและกัน นั่นหมายถึงคนสองคนต้องรู้จักกันก่อนและเรียนรู้กันไปเรื่อยๆจนเข้าใจกันและยอมรับในแบบที่แต่ละคนเป็น


ระหว่างเธอกับเขาไม่อาจจะเรียกได้ว่ารู้จักกัน เธอไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เรียกว่าอะไร อาจเป็นเพราะยังไม่มีพจนานุกรมเล่มไหนๆให้คำนิยามได้ แต่เธอแน่ใจว่าความรู้สึกหนึ่งที่เธอมีต่อเขา เป็นความรู้สึกที่ดี ไม่ได้รู้สึกอยากครอบครอง ไม่ใช่ความใคร่


ใคร่
ถ้าเป็นไปได้เธอเพียงอยากจะขอแค่พบเจอเขาบ้างนานๆครั้งก็พอ ไม่จำเป็นต้องสบตาก็ได้ ขอเพียงได้พบ ไม่ต้องมีคำพูดคุย ขอเพียงได้เห็นว่าเขายังคงเดินไปบนเส้นทางชีวิตของเขา ถึงแม้ว่ามันจะเป็นคนละเส้นทางกับเธอ และดูเหมือนว่าเส้นทางชีวิตของเขาและเธอจะเป็นเหมือนเส้นทางคู่ขนานก็ตาม แต่เธอก็ยอมรับมันได้และจะไม่พยายามทำให้คู่ขนานคู่นี้กลายมาเป็นเส้นตรงเส้นเดียวกันเป็นแน่ เพราะในความเป็นจริงเส้นขนานไม่มีวันมาบรรจบกันได้ เป็นความจริงที่สุด


ที่สุด เธอไม่อาจรู้ได้ว่าเขาจะจำเธอได้บ้างรึเปล่าแต่เธอแน่ใจว่าเธอจำเขาได้ไม่มีวันลืม เธอไม่อาจรู้ได้ว่าเขาจะเคยคิดถึงเธอบ้างรึเปล่าแต่เธอแน่ใจว่าเธอคิดถึงเขาอยู่เสมอ เธอไม่อาจรู้ได้ว่าเขารู้สึกอย่างไรกับดวงตาของเธอแต่เธอแน่ใจว่าดวงตาของเขาทำให้เธอมีพลังไม่น้อย เธอไม่อาจรู้ได้ว่าเขาคิดอย่างไรกับเธอและเธอก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าเธอคิดอย่างไรกับเขากันแน่ ไม่แน่ใจเลยจริงๆ เธอคิดเพียงว่าไม่จำเป็นหรอกที่จะต้องรู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร หรือคิดอย่างไรกับคนๆหนึ่ง ขอให้เรารู้เพียงว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีและเป็นความรู้สึกที่มีความสุขเท่านั้นก็เพียงพอแล้วกับคนสองคน


วันนี้เพื่อนของเธอยังคงตั้งใจฟังเธอเล่าและยังคงเก็บเรื่องราวเหล่านี้ไว้ เก็บไว้อย่างซื่อสัตย์ รอให้เธอหวนกลับมาอ่านเพื่อย้ำเตือนหัวใจว่ายังคงมีความทรงจำดีดีอยู่ในนั้นด้วย เพราะทั้งชีวิตของคนๆหนึ่งหัวใจต้องทำงานหนักไม่น้อย อาจหลงลืมบางสิ่งไปก็เป็นได้ เธอวางดินสอคู่ใจลงและให้เพื่อนผู้ซื่อสัตย์ได้พักผ่อน เธอเองก็เช่นกัน


ห้องจัตุรัสสีฟ้ากลับกลายเป็นห้องสีดำ มีเพียงแสงไฟทางที่ลอดผ่านหน้าต่างมุ้งลวดเข้ามาสลัวๆ เธอเอนกายลงนอนเคียงข้างแม่ที่แสนรัก ในขณะที่ดวงตาของเธอปิดลงเธอกลับคิดถึงดวงตาคู่นั้นขึ้นมา คิดถึงคิ้วคมเข้มของเขา คิดถึงเขา เธอไม่อาจหลับลงได้ในคืนนี้ ขอคิดถึงเขาอีกสักหน่อย


เธอเจอเขาเมื่อ 2 ปีก่อน ที่สถาบันกวดวิชาแห่งหนึ่ง ตอนนั้นเธอกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย เธอนั่งเรียนข้างๆเขา ระยะเวลาแห่งการกวดวิชามีคำพูดเพียงไม่กี่คำที่ทั้งคู่สนทนากัน สิ่งที่เธอมักจะทำเสมอคือยื่นลูกอมให้เขา ในตอนแรกๆเขาปฏิเสธและเธอเองก็ไม่อยากยัดเยียดเพราะดูเขาไม่เต็มใจ แต่ต่อมาคงเพราะไม่อยากทำร้ายน้ำใจเขาก็เก็บไปเสมอเช่นกัน มีครั้งหนึ่งเธอกับเพื่อนอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวในตลาด พวกเธอกำลังนั่งรออาหารกลางวันที่สั่งไป เขาเดินผ่านมาและยิ้มให้เธอ เธอดีใจเอามากๆ ทำให้ในวันรุ่งขึ้นเธอได้พูดคุยกับเขาเพิ่มขึ้นบ้าง ระยะเวลาสองเดือนเศษของการกวดวิชาจบลงที่เธอรู้ว่าเขาเรียนอยู่ที่ไหนเท่านั้น


หนึ่งปีต่อมา...เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เธอจึงได้รู้ชื่อและข้อมูลอื่นอีกเล็กน้อยจากหนังสือรุ่นของเพื่อนเธอคนหนึ่งที่เคยเรียนโรงเรียนเดียวกับเขา แต่เธอก็ยังไม่รู้ว่าเขาสอบติดไหม ติดที่ไหน เพื่อนคนนั้นพยายามถามเผื่อว่าจะรู้ เธอเองเลือกที่จะไม่บอกว่าเขาคือใคร เธอขอเก็บเขาไว้ในใจ


วันหนึ่งเธอกับเพื่อนอีกหลายคนนั่งร้องเพลงอยู่ในมหาวิทยาลัย เธอร่วมร้องไปหลายเพลง รู้สึกเหนื่อย เพลงนี้จึงขอฟังอย่างเดียว เธอนั่งมองไปไกลๆสุดตา มองเรื่อยๆฟังเพลงที่เพื่อนร้องคลอไปเบาๆ ช่างมีความสุขดีจัง ในสายตาของเธอมีจักรยานคันหนึ่งผ่านเข้ามา ทางตรงนั้นเป็นทางโค้ง คนขี่ทำท่าจะเสียหลักเพราะตีโค้งวงกว้างเกินไป ด้วยความที่เธอเป็นคนขี่จักรยานแข็งทำให้เธอรู้สึกขำเพราะคิดว่าคนขี่ขี่อย่างไรถึงจะเสียหลักได้ เขาเบรกไว้ทัน รถไม่เสียหลักตามที่คาดไว้ สมุดที่เขาถือมาด้วยตกลงพื้นเขาก้มตัวลงเก็บ ทุกอย่างอยู่ในสายตาเธอตลอดเวลา หลังจากก้มเก็บสมุดเรียบร้อยแล้วเขาหันหน้ามาทางเธอ ดวงตาของเธอและเขาจ้องมองกันและกัน


เธอรู้สึกคุ้นมากเหลือเกินกับคนๆนี้ ถึงแม้ระยะห่างระหว่างเธอกับรถจักรยานจะมากอยู่ แต่เธอกลับรู้สึกชัดเจนอย่างบอกไม่ถูก เธอตอบตัวเองว่า เขานั่นเอง คนที่นั่งข้างๆกัน และเขาก็หันหน้ากลับไปมองทางเพื่อขี่จักรยานออกไปยังจุดหมาย แต่เธอ...เธอยังคงมองตามเขาไปด้วยสายตาแห่งความปีติ ที่ได้พบเจอกันอีกครั้ง เธออยากจะขี่จักรยานตามไปและทักทาย แต่ความคิดทุกอย่างก็ต้องหยุดลงเพราะเธอไม่รู้จะพูดอะไร
คำถามที่เธออยากรู้มานานว่าเขาอยู่ที่ไหน ในตอนนี้เธอมีคำตอบแล้ว เขาอยู่ที่เดียวกับเธอ เธอแสนจะดีใจ แต่หารู้ไม่ว่าช่างเป็นสถานที่ที่กว้างใหญ่นัก ไม่ง่ายเลยที่จะได้พบกันบ่อยๆอย่างใจหวัง


ช่วงที่เธอเรียนปีแรกนั้นมีบ้างเหมือนกันที่เธอได้พบเขา ในบางครั้งเธอก็มองไป มองไปเจอดวงตาของเขาที่กำลังมองเธออยู่ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้แค่สบตาแล้วเดินจากกันเช่นเคย ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ได้เลย


ปีที่สองที่เธอกับเขาอยู่ในที่ที่เดียวกัน วันหนึ่งเพื่อนคนนั้นโทรมาบอกเธอให้รีบไปที่โรงอาหารทันทีเพราะเขาอยู่ที่นั่น เธอรีบเดินออกจากห้องเรียนเพราะในวันนี้คงเป็นวันที่เขากับเธอจะได้รู้จักจริงๆกันเสียที ระหว่างทางที่เดินไปเธอคิดคำพูดต่างๆที่จะพูดกับเขา ถ้าหากเขาอยู่กับเพื่อนแค่สองคน เธอจะได้ทักทายเขาทันทีอย่างไม่เก้อเขิน เธอเดินไปด้วยหัวใจตื่นเต้นอย่างไม่เคยมาก่อน โรงอาหารที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายในตอนพักกลางวัน เธอพยายามสอดส่ายสายตามองหาเพื่อคนนั้น นั่นไงเธอเจอเขาแล้ว


แต่...ทุกอย่างที่คิดมาตลอดต้องพังลงเพราะมีคนอื่นนั่งอยู่เต็มโต๊ะ เธอเริ่มทำอะไรไม่ถูก แยกออกไปนั่งอีกโต๊ะที่เพื่อนจองเอาไว้ให้ วางของลงแล้วเดินไปซื้ออาหารด้วยความเก้อเขิน เมื่อซื้อเสร็จจึงนำมาวางที่โต๊ะ เธอแสร้งเรียกเพื่อนคนนั้นออกมา ถามเพื่อนว่าตอนที่โทรไปตามให้เธอมานั้นได้เดินแยกมาหรือเปล่า เพื่อนคนนั้นบอกว่าโทรต่อหน้าทุกคน นั่นยิ่งทำให้เธออยากแทรกแผ่นดินหนี ความดีใจที่ได้เจอเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นความอาย เพราะเธอไม่รู้ว่าคนอื่นที่โต๊ะนั้น รวมทั้งเขาจะมองเธอยังไง จะคิดว่าเธอเป็นคนแบบไหนกันถึงได้มาเพื่อจะพบผู้ชายอย่างนี้ ช่างน่าอับอายเหลือเกินสำหรับเธอ


เธอเดินกลับมาที่โต๊ะก้มหน้าก้มตาทานอาหารที่ซื้อมาอย่างระวังกิริยา แต่เธอก็ยังแอบมองเขาอยู่เนืองๆ สักพักเขาลุกจากโต๊ะนั้น มีการโบกมือล่ำลา นั่นแสดงว่าเขากำลังจะไปแล้ว น่าเสียดายเหลือเกิน เวลาที่พบกันหมดลงแล้ว เขาเดินผ่านมายังโต๊ะที่เธอนั่งอยู่ เธอเหลือบมองเขาเพราะไม่กล้ามองเต็มตาเหมือนเคยด้วยความอาย เขาส่งยิ้มให้พร้อมโบกมือลา หัวใจสั่งการให้เธอยิ้มตอบไป แค่รอยยิ้มของเขาก็พอที่จะทำให้เธอสุขใจขึ้นมาบ้าง รู้สึกดีขึ้นไม่น้อยจากความอับอาย เธอมองตามเขาไป สังเกตรองเท้า เสื้อช็อป กางเกงที่เขาใส่


เขาเดินไปไกลเกินแล้วที่จะหันไปมอง เธอจึงหันกลับมา คำถามที่อยากถาม “จำเธอได้บ้างไหม”ก็ยังคงติดค้างอยู่ในใจต่อไป หลังจากนั้นเพื่อนคนนั้นก็เล่าว่าความจริงเขาจะไปตั้งนานแล้วแต่ถูกรั้งไว้เพราะเพื่อนคนนี้บอกว่ามีคนอยากเจอเขา เธอตกใจกับการกระทำของเพื่อน ช่างไม่ใส่ใจความรู้สึกของเธอแม้แต่น้อย เธอผิดหวังนิดหนึ่งเพราะเธอไม่รู้ว่าเขาจะคาดหวังหรือไม่ว่าคนที่อยากพบเขานั้นคือใคร จะสวยหรือไม่ แต่เขากลับได้พบกับเธอ เธอไม่อาจรู้ได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร กำลังคิดอะไรอยู่ นั่นเป็นปริศนาที่เธออยากรู้ แต่บางครั้งเธอก็คิดว่าการไม่รู้จะดีกว่า...


นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พบกัน เธอไม่แน่ใจว่าหากได้เจอกันอีกครั้งเธอจะต้องทำตัวอย่างไรดี จนมาในวันนี้เธอไม่ทันได้คิดด้วยซ้ำ เวลาผ่านไปเร็วยิ่งนัก เร็วยิ่งกว่าลูกศรจากกามเทพที่ปักลงกลางหัวใจเธอ


ความทรงจำนี้ติดอยู่ในหัวใจเธอเสมอมา ไม่มีวันลืมได้เลยจริงๆ ในวันใดที่เธอรู้สึกเหงาหรือเศร้า ถ้าเธอได้นึกถึงความทรงจำดีดีที่ไม่มีวันลืม ได้นึกถึงเขา เธอจะรู้สึกมีความสุขขึ้นมาและยิ้มให้กับตัวเองได้ กำลังที่จะต่อสู่สูบฉีดขึ้นเต็มหัวใจ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรที่ทำให้เราได้พบเจอกัน ไม่ว่ามันจะเป็นความบังเอิญหรือความประหลาดที่ได้มอบโอกาสให้กับเธอ เธอก็ขอให้สิ่งๆนั้นอย่าลืมมอบโอกาสให้กับเธออีกครั้งเพื่อเจอเขา มันคงไม่มากเกินไปนักใช่ไหมที่จะขอ...


ขอเพียงโอกาสเท่านั้นก็พอ


ในคืนนี้เพียงพอแล้วสำหรับเธอที่มีเขาอยู่ในห้วงคำนึง...พอแล้วจริงๆ คิดถึงน้อยๆแต่จะคิดถึงตลอดไป...สัญญา เธอนอนหลับไปด้วยหัวใจเปี่ยมสุข รอยยิ้มเล็กที่มุมปากและที่สำคัญรอยยิ้มในดวงตา ดวงตาเขาที่ยิ้มให้กับเธอ ขอให้เขามีความสุขมากๆนะคะ




 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2548 12:41:07 น.
Counter : 275 Pageviews.  

ตะเกียงใจ

“หนูไปนะคะ”ตะเกียงบอกพ่อกับแม่ก่อนออกจากบ้าน เธอก้าวเท้าเดินออกมาจากบ้านหลังใหญ่เพื่อเดินออกไปป้ายรถเมล์ เธอกำลังคิดถึงการบ้านว่าทำเสร็จเรียบร้อยพร้อมส่งแล้วใช่ไหม เธอคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อย สองข้างทางในซอยเป็นชุมชนของคนในระดับที่ต่างจากเธอ เธอเห็นเด็กเนื้อตัวมอมแมมสองสามคนกำลังวิ่งเล่นกันอยู่ เธอกำลังคิดว่า หากพวกเขาวิ่งมาชนเธอ เธอจะทำอย่างไร จะต้องแสดงอาการอย่างไรให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด เพื่อกลบเกลื่อนความรังเกียจในใจเธอ ตะเกียงเองคงไม่รู้ว่าพวกเด็กๆเหล่านั้นก็ไม่อยากจะเข้าใกล้คนอย่างเธอเหมือนกัน พวกเขามองคนรวยเป็นตัวประหลาด

คงจะมีกำแพงมหึมากั้นพรมแดนระหว่างคนจนกับคนรวยเอาไว้ แต่กำแพงที่กั้นมานานก็ต้องเก่าทรุดโทรม ตรงนั้นผุ ตรงนี้พังเป็นธรรมดา รูของกำแพงทำให้ทั้งคนจนและคนรวยพอจะมองเห็นกันและกันอยู่บ้าง ด้วยความแปลกไม่เคยเห็นจึงคิดว่าคนที่แตกต่างจากตนคือตัวประหลาด พวกเขาคงลืมไปว่าได้ยืนอยู่บนผืนแผ่นดินแผ่นเดียวกัน

เป็นคนเหมือนกัน ... เป็นชีวิตหนึ่งเหมือนกัน

ระหว่างทางเธอคิดเหมือนทุกวันว่า ขึ้นรถเมล์จะมีที่นั่งไหม และจะเลือกนั่งตรงไหนที่ปลอดภัยที่สุด ปลอดภัยจาการต้องลุกให้เด็ก สตรีมีครรภ์หรือคนชรานั่ง เป็นไปตามหลักธุรกิจที่เธอร่ำเรียนมาแล้วเกือบสองปี เมื่อต้องเสียค่ารถแพงยังไงก็ต้องได้รับบริการที่ดีกลับมา บริการที่ดีในความคิดของเธอคือ ได้นั่งสบายๆ ไม่ต้องลุกให้ใครนั่ง ไม่ต้องเสียสละ
วันนี้เพื่อนสนิทสมัยมัธยมของตะเกียงโทรมาชวนเธอไปเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กด้อยโอกาส เธอต่อว่าเพื่อนว่าไม่รู้หรืออย่างไรว่าเธอไม่ชอบเด็กสกปรก ยากจน มันดูหดหู่ไม่จรรโลงใจเลยสำหรับเธอ แต่เธอจำใจตอบตกลงเพียงเพราะอยากเจอเพื่อนเท่านั้น


“ฉันจะต้องอยู่ห่างจากเด็กพวกนั้นให้มากที่สุด” เธอตั้งปณิธานขึ้นในใจ

เย็นวันนี้เธอขึ้นรถเมล์กลับบ้านเหมือนเคย แต่ข้าวของออกจะพะรุงพะรังสักหน่อย เธอหมายตาหาที่ยืนเหมาะๆ และต้องเดินเข้าไปข้างใน เด็กตัวดำอายุราวหกขวบกับผู้หญิงอ้วนตัวดำ “คงจะเป็นแม่ลูกกัน” เธอคิด พวกเขานั่งอยู่ตรงนั้นพอดี เธอกำลังจะออกเดินไป เด็กตัวดำเอื้อมมือมาจับที่กระเป๋าเธอ

“ไอ้เด็กขี้ขโมย เอามือสกปรกของแกออกไปนะ” เธอตะโกนก้องในใจ
“หนูช่วยถือไหม”เสียงเล็กๆของพ่อหนูน้อยฟังดูน่ารัก


เธอไม่พูดอะไร เพียงกระชับกระเป๋าสะพายเข้าหาตัว บอกคำตอบ มือเล็กๆหลุดจากกระเป๋าไปทันที เด็กชายมองตามเธอไปอย่างไม่เข้าใจ เธอไม่พูดแต่เธอรู้สึก เป็นความรู้สึกที่เธอเองไม่เคยมีมานานมากแล้ว จำเกือบไม่ได้แล้วว่าประโยคแบบนี้มีคนพูดกับเธอครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน แต่ในวันนี้คนที่พูดประโยคนี้กับเธอกลายเป็นเด็กตัวดำดูสกปรก เด็กในแบบที่เธอไม่เคยชอบ

เธอรู้สึก...

ที่มูลนิธิแห่งหนึ่ง ตะเกียงกับเพื่อนหลายคนไปทำบุญร่วมกัน เรื่องเหล่านี้ไม่เคยจะอยู่ในความคิดของเธอแม้แต่น้อย เพื่อนคนอื่นยกเว้นเธอนั่งแทรกตัวอยู่กับเด็กๆ บ้างพูดคุย บ้างชวนกันเล่น ตะเกียงลังเลสักพักจึงข่มใจตัวเองก่อนจะลุกไปนั่งข้างเด็กชายคนหนึ่ง เด็กชายตุ๋ย ไม่มีถ้อยคำ ไม่มีการกระทำ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น เพราะเธอนั่งเพื่อไม่ให้ต่างจากเพื่อนเท่านั้น
อาหารกลางวันมื้อนี้คือขนมจีนแกงไก่ เด็กหลายคนคงจะเผ็ดเห็นได้จากเพื่อนของตะเกียงต่างเดินไปตักน้ำมาให้น้องๆ เธอถามน้องตุ๋ยว่าเผ็ดไหม และคาดหวังคำตอบว่าเขาจะไม่เผ็ด เพราะถังน้ำดื่มอยู่ไกลพอควร เธอขี้เกียจเดิน


“เผ็ดครับ” เธอเริ่มหงุดหงิด
“นั่นๆเดินไปตักน้ำกับพี่คนนั้นนะ” ตะเกียงชี้ให้เด็กชายเดินไปพร้อมกับเพื่อนของเธอ
เธอนั่งรอน้องตุ๋ยด้วยท่าทางอึดอัด เธอเบื่อสภาพแบบนี้จริงๆ “ใจบุญอะไรกันนักหนา แค่บริจาคเงินก็พอแล้ว”เธอคิด เด็กชายตุ๋ยเดินกลับมา เธอรู้สึกเซ็งมาก ภาวนาให้เดินช้าๆ
“ผมตักน้ำมาเผื่อพี่ด้วยครับ” เขายื่นแก้วในมือซ้ายมาให้เธอ


เธอรับแก้วมา ไม่มีคำพูดใดๆ เธอไม่พูด แต่เธอรู้สึก รู้สึกถึงน้ำใจที่เด็กชายตุ๋ยมี มันคงจะใสยิ่งกว่าน้ำในแก้วและแน่นอนมันใสกว่าน้ำในใจเธอยิ่งนัก
“กินไหวไหมครับ” ตะเกียงถามเผื่อว่าน้องจะทนกินเผ็ดไม่ได้ เด็กชายส่ายหน้า


เธอลุกเดินไปห้องครัวที่อยู่ไกลกว่าตู้น้ำดื่ม ถามหาอาหารอื่นซึ่งไม่เผ็ดกับแม่ครัว เธอเดินกลับมาพร้อมจานข้าวผัดหมู
“ขอบคุณครับ”เด็กชายตุ๋ยยกมือไหว้หลังจากที่เธอยื่นจานให้ ความเงียบเข้ามาอีกครั้ง เธอยังคงไม่พูด แต่เธอรู้สึก รู้สึกดี ไม่บ่อยนักที่เธอจะรู้สึกแบบนี้


หลังจากแยกย้ายกับเพื่อน ตะเกียงนั่งรถเมล์กลับบ้าน มีที่นั่งว่างๆ เธอดีใจเหมือนเคยแต่วันนี้เธอเลือกนั่งในที่ที่เธอคิดว่าเสี่ยง ตามหลักการที่เธอเรียนมา High Risk High Return รถเมล์แล่นไปได้หลายป้าย เริ่มจะมีคนยืนบ้างแล้ว เธอดีใจจริงๆ

หญิงวัยกลางคนภายนอกดูผอมโทรมจูงลูกสาวน้อยๆขึ้นมาบนรถ พวกเขาหยุดยืนตรงเธอพอดี “High Risk ตามคาด” เธอคิด แต่เธอลุกขึ้นทันที ปราศจากความลังเลไม่เหมือนเคย
“ขอบคุณค่ะพี่” เด็กหญิงไหว้เธอ
“ไม่เป็นไรค่ะ” ไม่เป็นไรจริงๆ เธอพูดเพราะเธอรูสึกดี รู้สึก High Return จริงๆ หัวใจของเธอพองโตกว่าปกติเพราะระดับน้ำในใจสูงขึ้นเล็กน้อย ตะเกียงไม่ได้ทำความดีมานานแล้ว เธอรู้สึกภูมิใจในตัวเองอย่างบอกไม่ถูก


“รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มมั๊ยคะ” เธอแวะร้าน7-11หน้าปากซอยซื้อขนมสามถุง


ลูกบอลเล็กๆกลิ้งมาหยุดตรงเท้าเธอ เธอหยิบขึ้นมามองหาเจ้าของ พวกเขาหยุดยืนห่างเธอ เธอเดินเข้าไปหา ส่งลูกบอลให้พร้อมถุงขนม มือขาวเรียวยาวของเธอกำลังลูบหัวเด็กน้อย ช่างดูตัดกับผิวคล้ำๆแต่เป็นภาพที่สวยงาม พวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่ตัวประหลาดสำหรับเธออีกแล้ว กำแพงมหึมาทะลายสิ้น พวกเขาก็เหมือนเรา เพียงแต่เราโชคดีกว่าเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราควรแบ่งปันความโชคดีที่มีให้กับคนที่โชคดีน้อยกว่า เธอรูสึกมีความสุขที่เธอได้แบ่งปันความโชคดีที่เธอมีให้กับพวกเขา แม้จะไม่อาจทำให้เขาโชคดีขึ้น แต่ก็ทำให้พวกเขามีความสุขบ้างบนความโชคร้าย


...เสมอกันพอดีระหว่างความสุขที่ได้รับจากการแบ่งปันและความสุขที่พวกเขาได้รับ...
ตะเกียงดวงน้อยดวงนี้พอจะเรืองแสงขึ้นมาบ้างแล้ว แต่แสงสว่างจากตะเกียงเพียงดวงเดียวก็คงจะสู้กับแสงสว่างของดวงจันทร์ไม่ได้ เราคงจะต้องหมั่นเพิ่มความสว่างให้กับตะเกียงที่แต่ละคนมี หลายล้านคนนั่นหมายถึงอีกหลายล้านตะเกียง หากนำแสงสว่างทั้งหมดมารวมกัน แสงนั้นคงจะสุกใสดั่งแสงจันทร์ แต่พิเศษกว่าตรงที่แสงสว่างจากตะเกียงเป็นแสงสว่างที่สัมผัสได้อย่างแท้จริง เพราะดวงจันทร์อยู่ไกลเกินไป ไกลเกินเอื้อมถึง ตะเกียงที่ส่องสว่างอย่างเต็มกำลังต่างหากที่จะสามารถใช้นำทางได้ และให้ความอบอุ่นอยู่ข้างกายเราเสมอ


ตะเกียงดวงนี้จะพยายามเพิ่มความสว่างให้กับตัวเองต่อไป เธอนอนอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นผืนเดิม แต่ก่อนหลับตาลงในคืนนี้
“จันทร์เจ้าขา...ขอให้พวกเขามีความสุขนะคะ”




 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2548 12:37:40 น.
Counter : 164 Pageviews.  

ฉันมีเธอ

เวลาผ่านมาได้สามสัปดาห์แล้วที่ฉันนั่งเรียนข้างๆเธอ เพราะที่นี่ไม่ใช่ห้องเรียนทั่วไปที่มีการแนะนำตัวหน้าชั้นเรียนของนักเรียนใหม่ก่อนจะเดินมานั่งที่โต๊ะตามคำสั่งของอาจารย์ประจำชั้น ฉันจึงยังไม่รู้จักเธอสักที ดูเหมือนว่าเธอจะมาเรียนคนเดียวแต่ฉันมาเรียนกับเพื่อนเลยไม่เหงาอย่างเธอ หรือบางทีเธออาจไม่เหงาฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน


วันนั้นที่ฉันเผลอทำปากกาตกพื้น มองหาอยู่นานกว่าจะเจอว่าตกไปอยู่ตรงไหน ฉันเอื้อมมือไปหยิบและทำให้ได้รู้ว่าเธอเองก็ก้มๆเงยๆอยู่ด้วยเช่นกัน ฉันไม่แน่ใจว่าเธอกำลังมองหายางลบก้อนจิ๋วของเธอหรือกำลังช่วยมองหาปากกาของฉัน พูดถึงยางลบของเธอฉันรู้สึกว่าเป็นยางลบก้อนที่เล็กที่สุดเท่าที่เคยเห็น ไม่รู้ว่าเธอจับถนัดมือได้ยังไงกัน ฉันกะว่าหากเรียนจบคอร์สเมื่อไหร่ฉันจะซื้อยางลบก้อนใหม่ให้เธอเป็นที่ระลึก เธอคงทำหน้าแปลกใจน่าดู


วันที่ฉันกับกุ้งเต้นเพื่อนฉันไปกินข้าวกันที่ร้านหน้าปากซอย เต้นเล่าให้ฟังว่านั่งๆอยู่ฉันก็ร้องเฮ้ยขึ้นมาดังลั่น คนอื่นมองกันใหญ่ แต่ฉันกลับไม่รู้ตัวเลยว่าร้องออกไปในตอนไหนกัน รู้แต่ว่าตอนที่ฉันมองไปที่แก้วชาเย็นสองแก้วในถาดที่ลุงเจ้าของร้านเตรียมยกมาเสิร์ฟ แต่กลับมีภาพเธอมาหยุดที่โต๊ะยิ้มให้ฉัน ฉันงง แต่พอเริ่มรู้สึกตัวว่าเห็นเธอมายืนยิ้มให้ ฉันก็หันหลังกลับมองตามเห็นเธอกำลังจะเดินออกจากร้าน เต้นขำใหญ่กับเรื่องเปิ่นๆของเพื่อน ฉันไม่รู้ว่าอาหารที่ร้านนั้นเอร็ดอร่อยหรือไม่ ทุกอย่างจืดชืดไปหมดหลังจากได้เห็นรอยยิ้มสดใสของคนข้างๆซึ่งยังคงชัดเจนในใจ วันพรุ่งนี้มีเรื่องที่จะได้คุยกับเธอแล้ว


หลังจากวันนั้นฉันได้รู้ว่าบ้านเธออยู่แถวนี้ แต่ฉันกลับสงสัยว่าทำไมเธอถึงมาเรียนสายได้เกือบทุกวันทั้งที่บ้านอยู่แค่ฝั่งตรงข้าม ฉันถามและเธอเองตอบว่าตื่นสาย ฉันนึกขันในใจแต่ไม่ได้หัวเราะออกไป เพราะกลัวว่าเธอจะอาย


ฉันเองทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเธอมาเรียนสายแต่กลับไม่เคยหันไปบอกเธอสักครั้งว่าเรียนถึงหน้าไหนแล้ว ไม่รู้สิฉันไม่ค่อยคุ้นเคยกับคนต่างเพศที่ไม่ใช่พ่อและพี่ชายเท่าไหร่ ได้แต่เปิดหนังสือให้เธอเห็นง่ายๆ หวังว่าเธอคงไม่ว่าอะไรฉันนะ


จนกระทั่งวันที่เธอขอยืมหนังสือฉันไปเพราะจดไม่ทัน ฉันเต็มใจอย่างยิ่งเพราะเป็นครั้งแรกที่เธอเริ่มพูดก่อน ฉันไม่ถือหรอกว่าเธอพูดเพราะความจำเป็น อย่างน้อยครั้งนี้เธอก็พูดกับฉันก่อน


ทุกครั้งก่อนหน้านี้ที่ฉันได้พูดกับเธอคงมีแค่ตอนที่ฉันยื่นลูกอมให้แล้วเธอก็พูดว่า “ไม่เป็นไรครับ” หรือหลังๆก็พูดว่า “ขอบคุณครับ” หลังจากที่ฉันวางลูกอมไว้บนหนังสือเธอ ทุกครั้งที่ฉันให้ลูกอมเธอฉันจะเก็บลูกอมเม็ดอื่นที่อยู่ในห่อเดียวกันนั้นไว้ในขวดโหลเสมอ มีวันหนึ่งฉันเก็บลูกอมไว้เม็ดหนึ่งเต้นเห็นเข้าทำท่าจะฉีกกระดาษห่อ ฉันร้องห้ามแทบไม่ทัน มันงอนที่ฉันงกไม่ยอมให้มันกิน ถามว่าทำไมต้องเป็นลูกอมเม็ดนี้ ฉันได้แต่ตอบว่าเป็นลูกอมเม็ดที่ฉันชอบ ฉันแค่อยากมีหลักฐานของความทรงจำบ้างก็เท่านั้น


มีครั้งหนึ่งอาจารย์แซวเธอว่าวิศวะหนุ่มอนาคตไกล ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเธออยากเป็นอะไร หรืออยากเป็นวิศวะตามคำแซวของอาจารย์ ส่วนฉันยังไม่รู้เลยว่าอยากเรียนอะไร พยายามค้นหาตัวเองมาตั้งนานแต่ก็หาไม่เจอสักทีขอให้เธออย่าเป็นอย่างฉันเลย ขอให้เธอมีฝันและทำตามฝันนั้นให้สำเร็จ


จบคอร์สแล้วแต่ฉันไม่ได้ทำตามความตั้งใจที่จะซื้อยางลบก้อนใหม่ให้เธอ ก็เพราะเราไม่รู้จักกันเลยนี่นา ฉะนั้นมันคงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะให้เธอได้ เอาเถอะถึงแม้ว่าความสัมพันธ์จะไม่คืบหน้าอย่างที่ฉันหวังแต่ฉันจะเก็บเธอเอาไว้ในความทรงจำ อย่างที่ฉันเก็บลูกอมเม็ดที่ชอบไว้ในโหลใบนั้น

----------------------------------------

ฉันรู้ผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ฉันสอบติดคณะวารสารอย่างที่อยากเรียน พ่อไม่ให้ฉันเลือกคณะนี้ พ่อว่าบุคลิกฉันไม่เหมาะหลังจากที่ฉันบอกว่าอยากเป็นนักข่าว แต่จนแล้วจนรอดฉันขอขัดใจพ่อสักครั้ง ฉันคิดถึงเธอ ไม่รู้ว่าเธอจะสอบติดไหม และติดคณะอะไร


เปิดเทอมแล้วฉันเริ่มรู้จักเพื่อนใหม่ๆ ได้รู้ว่ามีเพื่อนหลายคนมาจากโรงเรียนเดียวกับเธอ ฉันรู้ว่าเธออยู่โรงเรียนนี้เพราะมีวันหนึ่งที่เธอใส่ชุดนักเรียนไปเรียนที่นั่น อยากลองถามเพื่อนใหม่ว่ารู้จักเธอบ้างไหม แต่ไม่ดีกว่าไม่อยากให้ใครรู้


วันนั้นวินโทรมาหาฉันตอนพักกลางวันบอกว่าจองโต๊ะไว้แล้วที่โรงอาหาร ฉันจึงรีบเดินไป เมื่อถึงที่โรงอาหารฉันเห็นวินแล้ว แต่กลับมีสิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อน เธอนั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกับวิน ฉันทำอะไรไม่ถูกเลย ไม่คิดว่าเราจะได้เรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกัน วินแนะนำให้เรารู้จักกัน เพิ่งรู้ว่าเธอกับวินเคยเรียนอยู่ชั้นเดียวกันสมัยมัธยม ได้รู้ชื่อเธอก็วันนี้เอง ฉันไม่ได้พูดอะไรนักเพราะมีเพื่อนเธออยู่หลายคน ไม่รู้ว่าแต่ละคนคิดยังไงกับฉัน สักพักเธอกับเพื่อนขอแยกตัวไปเรียน เธอยิ้มให้ฉันและโบกมือเล็กๆก่อนจะเดินจากไป เธอใส่เสื้อช็อป

“เธอคงได้เรียนวิศวะสมใจ” ฉันคิด


ที่โต๊ะเหลือแค่ฉันกับวินเพราะมีเรียนวิชาเดียวกัน ฉันเห็นวินทำหน้ายิ้มๆ แล้วเฉลยให้ฟังว่ารู้เรื่องของฉันกับเธอ ฉันไม่แน่ใจว่าวินรู้ได้อย่างไร คงเป็นวิชาการเขียนเชิงสร้างสรรค์ที่ฉันเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับเธอ และนามปากกาที่ฉันใช้นั่นเอง


ตอนแรกฉันคิดว่าเหตุการณ์ในวันนั้นเป็นพรหมลิขิตให้เราได้รู้จักกัน แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย เป็นเพราะเราทั้งสองคนต่างก็รู้จักกับวิน ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เพื่อนของเพื่อนจะได้รู้จักกัน เธอเองคงไม่ได้คิดอะไรมากมายอย่างฉัน เธอคงคิดว่าฉันเป็นแค่เพื่อนของเพื่อนเก่าเท่านั้น แต่สำหรับฉันการได้เห็นเธออีกครั้งและได้รู้ว่าเธอทำตามความฝันของเธอแล้ว มันทำให้ฉันมีกำลังใจที่จะทำตามความฝันของฉันเช่นกัน


หลังจากวันนั้นฉันเห็นเธอบ้าง บนรถสองแถว ในโรงอาหาร หรือบางทีเห็นเธอขี่จักรยานไปเรียนในตอนเช้า เธอคงไม่ทันสังเกตเห็นฉันหรอกเพราะว่าโลกนี้มีผู้คนมากมาย หากเราไม่ใช้ความตั้งใจในการมองหาใครสักคนเพราะว่าเขาเป็นคนสำคัญ ก็คงไม่มีทางมองหาใครเจอง่ายๆ


วันที่เธอจักรยานล้มฉันยังจำได้ดี ฉันนั่งติวหนังสืออยู่กับเพื่อนข้างๆหอพักเห็นแล้วว่าจักรยานทำท่าจะล้มแต่ไม่รู้ว่าเป็นเธอ มีของร่วงลงมาหลายอย่างทั้งหนังสือ สมุด กล่องดินสอ เธอเก็บไปไม่หมด มีดินสอตกอยู่แท่งหนึ่ง เพื่อนฉันเห็นจึงอยากเก็บไปคืน ฉันเป็นคนขี่จักรยานให้เพื่อนซ้อนท้าย เพื่อนฉันร้องเรียกให้เธอหยุดรถ เธอหันมาฉันทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้แต่ยืนเงียบ จนเธอเริ่มขี่รถไกลออกไป

“เป็นอะไรรึเปล่า”

ฉันร้องตะโกนออกไปไถ่ถามอาการของเธอ ไม่คิดว่าเธอจะหันกลับมายิ้มและยกมือขวาที่เอานิ้วชี้จรดนิ้วโป้ง นิ้วทั้งสามที่เหลือเหยียดตึง แล้วตะโกนกลับมาว่า “ไม่เป็นไรครับ”


หลังจากวันนั้นก็ไม่ได้เจอกันเป็นเรื่องเป็นราวอีก จนกระทั่งวันศุกร์นั้นที่ฉันนั่งรถบริการของมหาวิทยาลัยกลับบ้าน นักศึกษาใช้บริการกันอย่างคึกคักเหมือนเคย ฉันเลือกนั่งเบาะหลังและเริ่มหลับทันทีหลังจากจ่ายค่าโดยสาร หลับได้งีบใหญ่พอควรก็ถึงคราวต้องตื่นเพราะศีรษะไปโขกเข้ากับไหล่ของคนข้างๆ ฉันรู้สึกเจ็บ แต่ไม่ลืมที่จะหันไปขอโทษ อย่างก้มหน้าก้มตาและให้เสียเวลาน้อยที่สุดเพราะตั้งใจว่าจะหลับต่ออีกสักตื่น

“ไม่เป็นไรครับ” คำพูดนี้ฉันคุ้นดีอยู่แล้ว แต่ยังคงน้อยกว่าน้ำเสียงที่คุ้นหูอย่างยิ่ง ทำให้พลันหายง่วง เงยหน้าขึ้นมอง

“เธอนั่นเอง” ฉันคิดในใจ พยายามคิดหาถ้อยคำมาเริ่มบทสนทนากับเธอ โดยหวังว่าจะทำให้เป็นบทสนทนาที่จบลงช้าที่สุด

“สวัสดีครับ ใช่เพื่อนวินรึเปล่าครับ” เธอกล่าวทักขึ้นก่อน

ตอนนี้ฉันไม่สนใจแล้วว่าบทสนทนาจะเนิ่นนานเพียงใด แต่ฉันจะจดจำทุกถ้อยคำของเธอ ฉันตอบว่าใช่ และเราก็คุยกันอีกหลายเรื่องรวมทั้งเรื่องยางลบก้อนจิ๋ว เธอหัวเราะเบาๆหลังจากที่ฉันเอ่ยถามถึงมัน

“คือคนส่วนใหญ่ไม่เคยใช้ยางลบหมดก้อนเลยน่ะครับ คิดว่าเล็กเกินไปก็เลิกใช้ หรือไม่ก็หาย ตอนนั้นเลยพนันกับเพื่อนว่าถ้าใครใช้ได้จนเหลือก้อนเล็กกว่าจะได้ของที่อยากได้” เขาเล่ายิ้มๆทำให้ฉันพอจะเห็นภาพในอดีตของเขาอยู่บ้าง

“แล้วสรุปใครชนะคะ” ฉันถามตอนจบของเรื่อง

“ผมแพ้ครับ เพราะว่ามันหายไปตอนที่เรียนที่นั่นแหละครับ” ท่าทางเขาจะอายนิดๆที่เสียฟอร์มเพราะเป็นคนเริ่มพนันแท้ๆ

“ถึงว่าคุณเปลี่ยนมาใช้ปากกาแทน” ฉันนึกได้ว่าตอนหลังชักไม่ได้เห็นยางลบจิ๋วออกมาทำหน้าที่

“คุณสังเกตด้วยหรือครับ” เขาทำหน้างงปนตกใจหน่อยๆ

“เอ่อ...คือเพื่อนฉันเขาชี้ให้ดูนะค่ะ” กลับมานั่งคิดทีหลังฉันได้แต่โกรธตัวเองที่ไม่พูดความจริง

“ผมทราบดีว่าตกเป็นประเด็นสนทนาในหมู่พวกคุณ”

“คุณรู้...แต่คุณก็ไม่เห็นย้ายที่นั่งหนีไปไหน ยิ่งทำให้พวกฉันได้ใจ พูดถึงคุณบ่อยขึ้น” ฉันมองเห็นภาพเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน

“ผมไม่ได้รู้สึกรำคาญอะไรนี่ครับ ดีเสียอีกไม่เหงา”


วันนั้นเมื่อถึงที่หมายฉันกับเธอกลับบ้านคนละทาง ฉันจำต้องแยกจากเธอเพื่อมาเดินในเส้นทางของตนเอง ไม่รู้ว่าหัวใจเธอจะเป็นเหมือนหัวใจฉันรึเปล่า มันพองโต อิ่มเอิบ และดูเหมือนจะทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตอย่างไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย


หากวันนี้หัวใจของเธอยังคงเป็นเหมือนปกติ ฉันก็ได้แต่หวังเล็กๆว่าในสักวันหัวใจเธอจะเต้นแรงและเร็วยิ่งขึ้นจนเธอไม่อาจเก็บไว้ในใจได้ และหากเพียงเธอเริ่มเอ่ยคำๆนั้นที่ฉันรอคอยมาทั้งชีวิต ฉันก็จะไม่ลังเลเลยที่จะบอกคำๆเดียวกันนี้ให้เธอรู้ความรู้สึกของฉัน


ขอเพียงเธอบอกฉันสักนิด...
ให้ฉันได้มั่นใจ
...ว่าเธอเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน

--------------------------------------
“อ่านอะไรอยู่คะติ” น้ำทิพย์ถามสามี เมื่อเห็นว่าปีติจับหนังสือเล่มนี้อย่างไม่วางมือมาตั้งแต่เช้า ปีติหันปกหนังสือออกให้ดูแทนคำตอบ


“อ๋อหนังสือที่ทิพย์เพิ่งได้มาเมื่อวานนี้” สายตาของปีติยังคงจับจ้องอยู่ที่ปกในของหนังสือ ไม่ใคร่สนใจในคำตอบของผู้เป็นภรรยามากนัก


“เธอเรียนอยู่คณะเดียวกับทิพย์ค่ะ รู้จักผิวเผินเท่านั้น” น้ำเสียงของน้ำทิพย์แสดงชัดถึงความสัมพันธ์ที่ห่างเหินนั้น


“เธอเรียนคณะบริหาร ไม่ใช่วารสารหรือ” ปีติยังไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก


“ค่ะ เรื่องสั้นที่อยู่ในหนังสือนั่น ได้ยินเพื่อนๆคุยกันว่าแต่งให้ผู้ชายที่เธอรัก ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วล่ะค่ะ แม่ของเธอเจอพับอยู่ในซองในกระเป๋าทำงาน ทิพย์ว่าคงพกติดตัวตลอดเวลาค่ะ” น้ำทิพย์เล่าด้วยเสียงเรียบเฉย ปีติครุ่นคิดกับคำพูดของน้ำทิพย์อยู่พักหนึ่งจึงเอ่ยขึ้น


“เธอเป็นอะไร” ปีติถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ


“เธอเป็นธาลัสซีเมียค่ะ”

สิ้นเสียงตอบของน้ำทิพย์ ความว่างเปล่าย่างกรายเข้ามาในความรู้สึกของปีติ


“เป็นอะไรคะติ” น้ำทิพย์จับมือปีติแล้วบีบเบาๆเพื่อให้กำลังใจ


ตรงข้ามกับปีติที่สองมือยังคงจับหนังสือเล่มนั้น คล้ายกับจะยื้อแย่งเอาบางสิ่งกลับคืนมา


ในขณะที่ลูกชายวัยซนของทั้งคู่หยิบโหลลูกอมที่วางในตู้โชว์ออกถือมาเล่น น้ำทิพย์หันมาเห็นจึงรีบเดินมาหยิบขวดโหลจากมือลูกแล้วนำไปเก็บที่เดิม


“เล่นไม่ได้นะคะลูก ของคุณพ่อ” น้ำทิพย์ให้เหตุผลกับลูกไปตามเรื่องตามราวแล้วจึงพาไปส่งให้พี่เลี้ยงดูแล


ปีติเดินมาที่ตู้โชว์หยิบขวดโหลใบนั้นออกมาดูอย่างมีความหมาย น้ำทิพย์กลับมาดูแลสามี แต่ก็อดสงสัยในความสำคัญของของสิ่งนี้ไม่ได้


“ติคะ โหลนี้มันมีอะไรหรือคะ แค่โหลลูกอม เก่าแล้วด้วยนะคะ”

“สำหรับคนอื่นมันเป็นแค่ลูกอม แต่สำหรับผมมันเป็นลูกอมที่ผมชอบ”

“ติชอบแต่ทิพย์ไม่เห็นติหยิบมาทานเลย”

“ถ้าผมทานมันก็จะหมดไป ไม่มีอะไรเหลือทิ้งไว้”

“ติพูดแปลกๆนะคะ”

“ถึงลูกอมจะมีไว้ทาน และผมก็ชอบลูกอมพวกนี้ แต่ผมก็ไม่จำเป็นต้องแสดงความชอบด้วยการทานลูกอมนั้น”

“ยิ่งพูดยิ่งแปลกนะคะติ ช่างเถอะค่ะ ทิพย์ไม่ถามแล้ว” น้ำทิพย์ทำท่าจะเดินไป

“จำนวนลูกอมในโหลของผมเท่ากับลูกอมในเรื่องสั้นเรื่องนั้น” ปีติพูดขึ้นหลังจากน้ำทิพย์เดินไปไม่ห่างนัก

“ติ” น้ำทิพย์หันมา ชักสีหน้าไม่พอใจเล็กๆ เธอพอจะเข้าใจขึ้นมา จึงเริ่มรู้สึกน้อยใจ แต่ความรู้สึกนี้มีไม่มากเท่าความไว้เนื้อเชื่อใจที่เธอมีให้สามี เธอจึงให้โอกาสปีติอยู่คนเดียวเพื่อคิดทบทวนเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา


มือของปีติเริ่มสั่นมากขึ้น น้ำตาลูกผู้ชายเกือบจะหลั่งรินออกมา หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งแรงและเร็ว วันนี้เขาอยากตะโกนคำที่เธอรอคอยมาทั้งชีวิตให้ดังที่สุด ให้เธอผู้อยู่ไกลแสนไกลได้รับรู้ความรู้สึกของเขา
แต่ทว่ามันสายเกินไป....

------------------------------------------





 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2548 12:35:35 น.
Counter : 171 Pageviews.  


โปรปิติ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เกิดขึ้น...ตั้งอยู่...ดับไป
เพราะทุกอย่างเปลี่ยนแปลงบ่อย

หลังไมค์ถึง Propiti เพิ่มมั๊ยคะ?







Google


Friends' blogs
[Add โปรปิติ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.