Chocolate is like love, you never get enough.
Group Blog
 
All blogs
 
น้องคะ...เคยมีคนบอกหรือเปล่าว่าหน้าเหมือน "พี่นัท V1"

วันนี้ไปกิน Sukishi สาขามาบุญครองมา น้องพนักงานที่มารับ Order หน้าคล้ายพี่นัท V1 เลย ก็แอบคิดในใจ ปรากฏว่าเพื่อนที่ไปกินด้วยกันก็พูดออกมาว่าพนักงานหน้าเหมือนพี่นัทเลย เราก็อืมจริง แล้วยิ่งมองไปมองมาก็ยิ่งเหมือน แต่อาจจะบ้านๆ กว่าหน่อย หน้าไม่ใสเท่า แต่ก็คล้ายแหละว่า ก็เลยบอกกับเพื่อนว่าเดี๋ยวไว้เรียกเค้ามาถามโน่นนี่แล้วลองถามดูดีกว่าว่ามีใครเคยบอกน้องเขาหรือเปล่าว่าหน้าคล้ายพี่นัท เพื่อนเราที่ไปด้วยก็บอกว่าไม่ดีมั้ง เราก็หรอๆ แต่ในใจคิดว่าจะทำนะ

แล้วน้องพนักงานเค้าก็เดินผ่านโต๊ะเราไปเคลียร์โต๊ะถัดไป ปรากฏว่าน้องเค้าทำแก้วแตก เศษแก้วกระเด็นไปบาดนิ้วเท้าลูกค้าเลย ต้องขอโทษขอโพยกันใหญ่ น้องคนนั้นก็จัดการเก็บเศษแก้วต่างๆ อยู่พักหนึ่ง ตอนหลังก็มีพนักงานในระดับที่ใหญ่กว่าออกมารับหน้าแทน หาหยูกยามาให้ใส่

เรารู้สึกว่าน้องพนักงานคนนั้นต้องเครียดไปเลยแน่เลย แถมยังต้องโดนตำหนิจากหัวหน้าอีก เราก็เลยกะว่าเดี๋ยวตอนเช็คบิลเราต้องบอกน้องเค้าให้ได้ เผื่อว่าจะทำให้น้องเค้าดีใจขึ้น เพื่อนเราก็ยื้ออีกอ่ะ เราก็งงว่าทำไม ไม่เห็นมีไรเสียหายเลย เราก็เลยถามไปประมาณว่ามันดูเป็นผู้หญิงไม่เรียบร้อยเหรอ เพื่อนเราก็บอกมาว่าทำนองนั้นแหละ แต่สุดท้ายมันก็บอกว่าที่มันไม่อยากให้เราพูดเพราะว่ามันกลัวว่าน้องพนักงานเค้าจะคิดว่ามันเป็นคนให้เราพูด (คือว่าเพื่อนเราเป็นเกย์น่ะ แล้วน้องคนนั้นก็ดูไม่ได้แมนมากนัก) เราก็แบบอึ้งไปนิดนึงอ่ะ ว่าทำไมเพื่อนเราคิดมากขนาดนี้

...คิดมากถึงแต่ตัวเอง...

เคยมีหลายครั้งแล้วเหมือนกันที่เราคิดว่าเพื่อนเราคิดถึงตัวเองเป็นสิ่งแรกน่ะ แต่เราพยายามบอกกับตัวเองว่ามันคงไม่ใช่ เราคิดมากไปเอง เราก็เลยบอกเพื่อนเราไปว่าเราเสียความรู้สึก สิ่งที่มันบอกเล่าเมื่อกี้ตอบคำถามในใจเราได้เลยอ่ะ มันก็ถามเราว่าเสียความรู้สึกที่ไม่ได้บอกน้องพนักงานคนนั้นเหรอ เราบอกว่าเรื่องนั้นมันจบไปแล้ว เรื่องที่เสียความรู้สึกเป็นเพราะความคิดถึงตัวเองของแกนั่นแหละ

พยายามเข้าใจนะว่าคนเราก็ต้องคิดถึงตัวเองเป็นอย่างแรก แต่นี่มันมากไปหรือเปล่า มันบอกเราว่ามันไม่อยากดูไม่ดีในสายตาคนอื่นถ้าเกิดเค้าคิดแบบที่มันกลัวขึ้นล่ะ เราพยายามเข้าใจมัน ก็เลยถามไปว่า เป็นเพราะแกมีปมในใจหรือเปล่าแกก็เลยกลัวว่าคนอื่นเค้าอาจคิดแบบนั้น มันก็บอกว่าอาจจะใช่ เราก็บอกว่ามันคิดมากไปหรือเปล่า เจอกันก็อาจจะแค่ครั้งเดียว จะไปแคร์อะไรกับความคิดของคนอื่นที่เราห้ามไม่ได้กันมากมาย

เฮ้อ!........ อยากถอนหายใจดังๆ

กลายเป็นว่ามันบอกว่ามันเสียใจ มันให้เรายกตัวอย่างเหตุการณ์ที่ทำให้เราคิดว่ามันคิดถึงแต่ตัวเอง เราก็บอกว่าเราคิดไม่ออก เราเองก็อาจเป็นคนคิดมาก คิดละเอียดเกินไปก็เป็นได้

ตอนที่เดินกลับด้วยกันมันอาสาช่วยถือของ (ซึ่งก่อนหน้าวันนี้มันก็มักจะช่วยถืออยู่บ่อยๆ) เราเองก็เลยบอกว่าสายเกินไปแล้วแหละ เราถือมาตั้งแต่ตอนที่เจอกันแล้ว แล้วที่แกช่วยถือเนี่ย...

แกกลัวคนอื่นมองว่าแกไม่มีน้ำใจหรือเปล่าวะ?

เราขอโทษแล้วกันนะที่ทำให้แกเสียความรู้สึก บางทีเราอาจคิดมากไปเอง เอาเถอะ เราจะพยายามเข้าใจ เพราะว่าบางทีเราก็คงคิดถึงแต่ตัวเองเหมือนกันนั่นแหละ คงไม่ต่างกัน เพียงแต่แกเป็นเพื่อนสนิท เป็นเพื่อนรัก ของเราก็ว่าได้ บางครั้งเราอาจคาดหวังในตัวแกมากไปหน่อย

ปล. ขอบคุณพี่นัทที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ค่ะ



Create Date : 17 กันยายน 2550
Last Update : 17 กันยายน 2550 22:57:49 น. 2 comments
Counter : 317 Pageviews.

 
แวะมาบอกว่า....ฝันดีค๊า


โดย: -นู๋จอย- (LomaJoy ) วันที่: 17 กันยายน 2550 เวลา:23:40:37 น.  

 
ญ สาวคน 1 ประสบอุบัติเหตุ เพดานร้านอาหารที่เธอนั่งกินอาหารล้มลงมา เธอได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ สูญเสียประสาทบางส่วน
เธอไม่สามารถรับรู้กลิ่นและรสชาติของอาหาร ประสาททางตา หู และสัมผัสบกพร่อง สายตาพร่าเลือน ไม่สามารถสู้แสงสว่างแม้แต่น้อย ต้องอยู่แต่ในห้องที่ดึงผ้าม่านลงอตลอดเวลา ไม่สามาริถฟังเสียงดนตรี เพราะเสียงทำให้เธอไม่สบาย ไม่สามารถคุยโทรศัพท์เพราะรับเสียงอื้ออึงไม่ได้
การสัมผัสแผ่วเบาบนร่างเธอนำความเจ็บปวดมาให้สุดแสน นานกว่าปีที่เธอจมอยู่ในความโดดเดี่ยว และพร่ำบ่นกับตนเองอย่างปวดร้าวว่า “ทำไมต้องเป็นฉันนะ?”
จวบจนวันหนึ่งขณะนอนบนเตียง กลิ่นบางอย่างลอยมาหา เธอได้กลิ่นซอสสปาเก็ตตี้ที่เพื่อนคน1ส่งมาให้ เธอเดินลงบันไดตามกลิ่นนั้นไปที่ครัว กลิ่นกระเทียม หัวหอม มะเขือเทศ พริก เครื่องเทศ
เธอไปที่ครัวตักซอสเข้าปาก แม้ยังไม่รับรู้รสชาติ แต่สามารถแยกแยะ อุณหภูมิและความอ่อนหยาบของอาหารที่ปลายลิ้น
นาทีนั้นเธอพบว่าสวรรค์มีจริง หลังจากนั้นเธอก็ค่อยๆ ค้นพบสิ่งที่เธอทำมันหายไปจากชีวิตกว่าปี เธอรู้รสชาติอีกครั้ง ตามมาด้วยโสตประสาท จักษุประสาท และสัมผัสประสาท
เธอต้อนรับชีวิตที่เธอทำหายไปด้วยความซาบซึ้งใจยิ่ง
หลังจากนั้นเธอก็ใช้ชีวิตใหม่อีกทิศทาง1 เธอทำให้ทุกวันในชีวิตที่เหลืออยู่ของเธอเป็นประสบการที่สวยงาม ยินดีซาบซึ้งกับความสามารถในการรับรุ้กลิ่น ภาพ เสียง สัมผัส และมีความสุขกับทุกๆ นาทีของชีวิตในสิ่งธรรมดาที่เธอไม่เคยให้ความสนใจ
ปรัชญาเต๋าบอกว่า “คนเราไม่เคยคิดถึงตีนเมื่อรองเท้าไม่กัด”
คนรามักไม่เหินของดีที่ตนมีอยู่จนเสียมันไปแล้ว
ไม่เห็นคุณค่าของแขน 2 ข้าง จนกระทั่งมันเข้าเฝือก
ไม่เห็นคุณค่าของงาน ( ที่เราว่าแย่ๆ ) จนกระทั่งตกงาน
ไม่เห็นคุณค่าของคนที่รัก ( เราว่าไม่ “เพอร์เฟกท์” )จนกระทั่งเธอหรือเขาไปแต่งงานกับคนอื่น
ไม่เห็นคุณค่าของพ่อแม่ ( ที่เราว่า “ขี้บ่น” ) จนกระทั่งไปงานศพของท่าน

สิ่งที่คนจำนวนมากเลือกทำ คือ บ่นว่าตนเองไม่มีความสุข ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่รวย ไม่ได้เป็นเจ้าของสิ่งนั้น สิ่งนี้ และเอ่ยประโยคยอดฮิตว่า “มันไม่แฟร์เลย”
เรื่องราวชีวิตของ ญ สาวข้างบนนี้เป็นความจริง 100% จะว่าไปแล้ว ญ คนนี้เป็นคนที่โชคดียิ่ง โชคดีที่ได้พบสัจธรรมอย่าง1ของชีวิตก่อนที่จะถึงวันสุดท้ายของชีวิต
เราอาจจะโชคดีกว่าเธอตรงที่ เราสามารถเรียนรู้ประสบการณ์ทางอ้อมจากเธอ บางทีทุกครั้งที่เรารู้สึกว่าโลกไม่มีความยุติธรรม ก่อนที่เราจะบ่นลองมองตัวเราเองดูดีๆ เราจะพบว่า เรามีอะไรดีๆ หลายอย่างที่คนอื่นไม่มี
เราสามารถทำ หนึ่งวันเดียวกัน ของเราให้มีความหมายได้ ก็ต่อเมื่อเราเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามี และใช้วันนี้ - วันแรกของวันที่เหลือ - อย่างคุ้มค่าที่สุด
เพราะวันแรกของชีวิตที่เหลือนี้ช่างสั้นเหลือเกิน และเพราะเราไม่มีทางรู้ว่า เรามี วันแรกของวันที่เหลือ อีกสักกี่วัน
วินทร์ เลียววาริณ ( มกราคม 2547 )

ขอบคุณที่อ่านจบนะคัฟ อ่านเสร็จแล้วขอให้คิดตามด้วยนะคัฟ





dejavu_86o@hotmail.com





GoOdLuCkk...


โดย: โหๆ.. IP: 125.26.228.159 วันที่: 15 ธันวาคม 2550 เวลา:15:01:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

โปรปิติ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เกิดขึ้น...ตั้งอยู่...ดับไป
เพราะทุกอย่างเปลี่ยนแปลงบ่อย

หลังไมค์ถึง Propiti เพิ่มมั๊ยคะ?







Google


Friends' blogs
[Add โปรปิติ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.