Group Blog
 
All Blogs
 

เรื่องธรรมดา (๓๔) คุณธรรมริมทาง

เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา (๓๔)

คุณธรรมริมทาง

เพทาย

เมื่อวันเสาร์แรกของเดือนมกราคม เป็นวันเด็กแห่งชาติ ซึ่งทางการก็มีคำขวัญสองพยางค์หลังว่า.....ใฝ่เรียนรู้.... เชิดชูคุณธรรม

แล้วก็มีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้เด็กได้เที่ยว ได้ชม ได้รับความรู้อย่างมากมาย แต่จะมีใครแสดงให้เด็กได้รู้จักว่า อะไรคือคุณธรรมหรือเปล่าก็ไม่ทราบ

เด็กส่วนใหญ่ก็ได้เที่ยวสนุกสนานเพลิดเพลินไปตามประสา แต่สิ่งที่มีหน้ามีตาซึ่งสถานีโทรทัศน์ทุกช่องต่างเอามาอวดกันในภาพข่าวก็คือ ภาพที่ท่านนายกรัฐมนตรีอุ้มเด็กขึ้นนั่งบนเก้าอี้ประจำโต๊ะทำงานของนายกรัฐมนตรี ในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งผู้ใหญ่หลาย ๆ คนก็อยากจะได้นั่ง จนต้องแข่งขันกันให้วุ่นวายมาหลายวันแล้ว

และก็ยังมีเด็กอีกบางส่วนเคราะห์ร้าย ไปเที่ยวในสวนสนุกแล้วเกิดเครื่องเล่นผาดโผนเกิดอุบัติเหตุ ทำให้มีการบาดเจ็บกันไปมากบ้างน้อยบ้างหลายสิบคน และเชื่อว่ายังมีเด็กอีกจำนวนไม่น้อย ที่ไม่ได้เล่นอะไรเลย เพราะอยู่ในพื้นที่ซึ่งห่างไกล ก็คงจะเล่นดินทรายไปตามเรื่อง เช่นเดียวกับบรรพบุรุษซึ่งเติบโตขึ้นมาตามธรรมชาติ เป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว

ผมเองอยู่บ้านในวันเด็กตลอดทั้งวัน เพราะไม่มีเด็กที่อยู่ในวัยซึ่งจะต้องพาไปเที่ยวแล้ว ในวันรุ่งขึ้นจากวันเด็กซึ่งเป็นวันอาทิตย์ผมจึงออกไปทำบุญที่วัดตามปกติ วัดนี้อยู่ไม่ไกลจากศูนย์การค้าใหญ่ของกรุงเทพมหานครมากนัก

ผมเข้าไปนั่งฟังการบรรยายปาฐกถาธรรมในสวนอันร่มรื่น จนได้เวลาอันควรแล้วก็เอาธนบัตรใบย่อย ใส่ตู้รับบริจาคที่ใหญ่โตมโหฬารสี่ตู้ จนครบจำนวนที่ตั้งใจจะทำแล้วก็เดินออกจากสวนนั้น มาทางหน้าโบสถ์แวะถวายสักการะพระประธานในระยะห่าง เพราะไม่สามารถเข้าไปคุกเข่ากราบได้ เนื่องจากสังขารไม่อำนวย แล้วก็ออกจากประตูวัดไปขึ้นสะพานลอยคนเดินจากหน้าวัด ที่อยู่ไม่ไกลนัก

เมื่อผมเห็นขอทานคนแรกแต่ไกล ผมจึงควักกระเป๋าเอาเศษเหรียญบาท ออกมานับดูต้นทุนในวันนี้ ปรากฏว่ามีอยู่ทั้งสิ้นสิบเจ็ดบาท พอจะบริจาคทานได้อย่างสบายใจ รายแรกนี้เป็นหญิงมีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ นอนหลับอยู่บนตัก ผมก็ให้ไปสองบาทตามอัตรา

เมื่อก้มลงหย่อนเหรียญลงในกระบอก ผมสังเกตเห็นว่า เด็กที่หลับอยู่นั้นมีหน้าตาดี แตกต่างจากผู้ที่อุ้มอยู่มาก จนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแม่ลูกกัน ผมจึงสะดุดใจคิดถึงเรื่องที่มีข่าวว่า มีแก๊งค์ลักเด็กเอาไปทำเป็นขอทาน โดยวิธีต่าง ๆ

ผมคิดขณะที่เดินขึ้นสะพานลอย อย่างไม่กระฉับกระเฉงเหมือนปีก่อน ผมได้ยินข่าวอย่างนี้มานานแล้ว แต่ผมก็ไม่คิดจะเลิกให้ทาน เพราะไม่ว่าจะอย่างไรผมก็ตั้งใจจะทำบุญกับผู้ยากไร้ ที่ต้องมานั่งขอทานอยู่ข้างถนน เงินที่ผมให้ไปนับว่าน้อยเหลือเกินสำหรับผม แต่เมื่อเขารวมได้มากในวันหนึ่ง ๆ แล้ว ก็จะทำให้เขาได้ส่วนแบ่งที่พอจะเลี้ยงชีวิตในวันนั้นได้

ส่วนหัวหน้าแก๊งค์ซึ่งผมไม่ได้เจตนาจะบริจาคให้ ก็คงต้องรับกรรมของเขาไปตามสมควร โดยผมไม่จำเป็นต้องแช่ง

ระหว่างสะพานลอยคนเดินของกรุงเทพมหานครเดิม ที่ทอดไปเชื่อมกับทางเดินลอยฟ้าของบริษัทรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่สร้างขึ้นมาให้เพื่ออำนวยความสะดวก แก่ผู้ที่ประสงค์จะเดินแยกไปเข้าศูนย์การค้าใหญ่ระดับโลก ตั้งแต่แยกไฟแดงหนึ่งไปถึงอีกไฟแดงหนึ่ง ซึ่งเรียงกันอยู่สามสี่ราย ก็เห็นมีคนนั่งขอทานอยู่เป็นระยะ ซึ่งเป็นผู้หญิงและเด็กทั้งสิ้น

รายแรกบนสะพานเป็นเด็กชาย ผมเห็นมีรอยแผลตกสะเก็ดที่แก้มซ้าย เมื่อหย่อนเหรียญลงในกระป๋องจึงถามว่า ไปโดนอะไรมา เขายิ้มกว้างขวางเห็นฟันหลอหลายซี่ แต่ตอบว่าอย่างไรก็ฟังไม่รู้เรื่อง คงจะเป็นเพราะหูผมเริ่มจะตึงมากขึ้นกว่าเดิมก็ได้

รายที่สองเป็นหญิงอายุไม่มากนัก มีเด็กหญิงนอนหลับอยู่บนตักตามธรรมเนียม เธอก้มลงกราบแทบศีรษะจะจรดพื้น เมื่อผมเอาเงินเหรียญใส่ในฝ่ามือ ถัดออกไปไม่ไกลก็มีเด็กหญิงซึ่งโตไล่เรี่ยกับเด็กผู้ชายคนแรก กำลังจ้องดูการกระทำของผมอย่างตาเขม็ง

ผมจึงรีบเดินเข้าไปหาและเอาเหรียญบาทใส่กระบอก พร้อมกับชี้มือไปที่เหรียญบาทอีกสองอันที่อยู่บนพื้น พร้อมกับบอกให้เธอเก็บใส่กระบอกเสีย เธออาจจะสงสัยว่าทำไมผมจึงต้องเป็นห่วงเงินซึ่งไม่ใช่ของตนเองด้วย แต่เธอก็หยิบใส่ลงในกระบอกแต่โดยดี

ผมเดินเลยต่อไปในทางเดินที่ทอดเข้าไปในสถานีรถไฟฟ้า เพื่อไปลงอีกด้านหนึ่ง พอสุดบันไดก็เห็นเด็กชายคนหนึ่งสวมเสื้อยืดสีแดง นุ่งกางเกงชาสั้นสีน้ำเงิน อายุประมาณไม่เกินห้าขวบ ถ้าเทียบกับเด็กที่มาออกรายการทีวีช่องต่าง ๆ ที่ตอบปัญหาได้อย่างคล่องแคล่ว หรือเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่ที่ตอบปัญหาของนักเรียน ป.๔ ไม่ได้ นั่งเขี่ยขี้ฝุ่นรอบตัวเล่นโดยไม่สนใจกับกระบอกพลาสติกที่วางอยู่ตรงหน้า ท่ามกลางสายตาของคนหนุ่มสาวที่เดินผ่านไปมาอย่างขวักไขว่ แต่ก็ไม่มีใครสนใจจะให้ทานเหมือนกัน

เมื่อได้ยินเสียงเหรียญกระทบก้นกระบอก เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองผมแล้วยกมือไหว้ อย่างไม่สวยงามตามแบบของเขา ผมจึงก้มลงไปถามว่า แม่หนูไปไหนเสียล่ะ เขาก็ชี้มือไปทางฝั่งตรงข้ามเยื้องออกไปทางใต้บันไดขาขึ้นสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นหญิงร่างขะมุกขะมอม และมีเด็กนอนหลับอยู่บนตักตามฟอร์ม

ผมจึงเดินเข้าไปเอาเงินใส่กระบอกให้อีกคนหนึ่ง ซึ่งคงจะเป็นคนสุดท้ายในวันนี้ แล้วก็ไปยืนรออยู่ที่ป้ายรถเมล์ใกล้ ๆ กันนั้น

ที่ตรงนั้นเป็นบริเวณหน้าโรงภาพยนตร์ชั้นหนึ่ง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในอดีต แต่ปัจจุบันก็คงซบเซาลงเช่นเดียวกับโรงภาพยนตร์ใหญ่ ๆ โรงอื่น จึงมีผู้คนเดินผ่านไปมาไม่ขาดสาย ทั้งเดินขึ้นลงจากสถานีรถไฟฟ้า และเดินผ่านไปมา หรือเดินมายืนรอรถเมล์ รถแท็กซี่ รถยนต์ส่วนตัวที่นัดหมายกันทางโทรศัพท์มือถือ จึงมีพ่อค้าแม่ค้าทีมาจอดรถเข็นขายของขบเคี้ยว ผลไม้แช่น้ำแข็ง และพวกปิ้งพวกเผาเรียงรายเป็นระยะ รถเมล์สายที่ผมต้องการขึ้นยังไม่ผ่านมา ผมจึงมองดูภาพเคลื่อนไหวรอบ ๆ ตัวด้วยความเพลิดเพลิน

หญิงสาวค่อนข้างสวยคนหนึ่งแต่งกาย ชนิดที่เป็นเครื่องแบบสำนักงานใดสักแห่งหนึ่ง สีกลีบบัวมีผ้าพันคอสีน้ำตาลอ่อน ถือถุงกระดาษมีหูหิ้วแต่มีตราสินค้า เดินมาวางถุงนั้นลงบนโต๊ะว่างที่มีป้ายแสดงว่าเป็นแผงขายส้มที่มียี่ห้อโด่งดังชื่อหนึ่ง แล้วก็เดินเลยไป

ผมคิดเล่น ๆ ว่าถ้าผมอยากรู้อยากเห็น เดินไปเปิดถุงนั้นดู อะไรจะเกิดขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้ทำตามที่คิด แต่ก็ทำให้รถเมล์สายที่ผมรอเข้ามาจอด และแล่นออกไปโดยไม่ทันสังเกต

ผมมัวมองหาหญิงสาวผู้นั้น ไม่ทราบว่าหายไปทางไหน สงสัยว่าเธอจงใจวางถุงนั้นทิ้งไว้ จริง ๆ หรือ จนรถสายนั้นอีกคันหนึ่งแล่นมาเข้าป้าย ผมจึงละสายตามาดูรถเมล์คันนั้นว่าจะจอดตรงไหน แต่เขาก็แล่นไปเรื่อย ๆ โดยมีผู้ที่รอบนถนนวิ่งตามกันไปเป็นสาย

ผมเลยขี้เกียจที่จะวิ่งตามไปแย่งขึ้นกับเขาด้วย เพราะสงสารสังขารที่จะเสื่อมลงไปอย่างไม่คุ้มค่า คันหลังก็ยังมีมาอีก เวลายังเหลืออีกนาน กว่าจะหิว

เมื่อผมหันกลับมาที่เดิม ผมจึงได้พบว่าแผงขายส้มว่าง ที่มีหญิงสาวคนหนึ่งวางถุงกระดาษไว้นั้น บัดนี้เต็มไปด้วยหญิงสาวน้อยใหญ่สี่ห้าคน ในชุดเครื่องแบบสีเดียวกันทั้งหมด มีถุงกระดาษแบบต่าง ๆ วางตรงหน้าและกำลังกินอาหาร พร้อมกับพูดคุยไปด้วยอย่างมีความสุข เธอทั้งหลายคงจะเตรียมตัวไปเปลี่ยนเวรในที่ทำงานผลัดต่อไป ก็อาจจะเป็นได้ ผมนึกขำความคิดของผมที่ผิดความจริงไปคนละแคว แล้วก็กวาดสายตาไปยังผู้คนกลุ่มอื่น

ขณะนั้นเองก็มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินเคียงกันเข้ามาหาเด็กน้อยเสื้อแดงคนนั้น ทั้งสองแต่งกายอย่างสวยงามตามสมัยนิยม ฝ่ายชายวางกระบอกใส่น้ำหวานขนาดใหญ่ ที่มีสัญลักษณ์ของร้านค้ายี่สิบสี่ชั่วโมง ลงตรงหน้าของเด็ก เอาหลอดปักลงไปในรูบนฝากระบอก แล้วให้เด็กก้มลงดูด

หนูน้อยก็ยกมือไหว้เขาอย่างเคยชิน แล้วจึงก้มลงดูดน้ำในกระบอกอย่างชื่นชอบ หญิงสาวเอามือลูบศีรษะเด็กชายอย่างเอ็นดู แล้วก็จูงมือกันเดินต่อไป ด้วยใบหน้าที่บอกถึงความสุข

ผมเองดูเหมือนจะงงงันไปชั่วขณะที่ได้เห็นภาพ ซึ่งไม่คิดว่าจะได้เห็นนั้น แต่สิ่งที่ทำให้ผมถึงกับอึ้งอย่างไม่คาดฝันอีกครั้งก็คือ เด็กน้อยผู้นั้นกดหลอดดูดลงในกระบอกแล้วยกกระบอกนั้น ลุกขึ้นเดินไปหาหญิงขะมุกขะมอมที่มีเด็กอีกคนหนึ่งนอนหลับอยู่บนตัก พร้อมกับส่งกระบอกน้ำหวานนั้นให้ ก่อนที่จะกลับมานั่งที่เดิม

ในขณะที่ผู้ซึ่งเด็กชายชี้บอกว่าเป็นแม่ ยกกระบอกน้ำขึ้นดูดนั้น ผมมองเห็นไม่ชัดเสียแล้ว เพราะดูเหมือนกระจกแว่นตาของผม จะฝ้ามัวไปชั่วขณะ

ผมคิดว่า เด็กชายขอทานคนนั้นคงไม่รู้หรอกว่า คำขวัญวันเด็กเมื่อวานนี้ มีข้อความว่าอย่างไรหรอกนะครับ.

##########

วารสารข่าวทหารอากาศ
สิงหาคม ๒๕๕๑



Create Date : 13 มกราคม 2551
Last Update : 6 สิงหาคม 2551 14:08:33 น.

Counter : 8 Pageviews. 4 comments

Add to







อ่านแล้วรู้สึกซึ้งในตอนสุดท้าย ปกติก้อไม่ค่อยให้ทานพวกขอทานซักเท่าไหร่ ส่วนมากจะเลือกให้ เคยไปเดินสยามเมื่อหลายปีก่อน มีหมามานั่งขอทานเลยไปซื้อไก่มาให้มันกิน คิดว่าได้บุญกว่าให้ตังส์ เพราะหมาคงใช้ตังส์ไม่เป็น



โดย: ข้าวโพด IP: 121.55.227.70 วันที่: 29 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:20:45 น.







การทำทานเป็นการลดกิเลสของตนเองครับ

เรื่องคนเอาหมามานั่งขอทานนี้
ผมได้ประสบด้วยตนเองอยู่เรื่องหนึ่ง

คือ เรื่องของคนกับหมา ในกลุ่มเรื่องสั้นชุด ฉากชีวิต ครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 1 มีนาคม 2551 เวลา:18:19:02 น.







ตามมาอ่านเป็นรอบที่ 2 แล้วค่ะ



โดย: เจ้าป้ามหาภัย วันที่: 7 เมษายน 2551 เวลา:22:24:19 น.







ขอบคุณมากครับ
ผมก็จะรออ่านเรื่องสั้นหรือความเรียงของคุณเหมือนกันครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 8 เมษายน 2551 เวลา:19:18:38 น.






 

Create Date : 22 มีนาคม 2553    
Last Update : 31 มีนาคม 2553 6:44:35 น.
Counter : 485 Pageviews.  

เรื่องธรรมดา (๓๓) บุญรักษา

เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา (๓๓)

บุญรักษา

เพทาย

ผมเคยเล่ามาหลายครั้งว่า ผมตั้งใจจะทำบุญในวันสำคัญทางพุทธศาสนา ซึ่งปีหนึ่งมีอยู่เพียงสี่วัน รู้สึกว่าจะน้อยไป จึงเพิ่มเป็นวันอาทิตย์ที่ว่างจากธุระงานการ ก็ได้เพิ่มมาอีกหลายวัน มาปีนี้คิดจะเพิ่มในวันเกิดด้วย คือวันพฤหัสบดี แต่คราวนี้มักจะลืม ก็ไม่เป็นไรอีกหน่อยก็ชินไปเอง เขาว่าอย่างนั้น

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๓๑ พฤษภาคม ปีนี้ เป็นวันวิสาขบูชา จึงไปวัดชลประทานรังสฤษดิ์ ปากเกร็ด แต่เช้า ซึ่งเวลา ๐๙.๐๐ น. จะมีการสวดมนต์แปลตามแบบของคณะธรรมทาน สวนโมกขพลาราม

ในคำสวดมนต์ทำวัตรเช้านั้น ผมชอบอยู่บทหนึ่ง ซึ่งมีคำแปลว่า

มนุษย์เป็นอันมาก เมื่อเกิดมีภัยคุกคามแล้ว
ก็ถือเอาภูเขาบ้าง ป่าไม้บ้าง อาราม และรุกขเจดีย์บ้าง เป็นสรณะ
นั่นมิใช่สรณะอันเกษมเลย นั่นมิใช่สรณะอันสูงสุด
เขาอาศัยสรณะนั้นแล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้

ส่วนผู้ใดถือเอา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้ว
เห็นอริยสัจ คือความจริงอันประเสริฐสี่ ด้วยปัญญาอันชอบ
คือเห็นความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความก้าวล่วงทุกข์เสียได้
และหนทางอันมีองค์แปดอันประเสริฐ เครื่องถึงความระงับทุกข์

นั่นแหละ เป็นสรณะอันเกษม นั่น เป็นสรณะอันสูงสุด
เขาอาศัยสรณะนั่นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.

จบแล้วมีพระสงฆ์มาแสดงปาฐกถาธรรม แทนหลวงพ่อปัญญานันทะหรือพระพรหมมังคลาจารย์ ซึ่งไปปฏิบัติภารกิจนอกวัด ความจริงท่านปัญญานันทะนี้ เราเรียกหลวงพ่อติดปากกันมาสี่สิบกว่าปี คนหนุ่มคนสาวในปัจจุบันน่าจะเรียกหลวงปู่ได้ เพราะท่านก็ได้มีอายุครบ ๙๖ ปีไปเมื่อ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐ นี้แล้ว

องค์แสดงธรรมท่านพูดได้ดีมาก ได้ความชัดเจนแจ่มแจ้ง เสียงดังฟังชัด ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป พอจะสรุปได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงใช้ขันติธรรมความอดทน ในการศึกษาหาความรู้ให้แจ้ง และอดทนในการเผยแพร่ธรรมะ ไม่หวั่นไหวต่อคำติฉินนินทาหรือด่าว่าของผู้ไม่เห็นด้วย หรือผู้ที่อาฆาตมาตร้ายต่อพระองค์แต่อย่างใด

จบแล้วก็มีการตักบาตรพระภิกษุทั้งเก่าใหม่ ที่นั่งอยู่รอบลานหินโค้ง เมื่อถึงเวลาเพลก็มีผู้นำสมาทานศีลห้า และกล่าวถวายสังฆทาน แล้วพระสงฆ์ทั้งหมดก็ฉันภัตตาหารเพล

ระหว่างนั้นก็จะมีการสวดมนต์แปลอีกคาบหนึ่ง แต่ผมไม่ได้อยู่แล้ว ขออนุญาตกลับก่อนที่พระสงฆ์จะอนุโมทนาเมื่อฉันเสร็จ เพราะเชื่อว่าได้บุญกุศลตามสมควรแล้ว ไม่ต้องรอพระให้พร

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็พยายามระลึกถึงคำสอนที่พระท่านเทศน์ให้ฟังในวันนี้ จิตใจที่เกิดความน้อยใจ คับแค้นใจ ไม่สบายใจ ที่ท่านว่าเป็นทุกข์ ซึ่งได้รับมาเมื่อวานก็ลดลง และเป็นปกติในที่สุด

พอมาถึงวันอาทิตย์ ผมก็ออกจากบ้านแต่เช้าตามเดิม คราวนี้ไปในทิศตรงกันข้ามกับวันวิสาขบูชา มุ่งไปยังวัดที่มีสวนป่าอยู่กลางกรุง แวดล้อมไปด้วยตึกสูงระฟ้าทั้งสามด้าน ส่วนด้านหน้าก็มีรถไฟฟ้าแล่นผ่านอยู่ทุก ๓-๕ นาที ผมชอบนั่งในสวนอันร่มรื่นฟังเสียงเบา ๆ จากลำโพงที่กระจายอยู่ทั่วพื้นที่บริเวณวัด ซึ่งผมเคยได้ฟังเสียงสวดมนต์ของอุบาสกอุบาสิกา และพระธรรมเทศนาของพระสงฆ์ที่นิมนต์มาจากอารามต่าง ๆ

แต่วันนี้เป็นการเล่าประวัติของพระอาจารย์องค์ใดองค์หนึ่ง ที่ผมไม่ทราบชื่อเพราะมาไม่ทันตอนต้น ซึ่งรู้สึกว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอภินิหารมากมาย

ผมจึงลุกขึ้นเอาเงินใส่ตู้บริจาค ที่ตั้งเรียงอยู่สี่ตู้ แล้วก็เดินออกจากสวนนั้น ผ่านสถานที่รับจองวัตถุมงคลที่กำลังเป็นที่นิยมสูงสุดอยู่ในเวลานี้ ไปยังพระอุโบสถ

ผมยืนพนมมืออยู่หน้าพระอุโบสถ เพราะไม่สามารถเข้าไปนั่งคุกเข่าหรือพับเพียบได้ ด้วยความขัดข้องของกระดูกกระเดี้ยวทั้งหลาย พร้อมกับกล่าวเพียงเบา ๆ พอได้ยินเองว่า

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าถือเอาพระธรรมเป็นสรณะ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าถือเอาพระสงฆ์เป็นสรณะ

แล้วก็เดินออกจากประตูกำแพงแก้วรอบพระอุโบสถ คิดว่าจะไปฉี่ที่สุขาของวัดซึ่งได้ชื่อว่าสะอาดที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพ แต่ขณะนั้นมีรถตู้จอดอยู่ ๒-๓ คันและมีพระสงฆ์กำลังเดินมาขึ้นรถ คงจะรับกิจนิมนต์ไปข้างนอก และรถนั้นจอดบังทางที่จะเข้าสุขาอยู่ จึงเดินเลี่ยงจะมุ่งไปออกประตูวัดไปหาที่ปลดทุกข์เอาข้างหน้า

แต่พอผ่านเต๊นท์ที่คงจะจัดนิทรรศการเมื่อวันวิสาขบูชา เห็นมีแผ่นภาพและข้อความติดอยู่จึงเร่เข้าไปดู และไปหยุดสนใจเรื่องประวัติวันวิสาขบูชาในประเทศไทย ซึ่งพรรณามาตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี

อ่านไปได้ไม่ถึงครึ่งแผ่น ก็มีเสียงดังโครม และแผงกระดานที่ติดเรื่องราวซึ่งสูงเลยหัวผมนั้น ก็ผงะเอนลงมาจะทับผม ด้วยความตกใจและสัญชาตญาณป้องกันตัว จึงเอามือขวาดันไว้มือเดียว เพราะมือซ้ายหิ้วย่ามประจำตัวค่อนข้างหนักอยู่

แต่ดันอยู่ได้แป๊บเดียวก็ทำท่าจะไม่ไหว จะผลักกลับไปก็ไม่ไหว จึงตัดสินใจปล่อยมือพร้อมกับกระโดด หลบออกมาทางด้านขวา แผงนั้นก็ล้มโครมเฉียดไปนิดเดียวแค่เส้นยาแดงผ่าสิบสอง

ผมมองไปทางด้านหน้าก็เห็นรถตู้คันหนึ่ง กำลังเลื่อนไปข้างหน้า หลังจากที่ถอยอย่างไม่ระวัดระวังจนเข้ามาชนแผงติดตั้งนิทรรศการในเต๊นท์ และเกือบทำให้ผมเจ็บตัวโดยไม่เจตนาเสียแล้ว เมื่อมองตรงเข้าไปในกระจกมองหลังด้านขวา ก็เห็นคนขับกำลังยิ้มอย่างขบขันอยู่ โดยไม่คิดที่จะลงมาดูผลของการกระทำของตน และขอโทษผมผู้เสียหายแต่อย่างใด

ผมเองก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป เพราะไม่ได้เจ็บปวดเคล็ดขัดยอกที่ไหน จึงพนมมือขึ้นไหว้ไปบนอากาศ ตั้งใจอโหสิพร้อมกับแผ่เมตตาให้เขา พร้อมกับนึกในใจว่า ที่เคราะห์ดีไม่เจ็บตัวไปมากกว่านี้ ก็คงจะเป็นผลจากการที่ได้ทำบุญทำกุศลมาสองวันนี้เอง

เพราะผมไม่ได้มีวัตถุมงคลติดตัวเลย แม้แต่ชิ้นเดียว.

##########





Create Date : 05 มกราคม 2551
Last Update : 5 มกราคม 2551 6:58:43 น.

Counter : 79 Pageviews. 12 comments

Add to








สวัสดีปีใหม่ค่ะ

คุณพระรักษาจริงๆ เลยนะคะ

ใช่วัดปทุมวนารามมั้ยคะ

ดูแลสุขภาพดีๆ นะคะ

คุณพระคุ้มครองค่ะ



โดย: ทิวาจรดราตรี วันที่: 5 มกราคม 2551 เวลา:10:24:07 น.







บุญรักษาค่ะคุณปู่..

วันนี้หนูได้รับ ยามสายัณห์ขบวนที่ ๓ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ





โดย: สีน้ำฟ้า IP: 61.7.160.252 วันที่: 5 มกราคม 2551 เวลา:13:37:44 น.







ขอบคุณคุณทิวาจรดราตรี ที่ติดตามอ่านมาตลอดครับ



โดย: เจียวต้าย วันที่: 5 มกราคม 2551 เวลา:20:18:10 น.







สีน้ำฟ้า ได้รับหนังสือช้าจัง

มีคนมาลงความเห็นหยาบคาย แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องของเรา
ในเรื่อง เข้าค่ายสะพานแดง
เราลบความเห็นของเขาแล้ว แต่ในช่องการจัดการบล็อกบอกว่า มีคอมเมนท์ที่ถูกแบนรอจัดการ
เราจะปล่อยไว้เป็นอนุสรณ์ก็ได้ใช่ไหม?



โดย: เจียวต้าย วันที่: 5 มกราคม 2551 เวลา:20:23:14 น.







ได้กระมังค่ะ..จริงๆ เราจัดการแบนไอพีเขาได้ด้วย
คือ..ประมาณว่า ห้ามไม่ให้คนที่ใช้ไอพีนี้มาในบล็อกเราอีกค่ะ..

ถ้าปู่จะแบน แจมพอบอกวิธีให้ได้
(ในครั้งต่อไป)





โดย: สีน้ำฟ้า วันที่: 6 มกราคม 2551 เวลา:0:40:36 น.







ปล่อยไว้ก่อนเถิดครับ
แกเป็นเด็กนักเรียน คงไม่มีที่ระบาย เลยมาปล่อยในบล็อกเรา คงได้บุญนะครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 6 มกราคม 2551 เวลา:6:05:24 น.







คนขับรถนิสัยแย่มาก คุณเจียวต้ายจำหน้าได้ป่ะ เดี๋ยวโพดตามไปเตะให้ ขอบาปซักวันนึง





โดย: ข้าวโพด IP: 121.55.227.70 วันที่: 1 มีนาคม 2551 เวลา:16:20:46 น.







ผมอโหสิให้เขาไปแล้วครับ
เป็นผลของการปฏิบัติธรรม
ที่ช่วยให้ไม่โกรธครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 1 มีนาคม 2551 เวลา:18:25:17 น.







เคยได้ยินแต่เส้นยาแดงผ่าแปด

ยาแดงเป็นยาเส้นของจีนที่เส้นเล็ก เมื่อผ่าครึ่งครั้งแรกจะได้
2 ส่วน

ผ่าครึ่งอีกครั้งในแต่ละส่วนจะได้ 2 ส่วน x 2 ซีก = ผ่าสี่
ผ่าครึ่งอีกครั้งในแต่ละส่วนจะได้ 4 ส่วน x 2 ซีก = ผ่าแปด
ผ่าครึ่งอีกครั้งในแต่ละส่วนจะได้ 8 ส่วน x 2 ซีก = ผ่าสิบหก

มันไม่ได้ผ่าสิบสองครับ คุณอา



โดย: พี่แต้ วันที่: 11 มีนาคม 2551 เวลา:12:05:07 น.







คำนี้เดิมว่า เฉียดไปเส้นยาแดงเดียว

จะให้มันเฉียดมากว่านั้น ก็เลยผ่าเสียหลายเสี้ยวครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 12 มีนาคม 2551 เวลา:10:55:56 น.







คุณลุงเคราะห์ดีจริงๆเลยค่ะ



โดย: เจ้าป้ามหาภัย วันที่: 7 เมษายน 2551 เวลา:22:43:36 น.







ผมมาคิดทีหลังว่า ถ้าเอามือข้างเดียวไปยัน แล้วมันไม่อยู่
คงเจ็บตัวไม่น้อยก็มากละครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 8 เมษายน 2551 เวลา:19:16:53 น.






 

Create Date : 21 มีนาคม 2553    
Last Update : 31 มีนาคม 2553 6:43:59 น.
Counter : 1016 Pageviews.  

เรื่องธรรมดา (๓๒) ค่าของมิตรภาพ

เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา (๓๒)

ค่าของมิตรภาพ

“ เพทาย “

น้ำใจแห่งมิตรอันควรอารี
ก็คือคนที่เขามีเมตตา
รู้จักเกื้อกูลและอุดหนุนซึ่งกันดังว่า
ต้องทำใจรักกันไว้ดีกว่า
เมื่อเราเกิดมาถือว่าญาติเดียวกัน...............

วันนั้นผมก้าวเข้าไปในธนาคาร เมื่อเวลาได้ล่วงไปบ่ายมากแล้ว จึงหยิบบัตรคิวได้เบอร์ ๑๒๗ แล้วก็ต้องรอให้เจ้าหน้าที่เรียกตามระเบียบ เมื่อพนักงานสาวในช่องที่ ๓ เงยหน้าขึ้นเห็นผม เธอก็ยกมือไหว้และยิ้มอย่างดีอกดีใจ ผมพลิกบัตรให้เห็นหมายเลข เธอก็พยักหน้าบอกว่า

“ รอเดี๋ยวนะคะ จวนถึงแล้ว “

แล้วเธอก็ก้มหน้าง่วนอยู่กับแป้นคอมพิวเตอร์ตรงหน้า ต่อไปตามปกติ ผมจึงถอยออกมาหาที่นั่งคอยข้างฝาผนัง เมื่อเอนหลังลงพิงพนักเก้าอี้แล้ว ผมก็คงเห็นแต่เพียงหน้าผากและแนวผมม้าของเธออย่างที่ผมเคยเห็นมาเป็นเวลานานเท่านั้น

**********

ดูเหมือนจะเป็นเวลานานมากกว่าสิบปี ที่ผมเป็นลูกค้าของธนาคารแห่งนี้ แต่เป็นคนละสาขา หลังจากที่ได้ย้ายสมุดฝากจากสาขาซึ่งใกล้ที่ทำงาน มายังสาขาที่ใกล้บ้านของผมแล้ว ผมก็ได้พบหน้าเธอเป็นประจำทุกเดือน

ผมสะดุ้งในใจตั้งแต่ได้พบเธอครั้งแรก ว่าเธอเป็นเจ้าหน้าที่คนเดียวที่ยิ้มให้ลูกค้า อย่างสดชื่นแจ่มใส อย่างที่ออกมาจากใจจริง ไม่ใช่ยิ้มตามสโลแกนของธนาคารที่แปะไว้ข้างฝา ผมรีบเดินเข้าไปหาเธอเพราะสมัยนั้นยังไม่มีบัตรคิว และผมก็รอเข้าคิวทุกครั้งที่ผมไปฝากไปถอนหรือไปลงรายการ ที่ช่องสอง นี้ทุกครั้ง

คงจะเป็นเทศกาลปีใหม่ปีหนึ่ง ที่ผมอยากจะตอบแทนความมีน้ำใจของเธอ ผมจึงหาหมูแผ่นจากร้านแถวนั้นใส่กล่องเป็นของขวัญปีใหม่ให้เธอ ซึ่งเธอยิ้มรับและไหว้ขอบคุณ ทำให้ผมปลื้มมากที่ตั้งใจดีต่อเธอ และเธอไม่ปฏิเสธ

ผมเพียงแค่อยากจะตอบแทนความมีน้ำใจ ที่เธอมีต่อผมซึ่งเป็นลูกค้าที่ไม่สำคัญคนหนึ่ง และเพื่อแสดงให้เห็นว่า เมื่อคนเราได้กระทำความดีแล้ว ย่อมได้รับผลดีตอบแทน เท่านั้นเอง

หลังจากนั้นเมื่อผมไปติดต่อใช้บริการของสาขาธนาคารแห่งนั้น ซึ่งเป็นแห่งเดียว เพราะผมจะไม่ไปที่อื่นเลย ทั้ง ๆ ที่เขาใช้คอมพิวเตอร์ออนไลน์แล้วก็ตาม ผมจะต้องหาสิ่งของหรือขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปฝากเธอเสมอ ซึ่งบางทีเธอก็เตรียมของไว้ให้ตอบแทนผมบ้างเหมือนกัน

คราวหนึ่งผมถามเธอว่าชอบอ่านหนังสือไหม เธอบอกว่าชอบอ่านเหมือนกัน ตั้งแต่นั้นผมจึงมอบหนังสือให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่เธอทุกปี แต่ไม่กล้าถามว่าอ่านแล้วชอบหรือไม่ชอบ เพราะเป็นเรื่องที่ผมเขียนเองทั้งเล่ม

ความจริงผมไม่ได้ไปติดต่อกับเธอบ่อยนัก ที่แน่ ๆ คือวันสิ้นเดือน เพราะต้องไปถอนเงินเพื่อเอาไปส่งธนาณัติ บริจาคให้สาธารณกุศลหลายแห่ง แต่ละแห่งเป็นเงินจำนวนไม่มากนัก ต่อมาจึงรวมกันเป็นเดือนละแห่งเดียว และหมุนเวียนไปทุกเดือนจนครบสิบสองแห่งทั้งปี

นอกนั้นก็เป็นการเอาสมุดไปลงรายการที่ถอนทางเอทีเอ็มบ้าง ไปลงรายการเงินรางวัลที่ถูกสลากออมสินบ้าง ไปถอนเงินก้อนใหญ่เอามาทำธุรกิจ แล้วเอาเงินก้อนเล็กไปผ่อนใช้คืนตามเดิมบ้าง และเกือบทุกครั้งผมต้องหาของติดมือไปฝากเธอเสมอ

บางครั้งเป็นวุ้นอันเล็ก ๆ รูปหัวใจ บางครั้งเป็นเนื้อสวรรค์ บางครั้งเป็นหมูหยอง บางครั้งก็เป็นขนมเอแคร์ ซึ่งต่อมาผมก็ฝากให้เธอแบ่งแก่เพื่อนที่นั่งเคียงข้างเธอทั้งช่องหนึ่งและช่องสามด้วย แต่บางคราวก็เปลี่ยนเป็นพวงกุญแจ ห้อยรูปต่าง ๆ ส่วนหนังสือนั้นให้เมื่อขึ้นปีใหม่หรือวันเกิด ไม่ใช่วันเกิดของเธอเพราะผมเองก็ไม่รู้ แต่เป็นวันเกิดของธนาคารนั้นเอง

ผมไม่รู้ว่าเธอจะคิดอย่างไรกับการกระทำของผม เพราะผมไม่ได้ทำอะไรให้มากไปกว่านั้น ไม่เคยคุยกับเธอนอกเรื่องธุรกิจของธนาคาร ไม่เคยไปดักรอเวลาเลิกงาน ไม่เคยชวนไปกินข้าวกลางวัน เพราะเธอกินในสำนักงานนั้นเอง บางครั้งบางคราวผมจึงเอาขนมครกหรือแป้งจี่แถวหน้าสำนักงานนั้น ไปฝากเธอเป็นอาหารกลางวัน

ผมไม่เคยรู้ชื่อของเธอ ไม่รู้บ้านที่อยู่และสถานะทางครอบครัวของเธอ นอกจากสังเกตเห็นว่าเธอมีแหวนเพชรสวยงาม ผลัดเปลี่ยนกันสวมที่นิ้วนางซ้ายอยู่เสมอ ผมมองเห็นเมื่อเธอใช้นิ้วทำงานอยู่กับสมุดฝากของผม หรือเมื่อเธอส่งสมุดคืนให้ผม

ผมคอยมองดูเธอทำงาน ในเวลาที่ต้องรอคิวทุกครั้ง แม้เมื่อเธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่คนอื่น ผมก็อดที่จะมองตามไม่ได้ และผมไม่กังวลที่จะคอยคิวหลัง ๆ เพราะผมอยากอยู่ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นสบาย นั้น นาน ๆ

ในบางคราวที่ผมว่าง แม้เสร็จเรื่องที่จะทำแล้ว ผมก็ยังนั่งอ่านหนังสือที่เขาวางไว้บนโต๊ะ จนจบไปเป็นเล่ม ๆ

ผมทำเช่นนั้นเป็นประจำเรื่อยมา จากเดือนเป็นปี และหลายปีต่อมา ผมไม่สามารถจะปฏิเสธได้ว่าผมมีความสุขใจมาก ในขณะนั้น และตลอดวันนั้น ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ทำอะไรที่ชวนให้เห็นว่าผมมีความคิดนอกลู่นอกทางจากความเป็นมิตร

เป็นมิตรภาพที่บริสุทธิ์ อย่างที่นักปราชญ์ฝรั่งคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ ผมนึกออกแล้วเขาชื่อพลาโต้ ดูเหมือนจะเรียกกันว่าพลาโตนิคเฟรนด์ชิฟ หมายถึงมิตรภาพระหว่างชายหญิงที่ไม่มีความรู้สึกอื่นใดมาเจือปน ผมเชื่อว่าความรู้สึกของตนเองเป็นเช่นนั้น

แล้ววันหนึ่งซึ่งผมไปติดต่อธนาคารตามปกติ เมื่อสิ้นเดือน เธอได้บอกกับผมว่า เธอจะต้องย้ายไปอยู่ที่สาขาซึ่งห่างไกลออกไป ห่างไกลจากที่เดิม และห่างไกลจากบ้านของผม เธอย้ายพร้อมกันทั้งสามคน เบอร์หนึ่งย้ายไปทางทิศใต้ เบอร์สามย้ายไปทางทิศเหนือ และเบอร์สองคือเธอย้ายไปทางทิศตะวันออก

ความจริงก็ยังอยู่ในกรุงเทพ แต่ผมรู้สึกเหมือนว่าไกลเสียเหลือเกิน ไกลในความรู้สึกนึกคิดของผม ที่เคยชินกับความใกล้ชิดในจิตสำนึก

คราวนี้เองที่ผมเพิ่งจะกล้าพูดกับเธอนอกเรื่องของธนาคาร ผมถามเธอว่า ธนาคารเขาจะเลี้ยงส่งเมื่อไร เธอบอกว่าไม่มีการเลี้ยงส่งหรอก ผมประหลาดใจเพราะเธอเป็นเจ้าหน้าที่เก่ามาก อยู่ที่นี่มานับสิบปี เวลาย้ายเขาไม่อาลัยอาวรณ์กันเลยหรือ

ไม่เหมือนที่ทำงานเก่าของผม เวลามีการเลื่อนชั้นเงินเดือน เลื่อนตำแหน่ง ไปราชการพิเศษ หรือกลับจากราชการพิเศษ หรือย้ายออกนอกหน่วย เป็นต้องมีการเลี้ยงส่งเลี้ยงรับเลี้ยงแสดงความยินดีกันเป็นประจำ

ผมจึงถามเธอไปด้วยความเคยชิน เมื่อเธอตอบเช่นนั้นผมจึงโพล่งออกไปว่า ถ้าอย่างนั้นอนุญาตให้ผมเลี้ยงได้ไหม ผมพูดออกไปแล้วก็นึกรู้คำตอบเป็นอย่างดี เธอปฏิเสธอย่างนุ่มนวล ว่าเป็นการกระทันหันไม่มีเวลา

ความจริงผมมีเหตุผลที่จะโต้แย้ง และอ้อนวอนเธอได้ แต่ผมไม่พูด ผมฉุกคิดได้ว่า ผมควรจะต้องรักษาระยะห่างของมิตรภาพนั้นไว้ ให้ยาวนานที่สุด อย่าไปทำลายเสียในตอนนี้

**********

หลังจากวันที่เธอย้ายไปสองสามวัน ซึ่งเป็นวันจันทร์เปิดทำงานเป็นสัปดาห์แรก ในสาขาใหม่ของเธอ ผมจึงดั้นด้นเข้ามาในสถานที่ซึ่งไม่เคยได้ย่างกรายเข้ามาเลยในชีวิต ผมเห็นเธอในลักษณะที่เหมือนเดิม เปลี่ยนนิดเดียวที่เธอนั่งอยู่หลังช่องเบอร์สาม

เธอเงยหน้าขึ้นมาเห็นผม ก็รีบยกมือไหว้และยิ้มอย่างปิติยินดี ผมพลิกบัตรให้เธอเห็นหมายเลข ๑๒๗ เธอก็พยักหน้าและบอกว่า

“ รอเดี๋ยวนะคะ จวนถึงแล้ว “

ผมถอยไปนั่งรอที่เก้าอี้ข้างผนังห้อง และเริ่มคิดถึงเรื่องราวระหว่างผมกับเธอที่ผ่านมา ผมคิดอยู่อย่างเพลิดเพลิน จนไม่ได้ยินเสียงเรียกของเจ้าหน้าที่เบอร์สี่ และผู้ที่นั่งข้างเคียงต้องสะกิด

ผมส่งสมุดฝากให้เจ้าหน้าที่ผู้นั้น เพื่อลงรายการที่ผมถอนทางเอทีเอ็ม เธอเปิดสมุดแล้วยิ้มพราย เมื่อเห็นว่าสมุดของผมเป็นสาขาไหน เธอพูดผ่านรอยยิ้มนั้น

“ แหม........ตามมาถึงนี่เชียวหรือคะ “

ผมรู้สึกหน้าชา เพราะคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินประโยคนี้ ผมคงจะทำไม่ถูกต้องไปแล้วกระมัง ที่รีบร้อนมาที่นี่ในวันนี้ ห่างจากวันที่เธอย้ายเพียงแค่คั่นด้วยวันเสาร์อาทิตย์เท่านั้น

ผมคงจะทำผิดไป ในสายตาของคนอื่น แต่ใจผมคิดว่าไม่ผิด ผมเป็นเพื่อนของเธอ ผมมีสิทธิ์ที่จะอยากรู้ว่าเธอมีความสุขสบายดีกับเก้าอี้ตัวใหม่ของเธอหรือไม่ ผมไม่น่าจะทำผิดนะ

ผมรับสมุดคืนแล้วบอกลาเธอ ใช่.......เธอที่อยู่เบอร์สาม ด้วยถ้อยคำอย่างไรก็จำไม่ได้เสียแล้ว เพราะสมองมึนไปหมด ประโยคที่ว่า ผมผิด ผมไม่ผิด ก้องกังวานอยู่ในสมอง

ผมพยายามที่จะหาเหตุผลมาหักล้างกัน อยู่ตลอดเวลาที่เดินมารอรถเมล์ที่ป้าย

ในที่สุดก็เกิดความกระจ่างแจ้งในกมล

ผมรู้จักกับเธอที่สาขาใกล้บ้านผม เมื่อสิบปีก่อน และติดต่อมาตลอดทุกเดือน นับเป็นเวลามากกว่าร้อย สองร้อยครั้ง ผู้คนในสาขาแห่งนั้นเห็นหน้าผมทุกครั้ง จึงไม่แปลกใจในความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของผม ที่แสดงถึงวัยที่เพิ่มขึ้น เวลาสิบปีเป็นเวลาที่นานมาก สังขารของคนย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

ผมไม่ทราบว่าเธออายุเท่าไร แต่ผมก็ไม่เคยเห็นเธอเปลี่ยนแปลงเลย ซึ่งผมเชื่อว่าเธอก็คงไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของผมเช่นเดียวกัน แต่เจ้าหน้าที่ในสาขาใหม่ เธอเพิ่งจะเคยเห็นหน้าผม เธอจึงยิ้มและพูดว่า

“ ตามมาถึงนี่เชียวหรือคะ “

เธอคงจะเวทนาผมที่พยายามลากสังขารมาจากสาขาเดิม ทั้ง ๆ ที่สาขาใกล้บ้านนั้นก็ยังไม่ได้เลิกล้มไปไหน เธอไม่ได้เข้าใจซึ้งถึงเหตุผลในจิตใจของผมหรอก เธอดูจากสภาพภายนอกของผมเท่านั้น เธอน่าจะพูดว่า

ตามมาถึงนี่เชียวหรือคะ คุณตา...........

น้ำเสียงอันนุ่มทุ้มของ สมยศ ทัศนพันธ์ ผู้ล่วงลับไปแล้ว กังวานแว่วอยู่ในสมองของผม

...........น้ำใจแห่งมิตรอันควรอารี ก็คือคนที่เขามีเมตตา..........

มิตรภาพอันบริสุทธิ์ระหว่างผมกับเธอ จะเป็นไปไม่ได้เชียวหรือ ในเมื่อ.............

อีกไม่ถึงสามสิบปี อายุของผมก็จะครบร้อยแล้ว.

######

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๘ ธันวาคม ๒๕๔๘




Create Date : 04 ตุลาคม 2550
Last Update : 4 ตุลาคม 2550 5:43:52 น.

Counter : 6 Pageviews. 6 comments

Add to







คุณเจียวต้าย ยังไปเยี่ยมเค้าอีกรึเปล่าหลังจากนั้น อยากรู้จัง



โดย: ข้าวโพด IP: 121.55.242.19 วันที่: 7 มีนาคม 2551 เวลา:11:29:04 น.







เรื่องนี้เป็นเรื่องเศร้าเรื่องหนึ่ง ในจำนวนน้อย
แต่จำติดใจนานครับ

เมื่อต้นปีนี้ เธอไม่ได้ส่ง ส.ค.ส.มาให้ตามปกติ
แต่ผมเห็นว่าเป็นการดีแล้ว

ที่จะจำแต่เรื่องดีดีไว้รำลึกในปลายชีวิตครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 7 มีนาคม 2551 เวลา:19:42:24 น.







โพดคิดว่า เค้าก้อคงมีความทรงจำดีๆเกี่ยวกับคุณเจียวต้ายเหมือนกัน สิบปีไม่ใช่เวลาน้อยๆเลยนะ



โดย: ข้าวโพด IP: 121.55.242.19 วันที่: 8 มีนาคม 2551 เวลา:16:28:14 น.







อยากให้เป็นอย่างนั้นครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 9 มีนาคม 2551 เวลา:10:13:56 น.







เขาอาจไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นก็ได้ครับ

อย่าเสียใจเลยครับ



โดย: พี่แต้ วันที่: 14 มีนาคม 2551 เวลา:21:19:55 น.







ขอบคุณที่ปลอบใจครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 15 มีนาคม 2551 เวลา:9:37:40 น.






 

Create Date : 20 มีนาคม 2553    
Last Update : 31 มีนาคม 2553 6:43:24 น.
Counter : 428 Pageviews.  

เรื่องธรรมดา (๓๑) ข้อคิดข้างถนน

เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา (๓๑)

ข้อคิดข้างถนน

เพทาย

วันนั้นผมลงจากรถไฟฟ้าที่สถานีราชดำริ เมื่อเวลาประมาณสามโมงเช้า แล้วเดินเลียบไปตามทางเท้าไม่ไกลนักก็เลี้ยวเข้าไปในโรงพยาบาลตำรวจ มุ่งตรงไปที่ตึกคุณวิศาลชั้น ๔ เพื่อเยี่ยมเพื่อนซึ่งมาพักรอผ่าตัดตาที่เป็นต้อ แต่เมื่อไปถึงที่หมาย พยาบาลบอกว่าได้เข้าห้องเตรียมผ่าตัดไปนานแล้ว กว่าจะเสร็จเรื่องกลับมานอนที่เตียงเดิม ก็ประมาณหลังเที่ยงไปแล้ว ให้ผมรอที่ไหนก็ได้ แล้วค่อยมาใหม่

ผมจึงถอยออกมานั่งตั้งสติอยู่ที่ป้ายรถโดยสารประจำทางหน้าโรงพยาบาล คิดว่าจะไปไหนดี ธุระที่จะทำก็มีอยู่ แต่ถ้าไปแล้วกว่าจะเสร็จอาจจะเย็น และขี้เกียจกลับมาแล้วก็ได้ แต่จะรออยู่ที่โรงพยาบาลนี้ ก็น่าเบื่อเต็มที มีแต่ผู้คนที่หน้าตาไม่แจ่มใส อมทุกข์อมโรคทั้งนั้น เมื่อนึกถึงหนังสือสามเล่มในย่ามที่หิ้วมาก็คิดออกว่า ควรจะไปหาที่สงบสงัดอ่านหนังสือรอเวลาจะดีกว่า

ผมจึงข้ามทางม้าลายไปทางฝั่งโรงแรมเอราวัณ และขึ้นรถประจำทางสาย ๑๔ ไปลงที่สวนลุมพินี ด้านถนนราชดำริ เดินผ่านพื้นที่กว้างนอกรั้ว ซึ่งเดิมเป็นที่ทำการสำนักงานก่อสร้างรถไฟฟ้า แต่เดี๋ยวนี้ได้ดัดแปลงเป็นที่จอดรถเก็บเงิน และแบ่งเป็นตลาดที่มีหน้าตา คล้ายตลาดริมทางเท้าแถว เยาวราช เพราะเป็นแหล่งที่มีคนจีนและคนไทยเชื้อสายจีน มาออกกำลังกายกันมากมากมายทุกวัน

ผมเดินผ่านประตูทางเข้าซึ่งมีป้าย ห้ามไม่ให้ทำอะไรบ้างในสวนสาธารณะแห่งนี้ เช่นเดียวกับที่อื่น ๆ แต่ที่น่าสังเกตคือเพิ่มข้อห้ามดื่มสุรา ซึ่งเดิมไม่มี เพราะสวนแห่งนี้กว้างขวางใหญ่โต มีที่ทำกิจกรรมมากมาหลายอย่าง และอย่างหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยก็คือ การจัดดนตรีในสวนเมื่อถึงฤดูแล้งคือตั้งแต่ปลายฤดูหนาวไปจนถึงต้นฤดูร้อน และวงดนตรีที่มาบรรเลงเพลงก็เป็นวงชั้นหนึ่งของประเทศไทย โดยการสนับสนับสนุนของบริษัทผู้ผลิตเบียร์ไทยเจ้าแรกของประเทศไทยเหมือนกัน ซึ่งคงจะลงทุนไปไม่น้อย กว่าจะได้สร้างศาลาแสดงดนตรีไว้เป็นอนุสรณ์ที่สวนปาล์ม อย่างถาวร แล้วเขาจะขายเบียร์ของเขาได้หรือเปล่า หรือยกเลิกรายการนี้ไปเสียแล้วก็ไม่ทราบ เพราะผมไม่ได้มาหลายปีแล้ว เนื่องจากในระยะหลัง วันอาทิตย์ที่เขาแสดงดนตรีนั้น ผมต้องไป ทำบุญที่วัดเป็นประจำ

ภายในสวนลุมพินีที่ผมไม่ได้มาแวะนานแล้วนั้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก เว้นแต่ดูเหมือนจะมีจะมีผู้มาออกกำลังมากขึ้น สามารถจะเห็นผู้สวมเสื้อสีเหลืองกระจายอยู่ทั่วไป นอกจากผู้ที่วิ่งหรือเดินแล้ว เครื่องช่วยในการออกกำลังยังมีอีกหลายชนิด นอกจากเครื่องมือเพาะกายแล้ว บ้างก็รำกระบองซึ่งใช้ท่อพลาสติกสีฟ้าแทน บ้างก็รำพัด และบ้างก็รำมือเปล่า ส่วนที่เคยเห็นเต้นแอโรบิกเป็นกลุ่มใหญ่นั้น อาจจะมาตอนเช้ามืด หรือเย็นใกล้ค่ำ จึงไม่เห็นในเวลานั้น

ผมหาที่นั่งบนเก้าอี้ยาวสาธารณะตัวหนึ่งใต้ต้นไม่ร่มรื่น แม้ว่าในวันนั้นท้องฟ้าอึมครึมไม่มีแดดก็ตาม แต่มีลมพัดเฉื่อยฉิวเย็นสบาย แล้วผมก็หยิบวารสารในย่ามออกมาพลิกดูตามลำดับ เป็นหนังสือรายสามเดือนของทหารม้า และรายเดือนของทหารอากาศกับตำรวจ ที่ผมได้รับเป็น อภินันทนาการ เพราะมีข้อเขียนของผมลงพิมพ์เป็นประจำ เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ผมเริ่มอ่านตั้งแต่หน้าแรกของเล่มแรก เรื่อยไปโดยไม่รู้ว่าเวลาล่วงไปสักเท่าไร

เมื่ออ่านจบทุกเรื่องของทุกเล่ม โดยไม่ได้สนใจกับกลุ่มขบวนที่วิ่ง หรือเดินออกกำลังผ่านไปหลายสิบกลุ่มแล้ว ผมก็ปิดหนังสือเล่มสุดท้าย บิดตัวด้วยความเมื่อยขบ มองดูนาฬิกาข้อมือไม่มีสายที่ใส่มาในย่าม เพิ่งจะสิบเอ็ดนาฬิกา ยังอีกนานกว่าจะถึงเวลาที่พยาบาลจะอนุญาตให้เข้าเยี่ยมเพื่อน แต่ก็ได้เวลาอาหารกลางวันของผมแล้ว จึงลุกขึ้นเดินไปยังทางออกด้านหน้า ที่มีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ซึ่งผินพระพักตร์ไปทางถนนสีลม

ขณะนั้นบริเวณลานกว้างปราศจากผู้คน มีเพียงชายหนุ่มแต่งตัวแบบซอมซ่อคนหนึ่งสะพายย่ามเดินสวนมาคนเดียว เมื่อจะผ่านผมเขาก็กระซิบเบา ๆ ว่า ลุงขอตังกินข้าวหน่อย ขณะที่พูดก็มีกลิ่นแอลกอฮอล์ระเหยออกมานิดหน่อย

ผมยังคงเดินหน้าต่อไปด้วยก้าวที่เนิบนาบเช่นเดิม พลางเอามือตบกระเป๋าเสื้อและกางเกง เพื่อหาเศษเหรียญ แต่ไม่มีเลยแม้แต่อันเดียวรวมทั้งที่ได้รับทอนจากกระเป๋ารถเมล์ด้วย เพราะได้บริจาคให้ขอทานที่ประตูเข้าเมื่อเช้านี้สามคนจนหมดเกลี้ยงแล้ว จึงบอกกับเขาตามตรงว่าไม่มีเงิน แต่เขาก็ยังคงเดินตามมาโดยไม่ ได้พูดต่อรองว่าอย่างไร ผมมองดูหน้าเขาแล้วก็ควักกระเป๋าเงินจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเปิดออก เดี๋ยวนี้ธนบัตรของรัฐบาลไทยก็มีราคาอย่างต่ำยี่สิบบาทเท่านั้น ผมจึงตัดใจตามคติโบราณว่า ฆ่าควายอย่าเสียดายเกลือ และเสียเกลืออย่าให้เนื้อเน่า จะทำบุญทั้งทีอย่าเสียดายเงิน

ผมส่งธนบัตรใบละยี่สิบบาทให้เขา พร้อมกับบอกว่า เอ้า...เอาไปกินข้าว เขายกมือไหว้ขอบคุณแล้วก็หันกลับเดินไปทางเดิม ผมร้องตามไปว่า เอาไปกินข้าวนะ ไม่ได้ยินว่าเขารับคำหรือเปล่า แต่ผมก็ยินดีแล้วที่ได้ช่วยผ่อนทุกข์ของเขา และอาจจะช่วยให้เขามีความสุขขึ้นกว่าเมื่อก่อนหน้าที่จะได้พบผม

เมื่อมาถึงริมถนนก็ข้ามฟากไปยังฝั่งตรงข้าม ขึ้นรถโดยสารประจำทางย้อนกลับไปทางประตูน้ำ แต่ลงเสียที่ป้ายรถเมล์หน้าศูนย์การค้า ที่มีชื่อเดิมเหมือนตึกในนครนิวยอร์คที่ถูกถล่มด้วยฝีมือของผู้ก่อการร้าย เมื่อหลายปีก่อน แล้วข้ามสะพานลอยสวยงามไปยังปากตรอกที่มีอาหารการกินมากมาย ผมซื้อขนมครกใส่กล่องโฟมหนึ่งกล่องแล้วก็หิ้วไปหาเครื่องดื่ม ซึ่งตั้งเป็นซุ้มอยู่ไม่ไกลนัก เขาขายน้ำชากาแฟ และเครื่องดื่มแช่เย็นทั้งขวดและกระป๋อง แทบจะทุกยี่ห้อ ผมสั่งเบียร์กระป๋องหนึ่งและน้ำแข็งแห้งแก้วหนึ่ง นั่งลงบนม้ากลมหน้าซุ้ม เพื่อจัดการกับอาหารกลางวันมื้อนั้น

ทันใดสายตาก็เหลือบไปเห็นแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่ง เขียนตัวหนังสือด้วยปากกาลูกลื่น ลายมือสวยเป็นระเบียบเรียบร้อย ดีกว่านักเรียนในยุคปัจจุบันมาก ตัวอักษรโตพอที่คนสวมแว่นสายตาอย่างผมจะอ่านออกได้สบาย มันเป็นคำคมที่น่าสนใจมากสำหรับผม

เมื่อสมัยที่เวปพันทิปเปิดหน้ากระทู้นอกเรื่อง ที่ไม่ใช่การประพันธ์ แยกออกจากถนนนักเขียนของห้องสมุด ตั้งแต่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ นั้น ได้มีผู้วิพากษ์วิจารณ์หรือบ่นว่ามากมาย นักอ่านคนหนึ่งถึงกับตั้งกระทู้ต่อว่าต่อขาน และมีผู้สนับสนุนหลายคน ว่าไม่ควรแยกออกจากหน้ารวมเรื่องในถนนนักเขียน เพราะจะทำให้ไม่มีผู้อ่านเปิดเข้ามาอ่าน ซึ่งก็เป็นความจริง

ผมจึงพยายามเปิดกระทู้ในหมวดบทกวี เชิญชวนให้นักเขียนนักอ่าน เข้าไปเยี่ยมชมหน้ากระทู้นอกเรื่อง ทุกครั้ง ที่เปิดเข้ามาในถนน ก็ไม่ทราบว่าได้ผลมากน้อยประการใดหรือไม่ แต่ผมก็ไม่ละความตั้งใจ คงพยายามหาเรื่องอะไร ที่ไม่ใช่งานเขียนของผม แต่มีสาระน่ารู้ เอามาลงในกระทู้นอกเรื่องอยู่อย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งถึงบัดนี้

อย่างเช่น ธรรมะของท่านพุทธทาส ในวาระครบรอบ ๑๐๐ ปี ท่านพุทธทาสภิกขุ หรือ พระธรรมโกศาจารย์ คำสอนของพ่อ ในวาระที่กำลังจะจัดงานฉลองครบรอบ ๖๐ ปี การครองสิริราชสมบัติ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และบทกลอนที่มีคุณค่าน่าอ่าน ในวันสุนทรภู่ เป็นต้น

นอกจากนั้นผมได้เปิดกระทู้ ข้อคิด-คำคม ขึ้น และนำข้อความที่เป็นคติ มาเผยแพร่สู่กันอ่าน ผมจึงสนใจคำคมที่แปะอยู่ข้างซุ้มขายเครื่องดื่มที่ผมนั่งอยู่นั้นเป็นอย่างยิ่ง เมื่อผมกินขนมครกหมดไปครึ่งกล่อง และเบียร์พร่องไปครึ่งกระป๋องแล้ว ผมจึงขออนุญาตเจ้าของซุ้มซึ่งเป็นหญิงสาว คัดลอกข้อความเหล่านั้น เพื่อจะเอามาเผยแพร่ในกระทู้ ข้อคิด-คำคม ของผม ซึ่งเธอก็อนุญาตโดยไม่อิดเอื้อน

ผมติดใจอยู่หลายบททีเดียว เช่น

* จงเลี้ยงดูพ่อแม่เมื่อยังมีชีวิต ป่วยการคิดเซ่นไหว้เมื่อตายแล้ว

* ภัยธรรมชาติอาจหนีได้ กรรมที่ตนทำไว้นั้นหนียาก

* จงทำความถูกต้อง อย่าทำเพราะความถูกใจ

* คนหวังพึ่งโชคชะตา เป็นคนปัญญาอ่อน

* หวังได้ทรัพย์จากการพนัน เป็นคนเพ้อฝันอย่างสิ้นคิด

ผมจดไปกินขนมครกและดื่มเบียร์ไปจนหมดสิ้นทั้งสามอย่าง จึงชำระเงินและลุกขึ้นเดินออกจากซุ้ม โดยไม่ลืมที่จะขอบคุณเจ้าของสาวน่ารักผู้นั้น และคิดในใจว่าคงจะได้มีโอกาสแวะเวียนมาอุดหนุนอีก แม้ราคาจะแพงกว่าร้านหน้าบ้านของผม หลายเปอร์เซ็นต์ก็ตาม

ระหว่างที่เดินข้ามสะพานลอย กลับไปยังโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อเยี่ยมเพื่อนซึ่งป่านนี้คงจะออกจากห้องผ่าตัดตาแล้ว ก็สวนกับชายชราผู้หนึ่ง ซึ่งมีหน้าตาและเครื่องแต่งกายเป็นคนชนบทร้อยเปอร์เซ็นต์ แววตาของแกแห้งแล้งหม่นหมอง เหมือนกับที่เห็นทั่วไปในโรงพยาบาลเมื่อเช้านี้ แกบอกกับผมเบา ๆ ว่า

“ ลุง...........ขอตังกินข้าวหน่อยนะ “

ความจริงดูลักษณะทั่วไปแล้ว แกน่าจะมีอายุมากกว่าผมหลายปี แต่เอาเถอะถึงจะเรียกลุงก็ไม่ว่าอะไร ผมเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยความเคยชิน แม้จะยังข้องใจคำคมข้อสุดท้ายที่คัดมาเมื่อกี้ว่า

* คนดีพอกินเหล้าลงท้อง ก็กลายเป็นคนเลว
แต่ยังไม่เคยเห็นคนเลว กินเหล้าแล้วเป็นคนดีเลย

ผมไม่อยากจะเชื่อเลยครับ.

#########

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๘ ธันวาคม ๒๕๔๙

วารสารข่าวทหารอากาศ
ตุลาคม ๒๕๕๐



Create Date : 04 ธันวาคม 2550
Last Update : 10 มีนาคม 2551 10:29:44 น.

Counter : Pageviews. 10 comments

Add to








อิอิอิ .....55555.....

ก็ไม่เสมอไปงั้นเหรอคะ กับคำคมข้อสุดท้าย

มีแต่ความสุขนะคะ



โดย: ทิวาจรดราตรี วันที่: 4 ธันวาคม 2550 เวลา:12:10:59 น.







แวะมาทักทายค่ะ "เจียวต้าย" แปลว่าไรค่ะ



โดย: น้านิดหน่อย (ทะเลสวย ) วันที่: 4 ธันวาคม 2550 เวลา:15:06:01 น.







ก็น่านน่ะซีครับ คุณทิวาฯ
สิ่งที่ผมทำมาตั้งแต่ต้นจนจบ
ไม่เห็นว่าจะเลวอย่างที่ว่าเลย นะครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 4 ธันวาคม 2550 เวลา:18:36:51 น.







คุณทะเลสวย กรุณาเปิดไปที่กลุ่ม หน้าบ้านชานเรือน
เรื่อง ที่มาของชื่อเจียวต้าย

จะทราบเรื่องโดยละเอียเลย
แล้วอย่าลืมอ่านเรื่องอื่น ๆ ด้วยนะครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 4 ธันวาคม 2550 เวลา:18:39:22 น.







...)อยู่ที่ดื่มอย่างมีสติหรือเปล่า...
บางคนดื่มแต่พอเหมาะเพื่อเข้าสังคม...
บางคนดื่มแต่พอดีให้พอนอนหลับสบาย...
บางคนดื่มแต่พองามให้รู้ว่าดื่มก็พอ...
บางคนดื่มแต่ช่วงเทศกาลสำคัญ...
หลายคนดื่ม แต่...ดื่มแบบแทนข้าวแทนน้ำเลย ก็ถมไป
(เชื่อหรือเปล่าว่าคนที่งดหล้าเข้าพรรษา ได้บุญน้อยกว่า คนที่งดเหล้าตอนออกพรรษา เข้าพรรษาดื่มให้เต็มที่เลยสามเดือน พอออกพรรษาแล้วก็งดดื่มมันซะ)



โดย: ศิลป์ใจ ศิริกาลกุล (ศิลป์ใจ ) วันที่: 16 ธันวาคม 2550 เวลา:10:04:02 น.







การดื่มแสดงนิสสัยของคนดื่มด้วยครับ
ดื่มเพื่อความสุข หรือดื่มเพื่อความทุกข์

โทษของการดื่มสุรา พระท่านว่ามีตั้งหกประการ
แล้วไม่มีคุณบ้างเลยเชียวหรือ

อยู่ที่ตัวผู้ดื่มเองครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 17 ธันวาคม 2550 เวลา:22:45:24 น.







เมื่อก่อนเคยดื่มแบบไร้สติ จนเกือบไร้ชีวิต ตอนนี้ดื่มบ้างปีละครั้ง สองครั้ง สามครั้ง.....



โดย: ข้าวโพด IP: 202.123.145.203 วันที่: 2 มีนาคม 2551 เวลา:9:31:39 น.







พวกฝรั่งเขาดื่มกันทุกมื้อก่อนอาหารใช่ไหมครับ

คนจีนก็ดื่มทุกครั้งที่พบกัน อย่างใรสามก๊ก

แต่คนไทยไม่ได้ดื่มเป็นจอกเล็ก ๆ อย่างเขานี่ครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 5 มีนาคม 2551 เวลา:19:23:46 น.







แล้วแต่บุคคลแล้วละครับ คุณอา

สำหรับคุณอาดื่มพอเป็นกษัยยา เพื่อเรียกน้ำย่อยอะไรทำนองนั้น

ไม่ใช่เมาหัวราน้ำ คงไม่เป็นแบบคำคมว่าครับ




โดย: พี่แต้ วันที่: 12 มีนาคม 2551 เวลา:20:50:01 น.







อ้าว......เพิ่งมาเห็นคำนิยมของคุณพี่แต้ วันนี้เอง
ขอบคุณครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 12 มิถุนายน 2551 เวลา:10:01:32 น.






 

Create Date : 19 มีนาคม 2553    
Last Update : 31 มีนาคม 2553 6:42:54 น.
Counter : 461 Pageviews.  

เรื่องธรรมดา (๓๐) เรื่องของ(กระเป๋า)รถเมล์

เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา (๓๐)

เรื่องของ(กระเป๋า)รถเมล์

“ เพทาย “

ในภาวะที่ราคาน้ำมันในเมืองไทย ขยับสูงขึ้นไปทุกเดือนหรือทุกสัปดาห์ อย่างทุกวันนี้ คนเดินดินที่ไม่มีรถส่วนตัวอย่างผม และผู้มีฐานะเดียวกันอีกหลายล้านคนนั้น ก็ต้องอาศัยบริการของรถรับจ้างสาธารณะ ตั้งแต่รถมอร์เตอร์ไซค์ หรือแมงกะไซ ตามตรอก ซอกซอย ซึ่งน่าจะใช้บริการในระยะทางใกล้ ๆ เพราะรถมอเตอร์ไซค์นั้น มีอันตรายสูงมากที่สุด สำหรับผู้โดยสาร ไม่ว่าจะวิ่งไปชนใครหรือถูกใครเขาชน ที่จะไม่เจ็บเป็นไม่มี และผู้ขับขี่ก็มักจะขับ โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยเสียด้วย เอาเร็วอย่างเดียว ชั่วเวลาในเทศกาลสำคัญเพียงไม่กี่วัน ก็จะมี คนบาดเจ็บล้มตายลง ด้วยรถมอร์เตอร์ไซค์ มากกว่าทหารอเมริกันที่เสียชีวิต ในการทำสงครามกับ ผู้ก่อการร้ายหลายเท่า

ผมเคยเห็นคำเตือนใจ บนรถสองแถวสมัยก่อน ที่วิ่งในซอยก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น รถมอร์เตอร์ไซค์ มีความว่า

ผู้คนองต้องถึงซึ่งพินาศ
ผู้ประมาทอาจต้องถึงฉิบหาย
ผู้อวดเก่งเบ่งนักมักถึงตาย
ผู้จำไว้ได้ตลอดรอดฝั่งเอย

ผมว่าน่าจะจดแปะไว้ตามหัวคิวรถ ให้ผู้ขับขี่ได้อ่านเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจบ้าง ก็จะดีมิใช่น้อย

รถสามล้อเครื่องหรือรถตุ๊กตุ๊กนั้นค่อยปลอดภัยขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็มีอันตรายจากควันพิษที่พ่นออกมาจากท่อไอเสียของรถเมล์ ในเวลาที่ไปจอดต่อท้ายรอติดไฟแดงเป็นเวลานาน ๆ ส่วนรถแท็กซี่นั้นเป็นรถโดยสารที่มีความสะดวกสบายที่สุด เพราะมีการปรับอากาศเย็นกายเย็นใจ และไม่ต้องต่อราคาเหมือนเมื่อก่อน จะไปใกล้หรือไกลก็คิดราคาตามมิเตอร์ ที่หมุนตามระยะทางและเวลาที่ใช้จริง แต่ก็แพงมากสำหรับผู้ใช้บริการที่มีเบี้ยน้อยหอยเล็กทั้งหลาย

รถเมล์หรือที่เรียกเป็นภาษาไทยว่า รถโดยสารประจำทาง จึงเป็นพาหนะที่เหมาะสมที่สุด สำหรับผู้คนในบ้านเมืองใหญ่ทั้งหลาย โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครที่มีผู้อยู่อาศัย ใกล้จะถึงสิบล้านในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้

รถเมล์นั้นมีหลายชนิดตั้งแต่รถเอกชนร่วมบริการคันเล็ก ซึ่งเรียกว่ามินิบัส ที่เปลี่ยนแปลงมาจากรถสองแถว เมื่อก่อนบรรทุกคนจนท้ายเกือบครูดถนน และล้อหน้าแทบจะลอยพ้นพื้น ซึ่งแม้ตัวรถจะวิวัฒนาการขึ้น แต่พฤติกรรมของผู้ให้บริการทั้งคนขับและผู้เก็บเงินค่าโดยสาร ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

รถของ ขส.มก. นั้น ได้พยายามปรับปรุงคุณภาพของการบริการ ให้เป็นที่ถูกอกถูกใจประชาชน ด้วยการกำหนดวิธีบริการ ให้ได้มาตรฐานที่มีชื่อเป็นภาษาฝรั่งอังกฤษ เช่นการพูดที่ไพเราะ การออกรถและจอดนิ่มนวล บางสายที่แล่นผ่านสถาบันสอนคนตาบอด จะมีการขยายเสียงบอกเส้นทาง เช่น สายสิบสอง เศรษฐการ ราชวิถี อนุสาวรีย์ ห้วยขวาง เป็นต้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้พิการทางสายตาเป็นอันมาก แต่สำหรับคนขับและกระเป๋าหรือกระปี่ อาจเป็นโรคประสาทได้ ถ้าต้องทนฟังไปทุกป้ายตลอดระยะทางอันยาวไกล

สมัยปัจจุบัน ขส.มก.ได้คิดเครื่องแบบพนักงานขับรถ พนักงานเก็บเงินค่าโดยสาร และนายตรวจ ให้มีความสวยงามกว่าเดิม มีขีดเครื่องหมายสีเงินบนอินทรธนูเสื้อเชิร์ต สีขาว ราวกับเจ้าพนักงานบนเครื่องบินแล้ว และพยายามอบรมให้พนักงานบนรถโดยสาร มีมารยาทที่ดี สมกับเป็นคนไทย ไว้อวดชาวต่างชาติ และคัดเลือกเอาแต่ผู้ที่สอบผ่าน บรรจุเข้าบริการประชาชน ดังที่เราได้เห็นอยู่บ้างบนรถปรับอากาศบางคัน ซึ่งผู้เก็บค่าโดยสารจะกล่าวสวัสดีกับผู้โดยสารที่ขึ้นใหม่ พร้อมกับคำว่าเชิญค่ะหรือเชิญครับ และกล่าวขอบคุณต่อผู้โดยสารที่กำลังจะลงป้าย แค่นี้ก็ชื่นใจสำหรับผู้โดยสารเป็นอย่างยิ่งแล้ว

แต่ผมได้พบกระเป๋า รถปรับอากาศ สาย ๕๑๐ ที่ปฏิบัติหน้าที่ดีเยี่ยม ขนาดจูงมือชายชราให้เดินไปนั่งเก้าอี้ที่ว่าง จนชายผู้นั้นออกปากว่าบริการดีจริง เขาก็บอกว่ากลัวจะหกล้มครับ ผมโชคดีที่ได้เจอคนที่มีน้ำใจอย่างนี้อีก

อีกครั้งหนึ่งเมื่อโดยสารรถปรับอากาศแบบเก่าสีน้ำเงิน มีโฆษณาเต็มข้างตัวถังตั้งแต่ขอบล่างจนจรดหลังคาคันหนึ่ง ไปทางบางขุนนนท์ฝั่งธนบุรี กระเป๋าเป็นชายหนุ่มใหญ่ พูดจาอ่อนหวาน แบบที่ว่ามาแล้ว และเอาใจใส่ผู้โดยสาร แนะนำผู้ขึ้นใหม่ให้นั่งที่ว่าง แนะนำผู้ที่จะลงให้ระวังรถทางซ้าย เตือนพลขับอย่าเพิ่งออกรถ เมื่อมีคนแก่ หรือเด็ก หรือสตรีมีครรภ์ขึ้นลง และทุกคำพูดจะมีครับลงท้ายด้วยทุกครั้ง จึงรู้สึกว่าน่าจะมีพนักงานอย่างนี้ให้มาก จนครบทุกคัน

พอรถแล่นมาถึงสี่แยกจะต้องเลี้ยวขวา ซึ่งจะติดไฟแดงเป็นเวลานาน เขาก็บอกกับผู้โดยสารอย่างสุภาพว่า

“ กรุณาอดใจรอสักหน่อยนะครับ เพราะรถจะติดไฟแดงนานมากครับ และเพื่อเป็นการฆ่าเวลา ก่อนที่ท่านผู้โดยสารจะเบื่อ ผมจะได้ร้องเพลงให้ท่านฟังสักเพลงหนึ่งครับ ซึ่งผมจดจำเอามา โดยที่ผมไม่ได้เป็นนักร้องอาชีพที่ไหน ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใด หวังว่าท่านคงจะให้อภัยนะครับ “

แล้วเขาก็บรรจงร้องเพลงลูกทุ่ง ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตอันอาภัพ ของกระเป๋ารถเมล์ ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนไหว อักขระชัดเจน จังหวะคงที่ และใช้มือทั้งสองข้าง ทั้งที่ว่างและที่ถือกระบอกตั๋ว ประกอบการร้องของเขาด้วย ซึ่งผู้โดยสารบนรถทั้งคัน ต้องนิ่งฟังเขาอย่างเงียบสงบ พอจบเพลง ก็มีเสียงปรบมือขึ้นพร้อมกัน อย่างเกรียวกราวแสดงถึงความพึงพอใจต่อบริการที่เขาแถมให้ อย่างจริงใจ

สำหรับผม ชื่นชมเขาเป็นอันมาก ที่สามารถทำได้อย่างพอเหมาะพอดี กับโอกาสเวลาและสถานที่ เพราะเป็นช่วงที่รถจอดสนิท ไม่มีผู้คนขึ้นลง และเสียงบนถนนก็เบาบางกว่าปกติ เพราะรถที่อยู่ในแถวเดียวกัน ก็จอดเรียงเป็นตับ ผู้โดยสารจึงได้ยินเสียงเพลงของเขาตลอดทั้งคัน โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม เมื่อจบเพลงลงพอดีกับสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นเขียว และรถคันนั้นเริ่มเคลื่อนที่เลี้ยวขวา เขาก็พนมมือไหว้อย่างนอบน้อม และกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลเช่นเดิมว่า

“ ขอบพระคุณทุกท่าน ที่กรุณาให้เสียงปรบมือแก่ผม กรุณารออีกนิดให้รถจอดป้ายเรียบร้อยเสียก่อนจึงค่อยลงนะครับ ขอให้ทุกท่านโชคดีครับ โอกาสหน้าเชิญใหม่นะครับ “

ผมลงจากรถคันนั้น ด้วยความภูมิใจแทนองค์การของเขาว่า อย่างน้อยก็ยังมีเขาอยู่คนหนึ่ง ที่ให้บริการแก่ประชาชนผู้ไม่มีรถส่วนตัว ได้อาศัยนั่งไปถึงที่หมายปลายทาง ด้วยความสบายใจ และไม่ใช่ด้วยการอบรมของผู้ใด หรือมาตรการที่เป็นตัวกำหนดมาตรฐานใด ๆ หากเป็นการให้ด้วยน้ำใจของเขาเอง ด้วยความสุภาพเรียบร้อย และอดทน ท่ามกลางอากาศที่อบอ้าว บรรยากาศที่ชุลมุนวุ่นวาย ของความรีบร้อนในการเดินทาง ทั้งภายในและภายนอกรถ รวมทั้งความเอาแต่ใจของผู้โดยสารบางคน หวังว่าพฤติกรรมอันดีของเขา คงจะช่วยให้เขามีโอกาสได้ ทำงานที่เหนื่อยน้อยกว่านี้ ในอนาคตอันใกล้

น่าเสียดายที่ผมไม่ได้จดจำว่ารถคันนั้นหมายเลขอะไร รู้แต่ว่าเป็นรถปรับอากาศสาย ๗๙ เท่านั้น.

############


ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๙



Create Date : 23 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2550 10:02:54 น.

Counter : 126 Pageviews. 6 comments

Add to







โห มีจริง ๆ เหรอครับกระเป๋ารถเมล์แบบนี้

บอกตรง ๆ ไม่เคยเจอครับ เจอแต่แบบโหด ๆ ดีสุดที่เคยเจอก็มีพูดครับ ค่ะ (แต่ก็เจอไม่บ่อย)



โดย: boris_chung วันที่: 26 พฤศจิกายน 2550 เวลา:17:21:25 น.







ผมเจอเมื่อรถปรับอากาศคันสีน้ำเงินใหญ่ ๆ
ราคาเริ่มต้นแปดบาทครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 26 พฤศจิกายน 2550 เวลา:22:15:18 น.







เด็กๆเคยนั่งรถเมล์สาย84 กระเป๋าน่ารักมากชอบร้องเพลงให้ฟัง บางทีก้อท่องเป็นบทกลอน บางคนก้อว่าเค้าแปลกๆแต่โดยส่่วนตัวแล้วชอบ รู้สึกจะออกรายการโทรทัศน์ด้วย ตอนนี้เป็นกระเป๋ารถแอร์แล้ว



โดย: ข้าวโพด IP: 202.123.145.203 วันที่: 2 มีนาคม 2551 เวลา:10:22:14 น.







คนดีอย่างนี้เป็นคนหาได้ยากครับ
ผมเชื่อว่าป่านนี้เขาคงได้งานที่ดีกว่านี้ทำแล้วละครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 5 มีนาคม 2551 เวลา:19:40:43 น.







สาย 79 มีกระเป๋าร้องเพลง

เคยออกรายการโทรทัศน์แล้วครับ

รถยูโร

ผู้โดยสารเย็นกายเย็นใจ ยามเดินทางดีนะครับ



โดย: พี่แต้ วันที่: 12 มีนาคม 2551 เวลา:21:58:23 น.







ที่ออกรายการผมไม่ได้ดู ผู้ชายหรือผู้หญิง

ที่ผมเจอเป็นผู้ชายครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 27 กรกฎาคม 2551 เวลา:18:54:23 น.






 

Create Date : 18 มีนาคม 2553    
Last Update : 31 มีนาคม 2553 6:42:20 น.
Counter : 435 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.