Group Blog
 
All Blogs
 

ตอนที่ ๑๐ เกือบถึงแก่ชีวิต

ยอดคนแผ่นดินเหม็ง

ตอนที่ ๒ เกือบถึงแก่ชีวิต

"เล่าเซี่ยงชุน"

ฝ่าย ไฮ้สุย เมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นที่เอ๋ซุนอ้าน ถืออาญาสิทธิ์ผู้ตรวจราชการต่างพระเนตรพระกรรณฮ่องเต้ ก็ออกเดินทางไปตรวจตรา ดูแลทุกข์สุขของราษฎรตามหัวเมืองต่าง ๆ ทั่วพระราชอาณาเขต ถ้าเป็นหัวเมืองเอกก็พักอยู่สองเดือน เมืองโทพักอยู่สี่สิบวัน เมืองตรีเดือนหนึ่ง เมืองจัตวายี่สิบวัน ถ้าเห็นเมืองใดเจ้าเมืองกรมการไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรม แต่เป็นความผิดเล็กน้อยควรจะสั่งสอน ก็หาตัวเจ้าเมืองกรมการมาตักเตือนสั่งสอน ห้ามปรามมิให้ประพฤติความชั่วต่อไป ถ้าเห็นว่าทำผิดเป็นข้อใหญ่ ควรจะทำโทษหรือถอดถอนประการใด ก็ทำไปตามสมควร

ไฮ้สุยไปถึงเมืองไหน เจ้าเมืองกรมการเอาสิ่งของทองเงินมาให้ก็ไม่เอา ถ้าเมืองใดส่วยสาอากรพระราชทรัพย์หลวง ยังตกค้างอยู่มากหลายงวดหลายปี ก็เร่งรัดให้เจ้าเมืองแต่ง กรมการคุมพระราชทรัพย์ เข้ามาส่งยังเมืองหลวง และถ้าเจ้าเมืองนั้นจะเอาเงินทองสิ่งของมาให้ ไฮ้สุยก็ว่า

".....เงินทองของหลวงยังตกค้างอยู่มาก ซึ่งจะเอาเงินทองมาให้เรานั้น จะเป็นธุระสองฝ่ายเหมือนหนึ่งแบกสองบ่า จงเอาไปไว้จะได้ใช้สอย คิดแต่ส่ง พระราชทรัพย์ของหลวงเข้าไป อย่าให้ตกค้างอยู่ได้เป็นดี....."

เจ้าเมืองใหญ่น้อยเห็นไฮ้สุย เป็นผู้ตรวจราชการที่มิได้เห็นแก่ ผลประโยชน์เงินทอง ตั้งอยู่ในยุติธรรม ต่างคนก็สรรเสริญเป็นอันมาก ครั้นไฮ้สุยตรวจมาใกล้จะถึงเมืองกองเต๊กกุ๋น เจ้าเมืองเคยแกล้งจับไฮ้สุยขังคุกไว้ในครั้งที่ไฮ้สุยออกมาเป็นเจ้าเมืองตุนจิว คราวนี้เป็นที่เอ๋ซุนอ้าน ก็ตกใจกลัวไฮ้สุยจะพยาบาทแก้แค้น ก็คิดจะหนีออกจากเมืองไป แต่ที่ปรึกษาห้ามไว้เพราะเห็นว่าไฮ้สุยเป็นคนดี คงไม่ทำอันตรายถึงแก่ชีวิต

เมื่อไฮ้สุยมาถึงเมืองกองเต๊กกุ๋น สืบดูรู้ว่าเจ้าเมืองตั้งอยู่ในยุติธรรม ราษฎรไม่มีความเดือดร้อน ก็คิดถึงความเก่าว่า เจ้าเมืองกองเต๊กกุ๋นคนนี้ ครั้งนั้นเคยทำแก่ตนแทบถึงสิ้นชีวิต ตนจะได้ทำสิ่งใดให้เขามีความโกรธแค้นก็หามิได้ แต่ทำเพื่อจะหาความชอบจาก เงียมซง คราวนี้จะแก้แค้นก็ได้แต่ไม่ต้องการ เขาตั้งอยู่ในยุติธรรมดีแล้วก็แล้วไป ครั้นไฮ้สุยตรวจตราดูแลเรียบร้อยดีแล้ว ก็ออกจากเมืองกองเต๊กกุ๋นเที่ยวตรวจเมืองอื่นต่อไป

ครั้นมาใกล้จะถึงเมืองซัวตังจีน้ำฮู้ ได้ข่าวว่าราษฎรในเมือง ได้ความเดือดร้อนนัก ด้วยพวกเงียมซงเป็นเศรษฐีอยู่เมืองนี้มีอำนาจมาก เจ้าเมืองยังต้องกลัว ไฮ้สุยอยากใคร่สืบดูให้รู้แน่ จึงพักพลไว้ที่เมืองเซียมไซแซ แล้วปลอมตัวเป็นซินแส และให้ ไฮ้หยง ไฮ้อัน ปลอมเป็นศิษย์ทั้งสองคน ลอบเข้าเมืองซัวตังจีน้ำฮู้ไปในเวลากลางคืน สืบรู้ว่ามีเศรษฐีใหญ่คนหนึ่งมีชื่อว่า เล่าตังหยง มั่งมีทรัพย์สินเงินทองมาก พ่อค้าใหญ่นายห้างขึ้นอยู่กับเล่าตังหยงกว่าพันคน ส่วนคนที่จ้างไว้ใช้สอยมีเงินเดือนประมาณสองพันคน แล้วก็มีไร่นาเรือกสวน ม้าลาโคกระบือเป็นอันมาก

เล่าตังหยงนั้นฝากตัวเป็นลูกเลี้ยงของเงียมซง ใจเป็นพาลมักทำการข่มเหงราษฎรให้ได้ความเดือดร้อน เจ้าเมืองกรมการจะชำระว่ากล่าวก็ไม่ได้ ครั้นบอกกล่าวโทษเข้าไปในเมืองหลวง ก็ติดอยู่เพียงเงียมซง ความมิได้ทราบถึงพระเจ้าแผ่นดิน เจ้าเมืองกรมการก็เกรงอำนาจเล่าตังหยง ไม่อาจจะทำประการใดได้

วันหนึ่งไฮ้สุยที่ปลอมเป็นซินแสเข้าไปในเมืองนั้น ก็ไปที่บ้านเล่าตังหยง ซึ่งกำลังทำการแซยิด มีงิ้วเล่นประชันกัน ไฮ้สุยไฮ้อันและไฮ้หยง ก็พากันเดินเข้าไปในบ้าน พอถึงประตูชั้นกลาง ไฮ้สุยก็ให้คนทั้งสองคอยอยู่ข้างนอก ตนเองจะเข้าไปข้างใน ทั้งสองบอกว่าจะเข้าไปด้วย เผื่อมีเหตุขึ้นอย่างไรจะได้ช่วยกัน แต่ไฮ้สุยว่าอย่าวิตกไปเลย ตนเองไม่เกรงกลัวผู้ใด คนที่จะทำร้ายตนให้เป็นอันตรายแก่ชีวิตนั้นยาก เว้นแต่เทพยดา แล้วไฮ้สุยก็เข้าประตูกลางเข้าไปแต่ผู้เดียว เห็นคนยกโต๊ะอาหารและสุรามาตั้งไว้ประมาณสองร้อยโต๊ะ ซึ่งจัดไว้สำหรับเลี้ยงพวกเจ้าเมืองกรมการ และพ่อค้านายห้างประมาณหกสิบโต๊ะ นอกนั้นสำหรับคนที่มาช่วยในการแซยิด จนชั้นพวกที่มาเที่ยวดูงานก็เลี้ยง เครื่องใช้ภาชนะใช้สอยก็ล้วนแต่ของดี ๆ มีราคา

ไฮ้สุยอยากใคร่จะเห็นตัวเล่าตังหยงเศรษฐี ว่ารูปร่างจะดีชั่วประการใด จึงเข้าไปถึงข้างใน แลไปเห็นเศรษฐีแต่งตัวเป็นขุนนางผู้ใหญ่นั่งอยู่บนเก้าอี้ พวกเจ้าเมืองกรมการและพ่อค้า ต่างก็เข้าไปคำนับ แล้วก็ไปนั่งตามโต๊ะ คนจัดเลี้ยงเห็นไฮ้สุยสำคัญว่าซินแสมา ก็เชิญให้เข้าไปนั่งกินกับพวกพ่อค้า ไฮ้อันกับไฮ้หยงก็กินเลี้ยงอยู่ภายนอก ไฮ้สุยทำกิริยาหมอดูจับมือคนนั้นคนนี้ดูลักษณะ แล้วก็ทำนายไปตามความรู้ที่มีอยู่บ้าง

ครั้นทายถูกมากกว่าผิด พวกที่นั่งคอยจะดูงิ้วก็พากันมาให้ดู จนกระทั่งรู้ไปถึงบุตรหลานของเศรษฐี และนำความไปบอกแก่เล่าตังหยง จึงให้เชิญซินแสเข้าไปกินโต๊ะข้างในกับ เศรษฐี เล่าตังหยงก็ขอให้ไฮ้สุยดูชตาราศีว่าดีร้ายประการใด ไฮ้สุยก็ว่าท่านเป็นผู้ใหญ่ ถ้าจะดูต้องพิเคราะห์ดูให้ละเอียด ท่านปีเดือนเวลาใดจงบอกให้ข้าพเจ้าทราบ

เล่าตังหยงก็บอกวันเดือนขึ้นแรมเวลานาที ให้ถ้วนถี่ทุกประการ ไฮ้สุยก็จดไว้แล้วว่า การที่จะดูชตาราศีให้ท่านนี้ต้องหาที่สงัดจึงจะตรึกตรองได้ละเอียดถ้วนถี่ เล่าตังหยงจึงว่าเชิญท่านไปที่ห้องหนังสือเถิดเงียบสบาย ท่านจะได้พิเคราะห์ดูให้ถ้วนถี่ดีและร้าย แล้วก็ให้คนพาไปที่ห้องหนังสือ และมอบเด็กไว้ให้ใช้สอยสองคน ไฮ้สุยก็ให้เด็กทั้งสองคนไปเอาน้ำชามาไว้ให้ แล้วก็บอกให้ออกไปเที่ยวดูอะไรเล่นตามชอบใจแต่อย่าไปให้นานนัก เด็กทั้งสองก็ดีใจพากันออกไป ไฮ้สุยก็เข้าค้นหนังสือออกอ่านดู ก็พบหนังสือลับของเงียมซง มีมาถึงเล่าตังหยง แต่ล้วนความสำคัญทั้งนั้น ไฮ้สุยอ่านดูรู้ความแล้วก็เอาหนังสือนั้นไว้ดังเก่า

ขณะนั้นมีผู้มาบอกแก่เล่าตังหยงว่า ไฮ้สุยเป็นที่เอ๋ซุนอ้าน ออกมาเที่ยวตรวจตราดูแลทุกข์สุขของราษฎร มิได้เห็นแก่หน้าผู้ใด ถือเอาแต่ยุติธรรมเป็นประมาณ แล้วมักปลอมตัวไปเที่ยวสืบการผิดและชอบก่อน เวลานี้มาใกล้เกือบจะถึงเมืองนี้อยู่แล้ว เล่าตังหยงก็ว่าจะอย่างไรก็ช่าง จะทำอะไรกับใครได้ แม้นขืนมาทำร้ายเรา รู้ไปถึงเงียมซงก็คงจะเกิดความใหญ่ เมื่อว่าดังนั้นแล้วเล่าตังหยงก็นึกเฉลียวใจว่า ซินแสที่มาเป็นคนแปลกหน้ามิใช่คนในเมืองนี้ แล้วให้เข้าไปอยู่ในห้องหนังสือ ซึ่งเก็บหนังสือสำคัญหลายฉบับ จึงใช้ให้คนไปดูว่าเด็กสองคน ที่มอบให้ซินแสใช้สอยนั้นยังอยู่หรือไม่ คนใช้ดูแล้วไม่เห็นเด็ก จึงกลับมาบอกแก่นาย

เล่าตังหยงก็มีความสงสัยมากขึ้น จึงเข้าไปดูในห้องหนังสือให้รู้แน่ ก็เห็นหนังสือเคลื่อนจากที่ กับพิเคราะห์ดูรูปร่างท่วงทีกิริยาซินแส เป็นคนมีบรรดาศักดิ์ ก็นึกสงสัยมากขึ้นว่า ที่เอ๋ซุนอ้านปลอมเป็นซินแสมาเหมือนคนบอกเล่าเป็นแน่แล้ว ถ้าเป็นซินแสจริงที่ไหนจะค้นหนังสือออกดู เห็นทีจะรู้ความสำคัญเสียหมดแล้ว เอาไว้มิได้จำจะต้องกำจัดเสีย จึงแกล้งทำเป็นไม่รู้และว่า เราเห็นท่านเป็นคนดีมีวิชาความรู้ เป็นซินแสหมอดู จึงไว้วางใจให้มาอยู่ที่นี่ ทำไมจึงค้นหนังสือของเราออกเกลื่อนไป

ไฮ้สุยก็ว่าไม่ได้ค้น เด็กที่ท่านให้อยู่ด้วย ก็เพิ่งออกไปเดี๋ยวนี้ เล่าตังหยงก็ว่าตัวท่านมิใช่คนดีแกล้งทำเป็นซินแสหมายจะขโมยเรา พูดแล้วก็ให้คนจับตัวไฮ้สุยมัดไว้ แล้วเอาตัวไปขังไว้ในตึกก่อน ต่อทำการแซยิดแล้วจึงจะชำระ คนใช้ก็พาตัวไฮ้สุยไปขังไว้ในตึกมืดตามคำสั่ง ในตึกมืดนั้นมีบ่อลึกเหมือนเหว ถ้าเล่าตังหยงโกรธผู้ใดจะให้ตาย ก็นำตัวไปใส่ตึกมืดไว้ไม่ให้กินข้าวกินน้ำ ถ้าไม่ตายด้วยอดก็คงตกบ่อตาย

เมื่อไฮ้สุยต้องขังอยู่ในตึกมืด มิได้รู้ว่ากลางวันกลางคืน สังเกตได้แต่เสียงกลองย่ำรุ่งย่ำค่ำจึงรู้ บังเอิญไฮ้สุยกลัวไม่อาจไปไหน นั่งนอนอยู่แห่งเดียวจึงมิได้ตกบ่อตาย ไฮ้สุยอยู่ในนั้นได้สองวัน จึงนึกว่าคราวนี้เห็นจะตายแน่ ทั้งอดอาหารสองวันก็หิวอ่อนเพลียนอนหลับไป ฝันว่าเทพยดามาบอกว่าอย่าวิตก พรุ่งนี้เวลาดึกสองยามเศษ จะช่วยให้พ้นความตาย

ครั้นวันรุ่งขึ้นพอเวลาค่ำประมาณสองยามเศษ ฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ มืดมัวไปทั่วทั้งเมือง ไม่นานก็มีฟ้าผ่าลงมาในบ้านของเล่าตังหยง ถูกตึกมืดทลายลง ไฮ้สุยออกจากตึกมืดได้ก็หนีไปในเวลากลางคืนนั้น เมื่อออกมาพ้นบ้านเล่าตังหยงแล้ว ก็เดินตัดตรงไปเมืองเซียวไซแซ ซึ่งเป็นที่พักไพร่พลทหารของตน สั่งให้ทหารไปตามไฮ้อันกับไฮ้หยงมาโดยเร็ว

ทหารตามตัวคนสนิททั้งสองกลับมาแล้ว ไฮ้หยงก็เล่าว่าตนกับไฮ้อันคอยอยู่ที่ประตูไม่เห็นไฮ้สุยออกมา แต่คอยอยู่จนสามวันแล้วก็ไม่เห็น จึงให้ไฮ้อันคอยอยู่ที่เดิม ตนเองเข้าไปเที่ยวตามหาไฮ้สุย ขณะนั้นยังอยู่ในเวลาที่มีงานแซยิด สืบดูได้ความว่ามีซินแสเข้าไปดูชตาให้เศรษฐี แล้วก็ไม่กลับออกมาจนงานแซยิดเลิก จึงพากันออกมาคอยอยู่นอกบ้าน พอดีทหารมาตามตัวกลับ

ไฮ้สุยก็เล่าความของตน ตั้งแต่ต้นจนหนีออกมาได้ ให้ทั้งสองฟังทุกประการ แล้วก็สั่งให้เตรียมไพร่พลพร้อมสรรพไปด้วยเครื่องศัตราวุธ กับให้เจ้าเมืองเซียมไซแซ เกณฑ์ทหารสมทบ ยกมายังเมืองซัวตังจีน้ำฮู้เข้าล้อมบ้านเล่าตังหยงไว้ จับตัวได้ก็ให้จองจำไว้มั่นคง แล้วเอาตัวมาชำระ ไฮ้สุยให้เจ้าเมืองกรมการกับทหาร พากันไปดูที่ตึกมืด เห็นบ่อลึกดังเหวครั้นแลไปดูที่ก้นบ่อ เห็นมีศพ จึงให้คนลงไปเอาศพขึ้นมานับได้เจ็ดศพ แล้วเอาศพเหล่านั้นมาให้เล่าตังหยงดู ถามว่าศพใครตายอยู่ในบ่อ เล่าตังหยงก็ตกใจไม่รู้ที่จะแก้ตัวว่าอย่างไร จึงยอมรับสารภาพว่าเป็นศพเจ้าเมืองซัวตังจีน้ำฮู้สามคน และอีกคนหนึ่งเป็นผู้รั้งเมือง ซึ่งเคยข่มเหงตนจึงฆ่าเสีย อีกคนหนึ่งเป็น ข้าหลวงที่ออกมาตรวจ เห็นว่าตนมีเงินทองสิ่งของมาก ก็ทำอุบายเบียดเบียนต่าง ๆ จึงฆ่าเสีย ส่วนหญิงอีกสองคนเป็นภรรยาน้อยของตน แต่นอกใจคบชู้สู่ชายมาก จึงฆ่าเสียอีก

ไฮ้สุยถามชื่อแซ่ของหญิงทั้งสองคน แล้วทำหมายประกาศให้บิดามารดา และญาติพี่น้องมารับศพไปฝังเสียตามธรรมเนียม เมื่อมีผู้มารับศพไฮ้สุยก็ซักถามได้ความจริงว่า เล่าตังหยงคุมพลไปฉุดเอามา ครั้นบิดามารดาไปตามก็ไม่ให้เข้าบ้าน จึงไม่ได้ ข่าวมาจนถึงบัดนี้ เล่าตังหยงก็จำนนด้วยหลักฐานต้องรับสารภาพผิด ไฮ้สุยก็ให้มีหมายประกาศแก่ราษฎรว่า เล่าตังหยงไปฉุดคร่าเอาบุตรหลานผู้ใดไปเป็นภรรยาหรือข้าทาสด้วยการไม่ควร และฉ้อโกงทรัพย์สินเงินทองของ ผู้ใด ให้เข้ามาร้องทุกข์ ก็มีผู้มาแจ้งมากมาย พวกหญิงที่ถูกฉุดคร่ามีจำนวนถึงร้อยสี่สิบสองคน ชำระได้ความจริงก็เอาตัวคืนไป ส่วนที่ถูกฉ้อโกงเงินทองพิจารณาแล้วก็คืนเงินให้ ทรัพย์สินเงินทองของเล่าตังหยงที่เหลืออยู่ ให้ทำบัญชีมอบให้เจ้าเมืองเก็บรักษา แล้วให้เอาตัวเล่าตังหยงกับครอบครัวและพรรคพวก ไปประหารเสียทั้งสิ้น

แล้วไฮ้สุยก็ออกจากเมืองซัวตังจีน้ำฮู้ เที่ยวตรวจเมืองอื่นต่อไป.

##########




 

Create Date : 16 กันยายน 2551    
Last Update : 16 กันยายน 2551 8:11:16 น.
Counter : 441 Pageviews.  

ตอนที่ ๙ นางสนมคนใหม่

ยอดคนแผ่นดินเหม็ง

ตอนที่ ๙ นางสนมคนใหม่

" เล่าเซี่ยงชุน "

เงียมซง ปรึกษากับ เตียบุนหอ แล้ววันหนึ่งก็เข้าไปเฝ้า พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ กราบทูลว่า ตนจะทำบุญวันตายของบิดา จึงขอเชิญเสด็จไปที่บ้านเพื่อเป็นมงคล ฮ่องเต้ก็เสด็จไปที่บ้านของเงียมซงตามเวลาที่นัด เงียมซงก็ออกไปรับเชิญเสด็จเข้ามาประทับบนที่ราชอาสน์ แล้วก็ให้เจ้าพนักงานยกเครื่องโต๊ะและสุรามาถวาย เมื่อฮ่องเต้เสวยเครื่องโต๊ะและเสพสุรา เงียมซงก็ให้หญิงพวกมโหรี ออกมาดีดสีขับร้องถวาย ฮ่องเต้ก็เพลิดเพลินพระทัยอยู่จนเวลาเย็นจวนค่ำ

เงียมซงจึงให้ นางเหียเคง แต่งตัวงดงามเรียบร้อย ออกมาขับร้องถวายหน้าพระที่นั่ง ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นนางมีรูปร่างงดงาม จริตกิริยาก็แง่งอนทรงฟังสำเนียงขับร้องก็ไพเราะ จึงมีพระทัยเสน่หาเป็นอันมาก ตรัสถามเงียมซงว่านางคนนี้ท่านได้มาแต่ไหน เป็นอะไรกับท่าน เงียมซงก็กราบทูลว่านางชื่อเหียเคง เป็นบุตรของ เหียซิว ขุนนางเก่าที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว ครั้นบิดาหาบุญไม่ตนเห็นว่าเป็นหลาน จึงรับมาเลี้ยงไว้แต่เล็ก ฮ่องเต้ก็ชมว่านางขับร้องดี เงียมซงรู้ว่าฮ่องเต้โปรดนางเหียเคงก็จัดห้องไว้ พอเสวยเสร็จแล้วก็เชิญเสด็จเข้าประทับ และพานางเหียเคงเข้าไปถวายในห้อง ฮ่องเต้ก็เสด็จบรรทมอยู่กับนางเหียเคงจนตลอดราตรี

ครั้นเวลารุ่งเช้าพระเจ้าเกียเจ๋งเสด็จกลับสู่พระราชวังแล้ว ก็สั่งให้ขุนนางเจ้าพนักงาน จัดรถไปรับนางเหียเคงเข้ามาไว้ในพระราชวัง ตั้งให้เป็น นางเหียกุยฮุย ตั้งแต่นั้นมาฮ่องเต้ก็โปรดปรานรักใคร่นางเหียกุยฮุยมาก เหินห่าง นางเตียฮองเฮา ไม่เสด็จไปมาเหมือนแต่ก่อน

เงียมซงเห็นหลานสาวของตน มีวาสนาได้เป็นสนมเอก ก็มีความดีใจเป็นอันมาก จึงให้คนใช้ไปเชิญ เตียจีเป๊ก มาที่บ้านปรึกษาว่า บัดนี้นางเหียเคงที่เราถวายเข้าไป ก็ได้เป็นพระสนมเอก ฮ่องเต้โปรดปรานรักใคร่มาก ขณะนี้ถ้าเราคิดอุบายให้นางเตียฮองเฮาเหินห่างไปก็จะได้ แต่ทำไม่สู้ถนัด ด้วย ไฮ้สุย ยังอยู่ ต้องคิดอุบายให้ไฮ้สุยไปไกลเสียก่อน จึงจะหาช่องทำแก่นาง เตียฮองเฮาได้โดยสะดวก เตียจีเป๊กก็ว่าถ้ามีราชการสิ่งใดเกิดขึ้นตามหัวเมือง เรากราบทูลให้ ไฮ้สุยเป็นข้าหลวงออกไปก็จะได้ เงียมซงก็ว่าถ้าดังนั้นจะได้กราบทูลให้ไฮ้สุยเป็นที่เอ๋ซุนอ้าน ออกไปเที่ยวตรวจราชการตามหัวเมืองน้อยใหญ่ก็ได้

เตียจีเป๊กก็ท้วงว่า ไฮ้สุยเป็นคนตรงถ้าแม้นออกไปตรวจถึงหัวเมือง ที่เป็นพวกพ้องของท่านก็จะเกิดบาดหมางกันขึ้น ด้วยพวกพ้องของท่านที่ให้ออกไปเป็นเจ้าเมืองนั้น ถ้า ไฮ้สุยไปตรวจว่ามีความผิด ก็จะเลยมาถึงท่านด้วย เงียมซงก็ว่าไม่เป็นไร หากเกิดเรื่องขึ้น เราอยู่ข้างในก็พอจะแก้ไขได้

วันต่อมาเงียมซงเข้าเฝ้าแล้วก็กราบทูลฮ่องเต้ว่า ครั้งก่อนได้โปรดให้เตียจีเป๊กเป็นที่เอ๋ซุนอ้าน ออกไปตรวจตามหัวเมืองใหญ่น้อยกลับมา ครบสามปีแล้วต้องให้ขุนนางออกไปตรวจอีกจึงจะควร ฮ่องเต้ก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงตรัสถามว่าคราวนี้จะให้ผู้ใดออกไป เงียมซงก็กราบทูลว่า ไฮ้สุยเป็นคนซื่อตรงประกอบด้วยสติปัญญา ถ้าให้เป็นที่เอ๋ซุนอ้านเห็นจะดี พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ ก็ทรงแต่งตั้งไฮ้สุย เป็นที่เอ๋ซุนอ้าน ผู้ตรวจราชการตามหัวเมือง แล้วพระราชทานตราตั้ง เครื่องยศ และกระบี่อาญาสิทธิ์ให้ ไฮ้สุยก็ถวายบังคมลากลับมาจัดเสบียงอาหาร กับบ่าวไพร่และทหาร ออกจากเมืองหลวง ไปเที่ยวตรวจตามหัวเมืองในพระราชอาณาเขต

จากนั้นเงียมซงก็ทำทอดสนิทกับพวกขันทีข้างใน ให้ชอบพอรักใคร่กัน มีข้าวของก็ให้ปันเนือง ๆ จนพวกขันทีซึ่งอยู่ในพระราชวังชอบพอกันสนิท มีเหตุการณ์สิ่งใดข้างใน พวกขันทีก็ทำจดหมายบอกให้เงียมซงรู้ทุกประการ ชั้นที่สุดฮ่องเต้จะตรัสแก่นางเตียฮองเฮาหรือนางเหียกุยฮุยอย่างไร พวกขันทีก็จดหมายออกมาบอกเงียมซงทุกอย่าง

ครั้นไฮ้สุยไปได้ประมาณสองปี พระราชบุตรของฮ่องเต้พระชันษาได้ห้าขวบ ฮ่องเต้โปรดปรานมาก ถ้าถึงเวลาจะเสวยก็รับสั่งให้นางเตียฮองเฮาพาพระราชบุตรมาเสวยด้วย ฮ่องเต้ก็ตรัสหยอกเอินเล่นตามสบายพระทัย วันหนึ่งรับสั่งให้นางเตียฮองเฮาส่งพระราชบุตรมาให้ทรงอุ้ม วันนั้นพระราชบุตรถือปิ่นทองคำปักผมของมารดาติดมือมาด้วย ครั้นฮ่องเต้ทรงอุ้มพระราชบุตรก็วัดพระกรซึ่งถือปิ่นนั้น ไปถูกพระพักตร์ขีดเป็นรอยริ้วเล็กน้อย ฮ่องเต้ก็ตรัสกับนางเตียฮองเฮาเฝ้าอยู่ในที่นั้นด้วย ว่าลูกเจ้าเอาปิ่นมาขีดหน้าเราเข้าแล้ว นางเตียอองเฮาก็รับเอาพระราชบุตรมาจากพระเพลา เอามือตีที่สะโพกสองสามที พระราชบุตรก็ทรงพระกันแสง ฮ่องเต้จึงตรัสว่าเจ้าตีทำไมเด็กยังไม่รู้จักอะไร ตรัสแล้วก็เอื้อมพระหัตถ์ไปรับพระราชบุตรให้มานั่งบนพระเพลาดังเก่า ทรงปลอบให้พระราชบุตรหยุดกันแสงแล้ว จึงส่งให้นางเตียอองเฮารับคืนไป นางเตียฮองเฮาก็ถวายบังคมลากลับไปที่อยู่

พวกขันทีที่เฝ้าอยู่ในที่นั้นก็จดหมายแจ้งเรื่องราว ให้เงียมซงได้ทราบทุกประการเช่นเคย รุ่งขึ้นเงียมซงเข้าเฝ้าแล้ว เห็นพระพักตร์ฮ่องเต้เป็นริ้วรอย ก็กราบทูลถามว่า พระพักตร์ถูกต้องสิ่งใดจึงเป็นริ้วรอย ฮ่องเต้ก็ตรัสเล่าความตามเหตุให้ฟังทุกประการ เงียมซงจึงสั่งขุนนางเจ้าพนักงานให้จดหมายเหตุไว้ ฮ่องเต้จึงตรัสว่า จะจดไว้ทำไมมิใช่เหตุสำคัญอะไรใหญ่โต การอันนี้ทารกไม่รู้จักอะไร วัดแว้งไปตามวิสัย บังเอิญมาถูกเราเข้าเท่านี้ จะเป็นไรไปเราไม่ถือดอก

เงียมซงจึงแกล้งกราบทูลว่า

".....พระองค์เป็นกษัตริย์อันประเสริฐ มีเหตุเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งจะนิ่งไว้ไม่ได้ ต้องลงข้อความไว้ในจดหมายเหตุ ด้วยเมื่อคืนนี้ข้าพเจ้าฝันเห็นว่า พระองค์เสด็จประทับอยู่บนพระแท่น มีแมลงป่องตัวหนึ่งตกลงถูกพระองค์ พอฝันเห็นเท่านั้นก็ตกใจตื่น ข้าพเจ้าตรึกตรองดูรูปความตามฝัน ให้มีใจวิตกทุกข์ร้อนถึงพระองค์มากนัก ไม่ทราบว่าจะมีเหตุดีร้ายอย่างไร ครั้นข้าพเจ้ามาเฝ้าได้ทราบเหตุเรื่องนี้แล้ว ก็ค่อยคลายความวิตก แต่ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าเป็นลางไม่ดี....."

แล้วเงียมซงก็กราบทูลต่อไปว่า

"...พระราชบุตรองค์นี้ นานไปเบื้องหน้าถ้าเจริญวัยคงจะทำร้าย องค์ฮองเฮาเล่าก็อยู่ที่นั้น ไม่ควรจะนิ่งให้พระราชบุตรถือปิ่นเข้าไปใกล้พระองค์ เดชะพระบารมีของพระองค์ หากให้ถูกแต่พระพักตร์ ถ้าถูกพระเนตรเข้าแล้วมิเป็นอันตรายหรือ....."

พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ก็ทรงนิ่งอยู่ เงียมซงเห็นได้ทีจึงกราบทูลอีกว่า การอันนี้ผิดต้องทำโทษเสียบ้างจึงจะควร ฮองเฮาเล่าก็ผิดไม่สั่งสอนพระราชบุตร ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า ฮองเฮาเขาก็เอาตัวไปตีแล้ว เงียมซงก็กราบทูลว่า ตีเมื่อพระราชบุตรทำแก่พระองค์แล้วใช้ไม่ได้ ซึ่งตีพระราชบุตรแล้วใช่ว่ารอยแผลที่พระพักตร์ของพระองค์จะหายไปเมื่อไร แผลก็ยังปรากฎอยู่ อย่างนี้ชอบแต่คอยระวังดูแล อย่าให้พระราชบุตรถือปิ่นเข้าไปจึงจะควร ฮองเฮาก็มีความผิดเหมือนกัน ต้องทำโทษเสียบ้างพอเข็ดหลาบ ถ้าจะไม่ทำโทษไปวันหน้าถ้าพระราชบุตรถืออาวุธอันคมเข้ามาพระองค์จะมิเป็นอันตรายหรือ

ฮ่องเต้ก็ตรัสถามว่าท่านจะให้ทำโทษอย่างไร เงียมซงกราบทูลว่าถ้าหากแม้นถูกพระเนตรโทษถึงประหารชีวิต ซึ่งทำแก่พระองค์ถูกแต่เพียงพระพักตร์ ต้องถอดออกจากที่ฮองเฮา พาไปขังไว้ในตึกมืดกับพระราชบุตร ฮ่องเต้ถามว่าถ้าถอดนางเตียฮองเฮาออกเสียแล้ว จะได้ใครเป็นใหญ่ดูการงานข้างในเล่า เงียมซงก็ว่าการอันนี้สุดแต่พระองค์จะเห็นควร นางสนมในพระราชวังก็มีมาก พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ก็มิได้ตรัสประการใด เงียมซงจึงให้ขุนนางเจ้าพนักงาน พาตัวนางเตียฮองเฮากับพระราชบุตรไปขังไว้ในตึกมืด

ฝ่ายก๊กบ๊อฮองไทเฮาพระราชมารดาของฮ่องเต้ ทราบเหตุดังนั้น มีความสงสารนางเตียฮองเฮา และพระราชบุตรเป็นอันมาก ครั้นจะกราบทูลคัดง้างก็เห็นว่าเมื่อเขาปรึกษาโทษ พระเจ้าแผ่นดินก็ลงเห็นด้วยกับเขาแล้ว จึงต้องนิ่งอยู่มิรู้ที่จะคิดประการใด

ฝ่ายพระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ ครั้นถอดนางเตียฮองเฮาเอาตัวไปขังไว้ในตึกมืดกับพระราชบุตรได้สามวัน ก็ยกนางเหียกุยฮุยขึ้นเป็นฮองเฮา แล้วก็ให้ไปอยู่ตำหนักสำหรับฮองเฮา ตั้งแต่นั้นมาเงียมซงจะว่าราชการบ้านเมือง ก็สิทธิ์ขาดมากกว่าแต่ก่อน

ส่วนนางเตียฮองเฮากับพระราชโอรสตั้งแต่เป็นโทษไปต้องขัง ได้ความลำบากเวทนาเป็นอันมาก ทรงพระกันแสงเศร้าโศกมิใคร่จะเว้นวัน ด้วยในตึกนั้นมืดมิด มิได้รู้ว่าเวลากลางวันและกลางคืน กำหนดได้แต่เสียงกลองย่ำค่ำและย่ำรุ่ง จึงจะรู้ว่าค่ำและเช้า แต่ก๊กบ๊อฮองไทเฮา เอาพระทัยใส่ส่งเสียมิให้อดอยาก แล้วโปรดให้ขันทีคนหนึ่งชื่อ พั่งเปา เข้าไปอยู่ในตึกนั้นด้วย สำหรับจะได้ใช้สอยเข้าออก ส่งเสียเสบียงอาหาร พั่งเปาก็ต้องเข้าไปทนทุกข์ทรมานอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง ถึงเวลาเช้าพนักงานไขกุญแจเข้าไปตรวจพั่งเปาก็ออกมา ครั้นเวลาเย็นเจ้าพนักงานไขกุญแจตรวจ พั่งเปาจึงจะเข้าไปได้ นางเตียฮองเฮาจะขาดเหลือสิ่งใด ก็ใช้พั่งเปามาขอที่ก๊กบ๊อฮองไทเฮา

อยู่มาวันหนึ่ง พั่งเปาพูดกับนางเตียฮองเฮาว่า ซึ่งท่านมาต้องขังอยู่ในตึกมืดกับพระราชบุตรดังนี้ ไม่มีที่กำหนดว่าจะโปรดให้พ้นโทษเมื่อใด พระราชบุตรของท่านก็นับวันแต่จะเจริญวัยขึ้นไป อยู่ในที่มืดดังนี้ที่ไหนจะได้สั่งสอนหนังสือและวิชาต่าง ๆ น่าจะลักเจาะผนังตึกให้เป็นช่องมีแสงส่องเข้ามา พอเห็นแสงสว่างจึงจะดี แต่การนี้จะต้องกราบทูลก๊กบ๊อฮองไทเฮาให้ทรงทราบเสียก่อน แม้นพลาดพลั้งประการใด จะได้ยึดเอาท่านเป็นที่พึ่ง นางเตียฮองเฮาก็เห็นด้วย แต่ว่าต้องทำจงดี อย่าให้เขาเห็นเป็นอันขาดทีเดียว พั่งเปาจึงนำความกราบทูลฮองไทเฮาทราบ ฮองไทเฮาก็อนุญาต

แต่นั้นมาพั่งเปาก็เพียรเจาะผนังตึกวันละเล็กละน้อย จนทะลุเป็นช่องพอแสงส่องสว่าง สุดแท้แต่ว่าจวนจะถึงเวลาเขาเข้ามาตรวจแล้ว ก็ปิดช่องนั้นเสีย นางเตียฮองเฮากับพระราชบุตรและพั่งเปา ก็ค่อยมีความสุขขึ้นกว่าเก่า นางเตียฮองเฮาก็สอนพระราชบุตรเรียนรู้หนังสือ และขนบธรรมเนียมทุกประการ พระราชบุตรก็เจริญวัยขึ้นตามลำดับ และมีความรู้เฉลียวฉลาด เป็นอันมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีจึงจะพ้นจากโทษทัณฑ์อันหนักหนานี้ไปได้.


##########





 

Create Date : 14 กันยายน 2551    
Last Update : 14 กันยายน 2551 8:49:38 น.
Counter : 548 Pageviews.  

ตอนที่ ๘ ความดีสู้ความชั่ว

ยอดคนแผ่นดินเหม็ง

ตอนที่ ๘ ความดีสู้กับความชั่ว

" เล่าเซี่ยงชุน "

หนังสือที่ ไฮ้สุย เขียนแจ้งเรื่องที่ตนเองเดินทาง ไปรับตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองตุนจิว แล้วถูกโจรดักชิงทรัพย์ และไปติดคุกอยู่ที่เมืองกองเต๊กกุ๋น จนหนีรอดไปถึงเมืองตุนจิว และความที่ เตียจีเป๊ก ซึ่งเป็นที่เอ๋ซุนอ้าน ไปตรวจราชการตามหัวเมือง แล้วหาผลประโยชน์เป็นเงินทองใส่ตนนั้น ฉบับหนึ่งส่งให้ นางเตียเกงฮวย ผู้ภรรยา อีกฉบับหนึ่งให้ เตียไทเอี๋ย บิดาของ นางเตียกุยฮุย สนมเอกของ พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ โดยให้ ไฮ้หยง คนสนิทถือไปทั้งสองฉบับ

เมื่อไฮ้หยงเดินทางไปถึงบ้านเดิมของไฮ้สุย แจ้งว่านางเตียเกงฮวยได้กลับมาอยู่กับมารดาที่เมืองหลวง ก็ตามมาหาจนพบแล้วมอบหนังสือให้ นางเตียเกงฮวยและมารดาได้ทราบว่า ไฮ้สุยรอดพ้นอันตราย และเป็นเจ้าเมืองอยู่ปกติ ก็มีความยินดี

แล้วไฮ้หยงก็นำหนังสืออีกฉบับหนึ่งไปให้เตียไทเอี๋ย เมื่ออ่านดูรู้ความแล้วก็เอาเข้าไปยังพระราชวัง ส่งหนังสือให้นางเตียกุยฮุย เพื่อกราบทูลฮ่องเต้ต่อไป แต่ยังหาช่องไม่ได้ จึงรออยู่ไม่ได้กราบทูล

จนเวลาล่วงไปอีกปีหนึ่ง นางเตียกุยฮุยก็มีครรภ์ พอดีเป็นเวลาที่ นางฮองเฮา ซึ่งเป็นมเหสีของฮ่องเต้ และเอ็นดูรักใคร่นางเตียกุยฮุย มากกว่านางสนมคนอื่น ซึ่งกำลังป่วยอยู่ได้ทราบเรื่อง นางก็มีความยินดีจึงกราบทูลฮ่องเต้ ให้พระราชทานเบี้ยหวัดเงินเดือนเพิ่มแก่นางเตียกุยฮุย และว่า

".....ตัวข้าพเจ้าเป็นโรคเจ็บไข้มิรู้วาย รับพระราชทานยามาก็มาก ไม่ค่อยจะหาย เป็นแต่ค่อยคลายขึ้นบ้างเล็กน้อย ข้าพเจ้าตรึกตรองดูเห็นว่าอายุของ ข้าพเจ้าจะไปไม่ได้นาน ถ้านางเตียกุยฮุยประสูติพระราชบุตรเป็นชายแล้ว ขอพระองค์จงยกขึ้นเป็นไทจือ จะได้รับราชสมบัติต่อไป....."

พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ตรัสว่า การเหล่านี้เจ้าอย่ามีความวิตกเลย อุตส่าห์กินยารักษาโรคเสียให้หาย อย่าเพ่อเสียใจก่อน มิใช่ว่าลุกเดินเหินไม่ได้ นางฮองเฮาก็ทูลว่าข้าพเจ้าป่วยครั้งนี้หนักใจนัก การที่ข้าพเจ้าราบทูลไว้ ขอพระองค์อย่าได้ลืม

ครั้นอยู่ต่อมานางฮองเฮาป่วยมากขึ้น อาการทรุดหนักลงทุกวัน ไทอุยหมอหลวงมาประกอบยาหลายขนาน อาการไข้ไม่คลายก็ถึงแก่พิราลัย ฮ่องเต้ก็โศกเศร้าเสียพระทัยเป็นอันมาก

นางเตียกุยฮุยนั้น เมื่อแจ้งความว่านางฮองเฮาดับสูญ ก็ร้องไห้รัก ด้วยมีความอาลัยประดุจดังว่ามารดา พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ก็สั่งให้ทำการฝังศพฮองเฮา ตามธรรมเนียมที่อัครมเหสี

ครั้นอยู่มาครบกำหนด นางเตียกุยฮุยก็ประสูติพระราชบุตร ฮ่องเต้ก็มีพระทัยยินดี ขุนนางทั้งปวงต่างคนก็ดีใจ เว้นแต่ เงียมซง กับ เตียจีเป๊ก เท่านั้นที่ไม่ชอบใจ เพราะรู้ว่านางจะได้เป็นใหญ่ขึ้น และจะเป็นกำลังของไฮ้สุย ศัตรูของพวกตน

วันหนึ่งฮ่องเต้ทรงมีพระราชดำริว่า ขุนนางในเมืองหลวงนั้นยังไม่เต็มตามตำแหน่ง มีพระทัยประสงค์จะใคร่เสาะหา คนที่มีสติปัญญายั่งยืน เข้ามาไว้ในเมืองหลวงจะได้เป็นที่ปรึกษาหารือราชการบ้านเมือง เมื่อเสด็จออกขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเฝ้าอยู่พร้อมกัน จึงตรัสถามเตียจีเป๊กว่า ท่านออกไปเที่ยวตรวจตามหัวเมืองใหญ่น้อย เห็นเจ้าเมืองคนไหนประกอบด้วยสติปัญญา ใจซื่อสัตย์มั่นคง ควรจะเอามาไว้ในเมืองหลวงได้บ้าง

เตียจีเป๊กคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกราบทูลว่า ไฮ้สุยซึ่งพระองค์โปรดให้ออกไปเป็นเจ้าเมืองตุนจิวนั้น สติปัญญาเฉลียวฉลาดใจซื่อสัตย์มั่นคง ควรจะเอามาไว้ในเมืองหลวงได้ ฮ่องเต้ได้ทรงฟังก็เห็นชอบด้วย จึงรับสั่งให้มีตราหาตัวไฮ้สุยเข้ามา และตั้งให้เป็นขุนนางที่ปรึกษา กับเป็นกรมการเมืองหลวงด้วย

ฝ่ายเงียมซงก็มีความสงสัย จึงไปหาเตียจีเป๊กที่บ้านแล้วถามว่า ไฮ้สุยเป็นศัตรูแห่งเรา ทำไมท่านจึงยกย่องขึ้น เตียจีเป๊กจึงว่าตนเองคิดว่าเมื่อออกไปตรวจตามหัวเมือง ได้เงินทองมาแต่ไหนมากน้อยเท่าใด ไฮ้สุยก็รู้หมดและจดบัญชีไว้ นานไปถ้าไฮ้สุยบอกมาให้นางเตียกุยฮุยกราบทูลแล้วเราก็จะได้ความผิด ครั้นเรากราบทูลยกยอไฮ้สุยขึ้น ก็จะเห็นคุณว่าเรากราบทูลสนองให้ การที่เราออกไปหาผลประโยชน์นั้น ก็จะได้นิ่งเสีย อนึ่งไฮ้สุยอยู่ข้างนอก เราจะคิดกำจัดก็ทำยาก ด้วยกรมการและราษฎรนับถือรักใคร่เป็นอันมาก แม้นเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงจะกำจัดก็ง่าย และว่า

".....ไฮ้สุยเป็นคนตรง ถึงเราจะคิดบังไว้คนอื่นก็คงยกย่องขึ้น เราชิงทูลเสียก่อนดีกว่า ไฮ้สุยจึงจะไม่มีความระแวงสงสัย เราจะคิดกำจัดเสียเมื่อใดก็จะได้โดยง่าย....."

เงียมซงได้ฟังก็เห็นด้วย จึงลากลับไป

อยู่มาอีกไม่นานเตียไทเอี๋ยป่วยเป็นโรคชราถึงแก่กรรมลง ฮ่องเต้ก็รับสั่งให้ฝังศพตามธรรมเนียม แล้วโปรดเพิ่มยศให้เป็นที่เตียไทซือ มีป้ายศิลาจารึกชื่อ ปักไว้ที่ฝังศพ วันหนึ่งฮ่องเต้เสด็จออกที่ว่าราชการ จึงตรัสปรึกษาขุนนางน้อยใหญ่ว่า บัดนี้ฮองเฮาก็ดับสูญแล้ว ไม่มีใครจะว่ากล่าวดูแลการข้างใน เราคิดจะยกนางเตียกุยฮุยขึ้นเป็นที่ฮองเฮา ใครจะเห็นอย่างไร เงียมซงก็กราบทูลว่า

"....ซึ่งพระองค์ทรงปรารภว่าฮองเฮาไม่มีนั้น ถูกต้องด้วยแบบอย่าง แต่จะตั้งฮองเฮานี้ยากอยู่ ด้วยที่ฮองเฮานั้นเปรียบเหมือนเป็นมารดา แห่งคนทั้งแผ่นดิน ต้องเลือกหาที่ประกอบด้วยชาติตระกูลอันสูง มาตั้งจึงจะสมควร นางเตียกุยฮุยเป็นบุตรคนเข็ญใจ ซึ่งพระองค์จะยกขึ้นเป็นฮองเฮานั้นไม่ชอบ....."

ไฮ้สุยจึงกราบทูลขึ้นว่า

"....บิดาของนางเตียกุยฮุยเป็นขุนนางที่เตียไทเอี๋ย ครั้นถึงแก่กรรมพระองค์ก็ได้โปรดเลื่อนยศให้เป็นที่เตียไทซือ ก็เพราะบุตรเป็นพระสนมเอก....ครั้งนี้นางเตียกุยฮุยมีพระราชบุตรเป็นชาย ไปวันข้างหน้าก็คงจะได้เป็นที่ไทจือ.....ซึ่งพระองค์จะยกนางเตียกุยฮุยขึ้นเป็นฮองเฮานั้น สมควรแล้ว....."

เงียมซงก็แย้งว่า ซึ่งจะยกนางเตียกุยฮุยขึ้นเป็นฮองเฮานั้นไม่ถูก ด้วยเป็นตระกูลคนจน ไฮ้สุยก็ว่าการที่จะยกขึ้นเป็นใหญ่นั้น ไม่เลือกว่าเป็นคนมีและคนจนถือเอาแต่การสุจริตเป็นที่ตั้ง ถ้าเป็นยุติธรรมดีอยู่แล้วก็ควรจะยกขึ้นเป็นใหญ่ได้ และว่า

"....ถึงว่าพระเจ้าแผ่นดินก็เหมือนกัน พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นต้นวงศ์ แต่เดิมก็ยากจน ใช่ว่าประกอบด้วยอำนาจสมบัติพัสถานมาแต่แรกเมื่อไรเล่า แต่ท่านเป็นเทพยดามาบังเกิด อุตส่าห์ทำนุบำรุง พระองค์ทรงแสวงหาแต่การดี จนมีอำนาจวาสนารุ่งเรืองขึ้นไป เมื่อถึงคราวบารมี ที่จะได้เป็นแล้ว คนทั้งปวงก็นิยมยินดียกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์....."

พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ได้ทรงฟังไฮ้สุยว่าก็ชอบพระทัย ทรงพระสรวลแล้วตรัสว่า เตีย จีเป๊กชมว่าท่านดีไม่มีผิดเลย ตรัสแล้วก็พระราชทานรางวัลให้แก่เตียจีเป๊กว่ายกยอคนถูก ครั้นถึงวันฤกษ์ดีก็มีรับสั่งแต่งตั้งนางเตียกุยฮุยเป็น เตียฮองเฮา

เงียมซงมีความเสียใจเป็นอันมาก จึงพูดกับเตียจีเป๊กว่า แต่นี้ไปเมื่อหน้าไฮ้สุยจะมีอำนาจมากขึ้น ด้วยฮองเฮาเป็นพวกพ้องอยู่ข้างใน ไปวันหน้าเราจะทำการสิ่งใดก็จะไม่สะดวก เตียจีเป๊กจึงว่าท่านจะวิตกทุกข์ร้อนไปทำไม วาสนาบรรดาศักดิ์และอำนาจของท่านมากกว่าไฮ้สุย ทุกวันนี้ตัวท่านเหมือนหนึ่งว่าที่สำเร็จราชการทั้งแผ่นดิน ถ้ามีความสิ่งใดหรือไฮ้สุยจะทำการสิ่งใด ก็ต้องมาแจ้งแก่ท่านให้ทราบเสียก่อน จึงจะทำไปได้ตลอด อันตัวท่านเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของพระเจ้าแผ่นดิน ไฮ้สุยเป็นที่วางใจของฮองเฮา จะสู้ท่านได้หรือ ไกลกันมากนัก เงียมซงได้ฟังก็เห็นจริงด้วย

ต่อมาเงียมซงเห็นว่าเตียจีเป๊กนับถือรักใคร่ และเป็นที่ไว้วางใจ คิดจะให้ได้เกี่ยวข้องกันไว้ จึงแต่งให้คนเป็นเถ้าแก่ ไปขอ นางเตียเสียเจี๊ยะ บุตรสาวของเตียจีเป๊ก ให้แต่งงานกับ เงียมซือพวน บุตรชายของตน อยู่กินด้วยกันตามธรรมเนียม

วันหนึ่งเตียจีเป๊กก็พูดกับเงียมซงว่า ไฮ้สุยเป็นคนหนุ่มอายุคราวบุตรและหลานของเรา จะทิ้งไว้ช้าไม่ได้จะมีกำลังขึ้น ตัวเราก็แก่ชราลงทุกวัน จะต้องรีบกำจัดเสียแต่ในเร็ว ๆ นี้ เงียมซงว่าก็คิดอยู่เหมือนกัน ท่านช่วยตรึกตรองหาช่องแม้นเห็นได้ท่วงทีเมื่อใด จะกำจัดเสียให้สิ้นศัตรู ด้วยไฮ้สุยมีนางเตียฮองเฮาเป็นพวกพ้อง อยู่ข้างในสำคัญนัก บัดนี้ข้าพเจ้ามีหลานอยู่คนหนึ่งชื่อ นางเหียเคง เป็นบุตรขุนนางลักโป้ ซึ่งเป็นพี่เขยข้าพเจ้า ครั้นพี่เขยถึงแก่กรรม พี่สาวของข้าพเจ้า จึงพานางเหียเคงผู้บุตรมาอยู่ที่บ้าน ข้าพเจ้าก็เลี้ยงไว้ตั้งแต่เล็ก เด็กคนนี้รูปงามจริตกิริยาก็เรียบร้อย แล้วก็เฉลียวฉลาดในการขับร้องต่าง ๆ ข้าพเจ้าคิดว่าจะพาเข้าไปถวายพระเจ้าแผ่นดินท่านจะเห็นเป็นอย่างไร

เตียจีเป๊กก็เห็นชอบด้วย เงียมซงจึงเข้าไปข้างใน เรียกนางเหียเคงออกมาให้คำนับ เตียจีเป๊ก แล้วก็กลับเข้าไปข้างใน เตียจีเป๊กจึงพูดกับเงียมซงว่า นางคนนี้รูปร่างท่วงทีดีกว่านาง เตียฮองเฮา ถ้าท่านถวายคงจะโปรดมากกว่า ด้วยนางเตียฮองเฮาอายุก็มากทั้งมีพระราชบุตรแล้ว อนึ่งนางเตียฮองเฮาไม่เข้าใจในการขับร้อง ซึ่งจะให้เป็นที่ยั่วยวนพระทัย เงียมซงก็ว่าทำอย่างไรดีจึงจะมีช่องถวาย ท่านช่วยตรึกตรองให้สติปัญญาแก่ข้าพเจ้าบ้าง

เตียจีเป๊กก็ว่าการเรื่องนี้ข้าพเจ้าไม่ค่อยสันทัด ถนัดแต่ในการทัพศึก แม้นท่านจะหาอุบายในเรื่องนี้แล้วจงให้หา เตียบุนหอ มา พูดจาปรึกษาคิดอ่านกัน คงจะได้อุบายเป็นมั่นคง ด้วยเขาเป็นคนเข้าใจเรื่องนี้มาก เงียมซงก็เห็นชอบด้วย

เมื่อเตียจีเป๊กกลับมาบ้าน เล่าความให้ภรรยาฟัง นางก็ว่าถึงนางเหียเคงจะงดงามประการใด ที่จะให้ยิ่งไปกว่าประพฤติความดีนั้นไม่ได้ ปราชญ์แต่ก่อนท่านกล่าวเป็นสุภาษิตไว้ว่า

ผู้ซึ่งจะมีภรรยา ต้องเลือกหาที่ดีควรจะไว้วางใจได้ต่างหูต่างตา อย่าพึงเลือกว่ารูปงามและไม่งาม ถือเอาแต่ความดีเป็นที่ตั้ง ถ้าจะหาไว้เป็นเครื่องประดับ ต้องเลือกสรรแต่ที่รูปงามให้ชอบอารมณ์เป็นที่ตั้ง

คตินี้ยังคงใช้ได้ต่อมาจนถึงทุกวันนี้ แต่จะมีใครใช้หรือไม่เท่านั้น.

##########








 

Create Date : 13 กันยายน 2551    
Last Update : 13 กันยายน 2551 8:29:55 น.
Counter : 381 Pageviews.  

ตอนที่ ๗ ผู้ตรวจราชการเลว

ยอดคนแผ่นดินเหม็ง

ตอนที่ ๗ ผู้ตรวจราชการเลว

"เล่าเซี่ยงชุน"

ฝ่าย เงียมซง หลังจากถูกถอดไปสามเดือนแล้ว ตั้งแต่ได้กลับมาเป็นขุนนางดังเก่า ก็คิดแต่จะหาผลประโยชน์จนมั่งมีเงินทอง ขุนนางฝ่ายบู๊ก็เข้ามาเป็นพวกพ้องมากขึ้น รวมทั้ง เตียจีเป๊ก ขุนนางฝ่ายทหาร ได้สำเร็จราชการกรมรักษาพระองค์ด้วย วันหนึ่งจึงปรึกษากันว่า ทุกวันนี้ตามหัวเมืองขึ้นใหญ่น้อย ในพระราชอาณาเขตของพระเจ้าแผ่นดินแห่งเรา ก็มั่งคั่งบริบูรณ์มีทรัพย์สินเงินทองมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ถ้าแม้นผู้ใดได้เป็นข้าหลวงออกไปตรวจตราดูแล คงได้ผลประโยชน์เป็นเงินทองมาก เงียมซงก็ว่าถ้าเตียจีเป๊กอยากไปก็จะกราบทูลให้ เตียจีเป๊กก็ว่าแม้น กราบทูลให้ตนเป็นข้าหลวงออกไป ได้มีผลประโยชน์มากน้อยเท่าใดจะแบ่งปันกันคนละกึ่ง

เงียมซงก็หาโอกาสกราบทูล พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ แต่งตั้ง ให้เตียจีเป๊กเป็นที่ เอ๋ซุนอ้านผู้ตรวจราชการหัวเมือง และพระราชทานกระบี่อาญาสิทธิ์กับเครื่องยศให้ตามตำแหน่ง เตียจีเป๊กจัดเสบียงอาหารบ่าวไพร่พร้อมแล้ว ก็พา เตียอันกุ้ย บุตรชายกับทหารห้าพัน ออกจากเมืองหลวงตัดไปทางเมืองซัวตั๋ง เมื่อตั้งพักอยู่นอกเมืองก็ให้มีหมายประกาศออกไปว่า เราเป็นที่ เอ๋ซุนอ้าน ถือรับสั่งออกมาให้เจ้าเมืองกรมการปลูกโรงพิธีสำหรับไว้กระบี่อาญาสิทธิ์ และที่พักให้ทันการ แล้วจงทำบัญชีค่านาและส่วยสาอากรมายื่นโดยเร็ว ถ้าเป็นหัวเมืองเอกจะผ่อนให้เจ็ดวัน หัวเมืองโทห้าวันหัวเมืองตรีสามวัน เมืองจัตวาสองวัน ถ้าไม่ทันตามหมายประกาศมาดังนี้ จะเอาตัวเป็นโทษ

เจ้าเมืองกรมการแจ้งในหมายประกาศ ต่างคนก็เป็นทุกข์ว่า ซึ่งจะให้ปลูกโรงพิธีและที่พัก ให้ทันตามกำหนดหมายนั้นพอจะได้ แต่จะให้ทำบัญชีมายื่นนั้นเร็วนัก ที่ไหนจะทัน ทำอย่างไรจึงจะพ้นความผิด บางคนก็ว่าถ้าเรายื่นบัญชีไม่ทัน ก็เอาเงินทองผ้าผ่อนแพรพรรณ เป็นของกำนัลไปให้ พอจะเงียบไปบ้างดอกกระมัง ที่เอ๋ซุนอ้านมีหมายประกาศมาดังนี้ ก็ปรารถนาจะหาผลประโยชน์เงินทองเท่านั้น หัวเมืองน้อยใหญ่ที่ใกล้เคียง ก็มาปรึกษาเห็นพร้อมใจกันแล้ว ต่างคนก็เอาเงินทองสิ่งของที่ดีมีราคาแพงมาให้แก่เตียจีเป๊ก แล้วเตียจีเป๊กก็มิได้เร่งรัดเอาบัญชี และชำระเอาถ้อยความสิ่งใด อยู่พักพอหายเหนื่อยแล้วก็ยกเลยต่อไป หัวเมืองทั้งปวงรู้ดังนั้น ก็จัดแจงสิ่งของทองเงินไว้คอยท่า พอที่เอ๋ซุนอ้านมาถึงก็เอามาให้เป็นอันมาก เตียจีเป๊กก็ได้ของกำนัลเป็น ลำดับมาทุก ๆ หัวเมือง

จนมาถึงเมืองเลกเซียกุ้ยเจ้าเมืองชื่อ สีสี้ เป็นคนตงฉิน
ตั้งอยู่ในความยุติธรรม เมื่อออกมาเป็นเจ้าเมืองก็มิได้ทำความชั่วสิ่งใด ให้กรมการและราษฎรเดือดร้อน ราษฎรนับถือรักใคร่มาก แต่สีสี้ขัดสนไม่ใคร่จะมีเงินทองข้าวของสิ่งใด เหมือนกับเจ้าเมืองอื่น ๆ ครั้นที่เอ๋ซุนอ้านมาถึงเมืองนี้ ก็ให้มีหมายประกาศเหมือนอย่างเมืองที่ผ่านมาแล้ว สีสี้แจ้งดังนั้นก็ตกใจด้วยกลัวว่าทำไม่ทันจะเป็นโทษ ครั้นจะเอาของกำนัลไปให้ก็ไม่มีเงินทอง ก็ทำโรงพิธีและที่พักเหมือนกับ หัวเมืองทั้งปวง เมื่อเตียจีเป๊กเข้าไปพักอยู่ ก็ไม่เห็นสีสี้เอาสิ่งของมาให้แต่สักอย่างหนึ่ง จึงแกล้งเร่งให้ส่งบัญชีค่านาและบัญชีส่วยอากรสำหรับเมือง สีสี้ก็เร่งให้กรมการซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเอาบัญชีมายื่นได้ทัน ตามกำหนดนัดหมาย เตียจีเป๊กก็โกรธว่าสีสี้เป็นคนอวดดี เอาบัญชีค่านาส่วยสาอากรมายื่น แทนที่จะเอาเงินทองเป็นของกำนัลเหมือนเมืองอื่น ๆ ถ้านิ่งไว้ผลประโยชน์ก็จะน้อยไป จึงเอาบัญชีค่านามาทำเป็นตรวจดูแล้วว่า บัญชีที่ทำมายื่นนี้เป็นบัญชีฉ้อโกง และให้ทหารจับตัวสีสี้มาจะทำโทษ

ราษฎรในเมืองรู้ความว่า ที่เอ๋ซุนอ้านจะทำโทษเจ้าเมืองซึ่งไม่มีความผิด ก็พากันมาร้องทุกข์ว่าเจ้าเมืองนี้เป็นคนดี ตั้งอยู่ในการสุจริต ตั้งแต่ได้มาเป็นเจ้าเมืองราษฎรก็มีความสุข มิได้ทำการสิ่งใดให้เป็นที่เดือดร้อน ราษฎรรักใคร่แทบทุกตัวคน เตียจีเป๊กคิดจะทำโทษสีสี้ให้หัวเมืองอื่น ๆ เกรงขาม จึงว่าผู้ใดออกมาเป็นเจ้าเมือง แม้นราษฎรนับถือรักใคร่มากนัก คงจะเป็นขบถเอาไว้ไม่ได้ จึงให้ทหารเอาตัวสีสี้ไปฆ่าเสีย ราษฎรก็โกรธคุมกันเป็นพวกมีจำนวนมากมาย บุกเข้าจับ เตียอันกุ้ย ผู้บุตรที่เอ๋ซุนอ้านฆ่าเสีย แล้วจะจับเตียจีเป๊กฆ่าเสียด้วย แต่ตัวนายซึ่งเป็นหัวหน้าได้ห้ามไว้ว่า การจะทำร้ายแก่ที่เอ๋ซุนอ้าน ซึ่งเป็นผู้ถือรับสั่งพระเจ้าแผ่นดินออกมานั้นไม่ได้ จะกลายเป็นขบถ

เตียจีเป๊กจึงรอดตัวไป แต่คิดจะคุมทหารเข้าสู้รบ ก็น้อยตัวกว่ากลัวจะสู้ราษฎรไม่ได้ ครั้นจะบอกกล่าวโทษเข้าไปเมืองหลวง ตนเองก็ทำการชั่ว เอาเงินทองมามากมายหลายหัวเมืองแล้ว และได้ฆ่าเจ้าเมืองซึ่งเป็นคนดีอยู่ในยุติธรรม เกรงว่าเมื่อฮ่องเต้ชำระ ความไม่ดีที่ได้ทำไว้จะปรากฎขึ้นจึงอดใจนิ่งเสีย แล้วก็คุมทหารออกจากเมืองเลกเซียกุ้ย ไปเมืองอื่น

ฝ่ายหัวเมืองน้อยใหญ่รู้ความว่า ที่เอ๋ซุนอ้านฆ่าสีสี้เจ้าเมืองเลกเซียกุ้ย ก็มีความวิตกว่าจะถูกพาลหาโทษใส่เช่นสีสี้ เพราะที่เอ๋ซุนอ้านออกมาตรวจตราดูแลครั้งนี้ ใช่จะมาโดยกิจราชการที่เป็นยุติธรรมนั้นหามิได้ตั้งใจแต่จะเอาผลประโยชน์เงินทองเท่านั้น จึงต่างก็ตระเตรียมเงินทองสิ่งของต่าง ๆ ไว้ เมื่อเตียจีเป๊กที่เอ๋ซุนอ้านมาถึงเมืองใด ถ้าเจ้าเมืองกรมการเลี้ยงดูไพร่พลทหารดี และเอาเงินทองมาให้มาก ก็ดีใจมิได้ว่ากล่าวประการใดแก่เจ้าเมืองนั้น พักอยู่พอหายเหนื่อยแล้วก็เที่ยวตรวจตราเมืองอื่นต่อไป แม้นเมืองใดต้อนรับไม่ถูกใจและเอาเงินทองมาให้น้อย ก็แกล้งกะเกณฑ์เอาต่าง ๆ แม้นจะไปทางบกก็เกณฑ์เอาม้าและเกวียนเป็นอันมาก ถ้าจะไปทาง น้ำก็เกณฑ์เอาเรือและคนลากเป็นจำนวนมาก เจ้าเมืองกรมการทนไม่ได้ก็ต้องหาสิ่งของ เงินทอง มาให้จนพอใจ เตียจีเป๊กทำดังนี้จนได้เงินทองผ้าผ่อนแพรพรรณและสิ่งของต่าง ๆ เป็นอันมาก บรรทุกสำเภาได้ถึงสิบลำ

ฝ่าย ไฮ้สุย เจ้าเมืองตุนจิว ได้แจ้งข่าวนี้แล้วก็พูดกับกรมการเมืองว่า

".....ถ้าขุนนางเป็นอย่างนี้แล้ว บ้านเมืองก็นับวันแต่จะร่วงโรยยับเยินไป ที่ไหนจะรุ่งเรืองเจริญ เปรียบเหมือนหนอนเกิดขึ้นในต้นไม้ใหญ่ ธรรมดาว่าต้นไม้ถ้ามีหนอนเกิดขึ้นในใส้แล้ว ก็ไม่อาจที่จะงดงามเจริญยืนยาวไปได้ มีแต่จะเหี่ยวแห้งไป....."

พวกกรมการได้ฟังแล้วก็พากันเศร้าโศกเสียใจ ไฮ้สุยจึงว่าจะมาทุกข์ร้อนเศร้าโศกอยู่ดังนี้ ไม่เห็นมีประโยชน์สิ่งใด จงช่วยกันคิดอ่านรักษาตัวดีกว่า ไม่ช้าที่เอ๋ซุนอ้านก็จะมาถึงเมืองเรา จะคิดอ่านประการใดจึงจะรอดตัวไปได้ พวกขุนนางกรมการทั้งปวงก็ว่า เมืองนี้เงินทองสิ่งของอะไรก็ไม่มีจะให้แก่ที่เอ๋ซุนอ้าน แม้นมาถึงถ้าดีอยู่ก็แล้วไป ถ้าพูดจาข่มขี่พาลเอาผิดประการใด เราก็ช่วยกันจับฆ่าเสีย ทรัพย์สิ่งของทองเงินที่ได้ของใครมามากน้อยเท่าใด เราคืนให้แก่เจ้าของเดิมของเขาเสีย

ไฮ้สุยก็ว่าการที่ท่านคิดก็ดีอยู่ แต่เป็นการใหญ่เหมือนหนึ่งขบถ จะพากันฉิบหาย พวกกรมการถามว่าท่านจะคิดอ่านอย่างไรเล่า ไฮ้สุยก็ว่า

"....เรามีอำนาจน้อย จะให้คุ้มไปถึงเมืองอื่น ๆ นั้นเห็นไม่ได้ ต้องรักษาแต่ตัวของเราไว้ พอให้พ้นภัยไปคราวหนึ่ง ท่านทั้งหลายจงรีบแยกกันไป สืบดูตามหัวเมืองซึ่งที่เอ๋ซุนอ้านตรวจมาแล้วนั้น เมืองไหนเสียเงินทองสิ่งของมากน้อยเท่าใด จงจดหมายมาให้เรารู้ทุก ๆ เมือง....."

พวกกรมการต่างก็คำนับลารีบแยกกันไปสืบ ได้ความว่าที่เอ๋ซุนอ้านเอาเงินทองสิ่งของเมืองนั้นเท่านั้นก็ลงบัญชีไว้ถ้วนถี่ แล้วกลับมาแจ้งแก่ไฮ้สุยตามที่สั่ง

เมื่อเตียจีเป๊กเที่ยวตรวจตามหัวเมืองเป็นลำดับ มาจนถึงเมืองตุนจิว ไฮ้สุยก็ให้ปลูกโรงพิธีสำหรับไว้กระบี่อาญาสิทธิ์ และที่พักสำหรับที่เอ๋ซุนอ้าน แล้วก็ให้จัดเลี้ยงดูทหารตามธรรมเนียม แล้วป่าวร้องราษฎรที่มีไร่นาให้ลงมือทำเสียทุก ๆ คนอย่าให้ว่างเปล่า ฝ่ายเตียจีเป๊กขาดบุตรชายอันเป็นที่ปรึกษาเสียแล้ว ก็คิดตรึกตรองว่าไฮ้สุยนี้เป็นคนตรง พึ่งออกมาเป็นเจ้าเมืองเห็นจะไม่มีอะไรนัก ครั้นจะไม่เอาเงินทองก็จะประมาท ต้องหาอุบายเอาเงินทองเสียบ้าง คนสนิทก็แนะว่าถึงเงินทองไฮ้สุยจะไม่มีถ้าท่านต้องการ จะให้เก็บของราษฎรลูกค้าวาณิชในเมืองนี้ก็คงได้ ถ้าเขาให้เราไม่เอาก็จะว่ากลัว เขาไม่ให้เราเฉยเสียก็จะว่าเราเกรง เตียจีเป๊กได้ฟังจึงว่า

".....ไฮ้สุยนี้มีสติปัญญาประกอบด้วยการตรึกตรอง ราษฎรนับถือรักใคร่มาก ข้างใน นางเตียกุยฮุย ก็เป็นพวกพ้อง อย่าเพ่อคิดวุ่นวายไป ฟังเขาดูก่อน เมื่อควรจะได้จึงเอา.."

เตียจีเป๊กรอดูก็ไม่เห็นว่าไฮ้สุยจะเอาเงินทองมาให้ จึงให้หาตัวไฮ้สุย และกรมการมาว่า เราจะลาท่านไป ขอแรงช่วยลากเรือและสำเภา ซึ่งบรรทุกเสบียงส่งเราให้ไปโดยสะดวก ไฮ้สุยว่าขณะนี้ไม่มีใคร ราษฎรกำลังทำไร่นาเสียทั้งนั้น การที่จะลากเรือก็สมควร แต่เรือที่ท่านขี่คนมีบ้างเล็กน้อยก็พอจะลากได้ เตียจีเป๊กก็ว่าถ้าจะลากต้องลากทุกลำ ทั้งสำเภาสิบลำนั้นด้วย

ไฮ้สุยก็พูดว่า อักษรสี่ตัวว่า ที่เอ๋ซุนอ้าน แปลว่า ผู้ที่ตรวจตราดูแลกิจสุขทุกข์ของมนุษย์ ซึ่งอยู่ใต้ฟ้าเป็นข้าแผ่นดิน ให้ได้ความเย็นทั่วพระราชอาณาเขต และว่า

".....ตัวข้าพเจ้านี้ก็กลัวอำนาจอาญาของท่านเหมือนกัน แต่ของกำนัลขัดสน ไม่มี จะให้ ขอท่านได้เอ็นดูแก่ข้าพเจ้าและกรมการ ซึ่งเป็นคนจนด้วยเถิด ท่านก็ได้เงินทองมามากมายหลายสำเภาแล้ว....."

เตียจีเป๊กได้ฟังก็โกรธแต่สู้อดโทโสไว้ จึงว่า ท่านเอาอะไรมากล่าว ของเหล่านี้ที่บรรทุกสำเภา เป็นเสบียงของเราเอามากินกลางทาง ไฮ้สุยก็ว่า

"...เสบียงอาหารไม่ต้องเป็นธุระ ท่านไปถึงเมืองไหนเมืองนั้นก็ต้องเลี้ยงดูไม่อดอยาก ทั้งไพร่พลทหารเล่าก็ให้เสบียงเดินทาง สมควรตามระยะทางใกล้ไกล การที่ท่านได้เงินทองสิ่งของมาแต่เมืองไหนเท่าใด ข้าพเจ้าทราบมีบัญชีอยู่...."

พูดแล้วไอ้สุยก็หยิบเอาบัญชีมาให้ดู เตียจีเป๊กเห็นบัญชีก็ตกใจ จึงว่าตัวท่านพึ่งออกมาเป็นเจ้าเมือง ยังไม่มีเงินทองสิ่งของอะไรเหมือนเขา เรารู้อยู่พูดลองใจดูดอก เรือเสบียงของเราไม่เป็นไร ทหารที่มาถมไปพอจะลากได้ แต่เรือที่เราขี่นี้ ท่านต้องลาก ไฮ้สุยก็ว่าอย่าวิตกตนจะเป็นผู้ลากเอง

แล้วไฮ้สุยก็ลงมือลากเรือที่เอ๋ซุนอ้านขี่ พวกกรมการเห็นดังนั้นต่างก็ช่วยไฮ้สุยลาก เมื่อเจ้าเมืองและกรมการเมืองลากเรือไปตามลำน้ำ เตียจีเป๊กแลดูบนฝั่งก็เห็นราษฎรทำไร่นาแน่นไปทั้งสองฟาก จึงว่าราษฎรในเมืองตุนจิวนี้มีมาก โดยจะเกณฑ์ให้ลากสำเภาอีกสักสิบเท่านี้ก็ได้ ซึ่งไฮ้สุยลากเรือเองเพราะรักราษฎร กลัวจะได้ความลำบากไม่ได้ทำไร่นา จึงร้องห้ามไฮ้สุยว่า ท่านเป็นเจ้าบ้านผ่านเมือง ไม่ควรจะมาทำการดังนี้ อย่าลากเลยความดีของท่านเราเห็นแล้ว

ไฮ้สุยก็ว่าพวกที่มาลากเรือกับตนนี้ ล้วนแต่เป็นกรมการทั้งนั้น ถ้าตนกับกรมการไม่ลากแล้ว จะมีใครลาก ด้วยราษฎรติดการไร่นาทั้งนั้น ท่านอย่ามีความรังเกียจเลย ไฮ้สุยกับกรมการลากเรือมาจนถึงที่แล้วก็กลับไป

เตียจีเป๊กออกจากเมืองตุนจิวแล้วก็เที่ยวตรวจต่อไป เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ก็เอาเงินทองสิ่งของต่าง ๆ แบ่งปันให้แก่เงียมซงกึ่งหนึ่งตามสัญญา

ส่วนไฮ้สุยก็แต่งหนังสือขึ้นสองฉบับ แจ้งความที่ตนออกมาเป็นเจ้าเมืองตุนจิว และ เตียจีเป๊กที่เอ๋ซุนอ้านออกไปตรวจราชการ กระทำความชั่วต่าง ๆ ให้แก่กรมการเมืองและราษฎรสิ้นทุกประการ

แต่ผลจะเป็นอย่างไรต้องคอยดูกันต่อไป.


##########






 

Create Date : 12 กันยายน 2551    
Last Update : 12 กันยายน 2551 11:31:24 น.
Counter : 524 Pageviews.  

ตอนที่ ๖ เจ้าเมืองตกอับ

ยอดคนแผ่นดินเหม็ง

ตอนที่ ๖ เจ้าเมืองตกอับ

" เล่าเซี่ยงชุน "

หลังจากที่ ไฮ้สุย ได้รับแต่งตั้งให้เป็น คิมซือจีนสือ มีตำแหน่งเฝ้าโดยการกราบทูลของ นางเตียกุยฮุย ได้ไม่นาน เจ้าเมืองตุนจิวก็ถึงแก่กรรม พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ จึงมีรับสั่งให้ไฮ้สุยออกไปเป็นเจ้าเมืองตุนจิว และพระราชทานเครื่องยศกับตราตั้งให้ ไฮ้สุยก็ถวายบังคมลา กลับมาจัดสิ่งของที่บ้าน แล้วก็ออกเดินทางจากเมืองหลวง ไปกับ ไฮ้อัน ไฮ้หยง สองคนสนิท และทหารประมาณสองร้อยคน

ฝ่าย เงียมซง ขุนนางกังฉิน ครั้นต้องถอดเป็นไพร่สามเดือน ในคดีซึ่ง เงียมยี่ คนใช้ของตนไปฉ้อโกง เตียเหลาหยี บิดาของนางเตียกุยฮุย ครบกำหนดแล้ว ได้กลับมาเป็นขุนนางดังเก่า และมีความอาฆาตไฮ้สุยเป็นอันมาก ที่เป็นพยานให้ตนต้องแพ้คดีความ ตั้งแต่นั้นเงียมซงก็คิดประจบประแจงขุนนางฝ่ายบู๊ เอาไว้เป็นพวกพ้องมากขึ้น แม้นหัวเมืองไหนว่างเปล่าไม่มีเจ้าเมือง ถ้าผู้ใดอยากเป็นเจ้าเมือง มาเดินเสียเงินทองแก่เงียมซง ก็กราบทูลให้ได้เป็นเจ้าเมือง แต่นั้นมา เงียมซงก็มีพวกพ้องมากขึ้น

เมื่อรู้ข่าวว่าไฮ้สุยเดินทางไปเป็นเจ้าเมืองตุนจิว เงียมซงก็ยิ่งมีความอิจฉามากขึ้น คิดจะทำร้ายไฮ้สุย จึงมีหนังสือลับไปถึงหัวเมืองรายทาง ที่เป็นพวกพ้องของตน มีความว่า

"....ไฮ้สุยเป็นศัตรูต่อเรา บัดนี้มีรับสั่งให้ออกมาเป็นเจ้าเมืองตุนจิว ไฮ้สุยเป็นคนอนาถาไม่มีพวกพ้อง ได้แต่บ่าวติดตัวมาสองคน กับทหารที่เกณฑ์มาส่งสอง ร้อยคนเท่านั้น ถ้ารู้ว่าไฮ้สุยมาแล้วท่านจงเกณฑ์ทหารไปคอยซุ่มสกัดอยู่ตามทาง ทำเป็นกองโจรจับไฮ้สุยฆ่าเสียให้จงได้ แม้นท่านสงเคราะห์เราในเรื่องนี้สำเร็จแล้ว เราจะสนองคุณให้มาก...."

ครั้นไฮ้สุยกับพวกเดินทางผ่านมาในแดนเมืองกองซินฮู เจ้าเมืองรู้ข่าวคิดจะทำตามที่เงียมซงแจ้งมา แต่ก็เกรงความผิด ครั้นจะไม่ทำก็เกรงเงียมซงจะโกรธ จึงเรียกคนสนิทที่ไว้ใจได้มาสั่งว่า ที่ตำบลจี้ซังเป็นทางเปลี่ยว มีพวกโจรอยู่ในตำบลนั้นมาก บัดนี้ไฮ้สุยจะออกไปเมืองตุนจิว ต้องผ่านมาทางนี้ จงทำอุบายไปพูดให้พวกโจรรู้ว่า จะมีคนเดินทางมามีเงินทองข้าวของมาก พวกโจรจะได้คอยดักปล้นทรัพย์และทำร้ายแก่ไฮ้สุย แม้นไฮ้สุยไม่ตายหนีไปได้ ความผิดก็จะไม่มีแก่เรา

คนสนิทของเจ้าเมืองกองซินฮู ก็ปลอมเป็นคนตัดฟืนเดินทางไปยังตำบลจี้ซัง และทำอุบายตามที่นายสั่งทุกประการ พวกโจรก็บอกกันให้เตรียมไปสกัดอยู่ต้นทาง พอเวลาเย็น ไฮ้สุย กับพวกผ่านมาถึง กองโจรที่ซุ่มอยู่นั้นก็เข้าโจมตี ทหารที่ตามมาสองร้อยคน ต้านทานไม่ได้ก็พากันหนีไป ไฮ้อันกับไฮ้หยงนั้นเดิมเป็นโจรมาก่อน ก็พาไฮ้สุยหนีเอาตัวรอด แต่ตราตั้งและเครื่องยศ สิ่งของอันใดก็ไม่ได้ไปเลยแต่สักสิ่ง

พวกโจรก็เข้าไปค้นเกวียนที่ไฮ้สุยทิ้งไว้ ก็ไม่เห็นมีอะไร เห็นแต่หีบใบหนึ่งกับเสบียงเล็กน้อย จึงงัดหีบเปิดออกดู ก็มีเงินอยู่สามร้อยตำลึง กับเครื่องยศและตราตั้ง หมวกกางเกงของหลวงพระราชทาน กับหนังสือรับสั่ง เมื่ออ่านดูก็รู้ว่าฮ่องเต้โปรดให้ไฮ้สุยออกมาเป็นเจ้าเมืองตุน จิวก็ตกใจ จึงปรึกษากันว่าแต่แรกเราคิดว่า เป็นพวกพ่อค้ามีข้าวของเงินทองมาก แต่กลับเป็นเจ้าเมือง ความอันนี้ถ้าทราบถึงพระเจ้าแผ่นดิน ก็คงจะยกทัพใหญ่มาปราบพวกเราที่ไหนจะต้านทานได้ เสื้อหมวกและเครื่องยศเหล่านี้เอาไว้ก็ใช้สอยไม่ได้ พากันไปทิ้งไว้ที่เมืองตุนจิวจะดีกว่า ความร้ายก็จะไปตกอยู่ที่เมืองตุนจิว ปรึกษาเห็นพร้อมกันแล้วพวกโจรก็เอาไว้แต่เงินสามร้อยตำลึง ส่วนสิ่งของเครื่องยศและตราตั้งกับหนังสือรับสั่งนั้น เอาใส่หีบแล้วลอบเอาไปทิ้งไว้ในป่า ริมทางเดิน แขวงเมืองตุนจิว แล้วก็พากันกลับไป

ฝ่ายไฮ้สุยกับไฮ้อันและไฮ้หยง พากันหนีไปทางเมืองกองเต๊กกุ๋น เมื่อเข้าไปในเมืองแล้วก็ปรึกษากันว่า บัดนี้โจรก็ตีชิงเอาเครื่องยศและตราตั้งไปหมดแล้ว จะเข้าไปหาเจ้าเมืองบอกว่ามีรับสั่ง โปรดให้ออกมาเป็นเจ้าเมืองตุนจิว ก็ไม่มีอะไรเป็นสำคัญ ครั้นจะบอกว่าพวกโจรชิงเอาไปหมด ที่ไหนเขาจะเชื่อ อนึ่งเจ้าเมืองเล่าก็เป็นพวกพ้องเงียมซง จะเป็นที่อายขายหน้านัก เราซ่อนตัวเสียอย่าให้ใครรู้จักจะดีกว่า ไฮ้อันและไฮ้หยงก็เห็นด้วย จึงเปลี่ยนชื่อแซ่ทั้งสามคน ไฮ้สุยนั้นเปลี่ยนเป็น กี๋จือ

ส่วนทหารที่มากับไฮ้สุยนั้น พวกที่เหลือจากถูกพวกโจรฆ่าตาย บ้างก็หนีกลับไปเมืองหลวง แต่บ้างก็หนีไปเข้าเมืองกองเต๊กกุ๋น เข้าไปหาเจ้าเมืองแจ้งความที่มาส่งไฮ้สุยจะไปเมืองตุน จิว แล้วถูกโจรปล้นให้เจ้าเมืองฟังทุกประการ เจ้าเมืองถามว่าไฮ้สุยเป็นอย่างไร พวกทหารก็ว่าไม่ทราบว่าถูกฆ่าตายหรือหนีไปทางไหน เจ้าเมืองจึงถามต่อไปว่า เมื่อไฮ้สุยมามีครอบครัวมากน้อยสักเท่าไร ทหารว่ามาสามคนบ่าวนายเท่านั้น เครื่องยศและตราตั้งและเสบียงอาหารสิ่งของมีมาบ้างเล็กน้อย พวกโจรก็เก็บเอาไปหมด

เจ้าเมืองกองเต๊กกุ๋นได้ฟังก็มีความยินดี ด้วยเป็นพวกพ้องของเงียมซง และได้รับหนังสือ จากเงียมซงให้หาทางกำจัดไฮ้สุย แต่ยังไม่มีโอกาส จึงให้คนไปเที่ยวสืบได้ความว่า มีคนแปลกหน้าเข้ามาในเมืองสามคน สำนักอยู่ที่โรงเตี๊ยม ก็นึกสงสัยให้คนไปสืบดูอีกทีก็แจ้งว่าเป็น ไฮ้สุยแน่แล้ว ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ ด้วยขณะนั้นมีพวกโจรมาตีชิงเรือพ่อค้า เจ้าเมืองส่งทหารออกไปจับพวกโจรมาได้ ชำระเป็นสัตย์แล้ว เจ้าเมืองเห็นทางที่จะทำร้ายไฮ้สุยได้ จึงส่งคนไปกระซิบพวกโจรให้ซัดถึงกี๋จือ กับพวกอีกสองคน ให้เสมียนจดถ้อยคำไว้ และส่งคนไปจับตัวไฮ้สุยไฮ้อันไฮ้หยงมาใส่คุกไว้ แล้วสั่งนายคุกว่า ตัวผู้ร้ายสามคนที่โจรซัดถึงนั้น ให้อยู่สุดคุกข้างในข้าวปลาอย่าให้กิน

ขณะนั้นมีกรมการผู้หนึ่งชื่อ เลี่ยงหมง เป็นคนตงฉิน รู้ความตลอดแล้วก็มีความสงสารไฮ้สุยว่า ไม่ควรเลยที่เจ้าเมืองจะทำร้ายไฮ้สุยซึ่งไม่มีความผิด ภรรยาจึงว่ามีน้องชายเป็นผู้คุมอยู่ เลี่ยงหมงก็ดีใจขอให้ช่วยไฮ้สุย ภรรยาก็เรียกตัวน้องชายมาพูดจาว่ากล่าวให้ช่วยเหลือ ด้วยไฮ้สุยไเม่มีความผิด น้องชายก็ว่า

"....จะปล่อยเสียก็ได้ ถึงเจ้าเมืองรู้จะทำโทษข้าพเจ้า ก็จะคิดอ่านหนีไปให้พ้นภัย โดยเขาจับตัวข้าพเจ้าได้ จะทำโทษหรือฆ่าฟันประการใด ข้าพเจ้าไม่เสียดายชีวิต แต่ขอให้ ไฮ้สุยพ้นจากความตายก็จัดเอาเป็นดี ด้วยไฮ้สุยคนนี้เป็นคนตงฉิน ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็อาจคุ้มครองคนทั้งปวง ให้มีความสุขไปยืนยาว....."

แล้วน้องภรรยาของเลี่ยงหมง ก็เอาโสมผสมกับข้าวบดให้ละเอียด ทำเป็นแผ่นเหมือนข้าวเกรียบ ครั้นถึงเวรตัวเข้าพอเวลาค่ำ จึงลอบเข้าไปหาไฮ้สุย กระซิบบอกว่า ท่านเป็นคนตงฉินไม่มีความผิด ตนคิดสงสาร จะปล่อยไปให้พ้นภัย แล้วก็ถอดไฮ้สุยไฮ้อันไฮ้หยงออกจากเครื่องจำ และส่งข้าวเกรียบให้คนละหน่อยพอเป็นเสบียง ทั้งสามคนก็มีความยินดีจึงว่า ซึ่งมีความเมตตาให้ชีวิตแก่พวกตน คุณหาที่สุดมิได้ ถ้าไม่ตายคงจะสนองคุณให้ได้ ผู้คุมก็ว่า

"....ตัวท่านเป็นคนตงฉิน ถ้าได้ทำราชการในแผ่นดิน ก็อาจให้คนทั้งปวงมีความสุขทั่วอาณาเขต ไม่ควรจะให้ตายเสีย คนเช่นข้าพเจ้านี้ถึงจะตายเสียสักร้อยหนึ่ง ก็ไม่สู้เสียดายนัก....."

แล้วทั้งสามคนก็คำนับลาแล้วรีบหนีไป ส่วนตัวผู้คุมนั้นก็หนีออกจากเมืองกองเต๊กกุ๋นด้วยเหมือนกัน แต่แยกไปอีกทางหนึ่ง

ครั้นเงียมซงได้ทราบข่าวจากเจ้าเมืองกองซินฮู และเมืองกองเต๊กกุ๋น ว่าไฮ้สุยถูกโจรตีชิง และต้องโทษอยู่ในคุก แต่กลับหนีไปได้ไม่ทราบว่าไปที่แห่งใด และมีทหารที่แตกหนีโจร เข้ามาแจ้งเรื่องให้ขุนนาง นำข้อความนั้นขึ้นกราบทูล ฮ่องเต้จึงตรัสปรึกษาขุนนาง ว่าจะยกกองทัพไปกำจัดพวกโจร เงียมซงก็กราบทูลว่า

".....ธรรมดาที่เปลี่ยวแล้วก็ย่อมจะมีโจรผู้ร้าย ไฮ้สุยไปไม่ระวังตัวถึงโดยสู้รบพวกโจรไม่ได้ ก็ต้องรักษาเครื่องยศตราตั้งไว้อย่าให้เป็นอันตรายจึงจะควร ไม่ควรจะเลินเล่อทิ้งให้โจรแย่งชิงเอาไปได้ ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ แต่ของนิดหนึ่งเท่านี้ยังรักษาไว้ไม่ได้ จะเป็นเจ้าบ้านผ่านเมืองไปอย่างไร....."

พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้จึงต้องนิ่งอยู่

ฝ่าย นางเตียกัวหู มารดา นางเตียเกงฮวย ภรรยาของไฮ้สุย ทราบข่าวว่าฮ่องเต้โปรดให้ไฮ้สุยไปเป็นเจ้าเมืองตุนจิว แต่ถูกโจรตีชิงกลางทาง ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีประการใด คิดถึงบุตรสาวที่ไปอยู่บ้านไฮ้สุย มารดาของไฮ้สุยก็ตายแล้วจึงไปหา เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังทุกประการ แล้วพูดว่ามารดาเห็นเจ้าอยู่ที่นี่แต่ผู้เดียวเปลี่ยวนัก จะรับเจ้ากลับไปอยู่ที่บ้านเดิม นาง เตียเกงฮวยก็ตกใจมีความทุกข์ร้อนเป็นอันมาก จึงเก็บรวบรวมทรัพย์สิ่งของ แล้วให้คนอยู่เฝ้าบ้านไว้ สั่งว่าถ้าไฮ้สุยกลับมาถามถึงนาง จงบอกว่ามารดามารับไปบ้าน อย่าได้ห่วงใยเลย

ฝ่ายไฮ้สุยไฮ้อันและไฮ้หยงนั้น เมื่อหนีไปพ้นแดนเมืองกองเต๊กกุ๋นแล้วก็ปรึกษากันว่าจะไปทางไหนดี ไฮ้อันไฮ้หยงก็ว่าต้องไปเข้าเมืองตุนจิว ด้วยพระเจ้าแผ่นดินโปรดให้ออกมาเป็นเจ้าเมือง ไฮ้สุยว่าเราไม่มีเครื่องยศตราตั้ง และหนังสือรับสั่ง ขุนนางกรมการเขาจะเชื่อฟังหรือ ไฮ้อันไฮ้หยงก็ว่าถ้าเขาไม่เชื่อ เราก็บอกว่าโจรตีชิงเอาไปที่กลางทาง เมื่อเขาไม่เชื่อฟังจึงค่อยคิดต่อไป ไฮ้สุยได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงพากันเดินมา จนล่วงเข้าแดนเมืองตุนจิว ได้ประมาณห้าลี้ ก็พบหีบใส่เครื่องยศและตราตั้งที่พวกโจรเอามาทิ้งไว้ ก็มีความยินดีนัก เมื่อเข้าไปในเมืองตุนจิว ขุนนาง กรมการรู้ว่าไฮ้สุยออกมาเป็นเจ้าเมือง ต่างออกมารับเชิญเข้าไปในที่ว่าการ ไฮ้สุยก็จัดการกับ บ้านเมืองให้เป็นที่เรียบร้อย ราษฎรก็ได้อยู่เย็นเป็นสุขสบายมาก

เมื่อเงียมซง ขุนนางคู่อาฆาตกับไฮ้สุย ได้ข่าวว่าไฮ้สุยไม่เป็นอันตรายและได้ปกครองเมืองตุนจิว เป็นสุขสบายดีแล้ว จะคิดการร้ายอย่างใดต่อไปอีก ก็คงจะรู้กันในไม่ช้านี้.

##########




 

Create Date : 11 กันยายน 2551    
Last Update : 11 กันยายน 2551 16:38:49 น.
Counter : 900 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.