Group Blog
 
All Blogs
 
ตอนที่ ๒ ฮ่องเต้เสวยสุข

คนชั่วแผ่นดินจิ้น

ตอนที่ ๒ ฮ่องเต้เสวยสุข

“ เล่าเซี่ยงชุน “


ต่อมาพระเจ้าซีโจบู๊ ก็รับสั่งให้ขุนนางไปเก็บเอาบุตรีและสนม ของพระเจ้าซุนโฮ ซึ่งยังตกค้างอยู่ที่เมืองกังตั๋งนั้น คัดเอาตั้งแต่อายุยี่สิบปีลงมา เล่าหงีขุนนางผู้ใหญ่ก็ทัดทานว่า

“……..ถ้าพระองค์รับสั่งให้ไปกวาดต้อน เอาบุตรีและพระสนมของพระเจ้าซุนโฮมาแล้ว ก็จะต้องขยายพระราชวังออกไปให้กว้างใหญ่ ทำตึกและเก๋งขึ้นอีกจึงจะพอกันอยู่ ต้องเสียเงินทองมาก ได้ความลำบากแก่ไพร่พล ประการหนึ่งจะต้องพระราชทานเบี้ยหวัดและเงินเดือน เลี้ยงหญิงเหล่านั้นทุกปีไป ไม่เป็นประโยชน์แก่แผ่นดินแต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ถ้าเก็บเอาเงินเหล่านั้นไว้ทำนุบำรุงบ้านเมือง ทำป้อมปีกกาและเรือรบ สร้างเสื้อเกราะเครื่องสาตราวุธให้มีไว้พร้อมบริบูรณ์ สำหรับรักษาพระราชอาณาเขต ป้องกันภัยอันตราย เป็นที่ยำเกรงแก่ข้าศึกศัตรู จะมิดีกว่าหรือ……..”

พระเจ้าซีโจบู๊ก็มิได้เชื่อฟัง รับสั่งให้กวาดต้อนเอานางเหล่านั้นมาได้ถึงห้าพันเศษ เมื่อมาพร้อมแล้วก็ไม่มีที่ให้พักอาศัย ต้องขยายกำแพงพระราชวังให้กว้างใหญ่ออกไป และสร้างตึกใหญ่น้อยเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก แล้วให้จัดเครื่องประดับตกแต่งทุกตึกทุกเก๋งให้งดงาม ต้องเสียเงินหลวงไปหลายร้อยหมื่น

พระเจ้าซีโจบู๊ก็ทรงดำริว่า พระราชทรัพย์ในคลังเบาบางน้อยลง ครั้นจะไม่เพิ่มเติมขึ้นไว้ให้บริบูรณ์ดังเก่า ก็จะเป็นที่ติเตียนแก่ข้าราชการทั้งปวง จึงมีรับสั่งให้เจ้าพนักงานประกาศว่า ผู้ซึ่งตั้งความเพียรทำมาหากินได้เป็นเศรษฐีและพ่อค้า มั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติมาก แต่ไม่มียศ แม้นผู้ใดอยากจะเป็นขุนนาง ให้เอาเงินทองมาซื้อตำแหน่งตามพิกัดกำหนด ตั้งแต่สองหมื่นตำลึง ลงมาจนถึงสี่ร้อยตำลึงเป็นที่สุด

พวกเศรษฐีและพ่อค้าที่รักยศ ครั้นแจ้งความตามหมายประกาศนั้นแล้ว ต่างคนต่างเข้ามาซื้อที่เป็นขุนนางอยู่เนือง ๆ มิได้ขาด ฮ่องเต้ก็ทรงแต่งตั้งและพระราชทานเครื่องยศ ให้ตามสมควรแก่ฐานานุศักดิ์ แต่นั้นมาประมาณสี่ห้าเดือน ก็ได้เงินเข้าท้องพระคลังครบถ้วน ตามจำนวนซึ่งจ่ายออกไปทำพระราชวังใหม่ ภายหลังมีผู้มาขอซื้อยศเป็นขุนนางอีก ก็รับสั่งให้เจ้าพนักงานเก็บเงินไว้ที่พระคลังใน สำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบ แก่นางสนมกำนัลต่อไป

เล่าหงีขุนนางผู้ใหญ่คนเดิม เห็นฮ่องเต้ดำริดังนี้ก็เข้ามากราบทูลทัดทานอีกว่า

“……….ธรรมเนียมที่มีมาแต่โบราณนั้น ต่อมีราชการทัพศึกเกิดขึ้นแล้ว บ้านเมืองฝืดเคืองขัดสนด้วยพระราชทรัพย์ ไม่พอจับจ่ายในการสงคราม จึงต้องมีหมายประกาศให้ราษฎรมาซื้อยศ เพื่อจะรวบรวมทรัพย์ไว้ได้เป็นกำลังสู้รบกับข้าศึกศัตรูกู้แผ่นดิน ผู้ที่ซื้อยศนั้นถึงจะเสียทรัพย์สินสักเท่าใดก็มีใจนิยมยินดี ด้วยตัวเป็นแต่เศรษฐีและพ่อค้า ไม่มีปัญญาช่วยคิดอ่านการทัพศึก มีแต่เงินทองเอามาซื้อยศ พอได้ช่วยเจือจานในการบำรุงรักษาบ้านเมืองให้มีชื่อเสียงปรากฎไปภายหน้า………..”

ฮ่องเต้ยังไม่ทันจะได้มีดำรัสอย่างใด เล่าหงีก็กราบทูลต่อไปว่า

“……….พระองค์โปรดให้ขยายพระราชวัง จนพระราชทรัพย์สำหรับแผ่นดินสิ้นไปหลายร้อยหมื่น เดี๋ยวนี้ก็ได้เงินมาเต็มจำนวนตามเดิมดังพระราชประสงค์ แต่เงินค่ายศที่ได้มาอีก และเหลืออยู่นั้นชอบแต่เอาไว้ใช้สอยในการบำรุงแผ่นดิน ซึ่งโปรดให้ส่งเข้าไปไว้พระคลังใน สำหรับจะได้พระราชทานนางสนมกำนัลนั้นไม่ควร ถ้าบ้านเมืองมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแล้ว จะหวังพระทัยให้สนมกำนัล เอาเป็นที่ป้องกันอันตรายได้แล้วหรือ…….”

พระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้ได้ทรงฟัง ก็คิดละอายพระทัยอยู่ แต่ด้วยกำลังลุ่มหลงสตรี จึงตรัสแก้ไขไปต่าง ๆ แล้วก็เสด็จเข้าข้างในเสีย และตั้งแต่นั้นมาก็มิได้เอาพระทัยใส่ในกิจการบ้านเมือง เวียนแต่เข้าที่บรรทมชมเชย แล้วเสวยโต๊ะเสพสุรา ทรงฟังเสียงร้องรับขับดุริยางค์ ทอดพระเนตรนางฟ้อนรำ บำรุงบำเรอเพลิดเพลินสำราญใจอยู่แต่ในพระราชวัง จะเสด็จไปเที่ยวประพาสสวนดอกไม้ครั้งใด พนักงานที่ตามเสด็จก็แต่ล้วนนางสนม คราวละพันสองพัน ราชการแผ่นดินนั้น ต่อเก้าวันสิบวันจึงได้เสด็จออกตรัสด้วยขุนนางครั้งหนึ่ง ถ้าสบายพระทัยก็ห้าหกวันจึงเสด็จออกครั้งหนึ่ง

ขุนนางข้าราชการที่คอยเฝ้าจะกราบทูลกิจการบ้านเมือง ก็ไม่ใคร่จะได้เฝ้า เรื่องคดีของราษฎรที่เหลือกำลังขุนนางจะพิจารณาพิพากษา ก็คั่งค้างอยู่ด้วยไม่มีผู้ใดตัดสิน เหล่าราษฎรที่ยากจนมีคดีเกี่ยวข้อง ต้องจำใจทนทรมานอยู่ไม่รู้ที่จะเดินเหินแก่ผู้ใด ด้วยไม่มีเงินทอง ส่วนผู้ที่มีทรัพย์ก็ให้พวกพ้องและภรรยา เข้าไปติดต่อนางสนมข้างในให้ช่วยพิดทูล นางสนมบางพวกที่มีชาติตระกูลอยู่บ้าง ก็มีความละอาย ไม่ขวนขวายหาลาภให้เกินประมาณ ทำราชการพอจุตัวกลัวความครหาก็ไม่รับธุระ

แต่พวกนางสนมที่ไม่มีชาติตระกูล มิได้เคยพบเห็นเงินทองมากมายมาแต่เดิม ครั้นได้เป็นคนโปรดขึ้น ก็ฮึกเหิมแสวงหาแต่ประโยชน์ร่ำไป ไม่รู้ว่าการสิ่งใดจะเป็นที่เสื่อมเสียพระเกียรติยศฮ่องเต้ ครั้นได้สินบนแล้วก็ช่วยพิดทูลให้ได้สำเร็จ สมความปรารถนาทุกเรื่อง ราชการบ้านเมืองก็วิปริตผันแปรไปต่าง ๆ

พวกขุนนางที่เป็นตงฉิน จึงปรึกษากันทำเรื่องราว ให้ขันทีนำเข้าไปถวายเตือน พระสติเนือง ๆ แต่ฮ่องเต้ก็เพิกเฉยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเสีย

วันหนึ่งพระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้เสวยสุราเมาแล้ว เสด็จขึ้นรถไปเที่ยวประพาสเล่นตามสวนดอกไม้ ม้าที่เทียมรถนั้นเดินเร็วนัก นางสนมกำนัลต้องวิ่งตามเสด็จ ได้ความลำบากเหน็ดเหนื่อยมาก ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นก็มีพระทัยสงสาร จึงรับสั่งให้แก้ม้าที่เทียมรถนั้นออกเสีย แล้วให้เอาแพะมาเทียมแทนม้า แพะก็ลากรถไม่ใคร่ไหวก็เดินช้าลง ฮ่องเต้ก็บรรทมไปบนรถหลับบ้างตื่นบ้าง ถ้าไปถึงทางแยกแล้วยังบรรทมหลับอยู่ เจ้าพนักงานต้องหยุดรถรออยู่จนตื่นบรรทม และมีรับสั่งให้เสด็จเลยไป หรือบางทีก็กลับเข้าพระราชวังเสีย

ครั้งหนึ่งตรัสว่า

“………พวกสนมทั้งปวงที่ติดตามเราทุกวันนี้ จะรักเราจริงหรือไม่ หรือจะไปโดยขัดอาญาไม่ได้ ครั้นเราจะไปเยี่ยมเยือนบ้างก็กลัวจะมีความรังเกียจ ถ้าผู้ใดรักเราจริงแล้ว จงเอากิ่งไผ่มาปักไว้ที่เก๋งเป็นสำคัญ…….”

นางสนมเหล่านั้นได้ฟังรับสั่ง บางคนก็ยินดีพอถึงเวลาเย็นก็เอากิ่งไผ่มาปักไว้ที่เก๋ง ฮ่องเต้เสด็จไปทอดพระเนตรเห็น ก็เสด็จขึ้นไปบนเก๋งเข้าที่อยู่กับนางสนมคนนั้น แล้วพระราชทานสิ่งของ เป็นรางวัลให้ตามสมควร ตรัสว่าเขารักเราโดยสุจริต ครั้นภายหลังนางสนมซึ่งอยู่ในพระราชวัง ที่กลัวความผิดก็มี ที่อยากได้รางวัลก็มี ต่างคนก็เอากิ่งไผ่ปักไว้ทุก ๆ ประตูเก๋ง

พระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้ทรงสำราญพระทัย อยู่กับนางสนมทั้งหลายในสวน ตามเก๋งที่มีกิ่งไผ่ปักเป็นสำคัญ จนหลายวันต่อมานางสนมทราบในพระอัชฌาสัย ต่างก็เอากิ่งไผ่มาปักไว้ที่ประตูเก๋งกันทุกเก๋ง ฮ่องเต้เสด็จมาเห็นดังนั้นก็ทรงพระสรวล ตรัสว่าเดี๋ยวนี้มีคนรักเรามากกว่าแต่ก่อน จนไม่รู้ว่าจะไปที่เก๋งไหนแล้ว จึงรับสั่งกับเจ้าพนักงานให้ปล่อยแพะที่เทียมรถ เดินไปตามชอบใจของมัน เมื่อแพะหยุดอยู่ที่หน้าเก๋งของผู้ใด ก็เสด็จขึ้นไปหานางสนมผู้เป็นเจ้าของเก๋งนั้น

ต่อมาอีกไม่นานนางสนมที่ต้องการจะให้ฮ่องเต้เสด็จขึ้นเก๋งของตน บางคนก็เอาหญ้ามาล่อแพะ ให้หยุดอยู่ที่เก๋งของตน บางคนก็ทำบ่วงคล้องเท้าแพะไว้ ฮ่องเต้ก็ตรัสว่าเหตุใดจึงมาข่มเหงเราดังนี้ นางสนมเหล่านั้นก็กราบทูลว่า นางจงรักภักดีต่อพระองค์มาก อยากจะให้แพะหยุดอยู่ที่เก๋งของนางบ้าง ฮ่องเต้ก็ทรงพระสรวล บางทีที่เป็นคนโปรดก็เสด็จขึ้นบนเก๋งนั้น ถ้าไม่พอพระทัยก็กริ้วกราด ตรัสว่าทำข่มเหงไม่เกรงกลัว เราคิดว่าเราจะไปตามใจแพะเป็นประมาณ ถ้าแพะหยุดอยู่หน้าเก๋งผู้ใดก็เป็นบุญของผู้นั้น ตรัสแล้วก็เสด็จเลยไป

พระเจ้าซีโจบู๊เพลิดเพลินอยู่ในพระราชวัง จนเวลาล่วงไปหลายเดือน ไม่ได้เสด็จออกว่าราชการเหมือนแต่ก่อน เหล่าขุนนางข้าราชการทั้งปวงทราบว่า ฮ่องเต้ทรงประพฤติผิดอย่างธรรมเนียมไปดังนี้ จึงปรึกษากันทำเรื่องราวกราบทูลเตือนพระสติ โดยเขียนแซ่และชื่อลงในท้ายเรื่องราวนั้น ยาวเป็นหางว่าว แล้วส่งให้ขันทีนำเข้าไปถวายในพระราชวัง

พระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้รับเรื่องราวมาทอดพระเนตร ซึ่งมีความว่า

ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทราบว่า พระองค์ทรงประพฤติการผิดประเพณีไปต่าง ๆ ธรรมดาแผ่นดินแล้ว ก็ต้องมีพระมหากษัตริย์ เปรียบเหมือนโลกต้องมีดวงพระจันทร์ พระอาทิตย์เหมือนกัน จะขาดแต่สักวันหนึ่งก็ไม่ได้ และพระองค์ก็เป็นพระมหากษัตริย์อันประเสริฐ ไม่เสด็จออกว่าราชการแผ่นดิน ก็เหมือนโลกไม่มีเดือนตะวัน ซึ่งพระองค์โปรดชุบเลี้ยงตั้งแต่งข้าพเจ้าทั้งหลาย ก็เหมือนดังดวงดาว ถึงมีมากก็จริงแต่รัศมีที่ส่องสว่างนั้น ไม่เท่าพระจันทร์พระอาทิตย์ ทุกวันนี้หัวเมืองใหญ่น้อยทั้งปวง เกิดผู้ร้ายชุกชุมขึ้น ผู้รักษาเมืองได้มีหนังสือบอกแจ้งข้อราชการมาเนือง ๆ และพวกฮวนต่างประเทศซึ่งตั้งอยู่ใกล้เขตแดนเมืองลกเอี๋ยงนี้ ถ้าได้ข่าวว่าแผ่นดินไซจิ้น เกิดโจรผู้ร้ายชุกชุมขึ้นแล้ว ก็จะมีใจกำเริบยกกองทัพมากระทำย่ำยีในเขตแดน ไพร่บ้านพลเมืองจะได้ความเดือดร้อน ขอพระองค์มีพระทัยเมตตาอาณาประชาราษฎรให้จงมาก

ฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องราวที่ขุนนางกราบทูลแล้ว ก็เสด็จออกขุนนางตรัสถามถึงราชการบ้านเมือง ซึ่งเกิดโจรผู้ร้าย และราชการเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ ขุนนางทั้งหลายก็กราบทูลแจ้งข้อราชการทั้งปวงให้ทรงทราบ ขณะนั้นฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นขุนนางผู้หนึ่งชื่อ เกาะเอ็ก ทรงนึกขึ้นได้ว่าผู้นี้ไม่มีชื่ออยู่ในเรื่องราวที่กราบทูลถวาย จึงตรัสถามว่ามีธุระขัดข้องอย่างไรหรือ เกาะเอ็กก็กราบทูลว่า

“……..ข้าพเจ้าไม่เห็นพระองค์เสด็จออกมาช้านานแล้ว วันนี้ทราบว่าขุนนางทั้งปวงทำเรื่องราวถวาย เชิญเสด็จออกจึงได้เข้ามาเฝ้า ด้วยข้าพเจ้ามีความขัดข้องอยู่ในใจ ตัดสินเองไม่ได้…….”

ฮ่องเต้ก็ตรัสถามความที่ขัดข้องนั้น เกาะเอ็กจึงกราบทูลว่า

“……..เมื่อพระองค์ได้เสวยราชสมบัติมาถึงปีที่สิบสาม เสด็จไปเลี้ยงโต๊ะขุนนางในสวนดอกไม้ เวลานั้นพระองค์สบายพระทัย ตรัสถึงเรื่องพระมหากษัตริย์ ซึ่งได้ทำนุบำรุงแผ่นดินมาแต่โบราณ พระองค์ทรงติเตียนพระเจ้าจิวฮิวอ๋อง กับพระเจ้าติวอ๋อง แล้วทรงสรรเสริญ ฌ้อจงอ๋องว่าเป็นคนดีคิดกลับใจได้ บ้านเมืองจึงมีความเจริญต่อมา ความซึ่งพระองค์ตรัสครั้งนั้นถึงสี่ปีแล้ว ข้าพเจ้ายังจำได้อยู่ แต่ตัดสินเองไม่ตกลง ด้วยคำทั้งสองนี้ออกจากพระโอฐของพระองค์ ไม่ทราบว่าจะถือเอาอย่างไรเป็นแน่ได้………”

ฮ่องเต้ได้ฟังก็ทรงทราบว่า เกาะเอ็กเปรียบเทียบว่าพระองค์เคยติเตียนกษัตริย์องค์เก่าก่อน ว่าประพฤติไม่ดี แล้วพระองค์ก็กลับประพฤติเช่นนั้นเสียเอง นึกละอายพระทัยจึงเสด็จเข้าข้างในเสีย โดยไม่ตอบโต้แต่ประการใด.


#############





Create Date : 28 มกราคม 2552
Last Update : 29 มกราคม 2552 5:40:55 น. 0 comments
Counter : 874 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.