Group Blog
 
All Blogs
 
ผู้พิชิตสามก๊ก (๑๐)

สามก๊กฉบับลายคราม

ผู้พิชิตสามก๊ก

ตอนที่ ๑๐ สองพี่น้องครองอำนาจ

เล่าเซี่ยงชุน

เมื่อจัดการกับนางเตียวฮองเฮา ลูกของศัตรูเรียบร้อยไปแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้น สุมาสูจึงให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงมาพร้อมกัน หน้าที่ออกว่าราชการ แล้วปรึกษาว่า

“..........พระเจ้าโจฮองไม่เอาพระทัยใส่ราชการบ้านเมือง มีแต่จะเล่นสนุก แล้วหาสติปัญญาไม่ มักเชื่อฟังคำยุยงจะให้บ้านเมืองเป็นกุลี บัดนี้ข้าพเจ้าคิดว่าจะยกพระองค์ออกเสียจากราชสมบัติ จะหาผู้ที่มีสติปัญญาควรจะว่าราชการแผ่นดินได้ มาเป็นเจ้า ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด...........”

ขุนนางทั้งปวงจึงว่า

“...........ท่านเป็นมหาอุปราช ความคิดกว้างขวางลึกซึ้งนัก ท่านตรึกตรองแล้วจึงเอามาปรึกษา ผู้ใดจะทัดทานท่านนั้นเห็นไม่มีแล้ว ด้วยท่านว่าดังนี้ชอบด้วยการแผ่นดิน..........”

สุมาสูเห็นว่าไม่มีผู้ใดคัดค้าน จึงพาขุนนางทั้งปวงไปเฝ้านางกวยไทเฮา ทูลเล่าเนื้อความทั้งปวงให้ฟังตั้งแต่ต้นจนปลาย นางกวยไทเฮาจึงถามว่า ท่านจะยกผู้ใดขึ้นเป็นเจ้า สุมาสูจึงทูลว่า

“..........ข้าพเจ้าพิเคราะห์เห็นโจกี๋เป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นเจ้าเมืองแพเสีย คนนี้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดหลักแหลมนัก เห็นควรจะเป็นเจ้ารักษาแผ่นดินได้...........”

แต่นางกวยไทเฮาไม่เห็นด้วย และว่า

“.........เราพิเคราะห์ดูเห็นว่าจะเอาอา มาเสวยราชย์แทนหลานนั้น ยังหามีเยี่ยงอย่างธรรมเนียมไม่ เราเห็นโจมอหลานพระเจ้าโจผี เป็นเจ้าเมืองงวนเสีย ฉลาดเฉลียวมีสติปัญญาพอจะรักษาแผ่นดินได้อยู่ ขอให้ท่านทั้งปวงปรึกษากันดู...........”

สุมาสูจึงทูลว่าท่านว่าทั้งนี้ชอบนัก ขุนนางทั้งปวงก็เห็นชอบด้วย สุมาสูจึงให้ทหารถือหนังสือไปเชิญโจมอมา แล้วทูลเชิญนางกวยไทเฮาขึ้นไปที่ว่าราชการ เพื่อจะได้ปรึกษาโทษ พระเจ้าโจฮอง

นางกวยไทเฮาจึงขึ้นไปเชิญพระเจ้าโจฮอง ออกมาที่ว่าราชการ แล้วจึงว่า

“.........เจ้าเสวยราชสมบัติ ไม่ต้องด้วยขนบธรรมเนียมกษัตริย์แต่ก่อน ตั้งใจแต่จะเสพสุราแล้วก็มัวเมาไปด้วยการเล่นทั้งปวงแลสตรี ไม่เอาใจใส่ราชการเลย ซึ่งจะเป็นเจ้าแผ่นดินครองราชสมบัตินั้นไม่ควร เจ้าเร่งเอาพระแสงกระบี่แลตราหยกสำหรับกษัตริย์ มาคืนให้ขุนนางเขา จะได้ยกคนอื่นซึ่งมีสติปัญญาเป็นเจ้าแผ่นดินสืบไป ฝ่ายตัวเจ้าให้ไปรับราชการคงที่เจอ๋อง ซึ่งพระราชบิดาตั้งไว้แต่ก่อน ถ้าไม่มีรับสั่งให้หาอย่าเข้ามาเป็นอันขาดทีเดียว...........”

พระเจ้าโจฮองก็เอาพระแสงกระบี่แลตราหยกมาส่งให้ แล้วกราบลานางกวยไทเฮาร้องไห้ออกไป มีขุนนางสี่ห้าคนระลึกถึงคุณโจฮอง กลั้นน้ำตามิได้ก็ตามไปส่งโจฮอง ซึ่งพาครอบครัวอพยพออกไปอยู่ที่ของตัวซึ่งเคยอยู่มาแต่ก่อนนั้น

ฝ่ายโจมอนั่งเกวียนมาถึงประตูเมืองทิศเหนือ สุมาสูก็ให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยออกไปรับ โจมอก็ลงจากเกวียนกระทำคำนับขุนนางทั้งปวง ขุนนางผู้ใหญ่ก็ว่า พระองค์อย่ากระทำคำนับพวกตนเลย โจมอก็ตอบว่าตนนี้ก็เป็นข้าแผ่นดิน จะมิคำนับท่านผู้เป็นขุนนางนั้นมิควร ขุนนางทั้งปวงก็อุ้มโจมอจะให้ขึ้นเกวียนเข้าไปในวัง โจมอก็ยำเกรงไม่ยอมขึ้นเกวียน และว่านางกวยไทเฮามีรับสั่งให้มาเฝ้า ซึ่งจะขี่เกวียนเข้าไปนั้นเห็นไม่ควรนัก ว่าแล้วก็เดินไปจนถึงในวัง

สุมาสูก็ออกไปต้อนรับ โจมอก็กราบลง สุมาสูยื่นมือทั้งสองพยุงโจมอลุกขึ้น แล้วพาเข้าไปเฝ้านางกวยไทเฮา นางก็ปราศรัยว่า

“...........เมื่อน้อย ๆ ข้าพิเคราะห์ดูเห็นประหลาด ทั้งกิริยามารยาทแลลักขณาราศีดีนัก แปลกกว่าเด็กทั้งปวง ข้าก็นึกอยู่ในใจว่าเจ้าจะได้เป็นเจ้าแผ่นดินเป็นมั่นคง บัดนี้ก็สมที่นึกไว้ ขุนนางทั้งปวงปรึกษาพร้อมกัน จะให้เสวยราชสมบัติสืบเชื้อพระวงศ์ ถ้าเจ้าได้เป็นเจ้าแผ่นดินแล้วจงตั้งอยู่ในสัตย์สุจริต อุตส่าห์เอาใจใส่ในราชการทั้งปวง จะทำการสิ่งใดให้พิเคราะห์จงดี ให้รู้จักข้อผิดข้อชอบหนักเบา อย่ามัวเมาไปด้วยการเล่นแลสตรี จงทำตามขนบธรรมเนียมโบราณราชประเพณี วงศ์กษัตริย์ซึ่งเสวยราชสมบัติมาแต่ก่อน............”

โจมอก็ทูลว่า ตนเองนี้สติปัญญาน้อยนัก หาควรแก่ราชสมบัติไม่ นางกวยไทเฮากับขุนนางทั้งปวงก็มิฟัง อ้อนวอนเชื้อเชิญถึงสามครั้ง โจมอจึงรับ แล้วสุมาสูกับขุนนางทั้งปวงก็เชิญโจมอไปยังที่เสด็จออกว่าราชการ ถวายพระแสงกระบี่แลตราหยกสำหรับกษัตริย์นั้น ให้แก่ โจมอ และถวายพระนามว่าพระเจ้าเจงหงวน

ฮ่องเต้องค์ใหม่ก็ให้สุมาสูเป็นมหาอุปราช เมื่อเข้าเฝ้าให้มีคนถือเครื่องศัสตราวุธ แห่เข้าไปใกล้จนถึงที่เสด็จออก และไม่ต้องถวายบังคม เป็นแต่กระทำคำนับเท่านั้น

ต่อมาถึง พ.ศ.๗๙๙ สุมาสูกำลังป่วยตาเป็นต้อ ให้หมอผ่าตัดแล้วใส่ยารักษาอยู่ ม้าใช้ก็ก็มาแจ้งว่าบู๊ขิวเขียมกับบุตรได้เป็นขบถขึ้นที่เมืองห้วยหลำ จึงต้องจำใจยกกองทัพไปปราบปรามทั้ง ๆ ที่ยังป่วยอยู่ แต่ก็สามารถเอาชนะบู๊ขิวเขียมได้ บู๊ขิวเขียมถูกเจ้าเมืองซิมก๋วนตัดศรีษะเอามาให้สุมาสู และเมื่อตั้งให้จูกัดเอี๋ยนนายทหารใหญ่เป็นเจ้าเมืองเองจิ๋ว และเมืองห้วยหลำแล้ว สุมาสูก็ยกกองทัพกลับเมืองฮูโต๋

ตั้งแต่นั้นอาการป่วยของสุมาสูก็หนักลง ให้เจ็บปวดจักษุเหลือกำลัง เวลากลางคืนนอนไม่หลับ จึงให้คนไปตามสุมาเจียวผู้น้องมาจากเมืองลกเอี๋ยง สุมาเจียวเห็นพี่ชายป่วยหนักจะไม่รอดแล้วก็ร้องไห้ สุมาสูจึงสั่งว่า

“..............ข้าทำราชการมาก็ได้เป็นที่มหาอุปราช อุตส่าห์รักษาตัวมาได้ไม่มีอันตราย เจ้าจะทำราชการแทนพี่สืบไป อุตส่าห์ระวังรักษาตัวให้จงดี ถ้ามีราชการเป็นข้อใหญ่ อย่าไว้ใจผู้อื่นจะเสียราชการ จะฉิบหายสิ้นทั้งโคตร.........”

สั่งแล้วก็มอบตราให้แก่น้องชาย สุมาเจียวใคร่จะให้พี่ชายสั่งความต่อไปอีก แต่ความเจ็บปวดในจักษุกำเริบมากขึ้น สุมาสูก็ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังแล้วก็ขาดใจตาย

เมื่อสุมาเจียวแต่งการศพพี่ชายเรียบร้อยแล้ว ก็มีหนังสือไปกราบทูลพระเจ้าโจมอ ฮ่องเต้ก็มีรับสั่งให้สุมาเจียวตั้งอยู่ที่เมืองฮูโต๋ เพื่อป้องกันข้าศึกจากเมืองกังตั๋ง สุมาเจียวก็ไม่เต็มใจอ้ำอึ้งอยู่ จงโฮยนายทหารคู่ใจจึงว่า

“............ท่านมหาอุปราชพึ่งดับสูญ น้ำใจทหารทั้งปวงยังมิราบคาบ ท่านจะตั้งอยู่ที่เมืองฮูโต๋นี้ แม้มีคนคิดร้ายวุ่นวายขึ้นข้างในวัง ซึ่งจะไปกำจัดเสียนั้นเห็นจะมิทันที........”

สุมาเจียวจึงยกทหารไปตั้งที่ตำบลลกซุย พระเจ้าโจมอรู้ดังนั้นก็ตกพระทัย จึงตั้งให้สุมาเจียวเป็นมหาอุปราชแทนพี่ชาย สุมาเจียวจึงเข้าไปรับตำแหน่งในเมืองลกเอี๋ยง ว่าราชการแผ่นดินตามตำแหน่งสมใจ

ฝ่ายเกียงอุยแม่ทัพใหญ่ของจกก๊ก รู้ข่าวว่าสุมาสูถึงแก่ความตาย ก็ยกทหารหกสิบหมื่นจากเมืองเสฉวน มาตีวุยก๊กทางตำบลเปาสิว อองเก๋งเจ้าเมืองยงจิ๋วออกรบก็สู้ไม่ได้ แต่เตงงายเจ้าเมืองกุนจิ๋วมีฝีมือเข้มแข็ง ยกมาช่วยจึงสามารถเอาชนะเกียงอุยได้ สุมาเจียวก็มีตราตั้งเลื่อนตำแหน่งเตงงายให้สูงขึ้น

ขณะนั้นสุมาเจียวว่าราชการแคว้นวุยก๊ก การทั้งปวงสิทธิ์ขาดอยู่แต่ผู้เดียว มิได้ทูลพระเจ้าโจมอเลย จะเข้าออกพระราชวังก็ให้ทหารสามพันถืออาวุธแห่หน้าหลัง สำหรับรักษาตัว ครั้นเห็นไม่มีผู้ใดเสมอก็มัวเมาด้วยยศถาศักดิ์ ใจคิดจะเอื้อมขึ้นไปเอาราชสมบัติ แกฉงคนสนิทจึงบอกว่า

“............ท่านมียศถาศักดิ์สูงใหญ่ในทิศทั้งสี่ ราชสมบัติทั้งนี้เห็นจะอยู่ในมือท่าน ถ้าจะทำการบัดนี้เกรงคนจะมิสมัครพร้อมใจกัน จำจะฟังระคายดูน้ำใจคนทั้งปวงก่อน จึงจะได้คิดการใหญ่สืบไป........”

สุมาเจียวก็ว่า

“..........ข้าคิดอยู่นานแล้ว แต่ว่าหารู้ที่จะออกปากแก่ผู้ใดไม่ เจ้ารักเราคิดอ่านดังนี้เป็นความชอบหนักหนา ถ้ากระนั้นเจ้าช่วยเดินทางไปเมืองห้วยหลำ พูดจาดูน้ำใจเจ้าเมือง แต่ทำเป็นว่าข้าใช้ไปให้รางวัลแก่ทหาร ผู้มีชื่อซึ่งทำสงครามมีความชอบนั้น ฟังแยบคายดูจะคิดการด้วยเราหรือไม่.........”

แกฉงรับคำสุมาเจียวแล้วก็ออกเดินทางไปเมืองห้วยหลำ จูกัดเอี๋ยนเจ้าเมืองห้วย หลำ ที่สุมาสูตั้งไว้เมื่อคราวก่อนก็ต้อนรับแกฉง จัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยง เมื่อเสพสุราได้ที่ดีแล้ว แกฉงก็เกลี้ยกล่อมให้จูกัดเอี๋ยนเห็นชอบ ที่จะให้สุมาเจียวเป็นใหญ่ในแผ่นดินวุยก๊ก แต่จูกัดเอี๋ยนไม่เห็นด้วย และยืนยันว่า ถ้าอันตรายมาถึงเจ้าแผ่นดิน เราเป็นข้าราชการ ควรจะอาสาสนองพระเดชพระคุณจนสิ้นฃีวิต แกฉงก็ลากลับมาแจ้งเนื้อความแก่สุมาเจียวทุกประการ

สุมาเจียวก็โกรธนัก แล้วว่าควรหรือมาบังอาจเจรจาดังนี้ แกฉงจึงแนะนำว่า

“...........จูกัดเอี๋ยนคนนี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ โอบอ้อมเอาใจทหารทั้งปวง ทหารก็รักใคร่ นานไปเห็นจะมีภัยมาเป็นมั่นคง อย่าช้าเลยท่านเร่งคิดล้างจูกัดเอี๋ยนเสียให้ได้..........”

สุมาเจียวก็เห็นชอบด้วย จึงมีตรารับสั่งให้ถอดจูกัดเอี๋ยนออกจากเจ้าเมืองห้วยหลำ จะเอาเข้ามาตั้งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวง แล้วมีหนังสือลับไปถึงเจ้าเมืองเองจิ๋วให้กำจัด จูกัดเอี๋ยนเสีย แต่จูกัดเอี๋ยนรู้ตัวจึงยกทหารไปตีเมืองเองจิ๋วก่อน และจับเจ้าเมืองฆ่าเสีย แล้วทำหนังสือกล่าวโทษสุมาเจียว มาทูลพระเจ้าโจมอ กับเตรียมเกณฑ์ทหารจากเมืองที่ตนปกครองได้ยี่สิบหมื่นเศษ เตรียมจะยกมากำจัดสุมาเจียว

สุมาเจียวได้แจ้งเรื่องราวทั้งหมดก็มีความโกรธนัก คิดอ่านจะยกทัพไปปราบ จูกัดเอี๋ยน แกฉงก็แนะนำว่า

“.............วงศ์ของท่านได้อุปถัมภ์บำรุงแผ่นดินมาแต่บิดาแลพี่ชาย สืบต่อมาถึงท่าน คุณนี้หนักหนาอยู่ แล้วยังไม่ทั่วทั้งสี่ทิศอีกเล่า ยังมีคนมาคิดขบถอย่างนี้ ซึ่งท่านจะออกไปปราบศัตรูเองนั้น ข้าพเจ้าหาเห็นด้วยไม่ เกรงศัตรูจะทำวุ่นวายขึ้นในราชฐาน ภายหลังจะกลับมาปราบปรามนั้นเห็นขัดสน ถ้าท่านเชิญนางกวยไทเฮากับเจ้าแผ่นดิน ออกไปปราบปรามศัตรู เห็นจะสงบโดยง่าย.........”

สุมาเจียวได้ฟังก็ยินดีนัก ว่าตรงกับความคิดของตน จึงเข้าไปทูลนางกวยไทเฮาว่า

“..........จูกัดเอี๋ยนคิดขบถ ข้าพเจ้ากับขุนนางทั้งปวงปรึกษาพร้อมกัน ขอเชิญพระองค์กับพระเจ้าโจมอออกไปด้วย จะได้ปราบศัตรูให้ราบคาบ รักษาแผ่นดินไว้อย่าให้เป็นอันตราย เหมือนคำพระเจ้าโจยอยสั่งไว้นั้น...........”

นางกวยไทเฮากลัวสุมาเจียวขัดไม่ได้ก็รับว่าจะไป สุมาเจียวจึงไปทูลฮ่องเต้ ขอเชิญเสด็จไปทัพ พระเจ้าโจมอก็ตรัสว่า

“..........ท่านมหาอุปราชได้ว่าราชการทั้งแผ่นดินสิทธิ์ขาดอยู่แก่ท่าน จะบังคับบัญชาผู้ใดก็มิได้ขัดขวาง ตามแต่จะไปเถิด ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าไปนั้นด้วยเหตุอันใด..........”

สุมาเจียวก็ทูลว่า

“...........ถ้าพระองค์ไม่ไปเห็นหาควรไม่ ครั้งพระเจ้าโจโฉไปเที่ยวปราบปรามศัตรูจนถึงท้องมหาสมุทร ฝ่ายพระเจ้าโจผี พระเจ้าโจยอย ก็คิดจะใคร่ให้แผ่นดินราบคาบ ถ้าราชศัตรูเกิดที่ไหนก็อุตส่าห์ไปปราบทุกทิศ ขอให้พระองค์ไล่ล้างศัตรูตามอย่างเชื้อพระวงศ์สืบมา ซึ่งพระองค์จะเกรงกลัวนั้น หาควรไม่...........”

พระเจ้าโจมอจึงต้องจำใจไปในกองทัพ ตามความคิดของสุมาเจียวจนได้.

##########



Create Date : 22 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2559 13:03:23 น. 0 comments
Counter : 463 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.