Group Blog
 
All Blogs
 
นายกรัฐมนตรียามสงครามโลกครั้งที่สอง

นายกรัฐมนตรียามสงครามโลกครั้งที่ ๒

พ.สมานคุรุกรรม


เมื่อ พันตรี ควง อภัยวงศ์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแทน จอมพล ป.พิบูลสงคราม โดยไม่เกิดเรื่องยุ่งยากวุ่นวายในระหว่างคนไทยด้วยกันแล้ว ท่านก็ต้องคอยแก้ปัญหายุ่งยากระหว่างรัฐบาลไทย กับกองทัพญี่ปุ่นต่อไป ท่านเล่าว่า

เมื่อเสร็จจากเรื่องหลวงพิบูล ฯ แล้ว ผมก็ต้องคอยแก้ปัญหาระหว่างเสรีไทยกับกองทัพญี่ปุ่น เหมือนถูกบังคับให้ขี่ม้าสองตัว คือเสรีไทยตัวหนึ่ง และญี่ปุ่นอีกตัวหนึ่ง เพราะต่างฝ่ายต่างคุมเชิงกันอยู่ มันลำบากจริง

คืนวันหนึ่งพวกเสรีไทยเอาฝรั่งคนหนึ่งที่ถูกกักกันในแคมป์ชนชาติศัตรูที่กรุงเทพ ฯ ส่งไปเมืองนอก จึงเกิดวิตกว่าถ้าตอนรุ่งเช้าพวกญี่ปุ่นไปตรวจพบว่าขาดจำนวนจะทำยังไง แต่บังเอิญพระสยามเทวาธิราชช่วยผมแท้ ๆ ในคืนวันนั้นเองพระสงฆ์ท่านนำฝรั่งที่หลบหนีจากค่ายกาญจนบุรี มาให้ผมคนหนึ่ง ผมก็ให้ผู้ควบคุมค่ายเอาไปยัดใส่แทน ผู้ควบคุมแย้งว่ามันเป็นคนละคนกันกับที่หายไปนี่ ผมก็บอกว่า เคยนึกบ้างไหมเวลาเราดูฝรั่งก็เห็นหน้ามันคล้าย ๆ กัน หรือเมื่อฝรั่งดูพวกเรา ก็เห็นคล้ายกันเหมือนกัน ยังไง ๆ พอเขาเรียกชื่อหมอนั่น ก็ให้หมอนี่ขาน “เยสเซ่อร์” ก็แล้วกัน เผอิญได้ผลจริง ๆ เรารอดตัวไป

ส่วนที่เขาหาว่าผมหักหลังญี่ปุ่น และบางคนก็ไปเขียนอะไรต่อมิอะไรกันนั้น ไม่เป็นความจริงหรอก เมื่อเขาตั้งเสรีไทยขึ้นนั้น ผมก็ทำความเข้าใจกับเขาแล้วว่า ผมจะต้องทำหน้าที่ของผม ในฐานะที่ร่วมรบกับญี่ปุ่น แต่ผมจะหลิ่วตาให้ข้างหนึ่งสำหรับเสรีไทย เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน ตกลงไหม เมื่อเขายอมตกลงผมก็เลยขาดจากเสรีไทยตั้งแต่บัดนั้นมา ผมไม่เคยเสียคำมั่นสัญญา ไม่เคยเสียสัตย์ เพราะเราต้องรักษาชื่อเสียงของชาติไทย และเกียรติของไทยผมรักษานัก เมื่อเราให้คำมั่นสัญญาแล้วเราต้องถือเด็ดขาด ผมไม่เคยหักหลัง แต่ผมต้องคอยแก้ปัญหาดังที่เล่าให้ฟัง

ขณะนั้นสงครามโลกด้านแปซิฟิคขับขันมากขึ้นแล้ว ทางกองบัญชาการทหารสูงสุดญี่ปุ่นที่ไซ่ง่อน ดูจะมีความระแวงฝ่ายไทย ตามสี่แยกถนนสำคัญ ๆ ในพระนครหลายสาย มีป้อมมูลดินของญี่ปุ่นกับของไทยตั้งเผชิญหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างขอให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าไปตรวจดูว่า ความจริงสร้างขึ้นเพื่อเผชิญหน้ากับฝ่ายสัมพันธมิตร

ญี่ปุ่นคงจะทราบความเคลื่อนไหวของขบวนการเสรีไทยเป็นอย่างดี นายฮาตาโนซึ่งเป็นล่ามของนายพลนากามูรานั้น ก็เป็นนักเรียนอัสสัมชัญ พูดไทยและอ่านหนังสือไทยได้อย่างคนไทยทั่ว ๆ ไป เมื่อมีเสรีไทยมาโดดร่มและถูกจับได้ ฝ่ายญี่ปุ่นก็มุ่งจะเอาตัวไปสอบสวนและปฏิบัติอย่างอื่นต่อไป แต่ฝ่ายไทยก็อ้างว่าเป็นมหามิตรกับญี่ปุ่น เป็นคู่สงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร ฉะนั้นจึงมีสิทธิเหนืออริราชศัตรูไม่ว่าจะเป็นฝรั่ง ไทย หรือชาติใดก็ตาม

พันตรี ควง เล่าว่า อย่างสนามบินลับของเราก็เหมือนกัน พวกญี่ปุ่นมาประท้วงตั้งแต่เช้า เอาแผนที่ออกมากางให้ดู แล้วชี้ว่านี่สนามบินลับอยู่ทางเหนือ ความจริงท่านก็ทราบว่าเป็นสนามบินลับที่พวกเสรีไทยเขาทำขึ้น แต่ท่านบอกว่าไม่จริงกระมัง เขาก็ยืนยันว่าจริงซี เขาถ่ายรูปมาด้วย ท่านก็ว่าถ้ายังงั้นพรุ่งนี้ตั้งกรรมการผสมไปตรวจ แล้วก็ตกลงตั้งกรรมการผสมไทยญี่ปุ่นขึ้น

แล้วท่านก็วิ่งไปบอกหลวงประดิษฐ์ ฯ ว่า นี่.....อาจารย์ ต้องรีบจัดการปลูกพืชอะไรไว้นะ พรุ่งนี้กรรมการผสมจะไปตรวจ ถ้าเขาจับได้ผมไม่รู้ด้วยนะ ฝ่ายหลวงประดิษฐ์ ฯ ก็ส่งวิทยุสั่งการให้ปลูกต้นกัญชา ต้นอะไร รดน้ำกันใหญ่ พวกกรรมการผสมไปดูก็เห็นมีพืชปลูกอยู่จริง ๆ เรื่องก็เลิกกันไป

เหตุนี้คงจะทำให้ จอมพล เคานต์เตราอุจิ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่ไซ่ง่อนระแวงไทยมากขึ้น จึงสั่งให้นายพลนากามูรา ผู้บัญชาการหน่วยงิประจำประเทศไทยขอกู้เงินเพื่อสร้างที่มั่นรับสัมพันธมิตร ความจริงญี่ปุ่นได้เตรียมแนวป้องกันไว้แล้ว คือที่มั่นตั้งแต่แนวภูเขาที่หินกอง จังหวัดสระบุรี เป้นระยะ ๆ ไปจนถึงจังหวัดนครนายก

เมื่อฝ่ายญี่ปุ่นเสนอขอกู้เงินมานั้น ฝ่ายไทยได้ปรึกษาหารือกัน และกำหนดว่าจะตอบปฏิเสธฝ่ายญี่ปุ่นไป เรื่องเช่นนี้ควรจะต้องเป็นเรื่องลับที่สุด แต่ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบ นายพล นากามูราได้ระแคะระคายว่าฝ่ายไทยจะตอบปฏิเสธ จึงมาบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า ได้ทราบข่าวว่าฝ่ายไทยจะปฏิเสธเรื่องญี่ปุ่นขอกู้เงิน ถ้าเป็นจริงตามนั้นก็ขอบอกว่า ญี่ปุ่นจำจะต้องยึดครองประเทศไทย เพราะเป็นนโยบายและคำสั่งของผู้บัญชาการทหารสูงสุด นายพลเองไม่มีอำนาจขัดขืน ทั้ง ๆ ที่โดยส่วนตัวแล้วไม่อยากจะยึดครองประเทศไทยเลย

อีกครั้งหนึ่งท่านเล่าถึงเรื่องที่ฝ่ายสัมพันธมิตรเอาเครื่องบินมาทิ้งยาให้ไทย แต่แทนที่จะให้เอาไปทิ้งตามทุ่งนาก็ไม่เอา กลับให้เอามาโยนลงที่สนามหลวง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเรานี่เก่ง แต่ไม่ได้คิดถึงท่านซึ่งเป็นนายก ฯ อกแทบพัง แล้วพวกเราก็วิ่งไปรับกันเสียด้วย จะรอให้เครื่องบินไปเสียก่อนแล้วจึงค่อยวิ่งไปตะครุบก็ไม่ได้

ท่านเล่าว่า พอตอนกลางคืนญี่ปุ่นก็เชิญผมไปกินข้าว เพราะตามธรรมดาพอมีเรื่องอะไรเขาก็เชิญผมกินข้าวทุกที เมื่อไปพบกับเขาหน้าผมก็ไม่สบายเพราะกำลังหนักใจว่าจะทำยังไงดี พอนายพลนากามูระเห็นผมก็ทักว่า เอ..ท่านนายกทำไมถึงหน้าตาไม่เสบยอย่างนี้

ผมก็บอกว่าพุธโธ่ ปวดศรีษะจะตายไป ส่วนเอกอัครราชทูตยามาโมโต ก็กระแหนะกระแหนว่า ทำไมท่านไม่กินยาที่เขาเอามาทิ้งให้เมื่อเช้านี้ล่ะ ผมก็ไหวทันตอบไปว่า ลองกินเข้าไปซี ถ้าฉันเกิดตายไปแล้วท่านจะเอานายกที่ไหนมาแทนเล่า พวกนั้นก้หัวเราะขบขัน เลยกินข้าวด้วยกัน แล้วเรื่องก็เลิกกันไปอีก

ทางฝ่ายขบวนการเสรีไทย ก็คงมีการตระเตรียมกันหลายด้าน ด้วยความมั่นใจว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะสนับสนุนการดำเนินการในไม่ช้านัก ฝ่ายตำรวจซึ่งอยู่ในบังคับบัญชาของ พล.ต.อ.หลวงอดุลย์ ฯก็ได้มีการเปลี่ยนจากพกอาวุธปืนสั้นมาถืออาวุธปืนเล็กยาวทั่วไป

ญี่ปุ่นได้สังเกตเห็นเรื่องนี้เหมือนกัน นายพลนากามูรา ทูตทหารบก ทูตทหารเรือ และบุคคลสำคัญฝ่ายสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น จึงขอพบนายกรัฐมนตรี เพื่อถามถึงเรื่องตำรวจเปลี่ยนมาถืออาวุธปืนเล็กยาว แทนที่ท่านจะอึกอักท่านกลับหัวร่อเอิ๊ก ๆ แล้วตอบว่า

“ แล้วกัน ท่านนายพล ผมจ่ายปืนพกให้ พวกตำรวจก็เอาไปขายเสียหมด แล้วก็บอกว่าปืนหาย ยินดีชดใช้ให้ตามราคาของทางราชการ ก็ปืนพกขณะนี้ราคาแพงมาก ผมจะเอามาจ่ายให้ที่ไหนไหว ปืนยาวนั้นขายยากกว่า ผมจึงสั่งให้จ่ายแต่ปืนยาว เรื่องมันเท่านั้นเอง “

เมื่อได้สนทนากันถึงเรื่องอื่นอีกเล็กน้อย ฝ่ายญี่ปุ่นก็ลากลับไป

ตามปกติแล้วนายกรัฐมนตรีควง ก็คงอยู่ที่บ้านของท่านหน้าสนามกีฬาแห่งชาติ แถบนั้นมีหน่วยทหารญี่ปุ่นตั้งอยู่ที่โรงเรียนช่างกลปทุมวัน อีกหน่วยหนึ่งก็อยู่ที่โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย เมื่อเหตุการณ์คับขันมากขึ้น ผู้บัญชาการกองพล ๑ ได้ขอร้องให้ท่านย้ายบ้าน เกรงว่า เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้น ทหารไทยซึ่งส่วนใหญ่อยู่ทางบางซื่อ จะมาให้ความคุ้มครองไม่ทัน และถ้านายกรัฐมนตรีถูกฝ่ายญี่ปุ่นจับตัวไป ก็จะเป็นเรื่องลำบากมาก ท่านจึงได้ยอมย้ายไปอยู่บ้านสวนอัมพวัน ใกล้เขตทหารขึ้น

ท่านเล่าว่า เมื่อพูดกันตามความจริงท่านก็ช่วยญี่ปุ่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้หักหลังเขาเลย เช่นปัญหาเรื่องการกู้เงิน ญี่ปุ่นกู้เราเรื่อย ๆ จนเราไม่มีสตางค์จะให้ รัฐมนตรีของเราบอกเขาว่าเราให้กู้ไม่ได้แล้ว ญี่ปุ่นก็ตั้งข้อสงสัยว่าเราไม่ซื่อสัตย์ต่อเขา ท่านจึงบอกรัฐมนตรีคลังให้เชิญฝ่ายญี่ปุ่นมาประชุมกับท่านที่ทำเนียบ

ครั้นถึงวันประชุมฝ่ายญี่ปุ่นก็มาพร้อมเพรียง รวมทั้งเอ็กซเปอร์ททางการคลังของเขาด้วย ฝ่ายเรานั้นท่านคิดอยู่แล้วว่าญี่ปุ่นเขามีความระแวงสงสัยไม่เชื่อใจเรา จะมัวโต้เถียงกันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร รังแต่จะเพิ่มความสงสัยมากขึ้น ท่านก็เอาตัวเลขการคลังของเราทั้งหมด ส่งให้ เอ็กซเปอร์ทของญี่ปุ่น แล้วบอกว่าวานท่านทำหน้าที่รัฐมนตรีคลังให้ฉันทีเถอะ ถ้าท่านเห็นว่าไอ้ตัวเลขอย่างนี้ ควรให้ญี่ปุ่นยืมได้เท่าไร ฉันจะเซ็นอนุมัติให้เดี๋ยวนี้แหละ แล้วท่านก็ชักปากกาออกมาเตรียมถือไว้

ท่านทำใจดีสู้เสือแท้ ๆ ทีเดียว พวกญี่ปุ่นปรึกษากันบ๊งเบ๊งอยู่พักหนึ่งก็ลุกขึ้นโค้ง บอกว่าให้ยืมไม่ได้หรอก เราก็เลิกประชุมกันเท่านั้นเอง

นี่แหละเมืองไทย เรารอดมาได้ ไม่ใช่ความสำคัญของผมเลย เพราะสยามเทวาธิราชแท้ ๆ เราทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เรามีใจเป็นธรรมก็ย่อมชนะ ผมอาจจะต้องลำบากในตอนต้น แต่ตอนปลายผลสุดท้ายก็ต้องชนะ

และนี่คือการทำงานระหว่างหน้าสิ่วหน้าขวาน ของ พันตรี ควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีของไทย ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๔๘๗ – ๒๔๘๘ เท่านั้น.


ใน พ.ศ.๒๔๘๘ ตอนปลายสงคราม ค่ำวันหนึ่งได้มีการเลี้ยงแบบกันเองระหว่างฝ่ายไทยกับญี่ปุ่น ซึ่งจัดสองอาทิตย์ต่อครั้งตามปกติ วันนั้นมีการรับประทานอาหารที่บ้านเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ที่ถนนเพชรบุรี คืนนั้นนายกรัฐมนตรีควงได้แสดงสุนทรพจน์เป็นภาษาญี่ปุ่น คืออ่านจากตัวหนังสือไทย ที่เขียนออกเสียงเป็นภาษาญี่ปุ่น แล้วได้มีการล้อเลียนสัพยอกถึงเรื่องลูกระเบิดแบบใหม่ ที่สหรัฐทิ้งที่เมืองฮิโรชิมา ว่ามีฤทธิ์เดชมากสองวันแล้วยังมีฝุ่นคลุ้งอยู่

เมื่อรับประทานอาหารเสร็จก็ออกมารับประทานกาแฟ บรั่นดี และคุยกันที่ห้องกลาง ขณะนั้นมีผู้สื่อข่าวญี่ปุ่น ๒-๓ นายรีบร้อนมาพบเอกอัครราชทูต และนายพลนากามูรา ซุบซิบอะไรกันอยู่ แล้วนายพลนากามูราก็รีบลากลับไปก่อนทั้ง ๆ ที่ยังรับประทานกาแฟไม่เสร็จ

ทางฝ่ายไทยก็ได้ข่าวจากขบวนการเสรีไทยว่าญี่ปุ่นได้ยอมแพ้ วันรุ่งขึ้นนายกรัฐมนตรีจึงได้เชิญนายพลนากามูรากับพวกผู้ใหญ่ฝ่ายญี่ปุ่นมาถามเพื่อยืนยัน แต่นายพลนากามูราตอบปฏิเสธ

เรื่องนี้ พันตรี ควง อภัยวงศ์ ได้เล่าว่า หลวงประดิษฐ์ ฯ ฟังวิทยุแล้วก็เรียกผมไปหา บอกว่าควง...ญี่ปุ่นยอมแพ้แล้ว เขาขอยอมแพ้โดยแจ้งผ่านทางรัสเซีย แล้วทูตญี่ปุ่นก็เชิญผมไปกินข้าว ผมแกล้งพูดสัพยอกทูตว่า ท่านทูตนา ผมนี่ตั้งต้นจับคนมามากแล้ว จับอังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส แล้วก้จับพวกเยอรมัน อิตาลี ต่อไปผมเห็นจะต้องจับท่านเสียแล้ว เขาก็หัวเราะ ผมถามว่าจะยอมแพ้ใช่ไหม เขาตอบว่า โอ...ไม่ยอมหรอก ผมก็ว่าเอาเถอะถ้าท่านจะยอมแพ้ก็ขอความกรุณา อย่าเอาผมและเมืองไทยไปเกี่ยวข้องด้วย ท่านยอมไปคนเดียวก็แล้วกัน เขาก็บอกตกลง

ต่อมาไม่ถึงสองวัน นายทหารญี่ปุ่นก็แต่งตัวเต็มยศสวมถุงมือ มาเยี่ยมคำนับผม แล้วยื่นหนังสือให้บอกว่าญี่ปุ่นจะยอมแพ้แล้ว เราจะให้เขาช่วยอะไรบ้าง ผมก็ตอบว่าขอความกรุณาอย่าช่วยฉันเลย ปล่อยให้ฉันทำของฉันเองเถิด โปรดบอกแก่รัฐบาลของท่านตามนี้ด้วย ฝ่ายญี่ปุ่นเขาก็ดี เขาบอกว่าท่านจะหาวิธีอย่างไร ญี่ปุ่นไม่ว่าอะไรทั้งนั้น ขอให้เมืองไทยรอดเถอะ ผมก็ตอบขอบใจเขา

ทีนี้ผมจะหาทางออกอย่างไรเล่า ญี่ปุ่นก็ยอมแพ้ไปแล้ว แต่เมืองไทยยังรบอยู่คนเดียวถึง ๑๕ วัน จอมพล ป.ก็ประกาศสงครามกับเขาเสียด้วย ใคร ๆ ก็ยอมแพ้กันไปหมดแล้ว เหลือแต่เมืองไทยเท่านั้นที่ยังไม่ยอม ตกลงว่าผมนี่ดูเก่งกาจนัก รบคนเดียวอยู่ได้ตั้ง ๑๕ วัน

ผมให้หลวงประดิษฐ์ ฯ ช่วยร่างประกาศให้ผม แล้วผมก็ไปประชุมสภาผู้แทนราษฎร ทางสภาพอแว่วข่าวว่าเราจะประกาศว่า การทำสงครามของเราเป็นโมฆะก็เอะอะสงสัยกันใหญ่ ผมบอกว่านี่นิ่ง ๆ นะคุณ ประเดี๋ยวผมจะประกาศเอง แล้วผมก็เดินไปกระซิบกับบรรดาสมาชิกสภาว่า คราวนี้ถ้าพวกคุณไม่ยกมือให้พร้อมเพรียงกันละก็ตายนะคุณ ผมไม่รู้ด้วยนา ในที่สุดพวกนั้นก็ตกลง

พอผมประกาศว่าการทำสงครามเป็นโมฆะ สภาก็ลงมติเห็นชอบแหมยกมือกันพรึ่บหมด แล้วพวกนั้นก็สบายใจนึกว่าหมดธุระแล้ว แต่ไม่ใช่หมดนะ เราต้องฟังอังกฤษและอเมริกาเขาจะว่ายังไง ต่อมาอีกประมาณสามวัน อเมริกาก็ปล่อยข่าวออกมาว่าเห็นด้วย ไม่เอาธุระกับไทย ส่วนอังกฤษยังแบ่งรับแบ่งสู้ ผมก็รอดตัว ภายหลังหลอร์ดหลุยเมาท์แบทเตนโทรเลขมาถึงผม ให้จัดการปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในประเทศไทยทั้งหมด

ผมก็มาคิดว่าจะทำยังไงดี ถ้าให้ทหารไทยไปปลดอาวุธทหารญี่ปุ่น ก็จะเกิดเบ่งกันขึ้น แล้วก้อาจเกิดเรื่องใหญ่ ผมจึงเชิญนายพลนากามูรามาบอกว่า ฝ่ายสัมพันธมิตรเขาสั่งมาอย่างนี้จะให้ฉันทำยังไง เพราะเราเป็นเพื่อนกัน นายพลนากามูราบอกว่าท่านไม่ต้องวิตกหรอก ฉันจะปลดอาวุธตัวเอง ท่านส่งทหารไปรับมอบอาวุธตามจำนวนก็แล้วกัน เรื่องก้เป็นอันเรียบร้อย

บัดนี้ผมได้ปฏิบัติหน้าที่เสร็จสิ้นลงแล้ว และผมจะต้องลาออกจากตำแหน่ง เพื่อให้มีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ทางอังกฤษและอเมริกาบอกมาว่าไม่ต้องลาออกก้ได้ หลวงประดิษฐ์ ฯ ก็ไม่ยอมให้ผมออก แต่ผมชี้แจงว่าไม่ได้หรอก ผมเป็นรัฐบาลชุดร่วมสงครามกับญี่ปุ่น เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้แล้วผมจะต้องไปด้วย จะอยู่ได้ยังไง เมื่อผมลาออกนั้น สมาชิกสภาทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายตรงข้ามก็มาขอบใจผม ที่พาประเทศไทยรอดมาได้

ความจริงเขาไม่ควรจะขอบใจผม เขาควรจะขอบคุณพระสยามเทวาธิราชมากกว่า

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ สงบลงแล้ว รัฐบาลของ พันตรี ควง อภัยวงศ์ ก็ได้ลาออกตามมารยาท หลังจากที่ได้เป็นรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาของชาติมาเป็นเวลาประมาณ ๑๓ เดือน เมื่อท่านแถลงยื่นใบลาในสภาผู้แทนราษฎร ก็ได้รับการปรบมือจากสมาชิกทั้งสภา เป็นเกียรติยศอย่างสูง

นายทวี บุณยเกตุ ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีแทน เพียงไม่กี่วัน ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน และเป็นผู้มีบทบาทในเรื่องเสรีไทยสายอเมริกามาตั้งแต่ต้น ก็ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านผู้นี้เป็นคนไทยคนแรกที่ประกาศจากกรุงวอชิงตันว่า จะไม่ยอมฟังคำสั่งของรัฐบาลที่มีหอกปลายปืนจี้หลังอยู่ ซึ่งในขณะนั้นญี่ปุ่นกำลังชนะสงครามทุกด้านในแปซิฟิค จึงนับว่าท่านเป็นผู้กล้าหาญอย่างยิ่ง และวิเคราะห์สถานะการณ์ในอนาคตได้อย่างถูกต้องที่สุด

ภายหลังจากที่ได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งนั้นแล้ว พันตรี ควง อภัยวงศ์ ก็ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีก ๓ ครั้ง ท่านได้เล่าไว้ว่า

การเมืองภายหลังสงครามก็มีเรื่องยุ่งเหยิงอยู่เรื่อย ๆ แต่ผมก็รอดมาทุกทีเพราะไม่ได้ไปมั่วสุมกับใคร ใครจะคิดอ่านกันอย่างไรก็ช่างเขา ผมไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ขอเล่าย่อ ๆ ว่าเมื่อตอนที่เกิดรัฐประหารรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์นั้น ผมก็ไม่ได้เกี่ยวข้อง ครั้นเขามาเชิญผมเป็นนายก ก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าเขาจะเอาผมไปเป็นนั่งร้านให้เขา แต่ผมก็จำเป็นต้องรับ

ก่อนจะรับเราได้ก็ได้ประชุมปรึกษาหารือกันที่บ้านผมตั้งตีสองตีสาม มีหลายคนเห็นว่าไม่ควรรับ ผมก็ชี้แจงให้ฟังว่าถ้าเราไม่รับก็จะเกิดเรื่องใหญ่ เพราะฝ่ายหลวงประดิษฐ์ ฯ และฝ่ายหลวงพิบูล ฯ ต่างก็มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่มากด้วยกัน ถึงเขาจะเคยเป็นเพื่อนกัน แต่เมื่อเกิดเรื่องระหว่างลูกศิษย์ต่อลูกศิษย์ เราก็จะพลอยลำบากไปด้วย เอาเถอะเราจะช่วยเข้าไปขวางกลางให้ก็แล้วกัน ตกลงพวกผู้ใหญ่ ๆ ก็เห็นด้วย กับผม เพราะฉะนั้นจึงว่าที่ผมรับเป็นนายกครั้งนั้น ไม่ใช่จะรับโดยไม่รู้ตัว ว่าเขาจะยืมมือเราเป็นการชั่วคราว ครั้นเขามาจี้ให้ผมออก ผมก็ถามว่าพวกคุณทำได้หรือ เมื่อเขาบอกว่าทำได้ก็ให้เขาทำกันไป

ขณะนั้นเป็น พ.ศ.๒๔๙๐ ซึ่งเกิดการรัฐประหารโดยมี พลโท ผิน ชุณหวัณ เป็นหัวหน้า เมื่อเชิญท่าน ควง อภัยวงศ์ มาเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงระยะสั้น ๆ แล้วก็มีคณะรัฐประหาร มาเชิญให้ลาออก เพื่อให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี อีกครั้ง ท่านก็ยอมลาออกแต่โดยดี ท่านสรุปสุดท้ายไว้ในการปาฐกถา เรื่องชีวิตของข้าพเจ้า ณ หอประชุมคุรุสภา เมื่อ ๒๓ พศจิกายน ๒๕๐๖ ว่า

ในชีวิตของผมถือว่า ผมมาทำหน้าที่รับใช้ประชาชน พระสงฆ์ท่านอุตส่าห์เล่าเรียนศีลธรรมก็เพื่อไปสู่นิพพาน แต่นักการเมืองนี่ก็มุ่งหมายจะมีอนุสาวรีย์ตามถนน เรื่องร่ำรวยหรือยากจนเพียงไหนไม่สำคัญอะไรเลย ผมได้เล่ากำพืดของผมให้ฟังแล้ว เรื่องความร่ำรวยนั้นผมก็เคยมาแล้ว และการที่มีคนมากราบไหว้ก็ผ่านมามาก เหมือนคนที่เคยกินเหล้าตั้งขวดมาแล้วยังไม่เมา ถ้ากินเพียงครึ่งขวดมันจะเมาที่ไหน คนที่มันเมานั้นก็เพราะไม่เคยกินต่างหาก กินเข้าไปหน่อยเดียวเลยเมา

ท่านอาจจะเห็นว่าคนที่เป็นรัฐมนตรีแล้ว หรือเป็นอะไร ๆ แล้วนี่น่ะ บางคนจมไม่ลง แต่ผมจมลง เป็นนายกแล้วก็จมลง ผมเดินเปะปะไปที่ไหนต่อที่ไหนก็ได้ กินข้าวที่ไหนก็ได้ รถเมล์รถรางหรือรถอะไรก็ขึ้นได้ เพราะการได้ตำแหน่งมันเป็นเรื่องสวมหัวโขนเท่านั้น

ส่วนเกียรติของผมยังอยู่ แม้ว่าผมจะเดินเตะฝุ่นกลางถนนก็ตาม เพราะผมไม่ได้ไปเอาอะไรจากใคร ไม่ได้เบียดเบียนใคร ผมกลัวเสียชื่อวงศ์ตระกูลของผม ผมจึงทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน และทำตามอุดมคติของผม

ผมขอเรียนตามตรงว่า เวลานี้ผมสบายจะหันหน้าไปหาประชาชน เขาก็ต้อนรับดี เราจะมีเงินสักกี่แสนกี่ล้านก็ซื้อจิตใจประชาชนไม่ได้ และเงินน่ะเรากินได้ไหม เพชรพลอยก็กินไม่ได้ จะกินได้ก็แต่เพียงอาหารมื้อละอิ่มเดียว บางคนยังกินอาหารไม่ได้ด้วยซ้ำ ได้แต่ผะงาบ ๆ อยู่

การที่ผมต้องเข้ามาพัวพันกับการเมือง ไม่ใช่ผมอยากเป็นนักการเมือง แต่เหตุการณ์มันดึงให้ผมเข้าไปเอง อย่างที่เล่ามาให้ฟังนี่แหละ ดึงกันไปดึงกันมา ผมเลยจมเข้าไปในการเมืองจนถอนตัวไม่ออก ครั้นจะถอนตัวก็จะถูกหาว่าหนี แต่ครั้นจะอยู่ก็ผะอืดผะอมเต็มประดา

บรรดาเพื่อน ๆ ของผมทุกคน หลวงพิบูล ฯ หรือหลวงประดิษฐ์ ฯ ก็ดี ถึงแม้จะมีเรื่องขัดแย้งกันในทางการงาน ผมก็ไม่ได้คิดโกรธเคืองอะไรกับใคร ผมทำหน้าที่ของผมเท่านั้น เมื่อหมดหน้าที่แล้วก็แล้วกันไป ความเป็นเพื่อนกับหน้าที่ต้องแบ่งแยกกัน สิ่งใดที่ผมไม่เห็นด้วยผมก็บอกไปตามความเห็น ถ้าไม่เชื่อกันก็ไม่ใช่ความผิดของผม แต่ในทางส่วนตัวผมก็ยังถือว่าเราคงเป็นเพื่อนกันอยู่เสมอไป

ชีวิตของ พันตรี ควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีที่น่าจะเป็นตัวอย่างอันดีงาม ในประวัติศาสตร์ชาติไทยคนหนึ่ง ได้มาถึงจุดสิ้นสุดลงเมื่อ ๑๕ มีนาคม ๒๕๑๑ เวลา ๑๖.๓๐ น. สิริรวมอายุได้ ๖๕ ปี กับ ๑๐ เดือน

##########




Create Date : 16 ธันวาคม 2559
Last Update : 16 ธันวาคม 2559 15:10:23 น. 0 comments
Counter : 4390 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.