Group Blog
 
All Blogs
 
เรื่องของข่าว

 

นิทานชาวสวน

“เจียวต้าย”

 

                        ในโอกาสที่โชคดีได้มีชีวิคอยู่มาถึงอายุ ๘๓ ปี กำลังจะเลิกเขียนหนังสือก็บังเอิญสมาคมนัดเขียนแห่งประเทศไทย ได้เสนอชื่อให้ได้รับมอบรางวัล “นราธิป” เมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๕๗ ความคิดที่จะเลิกเขียนหนังสือ จึงชงักอยู่เพราะมีรางวัลปลอบใจแล้ว เพื่อนนักอ่านก็หนุนว่าอย่าเพิ่งเลิกเขียนเลย จึงจำเป็นต้องค้นหาข้อมูลมาเขียนต่อไปตามแต่จะหาได้

 

                        เมื่อ พ.ศ.๒๕๕๖ ได้เปิดคอลัมน์ขึ้นใหม่ในเวปพันทิป ใช้ชื่อว่า นิทานชาวสวน(อ้อย) เลียนแบบท่าน นาวาเอก สวัสดิ์ จันทนี ร.น. เจ้าของคอลัมน์ที่มีชื่อเสียงในอดีตจากนิตยสาร นาวิกศาสตร์ ของทหารเรือ ชื่อ นิทานชาวไร่

 

                        คือเป็นเรื่องเล่าของผู้เฒ่า ที่รำลึกถึงอดีตจากความทรงจำ ใครจะเชื่อก็ได้ ไม่เชิ่อก็ได้ แบบตำนาน หรือนิทานต่าง ๆ อาจจะมีข้อคิดหรือเรื่องน่ารู้แทรกอยู่บ้าง แต่ไม่ได้หนักหนาอะไร ส่วนผู้เล่าไม่ได้เป็นชาวสวนตามหัวเรื่อง แต่อาศัยอยู่ในชุมชนสวนอ้อย จึงทึกทักเอามาใช้เสียเลย

 

            นิทานเรื่องแรก “เรื่องของการเขียนข่าว”

 

                        ในยุคปัจจุบันข่าวพาดหัวบนหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน มีการประดิษฐ์ถ้อยคำให้สั้น กระทัดรัด และมีความหมายเฉพาะ จนบางทีผู้อ่านก็เดาไม่ถูกว่าเป็นเรื่องอะไร ถ้าไม่เปิดดูเนื้อข่าว ซึ่งอาจจะเป็นกลวิธียั่วยุให้ผู้ที่ยืนดูอยู่ อยากจะซื้อไปอ่านเนื้อเรื่องข้างในก็ได้

 

                        การกระทำเช่นนี้มีมานาน ตั้งแต่เริ่มมีหนังสือพิมพ์เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ข้อความนั้น ๆ ก็แตกต่างกันไปตามแต่ละยุค และสมัยที่นิยมกันในเวลานั้น เราเคยเห็นพาดหัวข่าวใน พ.ศ.๒๔๙๓ ดังนี้

 

                                    ปลดสปัสซั่มสาวแล้วเข้ากรง

 

                        ถ้ายังเดาไม่ออกก็ลองดูหัวรองว่า

 

                                    สองหนุ่มปวดสะดือจนตัวโก่ง หาทางใช้แบ๊งค์เก๊ปลดสปัสซั่มจนได้เรื่องคงจะพอเข้าใจได้บ้างถ้ารู้ว่า สปัสซั่ม หมายถึงอะไร เนื้อข่าวข้างในมีความว่า

 

                                    เมื่อเวลาประมาณ ๒๐ น.ของวันที่ ๑๘ สิงหาคม นายจั๊ว(นามสมมุติ) ทำงานอยู่โรงพิมพ์แห่งหนึ่งข้างวัดบพิตรพิมุข กับนายเซ้ง (นามสมมุติเหมือนกัน) ทำงานอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่งแถวถนนเสือป่า ทั้งสองเป็นเพื่อนรักกัน และยังเป็นโสดทั้งคู่

 

                                    ตามวันเวลาดังกล่าวแล้ว สองหนุ่มลูกจีนชวนกันออกมาเที่ยวเตร่แถวสะพานเหล็ก เพื่อเลือกหาสาวหน้าแฉล้มร่วมทางไปสวรรค์ แต่เมื่อนำธนบัตรใบละ ๑๐๐ จ่ายให้นางแม่เล้าเจ้าสำนัก ก็ต้องรับกลับคืน เพราะอาเฮียขายของชำที่ไปขอแลกเป็นใบย่อย บอกว่าเก๊

 

                                    สองหนุ่มขัดใจเพียรไปแลกแห่งอื่นอีก ก็ไม่ได้ผลสมประสงค์ เพราะใบละร้อยอันจะเป็นค่าผ่านทางขึ้นสวรรค์นั้น เก๊จริง ๆ สองคนก็ตระเวนไปอีก จนถึงสำนักของนางเติม (นามสมมุติ) และเมื่อใบละร้อยนั้นแลกเปลี่ยนไม่ได้อีก นายนายเซ้งเกิดอาการเกร็งจนหน้าตึงเป๋ง จึงควักใบละสิบจ่ายให้ (ตามราคา) แล้วจูงมือนางสม (         นามสมมุติทั้งนั้น) เข้าห้อง โดยเพื่อนอีกคนหนึ่งนั่งงุ่นง่านรอคอยอยู่ เพราะมีเศษเงินเพียงเท่านั้น

 

                                    ฝ่ายอาเสี่ยที่ถูกแลกใบละร้อย ทำนองเทียวไล้เทียวขื่อของสองหนุ่ม เกิดอาการสงสัย จึงไปกระซิบตำรวจยามที่เคยเป็นขาประจำน้ำชากาแฟ เมื่อโปลิศรู้ความกระนั้นแล้ว จึงรุดหน้าไปยังสำนักนางเติม เพราะรู้ความว่าเจ้าของแบ๊งค์เก๊กำลังสำราญอยู่ที่นั่น

 

                                    พอไปถึงก็เป็นเวลาที่นายเซ้งออกมายืนหอบฮักอยู่ จึงเข้าตรวจค้นฐานสงสัย และได้แบ๊งค์ปลอมใบละ๑๐๐ บาทในตัวนายเซ้งอีกใบหนึ่ง โปลิศจึงรวบตัวสองหนุ่มไปโรงพักสำราญราษฎร์

 

                                    เป็นอย่างไรบ้าง กับสำนวนเขียนข่าวแบบโบราณ เพราะข่าวนี้ได้มาจาก

 

หนังสือพิมพ์ ฉบับวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๔๙๓ แต่เพื่อความสมบูรณ์ของบันทึก จึงขอนำเนื้อความโปรยหัวข่าวมาสรุปในตอนท้ายนี้ด้วย เขาบรรเลงไว้ดังนี้

 

                                    เจ้าหนุ่มรูปหล่อทั้งกำลัง”สด”อดเปรี้ยวหวานมันเค็มมาหลายเวลา ก็เกิดอาการ ”เกร็ง”ขนาดหนัก เพื่อระงับโรคปวดสะดือให้หายไปชั่วครั่งชั่วคราว จึงเตร่มาแสวงหาความสำราญด้วยนางโลมหน้าแฉล้ม แต่ขนบประเพณีแม่เล้านั้น มักจะถือเป็นหลักเกณฑ์ว่า ผิว์เจ้าหนุ่มหน้าใดจะเปิดประตูห้องสวรรค์ด้วยดรุณีใดแล้ว จะต้องจ่ายทรัพย์เป็นค่าล่วงหน้าก่อน ขืนปล่อยปละละเลยแล้วไซร้ หนุ่มมันเหยียบคั่นบรรไดสวรรค์แล้ว จะเล่นลูกไม้บิดพริ้ว เจ้าหนุ่มซึ่งกำลังเกร็งควักใบละร้อยเหมือนจะอวดว่า “ฉันนี่แหละอาเสี่ย” แต่เมื่อแม่เล้าเอาไปขอแลกเพื่อจ่ายทอนกันไปตามกฎหมาย จึงรู้ว่าแบ๊งค์นั้นรัฐบาลไม่ได้เป็นผู้ทำ หนุ่มมันก็รับคืน แต่อาการเกร็งไม่หายจึงต้องตระเวนไปแห่งอื่น เมื่อรู้ไปถึงตำรวจ จึงถูกลากไปนอนกรงขัง ฐานพยายามใช้แบ๊งค์เก๊

 

                        ข้อความนี้ ถ้านักข่าวที่สำเร็จด้านนิเทศก์ศาสตร์ ในสมัยปัจจุบันได้อ่าน จะเกิดความ รู้สึกอย่างไรหรือไม่ ก็ไม่ทราบ

 

                        แต่ผู้เฒ่าอ่านแล้วก็อยากจะชมผู้เขียนข่าว ที่มีความอุตสาหะวิริยะ พยายามเขียนข่าวที่สั้นนิดเดียวให้ยาวและละเอียดลออ ยังกะเป็นคนใดคนหนึ่ง ในกระบวนผู้ต้องหาทั้งสองนั่นเลยทีเดียว.

 

 

            เรื่องที่ ๒ ชื่อดีเป็นศรีแก่ตัว

 

                        เคยเล่าไว้แล้วเรื่องหนึ่ง ว่าชื่อของบุคคลโดยเฉพาะเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง ต้องระวังอย่าให้ไปซ้ำ หรือแปลความหมายแล้ว กลายเป็นคำอัปมงคลไปเสีย อย่างเมื่อไม่นานมานี้ มีคนคิดจะเปลี่ยนชื่อสัตว์ ตัวที่เป็นญาติกับตะกวด เป็นชื่อที่ไพเราะว่า วรนุช ทำให้เป็นที่กระทบกระเทือนแก่สุภาพสตรีที่ใช้ชื่อนี้มาก่อน เป็นอย่างยิ่ง
                        เราเองก็เคยมีข้อขลุกขลักเกี่ยวกับชื่อ ที่ใช้เขียนหนังสือ หรือที่เรียกว่า นามปากกา หรือในทางอินเตอร์เนตเรียกว่า ล็อกอิน อยู่บ้างเหมือนกัน

 

                        เมื่อสมัยยังรับราชการ และประจำอยู่ในกองบรรณาธิการนิตยสารของหน่วย มีนักเขียนไม่ต้องเขียนเรื่องเพิ่มไปทุกฉบับ จะใช้นามปากกาเดียวก็ดูจะซ้ำซากอยู่ จึงต้องเปลี่ยนนามปากกา ไปแต่ละประเภท เช่น เรื่องสั้น ใช้ “เพทาย” สารคดีใช้ “พัชรรัตต์” บันทึกของคนเดินเท้าใช้ “เทพารักษ์” วรรณคดีไทยใช้ ฑ.มณฑา และเรื่องธรรมะใช้ “ปภัสสร” เป็นต้น เมื่อเกษียณอายุราชการแล้ว เรียบเรียงพงศาวดารจีน ก็ใช้ “เล่าเซี่ยงชุน” ให้ฟังดูเป็นคนแซ่เล่า ญาติกับเล่าปี่ ซึ่งเป็นตัวเอก
                      นามปากกานี้ เกิดไปถูกใจท่านบรรณาธิการนิตยสารรายปักษ์ ที่มีชื่อเป็นการ์ตูน มีคำขวัญว่า นิตยสารเพื่อ สาระ หรรษา การ์ตูน และร้อยกรอง มีนโยบายว่า การเมืองไม่ยุ่ง การมุ้งไม่เกี่ยว ฮาลูกเดียว ซึ่งในปัจจุบันเปลี่ยนเป็น พอคเก็ตแมกาซีน สาระ+ หรรษา

 

ท่านฟังสำเนียงแล้วชวนระลึกถึง สุราเซี่ยงชุน ป้ายแดง ของโรงงานสุราบางยี่ขัน เพราะท่านเป็นนักดี่มมาตั้งแต่หนุ่ม ๆ รุ่นเดียวกัน เลยรับเรื่อง ปกิณกะสามก๊ก ไปลงพิมพ์ตั้งหลายตอน จนสามารถรวมเล่มเป็นพ็อคเก็ตบุคส์ได้ ขนาดกำลังเหมาะมือ โดยที่ท่านยังกรุณาเขียนคำนิยมให้อีกด้วย
                      แต่เมื่อถึงเรื่องประเภทสารคดี ที่ใช้นามปากกา “เทพารักษ์” “วชิรพักตร์” หรือ พ.สมานคุรุกรรม ท่านกลับถามว่า จะใช้ยศชื่อจริงไม่ได้หรือ เพราะนักเขียนอาวุโสของสำนักนี้ ส่วนใหญ่ที่เป็นข้าราชการบำนาญ มักจะใช้ยศชื่อและนามสกุลจริงทั้งนั้น เราก็แก้ตัวว่าท่านผู้อาวุโสเหล่านั้น ล้วนแต่เป็นผู้ใหญ่ผู้โตทั้งนั้น เช่น อดีตอธิบดี อดีตปลัดกระทรวง อดีตผู้ว่าราชการจังหวัด อดีตประธานรัฐสภา อดีตอัศวินแหวนเพ็ชร หรืออย่างต่ำก็ อดีตนายอำเภอ เป็นต้น
                   แม้แต่ท่านที่เป็นทหาร ต่างก็มียศนายพลทั้งสิ้น ส่วนใหญ่จบจากโรงเรียนนายร้อยเท็คนิค นายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนนายเรือ นายเรืออากาศ บางท่านผ่านศึกเกาหลี เวียตนาม อดีตนักรบนิรนาม ไม่มีท่านไหนเป็นนายสิบเสมียน เหมือนอย่างเราเลย ใช้ชื่อจริงก็ไม่มีใครรู้จัก เหมือนนามปากกานั่นแหละ เคราะห์ดีที่ท่านยอมเชื่อ และพิมพ์เรื่องให้อีกหลายชิ้น เป็นเวลาทั้งหมดร่วมเจ็ดปี
                  ต่างกับวารสารอีกฉบับหนึ่ง ชื่อเป็นฝรั่ง เราใช้ชื่อจริงก็ลงให้หลายชิ้น พอใช้นามปากกา “เล่าเซี่ยงชุน” ก็ขอให้ใช้ชื่อจริงเหมือนกัน พอเราไม่ยอมเปลี่ยนก็งดไม่พิมพ์ให้เลย เวรกรรมแท้แท้
                   ไม่เหมือนเวปพันทิป เมื่อสมัครสมาชิก ใช้ล็อกอิน “เล่านั้ง” “เล่าเหลา” ก็ไม่ได้เพราะมีคนใช้แล้ว พอดีนึกขึ้นมาได้ว่า “เจียวต้าย” คงไม่มีใครเตยได้ยินแน่ จึงผ่าน และอยู่มาจนขึ้นปีที่แปดแล้ว ก็ยังไม่เคยเห็นชื่อที่เขาว่าซ้ำเลย
                   “เจียวต้าย” เป็นชื่อกลุ่มเพื่อนที่เราได้รวบรวมมาตั้งแต่เมื่อสี่สิบปีก่อนโน้น ด้วยความคิดผิดที่นึกว่าหมายถึง”เพื่อนสนิท” คบกันมาจนล้มหายตายจากไปทีละคนสองคน จนเหลือแต่เราคนเดียว จึงได้รู้ความหมายที่แท้จริงว่าคือ ผู้ต้อนรับ หรือ รีเซฟชั่น นี่เอง แต่ก็ไม่ได้วิตกทุกข์ร้อนอะไร มีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น ไปตามกรรมเท่านั้น
                    แต่ก็ทำให้ชื่อนี้ปรากฏอยู่ในสายตา ของสมาชิกพันทิป เพิ่มขึ้นอีกตั้งหลายล้านคน และจะคงอยู่ต่อไปอีกนานเท่านาน กว่าจะมีอุกาบาตวิ่งมาชนจนโลกแตก
                    ขอขอบคุณ”พันทิป” ไว้ ณ ที่นี้ด้วย.


                                               ###########

 




Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2557
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2557 12:53:01 น. 6 comments
Counter : 657 Pageviews.

 
แวะมาอ่านถึงบ้านเลยค่ะพี่ปู่


โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 23 มีนาคม 2557 เวลา:18:36:13 น.  

 
ขอบคุณครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 19 เมษายน 2557 เวลา:12:44:07 น.  

 
ไม่ได้แวะเข้ามาอ่านนานมากเลยค่ะ มั่วแต่ยุ่งกับงาน ดีใจด้วยค่ะและขอบคุณมากๆค่ะที่เขียนเรื่องดีๆให้อ่านเสมอๆ


โดย: น้องใหม่ขี้สงสัย (น้องใหม่ขี้สงสัย ) วันที่: 29 เมษายน 2557 เวลา:0:28:17 น.  

 
ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมน้องซีด้วยเช่นกันค่ะ ^^


โดย: มี้เก๋ + ป๊าโอ๋ = ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 18 พฤศจิกายน 2557 เวลา:8:44:44 น.  

 
สำนวนการเขียนข่าวอ่านแล้วดูจะขำขำ ดีค่ะ
เพิ่งทราบว่าเจียวต้ายแปลว่าอะไรค่ะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 18 พฤศจิกายน 2557 เวลา:14:48:53 น.  

 
ขอบคุณ คุณtuk-tuk@korat

และคุณ น้องใหม่ขี้สงสัย

ทั้งสองท่านนี้ผมเห็นชื่อมานานแล้วครับ
แต่บล็อกของผมไม่เคลื่อนไหวมาเป็ยปี
ถ้าเป็นธนารคาร เขาคงเก็บค่ารักษาบล็อกแล้วครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 21 พฤศจิกายน 2557 เวลา:18:49:09 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.