|
เรื่องธรรมดา (๒๘) ไข่นำโชค
เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา (๒๘)
ไข่นำโชค
"เพทาย"
ผมมีอายุครบเกณฑ์ทหารตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๕ แต่ได้ร้องขอผ่อนผันเพื่อหาเลี้ยงมารดา ซึ่งป่วยไม่สามารถช่วยตัวเองได้ และมีลูกชายคนเดียว ได้รับการผ่อนผัน ๑ ปี เข้ารับการคัดเลือก พ.ศ.๒๔๙๖ ก็ได้ลาพักรอเข้ากองประจำการอีก ๑ ปี ได้เป็นทหารจริง พ.ศ.๒๔๙๗
เมื่อพบกับผู้บังคับหมู่ ซึ่งรู้ว่าผมเป็นนักเรียนวัดรุ่นพี่เขาแล้วทั้ง ๆ ที่เขาอายุแก่กว่าผม เขาไม่เคยสั่งลงโทษเดี่ยวกับผมเลย เว้นแต่ความผิดทั้งแถว ทั้งหมู่ หรือทั้งหมวด ผมจึงมีความสุขทางใจ ในการเป็นทหารมากขึ้น หนักแต่กายอย่างเดียว เพราะดันเป็นทหารราบ ต้องฝึกอยู่ในสนามทั้งปี
พอการฝึกเบื้องต้นแปดสัปดาห์จบลงแล้ว ก็ถึงคราวต้องฝึกเรื่องยิงปืน สมัยนั้นต้องไปที่สนามยิงปืนเขาอีโต้ จังหวัดปราจีนบุรี ไปกางเต๊นท์อยู่บนเขาแถววัดเนินดินแดง กองบังคับการตั้งอยู่บนศาลาใหญ่ พวกลูกแถวต้องนอนในเต๊นท์บุคคล คู่กันหลังละสองคน เป็นการฝึกภาคสนามไปในตัว
ผมก็จับคู่กับเพื่อนชาวพระโขนงคนหนึ่ง นิสัยดีมาก พื้นที่แห่งนั้นเคยมีทหารหน่วยอื่น มาพักยิงปืนอยู่ก่อนแล้วหลายหน่วย พื้นดินจึงเต็มไปด้วย ร่องรอยของการขุดเป็นหลุมเป็นร่อง เราก็กางเต๊นท์ทับลงไปบนพื้นดินที่ขรุขระนั้น เอาผ้าใบปูรองนอนเอาเป้หนุนหัว ทนเจ็บหลังไหล่อยู่ครึ่งคืน
พอถึงกลางดึกฝนดันตกลงมาอย่างหนัก ทีแรกก็คิดว่าเย็นสบายดี สักพักก็รู้สึกว่ามีลูกคลื่นวิ่งผ่านใต้ผ้าปูที่นอน พอลุกขึ้นนั่ง น้ำก็บ่าเข้ามาในเต๊นท์เก็บข้าวของไม่ทัน เครื่องกระป๋องที่กักตุนเอาไว้ กลิ้งหลุน ๆ ตามน้ำไปหมด เหลือแต่เป้กับผ้ารองนอน ต้องวิ่งไปรวมกันอยู่ตามโคนต้นไม้ใหญ่ เอาผ้าปูนอนคลุมหัว ตกลงทหารทั้งหมดต่างก็วิ่งหนีฝนที่กระหน่ำลงมา จนกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง พอฝนหายเป่านกหวีดเรียกรวมได้ครบแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะนอนที่ไหนดี เพราะพื้นดินเฉอะแฉะไปหมด ต้องนั่งสัปหงกจนถึงเช้า เลยยิงปืนไม่เข้าเป้าไปตาม ๆ กัน
กลับจากการฝึกยิงปืนครั้งนั้นแล้ว ผมกับเพื่อนชาวพระโขนงก็คบหาสนิทสนมกันมากขึ้น เวลากินข้าวซึ่งในสมัยนั้นหมวดสูทกรรมหุงข้าวให้อย่างเดียว กับข้าวต้องซื้อจากแม่ค้าที่ทำมาขาย ชาวพระโขนงที่เป็นอิสลาม มักจะไม่ค่อยซื้อกับข้าว แต่จะกินกับน้ำพริกซึ่งอัดใส่ขวดมาจากบ้านเป็นประจำ แต่เพื่อนของผมคนนี้ไม่ได้เป็นอิสลาม จึงซื้อกับข้าวคนละอย่างมากินรวมกันได้สบาย
หลังจากที่พ้นเกณฑ์ไปตั้งสามสิบกว่าปี ได้พบกันครั้งเดียวที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เขายังเลี้ยงเบียร์ผมขวดหนึ่ง เพราะผมไม่มีเงินเลย และกด เอ.ที.เอ็ม.ไม่ได้เพราะเป็นวันเงินเดือนออก เงินหมดแทบทุกตู้ ผมยังจำได้ไม่เคยลืม
เพื่อนอีกคนหนึ่งเป็นชาวอำเภอสัมพันธวงศ์ มีเชื้อสายจีน เขาอ่านหนังสือไทยไม่ออกเลย ได้ความว่าเมื่อเด็ก ๆ เรียนโรงเรียนจีน แล้วก็ไม่สนใจภาษาไทย พอโตขึ้นก็ลืมหมด ผมต้องเป็นครูสอนให้เขาหัดอ่านหนังสือไทยในเวลาว่าง จนพอจะอ่านหนังสือพิมพ์ได้บ้าง ก็พอดีผมแยกไปเข้านักเรียนนายสิบ แล้วไม่เจอกันอีกเลย
ส่วนอีกคนหนึ่งนามสกุลใหญ่มาก และเป็นคนมีเงินมาก ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ซึ่งตรงกันข้ามกับผม ซึ่งกินแต่เบี้ยเลี้ยงเงินเดือนที่ได้รับจ่าย อย่างกระเบียดกระเสียนเต็มที จนเมื่อเขาและผมได้รับการคัดเลือก ให้เป็นครูฝึกทหารใหม่รุ่นถัดไป จึงได้สนิทสนมกันมากขึ้น เมื่อเวลาพักการฝึกประจำชั่วโมง ผมไม่มีเงินก็นั่งคุยอยู่กับทหารใหม่ในแถว กินแต่น้ำแช่น้ำแข็งที่เขาใส่ถังมาเลี้ยงทหาร
เพื่อนคนนี้ก็เข้าไปนั่งในเพิงขายกาแฟ ใกล้กับสนามฝึกในวังสวนสุนันทา เขาก็มักชวนผมไปกินกาแฟกับเขาเสมอ จนผมกระดาก แต่ก็ยอมให้เขาออกค่าโอเลี้ยงหลายครั้ง
ต่อมาเขาก็สมัครเข้าเป็นนักเรียนนายสิบเหล่าเดียวกับผมรุ่นถัดไป ผมจึงกลับเป็นครูฝึกเขาอีก ช่วงหลังของการรับราชการนั้น เขาอยู่ทางกองบัญชาการทหารสูงสุด ได้พบกันไม่กี่ครั้งก็เห็นกินเหล้ายังกับน้ำประปา แต่ถึงขณะนั้นเขาก็เป็นพันโท
หลังจากการฝึกยิงปืนแล้ว ก็เป็นการฝึกวิธีรบ เราฝึกกันในสนามหญ้าสูงท่วมหัว ใกล้ชิดติดกับกองร้อยของเราเอง พื้นที่นั้นก็คือหอประชุมกองทัพบกในปัจจุบัน ฝึกการแปรขบวน การหมอบคลานเข้ายึดพื้นที่จนหญ้าราบลงเกือบหมด ครั้งสุดท้ายของผม ก็คือการวิ่งเข้ายึดที่หมาย ต้องติดดาบปลายปืนเล็กยาวรุ่น ๖๖ หนักหลายกิโล วิ่งเข้าหา ข้าศึกในระยะ ๑๐๐ เมตร ทีละหมู่ ๑๒ คน ผมเฉียงอาวุธวิ่งไปได้ไม่เท่าไร ก็ล้มตัวลงนอนกลิ้งตามแบบฝึก แต่ลุกไม่ขึ้น เพราะปวดไข่จนน้ำตาแทบเล็ด
ทีแรกครูฝึกนึกว่าผมทำ มารยา จึงเอาเท้าสะกิดให้ผมลุกขึ้นวิ่งต่อไป แต่ผมถึงกับทิ้งปืนนอนกุมไข่ดิ้นพราด ๆ จึงถูกพาไปหาหมอ ผมนอนอยู่ที่เสนารักษ์ตั้งหลายชั่วโมง แต่ทำอย่างไรก็ไม่หายปวด
ได้ความว่าผมเป็นโรคไส้เลื่อนมาแต่กำเนิด เป็นความพิการอย่างหนึ่ง คือระหว่างช่องท้องกับถุงอัณฑะ โดยปกติจะมีช่องว่างและมีพังผืดบาง ๆ ที่มีรูเล็ก ๆ กั้นอยู่ แต่ของผมรูมันค่อนข้างกว้าง เมื่อโตขึ้นลำไส้เล็กก็สามารถเลื่อน ผ่านรูนั้นลงไปในถุงอัณฑะได้ รูนั้นก็กว้างขึ้นทุกที จนเมื่อเดินหรือยืนนาน ๆ ลำไส้จะลงมากองเป็นก้อนโต ถ้าเอามือบีบดันก็กลับคืนที่เดิมได้ แต่ไม่นานก็ลงมาอีก นอกจากเวลานอนลำไส้กลับไปอยู่ ในที่ทางของมันแล้ว เราก็สบายเหมือนไม่เป็นอะไร
แต่คราวนี้ฝึกหนักเป็นเวลานาน มันก็ลงมามากเป็นก้อนใหญ่ แล้วกลับคืนที่ไม่ได้ ช่องว่างที่ผนังเป็นเหมือนยางยืดก็บีบรัดเอาไว้ จึงทำให้ปวดมาก และมากขึ้นทุกที จนถึงกับอาเจียน ผู้หมวดจึงสั่งให้ขอรถเอาไปส่งโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าทันที
โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าในยุคนั้นเพิ่งจะเริ่มขยายกิจการให้ทันสมัย นายแพทย์สั่งให้เอาผมเข้าห้องผ่าตัดฉุกเฉิน เพราะถ้าปล่อยไว้นาน โลหิตลงไปเลี้ยงลำไส้ที่ถูกรัดไว้ไม่ได้ก็จะเน่า และมีหวังตายได้ ทั้ง ๆ ที่โรคนี้เป็นเรื่องเล็ก ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะผ่าอะไรและตัดอะไร แต่ก็ปลงแล้วว่าขอให้หายปวดเถิดจะตัดทิ้งเสียทั้งพวงก็ยอม
แต่ปรากฎว่าผ่าไปนิดเดียวไม่ถึงคืบ โดยไม่ได้วางยาสลบ นายแพทย์ซึ่งจำได้ว่าเป็นพันตรี ให้ผมนอนตะแคงกอดหมอนไว้ที่หน้าอก แล้วงอหัวเข่ามาอัดไว้ ทำให้หลังงอเป็นกุ้ง แล้วก็ฉีดยาเข้าไขสันหลัง ระหว่างที่แทงเข็มเข้าไป และควานหาจุดที่เหมาะสม มันทั้งเจ็บทั้งเสียวจนมืออ่อนตีนอ่อนไปหมด จากนั้นก็ชาตั้งแต่สะดือลงไปจนถึงปลายนิ้วเท้า หมอถามว่าชาหรือยัง ผมก็บอกไปตามความรู้สึก จนชาเรียบร้อยแล้ว จึง เอาผ้ามาปิดตาผมไว้ มือทั้งสองข้างถูกมัดไว้กับเตียงผ่าตัด และดูเหมือนจะมีการให้น้ำเกลือด้วย
ผมทราบทีหลังว่าหมอผ่าตรงโคนขาขวาเหนือลูกอัณฑะ เปิดออก ดึงลำไส้ขึ้นมาให้อยู่ที่เดิม แล้วเย็บช่องพังผืดนั้นให้ปิดสนิท แล้วจึงเย็บแผลภายนอก โดยที่ผมรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา หมอพยายามชวนผมคุยโดยซักถามประวัติส่วนตัว ผมก็ตอบไปเรื่อย พอถึงตอนสำคัญท่านถามว่าเจ็บไหม ผมก็บอกตามตรงว่าไม่รู้สึกเจ็บ แต่เสียวหน่อย ๆ บางครั้งหมอเอาเครื่องมือวาง เลยสะดือผมขึ้นมาก็รู้สึกว่าเป็นโลหะเย็น ๆ
ใช้เวลาผ่าตัดประมาณหนึ่งชั่วโมงก็เสร็จ พยาบาลเข็นจากห้องผ่าตัด ไปขึ้นเตียงนอนของผมที่หมวดอะไรก็ไม่ทราบ สมัยนั้นที่พักของคนไข้เป็นเรือนไม้ยาว ๆ เรียงรายไปตามแนวรั้วของโรงพยาบาลด้านถนนราชวิถีแถว ๆ ที่เป็นธนาคารทหารไทยเดี๋ยวนี้ มีด้วยกันหลายโรง เรียกเป็นหมวด ๑ หมวด ๒ หมวด ๓ ตามลำดับ
ถึงเตียงนอนใหม่ ๆ ยายังไม่หายชาก็รู้สึกสบายดี ผงกหัวดูปลายเท้า เห็นมันเกยกันอยู่ไม่เรียบร้อย จะเอาลงพยายามเท่าไรก็ไม่สำเร็จเพราะมันไม่รับคำสั่ง แต่พอยาชาหมดฤทธิ์ มันเจ็บปวดที่แผลอย่าบอกใครเชียว เหมือนใครเอามีดโกนมาผ่า แล้วทิ้งคาไว้อย่างนั้น
สมัยนี้เมื่อผ่าตัดที่ใดหมอก็เอาผ้าก๊อสโปะแผลไว้แล้วปิดด้วยเทปเหนียว ไม่ให้อากาศเข้ากินยาตามเวลา ๗ วันจึงจะเปิดดูแผล สมัยก่อนไม่มียากินดี ๆ ต้องเปิดผ้าก๊อสทำความสะอาดแผลทุกเช้า และฉีดยาปฏิชีวนะเข้ากล้ามทุก ๖ ชั่วโมงจนแขนซ้าย ขวาระบม ต้องเปลี่ยนเป็นฉีดที่สะโพกซ้ายขวา แล้วก็ย้ายกลับมาที่แขนอีก ๗ วันโดนเข้าไป ๒๘ เข็ม พลิกข้างไหนก็ไม่ได้เจ็บก้นเจ็บแขนไปหมด
พอตัดไหมที่เย็บภายนอกแล้วหมอก็ให้กลับกองร้อย ให้นายสิบเสนารักษ์ ทำความสะอาดแผลทุกเช้า เกิดแผลไม่หายเป็นหนองตรงกลาง เพราะมีไหมที่เย็บแผลข้างในโผล่ยื่นออกมานิดหนึ่ง ต้องเอากรรไกรขุดลงไปตัดให้ต่ำกว่ารอยแผล แล้วรักษาต่ออีกหลายวันกว่าแผลจะปิดสนิท และแผลเป็นเลยกว้างกว่าธรรมดา แต่ดีที่ไม่มีใครเห็น
โรคไส้เลื่อนนี้ อีก ๒๐ ปีต่อมาก็กลับเป็นอีกข้างหนึ่ง ขณะที่สงครามอินโดจีนกำลังเสียเปรียบ คอมมิวนิสต์ตีเมืองไซ่ง่อนและพนมเปญแตก และประกาศว่าจะมากินข้าวกลางวันที่สนามหลวง ผมกลัวว่าจะวิ่งไม่ไหว จึงไปผ่าตัดอีกครั้ง ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเจ้าเก่า คราวนี้นอนอยู่ไม่กี่วันก็หายดี แต่เป็นเพราะบารมีของ พระสยามเทวาธิราช และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา จึงไม่มีใครเยี่ยมกรายเข้ามาได้ ดังที่ว่านั้นเลย
เมื่อหายจากการผ่าตัดในครั้งนั้นแล้ว ผมก็ได้รับการคัดเลือกให้เป็นครูทหารใหม่ผลัดต่อไป พอดีทางราชการรับสมัครทหารเกณฑ์ปีที่ ๒ เข้าเป็นนักเรียนนายสิบ ผมจึงขอนุญาตผู้หมวด ขอไปสมัครเรียน ท่านก็เซ็นค้ำประกันให้ แล้วสั่งว่าให้เลือกเหล่าทหารราบ พอผมไปถึงที่รับสมัคร เขากลับมีให้เลือกเพียง ๓ เหล่าเท่านั้น คือ ทหารปืนใหญ่ ทหารสื่อสาร และนายสิบเสนารักษ์
ผมเห็นว่าผมไม่ถูกกับเข็มฉีดยามาแต่ไหนแต่ไร และไม่ชอบพยาบาลคนเจ็บป่วยจึงไม่เลือกเสนารักษ์ และเพิ่งหายจากการผ่าตัด ปืนใหญ่นั้นคงหนักน่าดู ขืนไปแบกหามหรือลากเข็นมันเข้า เกิดแผลปริออกมาก็จะยุ่งกันอีก จึงเลือกทหารสื่อสาร ซึ่งอาจจะมีความรู้วิชาวิทยุหรือโทรศัพท์ออกมาหากินนอกเวลาได้บ้าง โดยไม่ได้กลับไปบอกผู้หมวดที่กองร้อยเลย แต่ก็ไม่เคยลืมพระคุณท่าน เพียงแต่นึกชื่อท่านไม่ออกเท่านั้น
แล้วผมก็ได้ทำมาหากินเป็นทหารสื่อสาร มาสามสิบกว่าปีจนปลดเกษียณในยศพันเอก มีบำนาญเหลือเฟือ โดยไม่มีวิชาความรู้ ด้านวิทยุหรือโทรศัพท์เลยแม้แต่น้อย
ข้อที่สำคัญมากก็คือ ผมไม่ทราบว่าโรคไส้เลื่อน ที่เป็นมาแต่กำเนิดนั้น เขายกเว้นไม่ต้องเกณฑ์เป็นทหาร
ผมจึงได้ดีมาทุกวันนี้ ก็เพราะความไม่รู้นี้เอง.
##########
Create Date : 12 กันยายน 2552 Last Update : 12 กันยายน 2552 6:46:41 น.
Counter : 69 Pageviews. 5 comments
Add to
โดย: ศ. (ศิลป์ใจ ) วันที่: 13 กันยายน 2552 เวลา:0:29:17 น.
โห เขียนได้น่าติดตามมากครับ อ่านแล้วเหมือนจริงเลยอ่ะครับเห็นภาพเลย หรือว่าเป็นเรื่องจริงอ่ะครับ ท่านเจียวต้าย...ชอบตอนจบที่สุดเลยครับนี่ถ้าไม่อ่านก็ไม่รู้นะว่าใส้เลื่อนคือแบบนี้ แล้วก็ละเว้นการเกณฑ์ทหารด้วย
โดย: ศิลป์ใจ (ศิลป์ใจ ) วันที่: 13 กันยายน 2552 เวลา:0:31:07 น.
คุณลุงเจียวต้ายช่วยอธิบายปืนเล็กยาวรุ่น ๖๖ ด้วยครับ ใช่ที่เขาเรียกว่าปืน รศ หรือเปล่าครับ ผมนึกออกได้แค่รุ่น ๘๘
โดย: ลุงแก่ IP: 124.122.158.122 วันที่: 18 กันยายน 2552 เวลา:19:21:13 น.
ขอบคุณครับคุณ ศ.ศิลป์ใจ ที่ชื่นชมเรื่องนี้ครับ
เป็นเรื่องจริงในชีวิตของผม เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ
โดย: เจียวต้าย วันที่: 19 กันยายน 2552 เวลา:18:21:49 น.
คุณลุงแก่ครับ ปืน ร.ศ.นั้นเก่ามากกว่า ปลย.๖๖ ครับ
ผมเดาว่าปืนเล็กยาวแบบ ร.ศ.นั้นทหารไทยน่าจะใช้ในสงครามโลกครั้งที่ ๑
แต่ปืนเล็กยาวแบบ ๖๖ ก็คือใช้ในราชการทหาร พ.ศ.๒๔๖๖ หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ ประมาณ ๕ ปี และใช้อยู่จนสิ้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ เพิ่งได้ ปืนเล็กยาวบรรจุเอง หรือ ปลยบ.๘๘ ปลายสงครามโลกครั้งที่สอง สำหรับเสรีไทย
และได้รับความช่วยเหลือจากจัสแม็ก เมื่อสงครามเกาหลี ต่อมาจนถึง เอ็ม ๑๖ และ เอช.เค.๓๓ ซึ่งไม่ใช้ พ.ศ.ที่ขึ้นประจำการ
ปืนเล็กยาวแบบ ๖๖ เป็นปืนที่บรรจุกระสุนขนาด ๘ ม.ม.ตับละ ๕ นัด ต้องกระชากลูกเลื่อน สลัดปลอกและส่งกระสุนเข้ารังเพลิงทีละนัด เช่นเดียวกับปืนเล็กสั้นของญี่ปุ่น (สงสัยว่าสั้นกว่า ปลยบ.๖๖ เพราะทหารญี่ปุ่นสมัยนั้นตัวเตี้ย)
กระสุนขนาด ๘ ม.ม.นั้นให้ได้ทั้งปืนเล็ก ปืนกลเบา และปืนกลหนัก
ส่วน ปลยบ.๘๘ เป็นปืนกึ่งอัตโนมัติ ดูเหมือนบรรจุ ๘ นัด กระชากลูกเลื่อนเพียงครั้งเดียว ก็ยิงทีละนัดจนหมดตับ
ทหารญี่ปุ่นจึงเสียเปรียบทหารอเมริกามากครับ
โดย: เจียวต้าย วันที่: 19 กันยายน 2552 เวลา:18:34:48 น.
Create Date : 15 มีนาคม 2553 |
Last Update : 31 มีนาคม 2553 6:40:56 น. |
|
0 comments
|
Counter : 481 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|