Group Blog
 
All Blogs
 
ตอนที่ ๓๒ ศัตรูพระศาสนา

พลิกพงศาวดาร

ตอนที่ ๓๑ ศัตรูพระศาสนา

พ.สมานคุรุกรรม

ส่วนหลวงสรศักดิ์ ครั้นเห็นเจ้าพระยาวิชเยนทร์ สึกเอาภิกษุสามเณรออกมาทำราชการเป็นอันมาก ให้ร้อนในพระพุทธศาสนาดั่งนั้น ก็เอาเหตุขึ้นกราบทูลพระกรุณา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบเหตุดังนั้นแล้ว ก็มิได้เอาโทษแก่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ แลมิได้ตรัสประการใด หลวงสรศักดิ์จึงคิดว่า ไอ้ฝรั่งคนนี้มันเป็นที่โปรดปรานยิ่งนัก จะกระทำผิดสักเท่าใด ก็ทรงพระกรุณามิได้เอาโทษ แลกูจะทำโทษมันเองสักครั้งหนึ่ง จึ่งเข้าไปคอยเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ อยู่ที่เคยนั่งว่าราชการในพระราชวังนั้น

ครั้นเพลาเช้าเจ้าพระยาสมุหนายกฝรั่ง เข้าไปในพระราชวัง แล้วก็นั่งว่าราชการในที่นั้น หลวงสรศักดิ์เห็นได้ที ก็เข้าชกเอาปากเจ้าพระนาวิชเยนทร์ ฟันหักสองซี่ แล้วก็หนีออกไปยังบ้าน แลลงเรือเร็วรีบล่องลงไปยังกรุงเทพมหานคร

ส่วนเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ เมื่อหลวงสรศักดิ์ชกเอานั้นล้มลงอยู่ ครั้นได้สติแล้วก็ลุกขึ้นแลบ้วนฟันออกเสีย แล้วก็เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว มีโลหิตไหลออกจากปากพลางกราบทูลว่า

“ อาญาเป็นล้นเกล้า บัดนี้หลวงสรศักดิ์ชกเอาปากข้าพระพุทธเจ้า ฟันหักไปสองซี่ ข้าพระพุทธเจ้าสิ้นสมปฤดีล้มสลบลงอยู่ ปิ้มประหนึ่งจะถึงแก่ชีวิต ข้าพระพุทธเจ้าได้ความเจ็บอายแก่ข้าราชการทั้งหลายป็นอันมาก ขอทรงพระกรุณาโปรดลงพระราชอาญาแก่หลวงสรศักดิ์จงหนัก แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าจึ่งจะสิ้นความเจ็บอาย “

สมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวได้ทรงฟังดังนั้น ก็ทรงพระพิโรธแก่หลวง สรศักดิ์ จึ่งดำรัสแก่เจ้าพระยาพิชเยนทร์ว่า

“ ท่านทะเลาะวิวาทกับมันหรือประการใด “

เจ้าพระยาวิชเยนทร์กราบทูลพระกรุณาว่า

“ข้าพระพุทธเจ้าจะได้ทะเลาะวิวาทถุ้งเถียงกับหลวงสรศักดิ์สิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น หามิได้ “

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ยิ่งทรงพระพิโรธนัก จึ่งดำรัสสั่งตำรวจให้ไปเอาตัวหลวงสรศักดิ์เข้ามา ขุนหมื่นตำรวจรับพระราชโองการแล้ว ก็รีบออกไปเอาตัวหลวงสรศักดิ์ที่บ้าน ครั้นไม่ได้ตัวก็กลับเข้ามากราบทูลพระกรุณาให้ทราบ จึ่งมีพระราชดำรัสให้ตำรวจทั้งหลายไปเที่ยวหาตัวหลวงสรศักดิ์มาให้ได้ แล้วมีพระราชโองการตรัสแก่เจ้าพระยาวิชเยนทร์ว่า ท่านจงยับยั้งอยู่ เราจะหาตัวมันให้ได้ก่อน

แลเจ้าพระยาวิชเยนทร์เข้ามาเฝ้าขณะใด ก็กราบทูลกล่าวโทษหลวงสรศักดิ์เพิ่มเติมขึ้นทุกครั้ง

สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินก็ทรงพระวิจารณ์ในคดีนั้น แลทรงพระราชดำริระลึกถึงถ้อยคำ อันหลวงสรศักดิ์กราบทูลกล่าวโทษเจ้าพระยาวิชเยนทร์แต่ครั้งก่อนนั้น ก็เห็นว่าเจ้าพระยาวิชเยนทร์กระทำผิดจริง จึ่งดำรัสว่า

“ ไอ้เดื่อมันเห็นโทษท่านทำผิด จึ่งชกให้ได้ทุกขเวทนา แลเราจะมีโขนโรงใหญ่ทำขวัญให้แก่ท่าน “

เจ้าพระยาวิชเยนทร์ก็มิได้เต็มใจโดยพระราขดำรัสนั้น แลกราบทูลพระกรุณา ขอแต่ให้ทำโทษหลวงสรศักดิ์ถ่ายเดียว

ฝ่ายหลวงสรศักดิ์นั้นก็ไปเฝ้าเจ้าแม่วัดดุสิต ซึ่งเป็นมารดาเจ้าพระยาโกษาเหล็ก เจ้าพระยาโกษาปาน แลเป็นพระนมผู้ใหญ่ของสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวนั้น ถวายบังคมแล้วก็กราบทูลแถลงการอันเจ้าพระยาวิชเยนทร์กระทำให้ร้อนในพระพุทธศาสนาดั่งนั้น แลได้กราบทูลพระกรุณาแล้วก็มิได้เอาโทษ แลว่า

“ ข้าพเจ้ามีความโทมนัสถึงพระพุทธศาสนา อันเจ้าพระยาวิชเยนทร์จะทำให้พระพุทธศาสนาให้พินาศเสื่อมสูญดั่งนั้น จึ่งชกเอาปากเจ้าพระยาสมุหนายก แล้วก็หนีลงมา แลบัดนี้สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระพิโรธ จะลงพระราชอาญาแก่ข้าพระพุทธเจ้า ขอจงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม อัญเชิญเสด็จขึ้นไปขอพระราชทานโทษ ข้าพระพุทธเจ้าครั้งหนึ่งเถิด “

เจ้าแม่ผู้เฒ่าได้ทรงฟังดั่งนั้นก็เห็นโทษ อันเจ้าพระยาวิชเยนทร์ทำผิด จึ่งเสด็จด้วยเรือพระที่นั่งขึ้นไปยังเมืองลพบุรี แลเสด็จถึงฉนวนน้ำประจำท่า ก็พาหลวงสรศักดิ์ขึ้นไปยังพระราชวัง แลให้ยับยั้งอยู่นอกลับแลก่อน แล้วก็เสด็จเข้าเฝ้าข้างใน

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรเห็นแล้ว ก็กระทำปัจจุคมนาการ เชิญเสด็จให้สถิตร่วมราชอาสน์แลยกหัตถ์อัญชลีแล้ว ก็ดำรัสถามว่าพระมารดาขึ้นมามีธุระสิ่งใด จึ่งเจ้าแม่เฒ่ากราบทูลโดยเหตุทั้งปวงนั้นให้ทราบสิ้นทุกประการ

สมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ทราบเหตุดังนั้นแล้วก็มีพระราชโองการให้หาหลวงสรศักดิ์มาเฝ้า แล้วก็ตรัสบริภาษเป็นอันมาก แลเจ้าแม่ผู้เฒ่ากราบทูลขอพระราชทานโทษ ก็ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานให้ แล้วตรัสบอกประพฤติเหตุทั้งปวง อันหลวงสรศักดิ์ทำกับเจ้าพระยาวิชเยนทร์นั้น ให้แก่เจ้าแม่ผู้เฒ่าฟังทราบสิ้นทุกประการ แล้วดำรัสให้ยับยั้งอยู่ ณ พระราชวังสองสามวัน แลทรงปฏิบัติด้วยความเคารพอันดี แล้วก็อัญเชิญเสด็จกลับลงไปยังกรุงเทพมหานคร

ในขณะนั้นท้าวพระยาข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งหลาย จำเดิมแต่เจ้าพระยาวิชเยนทร์ว่าราชการที่สมุหนายกนั้น ก็มิได้เต็มใจ จึ่งปรึกษากันว่าข้าราชการทั้งปวงที่มีสติปัญญาสัตย์ซื่อมั่นคง ควรที่จะเลี้ยงเป็นอัครมหาเสนาบดีได้นั้น ก็พอจะมีอยู่บ้างแลมิทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงขึ้น แลมาโปรดปราณีพระราชทานที่สมุหนายก ให้แก่ไอ้ฝรั่งลูกค้าต่างประเทศ อันมิได้ซื่อสัตย์คิดประทุษร้ายในละอองธุลีพระบาทอยู่ดั่งนี้ ก็มิบังควรยิ่งหนัก

แลถ้อยคำดังว่านี้ ก็ปรากฏมีเนือง ๆ จนทราบถึงพระกรรณ์สมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงทราบเหตุดั่งนั้นก็มีพระราชดำริจะแก้ความครหาแห่งข้าราชการทั้งปวง ด้วยทรงพระกรุณาเห็นแท้ว่า เจ้าพระยาวิชเยนทร์มีสติปัญญายิ่งกว่าข้าราชการทั้งสิ้น แล้วได้ของวิเศษต่าง ๆ ให้ทมิฬฝรั่งเศสประเทศ มาถวายเป็นอันมาก จึงโปรดให้เป็นอัครมหาเสนาบดีต่างพระเนตรพระกรรณ์ แลซึ่งจะประทุษร้ายนั้น ทรงพระกรุณาเสี่ยงเอาพระบารมี จะได้สดุ้งพระทัยนั้นหามิได้

ครั้นอยู่มาเพลาหนึ่ง สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ณ ท้องพระโรงหลวง พร้อมด้วยมุขมาตยเสนาบดี กวีราชปโรหิตาจารย์ เฝ้าอยู่เดียรดาษ มีพระราชดำริจะสำแดงสติปัญญาอันยิ่งแห่งเจ้าพระยาวิชเยนทร์ให้ปรากฏ จึ่งมีพระราชโองการตรัสสั่งท้าวพระยาข้าราชการทั้งปวงว่า

“ ท่านทั้งหลายจงช่วยกันเอาปืนพระพิรุณขึ้นชั่งดู แลจะหนักสักกี่หาบ “

จึ่งท้าวพระยาข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งหลาย รับพระราชโองการแล้ว ก็ชวนกันออกมาคิดอ่านการอันจะชั่งปืนนั้น แลจะทำตราชูขั่งให้ใหญ่ เอาสายโซ่ผูกแขวนขึ้นบนไม้คันชั่งปักให้สูง แลจะเอาปืนขึ้นชั่งบนนั้น ก็เห็นตราชูชั่งแลสายโซ่อันผูกนั้น จะทานไว้มิได้ ด้วยพระพิรุณกระบอกนี้ใหญ่หลวงนัก แลคิดอ่านประการใดก็สิ้นสติปัญญา จึ่งเข้ามากราบทูลพระกรุณา โดยเหตุเหลือกำลังที่จะเอาขึ้นชั่งนั้นมิได้

สมเด็จพระบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวช้างเผือก ได้ทรงฟังดังนั้น จึ่งแย้มพระโอษฐ์ดำรัสสั่งเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ว่า

“ ท่านจงออกไปชั่งปืนพระพิรุณให้รู้ว่าหนักสักเท่าใด “

เจ้าพระยาวิชเยนทร์รับพระราชโองการแล้ว จึ่งออกไปคิดการอันจะชั่งปืน แลให้เอาเรือนางเป็ดอันใหญ่หลายลำมาเทียบขนานกันที่ท่า แล้วก็ให้ลากปืนพระพิรุณลงไปในเรือนางเป็ด ที่ขนานนั้น แลเรือหนักจมลงไปเพียงใดก็ให้หมายไว้เพียงนั้น แล้วก็ให้ลากปืนขึ้นมาเสียจากเรือ จึ่งให้ขนเอาอิฐหักแลก้อนศิลามาชั่งให้ได้น้ำหนักเท่าใด ๆ แล้วก็ทิ้งลงไปในเรือ ตราบเท่าจนเรือจมลงไปถึงที่อันหมายไว้นั้น ก็รู้ว่าปืนพระพิรุณหนักเท่านั้น จึ่งเอาเหตุนั้นมากราบทูลพระกรุณาให้ทรงทราบ

พระบาทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวได้ทรงฟังดังนั้น ก็ทรงพระโสมนัสดำรัสสรรเสริญสติปัญญาเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ซึ่งเอาปืนขึ้นชั่งได้นั้นเป็นอันมาก แล้วก็มีพระราชโองการตรัสแก่ท้าวพระยามุขมนตรีทั้งหลายว่า

“ เมื่อเจ้าพระยาวิชเยนทร์เขามีสติปัญญายิ่งกว่าท่านทั้งปวง ดังนี้หรือมิให้เราเลี้ยงเขาเป็นใหญ่กว่าท่านทั้งปวงเล่า “

แล้วก็ทรงพระกรุณาปูนบำเหน็จ พระราชทานเสลี่ยงงา ให้เจ้าพระยาวิชเยนทร์ขี่ แล้วมีขบวนแห่หน้าสามร้อยสำหรับยศ แล้วทรงพระกรุณาโปรดให้นั่งเบาะสูงศอกหนึ่งขณะเมื่อเข้าเฝ้านั้น แลพระราชทานเครื่องอุปโภคเป็นอันมาก

จำเดิมแต่นั้นมาเจ้าพระยาวิขเยนทร์จะว่าราชการสิ่งอันใด ก็ยิ่งสิทธิ์ขาดขึ้น แล
คิดอ่านพิดทูลสิ่งใด ก็ว่ากล่าวพอพระทัยทุกประการ ท้าวพระยาข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งหลาย ก็ยำเกรงยิ่งนัก.

##########



Create Date : 13 กรกฎาคม 2558
Last Update : 13 กรกฎาคม 2558 8:55:48 น. 2 comments
Counter : 1473 Pageviews.

 

มาเยี่ยมชม มาทักทายและส่งกำลังใจให้ครับ

มาบล็อกนี้แล้วได้อ่านพงศาวดารด้วย ดีจังเลยครับ มีนักปรวัติศาสตร์บางคนเคยพูดถึงพงศาวดารว่าเป็นเรื่องเล่าของคนยุคโบราณ เพราะว่าคนในสมัยใหม่เขียนบันทึกเป็นจดหมายเหตุแทนครับ

อิอิ



โดย: อาคุงกล่อง วันที่: 14 กรกฎาคม 2558 เวลา:0:00:51 น.  

 
ขอบคุณครับ ที่ยังไม่ลืมชื่อ เจียวต้าย

เวลาผ่านมาถึง ๑๐ ปีแล้วนะครับ

ผมหมดแรงจะเขียนอะไรแปล้วครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 15 กรกฎาคม 2558 เวลา:16:52:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.