Group Blog
 
All Blogs
 
เรื่องธรรมดา (๒๖) คนอยากดัง

เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา (๒๖)

คนอยากดัง

" เพทาย "

ผมมีอาชีพเป็นทหารก็จริง แต่ความอยากที่อยู่ในส่วนลึกนั้น ผมอยากจะเป็นนักเขียน หรือที่สมัยโบราณเขาเรียกว่านักประพันธ์ หรือมีผู้คิดคำที่ไพเราะกว่านั้นว่า ประพันธกร ยุคเดียวกับ วาทยกร วิทยากร จะได้เข้าพวกกับ จิตรกร ประติมากร ซึ่งเมื่อถึงปัจจุบันนี้ก็คงจะลืมกันไปหมดแล้ว ว่าเคยมีคำนั้นอยู่ในภาษาไทย

เมื่อผมมีเวลาว่าง หลังจากเกษียณอายุราชการแล้ว ผมก็ตั้งหน้าตั้งตาเขียนหนังสือเป็นการใหญ่ ส่งไปตามวารสารต่าง ๆ ทั้งในกองทัพบก และนอกกองทัพบก อดีตผู้บังคับบัญชาของผมคนหนึ่ง เมื่อท่านทราบว่าผมเขียนหนังสือส่งไปตามที่ต่าง ๆ ท่านก็กรุณาถามว่า แล้วเขาลงให้บ้างหรือเปล่าล่ะ ผมก็ได้แต่หัวเราะแหะ ๆ แต่มีเพื่อนอีกคนหนึ่งเกษียณอายุไล่ ๆ กันปรารภว่า ไอ้หมอนี่อยากดังตอนแก่ แล้วเขาก็เบื่อที่จะรอให้ผมดัง จึงรีบหนีไปอยู่เสียอีกโลกหนึ่ง ดูเหมือนเขาเรียกว่าปรโลก

ใครจะว่าอย่างไรก็ช่างผมชอบของผมอย่างนี้ ผมไม่ได้อยากดังในตอนนี้เท่านั้น ผมอยากดังมาตั้ง ๕๐ ปีแล้ว มันก็ไม่ดังสักที แต่ผมก็อยู่ของผมมาได้ ทั้งก่อนที่จะเป็นทหาร ระหว่างเป็นทหาร จนเดี๋ยวนี้เลิกเป็นทหารแล้วผมก็พยายามเขียนมาเรื่อย ถึงจะไม่ดังก็ไม่ได้ว่าอะไร

ผมเริ่มริเขียนหนังสือเมื่ออายุได้สิบหกปี หลังจากที่ได้ลงตะกร้าไปพอสมควรแล้ว ก็ได้ลงพิมพ์เป็นครั้งแรกที่ นิตยสารโบว์แดง ซึ่งมีนักเขียนผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในยุคนั้น เป็นบรรณาธิการ ด้วยเรื่องสั้นหน้าเดียวจบ ได้รับค่าเรื่อง ๒๐ บาท แล้วจากนั้นก็มีกำลังใจเขียนต่อไปอีกถึง ๑๐ ปี มีเรื่องที่ได้ลงพิมพ์ไปหลายสิบเรื่อง แต่ก็ไม่มีอะไรก้าวหน้าไม่มีใครรู้จัก ถ้าได้ลงพิมพ์ก็อยู่ในระดับน้องใหม่ตลอดมา โดยเฉพาะค่าเรื่องนั้นได้รับมาเพียง ๔ ราย จากนิตยสาร รัตนโกสินทร์ นิตยสารไทสัปดาห์ นิตยสารเพื่อนบ้าน และนิตยสารกะดึงทอง ซึ่งบรรณาธิการก็คือ ดร.สาทิส อินทรกำแหง ผู้โด่งดังจากชีวจิตอยู่ในปัจจุบันนี้ เท่านั้น

เมื่อทบทวนดูแล้วก็เกิดความรู้แจ้งแทงตลอดขึ้นมาว่า เหตุที่
ไม่ดังนั้นก็เพราะ เรื่องที่เขียนไปทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องดีเด่นพอที่จะดังได้ แต่ก็ไม่สามารถจะทำให้ดีกว่านั้น เพราะขาดปัจจัยหรือส่วนประกอบอีกมาก ก็เลยปลงได้ว่าอย่าคิดหวังต่อไปเลยว่า จะไต่ขึ้นไปเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง เอาเป็นว่าอยากเขียนก็เขียนไป ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น จึงทู่ซี้เขียนต่อมาจนถึงบัดนี้ โดยเขียนเพื่อสนองความอยากเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จนสามารถมีผลงานอยู่ในวารสารทั้งในและนอกกองทัพบก มากมายหลายสิบฉบับ ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบันนี้

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมได้รับความเมตตาจากบรรณาธิการ ผู้พิจารณาเรื่องของผม หลายต่อหลายคน แต่บางท่านก็ว่า...... ก่อนที่นักประพันธ์ชั้นผู้ใหญ่ ที่ฝีมือของเขากำลังเป็นเงินเป็นทองอยู่เดี๋ยวนี้ เขาก็ได้ฝ่าฟันอุปสรรคมาแล้วอย่างโชกโชนคนละหลายปี นักเขียนหน้าใหม่ ๆ ไม่ควรจะมาตั้งข้อเรียกร้องกับบรรณาธิการนัก ควรทำตัวเยี่ยงผู้น้อย ค่อยก้มประนมกร......

ผมก็ได้ทำอย่างนั้นมาตลอดเวลา แม้จะไม่มีชื่อเสียงแต่ก็แปลก ที่เคยมีผู้ลอกเรื่องของผมทั้งดุ้น ไปส่งเข้าประกวดเรื่องสั้น แม้แต่นามปากกาเขาก็เลียนแบบไป โดยไม่คิดที่จะหาชื่ออื่นที่แตกต่างออกไป มีอยู่คราวหนึ่งท่านผู้พิจารณาชอบเรื่องของผม แต่ท่านติว่าจบไม่ดี ท่านเลยแก้ไขให้ แล้วใส่ชื่อท่านลงไปเสียเอง อย่างนี้ก็มีด้วยเหมือนกัน

ในช่วง ๔ - ๕ ปี หลังเกษียณอายุนี้ ผมได้รับการพิจารณานำเรื่องที่เรียบเรียงจากพงศาวดารจีนชื่อดัง ลงพิมพ์ในหนังสือของทหารเหล่าต่าง ๆ ในกองทัพบก ร้อยกว่าตอน จนมีผู้พิมพ์กรุณาเอาไปรวมเล่มวางจำหน่ายเมื่อปลายปีที่แล้วนี้เอง แต่หนังสือของทหารเหล่านั้น ก็ค่อย หดหายลงไปเรื่อย ๆ ไม่ทราบว่าเพราะนโยบายเปลี่ยนไป หรือว่าเกี่ยวกับวิกฤติทางเศรษฐกิจของกองทัพ แต่ยังดีที่เหลืออยู่อีก ๒ - ๓ เล่มซึ่งได้ร่วมงานกันมานาน ยังไม่เปลี่ยนแปลง ผมจึงยังมีช่องทางที่จะระบายข้อเขียนความคิด ออกมาสู่เพื่อนทหารได้อย่างสม่ำเสมอ

เมื่อไม่นานมานี้บังเอิญมีเรื่องได้ลงพิมพ์ในนิตยสารเก่าแก่มีชื่อเสียงมากว่า ๒๐ ปี ท่านผู้ใหญ่ในกองบรรณาธิการบอกว่า ควรจะใช้ชื่อจริงเพราะในหนังสือของท่านนั้น มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในอดีตเขียนอยู่เป็นจำนวนมาก ผมก็ว่าถึงผมจะใช้นามปากกาหรือใช้ชื่อจริง คนอ่านก็ไม่รู้จักเท่ากัน ไม่เหมือนท่านผู้ใหญ่เหล่านั้น โดยเฉพาะท่านที่เป็นทหารบก บางท่านก็จบจากโรงเรียนเท็ฆนิค บางท่านก็ผ่านโรงเรียนเตรียมนายร้อยป่าแดง บางท่านก็จบโรงเรียนนายร้อยจีน และบางท่านก็จบหลักสูตรนายร้อยสำรอง แม้จะมีท่านที่เป็นพลทหารเกณฑ์ ท่านก็จบปริญญาทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

ส่วนผมเป็นพลทหารเกณฑ์ธรรมดา แล้วไปเข้าโรงเรียนนายสิบออกมารับราชการ ไต่เต้าจากตำแหน่งต่ำสุดจนถึงสูงสุดได้อย่างไม่คาดฝัน โดยไม่มีปริญญาอะไรทั้งสิ้น นอกจากจบมัธยมหกธรรมดาแล้วไปหาประสบการณ์จากการเป็นลูกจ้างใช้แรงงาน ภารโรง และเสมียน อยู่ ๗ - ๘ ปีก่อนเข้าเป็นทหาร เท่านั้นเอง

ผมรับราชการทหารอยู่ในหน่วยขนาดใหญ่ ที่เป็นหัวหน้าเหล่า ซึ่งมีการออกนิตยสารประจำเหล่ามาเป็นเวลานาน เท่า ๆ กับเวลาในการเขียนหนังสือของผม ทำให้ผมมีสนามที่จะเขียนอะไรต่ออะไร ลงอยู่ไม่ขาดสาย อยู่มานานเกือบยี่สิบปี นายก็เลยเรียกเข้าไปพบ แล้วแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ในกองบรรณาธิการ นิตยสารประจำเหล่าฉบับนั้นเสียเลย คราวนี้เองที่ผมเกือบจะได้ดังสมใจนึก

เนื่องจากผมได้รับหน้าที่ในการคัดเลือกเรื่อง ที่จะนำลงพิมพ์ในทุกฉบับแทนผู้ช่วยบรรณาธิการ ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการทั้งปวงแทนบรรณาธิการอีกทอดหนึ่ง ผมได้นำเรื่องของสตรีผู้หนึ่ง ที่ส่งมาจากนอกหน่วย บรรจุลงในฉบับประจำเดือนมกราคม ๒๕๑๙ ขณะนั้นนิตยสารฉบับนี้ ออกเป็นราย ๒ เดือนหรือเดือนเว้นเดือน เรื่องนี้เป็นประวัติของเพลง ลา มาซาแยส ซึ่งเป็นเพลงชาติของฝรั่งเศส และได้รับคำยกย่องไปทั่วโลกว่าเป็นเพลงมาร์ชปลุกใจที่ไพเราะที่สุดในโลก รวมทั้งชีวประวัติของผู้ประพันธ์เพลงนี้ คือ ร้อยเอก โจเซฟ รูเซ่ต์ เดอ ลิสต์ แต่เจ้าของเรื่องเธอตั้งชื่อ น่าหวาดเสียว ว่า ทหารชอบปฏิวัติจริงหรือ ผมตรวจแล้วตรวจอีกเห็นว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการเมืองของไทย จึงตัดสินใจนำลงโดยไม่ได้แก้ไขตัดทอนเลยแม้แต่คำเดียว รวมทั้งชื่อเรื่องด้วย

แต่เราย่อมทราบกันดีอยู่แล้วว่า ในสมัยนั้น คือตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๖ ถึง พ.ศ.๒๕๑๙ เป็นยุคที่บ้านเมืองกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติอย่างหนัก มีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นเกือบทุกวันในรูปแบบต่าง ๆ มีการเผชิญหน้ากันระหว่างฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวา และฝ่ายที่สาม จนประชาชนสับสนไม่รู้ว่าจะเข้าข้างฝ่ายไหนดี เราที่เป็นทหารทั้งหลายก็ต้องเข้าเวรเตรียมพร้อมกันอยู่เป็นอาจิณ ไม่ได้เตรียมไปเล่นงานใคร แต่เป็นการเตรียมป้องกันตนเอง ไม่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เข้ามาเหยียบเราถึงในกรมกองได้เท่านั้นเอง

สาเหตุนี้แหละ ที่ทำให้หนังสือฉบับเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ ไม่อาจจะออกได้ตามกำหนด แม้จะเอาฉบับต่อไปคือเดือนมีนาคม - เมษายน มารวมไว้ด้วยกัน ก็ยังไม่สำเร็จได้ง่าย ๆ กว่าจะเป็นรูปเล่ม พร้อมที่จะแจกจ่ายให้หน่วยในสังกัดได้ เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึง เดือนตุลาคม เกิดมีการยึดอำนาจ โดยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน เมื่อ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ พอดี และมีคำสั่งของคณะปฏิรูป ฯ ห้ามออกหนังสือพิมพ์ทุกฉบับจนกว่าจะได้รับการพิจารณาอนุญาต จากคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้น เป็นราย ๆ ไป

หนังสือของหน่วยผมก็จะต้องอยู่ในข่ายของคำสั่งนี้ด้วยเหมือนกัน ผมจึงหารือด้วยวาจากับท่านบรรณาธิการ ว่าจะทำอย่างไร หนังสือได้ล่าช้ากว่ากำหนดมาเป็นเวลา ๙ เดือนแล้ว ถ้าไม่แจกจ่ายก็คงจะข้ามปี ตกลงกันให้ถือว่าเราออกก่อนคำสั่งห้าม แต่ยังแจกจ่ายไม่หมด ก็จะจัดการส่งไปให้หน่วยในกองทัพบกที่ยังค้างอยู่เท่านั้น และเราก็ไม่ได้จำหน่ายให้แก่ประชาชนด้วย

พอจะดำเนินการอย่างที่ว่า ท่านผู้ช่วยผู้จัดการก็เสนอความเห็นขัดแย้งว่า เรื่องทหารชอบปฏิวัติจริงหรือนั้น ทั้งชื่อและเนื้อเรื่องออกจะล่อแหลม ต่อการถูกเพ่งเล็งจากคณะปฏิรูป ฯ ได้

บรรณาธิการจึงนำเรียนท่านผู้อำนวยการ ให้ช่วยพิจารณาตัดสิน ท่านผู้อำนวยการก็ส่งให้รองผู้อำนวยการ อ่านและพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ท่านรองผู้อำนวยการให้ความเห็นว่า ความจริงไม่เป็นเรื่องร้ายแรง แต่ก็ไม่เหมาะกับสถานการณ์ในขณะนั้น เรียกว่ากำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน จึงควรจะตัดเรื่องนั้นออก แล้วแจกจ่ายได้ ท่านผู้อำนวยการก็อนุมัติตามเสนอ

เวรกรรมก็กลับมาตกอยู่กับผมอีก เพราะจะต้องตัดเรื่องนั้น ซึ่งมีความยาว ๔ หน้าออก ทั้ง ๆ ที่หนังสือเป็นเล่มปิดปกเรียบร้อยแล้ว ไม่สามารถที่จะแกะปกรื้อออกมาทำใหม่ได้ จึงต้องไปอ้อนวอนโรงพิมพ์ให้ช่วยตัดกระดาษ ๔ หน้านั้นออกดื้อ ๆ แม้ในสารบัญจะมีชื่อเรื่องก็ตาม กว่าจะเรียบร้อยแจกจ่ายถึงหน่วยได้หมด ก็เล่นเอาเสียวสันหลังนอนไม่หลับไปหลายคืน

เพราะถ้าเกิดเรื่องขัดหูขัดตาคณะปฏิรูป ฯ เข้าจริง อย่าว่าแต่ผมเลย แม้ท่านบรรณาธิการ ตลอดจนผู้อำนวยการ ก็คงจะถูกรางวัลใหญ่โดยทั่วหน้ากัน

ส่วนตัวผมเองเห็นจะไม่ต้องเป็นห่วง คงดังระเบิดเถิดเทิงไปเสียตั้งแต่นั้นมาแล้ว ไม่ต้องรอมาจนถึงบัดนี้หรอก.

##########

นิตยสารทหารสื่อสาร
พฤษภาคม ๒๕๔๗




Create Date : 02 เมษายน 2552
Last Update : 2 เมษายน 2552 13:03:25 น.






Create Date : 13 มีนาคม 2553
Last Update : 31 มีนาคม 2553 6:38:54 น. 0 comments
Counter : 399 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.