Group Blog
 
All Blogs
 
ตอนที่ ๑ หวังอย่างหนึ่งได้อย่างหนึ่ง

ยอดคนแผ่นดินเหม็ง

ตอนที่ ๑ หวังอย่างหนึ่งได้อย่างหนึ่ง

เล่าเซี่ยงชุน

ในแผ่นดินไต้เหม็งสมัย พระเจ้าเจงเต็กฮ่องเต้ อายุประมาณสามสิบเอ็ดปี ไม่มีพระราชบุตร จึงทรงตั้ง จูเม้ง บุตร ซินเซียงอ๋อง เชื้อพระวงศ์ระดับอนุชาอายุสิบเจ็ดปี เป็นฮองไทตี๋รัชทายาท และต่อมาก็ทรงมอบราชสมบัติให้ จูเม้งฮองไทตี๋ ขึ้นครองราชย์เป็น พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ ส่วนพระองค์เองเป็นที่ ไทเซียงฮอง

ที่เมืองหยงนำไฮ้มีชายคนหนึ่งชื่อ ไฮ้สุย เป็นบุตรของ ไฮเงกฮอง กับ นางนิวสิไฮเงกฮองนั้นเรียนหนังสือสูงมาก แต่ไปสอบที่เมืองหลวงไม่ได้ จึงไม่คิดที่จะทำราชการ หากินในทางค้าขายทำไร่นาเรือกสวนเลี้ยงชีวิต รักษาแต่การสุจริตไว้ ไม่ให้มีการชั่วในตัวเอง จนค่อยมั่งมีเงินทองขึ้น

เมื่อไฮ้สุยเกิดนั้นบิดาอายุสี่สิบสามปี มารดาอายุสี่สิบปี ไฮเงกฮองก็สั่งสอนให้เรียนหนังสือต่าง ๆ จนอายุถึงเจ็ดปีจึงหาซินแสมาสอนต่อไป ไฮสุยก็เรียนรู้การทำโคลง และกระบวนบัญชีคิดอ่านค้าขาย พูดจาเรียบร้อยรู้จักเคารพผู้สูงอายุ และการดีการชั่วผิดชอบทุกอย่าง วันหนึ่งบิดาจึงเรียกไฮ้สุยมาบอกว่า

"....ตัวเจ้าก็ได้เรียนรู้ขนบธรรมเนียม ทำมาหากิน และกระบวนคิดซื้อขายได้ชำนาญดีแล้ว ครั้นจะให้เจ้าเรียนต่อไป ในกระบวนขุนนางข้าราชการเล่า บิดาก็เห็นว่าจะรู้ไปทำไม ด้วยเรามิใช่ตระกูลขุนนาง เป็นแต่ราษฎรแต่รู้เพียงนี้ ก็ดี อยู่แล้ว……..”

ไฮ้สุยก็ตอบว่า

"....การที่จะเป็นขุนนางและไม่เป็น สุดแต่ใจรักและไม่รัก การสิ่งใดถ้ารู้ไว้มากแล้ว ก็ดี ตัวข้าพเจ้านี้โดยจะเป็นขุนนางตงฉิน ให้คิดกำจัดพวกขุนนางกังฉินก็ได้ การที่จะเป็นขุนนางนี้คิดว่าดีกว่าค้าขายหลายสิบเท่า ถ้าประพฤติการดีมีความชอบในราชการแผ่นดินแล้ว ชื่อก็ปรากฎ อยู่ชั่วฟ้าและดิน ข้าพเจ้าได้เรียนหนังสือรู้อ่านแล้ว ก็เอาหนังสือต่าง ๆ มาดูมิได้ขาด เห็นคนตงฉินเหาจือ มีในพระราชพงศาวดารก็มากกว่ามาก ตั้งแต่พันปีขึ้นไปก็ยังมีชื่อเสียงปรากฎอยู่จนทุก วันนี้....."

ไฮเงกฮองได้ฟังไฮ้สุยพูด ก็เอาไปเล่าให้นางนิวสิฟังแล้วว่า บุตรของเราถ้าเข้าทำราชการแล้ว เห็นจะองอาจนัก ฟังดูแต่พูดจายังกล้าหาญ นางก็ว่าไม่ได้ต้องข่มไว้แต่ต้นมือ ถ้าองอาจกล้าหาญนักจะพลอยพาเราได้ความผิดไปด้วย ไฮเงกฮองก็ว่า เห็นจะไม่เป็นไร บุตรของเราดูท่วงทีกิริยาพูดจาเป็นคนตรง ได้เข้าทำราชการก็เห็นจะดี

อยู่มาอีกประมาณปีเศษ ไฮเงกฮองป่วยหาหมอมารักษาก็ไม่หายโรคนั้นหนักลง ทุกวัน ไฮ้สุยก็อยู่ปรนนิบัติบิดามิได้ขาด ลงท้ายก็ถึงแก่กรรม เมื่อคลายความโศกแล้วไฮ้สุยจึงบอกกับมารดาว่า ข้าพเจ้าจะขอลามารดาไปอยู่เฝ้าศพบิดา นางนิวสิก็ว่าเจ้าจะไปอยู่เฝ้าศพบิดาด้วยความกตัญญูก็ชอบแล้ว แต่มารดาเห็นว่าเป็นที่เปลี่ยวแม้นว่ามีสัตว์ร้ายหรือคนพาลมาทำอันตรายเจ้า เป็นเหตุการณ์ขึ้นแล้วมารดาจะได้พึ่งใครต่อไปเล่า ทุกวันนี้มารดาก็เห็นแต่หน้าเจ้าผู้เดียว เจ้าอย่าไปเลยอยู่เป็นเพื่อนมารดาเถิด

ไฮ้สุยได้ฟังมารดาว่าก็คุกเข่าลงคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าลืมไปมิได้ทันคิด ต่อมารดาพูดจึงนึกขึ้นมาได้ แต่นั้นมาไฮ้สุยก็อุตส่าห์ปฏิบัติมารดา เมื่อถึงเวลาไปเรียนหนังสือก็ไปหามารดาก่อน เมื่อกลับจากเรียนก็ไปหามารดาก่อน จึงจะไปธุระอื่น ๆ อีก ไฮ้สุยทำอย่างนี้เป็นนิจมิได้ขาด ซินแสที่เป็นอาจารย์ก็เอ็นดูรักใคร่เป็นอันมากพูดชมเชยกับนางนิวสิว่า ไฮ้สุยนั้นฉลาดและประกอบด้วยความเพียร อุตส่าห์ทำคำโคลงก็ดีราวกับผู้ใหญ่ที่เรียนรู้มาก

อยู่มาไฮ้สุยอายุได้สิบห้าปี ถึงกำหนดไล่หนังสือ ก็มีเพื่อนที่เรียนหนังสือ ในสำนักเดียวกันมาชวนให้ไปไล่หนังสือที่เมืองหลวง ไฮ้สุยก็ไม่ยอมไป มารดาจึงเตือนว่า เจ้าเสียแรงเรียนรู้อยู่ ทำไมไม่ไปไล่หนังสือกับเขา ไฮ้สุยก็ว่า

".....ข้าพเจ้ายังรู้น้อย อนึ่งครั้นจะไปก็ไม่มีใครอยู่ปรนนิบัติมารดา อนึ่งตั้งแต่บิดาเราตายแล้วเงินทองก็หาไม่ได้มีแต่จะใช้ไปทุกวัน ครั้นจะไปไล่หนังสือ ณ เมืองหลวงเล่าหนทางก็ไกลต้องลงทุนเงินก็มาก ข้าพเจ้าคิดเห็นดังนี้จึงไม่คิดจะไป.."

นางนิวสิผู้มารดาได้ฟัง ก็มิได้พูดประการใด แต่ใจนั้นอยากจะใคร่ให้ไฮ้สุยเข้าไปไล่หนังสือ จึงยุพวกศิษย์ครูเดียวกัน ให้ชักชวนรบเร้าไฮ้สุยเข้าอีก ไฮ้สุยก็พูดถ่อมตัวว่า ตนเองเล่าเรียนยังน้อยอยู่ ครั้นเข้าไปไล่หนังสือกลัวจะไม่ได้ ก็จะป่วยการเปลืองเงินทองเสบียงเสียเปล่า ในปีนั้นพวกเพื่อนศิษย์อาจารย์เดียวกัน ก็เข้าไปไล่หนังสือหลายคน ที่ได้ก็มี ที่ไม่ได้กลับมาเปล่า ก็มาก

ครั้นอยู่มารุ่งขึ้นปีใหม่ถึงกำหนดสอบไล่หนังสืออีก นางนิวสิผู้มารดาจึงเตือนให้ไปไล่หนังสืออีก เมื่อไฮ้สุยบ่ายเบี่ยง มารดาก็ทำเป็นโกรธว่า

".....เจ้าอุตส่าห์เรียนหนังสือได้ก็มาก ไม่เข้าไปไล่เฝ้าแต่เชือนแช ไปเช่นนี้เมื่อไรจะได้ดี มารดาก็แก่ลงทุกวันหมายอยู่ว่า ถ้าเจ้าไปไล่หนังสือได้ มารดาจะได้พึ่งเจ้า เจ้าก็ไม่ไป จะคอยให้มารดาตายเสียก่อนหรือ จึงจะไปไล่หนังสือ....."

ไฮ้สุยเห็นมารดาโกรธจึงยอมไป นางนิวสิก็มีความยินดีจึงจัดเงินทองให้เป็นเสบียงพอซื้อกินไปกว่าจะกลับ ไฮ้สุยก็ลามารดากับซินแสผู้เป็นอาจารย์ ออกจากบ้านเดินทางไปกับเพื่อนอีกสี่คนที่จะไปไล่หนังสือด้วยกัน จนถึงตำบลลุ่ยจิวฮู้ถึงฝั่งแม่น้ำ ก็จ้างเรือเดินทางไปอีกสองวันจึงถึงฝั่งฝากเขตเมืองหลวง ก็พากันเดินบกต่อไป จนเวลาเย็นจวนค่ำจึงแวะพักนอนที่โรงเตี๊ยม

รุ่งเช้ากินอาหารแล้วไฮ้สุยกับเพื่อนก็เดินทางต่อไป ได้พบปีศาจเข้าสิงบุตรสาวของ นางเตียกัวหู ไฮ้สุยไม่กลัวปีศาจก็ช่วยจัดการจับปีศาจใส่ไห ปิดปากเอาไปถ่วงน้ำเสีย บุตรสาวของนางเตียกัวหูก็หายป่วย นางเตียกัวหูมีความยินดียิ่งนัก จึงเอาเงินทองสิ่งของมาให้ แต่ไฮ้สุยก็ว่ามิใช่หมอไม่ต้องการเงินทอง จงเอาไว้ใช้สอยเถิด แล้วก็เดินทางเข้าไปไล่หนังสือในเมืองหลวง

ในขณะนั้นขุนนางผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานชี้ขาดในการไล่หนังสือ ไม่มีความยุติธรรม เห็นแก่ลาภสักการ ถ้าผู้ใดมาไล่หนังสือมีสิ่งของเงินทองมาให้เป็นสินบนแล้ว ถึงหนังจะไม่สู้ดีก็ไล่ได้ แม้นไม่มีสิ่งของเงินทองมาให้ ถึงหนังสือจะดีก็ไล่ไม่ได้ ตัวไฮ้สุยกับเพื่อนสองคนไล่ไม่ได้ แต่อีกสองคนมีพวกพ้องอยู่ในเมืองหลวง ได้ช่วยเกื้อหนุนเงินทองเดินเหินให้จึงไล่ได้ ไฮ้สุยกับเพื่อนสองคนจึงเดินทางกลับบ้าน

ขากลับได้ผ่านบ้านนางเตียกัวหูก็แวะเข้าไป นางเตียกัวหูก็มีความยินดีต้อนรับ และถามเรื่องการไปไล่หนังสือ ไฮ้สุยก็บอกว่าไล่ไม่ได้ จึงจะพากันกลับไปบ้านที่เมืองหยงนำฮู้ นาง เตียกัวหูก็เรียก นางเตียเกงฮวย บุตรสาวมาคำนับแล้วว่า ถ้าไม่ได้ไฮ้สุยเจ้าก็คงตายด้วยอำนาจปีศาจ แล้วเชิญให้ไฮ้สุยพักอยู่ที่บ้าน หายเหน็ดเหนื่อยเสียก่อนแล้วจึงค่อยไป

รุ่งขึ้นนางเตียกัวหูก็ไปหา เตียหงวน น้องชายของ เตียจือ สามีของตนที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว เล่าว่าสามีได้มาเข้าฝันบอกว่า นางเตียเกงฮวยบุตรสาวนี้เป็นคู่กันกับไฮ้สุย เตียหงวนก็เห็นชอบด้วย นางเตียกัวหูก็กลับมาถามบุตรสาว นางก็ว่าข้าพเจ้าเป็นบุตรสุดแต่มารดาจะเห็นสมควร นางเตียกัวหูก็ออกมาข้างนอกเรียกไฮ้สุยเข้ามาใกล้แล้วถามว่า เจ้ามีภรรยาแล้วหรือยัง ไฮ้สุยก็ว่าข้าพเจ้ายังไม่มี

นางเตีวกัวหูก็ว่า

".....ข้ามีความเอ็นดูรักใคร่เจ้าเป็นอันมาก อยากจะใคร่ได้เจ้าไว้เป็นบุตร เราจะยกนางเตียเกงฮวยเสียเจียะ ให้เป็นภรรยาเจ้า จะเต็มใจหรือไม่....."

ไฮ้สุยก็ตอบว่า

".....ท่านมีความเมตตา จะยกบุตรสาวให้ข้าพเจ้านี้ พระเดชพระคุณเป็นที่ยิ่งอยู่แล้ว แต่ข้าพเจ้าเป็นคนขัดสน ไปวันหน้ากลัวจะพาบุตรท่านได้ความลำบาก อนึ่งจะต้องปรึกษามารดาเสียก่อน ครั้นจะทำตามอำเภอใจก็เป็นล่วงคำมารดาไป....."

เพื่อนได้รู้ความจึงถามไฮ้สุยว่าเต็มใจหรือไม่ ไฮ้สุยก็ว่าเราเต็มใจจะรับ แต่จะต้องปรึกษามารดาดูก่อน จะกระทำล่วงเกินมารดาไปไม่ได้ พวกเพื่อนจึงว่า

"...เขาให้แล้วต้องรีบรับเอาเสียโดยเร็ว เราเห็นว่าทางก็ไกลกว่าจะไปบอกมารดา ทั้งไปมากว่าครึ่งปี ถ้ามีเสียก่อนแล้วจึงบอกมารดาก็ได้ ครั้นช้าวันไปจะแปรปรวนกลับไปสิเสียการ ด้วยนางเตียเกงฮวยเสียเจียะนี้ รูปร่างก็ดีมารดาเขาเป็นคนมั่งมีเงินทอง ญาติพี่น้องพวกพ้องก็เป็นขุนนาง....."

แต่ไฮ้สุยก็ยังยืนคำเดิม พวกเพื่อนก็เลยต้องนิ่งไป

ฝ่ายนางเตียกัวหูก็ไปปรึกษากับเตียหงวนอีก แล้วก็ทำอุบายให้คนจัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงไฮ้สุยกับเพื่อน นางเตียกัวหูก็ให้บุตรหญิงออกมารินสุราให้เนือง ๆ จนไฮ้สุยเมาเหลือกำลังหลับอยู่กับโต๊ะ นางเตียกัวหูจึงให้คนใช้พยุงเข้าไปในห้อง แล้วให้นางเตียเกงฮวยเข้าไปคอยดูแลอยู่ในห้องด้วย นางเตียเกงฮวยก็เข้าไปอยู่ในห้องกับไฮ้สุยด้วยความเต็มใจ ว่ามารดายกให้แล้วส่งตัวให้เข้าไปในห้องนอนด้วยกัน

ครั้นเวลาดึกไฮ้สุยสร่างเมาเห็นนางเตียเกงฮวยเข้ามาอยู่ในห้องด้วย ก็ไม่อาจพูดจาหยอกเอินเกรงจะเป็นคนล่วงเกินไป จึงหยิบเอาหนังสือมาดูแก้ขวย นางเตียเกงฮวยเห็นไฮ้สุยนั่งดูหนังสือเฉยอยู่ ไม่พูดจาว่ากระไร ครั้นจะปราศรัยไปก่อนก็ไม่ควร ให้บัดสีใจด้วยตัวเป็นหญิง ครั้นจะนั่งนิ่งอยู่ก็ดูเก้อนักจึงหยิบเอาหนังสือมาดูบ้าง ในค่ำวันนั้นต่างคนก็ดูหนังสืออยู่ด้วยกันคนละแห่ง มิได้ใกล้เคียงจนหาวนอนต่างคนก็หลับไปโดยมิได้ทำอะไรกัน

ครั้นเวลารุ่งเช้าพวกชาวบ้านที่ใกล้เคียงนั้น รู้ความว่านางเตียกัวหูส่งตัวนางเตีย เกงฮวยเป็นภรรยาไฮ้สุยแล้ว จึงเอาของมาให้ตามธรรมเนียมที่ชอบพอนับถือกัน ไฮ้สุยก็ประหลาดใจจึงถามว่า ท่านทั้งปวงเอาของมาให้ข้าพเจ้านี้ขอบใจนักมีธุระสิ่งใดหรือ พวกชาวบ้านก็บอกว่าเห็นท่านมีเรือนใหม่แล้ว จึงพากันมาเยี่ยมตามธรรมเนียม ไฮ้สุยว่าข้าพเจ้ายังมิได้มีเหย้าเรือนดอก ด้วยข้าพเจ้ายังมิได้บอกมารดา จะมีภรรยาก็กลัวจะล่วงเกินไป

ชาวบ้านว่าท่านพูดนี้ข้าพเจ้าไม่เห็นสม ด้วยนางเตียกัวหูส่งตัวนางเตียเกงฮวยมาให้หลับนอนด้วยกันเมื่อคืนมิใช่หรือ ไฮ้สุยว่าข้าพเจ้าเมาสุรามากไม่รู้เขาส่งตัวนางเตียเกงฮวยมาเมื่อไร พอสร่างเมาแล้วจึงเห็นนางเตียเกงฮวยอยู่ในห้อง เราต่างคนต่างก็ดูหนังสือแยกกันอยู่คนละแห่งจนตลอดรุ่ง ชาวบ้านได้ฟังจึงเอาความไปบอกนางเตียกัวหู นางจึงเรียกบุตรสาวมาถามว่า เราได้ยกเจ้าให้เป็นภรรยาไฮ้สุย ส่งตัวเจ้าไปให้อยู่ในห้อง ได้นอนด้วยกันหรือเปล่า นางเตียเกงฮวยก็ว่าเปล่า ข้าพเจ้าไปอยู่ในห้องกับไฮ้สุย ต่างคนก็ดูหนังสือจนหลับไป

นางเตียกัวหูจึงพูดกับไฮ้สุยว่า

".....เรายกบุตรให้แก่เจ้า ได้ส่งตัวเข้าในห้องอยู่สองต่อสองแล้ว ถึงเจ้าจะไม่ทำไมกันก็เป็นราคี แต่ตัวเจ้าเป็นชายหาเป็นไรไม่ ข้างฝ่ายผู้หญิงนั้นยาก เป็นที่อับอายขายหน้านัก ไหน ๆ เราก็ได้ยกให้เป็นภรรยาเจ้าแล้ว จงอยู่กินเสียด้วยกันเถิด....."

ไฮ้สุยก็ยืนคำว่าจะขอปรึกษามารดาก่อน นางเตียกัวหูก็กลับไปปรึกษาเตียหงวนอีก เตียหงวนก็มาหาไฮ้สุยที่ห้องพักแล้วว่า นางเตียเกงฮวยที่ยกให้เจ้านี้ชอบพอรักใคร่ หรือไม่เต็มใจอย่างไร ก็ให้ว่าออกมาตามจริงอย่าได้เกรงใจ ไฮ้สุยก็ว่า

".....นางเตียเกงฮวยนี้ดีทุกอย่าง ข้าพเจ้ามีคามรักใคร่เป็นอันมาก แต่จะรับเลี้ยงดูอยู่กินเป็นสามีภรรยากันนั้นยังไม่ได้ จะต้องไปบอกให้มารดารู้ก่อน..."

เตียหงวนว่าเมื่อเจ้าจะไปหามารดาปรึกษาก่อนก็ตามใจ แต่ต้องให้มีของสำคัญไว้ต่อกันจึงจะเป็นที่หวังใจได้ ไฮ้สุยว่า

"....ท่านพูดนั้นควรแล้วข้าพเจ้ามีความยินดีเป็นอันมาก ด้วยข้าพเจ้าวิตกทุกข์ร้อนในการเรื่องนี้นักหนา ครั้นจะรับเลี้ยงดูอยู่กินด้วยกันเสียก่อนแล้ว จึงจะไปบอกมารดา ก็จะเป็นคนล่วงเกินผู้ใหญ่ไป ครั้นจะไปข้างโน้นบอกมารดาให้รู้ก่อน แล้วจึงกลับมาอยู่กินด้วยกัน หนทางก็ไกลทั้งไปทั้งมาเกือบกึ่งปี ก็คิดกลัวจะแปรปรวนไป ซึ่งท่านจะให้มีสำคัญไว้ต่อกันนั้นดีนัก....."

พูดแล้วก็เอาซองหนังสือให้นางเตียเกงฮวยไว้เป็นสำคัญ นางเตียเกงฮวยก็เอาปิ่นทองสำหรับปักผมให้ไฮ้สุย ครั้นแล้วไฮ้สุยกับเพื่อนสองคนก็ลากลับไปบ้าน.

##########



Create Date : 04 กันยายน 2551
Last Update : 4 กันยายน 2551 19:37:07 น. 0 comments
Counter : 458 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.