Group Blog
 
All Blogs
 
เรื่องธรรมดา (๑๕) เหมือนสายฝน

เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา (๑๕)

เหมือนสายฝน

“ เพทาย “

วันนี้ฉันออกเวรเช้า ลงมาจากตึกที่ฉันปฏิบัติงานอยู่ แม้จะมีความอ่อนเพลียเต็มทีแต่ก็มิได้รีบเร่งที่จะเดินกลับไปยังที่พัก เดินทอดน่องเอื่อยไปเรื่อย เป็นเวลาที่เย็นมากพอสมควร ผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ในตอนกลางวันนั้น ตอนนี้ก็บางตาเต็มที หรือแทบจะไม่มีใครเดินสวนทาง เมื่อเดินผ่านมาตามทางเดินที่ทอดเชื่อม ระหว่างตึกหนึ่งไปยังอีกตึกหนึ่ง ของโรงพยาบาลศูนย์ ในจังหวัดใหญ่ที่ฉันทำงานอยู่ ตามข้างทางก็จะมีม้านั่งตัวยาว ให้ญาติผู้ป่วยหรือผู้มาใช้บริการได้นั่ง ตั้งอยู่เป็นระยะ ๆ

พอเดินมาใกล้ม้ายาวตัวแรก ตาของฉันก็เหลือบมองไปพบชายชราผู้หนึ่งดูท่าทางทรุดโทรม ทั้งสังขารและเครื่องแต่งกาย นั่งอยู่อย่างเซื่องซึม ข้างตัวแกมีสัมภาระรุงรัง ในจำนวนสัมภาระนั้นก็มีผ้าขาวม้าสีคร่ำคร่า ห่อของวางอยู่เช่นกัน ก็ไม่ผิดอะไรกับเสื้อกางเกงที่แกสวมใส่ ซึ่งฉันก็มิได้สนใจอะไร ยังคงเดินผ่านแกไป แต่ยังไม่ทันจะผ่านพ้นตัวแก ก็ได้ยินเสียงแกร้องเรียกเบา ๆ พร้อมกับยกมือขึ้นพนมไหว้ แบบชาวบ้านทั่วไป

“ คุณหมอครับ “

เสียงนั้นทำให้ฉันต้องหยุดชงัก

“ มีอะไรหรือจ๊ะลุง “

เราได้รับการอบรมมาให้ช่วยเหลือ แนะนำคนไข้ในทุกกรณี

“ คุณหมอครับ กรุณาผมด้วยเถิดครับ “

แกพูดทั้ง ๆ ที่ยังพนมมืออยู่เช่นเดิม จนฉันรู้สึกกระดากใจขึ้นมาทันที ผู้ใหญ่รุ่นปู่รุ่นตา แล้วยังมาพนมมือไหว้ฉัน ซึ่งเป็นเด็กรุ่นหลานเหลนแล้วก็ว่าได้

“ ลุงอย่าไหว้ฉันเลยจ้ะ ลุงมีอะไรก็บอกมาเลยจ้ะ “

ลุงแกก็เอามือลงอย่างว่าง่าย

“ ผมจะกลับบ้านแต่ไม่มีค่ารถ แล้วก็ยังไม่ได้กินข้าวเลย “

ใจฉันไม่แข็งพอที่จะปฏิเสธและเดินเลยไปได้ จึงซักถามต่อไปจนได้ความว่า แกเป็นคนเพชรบุรี มาป่วยรักษาตัวอยู่ที่นี่ และวันนี้หมออนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว แต่แกไม่มีเงินติดตัวเลย เพราะไม่มีญาติ ไม่รู้ว่าจะกลับไปได้อย่างไร แกเล่าพร้อมควักบัตรประจำตัวคนไข้ และถุงยาที่หมอสั่งให้ไปกินที่บ้าน ออกมาให้ดูเพื่อเป็นการยืนยัน ทำให้ฉันต้องคิดอยู่ชั่วอึดใจ ด้วยท่าทางที่น่าสงสารของแก ทำให้ฉันตัดสินใจ ทั้ง ๆ ที่เป็นช่วงปลายเดือนเต็มทีแล้ว

เมื่อออกปากชวนแก ให้ไปกินข้าวที่โรงอาหารของโรงพยาบาล แกก็หอบหิ้วสัมภาระของแกตามไปแต่โดยดีไม่อิดออด ระหว่างที่แกกินข้าวราดแกงอยู่นั้น ก็คิดคำนวณว่าแกจะต้องใช้ค่ารถสักเท่าไร เพราะตัวฉันเองไม่เคยไปจังหวัดเพชรบุรีเลย จะไปก็แต่กรุงเทพมหานคร แต่ระยะทางมันช่างไกลกันเป็นเท่าตัว แล้วยังคนละทิศละทางอีกต่างหาก

จนแกกินข้าวจานที่สองหมดไปแล้ว แกก็ยกมือไหว้ให้ศีลให้พร ตามธรรมเนียมของผู้เฒ่าผู้แก่ฉันตัดสินใจส่งเงินให้แกเป็นสองร้อยบาท แกรับไปด้วยมือที่สั่นเทา และให้พรอีกยืดยาว จึงบอกกับแกให้รีบกลับ เดี๋ยวจะมืดค่ำไปใหญ่ แล้วแกจึงลาจากไป

ฉั นเดินกลับมาถึงหอพักด้วยความอิ่มใจ ที่ได้ทำบุญแก่ผู้ยากไร้ เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก คืนนั้นจึงนอนหลับสบาย เอิบอิ่มไปด้วยความภูมิใจ

เมื่อตื่นขึ้นก่อนฟ้าจะสว่าง เพื่อไปรับเวรแต่เช้ามืดเนื่องจากไปรับปากเพื่อนร่วมงานไว้ ว่าจะขึ้นเวรเร็วหน่อยก่อนเวลา เพื่อให้เขาลงเวรเร็วเพราะเขามีธุระ จิตใจฉันก็แจ่มใสเป็นสุข หลังจากอาบน้ำแต่งเครื่องแบบแล้ว ก็ออกจากหอพักไปยังตึกที่ทำงาน

อากาศตอนรุ่งอรุณกำลังเย็นสบาย มีลมพัดเอื่อย ๆ มาเป็นระยะ ๆ เพราะใกล้จะเข้าหน้าหนาวแล้ว ทำให้ฉันซุกมือทั้งสองเข้าไปในกระเป๋ากระโปรงทั้งสองข้าง เดินทอดน่องไปอย่างไม่เร่งรีบ ขณะที่เดินผ่านเส้นทางเดิมซึ่งมีแสงไฟส่องเพียงสลัว ๆ ก็เห็นว่าที่ม้ายาวข้างทางเดินนั้น มีร่างของใครคนหนึ่งนอนขดอยู่ แต่ฉันไม่ได้สนใจอะไร คิดว่าคงเป็นญาติคนไข้ที่มาเฝ้าไข้ แล้วหนีออกมานอนข้างนอก ตอนที่พยาบาลกำลังปฏิบัติงานตอนเช้ามืดของเวรดึก

เมื่อเดินผ่าน จึงจำห่อผ้าขาวม้ากระดำกระด่างห่อนั้นได้ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากชายชรา คนที่ฉันทำบุญไปเมื่อเย็นวานนี้เอง ทำให้ฉันชะงักเท้าหยุดลงพินิจพิจารณาร่างอันขมุกขมอม เสื้อผ้าชุดเก่าที่เห็นเมื่อวาน อดที่จะคิดไม่ได้ว่าฉันทำผิดพลาดไปหรือเปล่า หรือว่าเงินที่ให้ไปนั้นยังไม่พอกับค่ารถ แกจึงยังไม่กลับไปบ้าน หรือว่าแกมีอาการเจ็บป่วยมากจนไปไม่ได้ และจะรอตรวจเช้านี้ หรือว่าแกจะรอให้เช้าก่อนค่อยกลับบ้าน หรือ……

ขณะที่ฉันกำลังคิดไปต่าง ๆ นา ๆ ยังไม่ทันจะสิ้นกระแสความ ร่างนั้นก็ขยับเขยื้อน แล้วก็ลุกขึ้นนั่งไม่เงยหน้าขึ้นมามอง แกพนมมือไหว้ อย่างที่แกเคยไหว้ฉันมาแล้ว ลุงแกคงจำเราได้ฉันคิดอยู่ในใจ แล้วแกก็เปล่งเสียงอันแหบแห้งออกมาเบา ๆ

“ คุณหมอครับ กรุณาเถอะครับ ผม…………….”

เสียงนั้นทำให้ฉันสาวเท้าก้าวเดินต่อไปข้างหน้า โดยไม่รอฟังให้จบประโยค เพราะมือที่กำประเป๋าตังค์อยู่ในกระโปรงนั้น บอกว่าถ้าขืนชักช้า อาจจะมีเงินเหลือไม่ถึงสิ้นเดือน อย่างแน่นอน.

* * * * * * * *

ผมวางนิตยสารขนาดพ็อคเก็ตบุ๊คส์ ฉบับที่ลงพิมพ์เรื่องสั้น ชื่อ อันความกรุณาปราณี ซึ่งได้หยิบมาอ่านซ้ำหลายครั้ง จนแทบจะจำข้อความได้ทุกวรรคนั้น ลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ เรื่องนั้นเป็นเรื่องจากประสบการณ์ของพยาบาลคนหนึ่ง เมื่อหยิบมาอ่านทุกครั้ง ทำนองเพลงประจำสถาบันแห่งหนึ่ง ก็มักจะแว่วเข้ามาในโสตประสาทของผม

อันความกรุณาปราณี จะมีใครบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุลาลัยสู่แดนดิน……

ผมปล่อยความคิดคำนึงให้ล่องลอยไปยังอดีตที่ไม่ไกลนัก ผู้เขียนเรื่องนี้เป็นสาวน้อยอายุเพียงยี่สิบเศษ ๆ เธอเป็นคนชอบอ่านและใฝ่ฝันที่จะเป็นนักเขียน เรื่องสั้นนี้เป็นเรื่องแรกของเธอ ถูกส่งมาให้ผมแก้ไขตรวจทาน ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้เป็นบรรณาธิการหรือผู้ช่วยบรรณาธิการ นิตยสารฉบับใดทั้งสิ้น นอกจากจะเป็นนักเขียนเล็ก ๆ ที่เพิ่งประสบความสำเร็จ ได้พิมพ์หนังสือเล่มแรกออกวางตลาดเมื่อไม่นานมานี้เอง

ผมพยายาม นึกถึงใบหน้าของเธอ แต่ก็นึกไม่ออก จำได้แต่เพียงว่าเธอมีจมูกโด่งคมสัน ราวกับดาราลูกครึ่งในละครโทรทัศน์ เราพบกันหรือที่ถูกเธอพบผมเป็นครั้งแรก ที่บ้านญาติของเพื่อนผม ในงานอะไรก็จำไม่ได้ ที่มีผู้คนมากมายจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ผมได้ทราบว่าเธอเป็นหลานของใครคนหนึ่งที่มาในงานนั้น โดยที่เราไม่ได้พูดกันเลยแม้แต่ประโยคเดียว

ต่อมาจึงได้พบกันอีกครั้งหนึ่ง ในงานวันเกิดของเพื่อนคนหนึ่งของเพื่อนผม เธอฟังผมคุยถึงเรื่องความสำเร็จในงานเขียนของผม และสนใจในหนังสือที่ผมจัดทำขึ้น เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดแก่เพื่อนคนนั้น เราจึงได้คุยกันเป็นครั้งแรก และเธอออกปากอยากจะได้หนังสือเล่มนั้นไปอ่านบ้าง เพื่อศึกษาการเขียนเรื่องสั้นแบบที่ผมถนัด ซึ่งมีอยู่หลายเรื่องในหนังสือที่ระลึกวันเกิดนั้น

ผมจึงส่งไปให้เธอทางไปรษณีย์ ถึงที่ทำงานของเธอในวันหลัง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในจังหวัดใกล้เคียงกับกรุงเทพมหานคร เธออ่านแล้วก็มีหนังสือตอบขอบคุณ และแสดงความชื่นชมในเรื่องต่าง ๆ ที่ผมเขียน กับขอคำแนะนำในการเขียนเรื่องสั้นแบบนั้นบ้าง

ผมจึงได้แนะให้นำเอาประสบการณ์ในการทำงาน หรือพฤติกรรมที่ได้พบเห็น จากคนไข้ พยาบาล หรือแพทย์ ซึ่งน่าจะมีมากมายหลายแบบ ทั้งสุข เศร้า รันทด น่าเวทนา หรือแม้แต่ขำขัน มาเป็นข้อมูลในการเขียน ซึ่งเธอก็ได้ทดลองเขียนมาให้ผมตรวจแก้ แล้วผมก็บอกชื่อนิตยสารที่สมควรจะส่งไปให้พิจารณา เพราะเป็นนิตยสารที่เปิดกว้างสำหรับเรื่องของนักเขียน มือใหม่ เพียงแต่ว่ามีผู้ส่งไปมากมายจนต้องรอนานเป็นเวลาหลายเดือน หรือร่วมปี กว่าจะได้รับการพิจารณาลงพิมพ์ หรือทิ้งตะกร้า

ผมเตือนให้เธอใช้ความมานะพากเพียรพยายามในการเขียน และความอดทนในการรอคอยให้มาก ผมคาดหมายว่าวันหนึ่งเธอจะพบความสำเร็จสมหวังตั้งใจ แม้ว่าผมจะไม่มีโอกาสได้แสดงความยินดีกับเธอด้วยตนเองก็ตาม

เพราะผมไม่ได้ติดต่อกับเธออีกเลย ตั้งแต่ส่งต้นฉบับเรื่อง อันความกรุณาปราณี คืนไปให้เธอแล้ว เธออาจจะน้อยอกน้อยใจหรือเสียใจ ที่ผมหายเงียบไปไม่ตอบจดหมายของเธอตามประสาคนช่างคิดช่างฝัน แต่นั่นก็ถือได้ว่าเป็นบทเรียนบทแรก ในการรอคอยแล้วก็พบกับความผิดหวัง ที่นักเขียนมือใหม่แทบทุกคนจะต้องได้พบ บางคนต้องพบอยู่เป็นประจำ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กว่าจะประสบความสำเร็จ หรือบางคนก็ท้อแท้เลิกราวางมือไปเลย

ถึงอย่างไรผมก็ได้ช่วยต่อเติมความใฝ่ฝันของเธอ ให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอย่าง ราง ๆ แล้ว ถ้าเธอมีความมานะอดทนต่อไป ก็คงจะเป็นรูปที่สมบูรณ์ได้ในวันหนึ่ง โดยไม่ต้องมีคำแนะนำจากผมก็ได้

แต่เรื่องไม่ได้ยุติลงเพียงแค่นั้น เรื่องสั้นของเธอที่ส่งไปให้นิตยสารชื่อดัง ตามที่ผมแนะนำนั้น ได้ลงพิมพ์ห่างจากวันที่เธอส่งไป เพียงเดือนเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะแม้แต่ผมซึ่งเขียนส่งไปเป็นประจำ ยังได้ลงบ้างหายเงียบบ้าง และเรื่องที่ได้ลงก็มักจะห่างจากวันที่ส่งเป็นเวลาหลาย ๆ เดือน เธอรีบเขียนมาขอบคุณผมอย่างมากมาย ซึ่งผมก็ได้แสดงความยินดีด้วย จากใจจริง แล้วก็ให้กำลังใจแก่เธอ ที่จะทำงานที่เธอรักนี้ต่อไปได้ดีขึ้น

จากนั้นเธอก็ยังคงเขียนจดหมายมาคุยอีกหลายครั้ง เธอเล่าถึงความเพ้อฝันในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งความว้าเหว่ ความเศร้า ความรัก และความผิดหวังของเธอ ซึ่งผมก็ไม่ได้ตอบไปเลย เธอจึงต่อว่าที่ผมเงียบหายไปเฉย ๆ และอยากจะได้พบผมอีกสักครั้ง แต่ผมก็ต้องทำเฉยเสีย ด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้ง ๆ ที่ความรู้สึกของเธอที่มีต่อผมนั้น เหมือนสายฝนที่โปรยความชุ่มชื่นให้แก่จิตใจของผม อย่างที่ไม่เคยได้เป็นเช่นนั้นมานานหนักหนาแล้ว

เธอคงจะเอือมระอากับความนิ่งเงียบ ของผมเต็มที จดหมายของเธอจึงห่างลงและในที่สุดก็หายไป รวมทั้งไม่มีต้นฉบับเรื่องสั้นของเธอ มาให้ผมช่วยตรวจแก้อีกเลย จนเวลาได้ล่วงเลยไปกว่าครึ่งปี ผมจึงได้รับการติดต่อจากเธออีกครั้ง เมื่อบ่ายนี้เอง

ผมไม่จำเป็นต้องเดา หรือตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้รับอย่างไม่คาดฝัน เพราะภายในซอง สีนวลและมีกลิ่นหอมนั้น ก็คือบัตรเชิญเพื่อเป็นเกียรติในงานแต่งงาน ระหว่างเธอ กับนายทหาร สังกัดหน่วยที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเดียวกันนั้นเอง

ผมยังไม่ได้อ่านรายละเอียด ว่างานนั้นกำหนดจัดขึ้นเมื่อใด และที่ไหน เพราะมัวแต่ปล่อยความคิดคำนึง ให้ล่องลอยไปกับความหลังอันแสนสั้น ที่ได้ผ่านไปเมื่อไม่นานมานี้ ก็พอดีได้ยินเสียงเด็กชายคนหนึ่ง ร้องตะโกนเข้ามาจากหลังบ้าน ด้วยเสียงอันดัง

“ คุณปู่ครับ……คุณปู่คร้าบ คุณย่าให้มาทานข้าวได้แล้วครับ “

ผมจึงได้สะดุ้งตื่นขึ้นจากความฝัน และสำนึกในความจริงของปัจจุบันว่า ผมคงจะไม่มีโอกาสได้ไปงานมงคลสมรสของเธอเป็นแน่ เพราะลูกหลานของผมเขาจะจัดงานวันเกิด ครบรอบเจ็ดสิบปีให้ ในสัปดาห์หน้านี้เอง.

###########

วารสารข่าวทหารอากาศ
มีนาคม ๒๕๔๘




Create Date : 02 ตุลาคม 2550
Last Update : 2 ตุลาคม 2550 7:18:35 น.

Counter : Pageviews. 6 comments

Add to







อันความกรุณาปราณี

จะมีใครบังคับก็หาไม่

หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ

จากฟากฟ้าสุรารินสู่ดินแดิน……






โดย: GTW IP: 125.25.71.46 วันที่: 2 ตุลาคม 2550 เวลา:8:03:09 น.







เมื่อเจ็ดวันก่อนนิ้วมือซ้ายเป็นเหน็บชา
เกิดจากเส้นโลหิตในสมองไม่ปกติ
ไหหมอ ให้ยามากินห้าขนาน
พรุ่งนี้ต้องไปอีกครั้งหนึ่งครับ

ที่ห้องไร้สังกัด เขาชวนไปมีตติ้ง ๑๓ ต.ค.
และทำบุญ ๑๔ ต.ค.ก็ไปไม่ได้ครับ
ไกลพอ ๆ กับดอนเมืองเลย

ขอบคุณที่ไล่ตามอ่านบล็อก ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ลงในถนนฯแล้ว
อยากเก็บไว้แทนคลังกระทู้เก่าครับ.



โดย: เจียวต้าย (เจียวต้าย ) วันที่: 2 ตุลาคม 2550 เวลา:18:38:51 น.







ตามมาถึงนี่แล้ว เรื่องก่อนหน้านี้ก้ออ่านแต่ลงคอมเม้นไม่ได้ อยากฝากบอกว่าอ่านจนเหนื่อยเลย กว่าจะแปลออก อิอิอิ



โดย: ข้าวโพด IP: 121.55.242.19 วันที่: 7 มีนาคม 2551 เวลา:11:45:58 น.







เรื่องนี้เก่ากว่าเรื่อง ค่าของมิตรภาพ หลายปีครับ
ตอนท้ายจึงแปลงให้มันแก่เกินจริงไปหน่อย
คือผมไม่มีหลานให้เลี้ยงเลยครับ.

สำหรับเรื่อง ผู้บำเพ็ญประโยชน์ คงจะจิ้มผิดจุดครับเลยตอบไม่ได้
ตอนนี้แก้ไขแล้วครับ เชิญครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 7 มีนาคม 2551 เวลา:19:49:33 น.







นับว่าเป็นศิษย์และครูกันได้เลยนะครับ

ได้รับคำแนะนำดี ๆ ในการเขียนเรื่องสั้น

ให้เกิดภาพในจินตนาการของผู้อ่านได้อย่างชัดเจนเช่่นนี้



โดย: พี่แต้ วันที่: 14 มีนาคม 2551 เวลา:21:45:53 น.







ครับ...เป็นคนเดียวที่ผมตรวจแก้เรื่องสั้นให้และได้ลงพิมพ์
ซึ่งก็เป็นคนเดียวในชีวิตของการเขียนหนังสือครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 15 มีนาคม 2551 เวลา:9:44:42 น.






Create Date : 04 มีนาคม 2553
Last Update : 25 มีนาคม 2553 10:45:35 น. 6 comments
Counter : 395 Pageviews.

 
ตามมาอ่านเป็นระยะๆค่ะ เง้อ...มนไม่ได้เป็นนางพยาบาลให้ใครนะค่ะ แงๆ โดนผุ้ใหญ่แซว ดังๆ อิๆ


โดย: Setakan วันที่: 4 มีนาคม 2553 เวลา:9:14:46 น.  

 
เอ.....ผมว่าผมแซวอาจารย์จีนะครับ

ขออภัยถ้ามันแฉลบไปเฉี่ยวคุณเข้าด้วยครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 4 มีนาคม 2553 เวลา:10:23:15 น.  

 
แป้วววว แสดงว่าคิดไปเอง งุงิ


โดย: Setakan วันที่: 4 มีนาคม 2553 เวลา:13:00:10 น.  

 
คือผมสงสัยว่าอาจารย์จีแกจะป่วยเท่านั้นเองครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 4 มีนาคม 2553 เวลา:21:19:16 น.  

 


โดย: Setakan วันที่: 5 มีนาคม 2553 เวลา:9:44:59 น.  

 
ขำเห็นฟันเลยหรือครับ


โดย: เจียวต้าย วันที่: 5 มีนาคม 2553 เวลา:19:44:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.