ถัดขึ้นไปทางตอนเหนือ กองทัพแห่งโปรโตแมคของแกรนท์จำนวนกว่า 125,000 นายได้ทำการปิดล้อมกองทัพแห่งเวอร์จิเนียเหนือของลีจำนวน 35,000 นายเป็นเวลากว่าเก้าเดือนในสงครามสนามเพลาะที่เมืองปีเตอร์เบิร์กในมลรัฐเวอร์จิเนีย ลีพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะยันการรุกคืบของแกรนท์ เพราะหากว่ากองทัพของเขาต้องล่าถอย นั่นก็หมายความว่าหนทางได้เปิดกว้างสำหรับกองทัพฝ่ายยูเนี่ยนในการเข้ายึดริชมอนด์ เมืองหลวงของฝ่ายใต้ ทว่าสถานการณ์ของลีกำลังคับขันขึ้นทุกขณะ อันเนื่องมาจากการขาดเสบียงและการขาดขวัญกำลังใจในการสู้รบของทหารในบังคับบัญชา ทหารของเขากว่าหกสิบเปอร์เซนต์ได้พากันละทิ้งอาวุธและหนีทัพเพื่อกลับไปยังบ้านเกิด ลีตระหนักดีว่ามีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่สามารถจะทำให้สงครามดำเนินต่อไป นั่นก็คือจะต้องรักษากำลังทหารเอาไว้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ตัดสินใจถอนทัพเพื่อถอยไปรวมพลกับกองทัพแห่งเทนเนสซีของนายพลโจเซฟ อี จอห์นสตัน ที่รัฐนอร์ธคาร์โลไลนา โดยยอมทิ้งริชมอนด์ให้กับพวกแยงกี้ข่าวการถอนทัพของลีสร้างความตกตะลึงให้กับเจฟเฟอร์สัน เดวิสและชาวเมืองริชมอนด์เป็นล้นพ้น ประธานาธิบดีเดวิสถึงกับหน้าถอดสีเมื่อได้รับจดหมายแจ้งข่าวจากลีในระหว่างที่กำลังทำพิธีอยู่ในโบส์ถวันอาทิตย์ ทันทีที่ได้รับทราบ เขารีบเดินทางออกจากโบส์ถกลับไปยังทำเนียบรัฐบาล และสั่งให้รีบทำการเก็บข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดเพื่อเคลื่อนย้ายคณะรัฐบาลไปยังที่ตั้งแห่งใหม่ ได้เกิดความแตกตื่นโกลาหลไปทั่วทั้งเมืองเมื่อเจฟ เดวิสกับคณะรัฐมนตรีของเขาออกเดินทางโดยขบวนรถไฟเที่ยวสุดท้ายออกจากริชมอนด์ในช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน ปี 1865 ทิ้งให้ชาวเมืองทั้งหมดต้องอยู่รอรับชะตากรรมที่กำลังจะมาถึงจากพวกแยงกี้
กองทัพของลีถูกไล่ล่าจนถอยไปจนมุมที่เมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในรัฐเวอร์จิเนียที่มีชื่อว่า อโพเมติค เมื่อนายพลลีเห็นทหารในบังคับบัญชาของตนขาดขวัญกำลังใจในการสู้รบและหมดเรี่ยวแรงที่จะเดินทัพต่อ เขาจึงพิจารณาถึงทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเหล่าทหารหาญที่ได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา นั่นก็คือการยอมจำนนต่อนายพลแกรนท์ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการรักษาชีวิตทหารเอาไว้ เพราะสำหรับแม่ทัพที่เจนศึกอย่างลีแล้ว สงครามได้พ่ายแพ้ไปเป็นที่เรียบร้อยเบ็ดเสร็จแล้ว จึงไม่มีประโยชน์อันใดที่จะต้องมาสู้รบกันอีกให้เป็นการสิ้นเปลืองชีวิตผู้คน ได้มีการติดต่อประสานงานกันระหว่างกองบัญชาการของทั้งสองฝ่าย จนในที่สุดก็ได้มีการกำหนดวันเวลาและสถานที่สำหรับการเจรจายอมจำนน สถานที่ก็คือบ้านนาสุดหรูของนายหน้าค้าน้ำตาลชาวใต้ผู้หนึ่งนามว่าวิลเมอร์ แมคคลีน ส่วนกำหนดการก็คือวันที่อาทิตย์ที่ 9 เมษายน ปี 1865 ซึ่งเป็นวันปาล์ม ซันเดย์ หนึ่งอาทิตย์ก่อนถึงเทศกาลอีสเตอร์9 เมษายน 1865 เวลาเที่ยงวัน นายพลลีในชุดเครื่องแบบทหารเต็มยศควบม้าอย่างสง่าผ่าเผยมาถึงสนามหน้าบ้านของมิสเตอร์แมคคลีน แล้วจากนั้นก็เข้าไปนั่งรอแกรนท์ภายในห้องรับแขก หลังจากนั้นไม่นานนายพลแกรนท์ในชุดสนามเปื้อนโคลนพร้อมด้วยเหล่าคณะเสนาธิการก็ได้เดินทางมาถึง และติดตามลีเข้าไปในบ้านพัก ทั้งสองนายพลจับมือทักทายกันอย่างสุภาพ แกรนท์พยายามสร้างบรรยากาศของความเป็นกันเองด้วยการรื้อฟื้นความหลังสมัยสงครามเม็กซิกันที่ตนยังคงเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อย โดยหวังว่าลีจะสามารถจดจำเขาได้ แต่ลีในฐานะนายทหารที่มีอาวุโสสูงที่สุดในกองทัพและมีลูกน้องมากมายกลับนึกไม่ออกว่าได้เคยพบกับแกรนท์ที่ไหนมาก่อน ลีเป็นฝ่ายเริ่มเข้าประเด็นโดยถามแกรนท์ถึงเงื่อนไขของฝ่ายรัฐบาลกลางสำหรับการยอมจำนนในครั้งนี้ แกรนท์จึงได้อธิบายให้ฟังถึงเงื่อนไขต่างๆ นั่นก็คือให้ทหารฝ่ายใต้ทั้งหมดยอมวางอาวุธโดยจะได้รับการอภัยโทษจากทางรัฐบาลกลาง และสามารถเดินทางกลับไปยังภูมิลำเนาเดิมของตนได้ โดยมีการภาคทัณฑ์ไว้ว่าจะต้องไม่จับอาวุธขึ้นมาต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาลกลางอีก เมื่อรับฟังจบลีจึงได้ขอสนธิสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรจากแกรนท์ ท่ามกลางความตกตะลึงเล็กๆของลี แกรนท์ในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพฝ่ายยูเนี่ยนที่คุมทหารนับจำนวนเป็นล้าน หยิบเอากระดาษเปล่าออกมาหนึ่งแผ่นและทำการร่างสัญญาสดๆด้วยดินสอที่พกติดตัวมาในกระเป๋าเสื้อ จากนั้นจึงยื่นให้ลีอ่านและลงนาม และเมื่อทั้งสองฝ่ายได้ลงนามเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งลีและแกรนท์ก็เดินออกมาจากตัวบ้านด้วยกัน ท่ามกลางสายตานับพันคู่ของบรรดาเหล่าทหารฝ่ายยูเนี่ยนที่จับจ้องมองดูเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้อย่างใจจดใจจ่อ หลังจากที่ลีควบม้าออกไป ทหารพวกนั้นก็ได้เริ่มทำการโห่ร้องแสดงความยินดีกันเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนแกรนท์ต้องปรามออกมาว่า ตอนนี้ฝ่ายใต้ได้กลับมาเป็นเพื่อนร่วมชาติของพวกเราเหมือนเดิมแล้ว เพราะฉนั้นเราจึงไม่สมควรแสดงความยินดีในความพ่ายแพ้และชะตากรรมของเพื่อนร่วมชาติ ทหารเหล่านั้นจึงได้เงียบเสียงลง
และแล้วในที่สุดสงครามที่กินเวลายาวนานกว่าห้าปีและมีการนองเลือดมากที่สุดบนผืนแผ่นดินอเมริกาก็มีอันยุติลง ผลของสงครามทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายรวมแล้วกว่า 600,000 คน หรือคิดเป็นสองเปอร์เซนต์ของจำนวนประชากรทั้งหมด ทรัพย์สินบ้านเรือนตลอดจนเรือกสวนไร่นารวมทั้งฝูงปศุสัตว์เสียหายเหลือที่จะคณานับ และที่น่าเจ็บปวดใจที่สุดก็คือพี่น้องเพื่อนสนิทมิตรสหายจะต้องหันมาจับอาวุธเข่นฆ่าประหัตประหารกันเอง เพียงเพราะว่ามีแนวคิดทางการเมืองที่แตกต่าง ทว่าบทเรียนจากสงครามก็ทำให้สหรัฐอเมริกาได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริง มิได้อยู่ได้ด้วยการหลอกตัวเองว่าเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพและความเท่าเทียมกันของมนุษย์เหมือนเช่นเมื่อครั้งในอดีต แต่ทว่าได้กลับกลายเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพอย่างแท้จริง อันเป็นที่ถวิลหาของบุคคลผู้มีใจรักในเสรีภาพทั่วโลก ซึ่งได้เดินทางหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศเพื่อเข้ามาตั้งถิ่นฐานบนแผ่นดินแห่งเสรีภาพผืนนี้ จึงอาจกล่าวได้ว่าสหรัฐอเมริกาสามารถเติบใหญ่ขึ้นเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งมั่นคงและมั่งคั่งอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ได้ ก็เพราะผลพวงของสงครามกลางเมืองครั้งนี้นั่นเอง น่าเสียดายที่ท่านประธานาธิบดีลินคอนน์ผู้เป็นที่รักของมหาชน มิได้มีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อชื่นชมกับความสำเร็จของตน เพราะท่านได้ถูกลอบสังหารในระหว่างที่กำลังชมละครเวทีในคืนวันที่ 14 เมษายน ปี 1865 ท่ามกลางความโศกเศร้าอาดูรของปวงชนผู้มีใจรักในเสรีภาพทั่วประเทศ และด้วยสำนึกในบุญคุณของท่านที่มีต่อประเทศ ผู้คนในยุคหลังจึงได้จัดสร้างอนุสรณ์สถานลินคอนน์หรือ Lincoln Memorial ขึ้นในปี 1922 อนุสรณ์สถานแห่งนี้สร้างขึ้นจากหินอ่อนสีขาวตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโปรโตแมคในกรุงวอชิงตันดีซี รูปแบบสถาปัตย์กรรมกรีกอันงดงามของตัวอาคารและอนุสาวรีย์หินอ่อนของท่านประธานาธิบดีในท่านั่งที่กำลังมองลงมาด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมแต่สายตากลับเปี่ยมไปด้วยความเมตตาสามารถสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนที่ได้มีโอกาสมาสัมผัสกับนครหลวงแห่งเสรีภาพแห่งนี้
สงวนลิขสิทธิ์ บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา ห้ามนำบทความหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของบทความไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ เว้นแต่จะได้รับการอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของบทความ มิฉนั้นจะถูกดำเนินการทางกฎหมาย