Each time history repeats itself, the price goes up. ~Author Unknown
Group Blog
 
All Blogs
 
สงครามกลางเมืองอเมริกา ตอนที่ห้า (จบ)

พิรัส จันทรเวคิน

ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยเดิมอยู่เสมอ ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่รู้จักการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดในอดีตของตน


ย่างเข้าเดือนพฤษภาคม ปี 1864 สถานการณ์ของฝ่ายใต้เริ่มเข้าขั้นวิกฤติหนักขึ้น เมื่อนายพลวิลเลียม ติคัมเช่ เชอร์แมน ผู้ซึ่งเป็นมือขวาของนายพลแกรนท์ ผู้บัญชาการทหารทั่วไปของกองทัพฝ่ายยูเนี่ยน นำทัพกว่าหนึ่งแสนนายเข้าตีเมืองแอตแลนต้า ในมลรัฐจอร์เจีย โดยมีจุดประสงค์ที่จะเคลื่อนพลไปยังเมืองซะวันนาที่ริมฝั่งแอตแลนติก เพื่อตัดแบ่งประเทศของฝ่ายใต้ออกเป็นสองส่วน และในการเดินทัพครั้งนี้ เชอร์แมนได้ใช้ยุทธศาสตร์ใหม่ในการรบ โดยการเข้ายึดและเผาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่เว้นแม้แต่ทรัพย์สินของพลเรือน ทั้งนี้ก็เพื่อทำลายขวัญและกำลังใจของแนวหลังฝ่ายใต้ การกระทำของเชอร์แมนได้สร้างความเจ็บแค้นใจเป็นล้นพ้นให้กับมวลชนฝ่ายใต้ แม้จนกระทั่งในปัจจุบันที่กาลเวลาได้ล่วงเลยไปถึงกว่าหนึ่งร้อยปี แต่ก็ยังมีทายาทของผู้เคราะห์ร้ายอีกนับหมื่นที่ไม่เคยให้อภัยกับการกระทำอันป่าเถื่อนโหดร้ายในครั้งนี้ของเชอร์แมน

แอตแลนต้าถูกยึดได้ในวันที่ 2 กันยายน หลังจากที่ยึดครองอยู่นานสองเดือน เชอร์แมนจึงได้สั่งให้เผาเมืองทิ้งในวันที่ 15 พฤศจิกายน ก่อนเคลื่อนพลจำนวน 62,000 นายออกเดินทัพตัดผ่านจอร์เจียเพื่อไปยังชายฝั่งแอตแลนติก ทิ้งเศษซากปรักหักพังของแอตแลนต้า เมืองใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นลำดับสองของฝ่ายใต้เอาไว้ที่เบื้องหลัง กองทัพของเชอร์แมนได้สร้างความพินาศย่อยยับไปตามตลอดเส้นทางของการเดินทัพเป็นระยะทางกว่า 300 ไมล์ ด้วยการปล้นสะดมภ์และเผาทำลาย ไม่มีสิ่งใดเหลือรอดจากเงื้อมมือของนายพลที่โหดร้ายผู้นี้ไปได้ ทั้งบ้านช่องเรือกสวนไร่นาตลอดจนบรรดาฝูงปศุสัตว์ ยกเว้นก็แต่ปล่องไฟของเศษซากอาคารที่กลายเป็นเถ้าถ่านเท่านั้น พลเมืองของฝ่ายใต้นับแสนๆคนต้องสิ้นเนื้อประดาตัว กลายเป็นคนไร้ถิ่นฐานไปในดินแดนบ้านเกิดของตนเอง

ข่าวคราวการเดินทัพของเชอร์แมนได้ห่างหายไปจากหน้าหนังสือพิมพ์ทางฝั่งเหนือไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง อันเนื่องมาจากการปิดข่าวและความยากลำบากในการติดต่อสื่อสารสมัยนั้น จนกระทั่งเมื่อกองทัพของเขาเดินทางมาถึงเมืองซะวันนาที่ริมฝั่งแอตแลนติก เชอร์แมนจึงได้โทรเลขแจ้งไปยังประธานาธิบดีลินคอนน์ เพื่อรายงานให้ทราบถึงความสำเร็จของยุทธการครั้งนี้ และอีกทั้งเพื่อเป็นการส่งมอบเมืองที่เพิ่งยึดมาได้ให้เป็นของขวัญวันคริสต์มาส ปี 1864 แก่ท่านประธานาธิบดี ยุทธวิธีการทำลายล้างแบบ Scorched Earth ของเชอร์แมนนั้นแม้จะมิใช่ของใหม่ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่มีการนำมาใช้บนผืนแผ่นดินอเมริกา และทำให้ชื่อเสียงของเชอร์แมนต้องมัวหมองและได้รับการสาปแช่งจากผู้คนทางตอนใต้สืบมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน



ถัดขึ้นไปทางตอนเหนือ กองทัพแห่งโปรโตแมคของแกรนท์จำนวนกว่า 125,000 นายได้ทำการปิดล้อมกองทัพแห่งเวอร์จิเนียเหนือของลีจำนวน 35,000 นายเป็นเวลากว่าเก้าเดือนในสงครามสนามเพลาะที่เมืองปีเตอร์เบิร์กในมลรัฐเวอร์จิเนีย ลีพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะยันการรุกคืบของแกรนท์ เพราะหากว่ากองทัพของเขาต้องล่าถอย นั่นก็หมายความว่าหนทางได้เปิดกว้างสำหรับกองทัพฝ่ายยูเนี่ยนในการเข้ายึดริชมอนด์ เมืองหลวงของฝ่ายใต้ ทว่าสถานการณ์ของลีกำลังคับขันขึ้นทุกขณะ อันเนื่องมาจากการขาดเสบียงและการขาดขวัญกำลังใจในการสู้รบของทหารในบังคับบัญชา ทหารของเขากว่าหกสิบเปอร์เซนต์ได้พากันละทิ้งอาวุธและหนีทัพเพื่อกลับไปยังบ้านเกิด ลีตระหนักดีว่ามีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่สามารถจะทำให้สงครามดำเนินต่อไป นั่นก็คือจะต้องรักษากำลังทหารเอาไว้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ตัดสินใจถอนทัพเพื่อถอยไปรวมพลกับกองทัพแห่งเทนเนสซีของนายพลโจเซฟ อี จอห์นสตัน ที่รัฐนอร์ธคาร์โลไลนา โดยยอมทิ้งริชมอนด์ให้กับพวกแยงกี้

ข่าวการถอนทัพของลีสร้างความตกตะลึงให้กับเจฟเฟอร์สัน เดวิสและชาวเมืองริชมอนด์เป็นล้นพ้น ประธานาธิบดีเดวิสถึงกับหน้าถอดสีเมื่อได้รับจดหมายแจ้งข่าวจากลีในระหว่างที่กำลังทำพิธีอยู่ในโบส์ถวันอาทิตย์ ทันทีที่ได้รับทราบ เขารีบเดินทางออกจากโบส์ถกลับไปยังทำเนียบรัฐบาล และสั่งให้รีบทำการเก็บข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดเพื่อเคลื่อนย้ายคณะรัฐบาลไปยังที่ตั้งแห่งใหม่ ได้เกิดความแตกตื่นโกลาหลไปทั่วทั้งเมืองเมื่อเจฟ เดวิสกับคณะรัฐมนตรีของเขาออกเดินทางโดยขบวนรถไฟเที่ยวสุดท้ายออกจากริชมอนด์ในช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน ปี 1865 ทิ้งให้ชาวเมืองทั้งหมดต้องอยู่รอรับชะตากรรมที่กำลังจะมาถึงจากพวกแยงกี้



กองทัพของลีถูกไล่ล่าจนถอยไปจนมุมที่เมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในรัฐเวอร์จิเนียที่มีชื่อว่า “อโพเมติค” เมื่อนายพลลีเห็นทหารในบังคับบัญชาของตนขาดขวัญกำลังใจในการสู้รบและหมดเรี่ยวแรงที่จะเดินทัพต่อ เขาจึงพิจารณาถึงทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเหล่าทหารหาญที่ได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา นั่นก็คือการยอมจำนนต่อนายพลแกรนท์ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการรักษาชีวิตทหารเอาไว้ เพราะสำหรับแม่ทัพที่เจนศึกอย่างลีแล้ว สงครามได้พ่ายแพ้ไปเป็นที่เรียบร้อยเบ็ดเสร็จแล้ว จึงไม่มีประโยชน์อันใดที่จะต้องมาสู้รบกันอีกให้เป็นการสิ้นเปลืองชีวิตผู้คน ได้มีการติดต่อประสานงานกันระหว่างกองบัญชาการของทั้งสองฝ่าย จนในที่สุดก็ได้มีการกำหนดวันเวลาและสถานที่สำหรับการเจรจายอมจำนน สถานที่ก็คือบ้านนาสุดหรูของนายหน้าค้าน้ำตาลชาวใต้ผู้หนึ่งนามว่าวิลเมอร์ แมคคลีน ส่วนกำหนดการก็คือวันที่อาทิตย์ที่ 9 เมษายน ปี 1865 ซึ่งเป็นวันปาล์ม ซันเดย์ หนึ่งอาทิตย์ก่อนถึงเทศกาลอีสเตอร์

9 เมษายน 1865 เวลาเที่ยงวัน นายพลลีในชุดเครื่องแบบทหารเต็มยศควบม้าอย่างสง่าผ่าเผยมาถึงสนามหน้าบ้านของมิสเตอร์แมคคลีน แล้วจากนั้นก็เข้าไปนั่งรอแกรนท์ภายในห้องรับแขก หลังจากนั้นไม่นานนายพลแกรนท์ในชุดสนามเปื้อนโคลนพร้อมด้วยเหล่าคณะเสนาธิการก็ได้เดินทางมาถึง และติดตามลีเข้าไปในบ้านพัก ทั้งสองนายพลจับมือทักทายกันอย่างสุภาพ แกรนท์พยายามสร้างบรรยากาศของความเป็นกันเองด้วยการรื้อฟื้นความหลังสมัยสงครามเม็กซิกันที่ตนยังคงเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อย โดยหวังว่าลีจะสามารถจดจำเขาได้ แต่ลีในฐานะนายทหารที่มีอาวุโสสูงที่สุดในกองทัพและมีลูกน้องมากมายกลับนึกไม่ออกว่าได้เคยพบกับแกรนท์ที่ไหนมาก่อน ลีเป็นฝ่ายเริ่มเข้าประเด็นโดยถามแกรนท์ถึงเงื่อนไขของฝ่ายรัฐบาลกลางสำหรับการยอมจำนนในครั้งนี้ แกรนท์จึงได้อธิบายให้ฟังถึงเงื่อนไขต่างๆ นั่นก็คือให้ทหารฝ่ายใต้ทั้งหมดยอมวางอาวุธโดยจะได้รับการอภัยโทษจากทางรัฐบาลกลาง และสามารถเดินทางกลับไปยังภูมิลำเนาเดิมของตนได้ โดยมีการภาคทัณฑ์ไว้ว่าจะต้องไม่จับอาวุธขึ้นมาต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาลกลางอีก เมื่อรับฟังจบลีจึงได้ขอสนธิสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรจากแกรนท์ ท่ามกลางความตกตะลึงเล็กๆของลี แกรนท์ในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพฝ่ายยูเนี่ยนที่คุมทหารนับจำนวนเป็นล้าน หยิบเอากระดาษเปล่าออกมาหนึ่งแผ่นและทำการร่างสัญญาสดๆด้วยดินสอที่พกติดตัวมาในกระเป๋าเสื้อ จากนั้นจึงยื่นให้ลีอ่านและลงนาม และเมื่อทั้งสองฝ่ายได้ลงนามเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งลีและแกรนท์ก็เดินออกมาจากตัวบ้านด้วยกัน ท่ามกลางสายตานับพันคู่ของบรรดาเหล่าทหารฝ่ายยูเนี่ยนที่จับจ้องมองดูเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้อย่างใจจดใจจ่อ หลังจากที่ลีควบม้าออกไป ทหารพวกนั้นก็ได้เริ่มทำการโห่ร้องแสดงความยินดีกันเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนแกรนท์ต้องปรามออกมาว่า “ตอนนี้ฝ่ายใต้ได้กลับมาเป็นเพื่อนร่วมชาติของพวกเราเหมือนเดิมแล้ว เพราะฉนั้นเราจึงไม่สมควรแสดงความยินดีในความพ่ายแพ้และชะตากรรมของเพื่อนร่วมชาติ” ทหารเหล่านั้นจึงได้เงียบเสียงลง



และแล้วในที่สุดสงครามที่กินเวลายาวนานกว่าห้าปีและมีการนองเลือดมากที่สุดบนผืนแผ่นดินอเมริกาก็มีอันยุติลง ผลของสงครามทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายรวมแล้วกว่า 600,000 คน หรือคิดเป็นสองเปอร์เซนต์ของจำนวนประชากรทั้งหมด ทรัพย์สินบ้านเรือนตลอดจนเรือกสวนไร่นารวมทั้งฝูงปศุสัตว์เสียหายเหลือที่จะคณานับ และที่น่าเจ็บปวดใจที่สุดก็คือพี่น้องเพื่อนสนิทมิตรสหายจะต้องหันมาจับอาวุธเข่นฆ่าประหัตประหารกันเอง เพียงเพราะว่ามีแนวคิดทางการเมืองที่แตกต่าง ทว่าบทเรียนจากสงครามก็ทำให้สหรัฐอเมริกาได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริง มิได้อยู่ได้ด้วยการหลอกตัวเองว่าเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพและความเท่าเทียมกันของมนุษย์เหมือนเช่นเมื่อครั้งในอดีต แต่ทว่าได้กลับกลายเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพอย่างแท้จริง อันเป็นที่ถวิลหาของบุคคลผู้มีใจรักในเสรีภาพทั่วโลก ซึ่งได้เดินทางหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศเพื่อเข้ามาตั้งถิ่นฐานบนแผ่นดินแห่งเสรีภาพผืนนี้ จึงอาจกล่าวได้ว่าสหรัฐอเมริกาสามารถเติบใหญ่ขึ้นเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งมั่นคงและมั่งคั่งอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ได้ ก็เพราะผลพวงของสงครามกลางเมืองครั้งนี้นั่นเอง

น่าเสียดายที่ท่านประธานาธิบดีลินคอนน์ผู้เป็นที่รักของมหาชน มิได้มีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อชื่นชมกับความสำเร็จของตน เพราะท่านได้ถูกลอบสังหารในระหว่างที่กำลังชมละครเวทีในคืนวันที่ 14 เมษายน ปี 1865 ท่ามกลางความโศกเศร้าอาดูรของปวงชนผู้มีใจรักในเสรีภาพทั่วประเทศ และด้วยสำนึกในบุญคุณของท่านที่มีต่อประเทศ ผู้คนในยุคหลังจึงได้จัดสร้างอนุสรณ์สถานลินคอนน์หรือ Lincoln Memorial ขึ้นในปี 1922 อนุสรณ์สถานแห่งนี้สร้างขึ้นจากหินอ่อนสีขาวตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโปรโตแมคในกรุงวอชิงตันดีซี รูปแบบสถาปัตย์กรรมกรีกอันงดงามของตัวอาคารและอนุสาวรีย์หินอ่อนของท่านประธานาธิบดีในท่านั่งที่กำลังมองลงมาด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมแต่สายตากลับเปี่ยมไปด้วยความเมตตาสามารถสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนที่ได้มีโอกาสมาสัมผัสกับนครหลวงแห่งเสรีภาพแห่งนี้



IN THIS TEMPLE
AS IN THE HEARTS OF THE PEOPLE
FOR WHOM HE SAVED THE UNION
THE MEMORY OF ABRAHAM LINCOLN
IS ENSHRINED FOREVER

<จบบริบรูณ์>

สงวนลิขสิทธิ์ บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา ห้ามนำบทความหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของบทความไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ เว้นแต่จะได้รับการอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของบทความ มิฉนั้นจะถูกดำเนินการทางกฎหมาย


Create Date : 23 มกราคม 2553
Last Update : 3 มีนาคม 2553 12:59:20 น. 9 comments
Counter : 3812 Pageviews.

 
Marching Through Georgia



โดย: piras วันที่: 23 มกราคม 2553 เวลา:14:28:11 น.  

 
ชอบจังพี่พิรัส

ว่าจะหาหนังพวกนี้มาดูนะคับ
พี่ว่าตามร้านเช่าทั่วไปจะมีมะหรอคับ


โดย: สหายDSL วันที่: 27 มกราคม 2553 เวลา:0:46:27 น.  

 
ผมก็โหลดบิทมาดูทั้งนั้นแหละครับ จะไปเช่ามาดูให้เปลืองตังค์ทำไม ยังไงก็ลองเอารายชื่อหนังมาจากเวปนี้นะครับ อยากจะดูเรื่องอะไรก็ให้ใส่ชื่อลงไปในเวปบิท

//digitaldreamdoor.nutsie.com/pages/movie-pages/movie_war.html



โดย: piras วันที่: 27 มกราคม 2553 เวลา:9:29:14 น.  

 
กรี๊ดดดดดดดดดด

ได้ใจผมเลยคับพี่พิรัส ชอบๆ แหละ

ที่ยากหน่อยคือพากษ์ไทยเนอะ

ยังไงผมรบกวนพี่พิรัสอัพเรื่องสงครามเย็นด้วยน๊า


โดย: สหายDSL วันที่: 29 มกราคม 2553 เวลา:2:28:25 น.  

 
Brooklyn Tabernacle Choir - Battle Hymn of the Republic



โดย: piras วันที่: 3 มีนาคม 2553 เวลา:1:54:27 น.  

 
สวัสดีครับพี่

ผมชอบคอมเม้นท์ของพี่ที่บล้อกผมมากเลยครับ
เห็นด้วยในทุกเรื่อง
รวมถึงการถอดสลักความรุนแรงนี้ให้ได้โดยเร็ว

แม้มันจะยากแต่เราต้องมีความหวังเสมอใช่ไหมครับ





โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 พฤษภาคม 2553 เวลา:16:03:00 น.  

 
Gods and Generals - Intro Theme



โดย: piras วันที่: 18 พฤษภาคม 2553 เวลา:15:14:11 น.  

 
This is a tribute to Sae Daeng who can be regarded as “Stonewall Jackson” of Thailand. Like that of General Jackson, his legacy will live on forever.



โดย: piras วันที่: 18 พฤษภาคม 2553 เวลา:20:56:37 น.  

 
ผมได้อ่านบทความสงครามกลางเมืองของอเมริกาแล้วเห็นว่ามีประโยชน์ในการศึกษาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ในเมืองไทยปัจจุบันที่ส่อเค้าว่าจะไม่มีทางจบลงง่าย ๆ ใคร่ขออนุญาติคัดลอกบทความดังกล่าวและรูปภาพไปทำเป็น NoteและPhoto Album เพื่อเผยแพร่ในเฟสบุ้คให้สาธารณชนได้แบ่งปันความรู้และประสพการณ์กันต่อไปครับ

ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ
ขัดข้องประการใดโปรดตอบด้วยครับ

พ.อ.นพ.ชาติชาย มาเมือง
โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า
www.facebook.com/chatchai2500


โดย: cm-2500 วันที่: 17 กรกฎาคม 2555 เวลา:15:37:26 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

piras
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีความสวยงาม ไม่แพ้ภาษาของชนชาติใดในโลก

free counters
Friends' blogs
[Add piras's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.