ชีวิตนักศึกษาแพทย์กับคณิตศาสตร์
สวัสดีครับทุกท่าน พี่ๆ เพื่อนๆ และน้องๆ จากวันแรกที่ผมฝึกเขียนบล้อกผมได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่า

"ตั้งใจเรียน เข้าสู่จุดหมายที่คาดหวัง แพทย์ !!!"

จนตอนนี้ผมได้เป็นนักศึกษาแพทย์วชิระแล้วครับ ^^ ... หลังจากเวลาที่ผ่านไป 3 ปีนับจากวันเริ่มเขียนบล้อกได้ ผมรู้สึกว่าชีวิต ม.ปลาย ได้ขัดเกลาอะไรเราหลายๆอย่าง จนตอนนี้ทำให้ผมและเพื่อนๆอีกหลายคนก้าวเข้าสู่มหาวิทยาลัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ถ้าพูดถึงเลขในเชิงการแพทย์แล้ว ... มันก็ยังดูเหมือนไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร (ซึ่งตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ - -) แต่อย่างที่เคยได้บอกว่าตั้งแต่แรกว่า "คณิตศาสตร์ คือ หลักแห่งเหตุและผล" ฉะนั้น ไม่ว่ามันอาจจะไม่ได้เอาคณิตศาสตร์ไปใช้ในชีวิตประจำวันแบบเห็นๆ แต่ผมคิดว่า ... ผมได้ถูกขัดเกลา ด้วยคณิตศาสตร์ ด้วยกระบวนการคิด ซึ่งต้องได้ใช้ในอนาคตอย่างแน่นอน

น้องๆคนไหนที่ผ่านเข้ามา พี่อยากฝากบอกว่า "ชีวิต ม.ปลาย" มีความสุข สนุกสนานมากมาย เรียนๆ เล่นๆ ชิวๆ แต่ก็อย่าลืมที่จะตั้งใจเรียน ก้าวสู่ฝัน ก้าวสู่อาชีพที่ใฝ่ฝัน เพื่อตัวเอง เพื่อคนรอบข้าง และเพื่ออนาคตที่มีความสุุข ที่จะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ขอให้น้องๆทุกคนสู้ๆนะครับ :)



Create Date : 25 ตุลาคม 2554
Last Update : 25 ตุลาคม 2554 10:12:39 น.
Counter : 1017 Pageviews.

0 comment
สิ้นสุดชีวิต ม.5 เทอม1
ในม.5 เทอม1 ที่ผ่านมานี้ ก็ผ่านไปได้ด้วยดีกับการเจอ ตรีโกณขั้น3 Expo&Logarythms ที่เป็นปัญหาหนักก็คงเป็นตรีโกณขั้น 3 ที่ล่อเอาทั้งระดับผ่านกันไม่ถึง 20 คนเห็นจะได้ - -* (ขนาดมีคะแนน +3 ให้ฟรีๆแล้วด้วยนะเนี่ย)

คาดว่าใครๆหลายคนก็คงจะเจอปัญหาเดียวกันว่า ทำไมตรีโกณภาคนี้มันยากจัง (ก็มันไม่ง่ายนี่หน่า) สูตรอะไรก็ไม่รู้ 30 สูตร จำได้ก็ยังทำไม่ได้ - -* เรียนไปก็ไม่ได้ใช้อีก 555 ส่วนตัวผมตอนนี้สูตรในหัวเหลือไม่ถึง 10 สูตรแล้ว ที่เหลือหายไปกับสายลม...

ขอบอกกล่าวคะแนนสักนิดละกัน เทอมนี้ก็ยังคงหาโจทย์ต่างๆมาทำไม่มากก็น้อย คะแนนในเทอม 1 ก็จบลงด้วย เลขพื้น 100 เลขเพิ่ม 95 (ท็อปที่ 1 ระดับเหมือนเดิม ^^) ไม่ได้จะอวดแต่อย่างใด เพราะผมก็เป็นคนหนึ่งที่เคยเกลียดเลขมาก่อนเหมือนกัน แต่อย่างที่เคยบอกไว้แล้วว่า ถ้าเราเจอสไตล์การเรียนของเรา บุคคลที่จะสอนแล้วให้เราสามารถรัก ชอบคณิตศาสตร์ขึ้นมาได้ เลขก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับใครเลยครับ

หากใครท้อแท้ ไม่อยากเห็นโจทย์แล้วมึนในห้องสอบ ก็คงจะต้องหาโจทย์หลายๆแนวมาทำดูครับ (แต่มันก็เยอะจริงๆ - -*) ก็เหนื่อยหน่อยนะครับ แต่ผลตอบแทนมันคุ้มค่าเหนือสิ่งใดจริงๆ ทั้งภูมิใจ สบายกาย ไม่ต้องซ่อม


เมื่อใดที่คิดว่ีาเราลำบากแล้ว...จงมองคนที่อยู่ข้างหลัง แล้วจะเห็นว่ามีผู้คนมากมายที่ลำบากกว่าเรา ไม่ได้มีโอกาสดีๆเหมือนเรา บางคนอยากเรียนหนังสือก็ยังไม่ได้เรียนเลย แต่เรานี่แหละ...เป็นคนที่มีโอกาสเพรียบพร้อมแล้ว ฉะนั้นอยากให้ความลำบาก ท้อแท้มาเป็นอุปสรรคกับตัวเรา จงก้าวข้ามมันขึ้นไป...แล้วเมื่อเราหันหลังมองมาอีกที เราจะรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดจริงๆ



Create Date : 21 ตุลาคม 2552
Last Update : 21 ตุลาคม 2552 10:17:23 น.
Counter : 547 Pageviews.

1 comment
ชีวิตการเรียนม.4 เทอม1
ช่วงนี้ก็เข้าเทอม 2 มาได้ 2-3 อาทิตย์แล้ว ผลสอบของเทอม 1 ก็ออกมาเป็นที่เรียบร้อย ก็ตั้งเกณฑ์ไว้สูงมาก และผลที่ออกมาก็น่าพอใจมากครับ คณิตศาสตร์พื้นฐาน 99/100 คณิตศาสตร์เพิ่มเติม 98/100 ส่วนวิชาอื่นๆก็อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจครับ (ตั้งหน้าตั้งตาทุ่มแต่วิชาเดียว)



โดยการประสบความสำเร็จครั้งนี้ก็คงจะต้องขอบอกทริคกันหน่อยเผื่อใครสนใจที่จะรองไปประยุกต์ใช้ได้นะครับ
1.พยายามตั้งใจเรียนในวิชาให้ได้มากที่สุด แล้วพยายามทำโจทย์ที่เป็นการบ้านให้ครบทุกข้อ และเวลาเรียนก็ควรที่จะพยายามทำโจทย์ไปเรื่อยๆ โดยไม่ลอกเฉลยที่ขึ้นกระดานนะครับ เพราะถ้าเราลอกแล้วเท่ากับว่าเราจะแทบไม่ได้เรียนวิชานี้เลย ส่วนถ้าทำก่อนแล้วกลัวผิดก็ขอแนะนำว่าให้ทำด้วยดินสอก่อนครับ แล้วค่อยตรวจกับเลยบนกระดาน
2. พอมีข้อสงสัยอะไรจากการทำโจทย์พยายามถามครูผู้สอน หรือผู้รู้ โดยให้เค้าอธิบายหลักการให้ฟัง
3. อันนี้คงยากหน่อย แต่วิธีคงไม่ยากก็คือ "รัก" คณิตศาสตร์ให้ได้ครับ ทำยังไงก็ได้ให้เราเรียนแล้วรู้สึกสนุกให้ได้ และการเรียนจะมีความสุข ไม่น่าเบื่อ ผลที่ตามออกมาก็จะดีแน่นอนครับ

ปล.ตอนนี้ก็ได้เรียนเนื้อหาเทอม 2 แล้ว ก็ยากพอสมควรเลยครับ แต่ถึงยังไงผมก็ยึดตามหลัก 3 ข้อนี้ที่ผมได้ค้นพบในตัวเอง และผมเชื่อว่าถ้าทุกคนทำได้ไม่มากก็น้อยใน 3 ข้อนี้ คณิตศาสตร์ก็คงจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับใครหลายๆคนอีกต่อไปครับ
(ถ้ามีข้อสงสัยอะไรหรือต้องการถามอะไรก็ถามได้นะครับ ยินดีที่จาแบ่งปันทุกคนที่ต้องการรักคณิตศาสตร์เสมอครับ)



Create Date : 13 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2551 19:38:29 น.
Counter : 1024 Pageviews.

15 comment
อยากเรียนเก่งทำอย่างไร ?
"ถ้าต้องการเรียนคณิตศาสตร์ให้ได้เกรด 4 ตลอดชีวิต
ถ้าต้องการเตรียมสอบ Entrance ในเวลา 3 วัน
ถ้าต้องการเป็นที่ 1 ระดับชั้น
ถ้าต้องการสอบแข่งขันอยู่ในระดับ 1 ใน 10 ของประเทศ
มันคือประสบการณ์จริงจากชีวิตผม ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อกันล่ะ
อ่านแล้วคุณอาจจะได้วิธีการเรียนที่ดีที่สุดแก่ตัวคุณเอง (ผมหวังว่ายังนั้น)"


หลักการที่สำคัญที่สุด คุมตัวของคุณเองให้ได้อย่างที่ต้องการจะเป็น แพ้ชนะอยู่ที่การสู้กับตัวเอง มิใช่สู้กับคนอื่น
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะขาดไม่ได้ ความขยันอันไม่มีอะไรจะหยุดได้
ทฤษฎีบท ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่สำเร็จมิได้ด้วยความเพียร
สิ่งที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ เป็นหลักการควบคุมตัวเองทั้งสิ้น ลองด้วยตัวคุณเองแล้วจะรู้ว่า ผมไม่ได้โกหกคุณเลย (ถ้าคุณทำตามที่ผมว่ามาได้นะ ........ต้องได้ซิถ้าคุณจะทำจริง ๆ เพราะผมก็ทำมาแล้ว ....)
มองขั้นตอนทั้งหมดสรุปย่อโดยรวม
1. ควบคุมภาวะการหลับและการตื่นได้ดั่งใจ
2. ออกกำลังสม่ำเสมอ เพื่อพลังกายที่สมบูรณ์แบบ
3. อ่านหนังสือทุกวัน วันละ 2 ชม.(หรือตามที่คิดว่าเหมาะสมกับคุณ)
4. นั่งสมาธิและทบทวนก่อนนอน และ ตื่นนอนทุกวัน
คำอธิบายในแต่ละขั้นตอน และ รายละเอียดปลีกย่อย
1. คุมเวลาตื่นนอนให้ได้ทุกวันก่อนครับ.
เช่น ตื่น 6 โมงเช้านอน 4 ทุ่ม ซัก 1 เดือนติดต่อกัน
ให้ได้ก่อนค่อยมาว่าจะอ่านหนังสือครับ.
เพราะจะเป็นการจัดระบบมันสมองใด้อย่างดีเยี่ยม
และจะรู้สึกว่าสมองมีพลังในการรับรู้ครับ.
ถ้าทำข้อนี้ไม่ได้ อย่าคิดว่าจะเรียนให้ดีได้ยากครับ.
2. หลักการอ่านหนังสือใด ๆ ไม่จำเป็นต้องอ่านทีละนาน ๆ ครับ.
เช่นตั้งไว้ว่า วันนึง เราจะ อ่านซัก 1 - 2 ชม.ก็เกินพอครับ.
แต่สำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่องครับ. ถ้ายังบังคับตัวเองไม่อยู่ ข้อ 1. ก็เป็นการฝึกบังคับอย่างนึงแล้ว
ต้องอ่านทุกวัน ไม่มีวันหยุดครับ.
3. ที่ว่า 1 -2 ชม.นั้นต้องรู้ว่าตัวเองเราสามารถรับ
ได้ครั้งละเท่าไรครับ. อย่างเช่นพี่จะ อ่านวันละ 2 ชม. แต่แบ่ง เป็น 4 ยกครับ. ครั้งละ 25 - 30 นาที
และพัก 5- 10 นาที
4. อ่านจบวันนึง ๆ ต้องมีสรุปแบบเล่มยาว ๆ เลยนะครับ.
สรุปสั้น ๆ ว่าวันนี้ได้อะไรบ้าง สูตรอะไร ๆ หรือความเข้าใจอะไร
5. ถึงตอนนอนให้นั่งสมาธิซัก 5 นาทีพอรู้สึกใจเริ่มนิ่ง
ให้นึกที่เราสรุปไว้ เมื่อกี๊ครับ. ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าสมาธิตอนอ่านหนังสือไม่ด ี
ให้เปิดไฟ ลุกออกไปดูที่สรุปใหม่ แล้วนึกใหม่ครับ.
6. ต้องรู้วิธีเรียนในแต่ละวิชาครับ.
เช่น คณิต + ฟิสิกส์ เน้นความเข้าใจเป็นอันดับ 1
เคมี เน้น เข้าใจ + ท่องจำบางอย่าง เช่น ตารางธาตุ ถ้าท่องยังไม่ได้แสดงว่าไม่เข้าใจว่ามันจำเป็นต้องจำ
อังกฤษ เป็นเรื่องทักษะ ต้องใช้บ่อย ๆ ครับ.
เวลาจะทำอะไรก็นึกเป็นภาษาอังกฤษบ้าง
เช่นนึกจะทักเพื่อนว่าไปไหน ก็นึกว่า
where do you go .? อะไรเป็นต้น
แล้วก็ต้องเข้าใจ เป็นภาษาต่างด้าวยังมีคำหรือสำนวนที่เราไม่เข้าใจอีกเยอะ
ดังนั้นเรื่องศัพท์ต้องรู้เยอะ ๆ เวลาจะไปดูหนัง Entertain กันทั้งที
ีก็เลือกดูเรื่องที่เขามีแต่ sub title เป็นภาษาอังกฤษ
7. วิธีเรียนพวกวิชาที่ใช้ความเข้าใจ
อันดับแรกต้องรีบศึกษาเนื้อหาทั้งหมดให้จบอย่างรวดเร็วครับ.
ถามว่าอ่านจากไหน อย่ามองไกลครับ.
แบบเรียนนั่นล่ะ อย่าเพิ่งไปมองพวกคู่มือ
ถ้าเราอ่านแบบเรียนไม่รู้เรื่อง ก็อย่าไปหวังจะดูตำราอื่นเลยครับ.
จากนั้นให้รีบหา แบบฝึกหัด มาทำในแบบเรียนนั่นล่ะให้ได้หมดก่อน
จากนั้นค่อย เสาะหาตำราคู่มือที่คิดว่าเราดี อ่านแล้วเข้าใจอีกซักเล่มนึงมา
อ่านเนื้อหาให้หมด อีกที แล้วทำแบบฝึกหัดในเล่มนั้นให้จบหมด .
สำคัญคือความตั้งใจนะครับ.
ต้องเข้าใจว่าเรา มีความรู้ในบทนั้น ๆ จบแล้ว
ทำไมยังทำโจทย์บางข้อไม่ได้ พยายามคิด
สุดท้ายไม่ออก ก็ดูเฉลย แล้วต้องตอบตัวเอง
ให้ได้ว่าเราโง่ตรงไหน ทำไมทำไม่ได้
โจทย์ข้อนั้น ๆ เป็นเทคนิคเฉพาะหรือเปล่า
ต่อไป ก็เสาะหาพวกข้อสอบต่าง ๆ มาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้ว ก็ ทำ ๆ ๆ จนเกิดรู้สึกว่า
บรรลุ !!! ในเรื่องนั้น ๆ มันเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ สำเร็จเป็นผู้วิเศษอะไรทำนองนั้น หรือฝึกวิทยายุทธสำเร็จแบบนั้น
มองโจทย์ปุ๊บ จะเกิดความคิด แปร๊บ ๆ ขึ้นมานึกออกทะลุหมด
เมื่อนั้นรู้สึกแบบนี้เมื่อไร ให้รีบสรุปเนื้อหาบทนั้น ๆ ออกมา
ในกระดาษขนาดประมาณ 2.5 นิ้ว คูณ 4 - 5 นิ้วครับ.
ใช้หน้าหลังเขียนให้พอให้ได้ใน 1 บทต่อ 1 แผ่น อาจจะมียกเว้นบางบท
เช่น สถิติ อาจใช้ถึง 6 แผ่น หรือตรีโกณ 3 แผ่น ส่วนใหญ่ไม่เกินหรอกครับ.
จากนั้นปาตำราบทนั้น ๆ ทิ้งไปเลยครับ
. 8. สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำอะไรก็ตามที่คือ
ต้องมีความรู้ติดสมอง สามารถหยิบมาใช้การได้ทันทีครับ. ถ้าคิดจะเรียนเพื่อสอบนั่นก็แสดงว่า
กำลังคิดผิดอย่างใหญ่หลวงครับ. เด็กสมัยใหมนี้ชอบคิดว่าเรียน ๆ ไปเพื่อสอบ สอบเสร็จก็เลิก
นั่นเป็นเพราะผลพวงของระบบ แข่งในการศึกษาของไทยเราครับ. เด็กต้องสอบ Entrance เข้าต่อ
ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกในการใฝ่รู้
ต้องเข้าใจว่าเราเรียนหนังสือนี่ ต้องถือว่าไม่มีใครมาบังคับเรา
เราเรียนเพื่อตัวเราเอง เพื่อพัมนาสมองเราเอง พัฒนา มุมมองความคิดต่าง ๆ
เพื่อให้เราเป็นยอดคนเอง สามารถที่จะพึ่งตัวเองได้ทุกเมื่อ
ไม่ว่าจะยังอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองหรือหลุดจากอ้อมแขน บิดามารดาเมื่อไร
ต้องสามารถที่จะกล้าคิดและทำ พึ่งตัวเอง ยังชีพตัวองในสังคมนี้ได้ครับ.
ดังนั้น จากข้อ 7. เราต้องบันทึกความรู้ที่เรารู้แล้ว
ให้เป็นความรู้ยาวนานติดสมอง
โดยทำดังต่อไปนี้ครับ.
- ให้นึก ! โน๊ตย่อที่เราสรุปเอง อาทิตย์ละหน ติดต่อกัน ซัก 1 เดือนหรือ 4 อาทิตย์
นึกนะครับ . ไม่ใช่เปิดดูถ้านึกไม่ออก แสดงว่าไม่ได้สรุปเองแล้วล่ะเปิดหนังสือ แล้วสรุปตามแหง ๆ
จากนั้นให้ทิ้งห่างเป็น นึก 1 เดือนต่อครั้ง
จนเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนึกทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว
ให้เลิกครับ. ใกล้สอบค่อยว่ากันอีกที
กระบวนการที่ว่านึกตั้งแต่ 1 อาทิตยืจนเลิกนึกนี่
คาดว่าไม่ตำกว่า 3 เดือนนะครับ.
ใครน้อยกว่านี้ แสดงว่าโกหกตัวเองชัวร์
9. กระบวนการสุดท้าย เป็นการเพิ่มพลังความมั่นใจในตัวเองซึ่งต้องกระทำติดต่อกันบ่อยๆ เรื่อย
คือกระบวนการสอบแข่งขันครับ.
ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าเป็นไปได้สอบแข่งซะแต่
ม.1 จนจบ ม.6 เลย จะทำให้เรารู้อันดับตัวเอง
เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ครับ. เช่นเราอาจจะเรียนได้เกรดดี แต่พอสอบแข่ง จริง ๆล่ะ สู้เขาได้ใหม
ทักษะในการทำข้อสอบ มีใหม
เข้าห้องก็เดินหน้าลุยทำแต่ข้อแรกยันข้อสุดท้ายเลยหรือเปล่า
ก็พวก สมาคม โอลิมปิก หรืออะไรก็ตามที ทั้งสอบแข่งในโรงเรียน
เช่น โรงเรียนจัดเอง หรือสัปดาห์ต่าง เช่น สัปดาห์วันวิทยาศาสตร์
ภาษาอังกฤษ โคงงงานวิทยาศาตร์ ตอบปัญหาภาษาไทย อังกฤษ ฯลฯ
สุดท้ายทั้งหมดที่ว่ามา ถ้าน้องคนไหนทำได้นะครับ. ซัก 1 - 2 ปี รู้ผลแน่
พี่รับรองได้ 100 % เลยว่าอย่างน้อยต้องอยู่ในอันดับ 1 - 3 ของชั้น
แน่นอน อันดับระดับประเทศ ก็ไม่เกิน 50 อย่างมาก
อ้อ ลืมบอกไปครับ. สิ่งสำคัญคือการอ่านล่วงหน้าครับ.
ช่วงปิดเทอม ก็อ่านของเทอมหน้านู้นหรือ อยู่ ม.4 จะอ่านของ ม.6 ก็ได้นะไม่ผิด

ที่มา/; math center



Create Date : 20 กันยายน 2551
Last Update : 20 กันยายน 2551 17:27:49 น.
Counter : 652 Pageviews.

14 comment
สูตรสู่ความสำเร็จ
ถ้าหาก
A B C D E F G H I J K L M N O P Q R S T U V W X Y Z

มีค่าเท่ากับ
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26

แล้วจะพบว่า......
1) H+A+R+D+W+O+R+K = 8+1+18+4+23+15+18+11 = 98%
HARD WORK หรือ ทำงานหนัก มีค่าเท่ากับ 98 %

2) K+N+O+W+L+E+D+G+E = 11+14+15+23+12+5+4+7+5 = 96% KNOWLEDGE หรือ ความรู้ มีค่าเท่ากับ 96 %

3) L+O+V+E=12+15+22+5 = 54%
LOVE หรือ ความรัก มีค่าเท่ากับ 54 %

4) L+U+C+K = 12+21+3+11 = 47%
LUCK หรือ โชค มีค่าเท่ากับ 47 %



Q : ไม่มีสิ่งใดที่มีค่า 100 % เลยหรือ !!! แล้วสิ่งใดที่มีค่าเท่ากับ 100 %

- ใช่เงินหรือเปล่า ?……… .... .....ไม่ใช่ !!!!!

- ความเป็นผู้นำหรือเปล่า ?………ไม่ใช่ !!!!!

Q : แล้วอะไรล่ะ ?

Ans. : A+T+T+I+T+U+D+E = 1+20+20+9+20+21+4+5 = 100%

ATTITUDE หรือ ทัศนคติ นั่นเอง ที่มีค่าเท่ากับ 100 %

ท่านคิดเช่นนั้นหรือไม่ ทุกปัญหามีทางออก . . บางทีแค่เพียงแต่เราเปลี่ยน "ทัศนคติ " ของเราเสียใหม่เท่านั้นเอง มีเพียงแต่ "ทัศนคติ" ของเราเท่านั้น ที่จะเป็นตัวนำทาง ไปสู่ความสำเร็จในชีวิต และงานที่ทำ



--------------------------------------------------------------------------------

....ความคิด & ทัศนคติ....และสุดท้าย .... การลงมือทำ

...ทุกปัญหา อุปสรรค ย่อมมีทางออก ไม่งั้นจะมีอุปสรรคไว้ทำไมกัน สู้ๆเข้านะครับทุกคน

ขอขอบคุณ ที่มา : Forward Mail



Create Date : 05 กันยายน 2551
Last Update : 5 กันยายน 2551 20:13:13 น.
Counter : 397 Pageviews.

29 comment
1  2  

Between น้องหมู
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



นักศึกษาแพทย์วชิระ รุ่นที่ 19
BM - Bangkok Metropolis
Medical College

Curing illness with the best service
...
Counter
Counter