ปิดเทอม Spring Break ก็เลยพา 5 หนุ่มไปเที่ยวไมอามี่บีช เลือกพักโรงแรมแนวแนวในย่าน Art Deco นอนเล่นริมหาด ก่อนกลับบ้านมาเผชิญฝนกับท้องฟ้าขมุกขมัว
กว่าจะออกจากเมืองเล็กๆ ของเราได้ต้องฝ่าฝันหลายพาหนะ เริ่มจากไปเช่ารถก่อน จองรถตู้เล็กไว้เพราะรอบนี้มีกันหกคน พอไปถึงสำนักงาน รถตู้ไม่มีค่ะ แต่ก็ยังดีที่ผู้จัดการให้ราคาพิเศษคือให้รถสี่ประตูสองคันแต่คิดราคาเท่ากับเช่ารถตู้คันเดียว ได้รถแล้วก็ขับวนไปวนมารับน้อง ๆ พาน้องไปเอา passport ไปส่งเมล์ จากนั้นก็บึ่งเลยค่ะเพราะต้องขับอีกสองชั่วโมงครึ่งเพื่อไปขึ้นเครื่องบินที่ Nashville ถึงสนามบินแบบเฉียดฉิว แต่ก็ยังทันอยู่ เช็คกระเป๋า จ่ายตังค์อีกค่าโหลดกระเป๋า 15 เหรียญ ให้กับสายการบิน American Airline สุดท้ายหกชีวิตก็ขึ้นเครื่องบินสำเร็จ แต่ไม่มีใครได้งั่มอาหารเช้าและเที่ยง จะเป็นลมอยู่แล้วจ้า ได้บทเรียนคือ สายการบิน Southwest ดี๊ดีจ๊ะ ไมีมี hidden cost ต้องควักกระเป๋าเพิ่ม ต่อไปจะจงรักภักดีกับ Southwest ค่าาาา
ถึง Miami อากาศแจ่มสุด ๆ แต่รู้สึกแปลก ๆ เพราะเดินไปเดินมาได้ยินแต่ภาษาละติน Spanish เอยังอยู่ประเทศอเมริกาหรือเปล่าเนี่ย พอได้กระเป๋าก็กวาดต้อนน้อง ๆ ไปขึ้นแท๊กซี่ ราคาคิดเป็นโซนค่ะ ไม่ต้องกดมิเตอร์ ไม่ต้องต่อรอง ถ้าไปหลายคนนั่งแท๊กซี่ถูกว่า shuttle bus รวมแล้วหกคนก็แค่ 35 เหรียญรวมทิป
โรงแรมที่พักเลือกไว้ที่ติดหน้าหาด เดินไปได้เลยไม่เกินสามนาที The Pelican เป็น Boutique Hotel มีแค่ 30 ห้อง ออกแบบโดย Magnus Ehrland ดีไซเนอร์ของ Diesel Jeans Company ถ้าใครชอบเสื้อผ้าแบรนด์นี้ก็น่าจะเดาได้ว่าโรงแรมจะออกแนวยังไง ห้องแต่ละห้องมีชื่อเรียกเฉพาะตัว ตกแต่งไม่เหมือนกัน เก๋มาก ทุกมุมมีดีไซน์ ของตกแต่งทุกชิ้นสวยได้ใจ แต่ต้องขอเตือนไว้ก่อนนะ บางคนที่ไม่ชอบแนวนี้ก็บ่นอุบได้ค่ะ เช่นสามีของดิฉันเป็นต้นที่ชอบพักโรงแรมห้องเรียบ ๆ กว้าง ๆ The Pelican ห้องเล็กกว่าโรงแรมทั่วไปแต่มีเสน่ห์ เท่ห์ รวม ๆ คือห้าชีวิตชอบโรงแรมนี้มาก ยกเว้นท่านลุง(สามี)
ห้องพัก
เคาน์เตอร์เช็คอิน
ห้องอาหาร
เที่ยว ซื้อทัวร์ Miami Citytour & Everglades เพราะไม่อยากเช่ารถ แถว south beach (หรือ SoBe ชื่อเล่นเค้าค่ะ) หาที่จอดรถยากมากกกก รอบนี้มีเวลาเที่ยวแค่สองวัน (ไม่อยากอยู่นานเกินไปค่ะเป็นห่วงหนุ่ม ๆ ) วันแรกไปกับทัวร์ก็พาเลาะเลี้ยวไปตามซอกมุมต่าง ๆ ของเมืองไมอามี่พร้อมกับเรื่องราวที่น่าสนใจ ได้คำตอบมาข้อหนึ่งว่าทำไมถึงมีแต่คนพูดภาษา Spanish ก็เค้ามีกฎหมาย "dry feet law" ระหว่างรัฐบาลอเมริกันกับรัฐบาลคิวบา คือว่าถ้าคนคิวบาหนีเข้าไปในประเทศอเมริกาได้ทันทีที่เท้าแตะพื้นดินอเมริกาก็สามารถอยู่ได้อย่างถูกกฎหมายและขอสัญชาติได้ภายในหนึ่งปี แต่ถ้าโดนจับได้ตอนอยู่ในเรือ (เท้าเปียก) จะถูกผลักดันกลับคิวบาแทน ไกด์เล่าให้ฟังว่ามีเรือหลายร้อยหลายพันลำจากคิวบาขนคนหนีเข้าประเทศอเมริกาทางไม อามี่ เกือบลืมสถานที่สำคัญ ไปเที่ยว Everglades นั่ง Airboat หนุกหนาน ๆ แต่ไม่ค่อยเป็นไปตามที่ฝันไว้ ตอนแรกคิดว่าจะพาไปไกลกว่านี้นะเนี่ย สรุปก็เห็นไอ้เข้ไอ้โขงห้าตัว นกยี่สิบตัว จบจ๊ะ อ่ะแถมท้ายด้วยลุงไกด์ดักคอให้ทุกคนทิปลุงอีกนะ
คฤหาสน์ Versace ที่ตอนนี้กลายเป็น Private Club
Gator Park สวนไอ้เข้
นั่งเรือ Airboat
Everglades National Park
กิน กิน กิน เป็นองค์ประกอบสำคัญของการเที่ยวกับสามีดิฉันค่ะ สมัยก่อนตอนที่เป็นโสดก็ชอบเที่ยวเป็นทุนแต่ไม่เน้นกินเท่าไร แต่สามีถือคติว่าปากท้องเรื่องใหญ่ก็ว่าตามกัน มื้อแรกไม่ได้ถ่ายรูปอาหารค่ะเพราะหกชีวิตหิวกันซกซก ได้กินข้าวมื้อแรกของวันตอนเย็นจัด ๆ ร้านจีนชื่อ Sum Yum Gai ขอแนะนำว่า Buddha Delight (ผัดผักรวมใส่เต้าหู้) อร่อยมากกก ย้ำค่ะว่าไม่กล้าถ่ายรูป เกรงว่าน้อง ๆ และสามีจะยันตกเก้าอี้ พออาหารวางเท่านั้นก็ไม่สนใจตักอาหารกันฉุบฉับ
อีกมื้อหนึ่งที่ประทับใจคือมื้อเย็นค่ะ หลังจากเดินเล่นถนน Ocean Drive เห็นร้านอาหารน่ารับประทานแถม Restaurant Host (น้องๆ คนเชียร์แขก) ประกาศ 50% off all menu คุณสามีก็ชวนกันไปเจิม ร้านแรกค่ะ กลัวจะอิ่มจนจุกสั่งอาหารชุด special combination ของร้าน ราคาเต็ม 120 ลดเหลือ 60 เหรียญมารับประทานกัน
อาหารแค่นี้ไม่ครนามือสามี พร้อมกับเครื่องดื่มเจ้ากรรม Mohito แก้วนี้จิบไปนิ๊ดเดียวจริง ๆ แล้วเมาไปเลย ไม่คุ้มกับราคา 30 เหรียญ
ราคาสุดท้ายของอาหารเย็นคือ 120 เหรียญค่ะ ร้านอาหารรวมทิบในบิลด้วยเลย ก็บ่นกันอุบอิบ ไม่สะใจเร้ยในการรับประทาน แถมยังมาวววว Mohito อีก เกาะหลังสามีไปนอนพักเอาแรงให้ได้สติคืนมา
สองชั่วโมงผ่านไป
สามีเห็นว่าภรรยาเดินได้ตรงทางแล้วก็ชวนไปกินมื้อเย็นอีกรอบ ว่าแล้วก็เดินหนุงหนิงหนุงหนิงไปกินกันอีก
อาหารเย็นรอบสอง เพื่อสลายความค้างคาใจสามีดิฉันก็สั่งมาอีกสองจาก Lobster กับ Steak special
อีกมื้อหนึ่งที่ประทับใจคือมื้อเช้าที่ร้าน News Restaurant ซึ่งเป็นร้านที่ Versace จะเดินไปกินทุกเช้าก่อนโดยยิงที่หน้าบ้านตัวเอง ร้านนี้คนเค้าว่ากันว่า จานไม่ใหญ่ราคาไม่แพง
สุดท้ายอาหารเช้าก็ 40 เหรียญจ้า มีหมัดเด็ดที่น้ำส้มค่ะ แก้วละ 8 เหรียญ
ถ้าไม่อยากเสียทิป 18 - 20 % แบบเลี่ยงไม่ได้ ก็มีร้านอาหารแบบ Fast Food หรือ Take out ให้รับประทาน แนะนำร้าน Iron Shushi อร่อย อาหารสด ไม่แพง ไปแวะซะสองรอบ ร้านอาหารไทยก็มีแต่ไม่ค่อยประทับใจไม่ขอรีวิว อาหารไม่อร่อยและแพง น้อง ๆ ที่ไปด้วยก็ได้ประสบการณ์เครื่องดื่มไม่มีราคาในเมนู ได้ชื่นใจกับ Smoothie แก้วละ 12 เหรียญ อันนี้ก็อีกหนึ่งข้อควรระวังค่ะ
ทริปนี้สั้น ๆ ค่ะ พักที่ SoBe แค่สามคืน เสียดายน่าจะอยู่ต่ออีกซักหนึ่งคืน น้อง ๆ ที่ร่วมทริปก็แสนจะรับผิดชอบ ดูแลกันดี เอาน่าคราวหน้าละกันค่อยอยู่นานกว่านี้
ขากลับย้อนเส้นทางเดิม ใช้บริการ American Airline ได้อีกความรู้ว่า Miami International Airport เป็นสนามบินที่พลุกพล่านมากที่สุดเป็นลำดับสามของอเมริกา พอถึง Nashville เราต้องเช่ารถสองคัน รอบนี้ไม่ได้ส่วนลด แต่ได้ up grade เป็นรถคันใหญ่หนึ่งคันจากส่วนลดที่สามีสะสมไว้ แล้วเราก็ได้อีกหนึ่งประสบการณ์ เช่ารถจากสนามบินต้องเสียภาษีเพิ่มเติมอะไรบ้าง จากแค่ค่าเช่ารถหนึ่งคันราคาวันละ 95.68 กลายเป็น 139+ เหรียญได้อย่างไรจะจาระไนให้ดูจ้า (ภาษีบางตัวก็เกิดมาเพิ่งเคยเห็นเนี่ยจ๊ะ)
3% rental surchare
0.3% business tax
4 เหรียญ CFC fee
9.25% concession recovery fee
1% davidson convention center tax
9.25% sales tax
แล้วยังคิดค่าน้ำมัน และค่า drop off fee อีกห้าสิบกว่าเหรียญต่อคัน
โอ้แม่เจ้าทริบนี้พวกเราจ่าย Tip กับ Tax กันกระจาย ราคาที่ได้ตอนแรกทำให้กระดี๊กระด๊า กรี๊ด กรี๊ด ถูกจัง ก็กลายเป็นเฮ้อ ว่าแล้วเชียวถูกอย่างนี้ไม่น่ามีเหลือ
แต่ก็คุ้มกับความสดชื่น แสงแดด ทะเลสีฟ้าแจ๋ว ที่หาไม่ได้แถวบ้านตัวเอง
(ทริบนี้บ่นกับคิดเงินยิบยับ เพราะเพิ่งรับตำแหน่งใหม่ในชีวิตน่ะค่ะ stay-home wife ใช้เงินเดือนสามีเลยต้องระวังนิ๊ดนึง อยากจะเที่ยวหนึ่งปีสี่ประเทศ ตะลุยทัวร์ไปก่อนแล้วค่อยกินน้อยใช้น้อยในภายหลังเหมือนสมัยยังโสดคงเป็นไปไม่ได้แล้ว)
น่าอิจฉาจังเลย