บางสิ่งที่ได้มาจากการเดินทาง
ลองขับรถไปเชียงใหม่ครั้งแรก สนุกไปอีกแบบ ทำให้มองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกว่าชีวิตในเมืองหลวงปัจจุบันต่างสับสนวุ่นวายถ้าเราวิ่งตามไขว่คว้าสิ่งที่อยากได้ไปเรื่อยๆ คงไม่มีวันสิ้นสุด เชียงใหม่คงเป็นอีกเมืองที่เมื่อได้เข้าไปสัมผัสแล้วทำให้รู้สึกถึงความผสมผสานของความเป็นอยู่อย่างคนเมืองบวกกับวิถีชีวิตของคนพื้นเมืองที่ยังคงรักษาความเป็นเอกลักษณ์ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ใช้ชีวิตอยู่กันอย่างเรียบง่ายหากแต่ยังคงมีกลิ่นไอของความเป็นเมืองเข้าไปผสนผสานให้คนกรุงๆ อย่างเราไม่เหงานักเมื่อได้เข้าไปสัมผัสนับว่าเป็นอีกเมืองที่คนกรุงอย่างเราๆ ต่างใฝ่ฝัน ที่จะไปสูดอากาศของธรรมชาติได้อย่างเต็มปอด หากแต่การใช้ชีวิตที่เร่งรีบอย่างเราๆ ถ้าไปอยู่กับธรรมชาติที่เป็นสุดยอดธรรมชาติของแท้อย่างป่า เขา อาจอยู่ไม่ได้นาน ทำให้เชียงใหม่เป็นอีกตัวเลือกนึงที่นึกถึงเป็นอันดับแรกๆ เมื่ออยากไปพักผ่อนในระยะเวลานานๆ เพราะบางส่วนของเมืองเชียงใหม่นั้นยังแอบมีแสงสีเล็กๆ ที่ทำให้คนกรุงอย่างเราๆ หายเหงาไปได้เยอะ อิอิ...ทริปเชียงใหม่ของเราในครั้งนี้ จริงๆ ไม่ได้นานอะไรนัก ไปกันแค่ 3คืน4 วันเท่านั้น แต่เมื่อไปถึงแล้วทำให้นึกขึ้นมาได้ว่าทำไมเพื่อนที่ทำงานของเราต่างหลงรักเมืองนี้กันนัก อาจะเป็นเพราะว่าเมืองมีการผสมผสานของชีวิตความเป็นอยู่แบบคนกรุงเข้ากับชีวิตความเป็นอยู่อย่างคนพื้นเมืองชนบทได้อย่างลงตัว.......... ^_^
2 วัน 1 คืน กับเกาะสีชัง
...2 วัน 1 คืนกับเกาะสีชัง หลังจากที่ได้รวมเหล่าเพื่อนพ้องในออฟฟิตที่สนใจมาเยี่ยมเยืยน เกาะสีชังครั้งนี้ได้สำเร็จ ก็ได้เวลาล้อหมุนเริ่มต้นออกเดินทาง จุดนัดพบของเราคือ เกาะลอย เพื่อนั่งเรือข้ามฟากไปยังจุดหมายของเรานั่นคือ...เกาะสีชัง ส่วนค่าเรือข้ามไปเกาะสีชังก็คนละ 35 บาท เรือออกทุกชั่วโมงตั้งแต่ 7.00-18.00 น. จะเป็นเรือ 2 ชั้น ชั้นล่างอากาศค่อนข้างร้อนนิดนึงเพราะไม่ค่อยมีลมพัดเข้ามาถึงเท่าไหร่นั่งไปเหงื่อแตกไป ลักษณะที่นั่งจะเป็นเก้าอี้พลาสติกซ้าย 3 ขวา 3 ด้านหลังของเก้าอี้แต่ละตัวก็จะมีเสื้อชูชีพติดไว้กับเบาะที่เรานั่ง ใครจะหยิบเสื้อชูชีพใส่เลยก็ได้ ปลอดภัยไว้ก่อน น่ารักไปอีกแบบ อิอิ ส่วนชั้นบน บรรยากาศจะดีกว่าด้านล่าง มีลมพัดมาตลอดเวลา อากาศสดชื่น และยังมีวิวสวยๆ ให้เราได้มองตลอดทาง แต่ถ้าอยากนั่งด้านบนคงต้องรีบไปขึ้นเรือเร็วนิดนึงไม่งั้นที่ด้านบนก็จะเต็ม....อย่างว่าของดีๆ ราคาเท่ากัน ก็ต้องแย่งกันนิดนึงเน๊อะ หุหุ (พอดีวันนั้นมัวแต่หาที่จอดรถ เพราะต้องจอดค้างคืนเลยเป็นห่วงนิดนึง เลยไปไม่ทันคนเต็มก่อน 55555) ถึงแล้วๆๆๆ เกาะสีชัง นั่งเรือข้ามฟากมาประมาณ 30 นาทีเห็นจะได้ ลงจากเรือมา งงๆ นิดหน่อย มีมอเตอไซค์ รถสกายแลป รถสองแถวนำเที่ยวเข้ามารุมหาเรา เลือกไม่ถูกเอาไงดีหว่า....จากที่ถามได้ข้อมูลมาว่า มอเตอร์ไซค์ 1ชั่วโมง 80 บาท, เหมาทั้งวัน 250 บาท, ค้างคืน 300 บาท รถสองแถว เที่ยวรอบเกาะไม่จำกัดเวลา 500 บาท นั่งได้ไม่เกิน 15 คน สกายแลป เที่ยวรอบเกาะไม่จำกัดเวลา 250 บาท นั่งได้ไม่เกิน 6 คน จ่ายค่าโดยสารตอนขากลับที่ท่าเรือ หลังจากยืนหน้ามึนกันได้สักพักก็ได้ข้อสรุปว่าจะนั่งรถสองแถวไปสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ ศูนย์ฝึกอบรมและสัมมนาที่พักสำหรับคืนนี้ของพวกเรา เพราะว่ามากันหลายคน เหนื่อยมาก....ขอหม่ำๆ ก่อนละน๊า เป็นร้านอาหารที่อยู่ทางด้านหลังที่พัก เห็นว่าเป็นร้านประจำของเหล่าๆ นักศึกษาจุฬา ที่เข้ามาพักที่นี่กัน รสชาติอาหารอร่อยดี แต่ว่ารู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย เหมือนเค๊าโก่งราคาเรานิดๆ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าราคาอาหารของที่เกาะนี้ก็ค่อยข้างแพงอยู่แล้วด้วยส่วนหนึ่ง ไปกันเกือบสิบคนสั่งโค้กขวดใหญ่ 2 เค๊าบอกไม่มี มีแต่ขวดเล็กอย่างเดียว จะเอากี่ขวด ไปๆมาๆ ไม่รู้ท่าไหนก็ได้โค้กขวดใหญ่มากิน กินอิ่มเดินออกจากร้านมาด้วยความ งงๆ แต่ก็ยังไม่เข็ด มือเย็นกลับไปกินร้านเดิมอีก 555555555 เหมือนเดิม โค้กขวดใหญ่ 2 แล้วก็ได้คำตอบเดิมตามคาด ไม่มีมีแต่ขวดเล็กจะเอากี่ขวด แต่ไปๆมาๆ ก็ได้ขวดใหญ่มากิน -_________-" งงดี อิอิ หลังจากท้องอิ่มก็เริ่มออกเดินทางมายังศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่นั้นอยู่ในถ้ำด้านบนจะต้องขึ้นบันไดไป 150 กว่าขั้น เดินขาเมื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน หุหุ อยู่บนยอดเขาคยาศิระ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวเกาะสีชัง ด้านบนจะเป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนผสมกับไทยปนๆ กัน เค๊าให้เขียนคำอธิฐาน แล้วก็ติดไว้ อยากได้ไรจัดปายยย อิอิ ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่จะอยู่ในถ้ำเล็กๆทาสีทองภายในถ้ำ ในช่วงตรุษจีนคนจีนจะมากันเยอะมาก โดยมีความเชื่อว่าใครมาไหว้ติดต่อกัน 3 ครั้ง ภายใน 3 ปีจะเจริญ ร่ำรวย มองออกไปด้านจะมองเห็นท่าเรือและบ้านเรือนชาวเกาะสีชังได้อย่างชัดเจน ถ่ายรูปไว้สักหน่อยบรรยากาศมุมสูง ภาพที่ไม่ค่อยเห็นได้บ่อยนัก ^_^ จากศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ เดินต่อขึ้นมาอีกนิดก็จะเจอกับ มณฑปรอยพระพุทธบาท ที่รัชกาลที่ 5 ทรงอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ จำลองจากรอยพระพุทธบาทที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อปี พ.ศ.500 จากประวัติที่อ่านมา เกาะสีชัง เป็นเกาะที่มีอากาศดี คนบนเกาะจะมีอายุยืน จากจดหมายเหตุตามเสด็จประพาสจันทบุรีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงพระเยาว์ได้เสร็จตาม ร.4 ประพาสมาที่เกาะสีชัง และทรงแจกทานแก่ผู้สูงอายุบนเกาะที่มีอายุเกิน 100 ปี ถึง 3 คน ในสมัยนั้นเกาะสีชังจึงเป็นสถานพักฟื้นที่นิยมของชาวไทยและชาวต่างชาติในสมัย ร.5 พระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ ทรงมีพระอาการประชวร แพทย์หลวงได้ถวายคำแนะนำให้พักรักษาตัวที่เกาะสีชัง ร.5 ทรงมีความห่วงใยก็เสด็จไปทรงอภิบาลพระราชโอรสเป็นการประจำเช่นกัน ท่านได้พระราชทานความเจิญให้กับเกาะสีชังด้วยการก่อสร้างสิ่งต่าง (เป็นที่มาของสิ่งก่อสร้างบนเกาะสีชังว่ามักจะมีคำว่า อัษฎางค์)ในปี พ.ศ.2431 จึงได้สร้างตึกสามหลังขึ้นจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ สำหรับเป็นที่พักฟื้นผู้ป่วยได้แก้ตึกวัฒนา ตึกผ่องศรี และตึกอภิรมย์ และในปีในปี พ.ศ.2435 ได้โปรดเกล้าให้สร้างพระราชฐานขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับเพื่อแปรพระราชฐานใน ฤดูร้อน พระราชทานนามว่า จุฑาธุชราชฐาน ตามพระนามของพระเจ้าลูกยาเธอที่ประสูติที่เกาะสีชัง เมื่อ 5 กรกฎาคม 2435 เมื่อสร้างพระราชฐานแล้วก็โปรดให้สร้าง ถนน ท่าเรือ บ่อน้ำจืด โรงเรียน สวนสาธารณะ และ ที่ทำการไปรษณีย์ต่อมาใน ร.ศ.112 ฝรั่งเศสมารุกรานในขณะที่ยังก่อสร้างพระราชฐานยังไม่เสร็จ จึงไม่ได้เสด็จไปประทับแรมที่เกาะสีชังอีกและต่อมาโปรดให้รื้อพระที่นั่ง มันธาตุรัตนโรจน์ ซึ่งเป็นพระที่นั่งองค์ใหญ่ มาสร้างใหม่ที่พระราชวังดุสิต ปัจจุบันคือ พระที่นั่งวิมานเมฆ (พระที่นั่งไม้สักทองทั้งหลัง) หลังจากลงมาจากศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ก็ตกลงกันว่าอยากไปดูพระอาทิตย์ตกดิน เลยได้ข้อสรุปกันที่ถ้ำเขาขาด เพราะจะเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามมาก ใครมาสีชังห้ามพลาด อิอิ ... ถ้ำเขาขาดก็จะอยู่ทางด้านหลังของเกาะ เดินเล่นกินลมชมวิว มีลดเย็นๆ พัดมาตลอดเวลา สดชื่นจัง ถ้ำเขาขาดจะมีจุดให้ตกปลาได้ด้วย เราจะเห็นชาวบ้าน มาตกปลากันเป็นหย่อมๆ เป็นภาพที่สวยงาม (แต่บาปแฮะ แหะๆ) ขอชมอย่างเดียวดีกว่า หุหุสักพักมีชาวบ้านแถวนั้นเดินผ่านมา แบกอะไรมาด้วยนั่น ตัวใหญ่ชะมัดเลย สอบถามได้ความว่า เพิ่งไปตกได้มา คุณลุงใจดี หยุดให้ถ่ายรูปเก็บไว้ดูเล่น ^_^ ..... ดูพระอาทิตย์ตกเสร็จก็เริ่มหมดแรง กลับที่พักดีกว่า พรุ่งนี้เจอกัน สีชังจ๋า ขออยู่อีก 1 วัน ยังไม่ไปไหนไกล อุอุเช้าแล้วจ้า อากาศสดชื่นจัง เดินจากที่พักมาหาอาหารเช้ากินกันแถวเรือนไม้ริมทะเล เพราะที่นี่จะมีขนมปังปิ้ง โอวัลติน กาแฟ Set อาหารเช้าขายให้เรามานั่งหม่ำๆ กานได้ด้วย เป็นอาคารไม้สีเขียวอยู่ติดกับทะเลเลย อิอิ มองออกไปเห็นวิวทะเลสวยงามมากจากหน้าต่างด้านใน ร้านกาแฟยามเช้า บรรยากาศริมทะเล ร้านไม่ใหญ่มาก แต่ได้ความโรแมนติกดีนะ จิบกาแฟไปได้ยินเสียงคลื่นทะเลซัดเข้าหาฝั่ง เสียงที่เราไม่คุ้นหูนัก ใน กทม ^_^ ภาพด้านหน้าเรือนไม้ริมทะเล กับเหล่าเพื่อนพ้อง zurreal บางส่วน ...เรือนไม้ริมทะเลนี้สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 5 ได้รับการบูรณะมาจนถึงปัจจุบัน ข้างในจัดนิทรรศการข้อมูลเกาะสีชังจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไม่ปรากฎเด่นชัดว่าเรือนไม้ริมทะเลสร้างขึ้นเมื่อใด สัณนิษฐานว่าน่าจะเป็นเรือนพักของชาวต่างชาติมาก่อน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงเป็นที่ประทับแรมของพระราชวงศ์ในคราวเสด็จมารักษาพระองค์ ก่อนที่จะมีการสร้างพระจุฑาธุชราชฐาน ในพ.ศ. 2435 มีเก้าอี้ไม้ให้นั่งสูดกลิ่นไอทะเลกันที่ด้านหน้าเรือนไม้ริมทะเลสดชื่อปอดกันไปเลย>หลังจากท้องอิ่มก็เริ่มออกเดินทาง (ทางเท้า) ต่อ เดินไปไม่ไกลนักก็จะเจอกับเรือนสีขาวตัวอาคารทำด้วยปูน สร้างขึ้นในรัชการที่ 5 โดยพระราชทานนามตามพระนามสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี โดยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็นอาไศรยสถาน เมื่อ พ.ศ. 2432 เพื่อเป็นที่พักฟื้นสำหรับชาวไทยและต่างประเทศ ต่อมาก็ใช้เป็นที่ประทับของพระราชวงศ์ก่อนที่จะมีการสร้างพระจุฑาธุชราชฐานในพ.ศ. 2435 ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการณ์เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นบนเกาะสีชัง ในสมัยรัชกาลที่ 5 ออกจากเรือนวัฒนาจะเห็นสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ เนื่องจากว่าบนเกาะสีชังนั้นไม่มีแหล่งน้ำจืด จึงจำเป็นต้องสร้างบ่อเพื่อกักเก็บน้ำฝนไว้ใช้ แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าเค๊าเอาไปทำอะไร ด้วยความซนเลยเดินไปโพสท่าถ่ายรูปกันอย่างที่เห็น 5555555555 พระจุฑาธุชราชฐาน ซึ่งเป็นพระราชวังที่ประทับในฤดูร้อนของรัชการที่ 5 มีสถานที่สำคัญอยู่ในนี้หลายแห่งด้วยกัน บริเวณทางเข้าจะมีไกด์รุ่นเยาว์อาสาพาชมในพระราชวัง ใครสนใจสามารถเรียกใช้บริการได้ สนับสนุนเด็กได้บุญไปในตัว ^_^ แล้วก็ออกเดินทางต่อไปเรื่อยๆๆ จนมาเจอกับ สะพานอัษฎางค์ เป็นเรือนไม้สีขาวยื่นไปในทะเลอยู่ทางซ้ายมือ เป็นมุมที่เหมาะกับการมาโพสท่าถ่ายรูปมากๆ ใครมาเกาะสีชังก็ต้องมาถ่ายรูปตรงนี้ อากาษก็เย็นสบายมีลมพัดเข้ามาเป็นระยะ นั่งนานๆ รู้สึกเคลิ้ม ง่วงนอนเลยเรา.... ท้องฟ้าเปิดแดดจ้ามากๆๆ วันนี้ แต่มีลมพัดมาเป็นระยะ เลยไม่ร้อนมากเท่าไหร่และแล้วก็สิ้นสุดทริป รถสองแถวมารับพวกเรากลับขึ้นเรือ 2 วัน 1 คืน กับสีชัง ความรู้สึกดีๆ ที่จะไม่เลือนหายไปกับกาลเวลา.... แล้วจะแวะไปเยี่ยมเยืยนใหม่เมื่อมีโอกาสน๊า สีชังจ๋าบรรยากาศภาพเก็บตก ...ขอสักนิดพยายามจะทำเป็นหัวใจหวานแหวว แต่ออกมาอย่างที่เห็น -*-...อยากสวีทบ้าง จุ๊บๆ ก็ออกมาอย่างที่เห็นอีกนั่นแหละ -_-"...พี่แมวกลับบ้านไปนั่งทำอะไรตรงนั้น วันลาหยุดของพวกเราหมดแล้วนะบันทึกการเดินทางบทส่งท้ายแถมให้นิดนึง อิอิ....การเดินทางโดยรถยนต์ จากกรุงเทพฯสามารถใช้ได้ 2 เส้นทางคือ ถนนสุขุมวิท และ มอเตอร์เวย์(ทางหลวงหมายเลข 7) มุ่งหน้ามาทางบางแสน เมื่อถึงบางแสนใช้ถนนสุขุมวิทขับตรงไปทางพัทยา จากบางแสนประมาณ 10 นาทีจะเห็นป้ายทางขวามือเลี้ยวเข้าเกาะลอย สามารถจอดรถได้ที่เกาะลอย จอดฟรี ถ้ามาแต่เช้าจะมีที่จอดรถว่างเยอะมาก ถ้าหาที่จอดรถไม่ได้หรือต้องการจอดรถข้ามคืนให้ถามสามล้อหรือมอเตอร์ไซต์แถวนั้นให้พาไปที่ฝากรถแล้วนั่งสามล้อหรือมอเตอร์ไซต์กลับมา ค่าจอดรถค้างคืนประมาณ 150 บาท....การเดินทางโดยรถประจำทาง ขึ้นรถได้ที่สถานีขนส่งหมอชิต(รถออกทุก 45 นาที) หรือที่สถานีขนส่งเอกมัย(รถออกทุก 20 นาที) ราคา 94 บาท ไปลงตรงข้ามโรบันสันศรีราชา ต่อสามล้ออีก 40 บาทไปท่าเรือเกาะลอย หรือนั่งรถเมล์ไปท่าเรือเกาะลอย 7 บาทเรือโดยสารไปเกาะสีชัง จากเกาะลอยศรีราชาไปเกาะสีชัง รอบแรก 7.00 น. ถึง 20.00 น. เรือจะออกทุกชั่วโมง มี 4 บริษัทให้บริการ จะบริการสลับกัน ส่วนมากเรือที่ให้บริการจะเป็นเรือร้อน 2 ชั้นค่าโดยสาร 35 บาท และเรือปรับอากาศ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที จากเกาะสีชังไปเกาะลอย รอบแรก 6.00 น. ถึง 18.00 น. เรือออกทุกชั่วโมง เกาะสีชังเหมาะสำหรับคนที่ชอบความเงียบสงบ ชอบธรรมชาติ ไม่ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากนัก ไม่มีแสงสีเสียงในตอนกลางคืน เพราะช่วงกลางคืนจะเงียบเหงามาก สามารถมาเที่ยวได้ทั้งเช้าไป-เย็นกลับและค้างคืนก็ได้ ถ้าค้างคืนบนเกาะเราก็จะสามารถดูพระอาทิตย์ตกดินที่ช่องเขาขาดได้เพิ่มขึ้นมาอีก 1 ทริป ^_^