It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 

เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๙

บทที่ ๙

หลังอาหารมื้อเย็นวันนี้ครูบอกว่าจะมีการเล่นรอบกองไฟให้ทุกหมู่จัดการละเล่นรอบกองไฟออกมากันหมู่ละหนึ่งอย่าง

กางเขนน้อยก็เช่นเดียวกันต้องหาการละเล่นออกมาเล่นแต่ตอนนี้ก็ยังนึกไม่ออกว่าเราจะเล่นอะไรกันดี

เสียงร้องเพลงของครูที่จะให้พวกเราออกไปเล่นหรือทำอะไรสักอย่างหน้ากองไฟก็ดังขึ้น

“แจว มะ แจว จ้ำจึก น้ำนิ่งไหลลึกนึกถึงคนแจว แจว มะ แจว จ้ำจึก น้ำนิ่งไหลลึก นึกถึงคนแจว แจวเรือไปซื้อกางเกง แจวเรือไปซื้อกางเกง ขอเชิญนกกางเขนออกมาช่วยกันแจว เอ๊า แจว มะ แจว จ้ำจึก น้ำนิ่งไหลลึกนึกถึงคนแจว แจว มะ แจว จ้ำจึก น้ำนิ่งไหลลึกนึกถึงคนแจว แจวเรือไปซื้อกางเกง แจวเรือไปซื้อกางเกง ขอเชิญนกกางเขนออกมาช่วยกันแจว”

เสียงเพลงยังคงร้องไม่หยุด พวกฉันที่ยังไม่ได้คิดการละเล่นก็ต้องตะลึงเพราะโดนเป็นหมู่แรกอีกแล้วหรือนี่

“เอาไงดีอา” นันท์นลินถามฉันขณะที่เราเดินออกไปหน้ากองไฟ

“ประกวดนางงามเลยเธอ เดี๋ยวพวกเราแสดงการประกวดนางงามหน้ากองไฟ เอาแบบหลุดโลกไปเลยนะเพื่อน” ฉันบอกเพื่อนๆ

“แล้วใครจะชนะหละ” สกุนาถาม

“แล้วแต่ว่าคนดูจะเลือกใครเอาแบบให้คนดูลงคะแนน” ฉันบอกและก็ให้เพื่อนๆ ไปเอาอุปกรณ์ต่างๆ มาประดับประดาตัวเอง

“พร้อมหรือยัง” ฉันถามเพื่อนๆ ในกลุ่ม

“พร้อมแล้วเริ่มได้เลย” ทุกคนพยักหน้าพร้อมเพรียง

“ทุกท่านโปรดทราบ การแสดงของกลุ่มกางเขนน้อยต้อยตีวิดในวันนี้หมู่ของเราจะประกวดนางงามประจำค่าย ซึ่งทุกท่านจะมีคนละหนึ่งคะแนนอยู่ในมือ ท่านใดสนใจจะเชียร์ใครท่าก็สามารถยกมือให้คะแนนกับผู้เข้าประกวดของเราได้ เอาหละค่ะเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเรามาพบกับผู้เข้าประกวดหมายเลขหนึ่งของเราได้ ณ.บัดนี้”

เสียงร้องเพลงโฉมเอยโฉมงามอร่ามแท้และตลึงก็ดังขึ้นจากไมค์โครโฟนของครูที่ช่วยหมู่ของเราด้วย เป็นการสร้างความครื้นเครง

“ผู้เข้าประกวดหมายเลขหนึ่งของเรา มีสสกุนายาใจ หาใดเปรียบ สัดส่วน หกสิบ หกสิบ หกสิบ เธอชอบกินหนอนเป็นอาหาร โดยเฉพาะหนอนรถด่วน... กีฬาโปรด ปั่นจิ้งหรีดให้ตีกัน... เวลาว่างเธอชอบโผผินบินไปลอกการบ้านเพื่อน... ส่งเข้าประดวกโดยร้านขายแมลงทอดหน้าตลาดสด”

สกุนาที่เอาไม้กวาดมาเหน็บเอว และเอาเข็มขัดมาคาดไว้ที่หัว เดินบินไปมา โชว์สัดส่วนที่แสนสวยไปรอบกองไฟ ก็เดินกลับมาประจำที่เดิม

“ผู้เข้าประกวดหมายเลขสอง มีสนันท์นลิน สัดส่วน ยี่สิบห้า ยี่สิบห้า ยี่สิบห้า เวลาว่างเธอชอบเต้นประกอบเพลง และร่ายรำ โฟล์ค เฟียด ฟอร์ต รถฟอร์ตมันวิ่งเต็มเหยียด รถเฟียดมันวิ่งโขยก รถโฟลค์มันวิ่งเขย่า มาสิพวกเราอย่ามัวซึมเซานั่งโฟล์ค เฟียด ฟอร์ต”

นันท์นลินเต้นท่าประกอบเพลงได้อย่างสะใจและหยุดเต้นเมื่อเสียงเพลงจากฉันจบลง ทำท่าเริดเชิดหยิ่งเดินกลับไปประจำที่

“ผู้ประกวดหมายเลขสาม สาวงามท่านนี้เธอมาจากแดนไกล เมื่ออาทิตย์อุทัยยังไม่ลับขอบฟ้า สาวงามท่านนี้จะไม่ปรากฏโฉมให้ใครได้เห็น เพราะเธอคือ แต่น แตน แต๊น... มีสพรสวรรค์ ส่งเข้าประกวดโดย”

ฉันหันไปหาพรสวรรค์ ที่จะเป็นคนถัดมาแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา แต่สักพักก็เห็นพรสวรรค์ ใส่กางกางชั้นในนอกกางเกงวอล์มและเอาผ้าถุงมาผูกทำเป็นผ้าคลุม ฉันแทบขำกระจาย นี่เพื่อนฉันลงทุนกันได้ขนาดนี้เลยเหรอ

“ซุปเปอร์แมนแอนด์เดอะแกงค์ทิงนองนอย” พรสวรรค์ทำท่าบินแบบซุปเปอร์แมนและวิ่งไปทั่ว จากนั่นก็มาหยุดหอบอยู่ตรงหน้าฉัน ตุลากับศุภาดาและสกุนนารีบมารับพรสวรรค์ที่ทำท่าแกล้งล้มลง จนเพื่อนๆ หลายคนตกใจ

“ไม่ต้องตกใจไปค่ะท่านผู้ชม เพราะนี่คือท่าบินของมีสพรสวรรค์ที่กำลังจะร่วงสู่พื้นดิน” ฉันเว้นระยะไปพักหนึ่งเพื่อให้กลุ่มของตุลาทำหน้าที่ของเธอจนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงพูดต่อขึ้นว่า

“ผู้เข้าประกวดของเราคนสุดท้ายเป็นอย่างไรบ้างค่ะ ผู้ชมท่านใดที่ต้องการให้คะแนนกรุณาส่งคะแนนให้คณะกรรมการ ของเราโดยการนำตัวของท่านเองมายืนอยู่ด้านหลังของผู้เข้าประกวดของเราทั้งสามคน คณะกรรมการของเราจะเป็นผู้นับคะแนนอย่างยุติธรรมที่สุด”

ฉันก็พูดไปเรื่อยเปื่อยเพราะหมดมุขที่จะเล่นต่อไปแล้วก็เลยจบการประกวดเอาดื้อๆ จากนั้นเพื่อนๆ ก็มายืนอยู่ด้านหลังของพรสวรรค์กันมากมาย

“ท่านคณะกรรมการตุลานับคะแนนเสร็จแล้วหรือยังค่ะ”

“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณพิธีกร”

“อ่อฉันลืมประกาศกฎของเราไปว่า ใครที่ได้คะแนนน้อยที่สุดเป็นผู้ชนะ” เสียงเพื่อนๆ โห่ลั่นเพราะอุตส่าห์ตั้งใจที่จะให้คะแนนกับพรสวรรค์อย่างเต็มที่

นั่นทำให้ฉันดีใจที่การแสดงของเราเรียกเสียงจากเพื่อนๆ ได้ ถึงแม้จะในทางที่ไม่ดีก็ตามที

“ผลประกาศออกมาแล้วว่า ผู้ชนะของเราก็คือ มีส อาคิรา เย้ๆๆๆๆๆ”

เสียงโห่ ดังลั่นไปอีก และมีเสียงตะโกนมาว่า

“ไม่ได้เข้าประกวดแล้วชนะได้ไง” เสียงเพื่อนๆ ในหมู่อื่นๆ ตะโกนถาม

“อะๆๆ นี่คือการแสดงของกางเขนน้อยนะค่ะ ฉะนั้นหัวหน้าหมู่ทำอะไรย่อมไม่ผิด” จากนั้นผ้าพันคอของเพื่อนๆ ก็ปลิวว่อนมาที่ฉันคนเดียว การแสดงของกางเขนน้อยก็จบลงโดยที่มีผ้าพันคอเนตรนารีของเพื่อนๆ เป็นของขวัญ

........................

การแสดงรอบกองไฟของกลุ่มอื่นๆ ก็ยังคงดำเนินต่อไป พวกฉันที่ตอนนี้นั่งสั่นเพราะลมหนาวพัดโชยมาอีกครั้ง ใส่หมวกเนตรนารีครอบหัวตัวเองเอาไว้ บางคนนั่งขำเพื่อนๆ หมู่อื่นๆ ที่แสดง บางคนนั่งกอดกันอาศัยความอบอุ่นของร่างกายช่วยบรรเทาความหนาว

เมื่อถึงเวลาปิดค่ายและเลิกกองไฟ ทุกคนก็ทยอยกันกลับเต็นท์ของแต่ละหมู่ และคืนนี้พวกเราไม่ต้องเฝ้ายามกันอีกแล้ว เพราะครูบอกว่าปล่อยพวกเราอย่างอิสระ

ความอ่อนเพลียของเราแต่ละคนก็ทำให้การนอนของเรานั้นหลับไปอย่างง่ายดาย แต่ฉันก็ต้องตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อสกุนามาปลุก

“ทำไมอะจะทำอะไร” ฉันงัวเงียถามสกุนา

“เราปวดฉี่ไปส่งเราหน่อยสิเรากลัวผี”

“ใครจะไปฉี่บ้าง” ฉันถามเพื่อนที่นอนเรียงกันอยู่ทุกคนก็พร้อมใจกันลุกออกมาจากเต็นท์และเดินไปห้องน้ำด้วยกัน แต่พอไปถึงสกุนาก็ไม่กล้าเข้าห้องน้ำคนเดียว

“บ้าน่าเธอปวดก็เข้าไปสิใครจะมาทำอะไร”

“เข้าไปเป็นเพื่อนหน่อยสิเรากลัว”

“ตุเธอไปเป็นเพื่อนหน่อยไปยืนหันหลังก็ได้ เพื่อนห้องเธอไม่ใช่เหรอ” ฉันบอกตุลา

จากนั้นทั้งสองก็เข้าห้องน้ำไปด้วยกัน เสียงสกุนาดังออกมาว่า

“อย่าหันมานะฉันอาย”

ฉันคิดว่าแปลกดีนะให้เข้าไปเป็นเพื่อนแต่ห้ามหันไปมองแล้วหากเกิดอะไรขึ้นคนที่เข้าไปด้วยจะช่วยเหลือได้ทันท่วงทีได้อย่างไร

พวกเราทำธุระเสร็จก็เดินกลับมาที่เต็นท์ แต่ในเต็นท์มีเสียงคนร้องไห้อยู่ คราวนี้พวกฉันมองหน้ากัน เพราะเข้าใจว่าทุกคนไปห้องน้ำด้วยกันหมด ไม่มีใครหลงเหลืออยู่ ฉันหันไปถามตุลา

“เราออกมากันครบหมดแล้วไม่ใช่เหรอ”

“อะ ออก มะ ครบหมดสิ กะ เมื่อตะกี้เราออกปะเป็นคะคนสุดท้าย” ตุลาเสียงสั่น

“แล้วคะ...ใครร้องไห้ในเต็นท์เรา” ฉันถามตุลากลับเสียงสั่นไม่แพ้กัน จะว่าเพราะความหนาวทำเอาเราปากสั่นก็ไม่น่าจะใช่

และทุกคนก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า

“ผะ ผะ ผี” จะอยู่ให้โง่หรือคะ วิ่งใส่เกียร์สุนัขกระเจิงไปที่เต็นท์อำนวยการของครูกันทั้งหมู่

“ครูขาผีหลอก” ศุภดารีบตะโกนบอกครู ในทันทีที่ถึงเต็นท์

ครูตกใจออกมาดูพวกเราที่ยืนสั่นอยู่นอกเต็นท์

“เกิดอะไรขึ้นพวกเธอ”

“มีผีอยู่ในเต็นท์เราค่ะครู” ฉันละล่ำละลักบอกครู

“จะมีได้ไงไหนเล่ามาสิพวกเธอผีเผอที่ไหนจะมาอยู่ในโรงเรียนเราได้”

“คือพวกเราทั้งหมดไปห้องน้ำค่ะครูพอกลับมาที่เต็นท์ก็ได้ยินเสียงคนร้องไห้อยู่ในเต็นท์ของพวกเรา ร้องดังมากๆ ด้วยค่ะครู” ฉันรีบรายงาน

“ไปเราเดินไปดูกันให้เห็นกับตาว่าผีอะไรที่ไหนมาร้องไห้ในเต็นท์พวกเธอ” ครูเดินนำพวกเราไปจนถึงเต็นท์และก็ได้ยินเสียงร้องไห้อย่างที่พวกเราได้ยิน

“ฮือๆๆๆ” เสียงร้องไห้ยังคงดังไม่หยุด

“ชัดหรือยังคะครู” ตุลาถามเพราะตอนนี้เธอก็สั่นไปทั้งตัว ทั้งหนาวทั้งกลัว

“พวกเธอแน่ใจนะว่าไปกันครบหมู่ ไหนพวกเธอมีกี่คน”

“แปดคนค่ะ” ฉันตอบ

“แล้วตอนนี้ทำไมมีเจ็ดคน” ครูถามพวกเรา ทำให้เรามองหน้ากันไปมา

“เออจริงๆ ด้วยใครหายไป” ตุลาที่นับเพื่อนๆ แล้วก็ชัดสะกิดใจ

“ตายแล้วพรสวรรค์หายไป” ฉันตบอกผาง เพราะพอจะรู้แล้วว่าเพื่อนคนที่หายไปเป็นใคร

ครูเปิดเต็นท์แล้วฉายไฟฉายเข้าไปข้างใน เห็นพรสวรรค์นอนขดร้องไห้อยู่คนเดียว

“นี่นะเหรอผีของพวกเธอ เบิ่งตาดูให้ดีๆ ทิ้งเพื่อนไว้ในเต็นท์คนเดียวแล้วยังจะมาหาว่าเพื่อนเป็นผีอีกแบบนี้มันน่าจับปั่นจิ้งหรีดหมดทั้งหมู่เลยดีไม๊นี่” ครูเข้าไปกอดพรสวรรค์และปลอดโยนว่า

“ไม่มีอะไรแล้วนิ่งซะนะคนดี โอ๋ๆๆ ไม่ร้องนะจ๊ะครูอยู่นี่นิ่งซะ” ครูหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาให้พรสวรรค์ที่ร้องไห้จนตัวสั่นไปหมด

“คราวหลังพวกเธอเวลาไปไหนก็ดูกันด้วยว่ามีเพื่อนหลงอยู่หรือเปล่าไม่ใช่เอาแต่ตัวเองเป็นหลัก เพื่อนฝูงไม่รู้จักดูแล

เธอก็เหมือนกันอาคิรา เธอเป็นหัวหน้าหมู่ เธอต้องตรวจดูด้วยว่าเพื่อนในหมู่ของเธอไปกันครบหรือเปล่าไม่ใช่ทิ้งเพื่อนไว้ให้อยู่คนเดียวแบบนี้ ออกไปปั่นจิ้งหรีดคนละสิบรอบแล้วค่อยเข้ามานอน” คำสั่งคือคำสั่ง และพวกเราก็ยอมรับว่าสับเพร่ากับเรื่องนี้จริงๆ

กว่าพวกเราจะหายมึนและเข้าไปนอนได้ ก็เล่นเอาเหงื่อตกทั้งๆ ที่อากาศช่างหนาวเย็น

ฉันพอเข้าใจว่าทำไมตุลาถึงมองไม่เห็นพรสวรรค์ ก็เพราะผ้าถุงที่พรสวรรค์เอามาคลุมไหล่ไว้ตั้งแต่ตอนเล่นรอบกองไฟ เธอไม่ได้ถอดออก จนเมื่อเข้านอนพรสวรรค์ก็นอนด้านในสุด เหมือนกับกองผ้าห่มที่พวกเราเอาไปสุ่มไว้ที่เธอคนเดียว

และเมื่อพรสวรรค์ตื่นขึ้นมาไม่เห็นใครอยู่ในเต็นท์เธอก็กลัวและทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนร้องไห้ พอพวกเรามาได้ยินเสียงของเธอร้องไห้ก็ยิ่งคิดว่าเธอเป็นผี ก็ยิ่งเกิดเรื่องมากขึ้นไปอีก

ตอนนี้พวกเรานั่งล้อมวงขอโทษพรสวรรค์กันยกใหญ่ เพราะไม่อยากให้เพื่อนเสียใจกับการกระทำของพวกเรา ซึ่งพรสวรรค์ก็ให้อภัย แต่เธอก็ขอให้พวกเราพาเธอไปห้องน้ำด้วยเช่นกัน ตอนนี้เราไปกันครบแปดคน ไปส่งพรสวรรค์เข้าห้องน้ำ และกลับมาที่เต็นท์อย่างสบายใจแต่ก็แอบขำนิดๆ ไม่ได้ว่า

“ซุปเปอร์เกิล์ลคนเก่งของเราหมดท่าก็เพราะกลัวผีไปแล้ว”

.................................

หมดงานเข้าค่ายไปแล้วแต่สิ่งที่ติดมาก็คือการเดินฉากในวันที่พวกเราต้องแต่งชุดเนตรนารี ไม่ว่าจะไปไหนก็ต้องเดินให้เป็นเส้นตรงเป็นฉาก ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ฉันเองก็ขำเวลาเพื่อนๆ เดินไปไหน ต้องฉากตรงแน่ว ฉันพวกไม่ชอบทำอะไรแบบคนอื่น และเริ่มที่จะไม่ชอบเดินแบบหุ่นยนต์

ทำไมต้องเหมือนใคร และทำไมต้องทำตามคำสั่ง เป็นสิ่งที่ฉันคิดอยู่ตลอดเวลา เมื่อสบโอกาสฉันก็จะเดินเฉียงลัดไปโน่นมานี่ ไม่ยอมเป็นหุ่นยนต์เหมือนอย่างเพื่อนๆ

คูรเรียกฉันให้มาพบและถามว่า

“ทำไมไม่เดินฉากอาคิรา”

“แล้วทำไมต้องเดินฉากตากแดดด้วยไม่เข้าเรื่องถ้าครูมีเหตุผลหนูก็จะทำตาม” ฉันเถียงไปเพราะฉันเองไม่เคยชอบอะไรแบบนี้เลย

“เพื่อความเป็นระเบียบ” ครูตอบ

“แล้วหนูเดินเฉียงไม่เดินฉากนี่มันไม่มีระเบียบตรงไหนคะเมื่อก่อนก็เดินได้ทำไมตอนนี้เดินไม่ได้” ฉันเริ่มฉุน

“ก็เพราะว่าเมื่อก่อนเธอไม่เคยเข้าค่ายฝึกวินัยและความอดทนแต่ตอนนี้เธอเข้าค่ายแล้วเธอก็ต้องทำตามกฎ ของโรงเรียน”

“กฎบ้าบอ ไม่เห็นได้เรื่อง” ฉันเถียงอีกครั้ง และนั่นทำให้ครูทนไม่ได้หยิบไม้เรียวขึ้นมา

“ถ้าครูตีหนูเพราะหูนไม่เดินฉาก หนูไม่ยอมรับความผิดนี้” ฉันที่ตอนนี้ก็เริ่มฉุนเหมือนกัน เพราะฉันเองคิดว่าฉันไม่ผิด

“ก็ได้ ถ้าเธอคิดว่าเธอจะเป็นแกะดำในฝูงก็ตามใจ”

ฉันรู้ว่าการท้าทายครูเป็นเรื่องที่ผิด แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเดินตากแดดเพื่อให้เป็นฉาก จะเดินไปไหนแต่ละทีก็ลำบากลำบน

ฉันกลับมาบ้านและพกคำถามมากมายมาถามพ่อ ฉันเล่าเรื่องที่ฉันทำวันนี้ให้พ่อฟัง พ่อได้แต่ขำฉัน แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร

วันรุ่งขึ้นครูมีจดหมายฝากพี่ภามาให้พ่อ และพ่อก็ไปส่งพวกฉันไปโรงเรียน พ่อบอกว่าครูเรียกผู้ปกครองไปพบ ฉันเริ่มรู้อีกอย่างว่าการทำอะไรตามใจตัวเองทำให้พ่อต้องลางานมาพบครูฝ่ายปกครอง แต่พ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรฉัน พ่อเป็นแบบนี้เสมอ ไม่เคยบ่นหรือว่าอะไรพวกฉัน มีแต่แม่เท่านั้นที่คอยบ่นฉันอยู่เรื่อยๆ

ฉันรอพ่ออยู่ที่หน้าห้องครูฝ่ายปกครองพ่อเห็นหน้าฉันแล้วก็ยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไรนอกจากบอกว่าพ่อจะทำงานแล้ว สายมากแล้วเดี๋ยวโดนเจ้านายว่า

ฉันเดินมาหาพี่ภาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่แถวเล่าเรื่องให้พี่ภาฟัง พี่ภาเองก็ไม่ได้ว่าอะไรยิ้มและฟังฉันพูดไปเรื่อยๆ

“อาจะไม่ใส่ชุดเนตรนารีอีก แล้วอาก็จะไม่ลงเรียนวิชานี้อีก” ฉันบอกพี่ภา

“แล้วอาจะไปเรียนอะไร คนอื่นๆ เค้าก็เรียนกันทั้งนั้นมันเป็นกฎ”

“มันไม่ยุติธรรมเลยพี่ภาที่เราต้องมาเรียนอะไรก็ไม่รู้บ้าบอแบบนี้” ฉันบ่น

“พูดเกินไปอา คนอื่นๆ เค้ายังทำได้พี่เองก็ทำได้ ทำไมอาต้องเรื่องมากแบบนี้ด้วย” พี่ภาบ่นฉัน

“ไม่ได้เรื่องมากนะพี่ภาก็อาไม่ชอบนี่พี่ แค่เข้าค่ายก็พอแล้ว ไม่เห็นจะต้องมาทำอะไรประหลาดๆ แบบนี้เลย”

“แต่ที่อาว่าประหลาดนะมันคือกฎที่คนส่วนใหญ่ยินยอมที่จะทำ มีแต่อาคนเดียวที่ไม่ทำ อาจะเป็นพวกนอกคอกเหรอ”

“เปล่าพี่ แต่อาอยากรู้ว่าไอ้แค่การเดินฉากมันจะทำให้เราเป็นระเบียบได้ไง ดูสิพี่ เข้าแถวยังไม่ตรงเลย แต่ต้องมาเดินหันขวับๆ ฉากไปฉากมา เสียเส้นเปล่าๆ อาว่าเลิกไปเถอะ ไอ้กฎบ้าบอนี่ พี่ภาดูสิ” ฉันชี้ไปที่เพื่อนๆ ที่เดินไปมาวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ในวันที่ไม่ได้ใส่ชุดเนตรนารี

“เราก็แค่เด็กคนนึงจะมาเอาอะไรกับพวกเรามากมาย แค่ตั้งใจเรียนทำตัวเป็นคนดีไม่ท้องก่อนวัยอันควร ไม่ทำตัวแย่ๆ ไม่เสพยา แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอพี่”

“พี่เข้าใจที่อาพูด แต่อาจำอะไรไว้อย่างนึงนะ เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม อย่าเป็นแกะดำหลงฝูง อย่าเป็นอีกาในหมู่หงส์ หรือหากว่าอาอยากทำตัวเด่นแบบไม่เข้าท่าก็ตามใจอา พี่ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับอาด้วยหรอก อีกอย่างใกล้สอบแล้วเอาสมองไปคิดเรื่องอ่านหนังสือดีกว่ามัวมานั่งคิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไปเข้าแถวได้แล้วโรงเรียนจะเข้าแล้วไปได้” พี่ภาไล่ฉันให้กลับไปเข้าแถวที่ห้องตัวเอง

ฉันเก็บคำพูดของพี่ภามาคิด และไตร่ตรองอย่างรอบครอบและสุดท้ายก็ตัดสินใจว่าฉันจะทำอย่างที่ฉันอยากทำ และสิ่งสำคัญฉันจะเรียนให้เก่งและไม่เดินฉากแบบคนอื่นแน่นนอน

ไม่เชื่อคอยดูอาคิราสิ

................................

ฉันไม่ใส่ชุดเนตรนารีมาโรงเรียน และบอกครูว่าฉันลืมว่าต้องใส่ และฉันก็กลายเป็นแกะดำในหมู่เพื่อนๆ แน่นอนเวลาเดินแถวฉันจะทำตามกฎเพราะเพื่อนๆ ทุกคนต่างก็เดินฉากกันหมด

แต่เมื่อต้องเดินคนเดียวฉันก็เดินปกติและเดินลัดเลาะไปตามทางเรื่อยเปื่อยเพราะฉันไม่ได้ใส่ชุดเนตรนารีมาโรงเรียนอย่างที่ฉันบอกกับพี่ภาไว้ ฉันไม่สนใจว่าครูจะทำโทษอย่างไร เพราะฉันถือว่านี่เป็นสิทธิ์ของฉันที่จะทำ เพราะพวกฉันจะต้องใส่ชุดเนตรนารีอีกสองครั้งในเทอมนี้ก็จะไม่ต้องใส่อีกแล้ว

ฉันเขียนจดหมายไปหาตุ๊กตาน้อยถามเธอเรื่องเดินฉากว่าเธอต้องทำหรือเปล่า เธอตอบกลับมาว่าไม่ต้องทำ เพราะโรงเรียนของเธอไม่เข้มงวดเรื่องแบบนี้ มันหยุมหยิมเกินไป และฉันก็สรุปเอาเองว่าโรงเรียนนี้ไม่ดีไม่ควรแก่การเรียนต่อที่นี่อีกแล้ว ฉันจะไปเรียนต่อที่โรงเรียนของตุ๊กตาน้อย

แน่นนอนมันทำให้ฉันต้องปรับตัวใหม่ทั้งหมด แต่ฉันก็รับได้ ฉันกลับไปบอกพ่อว่าฉันทนกับกฎเล็กๆ น้อยๆ ของโรงเรียนไม่ได้ ถ้าสอบเสร็จผลสอบออกมาฉันจะลาออก ทำเอาพ่อไม่พูดกับฉันเลยทั้งวัน

วันสอบวันสุดท้ายเมื่อสอบเสร็จ ฉันรอพบครูฝ่ายปกครองเพื่อขอลาออก

“นี่อาคิราเธอนี่ทำไมต้องมาทำอะไรแปลกๆ ไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเค้าอยู่เรื่อยเลยนะ” ครูบ่นฉัน

“ก็ทำไมต้องเหมือนใครด้วยหละคะครู ก็หนูไม่อยากเหมือนใคร และไม่อยากให้ใครเหมือน”

“แล้วเธอจะไปเรียนที่ไหน”

“ยังไม่รู้ค่ะ รู้แต่ว่าไม่อยากเรียนที่นี่ ก็เท่านั้น” ฉันตอบไปตามความคิดของฉันเอง

“แค่เรื่องเดินฉากมันเรื่องใหญ่โตขนาดนี้เลยเหรออาคิรา”

“ไม่ใหญ่สำหรับครูแต่ใหญ่สำหรับเด็กอย่างหนูคะ”

“อืมแล้วผู้ปกครองเธอว่าไง ให้เธอมาลาออกหรือว่าไม่ให้”

“พ่อไม่ได้พูดอะไรค่ะครู หนูไปบอกพ่อแล้ว ไม่เห็นพ่อว่าอะไรเลย ถ้าครูให้หนูออกหนูจะได้เอาเกรดไปสมัครโรงเรียนอื่น” ฉันตอบไปตามความเป็นจริง

“เรื่องนี้ครูให้เธอออกเองไม่ได้ เธอต้องให้ผู้ปกครองมาพบครู ถ้าเธอจะลาออกจริงๆ”

“ค่ะครู” ฉันยกมือไหว้สวัสดีครูแล้วก็เดินออกมา

“อาคิราแม่จอมยุ่งนี่จะทำเรื่องอะไรอีกหละนี่” ครูศยามนได้แต่บ่นกับตัวเองเพราะรู้ดีว่าคนอย่างอาคิราทำอะไรที่คาดไม่ถึงได้เสมอ

..................................

พ่อไม่ยอมไปลาออกให้ฉันและให้ฉันไปอยู่กับยายตอนปิดเทอมใหญ่นี้ ทำเอาฉันไม่ยอมพูดกับพ่อไปหลายวัน แต่ก็ยอมไปบ้านยายง่ายๆ

ปิดเทอมนี้เพื่อนๆ บอกฉันว่าจะไปเรียนพิเศษที่โรงเรียนกันหมด ยกเว้นฉันคนเดียวที่ไม่ไปเรียน ฉันอยู่บ้านยายและเล่นกับเด็กรุ่นน้องข้างบ้านไปวันๆ ไม่สนใจโลกภายนอก

ตุ๊กตาน้อยเขียนจดหมายมาหาฉันบ้างแต่ก็ไม่มากนักเพราะเธอก็ต้องเดินสายไปบ้านญาติที่ต่างจังหวัดเหมือนกัน

ฉันโกรธพ่อ ที่ไม่ยอมทำตามที่ฉันต้องการฉันเกือบจะไม่กลับไปเรียน แต่เมื่อนึกได้ว่าฉันต้องกลับไปดูเกรดว่าได้เท่าไหร่ และคำพูดของพี่แสงอุษาที่บอกว่าจะให้ของขวัญฉันเมื่อฉันเรียนได้เกรดสี่ทุกวิชา

ฉันก็กลับมาที่บ้านอีกครั้งด้วยความเต็มใจ วันรับสมุดพกฉันก็พบว่าตัวเองได้สี่ทุกวิชา วิชาเนตรนารีของฉันก็ผ่าน ไม่เห็นจะตกตรงไหนเลย

ฉันกลับมาเรียนและอยู่ในหมู่เพื่อนๆ และไม่สนใจกับเรื่องราวที่ผ่านมาเพราะทุกวันฉันจะซ้อมดนตรีที่ฉันรัก และอ่านหนังสือไปวันๆ

แม้บางทีเพื่อนจะชวนไปเล่นบ้างแต่ฉันก็ไม่ไป วันหยุดฉันก็ไปสระว่ายน้ำ พี่แสงอุษาก็จะไปว่ายเป็นเพื่อนฉัน

ฉันกลายเป็นคนเขร่งขรึมไม่เข้าสังคมไปตั้งแต่เมื่อไหร่ฉันเองก็ตอบไม่ได้ เพราะเริ่มรู้สึกเบื่อๆ กับการเล่นไม่อยากไปวิ่งตากแดด ไม่ชอบเสียงดังๆ

พี่แสงอุษาให้ของขวัญฉันเป็นตุ๊กตาหมีตัวโตที่กอดได้เต็มไม้เต็มมือ ฉันเริ่มชอบตุ๊กตาหมีและเล่นกับมันคนเดียวเมื่อกลับถึงบ้าน

“เอาไว้กอดแทนพี่นะเด็กน้อย” พี่แสงอุษาบอกกับฉันในวันที่เธอเอาตุ๊กตาหมีมาให้

ฉันจำได้ว่าฉันดีใจมากที่ได้ตุ๊กตาเป็นของขวัญสำหรับการเรียนดีของฉัน และมันก็เป็นแรงผลักดันให้ฉันตั้งใจเรียนมากขึ้น

ระหว่างฉันกับพี่แสงอุษาไม่ได้มีอะไรเกินเลยมากไปกว่าการจูงมือกันเดินและหอมแก้มกันบ้างในบางครั้งเพื่อแสดงความยินดี มันอาจไม่เหมือนกับคู่อื่นๆ ที่ รมณเคยเล่าให้ฉันฟัง แต่ทำไมฉันต้องเหมือนใคร

ภรณีเริ่มทำอะไรแปลกๆ แบบที่ฉันก็ไม่รู้ว่าเธอทำไปเพื่ออะไร ภรณีบอกว่าการทำแบบนี้จะทำให้สาวๆ มองไม่เห็นหน้าอกของเธอ

ฉันว่ามันคงอึดอัดเอามากๆ เพราะการไปรัดอกแบบนั้นมันคงไม่ต่างอะไรกับเวลาที่เราแขนซ้นหรือขาพลิกแล้วเอาอิลาสติกมารัดไว้ เลือดก็คงจะเดินไม่สะดวก ฉันเคยข้อเท้าพลิกและต้องเอาผ้ามารัดไว้ มันทำให้เท้าของฉันเขียวปั๊ด

ฉันเห็นภรณีแล้วก็รู้สึกอึดอัดแทนเธอ ที่ต้องมาทำอะไรแปลกๆ แบบนั้น และไม่เข้าใจว่าเธอไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหน ใครกันที่เอาเรื่องแบบนี้มาใส่สมองของเธอ

ภรณีชวนฉันให้ทำแบบเธอบ้าง ฉันปฏิเสธเพราะว่าแค่ฉันมองที่เธอทำก็เจ็บแทนแล้ว จะให้ไปลงมือทำอะไรแบบเธอฉันคงอึดอัดตายก่อนที่สาวๆ จะหันมามอง

สำหรับฉันคิดว่าหากสาวคนนั้นเธอชอบภรณีเพราะว่าเธอเหมือนผู้ชาย ทำไมเธอไม่ไปชอบผู้ชายแทนที่จะมาชอบภรณีหละ

ฉันก็ยังคงไม่เข้าใจความคิดของคนอื่นๆ อยู่ดีนั่นแหละ

......... จบบทที่ ๙ .........




 

Create Date : 16 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 18 พฤษภาคม 2551 16:17:30 น.
Counter : 353 Pageviews.  

เรื่อวยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๘

บทที่ ๘

ฉันนำสมุดของหงส์หยกมาให้เพื่อนๆ ได้อ่าน เมื่ออ่านไปพวกเราก็ขำกันบ้างกับเรื่องที่หงส์เขียนถึงพวกเรา และตั้งฉายาให้กับพวกเราทั้งหมด ซึ่งใครๆ ต่างก็รู้ว่าฉายาของตัวเองเป็นอะไรบ้าง

อย่างภรณี ฉายาของเธอก็คือ “น้องเบิ้ล” เพราะภรณีไม่เคยทำอะไรครั้งเดียวชอบทำซ้ำซาก

รมณ มีฉายาที่หงส์ตั้งให้ว่า “น้องติ่ง” ไม่ว่าใครจะไปที่ไหนเธอก็จะเป็นติ่งติดตามไปด้วยเสมอ เพราะรมณเป็นเด็กหอ จะออกไปไหนมาไหนได้ก็ต้องคอยติดสอยห้อยตามเป็นติ่งติดเพื่อนไปด้วย

ขวัญหทัย นี่ไม่ต้องบอกใครๆ ก็จะเรียกเธอกว่า “น้องนิด” เพราะเธอเหมือนอรพรรณ พานทอง

เกวลี หัวหน้าห้องตลอดกาล เธอคือ “เจ้าพ่อหรือติงลี่” เพราะมาดของเกวลีไม่ได้ต่างอะไรกับติงลี่ที่กำลังโด่งดังในจอทีวี

รวิภา ฉายาของเธอค่อนข้างดีนิดหน่อย “หยงหยง” หนึ่งในตัวละครชอลิ้วเฮียง สวยไม่มากแต่มากไปด้วยสมอง

ส่วนฉันหงส์ไม่ได้เรียกฉันว่าอาเซฟโซ่ เหมือนคนอื่นๆ แต่เรียกฉันว่า “เจ้าอย่าหวัง” หงส์ให้เหตุผลว่า ใครก็อย่ามาหวังอะไรกับฉันมากมายเพราะฉันเป็นพวกลม ไปไหนมาไหนไร้ร่องรอย ไม่อยู่เป็นที่เป็นทาง และอย่าหวังจะได้หัวใจของฉันง่ายๆ

ฉันขำฉายาของฉันที่หงส์ตั้งให้ ดูแปลกไปจากที่เพื่อนๆ เคยตั้งให้ฉัน แม้ว่าฉันอยากจะเป็นอาราเล่แต่ฉันก็ไม่เคยคิดที่จะเล่นอุนจิ และไม่พิสมัยอุนจิแบบอาราเล่แน่ๆ

หงส์เขียนถึงฉันในหน้าหนึ่งว่า

“ถึงแม้อาจะเป็นเพื่อนที่เราไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่ แต่เราก็รู้ว่าอาเป็นคนดี เป็นเพื่อนที่ดี แม้เราสองคนจะไม่เคยทำความรู้จักอาแบบใกล้ชิดมากไปกว่าเพื่อนร่วมห้อง เพื่อนร่วมวง แต่เราก็รู้ว่าอานิสัยดี อาจะรู้ไหมว่าในวันที่อาไปรับตะหลิวของปาเราแทนเรา เราซึ้งน้ำใจอามากเหลือเกิน

แต่เราก็รู้ว่าอาทำไปเพราะอาเห็นว่าเราเป็นเพื่อน และเราก็รู้อีกว่าอาก็รักเราและเห็นเราเป็นเพื่อนเหมือนกัน

วันที่อามีประจำเดือนวันแรกนะ เราคันปากยิบๆ จะบอกอาว่าอย่าคิดมาเลยเรื่องนั้น เพราะเราก็เคยเป็นมาก่อนอาอีก แต่เราก็พูดไม่ได้ เราแอบขำอาว่ากล้าเน๊อะที่จะบอกใครๆ ว่าอามีประจำเดือนแล้ว ก็เรานะเก็บเงียบแบบไม่เคยบอกให้ใครรู้มาก่อนเลยแหละ

แต่ก็อย่างว่านะอา หากไม่มีอาเพื่อนๆ อีกหลายๆ คนก็คงไม่รู้ว่าการมีประจำเดือนที่พวกเราทุกคนในอนาคตจะต้องมีกันทั้งนั้น มันเป็นเรื่องที่ธรรมดามากจริงๆ แต่ตอนนี้เราไม่มีมาหลายเดือนแล้วหละอา ก็เรามีลูกไง ประจำเดือนมันก็จะหายไปในตอนที่เราท้อง หรืออาอยากจะไม่มีประจำเดือนแบบเราบ้างก็ได้นะ”

อ่านถึงตอนนี้ฉันทำหน้าเหยเก เพราะฉันไม่อยากมีอะไรมาดิ้นๆ ในท้องของฉันตอนนี้หรอก มันฟังดูสยิวๆ และขนลุกอย่างไรไม่รู้บอกไม่ถูก

ขวัญหทัยก็เริ่มอ่านต่อไป

“เราขอโทษทุกคนด้วยนะที่เราทำเรื่องให้พวกเธอ จำวันที่ครูเรียกพวกเราไปในห้องดนตรีได้หรือเปล่า เราเองแหละที่ไปยืนโบกมือและส่งข้อความให้กับเด็กผู้ชายโรงเรียนข้างหลัง เราเอาบางเกร็ดออกแล้วก็ปีนออกไปด้วยความคะนองอยากรู้อยากเห็น

ในตอนนั้นเราไม่ได้บอกพวกเธอและครูเพราะเรากลัวจะโดนดุและโดนตี แต่ถ้าเราบอกไปในตอนนั้นเราก็คงจะไม่มีวันนี้หรอก ครูคงคอยจับตาดูเราทุกวัน

เราเสียใจกับสิ่งที่เราทำลงไป และเราก็รู้แล้วว่าเรานั้น “รักสนุกและทุกข์สงัด” มันทุกข์มากมายเลยนะพวกเธอ ตอนแรกเราคิดจะเอาเด็กออกแต่เรามาคิดได้ว่าขนาดมดหรือยุงเรายังไม่กล้าฆ่า แล้วนี่คือลูกของเรา เด็กในท้องก็คือคนๆ หนึ่งที่มีชีวิตอยู่แต่ยังไม่ได้ลืมตาดูโลก

ปาบอกว่าเด็กคนเดียวปาเลี้ยงได้ และปาจะเลี้ยงให้ดีกว่าเลี้ยงเราอีก ดูปาสิเพื่อนๆ ตอนแรกจะฆ่าเราให้ตายแต่ตอนนี้กลับมาเห่อหลานไปแล้ว ก็อย่างนี้หละเน๊อะ คนแก่เมื่อมีอะไรที่ทำให้เค้าได้ชุ่มชื่นหัวใจเค้าก็คิดได้เอง

ม่าบอกว่าสมัยม่าแต่งงานกับปาม่าก็อายุเท่าๆ เรา แต่กว่าม่าจะมีลูกม่าก็อายุเกือบสิบแปด จริงๆ แล้วม่าก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ม่าบอกว่าเป็นผู้หญิงเรียนจบสูงก็ต้องแต่งงานมีลูกอยู่ดี

คนจีนจะต่างกับคนไทยนะพวกเธอ บ้านเรานะผู้หญิงแต่งงานออกจากบ้านไม่ต้องเรียนสูงๆ ก็ได้ แต่ต้องเป็นแม่บ้านที่ดี เป็นเมียที่ดี แต่เราเองเป็นพวกข้ามขั้นตอนไม่ต้องแต่ง ไม่ต้องเป็นเมีย แต่เรามีลูก ส่วนคนไทยต้องเรียนสูงๆ ให้เป็นใหญ่เป็นโต เป็นเจ้าคนนายคน คำสอนมันแตกต่างกันจริงๆ เน๊อะ

เพื่อนๆ อย่าเอาเราเป็นแบบอย่าง ดูเราไว้เป็นตัวอย่างนะเพื่อนๆ ตั้งใจเรียนหละอนาคตของพวกเธอยังอีกไกลนัก อย่ามาเดินทางเดียวกับเราเลย

เรารักเพื่อนทุกคนมากนะ

หงส์หยก”

พอขวัญหทัยอ่านจบ พวกเราก็น้ำตาคลอเบ้ากันเป็นแถว แม้วันนี้ไม่มีหงส์แต่เราก็ยังมีสมุดเล่มเล็กที่หงส์ฝากไว้ให้อ่านกันเล่นๆ

.......................

เสาร์อาทิตย์ที่จะถึงนี้ฉันต้องเข้าค่ายเนตรนารีที่โรงเรียน เราต้องไปเรียนรู้วิธีการกางเต็นท์ที่สนามโรงเรียน และครูบอกว่าจะจับเวลาพวกเราว่ากางเต็นท์หมู่ละกี่นาที

คิวการแบกของหนักก็ต้องมาอยู่ที่อาคิราอีกเช่นเคย อะไรหนักๆ ส่งมาทางนี้เถอะพระเจ้า ตอนนี้ฉันก็หัวหมุนกับผมทรงหางเป็ดงอนหน้างอนหลังหมดสวยไปแล้วไหนๆ ก็ไหนๆ เป็ดอย่างฉันก็ไม่ต้องห่วงสวยแบบหงส์เหมราชกับใครเขาแล้วนี่ ทำงานเป็นจับกังก็คงไม่ผิดอะไรตรงไหน

ฉันแบกเหล็กท่อนยาวมาจากห้องเกษตร และเพื่อนๆ ช่วยกันขนผ้าใบสำหรับกางเต็นท์มาวางไว้ตามลำดับหมายเลขหมู่ ของฉันคือหมู่หนึ่ง นกกางเขน ชื่อดูโก้หรูไม่เบา แต่อย่ามาเรียกฉันว่าหมู่เป็ดนะมีงอนด้วยจริงๆ

เราเริ่มทำตามวิธีที่เขียนบอกไว้ในคู่มือการกางเต็นท์ อันดับแรก สอดท่อนเหล็กกันยาวเข้าไปข้างในผ้าใบ จากนั้นตอกไม้ทำเสาให้พอดีกับระยะของเหล็ก และต้องช่วยกันยกผ้าใบขึ้น โดยเอาเสาเหล็กสอดไว้ตรงปลายของท่อนให้พอดีกัน

เมื่อยกเต็นท์ได้แล้ว เราก็จับปลายของผ้าใบมายึดติดกับพื้นดินให้แน่นยิ่งขึ้น จับเชือกโยงจากกลางเต๊นท์ไปยึดให้แน่นอีกครั้ง เป็นอันเสร็จกระบวนการ

“กี่นาที” วีวรรณที่อยู่ข้างในเต็นท์ตะโกนถามออกมา

“สามนาที” ฉันตอบ

“ช้าไป รื้อทำใหม่” ตุลาสั่งอีกรอบ

เราช่วยกันรื้อและพับเก็บให้เหมือนเดิม เริ่มกระบวนการกันอีกครั้ง ครั้งนี้เราก็จับเวลากันอีกเช่นเคย เด็กแปดคนที่ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ไม่นานก็เสร็จเรียบร้อยอีกครั้ง

“สองนาทีสิบวินาที จะลองอีกหรือเปล่า” ฉันตะโกนบอกและถามอีกครั้ง

“พอแล้วเหนื่อยเว่ย” นันท์นลินเพื่อนที่ตัวเล็กที่สุดตะโกนบอก เพราะตอนนี้นันท์นลินหน้าชุ่มไปด้วยเหงื่อหอบฮักๆ จนลิ้นแทบห้อย

“พอก็พอ พักเดี๋ยวนึงแล้วก็ค่อยเก็บ แต่ตอนเก็บเราจะจับเวลาด้วยนะ” ฉันบอก ในฐานะที่ฉันเป็นหัวหน้าหมู่

พวกเรานั่งพักกันอยู่ครู่ใหญ่ก็รวมพลกันอีกครั้ง คุณว่าไหมเวลาเก็บนี่มันเร็วกว่าเวลาสร้างจริงๆ เน๊อะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน

การเตรียมความพร้อมของพวกเราที่จะเข้าค่ายก็เรียบร้อยแล้ว ฉันกับเพื่อนก็ช่วยกันเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ไปไว้ในห้องเกษตรเช่นเดิม

...........................

อุปกรณ์การทำกับข้าวของเราก็คือหม้อใบใหญ่ จานชามช้อนซ้อมของใครของมัน จัดเตรียมกันมาให้ครบ เสื้อผ้าข้าวของเก็บมาอยู่ในเป้ใบโตกันหมดทุกคน ไม้ง่ามของพวกเราก็วางค้ำกันไว้อยู่ที่หน้าแถว สิ่งที่เราไม่ลืมก็คือ ไฟฉายและเราก็คิดว่ามันคงจะจำเป็นมากในเวลากลางคืน

เมื่อเริ่มพิธีเปิดเรียบร้อยแล้ว ครูก็ให้ทุกหมู่ไปกางเต็นท์โดยสัญญาณจะส่งมาจากครู กับข้าวกลางวันเราไม่ต้องทำ แม่ครัวของโรงเรียนจะเป็นคนทำให้ แต่กับข้าวมื้อเย็นเราต้องทำกันเอง

ปัญหาอยู่ตรงที่ใครจะทำ ฉันนะเหรอ เมินเถอะค่ะทำไมเป็นสัปปะรดสตรอเบอรี่อะไรสักอย่าง กินเป็นอย่างเดียว

“หัวหน้าหมู่มาเอาเงินค่ากับข้าวแล้วไปจ่ายตลาดทุกหมู่” ครูฝึกเรียกฉันให้ไปรับเงิน จำนวน หนึ่งร้อยบาทเพื่อไปจ่ายกับข้าว ฉันรับเงินมาไว้ในมือแล้วก็จ้องมองแบบหมดปัญญาที่เอาเงินนั้นไปทำอะไร

ฉันเดินกลับไปที่แถวของหมู่ฉันแล้วถาม

“ใครจ่ายกับข้าวเป็นบ้าง”

“....” เงียบสนิทไร้เสียงตอบรับ

“เอางี้ดีกว่า ใครเคยไปตลาดบ้าง”

“....” เงียบอีก

“ตายหละหว่า แล้วใครก่อเตาอังโลเป็นบ้าง”

“....” เงียบอีกรอบ

“แล้วะราจะกินอะไรกันเย็นนี้”

“ไม่รู้สิ” คราวนี้ไม่เงียบแฮะ ตอบพร้อมเพรียงกันเลยเชียว

“ไม่อดตายคราวนี้จะอดตายเมื่อไหร่กัน” ฉันบ่น

“ฮือๆๆๆๆ” เสียงนิพาดาที่นั่งอยู่ร้องไห้ขึ้นมาจนฉันเองก็ตกใจจนทุกคนต้องรุมเธอกันหมด

“เป็นอะไรนิร้องไห้ทำไม” ฉันจับแขนนิพาดาแล้วก็ถาม ไหนๆ ฉันก็หัวหน้าหมู่แล้วนี่นะ ต้องทำหน้าที่ให้ดัที่สุด

“เรากะ กลัว มะ มี ข้าวกิน ระ เราหิวข้าว แงๆๆๆ” นิพาดาร้องไห้ไม่หยุด พวกฉันต้องปลอบเป็นการใหญ่

“เอางี้ เราจะเขียนให้ไปจ่ายกับข้าวมากัน เราเคยจำได้ว่าพี่ภาซื้ออะไรเข้าบ้านบ้าง เริ่มต้นจาก ไข่ อาหารง่ายๆ ของพวกเราต้องกินได้แน่ๆ ถ้าอย่างอื่นกินไม่ได้ก็ ไข่เจียวไข่ดาว ก็แล้วกัน พวกเธอว่าไงเอาหรือเปล่าไข่”

“เอา” แนะตอนนี้คิดได้นะเพื่อน ที่เมื่อตะกี้ไม่ยักช่วยกันคิด

“ไข่ไก่ ยี่สิบฟองเผื่อพรุ่งนี้ด้วย ข้าวสารเอามาสองลิตร เรากินกันแปดคน สองลิตรสองมื้อคงพอ จากนั้นน้ำปลาขวดเล็ก น้ำตาลนี่เดี๋ยวไปขอครูเอา น้ำมันพืช หมูเอาหมูสันใน พี่ภาบอกว่าอร่อยเอามาสองขีดพอ เก็บไว้พรุ่งนี้คงไม่ได้มันอาจบูด เอาหมูสับมาด้วย ปลากระป๋อง เอามาสี่กระป๋อง ผักคะน้าเอามาสองกำ อ่อน้ำมันหอยหนึ่งขวด อะเกือบลืม ขาดไม่ได้ เอาตังไปด้วย” ฉันหยิบเงินหนึ่งร้อยบาทส่งให้ ตุลาเพราะเธอบอกว่าจะไปจ่ายตลาดเอง

จากนั้นฉันก็พยายามจุดเตาไฟด้วยถ่านไม้ จุดแบบไหนทั้งตะแคงซ้ายตะแคงขวาเท่าไหร่ก็ไม่ติด สุดท้ายฉันเลยแอบไปที่รถมอเตอร์ไซด์ เอากระดาษหนังสือพิมพ์จุ่มลงไปในถังน้ำมัน แล้วรีบวิ่งกลับมาจุดเตา

“ยิ้ปปี้” ฉันตะโกน เพราะถ่านในเตาเริ่มมีควันลอยออกมาและเห็นสีแดงๆ ของถ่านไม้ที่ติดไฟแล้ว ไงซะวันนี้เตาก็จุดได้แล้ว

“ว่าแต่เราจะทำอะไรหละ ต้มน้ำก่อนแล้วกัน ถ้าทำอะไรไม่ได้เลยเอาไข่มาต้มก็เสร็จ” ฉันกับเพื่อนอีกสองคนก็ต้มน้ำรอกับข้าวที่ตุลาจะซื้อกลับมาให้

ไม่นานตุลาก็กลับมาและของที่สั่งก็ครบ ฉันเริ่มต้นด้วยการหุงข้าว จำได้ว่าแม่บอกว่าเวลาหุงต้องให้น้ำท่วมแค่องคุลี

“เฮ้ยพวกเธอไอ้องคุลีนี่มันเท่าไหนหละ” ฉันตะโกนถามมาจากก๊อกน้ำที่กำลังซาวข้าวอยู่

“ข้อมือไงแกอา” ตุลาบอก คราวนี้ฉันก็จัดแจงใส่น้ำในหม้อข้าวลงไปโดยตั้งนิ้วให้สูงขึ้นและใส่น้ำจนท่วมข้อมือ เอาไปตั้งบนเตาไฟเป็นอันเรียบร้อย ข้าวมื้อนี้ต้องอร่อยเด็ด

จากนั้นก็ไปหันผักเตรียมผัด เตรียมทอด ไงซะเราก็มีไข่ ไปไหนไม่รอดก็กินไข่ได้ อย่างน้อยก็ ตุนไว้แล้ว ยี่สิบฟอง

“โพล๊ะ” เสียงของอะไรบางอย่างตกลงมาจากโต๊ะ

“ว๊าย” เสียงสกุณาร้องดังลั่น

“อะไรไอ้นาเป็นอะไร” ฉันที่ง่วงอยู่ที่หน้าเตาหน้าตาดูไม่ได้จากเป็ดกลายเป็นกาไปแล้วก็ตะโกนถาม

“ไข่แตกละอา” สกุณาตอบกลับมา หัวใจฉันแทบร่วง

ฉันรีบวิ่งไปหยิบถุงไข่ที่มีข้าวเปลือกรองไว้อีกชั้นหนึ่ง แต่ก็สายไปแล้วไข่ทั้งหมดแทบไม่เหลือซาก มันไปรวมกับข้าวเปลือกจนเหนียวเป็นเนื้อเดียวกัน

“ฉิบแล้วเพื่อนแล้วนี่จะกินอะไรกันหละ ทำไมมันเคราะห์ซ้ำกรรมซัดแบบนี้”

ฉันมองถุงไข่ไปก็รู้สึกสลดใจ ไข่ที่หวังว่าจะได้กินเมื่อยามคับขัน บัดนี้กลายเป็นไข่ข้าวเปลือกไปแล้ว ฉันพยายามหาไข่ที่ยังไม่แตกแล้วก็ช้อนเอามาวางไว้ในถ้วยอย่างน้อยๆ มันก็คงเอามาทำไข่เจียวได้บ้างเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี

นิพาดาเธอตั้งป้อมจะร้องไห้อีกแล้ว ฉันจะบอกเธอได้ไงนะว่าอย่าร้องสิ เดี๋ยวฉันร้องตาม แต่ก็ทำไม่ได้

หมู่อื่นๆ เค้าหุงข้าวเสร็จกันไปแล้ว แต่ข้าวของหมู่นกกางเขนของฉันกลับยังไม่สุกสักที ตุลาเดินมาเปิดหม้อข้าวดูก็ต้องตกใจ

“เฮ้ยอานี่เธอใส่น้ำไปทำไมเยอะนักหละ” ตุลาที่เปิดดูหม้อข้าวหันมาถามฉัน เพราะข้าวในหม้อที่ฉันหุงมันดูเหมือนข้าวต้มแทนที่จะเป็นข้าวสวย

“เอ๊าก็เธอบอกเราว่าใส่น้ำข้อมือไงเราก็ใส่แล้ว” ฉันทำหน้างง

“บ้าแล้วอา แบบนี้จะกินข้าวต้มหรือไง ตายๆๆ เอาไม้มาขัดหม้อข้าวเลยต้องเช็ดน้ำออกก่อน”

“เช็ดน้ำแล้วทำไมไม่หาผ้าหละตุเอาไม้มาทำไม” ฉันถามเพราะไม่เข้าใจความหมาย

“ไอ้บ้าอานี่แกล้งโง่หรือว่าโง่จริงๆ นี่ เช็ดน้ำหมายถึงรินน้ำทิ้งจากห้อมข้าวไม่ได้หมายความว่าเอาผ้ามาเช็ดน้ำออกไปจากหม้อเว่ย” ตุลาท่าจะโมโหหนัก เพราะเธอคงจะหิวข้าวแล้ว ฉันก็เลยเดินตามหาไม้เอามาขัดหม้อ และกำลังจะรินน้ำทิ้ง

“อย่างพึ่งอา” ตุลาเรียกอีกรอบ

“เอานี้รองน้ำข้าวไว้เผื่อหิวตอนกลางคืนดื่มแทนนม” ตุลาให้ฉันเอาหม้ออีกใบมารองน้ำข้าวไว้ จากนั้นก็เอาข้าวไปตั้งไฟอีกรอบ

ตุลาจัดการทอดไข่เจียวจากนั้นก็เอาผักลงไปผัดกับหมูที่พนิดาหั่นไว้เรียบร้อยแล้ว และสุดท้ายก็ทำต้มยำปลากระป๋องอีกอย่าง

กว่าข้าวมื้อนั้นจะได้กิน พวกฉันก็ต้องกินเหงื่อและน้ำตาแทนข้าวไปหลายหยดแล้ว

แต่มรสุมชีวิตยังไม่หมดแค่นั้นการกินข้าวที่ต้องกินแบบฉาก อะไรก็ตั้งฉากไปหมด ก่อนกินต้องมีการตบฉาก ยกฉาก และอะไรอีกหลายอย่าง กว่าข้าวจะเข้าปากได้ น้ำต้มยำก็หกเต็มโต๊ะ

พอครูอนุญาตให้กินได้ตามปกติ พวกเราก็ถอนหายใจกันแทบทุกคน ความที่หิวจนตาลายและความยากลำบากในการทำกับข้าว ทำให้เรากินข้าวแฉะๆ กันอร่อยอย่างที่ไม่เคยคิดว่าข้าวแฉะที่เราไม่เคยคิดจะกินมันจะอร่อยได้ถึงเพียงนี้

.............................

ช่วงกลางคืนต้องมีการอยู่ยามเฝ้าธงที่เสียบอยู่ที่ปลายไม้ง่ามที่เราเอามาพิงกันไว้อยู่ที่หน้าเต็นท์ เราต้องเฝ้ากันตั้งแต่สามทุ่มจนถึงตีห้า และตอนนี้ พวกเรากำลังจัดแบ่งเวรยาม

“แปดคนจะแบ่งคนละกี่นาที สามทุ่มถึงตีห้า กี่ชั่วโมง” นิพาดาที่พยายามนับจำนวนชั่วโมงหันมาถามเพื่อนๆ ที่นั่งล้อมวงกันอยู่ในเต็นท์

“แปดชั่วโมงพอดีไงเราอยู่กันคนละชั่วโมง ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ใครมีนาฬิกาปลุกบ้าง” ฉันเริ่มหาอุปกรณ์ช่วย

“เรามี” ตุลาล้วงไปในเป้หยิบนาฬิกาปลุกของเธอขึ้นมา

“ใครจะอยู่คนแรก เราอยู่คนแรกคงไม่ได้เพราะครูให้หัวหน้าไปเรียนดูเข็มทิศเราคงได้อยู่เป็นคนสุดท้าย” ฉันบอกกับเพื่อนๆ

“งั้นเราอยู่เอง” ตุลาเสนอตัว

จากนั้นเราก็ให้พนิดาอยู่คนที่สอง สกุนาเป็นคนที่สาม นันท์นลินเป็นคนที่สี่ พรสวรรค์เป็นคนที่ห้า ศุภดาเป็นคนที่หก สมสกุลเป็นคนที่เจ็ด และฉันอาคิราเป็นคนสุดท้าย

ฉันแบ่งเวรยามกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็รีบนอน ส่วนฉันก็นั่งรออยู่ที่หน้าเต็นท์เป็นเพื่อนตุลา อากาศที่เริ่มเย็นตัวลงทำเอาฉันกับตุลานั่งสั่นกันอยู่สองคน

“ไปเอาเตามาดีหรือเปล่าไม่อย่างนั้นหนาวตายแน่ๆ” ฉันเสนอเพราะว่าหากยังนั่งกันอยู่แบบนี้ไม่ใครก็ใครต้องตายกันไปข้างแน่นนอน

“ไปสิ เดี่ยวเราไปเป็นเพื่อน”

“ไม่ต้องตุลาเดี๋ยวเราไปเอง ตัวเฝ้านี้แหละ มันไม่ไกล เราให้พรสวรรค์ไปกับเราก็ได้” ฉันบอกแล้วก็เข้าไปในเต็นท์ ไปชวนพรสวรรค์ให้ไปเอาเตาอังโลมาวางไว้หน้าเต็นท์ และไม่ลืมที่จะเอาถ่านติดกลับมาด้วย

จากนั้นก็เห็นอีกหลายๆ หมู่ทำตามหมู่ของเราเพราะอากาศที่หนาวก็ทำเอาพวกเราย่ำแย่ไปตามๆ กัน

กว่าครูจะมาเรียกฉันให้ไปดูดาวก็ราวๆ หาทุ่มกว่าๆ ครูสอนให้ดูหมู่ดาวกลุ่มต่างๆ ในเดือนนี้เป็นเดือนมกราคมดาวนายพรานส่องแสงสว่างให้เห็นตั้งแต่หัวค่ำแม้ว่าฉันจะไม่มีความรู้เรื่องดวงดาว แต่ก็เห็นว่าดาวสวย

น้ำค้างเริ่มลงมากขึ้นจนเต็นท์ที่เรานอนมีน้ำหยดลงมาด้านใน

“ใครฉี่รดที่นอนนี่” นันท์นลินบ่นเพราะเธอรู้สึกว่าที่นอนข้างๆ ตัวเธอเปียกไปหมด

“ไม่มีใครฉี่หรอก น้ำค้างมันหยดลงมานะ” ฉันบอกเสียงงัวเงีย เพราะพึ่งจะล้มตัวลงมานอนได้ไม่นาน

“เหรอ แล้วเราต้องนอนตากน้ำค้างแบบนี้เหรอ” นันท์นลินยังบ่นไม่เลิก

ฉันลุกขึ้นมาเอาเชือกมาขึงด้านในเต็นท์อีกรอบและเอาผ้าเช็ดตัวของพวกฉันมาขึงด้านบนหัวนอนของพวกเรา อย่างน้อยก็ช่วยให้น้ำค้างที่หยดลงมาจากเต็นท์ไม่หยดลงมาบนหัวของพวกเรา แม้ช่วยได้ไม่มากแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย

ฉันตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนตีสี่ครึ่ง เสียงคนเดินมาข้างๆ เต็นท์ ทำเอาฉันนอนไม่หลับ สมสกุลก็เข้ามาบอกฉันว่าธงที่พวกเราเฝ้านั้นหายไปแล้ว ฉันตาสว่างในทันที

“โธ่เอ๊ยอุตส่าห์อดหลับอดนอนดันมาหายไปได้ พรุ่งนี้ก็ตายกันทั้งหมู่หรอก” ฉันแอบบ่น เพราะธงหายก็เท่ากับหมู่ของฉันไม่มีตัวตนแล้วในการเข้าค่ายครั้งนี้

“นี่พวกเราตื่นๆ เราโดนขโมยธงแล้วเราต้องไปเอาคืนหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง” ฉันบอกเพื่อนๆ ที่งัวเงียพอๆ กัน

“ทำไงหละอา ง่วงจะตายอยู่แล้ว”

“ต้องแกล้งไม่สบาย นิเธอต้องแกล้งไม่สบาย เรียกร้องความสนใจแล้วฉันกับตุลาจะไปเอาธงคืน” ฉันเสนอให้นิพาดาเจ้าแม่ขี้งอนประจำหมู่เป็นคนเล่นละครฉากนี้

“แล้วสมรู้ไหมใครเอาไป” ฉันหันไปถามสมสกุลที่นั่งตาตื่นเพราะตกใจไม่หาย

“รู้ครูเทียมเอาไป”

“งั้นทำตามที่เราวางแผนไว้นะ” จากนั้นพวกฉันก็ทำการประชุมด่วนให้นิพาดาแกล้งทำเป็นไม่สบายเรียกร้องความสนใจของครูทั้งหมด และฉันก็แอบเข้าไปในเต็นท์ใหญ่ของครู ไปหยิบธงของหมู่ฉันโดยไม่ลืมที่จะหยิบของหมู่อื่นกลับมาด้วยและเอาไปแจกคืนแบบเงียบที่สุด และฉันก็กลับมาที่เต็นท์ เป็นอันเสร็จพิธีการอันแยบยลของพวกฉัน

..............................

รอจนรุ่งเช้าพวกฉันก็ลุกไปแปรงฟันล้างหน้าและอาบน้ำโดยแบ่งกันไป เพราะธงยังไม่ได้เอากลับมาไว้ที่เดิม ฉันยังกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเอาธงไปใส่ไม้ง่ามเพราะหากครูรู้ว่าฉันไปขโมยธงกลับคงโดนตีแน่ๆ แต่จะให้ทำไงได้ ก็ครูมาขโมยของฉันไปก่อน ดาบนี้ต้องคืนสนองเล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับอาคิรา

เช้านี้ทำข้าวต้มสมใจฉัน ฉันกับตุลาหิ้วเอาเตากลับมาที่บริเวณทำกับข้าวเหมือนเดิม แต่ถ่านของเราก็จะหมดแล้ว เพราะเมื่อคืนทั้งคืนพวกเรานั่งผิงไฟจากเตาถ่านกันทุกคน ไฟในเตาไม่แรงพอ เราก็ต้องทำใจ วันนี้ข้าวจะออกมาแบบไหนเราก็ต้องทนกินเข้าไปก็ดีกว่าหิวตายก็แล้วกัน

ครูให้พวกเราไปหาของตามแผนที่โดยสอนพวกเราให้ดูเข็มทิศ โดยแจกองศากับจำนวนก้าวไว้ให้ ส่วนของที่เราจะต้องเอากลับมานั้นเราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

หลังจากนั้นเราก็เดินตามหาของที่เราต้องหา สถานที่ที่เราเดินตามใบบอกทางมาทั้งวันก็คือเต็นท์ใหญ่ของครู

“หรือว่าที่ครูให้หามันก็คือธงของเราเอง” ฉันบอกกับเพื่อนๆ

“สงสัยจะอย่างนั้นแน่ๆ เลยอา” ตุลาคล้อยตามความคิดของฉัน

“โถ่เว่ยอุตส่าห์ออกความคิดแทบตายที่จะขโมยธงกลับสุดท้ายก็ต้องเดินแทบตายเพื่อกลับมาที่เต็นท์ครูเพื่อเอาธงไป เวรกรรมจริงๆ ตรู” ฉันบ่นกับตัวเอง ทำเอาเพื่อนๆ ที่ได้ฟังต่างหัวเราะกันลั่นเต็นท์ใหญ่ของครูที่เราเรียกกันว่าเต็นท์อำนวยการ

“นั่นสิเราต้องกินยาแก้ปวดไปตั้งสองเม็ดขมจะตายไป” นิพาดาเริ่มบ่นอีกแล้ว

“เอาน่าอย่างน้อยวันนี้เราก็ไม่ต้องโดนทำโทษทั้งหมู่ก็แล้วกัน คืนนี้เราก็เฝ้ากันดีๆ อย่าให้ธงหายอีก ไม่อย่างนั้นเราจะแย่มากกว่าวันนี้หลายเท่า” ฉันบอกกับเพื่อนๆ

ไม่ได้ขู่นะแต่ฉันกลัวจริงๆ

........ จบบที่ ๘ ........




 

Create Date : 16 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 18 พฤษภาคม 2551 16:18:13 น.
Counter : 289 Pageviews.  

เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๗

บทที่ ๗

“อาหยุดก่อน”

ฉันหันหลังกลับไปดูพี่กิ้มที่ส่งเสียงเรียกฉันขณะกำลังเดินไปเข้าห้องน้ำ

“ทำไมเหรอพี่กิ้ม”

“ก็เรื่องที่บอกไงว่าจะจีบน้องษาตอนนี้ไม่แล้วนะ”

“อ้าวทำไมหละพี่หรือว่าปอดไปแล้ว”

“ก็รู้แล้วว่าน้องษาเป็นแฟนใครขอโทษด้วยนะที่ทำให้ไม่สบายใจ” พี่กิ้มจับหัวไหล่ฉัน ถึงแม้ว่าฉันจะตัวสูงเมื่อเทียบกับเพื่อนๆ แต่เมื่อมายืนอยู่ต่อหน้าพี่กิ้มฉันกลับตัวเล็กลงไปถนัดใจ

“พี่รู้แล้วเหรอ”

“ใช่ษาบอกแล้วว่าเป็นแฟนอา พี่ไม่รู้จริงๆ ขอโทษด้วย”

“ไม่เป็นไรพี่ เรื่องแค่นี้ก็พี่ยังไม่ได้จีบพี่ษาจริงๆ สักหน่อยแค่เริ่มต้นเฉยๆ”

“เกือบอยู่เหมือนกัน แต่พอษาบอกว่าเป็นแฟนอาพี่ก็เลยจอดสนิท ไปไหนไม่รอดเลย เก่งเหมือนกันนะเรานี่แฟนสวยเชียวอิจฉาเว่ย” แล้วพี่กิ้มก็หัวเราะเสียงดัง จนใครๆ แถวนั้นหันมามอง

ฉันก็ยืนบิดไปบิดมาอยู่ตรงหน้าห้องน้ำ

“เป็นอะไรบิดไปบิดมาเขินอะไรพี่หละอา พี่น้องกันไม่ต้องมาขงมาเขินอะไรหรอก” พี่กิ้มก็ยังคงเป็นพี่กิ้ม

“เปล่าไม่ได้เขินพี่ แต่ตอนนี้อาปวดท้องนะพี่ ไปก่อนนะ” ฉันรีบวิ่งจากพี่กิ้มมาแบบไม่คิดชีวิต เป้าหมายคือห้องน้ำห้องไหนก็ได้ที่ยังว่างอยู่ เพราะว่าฉันทนไม่ไหวแล้ว

.........................

หลังจากหมดงานฤดูหนาวไปแล้วงานต่อไปก็มีเพียงงานวันคริสต์มาสเท่านั้น ทุกๆ ปีก็เหมือนกันที่โรงเรียนของเราต้องจัดงาน ครูฤทัยที่สอนวิชาภาษาอังกฤษก็เข้ามาถามหานักเรียนไปแสดงละครภาษาอังกฤษ เรื่องคิงโซเลอมอน (King Solomon)

ฉันก็ไม่รู้หรือว่าคิงคนนี้เป็นใครมาจากไหน และครูก็เกณฑ์พวกฉันให้ไปยืนเป็นทหารถือไม้พลอง เป็นแถวยาวๆ เพื่อประกอบการแสดง บางคนก็เป็นต้นไม้ดอกไม้ตามแต่ท้องเรื่องจะพาไป

ฉันมารู้ในตอนหลังว่ากษัตริย์โซโลมอน เป็นกษัตริย์ของอาณาจักรฮิบรูหรือปาเลสไตน์ในปัจจุบันช่วงเวลาที่พระองค์ปกครองเมืองอยู่นี้ ปาเลสไตน์มั่งคั่งทางการค้ามาก พระองค์ทรงสั่งให้สร้างโบสถ์อันงดงามที่นครเยรูซาเลม แทนวิหารเก่าของชาวฮิบรู ทั้งยังทรงสร้างพระราชวังหรูหราเป็นที่ประทับ ในช่วงก่อนคริสตกาล

และไม้ในโบสถ์แห่งนี้ของพระองค์ในเวลาต่อมาก็คือไม้ที่ใช้สำหรับตรึงกางเขนของพระเยซูเจ้าในอีกหลายร้อยปีต่อมา (ตำนานเขาเล่าว่า)

ส่วนเรื่องที่พวกฉันเล่นก็เป็นตอนที่ กษัตริย์ โซโลมอนเสด็จประพาสดินแดนของราชินีชีบา ราชินีชีบาตัดสินใจลองภูมิกษัตริย์โซโลมอนด้วยการทดสอบและปริศนาหลายครั้งหลายข้อ แต่กษัตริย์โซโลมอนทรงสามารถผ่านการทดสอบและปริศนาแต่ละอย่างแต่ละครั้งแต่ละข้ออย่างง่ายดาย

จนกระทั่งพระนางชีบาทรงพาพระองค์ไปยังห้องหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้ พระราชินีทรงมีบัญชาให้ช่างฝีมือชั้นยอด และนักมายากลในอาณาจักร สร้างดอกไม้ขึ้นมาให้ดูเหมือนดอกไม้จริงๆ ในสวน

พระราชินีทรงตรัสว่า "การทดสอบข้อต่อไปก็คือขอให้พระองค์ทรงให้หาดอกไม้จริงๆ ที่มีเพียงดอกเดียวท่ามกลางดอกไม้ปลอมๆ ทั้งหมดที่มีอยู่ในห้องนี้ให้พบ"

กษัตริย์โซโลมอนทรงทอดพระเนตรมองดูดอกไม้แต่ละดอกอยู่นาน ทรงพยายามมองหาความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ไม่พบข้อแตกต่าง แม้พระองค์จะพยายามดมกลิ่นก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าคือดอกไหน เพราะห้องทั้งห้องกรุ่นกลิ่นหอมอบอวลไปหมด และไม่นานพระองค์ก็ทรงตรัสขึ้นมาว่า

"กรุณาเถิดพระนางด้วยว่าห้องนี้ร้อนนัก เราเปิดม่านให้อากาศเข้ามาจะได้ไหม อากาศสดชื่นจะช่วยให้สมองของข้าปลอดโปร่งยิ่งขึ้น"

ราชินีชีบาทรงยินยอมด้วยดี และในไม่กี่นาทีหลังจาก ม่านเปิดออกแล้ว กษัตริย์โซโลมอนทรงรู้ว่าดอกไหนเป็นดอกไม้จริงดอกเดียวท่ามกลางดอกไม้มากมาย

นักแสดงตัดฉากนั้นลงและหันมาถามผู้ชมที่นั่งดูอยู่อย่างตั้งใจว่า

“พวกคุณรู้หรือไม่ว่าพระองค์ทรงทราบได้อย่างไรว่าดอกไม้ดอกไหนคือดอกไม้จริง”

นักเรียนทุกคนมองหน้ากันและไม่มีคำตอบแต่อย่างใด

จากนั้นก็มีนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่แสดงเป็นผึ้งตัวน้อยๆ โบกโบยบินไปมาเพื่อไปดอมดมดอกไม้ที่เพื่อนฉันคนหนึ่งแสดงเป็นดอกไม้ดอกนั้น

ทุกคนก็เดินทางมาถึงบางอ้อกันเป็นแถว เพราะผึ้งนี่เองที่เป็นตัวบ่งบอกว่าดอกไม้ดอกไหนคือดอกไม้จริง

การแสดงจบลงเพียงเท่านั้นเหล่านักเรียนที่ร่วมแสดงก็ออกมาโค้งคำนับผู้ชมที่นั่งดูอยู่รวมถึงฉันด้วย

.....................................

วันนี้ก็เหมือนกับทุกปีไม่มีการเรียนการสอนมีแต่กิจกรรมให้พวกเราได้เล่นกันอย่างสนุกสนาน สอยดาว เล่นบิงโก ปาเป้า เก้าอี้ดนตรี โยนห่วงครอบขวด ปากระป๋อง

รางวัลใหญ่ก็เหมือนเดิมคือตุ๊กตาตัวโตๆ เด็กผู้หญิงคนไหนบ้างจะไม่ชอบตุ๊กตา ถึงแม้ฉันจะดูห้าวๆ ไปสักนิดแต่ตุ๊กตากอดได้ตัวนิ่มๆ ฉันก็ยังชอบอยู่กับเขาเหมือนกัน

เล่นกันทั้งวันจนเบื่อการเล่นฉันกับเพื่อนๆ ก็เดินออกไปซื้อน้ำแข็งใส นานๆ ในโรงเรียนจะมีน้ำแข็งใสสีสวยๆ ราดด้วยน้ำข้นมาขายสักครั้ง ก็คิดดูแล้วกันคะ น้ำอัดลมก็ไม่มีขาย เด็กๆ ก็มักจะชอบกินน้ำที่มีรสหวานมากว่าน้ำเปล่า หรือน้ำผลไม้จริงไหมคะ

เราถือถ้วยน้ำแข็งใสออกมานั่งกินที่โต๊ะในโรงอาหารและก็กินไปบ่นไป

“หว๊าน หวาน สุดยอดจริงๆ” รมณที่ร้องออกมาดังๆ ทำเอาเพื่อนๆ ขำกับท่าทางของเธอ

“มากไปแล้วมนอะไรจะขนาดนั้น ก็แค่น้ำแข็งใส” ภรณีวันนี้แต่งตัวได้หล่อมากๆ ตามสไตล์ของเธอแอบแขวะรมณ

“ก็จะไม่ให้พูดได้ไงหละฉันนะเด็กหอเว่ย กว่าจะได้กินอะไรแบบนี้เรียกได้ว่ารอแล้วรออีกจนฉันจะกลายเป็นแมลงสาปตากแห้งแล้ว” รมณพูดซะจนพวกฉันเห็นภาพ

“แกก็เกินไป” ขวัญหทัยคัดค้านในทันที

“ก็จริงนี่แก ฉันนะกินแต่อาหารหลุมอย่างกับเป็นหมู กินข้าวในราง”

“พูดดีไปเถอะเดี๋ยวป้าแม่บ้านได้ยินแกได้กินอาหารหมูแน่ๆ ไอ้มน”

“กินไม่กลัวกลัวไม่ได้กินเว่ย” รมณยังทำท่าซ่าไปตามเรื่องตามราว

ฉันเข้าใจจิตใจของรมณดีเพราะรมณมาบอกฉันเสมอๆ ว่าเธอเบื่อกับข้าวของโรงเรียน บางครั้งพวกฉันก็ต้องซื้อขนมอร่อยๆ มาฝากเธอบ้าง เพราะเอามาแลกกับการลอกการบ้าน ที่รมณเป็นต้นฉบับ

เด็กหอก็มักจะเรียนเก่งแบบนี้ เข้านอนเป็นเวลา กินเป็นเวลา อาบน้ำเป็นเวลา และทำอะไรเป็นเวลามาตลอด ฉันเคยถามรมณว่าทำไมไม่ย้ายออกไปอยู่หอนอก คำตอบเดียวที่เธอตอบมาก็คือ “พ่อไม่ให้”

ตั้งแต่เกิดเรื่องของหงส์หยก พวกเราก็โดนจับตามองกันอยู่เสมอๆ เพราะกลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ฉันว่าไอ้ที่ซ้ำรอยนะอาจซ้ำ แต่จะเป็นการซ้ำกับเพศเดียวกันมากกว่า

การที่พ่อแม่ไม่ยอมให้พวกเราไปคบหาพวกผู้ชาย นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่งที่พวกเราไปไหนมาไหนกันเอง ความสนิทสนมมากกว่าคำว่าเพื่อนก็เกิดขึ้นกับหลายๆ คู่ในโรงเรียนฉัน

รมณเคยมาเล่าแบบติดตลกว่าเด็กหอหลายๆ คู่มีอะไรกันในหอนอน พวกฉันก็อยากรู้อยากเห็นว่าเค้าทำอะไรกัน

“รู้ว่ามีอะไรกันแต่ไม่เห็นนะ พวกเค้าคลุมโปงนะแก ได้ยินเสียง ซี๊ด ซ๊าด ตอนแรกก็นึกว่าใครแอบมากินลาบในห้องนอนเว่ย ที่ไหนได้พอพวกฉันย่องไปดูกลับกิน ส้มกันซะงั้น”

“แล้วไงกินส้มแล้วเปรี้ยวซี๊ดซ๊าดปากมันผิดตรงไหนหละมณ” ฉันที่ไม่เข้าใจความหมายที่รมณสื่อก็ถามขึ้นเพราะมันไม่เห็นจะแปลกอะไรเลยสักนิด

“ไอ้อาแกไปมุดอยู่โข่ไหนมานี่ ที่ฉันเรียกว่าส้มนะมันคือน้องหนูเว่ยเพื่อน งี่เง่าจริงๆ เลยเพื่อนตรู”

เพื่อนในกลุ่มหันมามองหน้าฉัน ที่ไม่เข้าใจความหมายหรือคำศัพท์อะไรกับเขาเลยสักครั้ง หากว่าพวกเราพูดทะลึ่งทะเล้นอะไรฉันก็ไม่เคยจะเข้าใจกับใครสักเรื่องจนเพื่อนๆ ต้องหันมาอธิบายฉันตัวต่อตัวมาโดยตลอด

“อะหรือแกไม่เคยกิน” ภรณีหันมาถามคำถามฉันบ้าง

ฉันส่ายหน้าและหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะตอบว่า “ไม่เคย”

“เอ๊ย!!! ทำไมช้านักระวัง โดนคนอื่นงาบนะเพื่อน” ภรณีร้องลั่น

“ตกใจอะไรนักหนา ไม่เคยจริงๆ เพื่อน มันยังไม่ถึงเวลาของฉัน” ฉันชักหมั่นไส้ภรณีขึ้นมาตะหงิดๆ จะมาทำเป็นรู้มากรู้ดีไปกว่าฉันได้ไง

“เวลาอะไรของแกวะอา หรือว่ารอเวลาตกไข่ ฮ่าๆๆๆ”

“เอาน่ายังไม่ถึงเวลาก็แล้วกัน” ฉันตัดบทเพราะยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าตัว

ใครจะรู้สึกเหมือนฉันหรือเปล่านะว่าความรักมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความใคร่เพียงอย่างเดียว

.........................

ใกล้วันเข้าค่ายเนตรนารีของโรงเรียนอีกครั้ง ครูบอกว่าทุกคนต้องมีไม้ง่าม ฉันเดินไปสวนหลังบ้านไปตัดกิ่งฝรั่งที่ดูยาวๆ มาสองกิ่งแล้วก็เอามาวางไว้ข้างบ้าน เผื่อพี่ภาด้วยอีกกิ่งนึง

พี่ภาปีนี้สูงกว่าปีที่แล้วเกือบสิบเซ็นเรียกว่าสูงปรี๊ด จนฉันไล่ตามไม่ทัน พี่ภาดื่มนมทุกวัน เห็นได้ชัดว่าสูงแบบเสาไฟฟ้าเลย ฉันเห็นพี่ภาสูงขึ้นก็เลยดื่มนมกับพี่ภาบ้าง มันอาจจะไม่ทันการแต่ก็พอช่วยได้บ้าง

แม่เคยบอกว่าเพราะฉันไว้ผมยาวเกินไป ก็เลยไม่รู้จักโตอาหารที่กินเข้าไปเอาไปเลี้ยงผมหมด ส่วนพี่ภาผมไม่ยาวมากเท่าฉันเปียได้สองสามข้อพี่ภาก็พอใจแล้ว แต่ฉันสิผมยาวถึงเอว กว่าจะหวีผมเปียปมเสร็จก็เล่นเอาเสียเวลาไปนานในตอนเช้า

“แม่จ๋าอาจะตัดผม”

“อ้าวทำไมหละอาไหนว่าชอบไว้ผมยาว” แม่หันมาถามฉันเพราะฉันไม่เคยตัดผมมานานหลายปีแล้ว

“อาอยากสูงแบบพี่ภาบ้างนะแม่ ตอนนี้อาเตี้ยแล้วพี่ภาสูงอย่างกะเสาไฟ อาไม่ยอมอะแม่อาจะสูงแม่ตัดผมให้อาเลยนะ” ฉันอ้อนแม่

“แล้วตอนนี้อาสูงเท่าไหร่แล้ว”

“สูงร้อยหกสิบเองแม่แต่พี่ภาสิสูงตั้งร้อยหกสิบห้า”

“เอาตัดก็ตัดแล้วอย่ามาโทษแม่นะว่าแม่ตัดสั้น แล้วอาจะเอาสั้นแค่ไหน” แม่ถามฉันอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“เท่าติ่งหูเลยแม่ เอาสั้นๆ เลย” ฉันบอกแม่ ทำเอาแม่ฉันแทบถลนตาใส่

“จริงเหรออา ตัดสั้นขนาดนั้นเลยเหรอ” แม่ถามย้ำ และหยิบกรรไกรมาถือไว้ในมือ

“สั้นแบบนั้นเลยแม่ แต่ให้มัดจุกได้ก็แล้วกัน” ฉันหลับปี๊ตาขณะที่แม่ตัดผมให้

เสียงกรรไกรดัง “ขวับๆ” ตลอดเวลาที่ฉันนั่งหลับตาอยู่ มันช่างเสียดแทงไปถึงหัวใจ ฉันรักผมมากพอๆ กับรักการปีนป่ายเล่นบนต้นมะม่วงหลังบ้าน

“เอ๊าเสร็จแล้วลืมตาแล้วไปล้างผมได้แล้วอา” แม่บอกฉัน

ฉันเดินหัวเบาๆ เข้าห้องน้ำไปและก็ต้องพบกับความแปลกใหม่เมื่อฉันก้มลงเพื่อที่จะล้างผม น้ำตาแทบร่วง ผมฉันหายไปแล้วตอนนี้ ไม่เป็นไร สั้นได้ก็ยาวได้อาคิรา

ฉันได้แต่บอกตัวเองแบบนี้เพื่อเป็นการปลอบใจ

ล้างผมเสร็จฉันก็ออกไปเกลาไม้ฝรั่งที่ตัดมาทำให้พี่ภาก่อนแล้วกัน

“พี่ภาออกมาหน่อยมาวัดไม้ง่ามหน่อย” ฉันจะโกนเรียกพี่ภาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน

พี่ภามายืนวัดไม้ง่ามอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พูดว่า

“ตัดผมสั้นๆ แบบนี้นี่จะเป็นทอมบอยหรือไงอา หรือจะเลียนแบบพี่ปุ๊” พี่ภาพูดถึงนักร้องขวัญใจของพวกเราที่ท่าทางออกมาดทอมบอย และมีเอกลักษณ์ของตัวเองเด่นชัด

“เปล่านี่อายสูงแบบพี่ภาต่างหาก แม่บอกว่าให้อาตัดสั้นๆ อาหารที่กินเข้าไปมันจะได้ไม่ไปเลี้ยงผม มาเลี้ยงกระดูกอาให้สูงเท่าพี่ภาเร็วๆ ไงหละ”

“อ่อเหรอ นึกว่าอยากเป็นทอมบอยแบบณี งั้นก็แล้วไป แล้วจะทาสีเมื่อไหร่ก็บอกพี่แล้วกัน พี่ไปทำการบ้านต่อก่อนนะ”

“สีคงทาพรุ่งนี้หละพี่ วันนี้คงทาไม่ได้เพราะไม้มันยังไม่แห้งเลย”

ฉันก็หันมาเกลาไม้ง่ามอันของฉันต่อ เพราะตอนนี้เหลืองานนี้เพียงงานเดียวเท่านั้นที่ฉันต้องทำ เพราะงานอื่นๆ เสร็จไปแล้วตั้งแต่อยู่ที่โรงเรียน เพราะฉันไม่ได้ซ้อมดนตรีเวลาว่างก็เลยมีมากขึ้น

....................

เพื่อนๆ มองหน้าฉันที่ตอนนี้ไม่มีผมเปียเลียใบตอง พระตีกลองตะลุมตุ่มโมงอีกต่อไปแล้ว ฉันกลายเป็นไอ้จุกผูกโบว์น้ำเงินไปแล้ว

“เฮ้ยไปตัดผมทำไม” ภรณีวิ่งหน้าตื่นมาหาฉัน

“หรือว่าพี่เค้าตัดรักแกเลยตัดผมเหมือนตัดสวาท”

“เปล่า อยากสูง”

“ห๊าว่าไงนะ ที่ไปตัดผมนี่เพราะว่าอยากสูงเหรอ”

“อืมใช่สิ ฉันอยากสูง” ฉันพยักหน้า

“เออคิดอะไรแปลกๆ นะแก แปลกคนดี ตัดผมเพราะอยากสูง ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะนี่ นึกว่าแบบในหนังจีนตัดผมเหมือนตัดสวาท” ภรณีเดินหันหลังกลับไปแล้วก็บ่นไปเรื่อยเปื่อย

พี่แสงอุษาเดินมาหาฉันและจับท้ายทอยที่ไร้เส้นผมของฉันลูบและบีบเบาๆ

“ตัดผมมาเหรอ ได้ยินว่าอยากสูงทำไมหละ” เธอถามฉันด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความเอ็นดูเหมือนว่าฉันเป็นน้องแท้ๆ ของเธอจริงๆ

“ก็พี่ภานะสิสูงเรื่อยๆ ส่วนอาไม่ยอมสูงสักที ก็เลยตัดผม เผื่อมันจะโตกับเค้าบ้าง เพราะตั้งแต่ขึ้นมอหนึ่งมานี่อาไม่สูงขึ้นเลยสักเซ็นเดียว”

“แค่นี้ก็โตแล้ว จะโตเท่าไหนอีกนี่พี่ก็ต้องไปตัดบ้างสินะจะได้สูงด้วยเพราะพี่ก็ไม่สูงขึ้นเหมือนกัน”

“อย่าตัดนะ อาชอบให้พี่ไว้ผมยาว”

“เอ๊าทีอายังไปตัดผมได้ไม่ถามพี่สักคำว่าพี่ชอบอาไว้ผมสั้นหรือผมยาว แล้วพี่จะไปตัดบ้างอาจะมาห้ามพี่ได้เหรอ”

“นั่นสินะ อาจะไปห้ามพี่ได้เหรอ งั้นแล้วแต่พี่เถอะค่ะ อาไม่ห้ามพี่แล้วก็ได้ แต่อาเสียดายเท่านั้นเอง” ฉันเสียงอ่อยลงไปมาก

เสียงกริ่งให้เข้าแถวเคารพธงชาติตอนเช้าดังขึ้นแล้ว ฉันยืนเข้าแถวประจำที่และพี่แสงอุษาก็เดินกลับไปที่แถวของเธอ ยังไงฉันก็ไม่คุ้นกับผมที่ตัดให้สั้นแบบนี้อยู่ดี ต่อให้คิดเข้าข้างตัวเองว่าหัวมันไม่หนักแบบเดิมแล้วก็ตาม

.........................

ฉันกลับบ้านพร้อมพี่ภาเพราะพี่ษาบอกว่าเธอต้องอยู่เรียนคำสอน ฉันก็ไม่เข้าใจว่าคำสอนคืออะไร ไว้พรุ่งนี้ค่อยถามพี่ษาก็แล้วกันว่าคำสอนที่ต้องเรียนนั้นเป็นคำสอนของใคร และต้องเรียนไปทำไม

ฉันกลับมาที่บ้านและลงมือทาสีไม้ง่ามเพราะกลัวว่าจะแห้งไม่ทันใช้ในวันพฤหัส นี่ก็วันอังคารแล้ว หากไม่รีบทาก็คงไม่แห้งแน่ๆ ฉันเดินหาสีน้ำมันสีขาวจากหลังบ้านมาทาเพราะจำได้ว่าปีที่แล้วฉันเอามาเก็บไว้ที่นี่ แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง ในลังไม้ มันก็คือลูกข่างที่ฉันไม่ได้เล่นมานานแล้ว

ลูกข่างอันนี้จำได้ว่าเมื่อปล่อยให้มันหมุนรอบตัวเองมันจะมีเสียงวิ้งๆ ออกมาด้วย ฉันเก็บลูกข่างไว้ในกระเป๋ากางเกง และตั้งใจว่ามาสีเสร็จจะกลับมาเล่นลูกข่างซะหน่อยเพราะว่าตอนนี้ฟ้ายังไม่มืดเลย ตั้งแต่กลับบ้านเร็วๆ ฉันก็เหมือนคนไม่มีอะไรทำ

กว่าจะขัดไม้ง่ามด้วยกระดาษทรายเสร็จก็เล่นเอาฉันเหงื่อตก ฉันให้พี่ภามาช่วยกันทำ คำตอบคือไม่ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่าถ้าฉันทำไม้ง่ามให้ พี่ภาจะรีดผ้าให้ฉัน

ข้อต่อรองแบบนี้มีหรืออาคิราจะปฏิเสธ เพราะเรื่องรีดผ้าสำหรับฉันเป็นงานช้างนะไม่ใช่งานหมู กว่าจะรีดกระโปรงเสร็จแต่ละจีบ มันยากกว่าการเอากระดาษทรายมาขัดไม้เป็นไหนๆ

ถึงขั้นตอนต้องทาสีแล้วเพราะไม้ง่ามนั้นจัดจนเกลี้ยง ไม่มีเสี้ยนให้ตำมือ ของมันแน่อยู่แล้วก็อาคราซะอย่างสบายไปร้อยแปดอย่าง

อุ้ย ยกหางตัวเองอีกแล้วแม่อาคิราสุดสวย

ไม้ง่ามฝีมือของฉันก็เสร็จสมบูรณ์ลงทุกกระบวนความ

เสียงรถมอเตอร์ไซด์แล่นเข้ามาในบ้าน ฉันก็ไม่ได้สนใจเพราะว่าฉันอยู่หลังบ้าน สักพักก็ได้ยินเสียงคุ้นๆ ทักทายแม่ฉัน และถามหาฉันว่าอยู่ที่ไหนได้ยินเสียงพี่ภาตอบว่าอยู่หลังบ้าน แล้วเสียงสนทนาก็เงียบลง

“อาทำอะไร” เสียงทักทายทำเอาฉันสะดุ้งโหยง

“กำลังทาสีไม้ง่าม” ฉันตอบไปโดยที่ไม่ได้หันหลังกลับมาดูว่าใครเป็นคนถาม

“ไม่ทักทายกันเลยนะเพื่อน” เท่านั้นฉันก็หันกลับไปเห็นหงส์หยก เธอยืนใส่ชุดคลุมท้องอยู่ข้างหลังฉัน

“เอ๊ยหงส์มาได้ไง อย่าบอกนะว่าขี่มอไซด์มา”

เธอไม่ตอบแต่พยักหน้าช้าๆ

“ตายแล้วหงส์ท้องไส้ขี่มอไซด์มาได้ไงกัน แล้วนี่แกแข็งแรงดีแล้วเหรอ ยังแพ้ท้องอยากกินมะม่วงอีกหรือเปล่าฉันจะได้ไปเก็บมาให้ จะเอากี่ลูกหละ” ฉันกำลังจะหันหลังเดินไปหลังบ้านเพื่อเก็บมะม่วงให้หงส์ แต่เธอก็ฉูดข้อมือของฉันเอาไว้

“ไม่ต้องหรอกอา เราจะมาบอกอาว่าเราจะไปอยู่ฮ่องกง เรามาลาเพื่อนก่อนไป”

“ทำไมต้องไปด้วยหละหงส์ แล้วไปอยู่ที่โน่นหงส์จะไปทำอะไร” ฉันถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง

“ไปทำร้านอาหาร อาปาเค้ามีพี่ชายทำอยู่พวกเราจะย้ายกันไปหมดบ้านนี่แหละ” หงส์บอกฉันสีหน้าเศร้าๆ

“ฉันเข้าใจดีหงส์ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันทำให้ครอบครัวของหงส์อยู่ไม่ได้ แต่หงส์จะไปฟังคำคนอื่นทำไมกัน ไม่เอาไอ้หมอนั่นเข้าตารางไปเลยหละก่อนไป” ฉันยังคงอาฆาตผู้ชายเฮงซวยคนนั้นอยู่ดี

“ช่างมันเถอะอา เรื่องมันผ่านไปแล้ว ทุกวันนี้เราก็อยู่เพื่อลูกของเรา นี่กำลังเริ่มจะดิ้นแล้วนะอา” เธอจับมือฉันไปวางไว้ที่ท้องของเธอ และฉันก็รู้สึกว่ามีอะไรดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ในนั้น

“อุ้ยดิ้นได้ด้วย เจ็บรึเปล่านี่” ฉันรู้สึกตื่นเต้นเพราะไม่เคยจับท้องของใครที่มีเด็กอยู่ในท้องแบบนี้

“ไม่เจ็บหรอก แค่ตึงๆ”

“กี่เดือนแล้วหงส์แล้วนี่จะคลอดเมื่อไหร่” ฉันแหงหน้าที่กำลังก้มลงไปดูท้องของหงส์ขึ้นมามองหน้าเธอ ประจวบกับหงส์ก้มลงมาดูฉันพอดี จมูกของเราสองคนก็เลยเฉียดแก้มกันไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ขอโทษนะเราไม่ได้ตั้งใจนะหงส์”

“ไม่เป็นไรเพื่อน อาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เรื่องแค่นี้สำหรับเพื่อนสบายมากไม่ต้องกังวล ตอนนี้ก็หกเดือนแล้ว อีกสามเดือนเราก็คลอดแต่คงไปคลอดที่โน่นราวๆ มีนาเมษาก็คงคลอดแล้ว ไม่ได้คลอดเมืองไทยหรอก”

“ทำไมต้องไปคลอดที่โน่นหละหงส์ เด็กก็ไม่ได้เป็นคนไทยสิ”

“ไงเราเองก็ไม่ได้เป็นคนไทยอยู่แล้วนี่อา เพราะปาเราก็เป็นคนฮ่องกง แม่เราก็เป็นคนจีน เราต่างหากมาเกิดเมืองไทย ปาบอกว่าเราจะกลับไปบ้านเมืองของเรา เราคงคิดถึงอากับเพื่อนๆ มากเลยหละ”

“แล้วนี่จะไปเมื่อไหร่ก่อนไป พวกเราไปกินข้าวบ้านหงส์ได้หรือเปล่าไปวันเสาร์ก็ได้”

“ไม่ทันแล้วหละเราจะไปพรุ่งนี้แล้ว เรามาลาอาคนเดียวเท่านั้นและเราฝากนี่ไว้ให้เพื่อนๆ ได้อ่านด้วย ขอบคุณมากๆ นะที่ช่วยเรา ถ้าไม่มีพวกอาเราก็คงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงวันนี้”

“เราเข้าใจเพื่อน เราเข้าใจดีเลยหละ” ฉันบีบมือหงส์หยกแน่นน้ำตาของเพื่อนสองคนไหลออกมาไม่หยุด

“เราคงต้องไปแล้วเพื่อนลาก่อน” หงส์หยกลุกขึ้นและทำท่าจะเดินจากไป ฉันคว้าหงส์หยกเข้ามากอดและตบหลังเธอไปเบาๆ

“ลาก่อนเพื่อนแล้วเขียนจดหมายมาบ้างนะถ้ามีเวลา”

ฉันเดินไปส่งหงส์ที่รถของเธอ ท่าทางของหงส์ดูอุ้ยอ้าย แม้ว่าจะท้องได้แค่เพียงหกเดือน แต่ท้องก็ดูใหญ่โตจริงๆ

ฉันยืนมองหงส์ที่ขี่มอเตอร์ไซด์ออกจากบ้านฉันไปจนลับตา และเดินกลับเข้าบ้าน

“สงสัยจะลูกผู้ชายนะนี่” แม่พูดขึ้น

“ทำไมหละแม่แล้วแม่รู้ได้ไงว่าคะว่าเด็กจะเป็นผู้ชาย”

“ก็ท้องแหลมขนาดนั้น ไม่กลมๆ แม่ท้องลูกสาวมาสองคนไม่เห็นเหมือนท้องของหงส์ แหลมๆ แบบนี้แม่ว่าผู้ชายแน่ๆ เลย”

แม่อธิบายให้ฉันได้เข้าใจ เพราะฉันเองก็แปลกใจว่าผู้ใหญ่เค้าดูเด็กว่าเป็นเพศไหนได้ตั้งแต่อยู่ในท้องเลยหรอนี่ ช่างเก่งจริงๆ

“แล้วหงส์มาทำไม” พี่ภาที่นั่งอยู่กับแม่ก็ถามฉันอีก

“หงส์เค้ามาลา หงส์จะไปอยู่ฮ่องกงพรุ่งนี้แล้ว หงส์ฝากสมุดมาให้เพื่อนๆ อ่าน” ฉันยื่นสมุดในมือให้พี่ภา

เธอพยักหน้ารับรู้แล้วก็เปิดอ่านผ่านๆ

ฉันเดินกลับมาที่หน้าบ้านแหงนหน้ามมองท้องฟ้า คืนนี้ฟ้าไร้เดือนมีแสงดาวพร่างพราย ระยิยระยับเต็มท้องฟ้าไปหมด แสงดาวสวยแต่ทำไมจิตใจของฉันห่อเหี่ยวอย่างบอกไม่ถูกแบบนี้นะ

...... จบบทที่ ๗ ......




 

Create Date : 14 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 18 พฤษภาคม 2551 16:20:38 น.
Counter : 362 Pageviews.  

เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๖

บทที่ ๖

เรื่องของหงส์หยกก็เป็นที่พูดคุยอย่างสนุกสนานของคนที่ไม่ได้ใกล้ชิดเธอ ฉันได้ยินแล้วก็รู้สึกสงสารหงส์หยกขึ้นมาจับใจ ดีแล้วที่หงส์หยกลาออกไปซะก่อนที่เรื่องมันจะบานปลายไปมากกว่านี้

ฉันจะหงุดหงิดทุกครั้งที่ได้ยินคนพูดถึงเรื่องนี้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

ปากคนยาวกว่าปากกา นี่ก็คือเรื่องจริง

จากเรื่องเล็กๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่ บางคนก็พูดว่าหงส์หยกโดนข่มขืนจากใครก็ไม่รู้ เมื่อตอนกลับบ้านดึกๆ วันที่ซ้อมดนตรี

บางคนก็พูดว่าหงส์หยกใจแตกไปแย่งสามีชาวบ้านมาแล้วเค้าก็ไม่เอา

บางคนแสบกว่านั้น บอกว่าหงส์หยกขายตัวแล้วก็พลาด จนตั้งท้องแล้วอยู่สู้หน้าพวกเราไม่ได้ พอครูจับได้ก็เลยต้องลาออกไปจากโรงเรียน

โลกหนอโลก

ฉันนึกถึงคำกลอนที่เคยได้ยินบ่อยครั้งว่า

“นินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดไปกรีดหิน แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะสิ้นคำนินทา”

กวีท่านนี้ช่างเก่งเหลือเกินที่คิดเป็นกลอนให้เราได้ท่องจำกันได้

ฉันคิดอยู่เสมอว่าหงส์หยกจะเลี้ยงลูกอย่างไรด้วยวัยเพียงสิบสามปี และจะไปทำอาชีพอะไรถ้าเธอต้องออกไปเผชิญโลกใบกว้างเพียงลำพัง แล้วเธอจะตอบลูกว่าอย่างไรถ้าลูกถามถึงพ่อที่ไม่รับผิดชอบคนนั้น

ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมโลกไม่ยุติธรรมกับมนุษย์เพศแม่ ที่ต้องอุ้มท้องเก้าเดือนและเลี้ยงดูมนุษย์เพศชายให้มาทำร้ายเพศหญิงแบบนี้

ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

จากวันนั้นฉันไม่เคยมีความคิดในหัวสมองอีกเลยว่าจะต้องแต่งงานกับผู้ชาย ฉันเหมารวมเอาว่าผู้ชายก็เหมือนกันทุกคนในโลก แต่ก็ยกเว้นพ่อของฉันไว้หนึ่งคนก็แล้วกัน

เมื่อใดที่ฉันเห็นเด็กนักเรียนผู้หญิงกับผู้ชายเดินจูงมือกัน ฉันแทบอยากไปลากเด็กนักเรียนหญิงคนนั้นออกมาแล้วบอกว่าอย่าไปไว้ใจนะมันจะทำให้เธอท้องไม่มีพ่อแบบที่เพื่อนฉันเป็น

แต่ฉันก็ทำไม่ได้ เพราะฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทำอะไรแบบนั้น

ชีวิตก็ยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ตามวันและเวลา

..................................

วันลอยกระทงที่โรงเรียนของเราส่งกระทงเล็กเข้าประกวด พวกฉันต้องไปเดินพาเรทนำขบวนให้กับนักเรียน เดินจากหอนาฬิกาไปจวนผู้ว่าที่อยู่ริมแม่น้ำ

เพื่อนๆ ในขบวนเห่ต่างก็แต่งกายด้วยชุดพื้นเมือง ส่วนพวกฉันใส่เสื้อม่อฮ่อม เตี่ยวสะดอ เพราะจะให้พวกฉันนุ่งผ้าซิ่นแล้วมาเดินเล่นดนตรีคงไม่ค่อยจะน่าดูเท่าไหร่นักเพราะคงหลุดลุ่ยตั้งแต่ยังไม่ได้ตั้งกระบวน

กว่าเราจะไปถึงจวนก็เกือบสามทุ่ม

ทุกคนรีบเก็บเครื่องดนตรีไว้ที่รถ และฉันเองก็เช่นกันแต่รถที่เอาเครื่องดนตรีมาเก็บเป็นรถที่เล็ก ฉันก็เลยให้เพื่อนๆ บางคนที่ไม่ได้เอารถเก็บไว้ที่โรงเรียนกลับบ้านไปเลย ส่วนฉันก็กลับไปที่โรงเรียนกับเพื่อนๆ อีกไม่กี่คนเพื่อเอาเครื่องดนตรีไปเก็บและกลับไปเอารถด้วยเช่นกัน

“จะไปไหนเหรอสาวน้อย” พี่แสงอุษาที่ยืนอยู่ท้ายรถถามฉัน

“จะเอาเครื่องดนตรีไปเก็บที่โรงเรียนนะพี่แล้วก็กลับไปเอารถด้วย ไงพี่ษาช่วยไปส่งพี่ภากลับบ้านด้วยแล้วกันนะ” ฉันบอกพี่แสงอุษาเพราะรถกำลังจะออกแล้ว

“จะรอที่นี่นะ แต่จะไปส่งภากลับบ้านก่อน”

“ค่ะพี่” ฉันตอบไปได้เพียงแค่นั้นก็รถก็เคลื่อนตัวออกจากที่จอดมุ่งหน้าสู่โรงเรียนของเรา

..................................

ฉันกลับมาถึงริมแม่น้ำก็ราว ๆ สี่ทุ่มกว่า เห็นพี่แสงอุษายืนดูคนปล่อย **สะเปา แบบโบราณลงในแม่น้ำ

**สะเปา หมายถึง เรือสำเภาในภาษาพื้นเมืองล้านนา การล่องสะเปาคือการทำทานอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ สิ่งที่ใช้ทำสะเปาได้แก่การใช้กาบกล้วย มะละกอ ไม้ไผ่ หรือกระดาษแก้วใส ตกแต่งและประดับประดาด้วยดอกไม้ หรือใช้กระดาษสีตัดเป็นลวดลายต่างๆ ติดด้านข้างลำสะเปา นอกจากนี้ยังมีสิ่งของอื่นๆ ที่มักใส่ลงไปในสะเปาด้วย เช่น ข้าวสุก กล้วย อ้อยควั่น ข้าวต้มจิ้ม น้ำตาล เกลือ ยาสูบ หมาก พลู ดอกไม้ ธูป เทียน และรูปสัตว์ต่างๆ เป็นต้น เพราะเชื่อกันว่าผู้ล่วงลับที่ได้อุทิศส่วนกุศลหรือทำทานไปให้ จะนำสิ่งของเหล่านั้นไปใช้ในอีกภพหนึ่ง

**ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ฉันยืนมองสะเปาโบราณอยู่ริมตลิ่ง พระจันทร์ดวงโตส่องแสงสะท้อนอยู่ในแม่น้ำวัง แม่น้ำที่หล่อเลี้ยงคนลำปางมาเป็นเวลาหลายร้อยปี

นางนพมาศของฉันยืนอยู่ตรงริมตลิ่งแห่งนี้ ฉันเดินลงไปหาเธอและมองเธอห่างๆ อยู่นาน จนเธอหันมาเห็นฉันจึงได้ทักขึ้น

“มานานแล้วเหรออา”

“คะพี่” ฉันสะดุ้งโหยงเพราะไม่คิดว่าเธอจะเห็นฉันเร็วขนาดนี้

“แล้วทำไมไม่เรียกพี่หละ”

“เรียกได้เหรอพี่ ก็อาเห็นพี่ยืนดูเค้าปล่อยสะเปาลงน้ำอยู่เพลินๆ เลยไม่อยากเรียก”

“เรียกได้สิ เพราะพี่ก็รออาอยู่นานแล้ว นึกว่าอาจะไม่มากำลังจะกลับบ้านอยู่พอดีเลย”

“อ้าวเหรอ แล้วพี่ลอยกระทงไปหรือยังคะ” ฉันตกใจที่เธอตอบว่ากำลังจะกลับบ้าน

“ยังเลยก็รออาอยู่นี่แหละ รอจนเมื่อยแล้วด้วย” เธอยืนยกขาทีละข้างขึ้นมาปีบนวด

“ขอโทษด้วยนะพี่ที่ทำให้พี่ต้องรออานานเลย แล้วพี่ภาหละคะ ไปไหนแล้ว” ฉันมองหาพี่ภาไปทั่วบริเวณก็มองไม่เห็น

“เอ๊าก็อาให้พี่ไปส่งภากลับบ้านพี่ก็ไปส่งกลับบ้านไปแล้วยังจะมาถามหาภาอีกเหรอ” เธอเดินมาเกาะที่แขนฉันระหว่างที่เราเดินไปซื้อกระทงใบตองที่วางขายอยู่ริมตลิ่ง

“จริงด้วยอาลืมไปสนิทเลยนะนี่” ฉันพึมพำ เพราะลืมไปจริงๆ

คนที่ขี้ลืมแบบนี้เค้าเรียกว่าคนแก่นะอา อะ หรือว่าอาแก่แล้ว ว๊า นึกว่าพี่ชอบเด็กที่ไหนได้มาชอบคนแก่ซะแล้ว แย่จัง” เธอหันมาแซวเรื่องความขี้ลืมของฉัน

“ขอกระทงสองอันค่ะป้า” ฉันบอกแม่ค้า

“อันเดียวก็พอค่ะป้า” เธอแย่งตอบและยื่นเงินค่ากระทงให้กับแม่ค้า

“ทำไมซื้ออันเดียวหละพี่ษา”

“ก็เราลอยด้วยกันไงอา ไม่ต้องเปลืองเงินซื้อมาหลายๆ อันให้เป็นขยะในแม่น้ำเปล่าๆ”

“อ่อเข้าใจแล้ว พี่กลัวเป็นขยะนี่เอง”

ฉันพยักหน้ารับรู้ แล้วเราสองคนก็เดินไปที่แม่น้ำ ยกกระทงขึ้นอฐิธานพร้อมกันปล่อยกระทงลงแม่น้ำ ที่ตอนนี้มีแสงเทียนของกระทงหลายอันลอยตามน้ำไปเรื่อยๆ กระทงลอยอ้อยอิ่งอยู่กลางน้ำจนมีเด็กผู้ชายบางคนมายกกระทงขึ้นดูว่าข้างในกระทงมีเหรียญอะไรอยู่หรือไม่

ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหนฉันก็ไม่เคยเห็นกระทงของใครที่ลอยออกไปจนถึงทะเลสักครั้ง เพราะจะโดนมือดีมาหยิบดูว่ามีเศษสตางค์อยู่ในกระทงหรือเปล่า และก็จับกระทงเราคว่ำ เมื่อได้เศษเหรียญนั้นไปเรียบร้อยแล้ว หรือไม่ก็หยิบไปใส่ถุงขยะที่คนเหล่านั้นนำติดตัวมาด้วย

ฉันกับพี่แสงอุษามองภาพนั้นและก็รู้สึกขัดใจ แต่จะทำอะไรได้ กระทงของเราโดนคว่ำลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“พี่อธิฐานว่าอะไรเหรอ” ฉันถามเธอระหว่างเราเดินกลับไปที่จอดรถ

“อะไรก็ไม่สำคัญหรอก เพราะกระทงของเราโดนคว่ำไปแล้วไม่รู้ว่าคำอธิฐานจะเป็นผลหรือเปล่า”

ฉันพยักหน้าเข้าใจความหมายของเธออีกครั้งเพราะฉันเองก็เช่นเดียวกัน คำอธิฐานของฉันจะเป็นผลหรือเปล่าก็ไม่อาจรู้ได้

เราแยกย้ายกันกลับบ้านของใครของมันเพราะตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว หากฉันยังไม่กลับบ้านก็คงโดนแม่ตีแน่ๆ พระจันทร์ยังคงส่องแสงสว่างไปทั่วแม้ไม่มีไฟส่องทางแต่แสงจันทร์ก็ทำให้ฉันมองเห็นได้ไปทั่วบริเวณราวกับว่าตอนนี้เป็นเวลาเช้า

หรือเพราะที่ฉันมองเห็นอะไรสว่างไปหมดเพราะเธอคนนั้น แสงอุษาของฉัน

.........................

ฉันกับพี่แสงอุษาเราคบกันแบบเงียบๆ ไม่เคยบอกใครและไม่แสดงออกให้ใครได้รู้ว่าเราคบกัน เพราะฉันไม่อยากให้ใครๆ มาถามไถ่ว่าคบกันลักษณะไหน แบบพี่น้องหรือแบบอื่น

ในโรงเรียนของฉันก็ มีคู่ที่คบกันแบบเปิดเผยและเป็นที่จับตามองของคนหลายๆ คนในโรงเรียนรวมทั้งครูฝ่ายปกครองด้วย ภรณีกับรุ่นพี่มอสามก็คือหนึ่งในนั้น ทุกคนจะเฝ้ามาถามฉันว่าสองคนนั้นคบกันแบบไหน ฉันเองก็ไม่ได้ตอบอะไรใครไปได้แต่บอกว่า ฉันไม่รู้ และฉันก็ไม่ได้รู้อะไรจริงๆ เพราะถึงแม้ว่าฉันกับภรณีจะสนิทกัน แต่เราสองคนก็ไม่เคยที่จะคุยกันถึงเรื่องแบบนี้สักครั้ง

บ่อยครั้งที่ฉันเห็นใครหลายๆ คนเดินจูงมือกันเป็นคู่ๆ ในโรงเรียน ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง และเพื่อนๆ กัน ฉันเองก็อยากจะทำแบบนั้นกับเขาบ้าง แต่ทุกครั้งก็มีคำถามออกมาจากใจฉันเสมอๆ ว่าทำไมต้องทำโชว์ใครๆ ด้วยหรือ

พี่แสงอุษาเองก็เคยถามฉันว่าทำไมเราไม่คบกันแบบเปิดเผย บอกให้ใครๆ รู้กันให้หมดว่าเราคบกันมากว่าการเป็นพี่น้อง แต่ฉันปฏิเสธและถามกลับไปบ้างว่า

“เราสองคนคบกันมีใครมาเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่าคะพี่”

“ไม่มี”

“แล้วเวลาที่เรารักกัน หรือทะเลาะกันใครมาเกี่ยวข้องหรือเปล่าคะพี่”

“ก็ไม่มีอีกนั่นแหละ”

“แล้วเราจำเป็นต้องบอกให้ใครเค้ารู้ด้วยเหรอพี่ว่าเราคบกัน” คำถามของฉันทำเอาพี่แสงอุษาอึ้งไปครู่ใหญ่ก่อนที่จะตอบฉันว่า

“ไม่จำเป็น”

“ก็เท่านั้นแหละพี่ที่อาอยากรู้ และนั่นก็คือคำตอบที่พี่ถามอา”

ฉันกลับบ้านกับพี่แสงอุษาทุกเย็นเพราะว่าพี่ภากลับบ้านไปก่อนหน้านี้แล้ว โรงเรียนของเราเลิกเรียนตั้งแต่บ่ายสามโมงครึ่งและ พี่ภาก็รออยู่ที่ห้องสมุดทุกเย็นแต่จนแล้วจนรอดฉันก็ยังซ้อมไม่เสร็จ พี่ภาก็เลยบอกว่าเรียนเสร็จพี่ภาจะกลับบ้านเลย เพราะพี่แสงอุษาก็อาสาที่จะไปส่งฉันกลับบ้านทุกวันอยู่แล้ว

อากาศวันนี้ค่อนข้างเย็นเพราะหน้าหนาวจริงๆ ก็มาเยือนได้นานแล้ว เดือนนี้เป็นเดือนธันวาคมเดือนของความหนาวเย็นแผ่ปกคลุมไปทั่ว หายใจออกมาแต่ละครั้งก็มีควันพวยพุ่งเป็นไอให้ได้เห็นเสมอๆ

งานกีฬาฤดูหนาวก็ใกล้เข้ามาทุกที พวกฉันต้องไปซ้อมที่โรงเรียนชายที่อยู่ติดๆ กันเพราะจะมีการแสดงที่โรงเรียนของเราทั้งสองต้องไปด้วยกัน

จากนั้นในทุกเย็นพวกเราก็ต้องแบกเครื่องดนตรีเดินไปข้างหลังโรงเรียน ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่ให้ผู้ชายมาโรงเรียนเรา แต่ต้องให้เราไปโรงเรียนของผู้ชาย หรืออาจเป็นเพราะโรงเรียนของฉันคับแคบกว่าและไม่มีที่ฝึกซ้อมก็เป็นได้ เราเข้าไปซ้อมกันที่โรงยิมทุกวัน

ฉันไม่ค่อยจะชอบเท่าไหร่ที่ต้องไปนั่งระหว่างกลางหมู่ผู้ชาย เพราะฉันคิดว่าผู้ชายกลิ่นตัวแรงไปหน่อย ยิ่งเวลาเย็นๆ แบบนี้ด้วยแล้ว มันช่างตลบอบอวลไปหมด จะแหวะก็ไม่ได้ขายหน้าประชาชีเดี๋ยวจะถูกตราหน้าว่าท้องเหมือนกับหงส์หยกเพื่อนฉัน

ในตอนนี้ฉันก็ก้มหน้ารับกรรมไปก่อน หยิบยาดมมานั่งดมไปเรื่อยๆ และอดทนให้ถึงที่สุด โรงเรียนชายมีชื่อเสียงเรื่องวงดนตรีอยู่แล้วไม่น่าแปลกใจเลยเพราะทุกคนเล่นตั้งแต่ยังเล็กๆ ซึ่งผิดกับโรงเรียนของฉันที่พึ่งจะตั้งวงได้ไม่ถึงปี

เราสองโรงเรียนการเล่นเหมือนผู้ใหญ่กับเด็กมาเล่นด้วยกัน พวกฉันจะอึ้งเสมอเมื่อโรงเรียนชายเล่นเพลงที่พวกฉันรู้สึกว่ายาก โน้ตบางตัว เสียงบางเสียงวงของผู้ชายสามารถบังคับเสียงให้ยาวได้ถึงสี่ห้อง อย่างน่าอัศจรรย์ใจ เพราะพวกฉันเป่าไปแค่สองห้องก็หืดขึ้นคอแล้ว

แต่พวกเขาเหล่านั้นสามารถและทำได้ดีเสียด้วย แม้จะไม่ชอบผู้ชายเป็นการส่วนตัวแต่ฉันก็ยังชอบที่พวกเขามีความสามารถ และเก่งกว่าฉัน

“พี่เป่าได้ไงอะตั้งสี่ห้อง” ฉันถามพี่ที่เล่นเครื่องดนตรีเดียวกับฉัน

“ก็หัดเอาไง เพราะว่ามันเล่นมานานแล้วไง”

“พี่เล่นมากี่ปีแล้วคะ”

“เจ็ดปีแล้ว” เป็นคำตอบที่ฉันค่อนข้างทึ่ง

“ห๊า เล่นมาตั้งแต่ปอไหนนะพี่”

“ตั้งแต่อยู่ปอห้า”

“โห่เล่นมานานจังเลยแล้วพี่เล่นเครื่องนี้มาตลอดเลยเหรอ” ความสงสัยยังไม่หมดไปจากใจฉัน

“เปล่าเด็กๆ ก็เล่นทรัมเป๊ด ตอนโตหน่อยก็ทรอมโบน ตอนนี้โตมากว่าใครๆ ก็เล่นเบส” พี่ใจดีตอบคำถามฉันเขาคงเห็นฉันเป็นน้องน้อยของเขาคนหนึ่ง

“อ่อแบบนี้พี่ก็เล่นได้หมดทุกเครื่องเยสิคะ”

“ไม่หมดหรอกพวกลิ้นพี่เล่นไม่ได้เลย”

“อ้าวไมอะพี่”

“ก็เพราะว่าไม่ได้หัดเลยไง เล่นแต่เครื่องบลาส”

“บลาสคืออะไรนะพี่”

“บลาสก็คือพวกเครื่องเป่าทองเหลืองไง ที่น้องเป่าอยู่นี่แหละ มันชุบโครเมี่ยมแต่จริงๆ แล้วมันทำมาจากทองเหลือง” พี่กิ้มใจดียังอธิบายฉันต่อไป

“อ่อแบบนี้นี่เองพึ่งรู้นะนี่ นึกว่ามันแบ่งเป็นเครื่องลิ้นกับเครื่องเป่าเฉยๆ ซะอีก”

ฉันพยักหน้ารับรู้ และคิดว่าและคิดว่าความรู้ของฉันมันก็เป็นเพียงหางลูกอ๊อดที่กำลังจะกลายเป็นอึ่งที่คิดว่ามีหางแต่กำลังจะหดหายไปเมื่อมาเจอจระเข้ตัวจริง

..................................

พี่แสงดูเหมือนจะรู้เวลาเสมอมารอฉันที่ใต้ตึกทุกวันเหมือนเช่นเคย ตอนนี้โรงเรียของเราก็ยังคงมีคนซ้อมกรีฑากันอยู่หลายคน แม้ว่าจะมืดแล้วแต่ก็ยังมีนักเรียนซ้อมกันอยู่เต็มไปหมด

เรื่องที่ฉันกลับบ้านกับพี่แสงอุษาเป็นเรื่องที่เราไม่เคยปกปิดใคร และไม่คิดจะปิดฉันขี่รถให้พี่เธอทุกวันจนถึงบ้านของฉันแล้วเธอก็จะขี่กลับไปบ้านเองเป็นอย่างนี้ทุกวัน บางวันเธอก็จะอยู่ทานข้าวเย็นที่บ้านของฉัน หรืออยู่คุยที่บ้านของฉันจนค่ำมืด ฉันก็ต้องขี่รถตามไปส่งเธอที่บ้าน จนเป็นกิจวัตรไปแล้ว

ฉันเคยถามเธอว่าเธอไม่โดนที่บ้านดุบ้างหรือที่ต้องมาอยู่กับฉันจนดึกดื่นแบบนี้ แต่เธอก็ไม่ได้พูดว่าอะไรและไม่เคยตอบคำถามของฉัน และฉันก็ไม่เคยถามเธอว่าทำไมหรือเพราะอะไร

ฉันยังคงเขียนจดหมายติดต่อกับตุ๊กตาน้อยของแนอย่างสม่ำเสมอ มีเรื่องเล่ามากมายให้เธอได้อ่านและเธอเองก็เล่าเรื่องราวของเธอกับไอ้เปี๊ยกหรือเจ้าตัวจิ๋วของเธอให้ฉันได้ขำไปกับพฤติกรรมของทั้งสองคนอยู่ตลอดเวลา

เรานัดกันว่างานวันแข่งกรีฑาในงานฤดูหนาวเราจะไปพบกันที่สนามกีฬา เพราะมันคงเป็นโอกาสเดียวที่เราจะได้พูดคุยกัน

แปลกแต่จริงทั้งๆ ที่บ้านของฉันกับตุ๊กตาน้อยไม่ได้ห่างไกลกันสักเท่าไหร่ แต่เราสองคนทำตัวราวกับว่าอยู่กันคนละจังหวัด ไปมาหาสู่กันได้ยากเย็น ฉันเคยไปหาเธอที่บ้านแต่แม่ของเธอบอกฉันว่าเธอไปซ้อมกีฬาที่โรงเรียนยังไม่กลับ

เธอเองก็เคยมาหาฉันที่บ้านแต่ฉันเองก็ไม่เคยอยู่บ้านเพราะไปซ้อมดนตรียังไม่กลับบ้านเช่นกัน เรามักไม่ได้พบกันแบบนี้เสมอๆ แปลกแต่จริง

ฉันไปเล่นดนตรีอยู่ที่อัฒจรรย์ด้านฝั่งประธานในพิธี เพราะพวกเราต้องเล่นเพลงพระราชนิพนธ์หลายๆเพลง จนเกือบจะจบรายการ ฉันมองไปที่อัฒจรรย์ฝั่งตรงข้ามเห็นโรงเรียนของฉันกำลังแปรอักษรเป็นรูปต่างๆ มากมาย โดยมีพี่แสงอุษาคอยเป็นคนบอกรหัสและให้สัญญาณอยู่ด้านข้าง

พี่แสงอุสาแม้ไม่ได้แต่งตัวก็ยังดูสวยอยู่ด้สำหรับฉัน กว่าจะเสร็จจากการเล่นโชว์ ก็เล่นเอาพวกฉันเหนื่อยไปตามๆ กัน

พี่ใจดีของฉันหรือที่ใครๆ มักเรียกพี่เค้าว่าจั๊กกิ้ม(ภาษาคำเมืองแปลว่าจิ้งจก) เดินตามฉันมาด้วย เพราะว่าวันนี้โรงเรียนของเราสองคนนั่งอยู่ที่อัฒจรรย์ใกล้ๆ กัน พวกฉันเป็นพวกกิตมศักดิ์ที่ไม่ต้องไปนั่งแปรอักษรอยู่บนนั้น

“คนนั้นชื่ออะไรเหรออา” พี่กิ้มถามฉันและชี้ไปที่พี่แสงอุษา

“ชื่อแสงอุษา พี่ถามทำไมเหรอ” ฉันมองหน้าพี่กิ้มเพราะปกติแล้วพี่กิ้มไม่เคยถามฉันว่าเพื่อนของฉันชื่ออะไร

“สวยดีอยากจีบมีแฟนหรือยัง”

“มีแล้ว” ฉันตอบเสียงห้วนๆ ไป เพราะฉันรู้ว่าพี่กิ้มคงจะชอบพี่แสงอุษาจริงๆ

“ถึงมีแล้วก็จะจีบเปิดทางให้หน่อยสิ” พี่กิ้มมากระซิบฉัน แต่เมื่อดูจากมุมของพี่พี่แสงอุษายืนมันดูเหมือนพี่กิ้มก้มลงมาหอมแก้มฉันมากกว่า

“ไม่ได้พี่คนนี้มีแฟนแล้วจริงๆ แล้วแฟนเค้าก็ขี้หึงมากๆ ด้วย” ฉันรีบบอกพี่กิ้มไปเพราะกลัวว่าพี่กิ้มจะจีบพี่แสงอุษาจริงๆ

“เอาน่า ไม่ลองไม่รู้” แล้วพี่กิ้มก็เดินไปนั่งข้างๆ พี่แสงอุษา

การกระทำนั้นของพี่กิ้มทำ เอาฉันหน้าตูมไปทั้งวัน ฉันเดินออกมาจากสนามกีฬาและไปหาตุ๊กตาน้อยที่อัฒจรรย์โรงเรียนของเธอ และกวักมือเรียกเธอให้ลงมานั่งคุยกัน ใจฉันในตอนนี้มันสับสนวุ่นวายไปหมดคงมีเพียงตุ๊กตาน้อยเท่านั้นที่จะบอกฉันได้ว่า ฉันกำลังเป็นอะไร

ฉันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับตุ๊กตาน้อยได้ฟัง ฉันรู้ว่ามันไม่ค่อยจะแฟร์เท่าไหร่เมื่อฉันเป็นฝ่ายที่เอาปัญหามาคุยกับเธอฝ่ายเดียว

“จานน้อยเราว่าจานน้อยนะกำลังหึงพี่เค้าและเป็นเอามากๆ ด้วย”

“ไม่จริงมั๊ง เรานี่นะจะไปหึงพี่เค้าเป็นไปได้เหรอ” ฉันยังถามย้ำกับคำพูดของเธอ

“เป็นไปได้สิ ก็ที่เป็นอยู่ตอนนี้นี่แหละเค้าเรียกว่าหึง ทั้งๆ ที่พี่เค้าไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด แต่จานก็ไปหึงพี่เค้า จานลองคิดดีๆ สิว่าใครเป็นฝ่ายเริ่ม พี่กิ้มคนนั้นไม่ใช่เหรอไม่ใช่พี่ษา จานใจเย็นๆ นะ เรารู้ว่าเวลาหึงมันเลือดขึ้นหน้าแค่ไหน แต่ตอนนี้เราต้องไปเตรียมตัวแข่งแล้ว ไว้คุยกันนะ เราไปคัดตัวรอบแรกก่อน”

ตุ๊กตาน้อยเดินจากฉันไป ทิ้งให้ฉันนั่งคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมาและฉันก็รู้ว่าเรื่องทั้งหมดที่กำลังทำให้ฉันปั่นป่วนในอารมณ์ตอนนี้ก็เพราะฉันหึงไปเพียงฝ่ายเดียวจริงๆ

.................................

ฉันเดินกลับไปที่อัฒจรรย์ของโรงเรียนไปนั่งข้างๆ พี่แสงอุษา เธอหันมายิ้มให้ฉันและพูดว่า

“เจ้าเล่ห์นักนะเด็กน้อย”

ฉันหันไปมองเธอเหมือนจะถามว่าฉันเจ้าเล่ห์ตรงไหน

“ไปบอกเค้าเหรอว่าพี่มีแฟนแล้ว แถมยังขี้หึงด้วย” เธอไขปริศนานั้นให้กับฉัน

“ใช่คะ”

“ว๊าแบบนี้พี่ก็ขายไม่ออกกันพอดีสิ มีแฟนขี้หึงขนาดนี้ นี่ขนาดยังไม่แสดงตัวนะว่ามีแฟนแล้วก็โดนกีดกันไม่ให้พูดคุยพบปะผู้คนได้ขนาดนี้ ถ้าแสดงตัวแล้วพี่ไม่ต้องเอาผ้าคลุมหน้าเดินเพราะกลัวว่าใครจะมามองหน้าพี่ให้แฟนขี้หึงของพี่ต้องมาตามหึงเหรอนี่ เฮ้อ...หนักใจจริงๆ คนสวยอย่างษา” เธอแกล้งให้ฉันได้หัวเราะอีกครั้ง และครั้งนี้ฉันหัวเราะออกมาจากใจของฉันเอง

ตุ๊กตาน้อยกำลังวิ่งแข่งในระดับอายุไม่เกินสิบห้าปีในสนาม ฉันชี้ให้พี่แสงอุษาได้ดูว่าคนไหนคือตุ๊กตาน้อยเพื่อนรักของฉัน

“พี่รู้จักแล้วว่าคนไหนก็ปีที่แล้วเค้าก็เป็นตัวแทนโรงเรียนของเรามาลงแข่ง รุ่นอายุไม่เกิน สิบสองปี พี่ยังเชียร์เค้าอยู่เลย”

“อ้าวเหรอ นึกว่าพี่ไม่รู้จักเค้าซะอีก”

“รู้จักสิ รู้จักดีด้วยเพราะญาติเค้าก็เพื่อนพี่ ที่เรียนห้องเดียวกัน แล้วนี่เราจะเชียร์ใครหละอาจะเชียร์โรงเรียนเราหรือจะเชียร์ตุ๊กตาน้อย”

“ก็ต้องตุ๊กตาน้อยสิพี่ เชียร์คนอื่นได้ไง” ฉันหันไปตอบคำถาม

“ว๊าแบบนี้เราก็เป็นคู่อริกันนะสิเพราะพี่จะเชียร์เพื่อนพี่ที่แข่งรุ่นเดียวกับคุณตุ๊กตาน้อยของอา” น้ำเสียงของเธอเหมือนจะมีความประชดประชันเล็กๆ

จากนั้นเราก็ส่งเสียงเชียร์เพื่อนของเราทั้งคู่ เพราะไม่รู้ว่าจะเชียร์ใครดี แต่ตอนนี้ ฉันส่งเสียงเชียร์ลั่นไปหมดและแน่นอนฉันโดนมองจากนักเรียนโรงเรียนเดียวกันว่าปันใจไปเชียร์โรงเรียนคู่แข่งได้อย่างไร

หากเป็นคุณคุณจะทำแบบฉันหรือเปล่าคะ

ระหว่าง “เพื่อนรักทีเรียนอยู่ในโรงเรียนคู่แข่ง” กับ “นักเรียนโรงเรียนที่เรียนอยู่” คุณจะเลือกเชียร์ใคร?

....................

ฉันส่งใจเชียร์ตุ๊กตาน้อยและส่งเสียงเชียร์อย่างเอาเป็นเอาตาย ถึงแม้จะโดนมองมาอย่างไรฉันก็ไม่แคร์ในสายตาเหล่านั้น และตุ๊กตาน้อยก็วิ่งตัดผ่านการคัดเลือกแปดคนสุดท้ายให้ได้เข้าไปชิงเหรียญทอง

“ตุ๊กตาสู้ๆ”

“ปูสู้ๆ”

เสียงฉันกับพี่ษาแข่งกันตะเบ็งให้ลั่นไปหมด แม้จะรู้ว่านักกีฬาไม่ได้ยินแต่ก็จะส่งเสียงเชียร์ใครมีปัญหาก็ลงมาตัวๆ กับฉันได้ แต่ฉันจะสู้หรือไม่นั้นก็อีกเรื่องนึง

ตุ๊กตาน้อยค่อนข้างได้เปรียบเพราะอยู่เกือบลู่ในสุดไม่ต้องวิ่งตัดเข้ามาลู่ในเมื่อวิ่งผ่านไปร้อยเมตรแรกแล้ว

ฉันเห็นตุ๊กตาน้อยสับขาวิ่งอย่างเร็ว แม้จะเป็นการวิ่งระยะสี่ร้อยเมตรแต่เธอก็แรงดีไม่มีตก พี่ปูเพื่อนของพี่ษาก็เช่นกัน ดูเหมือนว่ารุ่นนี้สองคนนี้จะสูสีกันมากที่สุด

เมื่อทั้งสองคนวิ่งเข้ามาใกล้อัฒจรรย์ที่ฉันนั่งอยู่ฉันกับพี่ษาก็ลุกขึ้นต่างคนต่างเชียร์เพื่อนของตนเองโดยไม่สนว่าใครจะว่าอย่างไร

“ตุ๊กตาสู้ๆ เร็วๆ วิ่งๆ อย่างนั้นสิเพื่อน”

“ปูสู้ๆ สับขาเลยเพื่อนเร็วๆๆๆ”

เสียงของเราสองคนดูเหมือนจะดังที่สุดในแถบนั้น และตอนนี้สองคนก็วิ่งผลัดกันนำผลัดกันตามแทบจะเรียกได้ว่าต้องเอากล้องมาถ่ายภาพเอาไว้เลยเพราะจะนำจะตามกันไม่ถึงนิ้ว

จนเมื่อเข้าเส้นชัย กรรมการสนามประกาศว่าพี่ปูชนะ และที่สองเป็นตุ๊กตาน้อย ฉันเลยหน้าจ๋อยไปตามระเบียบ

“ไม่ต้องคิดมากน่า ไงตุ๊กตาก็ได้ที่สองจะมาชนะปูได้ไง ขาปูยาวกว่าตุ๊กตาตั้งเยอะ” พี่ษายังไม่วายมาเกทับฉัน

“ก็รอปีหน้าให้ตุ๊กตาโตกว่านี้สิรับรองไม่พลาดแน่ๆ” ฉันยังคงมีความหวังกับเพื่อนรักของฉันอยู่ดี

“ก็รอปีหน้าไว้ให้ตุ๊กตามาแข่งใหม่ปูก็ยังไม่หลุดไปจากรุ่นนี้หรอก”

“ตกลงพี่แค้นนี้ปีหน้าได้ชำระแน่ๆ” ฉันเหมือคนอาฆาตแค้นแบบในนิยายจีน

“ทำเป็นหนังจีนไปได้ แค้นนี้สิบปีก็ไม่สาย”

ดูเหมือนว่าแค้นของฉันไม่ต้องรอไปจนถึงปีหน้า เพราะวิ่งระยะร้อยเมตร ทั้งพี่ปูและตุ๊กตาก็ต้องมาแข่งกันอีกครั้ง

และงานนี้ตุ๊กตาทำได้เธอชนะ ทำให้ฉันที่ส่งแรงเชียร์ไปรู้สึกได้ว่าไม่เสียแรงที่เชียร์เพื่อนรัก และมาเป็นคู่อริกับคนรัก ตอนนี้ฉันได้แต่หันไปมองหน้าพี่ษาแล้วพุดขึ้นมาว่า

“เป็นไงหละแค้นชำระได้เพียงข้ามชั่วโมง” และฉันก็ยิ้มเยาะๆ ไปน้อยๆ แบบสะใจสุดๆ จริงๆ

ขอบใจนะเพื่อน

...... จบบทที่ ๖ ……




 

Create Date : 14 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 18 พฤษภาคม 2551 19:47:27 น.
Counter : 312 Pageviews.  

เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๕

บทที่ ๕

เปิดเทอมใหม่มีอะไรที่ทำให้ฉันเปลี่ยนแปลไปมากว่าเดิม ฉันตั้งใจเรียนมากขึ้น เพราะคำสัญญาที่จะเอาเกรดสี่มาแลกกับของขวัญจากเธอคนนั้น

สิ่งที่ฉันทำพี่ภาก็ดูเหมือนจะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของฉัน เพราะพี่ภาไม่ต้องมาเตือนฉันให้ทำการบ้าน ไม่ต้องเตือนฉันให้อ่านหนังสือ ฉันกลายเป็นเด็กขยันเรียนเพราะอยากให้เกรดของฉันดีขึ้นเพื่อเธอคนนั้น

ฉันว่าการที่คนเรามีความรัก ก็ทำให้โลกทั้งโลกเปลี่ยนไปได้เหมือนกันนะนี่

เทอมใหม่นี้พวกฉันเห็นกิจกรรมต่างๆ มากมายที่ต้องทำ เพราะโปรแกรมทั้งเข้าค่ายเนตรนารี งานกีฬาฤดูหนาว งานวันคริสมาสต์ งานปีใหม่ เห็นแล้วฉันก็รู้สึกท้ออยู่เหมือนกัน

ทำไมนะเวลาเราตั้งใจทำอะไรลงไปแล้วกลับต้องมีอุปสรรคมาขวางกั้นให้ความตั้งใจนั้นมาจะลดน้อยถอยลงไปทุกทีสิน่า

เธอมายืนรอฉันอยู่ที่หน้าบันไดตึกตอนพักกลางวัน และเดินนำฉันไปนั่งที่ม้าหินในสวนหย่อม

“ทำไมอาไม่เขียนจดหมายมาหาพี่บ้างรู้หรือเปล่าว่าพี่รอจดหมายของอาแทบทุกวัน”

“ก็” ฉันเหมือนจะต้องกลืนก้อนแข็งๆ อะไรสักอย่างลงคอ

“ก็อะไรหละอา หรือว่าไม่มีตังค่าแสตมป์ทำไมไม่บอกพี่หละว่าไม่มีพี่จะได้ซื้อแล้วให้อาไป”

“เปล่าไม่ใช่เรื่องนั้นก็คือว่า...”

“คืออะไรบอกพี่มาเถอะ หรือว่าอามีคนใหม่ไม่ได้รักชอบพี่เหมือนที่พี่รักและชอบอา” เสียงของเธอฟังแล้วช่างร้าวรานไปถึงหัวใจฉันจริงๆ

ฉันจะบอกเธอได้อย่างไรว่าฉันอึดอัดที่จะต้องเป็นตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ ฉันพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้สมบูรณ์แบบเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ แต่กับเพื่อนฉันเป็นตัวของตัวเอง

ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อเธอ ทั้งๆ ที่เธอก็ไม่ได้ร้องขอ และฉันก็กลัวว่าเธอจะรับตัวตนจริงๆ ของฉันไม่ได้

“คืออากลัวพี่รับตัวตนจริงๆ ของอาไม่ได้ พี่รู้หรือเปล่าว่าลายมืออามันแย่เอามากๆ” ในที่สุดฉันก็พูดออกมาจนได้

“รู้สิทำไมจะไม่รู้”

ฉันมองหน้าเธอเหมือนจะถามว่ารู้ได้ไง

“ไม่ต้องมามองหน้าพี่แบบนั้น ที่พี่รู้ก็เพราะพี่ไปช่วยครูตรวจการบ้านและเห็นลายมือของอาโย้ไปเย้มา แถมมีเขียนอะไรแปลกๆ ในสมุดการบ้านด้วย พี่รู้ทุกเรื่องที่เป็นเรื่องของอา และรู้ทุกเรื่องที่อาทำ รู้ว่าอาชอบกินไข่พะโล้ ไม่ชอบกินเผ็ด ชอบแอบกินขนมหลังห้อง ชอบฟังเพลงของพี่ปุ๊ ชอบร้องเพลง ชอบอ่านคำสาปฟาโรห์ นอนตื่นสายเป็นประจำ” เธอร่ายยาวเรื่องของฉันให้ฉันฟัง ทำเอาฉันอึ้งไปเลยทีเดียว

“พี่รู้ได้ไงกันนี่”

“ถ้าอาชอบหรือหลงรักใครสักคนอาจะรู้ว่าทำไมพี่ถึงรู้” คำตอบของเธอแม้ไม่ทำให้ฉันกระจ่างชัดในตอนนี้แต่ก็รู้อยู่อย่างหนึ่งว่า เธอชอบฉันจริงๆ

“ไปเถอะ เดี๋ยวข้าวจะหมดซะก่อน ไม่มีอะไรกินแล้วอย่ามาโทษพี่หละ แล้วต่อไปไม่ต้องเกร็งหรอกนะเวลาอยู่ต่อหน้าพี่ เพราะหากว่าเราตกลงที่จะคบกัน การที่อานั่งเกร็งๆ แบบนี้มันไม่เป็นผลดีกับอาหรอกเดี๋ยวจะเป็นตะคริวไปเปล่าๆ สบายๆ สาวน้อย” เธอจูงมือฉันไปโรงอาหารและเราสองคนก็ต่อคิวกันซื้อข้าว

แต่เมื่อเวลาที่ต้องกินข้าวเราสองคนก็ต้องแยกโต๊ะเพราะโต๊ะกินข้าวของพวกเรานั้นถูกจัดให้นั่งประจำห้อง ฉันเลือกที่จะนั่งหันหน้าไปยังโต๊ะที่เธอนั่งอยู่และเธอเองก็เช็นกัน

แม้ว่าโต๊ะกินข้าวสองโต๊ะจะไกลกัน แต่ฉันกลับไม่คิดว่ามันไกลกันเลย ฉันตักข้าวไว้ในช้อนแล้วยื่นไปข้างหน้าเหมือนกับกำลังจะป้อนเธอ เธอเองก็เช่นกัน เรานั่งเล่นกันอยู่แบบนั้นจนข้าวหมดจานไปอย่างไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่โต๊ะของเราอยู่ห่างกันไม่ต่ำกว่า สิบห้าเมตร

แต่เราสองคนก็สามารถ

..........................

ชีวิตฉันก็ยังคงดำเนินไปแบบเดิมๆ ไม่มีอะไรหวือหวาให้ได้ตกใจ เพราะทุกวันหลังเที่ยงฉันก็ต้องไปซ้อมดนตรี เลิกเรียนก็ต้องซ้อมอีก โน๊ตเพลงหลายๆ เพลงถูกแจกให้กับพวกฉัน

ถึงแม้ว่าพวกฉันจะเรียนเกี่ยวกับการอ่านโน้ตมาอยู่บ้างแล้วก็ตาม แต่สำหรับฉัน โน้ตที่เขียนด้วยกุญแจฟาก็ทำให้สับสนอยู่ไม่น้อย เพราะโดยปกติโน้ตทั่วไปจะเขียนด้วยกุญแจซอล ฉันไม่ได้เป็นนักเปียนโน หรือพวกที่เรียนดนตรีที่โรงเรียนของสยามกลกาลนี่นาจะได้เก่งเรื่องโน้ตมาตั้งแต่เกิด

ความผิดพลาดก็ยังมีให้เห็นให้ได้ยินบ้างเป็นบางครั้ง และการที่พวกเราต้องท่องโน้ตเพลงให้จำได้จนขึ้นใจก็เป็นปัญหาสำหรับฉันอยู่มาก เพราะฉันไม่ได้เป็นพวกที่เป่าทำนอง แต่ต้องเป่าตอดไปเรื่อยๆ

“นี่อาคิราเธอเล่นแบบนี้ใครจะไปเล่นต่อได้” ครูประจำวงดุฉันเมื่อฉันเล่นผิดคีย์อีกแล้วเพราะฉันอ่านกุญแจฟาเป็นกุญแจซอลซะอย่างนั้น

“ขอโทษค่ะครู” ฉันขอโทษเสียงอ่อย เพราะฉันคนเดียวทำให้การซ้อมล่ม

“ขอโทษแล้วมันหายเหรอ เสาร์นี้มาซ้อมที่นี่ด้วย เธอต้องตั้งใจให้มากกว่านี้ ทุกคนเริ่มใหม่” ฉันรู้ตัวแล้วว่าในตอนนี้ฉันเป็นตัวทำให้เพื่อนๆ ต้องซ้อมเสียเวลาไปมากกว่าเดิม

ฉันเคยคิดอยู่เหมือนกันเมื่อเวลาเพื่อนๆ เอาเครื่องดนตรีของตัวเองกลับบ้านไปซ้อม แต่เมื่อฉันมองเครื่องดนตรีของตัวเองแล้วก็ละเหี่ยหัวใจ มันช่างใหญ่โตจนฉันไม่อยากจะเล่นหรือหยิบจับมันเลย ทั้งหนักทั้งใหญ่

แค่ให้มาซ้อมที่โรงเรียนนี่ก็เบื่อจะแย่อยู่แล้ว และตอนนี้ก็รู้อีกว่า เสาร์นี้ฉันคงไม่ได้ไปวิ่งเล่นที่ไหนได้อีก เพราะต้องมาโรงเรียน

ครูสอนฉันอีกครั้ง และครั้งนี้ก็ ให้คำสอนว่า

“อาคิรา เธอท่องให้ขึ้นใจนะ กุญแจฟา ภาษาอังกฤษเรียกว่า F Clef หรือ Bass Clef มีหลักเพื่อให้จำง่ายขึ้นคือโน้ตในช่องระหว่างเส้น A Child Enjoys Games และ โน้ตคาบเส้น Go Back and Dance For A while ท่องไว้ เข้าใจหรือเปล่า

C คือ โด D คือ เร E คือ มี F คือ ฟา G คือ ซอล A คือ ลา B คือ ที”

“ค่ะครู” และฉันก็ท่องจำจนขึ้นใจ เพราะมีฉันและเพื่อนอีก สองคนเท่านั้นที่ใช้โน้ตกุญแจฟา

……………………….

ยิ่งใกล้งานเข้าไปทุกที ทุกคนก็ต้องเร่งฝึกซ้อม ทั้งเป่าดังเป่าค่อย เอาให้คนฟังพลิ้วไหวไปตามเสียงเพลงที่พวกเราบรรเลง ครูคงคาดหวังไว้อย่างนั้น และพวกฉันก็ต้องทำให้ได้ด้วยสิ

หลังเลิกซ้อมในตอนเย็นฉันเดินมาเอารถที่โรงรถ จากนั้นก็ฝืนกฏของโรงเรียนขี่รถตั้งแต่ที่โรงรถออกมาที่หน้าเสาธง เห็นสารวัตรนักเรียนผูกผ้าพันคอสีแดงแว๊ปๆ ก็หัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม นี่มันเกือบหกโมงเย็นแล้ว ทำไมยังมีพวกสารวัตรนักเรียนคอยตรวจตราอยู่อีกเล่านี่

ตาเถรร่วง ยายชีตกกระโถน

ฉันรีบลงจากรถ และจูงรถทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ดับเครื่อง เดินไปทำเป็นมองไม่เห็นสารวัตรนักเรียนที่ใส่หมวกผูกผ้าพันคอแบบเนตรนารีอยู่ตรงหัวมุมตึก

“นี่จะเห็นเราหรือเปล่าหว่า สาธุไม่เห็นเถอะ เกิดเห็นแล้วเอาไปฟ้องพรุ่งนี้หน้าแตกกลางเสาธงแน่ๆ” ฉันบ่นกับตัวเอง

แต่สายตาฉันก็ยังจับจ้องไปที่เดิม พี่ภายืนคุยกับสารวัตรนักเรียนคนนั้นอยู่ และฉันก็คิดว่าสารสัตรนักเรียนก็คือเธอคนนั้น มิน่าหละถึงได้รู้อะไรมากมายเกี่ยวกับตัวฉันที่แท้ก็แอบมาสืบความลับหลังบ้านฉันนี่เอง

ฉันได้ยินเสียงคุยแว่วๆ มาว่า

“แล้ววันนี้กลับบ้างไงหละษาหรือว่าเอารถมา”

“เปล่าหรอกไม่ได้เอามากลับรถสองแถวนะ”

“ไปกับเราหรือเปล่าจะได้ไม่ต้องกลับสองแถวไงเราก็ต้องผ่านหน้าบ้านเธออยู่ดี”

หุหุ พี่ภาหาเรื่องแล้ว ฉันได้แต่คิดในใจไม่ได้พูดอะไรออกไป

“กลับบ้านหรือยังพี่ภา อาหิวจะแย่แล้ว” ฉันที่จูงรถมาถึงที่สองคนยืนคุยกันอยู่ก็ร้องทักพี่ภา

“กลับได้แต่เดี๋ยวนะรอษาไปเก็บกระเป๋าก่อน ไปเถอะษาเรารอที่นี่ นั่งซ้อนสามไปสักวันคงไม่โดนจับหรอกมั๊ง” พี่ภารีบเร่งเธอคนนั้นของฉัน

“รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวเราไปเอากระเป๋าก่อน” แล้วเธอก็รีบวิ่งไปหยิบกระเป๋าที่อยู่ไม่ไกลนัก

“ให้นั่งไงดีหละนี่” พี่ภาถามขึ้นมาอีกเพราะโดยปกติพี่ภาจะนั่งพาดหรือนั่งตะแคงข้างมาโรงเรียนทุกวัน

“เอางี้แล้วกันให้พี่ษานั่งหน้า แล้วพี่ภาก็นั่งปกติ” ฉันเสนอบ้าง

แล้วพวกเราสามคนก็นั่งซ้อนสามกันกลับบ้าน แต่ฉันสิกระวนกระวายใจแทบบ้า เพราะกลิ่นของเธอลอยมาตามลมเข้าจมูกของฉันเต็มๆ จนแทบอดใจไว้ไม่ไหว กว่าจะถึงตลาดก็เล่นเอาใจฉันแทบวาย

แต่ก็ยังไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นอาคิรา ก่อนเธอจะลงฉันแกล้งก้มลงหอมแก้มเธอไปหนึ่งฟอดในฐานะที่แอบมาล้วงความลับจากก้นครัวของฉัน

จากนั้นฉันกับพี่ภาก็เดินเข้าตลาดที่เกือบจะวายแล้ว เพราะเวลาในฤดูหนาวมันมืดเร็วกว่าในฤดูร้อนมากมาย

พี่ภาเดินกลับมาที่ร้านของพี่ษาอีกครั้งและก็ทักทายพอเป็นพิธี จากนั้นเราก็กลับบ้านตามปกติ มีแต่ฉันที่มองเธอคนนั้นจนเหลียวหลัง

.............................

ฉันนั่งทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะ แล้วพี่ภาก็มาเรียกให้ไปกินข้าว เธอเตรียมไว้พร้อมแล้ว

“อาวันนี้ษาเค้ามาบอกว่าถ้าวันไหนอาอยู่เกินห้าโมงเย็นให้พี่กลับบ้านก่อนก็ได้แล้วษาเค้าจะมาส่งอาเอง” ฉันกำลังตักข้าวเข้าปากถึงกับหยุดชะงัก

“ทำไมหละพี่ หรือว่าพี่ภาไม่อยากอยู่รอแล้ว”

“เปล่าหรอกพี่ก็อยากกลับบ้านเร็วๆ กับเค้าเหมือนกันนี่ อยู่โรงเรียนตอนเย็นๆ ไม่ได้ทำอะไรวันไหนไม่มีการบ้านมันก็เบื่อ หนังสือนิยายที่ห้องสมุดก็อ่านจนจะหมดแล้ว พอษาเค้ามาพูดก็เลยลองมาถามอาดูว่าอาจะเอาด้วยหรือเปล่า”

ฉันเข้าใจในสิ่งที่พี่ภาพูดได้อย่างดีเพราะพี่ภาคงจะเหงาอยู่เหมือนกันที่ต้องมานั่งรอฉันซ้อมอยู่ทุกวี่ทุกวัน

“ก็ได้พี่ แล้วแต่พี่ภาแล้วกัน วันไหนเห็นว่าอากลับเกินห้าโมงพี่ภาก็กลับบ้านก่อนเลย แต่ก็อย่าลืมไปถามพี่ษาให้ด้วยแล้วกันว่าเค้าจะอยู่หรือเปล่า เกิดเค้าไม่อยู่อากลับบ้านไม่ได้หละแย่เลย” ฉันตอบตกลงอย่างง่ายดาย

ฉันคิดอยู่เหมือนกันว่าเธอคนนั้นสมองเฉียบขาดดีจริงๆ นี่เท่ากับว่าเราสองคนจะได้กลับบ้านพร้อมกันแล้วสินี่

สวรรค์บังเกิดแล้วอาคิรา

........................

วันนี้หงส์หยกเพื่อนฉันอาเจียนตั้งแต่เช้า จริงๆ แล้วหงส์หยกก็เป็นแบบนี้มาหลายวันแล้ว หงส์หยกมักจะบอกให้ฉันเก็บมะม่วงมาให้เธอกินบ่อยๆ ในระยะหลังๆ ฉันก็ต้องไปเก็บให้หงส์หยกทุกวัน เพราะมะม่วงที่บ้านออกลูกดกได้ใจจริงๆ ปล่อยทิ้งไว้ก็หล่นเสียของเปล่า

บางครั้งแม่ก็เอามะม่วงสุกมายีแล้วก็เอามากวนทำมะม่วงแผ่นเปรี้ยวๆ ให้พวกฉันกินตอนอ่านหนังสือดึกๆ ฉันก็ไม่ลืมหยิบมะม่วงแผ่นติดมือมาให้หงส์หยกด้วย

“ทำไมหมู่นี้แกชอบกินของเปรี้ยวๆ นักหละหงส์” ฉันยื่นถุงมะม่วงในมือให้กับหงส์หยกแล้วก็ลองถามเธอเพราะเมื่อเห็นเธอนั่งกินมะม่วงแล้วก็รู้สึกเข็ดฟัน

“ไม่รู้สิมันอยากกินอะไรเปรี้ยวๆ แต่ไม่อยากกินข้าวเลยนะ กินข้าวที่ไรอ๊อกทุกที”

ฉันพอเข้าใจ เพราะเมื่อหงส์หยกกินข้าวทีไรถังขยะที่ข้างโรงอาหารก็ได้ใช้งานในทันที

“แต่หงส์เธอก็ต้องกินข้าวบ้างนะ เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไปจะยุ่ง” ฉันห่วงหงส์อยู่เหมือนกัน เพราะฉันกับหงส์ก็นั่งเรียนไม่ได้ไกลจากกันเท่าไหร่ และเธอก็เป็นหนึ่งในนักดนตรีด้วยเช่นกัน

หงส์เป็นสาวเร็วกว่าใครแต่เธอก็ไม่เคยบอกหรือกระโต๊กกระต๊ากให้ใครได้รู้ ปล่อยให้ฉันคิดเอาว่าฉันนั้นเป็นสาวก่อนเพื่อนๆ ในห้อง และความลับก็ไม่มีในโลกเมื่อวันหนึ่งฉันต้องไปทำธุระในห้องน้ำ เห็นหงส์หยิบอุปกรณ์บางอย่างออกมา

“อะไรนะหงส์”

“ไม่มีอะไรเครื่องวัดอะไรบางอย่าง” เธอคงไม่พร้อมจะอธิบาย

“อืมเหรอ งั้นหงส์เข้าไปก่อนแล้วกัน เรารอได้”

หงส์หยกเข้าห้องน้ำไป และไม่นานฉันก็ได้ยินเสียงของหงส์หยกร้องไห้ดังลั่นห้องน้ำ แต่ตอนนี้ฉันเองก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ขอทำธุระของตัวเองที่ห้องอื่นก่อนแล้วกัน เพราะจะราดอยู่แล้ว

ฉันทำธุระเสร็จหงส์หยกก็ยังไม่ออกมาจากห้องน้ำ ฉันเคาะประตูเรียกเธอ

“หงส์ ๆ เป็นอะไรเปิดประตูหน่อย” ไม่มีเสียตอบรับ และหงส์ก็ยังคงร้องไห้ไม่หยุด

ฉันวิ่งไปที่ห้องเรียนตะโกนเรียกขวัญหทัย

“ขวัญๆ มานี่หน่อยเร็วหยิบรองเท้ามาด้วย”

ขวัญหทัยก็รีบหยิบรองเท้าวิ่งตามฉันลงมาที่ห้องน้ำ หงส์ก็ยังคงร้องไห้ไม่หยุด

ฉันและขวัญหทัยช่วยกันเคาะประตูให้หงส์เปิดแต่ก็ไร้ผล ฉันตัดสินใจปีนห้องน้ำข้ามไปอีกห้องเพื่อไปเปิดประตู จากด้านบนฉันเห็นหงส์นั่งร้องไห้อยู่ที่พื้น เมื่อฉันปีนลงไปได้ ก็พยุงเธอให้ลุกขึ้นและเปิดประตูพาเธอออกมานอกห้องน้ำ

หงส์หยกยังไม่หยุดร้องไห้ ขวัญหทัยเอาผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำเช็ดหน้าตาให้กับหงส์ และก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ แต่สิ่งที่ขวัญหทัยเห็นกลับทำให้เธอร้องอุทานออกมาดังๆ

“ตายแล้วหงส์!!!” แค่นี้สิ่งที่ขวัญหทัยร้องออกมา ฉันมองหน้าขวัญหทัยแล้วก็งง

“อะไรเหรอขวัญ”

“เปล่าไม่มีอะไรพาหงส์ไปห้องพยาบาลเถอะ หงส์ไม่สบาย”

เราสามคนเดินไปห้องพยาบาลแล้วก็บอกครูว่าหงส์ไม่สบายปวดหัวมากขอให้หงส์นอนพักอยู่ที่ห้องพยาบาลก่อน เสร็จธุระเรื่องหงส์ ตอนเดินกลับห้องเรียนฉันก็ถามขวัญหทัย

“มันเป็นอะไรเหรอขวัญ”

“หงส์ท้องนะสิ”

“ห๊าอะไรนะ ท้องที่ไหนกลับใคร” ฉันตะโกนลั่นด้วยความตกใจ

ขวัญหทัยตีแขนฉันแล้วก็ทำท่าจุ๊ปาก ให้ฉันเงียบสิ่งที่กำลังโวยวายอยู่

“เบาๆ ก็ได้อาเสียงดังไปได้ ไว้เลิกเรียนมาคุยกัน ถ้าอาว่าง” ขัวญหทัยพูดได้แค่นั้นก็เดินนำฉันลิ่วกลับไปที่ห้องเรียน หรือเธอคงกลัวฉันจะเสียงดังเหมือนเช่นเคยหรือเปล่าก็ไม่รู้

..................................

หลังเลิกเรียน เพื่อนๆ ในกลุ่มที่สนิทกันต่างนั่งประชุมกันอยู่ในห้องหาทางแก้ไขเรื่องของหงส์หยก หลายคนเสนอให้ไปบอกพ่อของเด็กก่อน

แต่หลายคนก็บอกว่าพ่อของเด็กก็ยังเรียนไม่จบจะทำอะไรได้ ทางที่ดีบอกครูดีกว่า แต่อีกหลายคนก็บอกว่าถ้าบอกครูหงส์หยกก็ต้องโดนไล่ออก

“เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องที่เราๆ เด็กๆ ตัดสินใจอะไรไม่ได้หรอกทางที่ดี บอกพ่อกับแม่ดีที่สุด” ฉันพูดผ่ากลางวงขึ้นมา

“เราเห็นด้วยกับอาใครเห็นด้วยยกมือขึ้น” ขวัญหทัยที่สนับสนุนฉัน ก็ถามเพื่อนๆ ทุกคนก็พร้อมเพรียงยกมือ

“หงส์กลับไปบอกพ่อกับแม่เถอะบอกเค้าว่าเราผิดไปแล้ว มีแต่เค้าที่จะแก้ไขเรื่องต่างๆ ให้เราได้ พวกเราไปส่งหงส์กลับบ้านนะ แล้วเราจะอยู่จนกว่าเรื่องจะจบ เดี๋ยวเรากลับไปบ้านก่อนไปเอารถ หงส์รอเรานะ ณีไปบอกครูด้วยว่าวันนี้เราไม่ซ้อม แล้วใครรู้จักพ่อของเด็กก็ไปตามตัวต้นเหตุมาด้วย ไปพร้อมๆ กันนี่แหละ” จากนั้นพวกเราทุกคนก็แยกย้ายไปทำในสิ่งที่เราเห็นว่าถูกต้อง

ฉันกลับไปบ้านไปขอพ่อเอารถกะบะออกมาใช้ ฉันบอกพ่อว่าเพื่อนมีเรื่องด่วน แต่ฉันบอกความจริงกับพี่ภาให้รู้ไว้เพราะฉันไม่กล้าบอกพ่อกับแม่ ฉันพอขับรถได้บ้างถึงแม้จะไม่แข็งมากแต่ก็ขับได้ พ่อสอนให้ฉันขับตั้งแต่ยังเรียนอยู่ปอห้า

เมื่อกลับมาถึงโรงเรียนทุกคนก็พร้อมหน้า แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของพ่อเด็ก

“แล้วพ่อมันหละ” ฉันถามขึ้นเมื่อไม่เห็นวี่แวว

“มันบอกว่าท้องกับมันหรือเปล่า หรือว่าไปท้องกับคนอื่น มันไม่ยอมรับว่าเด็กเป็นลูกของมัน ช่างเถอะอาเรารีบไปบ้านหงส์กันเถอะ” รมณที่เป็นคนไปตามตัวพ่อของเด็กรายงานให้พวกเราได้รับรู้

“ไอ้หน้าตัวเมียเอ๊ยกล้าทำไม่กล้ารับ บัดซบที่สุด” ฉันกัดกรามแน่ คิดแล้วแค้นในใจอยู่ไม่หาย กับความไม่รับผิดชอบของเพศชายทั้งๆ ที่ฉันไม่เคยเห็นหน้าพ่อของเด็กด้วยซ้ำไป

เรามาออกันที่หน้าบ้านของหงส์ที่เป็นร้านขายอาหารตามสั่ง พวกเราเดินเข้าไปหาอาม่าของหงส์หยกและพยายามจะอธิบาย อาม่าได้แต่ร้องไห้ เมื่ออาปาของหงส์หยกได้รู้เรื่อง ก็เอาตะหลิวในมือจะมาฟาดหงส์แต่ฉันรับไว้แทน เต็มๆ แผ่นหลัง เจ็บจนร้องไม่ออก

“อาปาคะอย่าทำอะไรหงส์เลย ตอนนี้ถ้าหงส์เป็นอะไรไปอาปาก็ฆ่าคนถึงสองคนนะอาปา” ขวัญหทัยที่พยายามจับมืออาปาไว้แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะแรงเด็กผู้หญิงจะไปสู้แรงผู้ชายตัวโตๆ ได้อย่างไรกัน

อาม่าลุกขึ้นมาขวางอาปาไว้อีกแรงและตอนนี้หลังของฉันก็ระบมไปหมดแม้จะโดนไปแค่ทีเดียว แต่ก็เหมือนกับโดนรุมมาทั้งตัว ฉันคิดได้แค่ว่านี่ถ้าหงส์ที่ตัวเล็กกว่าฉันโดนเข้าไปบ้างมิปางตายเลยเหรอ

หงส์หยกเอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมพูดจาอะไรกับใคร เมื่ออาปาถามถึงพ่อของเด็กหงส์ก็ไม่พูด เราทุกคนก็รู้ว่าเมื่อหงส์ไม่บอกเราจะไปบอกได้อย่างไร

“พวกลื้อรู้ช่ายมะว่าอีท้องกะไค ที่พวกลือไม่พุกนี่เพราะว่ากัวลูกอั๊วจะเรียนเก่งกว่าพวกลื้อช่ายมะ พวกลื้อนี่มังพวก ใช่ม่ายล่าย พวกเพื่อนม่ายลี ออกไปจากบ้างอั๊วล่ายเลี้ยว” พวกฉันยังคงยืนเฉย หากออกไปตอนนี้หงส์เพื่อนฉันและลูกในท้องจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครตอบพวกเราได้หรอกนอกจากอาปาของหงส์

เรารอจนอาปาสงบก็ออกมาจากบ้านของหงส์ ในตอนนี้ค่อนข้างดึกและฉันก็เจ็บระบมหลังที่โดนตะหลิวอันใหญ่ทุบลงมา

ฉันคิดอยู่เสมอว่าฉันเจ็บแค่ร่างกายแต่หงส์หยกสิเจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจจะมีหน้าอยู่สู้หน้ากับผู้คนได้อีกหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ หากแต่ในฐานะเพื่อนฉันก็คงทำให้หงส์ได้เพียงเท่านี้ จะให้เข้าไปยุ่งในครอบครัวของหงส์ฉันก็คงทำไม่ได้

ฉันไปส่งเพื่อนกลับบ้านทีละคน จนครบและกลับมาถึงบ้านก็เกือบจะห้าทุ่ม พ่อกับแม่เดินออกมารับฉันที่หน้าบ้าน

“เป็นไงบ้างหละลูกอาหงส์นะ” แม่ถามฉัน

“คงจะแย่แม่อาปาหงส์จะตีหงส์ด้วยตะหลิวอันเท่านี้ แต่อาไปรับแทน ตอนนี้อาจะแย่แล้วแม่” ฉันทำมือบอกขนาดตะหลิวให้กับแม่ได้ดู

“อืมไปอาบน้ำแล้วแม่จะทำแผลให้ สงสัยจะมีเลือดออกด้วย”

ฉันเข้าไปอาบน้ำเมื่อน้ำรดตัวฉันแทบกระเด็นออกมาจากห้องน้ำเพราะความแสบ และฉันก็ตะโกนเรียกพี่ภา

“พี่ภา อาบน้ำให้อาหน่อยสิถูหลังไม่ได้ มันแสบ”

ฉันเปิดประตูรอพี่ภามาอาบน้ำให้ มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับฉันกับพี่ภาที่อาบน้ำด้วยกันมาตั้งแต่เล็กจนโต จากนั้นพี่ภาก็เช็ดตัวให้ฉัน แต่ยังไม่ให้ฉันใส่เสื้อเพราะต้องรอให้แม่ทำแผลให้ก่อน

“โอ๊ย” ฉันร้องลั่นบ้านเพราะความแสบจากทิงเจอร์ในมือแม่

“แผลถลอกนิดเดียวเองอา ร้องซะนึกว่าแผลลึก” แม่บ่นไปก็ทายาให้ฉันไปด้วย

“คราวหลังจะเป็นฮี่โร่ก็คิดดีๆ ก่อนแล้วกันไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้จะไปโรงเรียนสาย” แม่บอกฉัน แต่ฉันก็ยังนอนไม่ได้เพราะการบ้านยังไม่ได้ทำสักข้อ และก็คิดว่าเหล่าเพื่อนๆ ของฉันก็คงเช่นกัน

………………..

วันรุ่งขึ้นฉันตัวรุมๆ คงเพราะเมื่อคืนแทบไม่ได้นอนวันนี้พ่อก็เลยมาส่งพวกฉันมาโรงเรียน ฉันสลึมสะลือลืมตาแทบไม่ได้

แต่เมื่อเข้าห้องเรียนสายตาของฉันก็หันไปเห็นหงส์หยกกับอาปาและแม่ของเธอเดินเข้าไปในห้องธุรการ ฉันสะกิดเรียกเพื่อนๆ ให้มาดูเหตุการณ์นั้น และขออนุญาตครูลงไปหาเพื่อน

หงส์หยกมาลาออกจากโรงเรียน เพราะในสมัยนั้นเด็กผู้หญิงที่ท้องแล้วจะเรียนต่อไม่ได้ ต้องลาออกไปกลางเทอม ฉันรู้สึกสลดใจกับหงส์หยก แต่ก็ยังนึกอยู่ดีว่าที่ผู้ชายที่ทำหงส์หยกท้องยังลอยหน้าลอยตาเรียนหนังสือต่อไปได้

หงส์หยกต้องรับกรรมที่เธอไม่ได้ก่อขึ้นมาเพียงคนเดียว การที่คนจะท้องได้ต้องเกิดจากชายและหญิงคู่กัน

หลังพักเที่ยงนักเรียนตั้งแต่ชั้นปอหกถึงถึงมอสามทุกคนถูกเรียกให้ไปเข้าห้องประชุมใหญ่ทั้งหมด เราก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องด่วนอะไรที่ครูเรียกพวกเราเข้าประชุม

เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจของบรรดาเด็กๆ ดังไปทั้งห้อง แต่เมื่อครูขึ้นไปพูดหน้าเวทีทุกคนก็ต่างพากับหุบปากของตัวเองลงสนิท

“วันนี้ครูจะมาพูดเรื่องคุมกำเนิด ใครบางคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่สำหรับบางคนมันเป็นเรื่องใกล้ตัวเอามากๆ” ครูเว้นระยะ ซึ่งพวกฉันก็เข้าใจว่าครูหมายถึงใคร

“การคุมกำเนิดมีหลายแบบ ที่ปัจจุบันทันด่วนก็มีที่ฐาวรก็มี ส่วนสำหรับพวกเธอมันก็ต้องแบบปัจจุบันทันด่วนเพียงอย่างเดียว” ครูหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า

“เค้าเรียกว่าถุงยางอนามัย มันใช้ควบคุมโรคทางเพศได้ ทั้งกามโรค ซิฟิลิส หนองใน และอื่นๆ และที่สำคัญมันทำให้พวกเธอไม่ตั้งท้องก่อนวัยอันควร” ครูหยิบถุงยางขึ้นมาและดึงออกมาจากซองที่ใส่

“สมมุติว่านี่คืออวัยวะเพศชาย” ครูชูนิ้วโป้งขึ้นมา

“เราก็เอาถึงยางอนามัยใส่ไว้ที่ปลายอวัยวะเพศแล้วก็รูดมันลงมาแบบนี้ มันจะเป็นเหมือนเสื้อกันฝนเมื่อยามที่พวกเธอไม่ต้องการให้ฝนตกแล้วเปียก” ครูหยิบถุงยางอนามัยมาครอบนิ้วโป้งไว้และก็รูดลงมาให้คลุมนิ้วโป้งทั้งนิ้ว

“หรือหากใครจะกินยาคุมกำเนิดก็ได้ มันมีเป็นแผง อย่ากินข้ามหรือหยุดกินวันใดวันหนึ่ง ถ้าพวกเธอไม่อยากท้อง พวกเธอก็ต้องทำเรื่องเหล่านี้ ยาคุมจะมีทั้งหมด ๒๘ เม็ด หยุดวันใดวันหนึ่งไม่ได้ทั้งนั้น มันอาจจะยุ่งยากแต่ก็รักษาตัวเองไม่ให้ท้องได้” ครูหยุดพูดอีกครั้งและชูแผงยาสีเงินๆ ในมือให้พวกเราดู

“ที่ครูพูดมานี่ทุกคนเข้าใจหรือเปล่า”

“เข้าใจคะ” ทุกคนในห้องประชุมตอบกันอย่าพร้อมเพรียง

“เข้าใจว่าอะไร” ครูถามอีกครั้ง

“เข้าใจว่าถ้าไม่คุมกำเนิดจะท้องก่อนวัยอันควรค่ะครู” พี่มอสามลุกขึ้นตอบ

“แล้วน้องๆ ปอหกหละเข้าใจหรือเปล่า” ครูชี้ไปที่เด็กนักเรียนชั้นปอหก

“ไม่เข้าใจค่ะ” เสียงเด็กตอบออกมา

“อ้าวไหนเมื่อกี้เข้าใจไง” ครูชักขำกับคำตอบที่วกวนไปมา

ไม่มีเสียงตอบจากนักเรียนชั้นปอหก

“ครูรู้ว่ามันอาจจะไวเกินไปที่จะสอนพวกเธอ แต่ครูไม่อยากที่จะวัวหายล้อมคอกอีกต่อไปแล้ว ทุกคนต้องตั้งใจฟังและตั้งใจที่จะเรียนรู้เรื่องที่ครูจะพูดในตอนนี้ให้ดีๆ ครูวันเพ็ญค่ะ ขอหุ่นผู้ชายหน่อย”

จากนั้นครูวันเพ็ญก็ยกหุ่นตุ๊กตาผู้ชายที่พวกฉันเห็นอยู่ในห้องวิทยาศาสตร์ออกมาให้หน้าห้องประชุม

“ใครที่เคยเห็นหรือมีพี่มีน้องผู้ชายคงจะรู้แล้วว่าอวัยวะเพศชายเป็นแบบไหน และนี่ครูจะสาธิตอีกครั้งให้ทุกคนได้ดูว่าวิธีใช้ถุงยางอนามัยมันเป็นแบบไหน” ครูจัดแจงนำเอาถุงยางอนามัยมาใส่ไว้ที่หุ่นทำให้น้องๆ ปอหกพัยกหน้าหงึกหงัก

“คราวนี้เข้าใจแล้วใช่ไหมที่ครูพูดหมายถึงอะไร”

“เข้าใจค่ะ” เสียงตอบแสดงความเข้าใจดังลั่นห้องมากว่าเดิม

“อีกเรื่องหากว่าพวกเธอพลาดไปแล้ว นี่คือชุดตรวจสอบการตั้งครรถ์ มันจะทำงานได้ดีเมื่อผ่านไปแล้วหนึ่งเดือนเป็นต้นไป” ครูยกกล่องอะไรสักอย่างขึ้นมาให้พวกเราดู ฉันรู้สึกคุ้นๆ กับกล่องนี้

ใช่สิ ฉันนึกออกแล้ว

ฉันเคยเห็นมันในห้องน้ำเมื่อวานตอนที่หงส์หยกเข้าห้องน้ำ

มิน่าหละหงส์เข้าไปตรวจการตั้งครรถ์พอเธอรู้เธอก็เลยร้องไห้ ไม่หยุด จนฉันต้องไปเรียกขวัญหทัยให้มาช่วยกันพาหงส์ออกมาจากห้องน้ำ

แบบนี้นี่เองเข้าใจแล้ว อาคิรา

แม้การกระทำในครั้งนี้จะเหมือนวัวหายแล้วล้อมคอกแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีคอกไว้ล้อมวัวที่เหลืออีกเลย

“วัวหาย จึงล้อมคอก กันวัว
ไม่เห็น วัวสักตัว คิดล้อม
แต่ก่อน บ่ห่อนกลัว วัวจัก หายนา
คิดแต่ ทางอ้อมค้อม หมดเค้า เข้าตำรา”

....... จบบทที่ ๕ ........




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 18 พฤษภาคม 2551 19:05:53 น.
Counter : 305 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.