It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 

เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๑๙ ๖.๕๐ น.



ตอนเช้าแม่ขับรถมาส่งพวกเราด้วยเพราะต้องหอบเอาชุดดรัมของพี่ษามาคืนครูด้วยข้าวของจึงมากเกินกว่าที่จะหอบเอามาด้วยรถมอเตอร์ไซด์

แม่พาฉันไปตามถนนเลียบแม่น้ำและสิ่งที่แม่บอกฉันเมื่อคืนเรื่องกระทงก็กระจ่างชัดให้เห็นอย่างง่ายดาย กระทงหลากหลายชนิดเกาะติออยู่ที่แก่งทรายกลางแม่น้ำมีต้นไมยราบยักษ์เป็นตัวกั้นกระทงไม่ให้ลอยไปไหนได้ไกลนัก

มีพนักงานของเทศบาลลอยเรือไปเก็บกระทงเหล่านั้นมาทิ้งไว้เรือ กระทงโฟมดูจะเก็บง่ายกว่ากระทงใบตองเพราะมันจม

ฉันเห็นขยะกระทงเต็มลำเรือไปหมดเห็นแล้วสงสารพนักงานเก็บขยะที่ทำงานอยู่ในแม่น้ำ และฉันก็คิดกับตัวเองไว้ว่าต่อไปนี้ฉันจะลอยกระทงพร้อมๆ กันทั้งครอบครัวใบเดียวไม่ลอยหลายอันอีกแล้ว และกระทงของฉันก็จะไม่ทำใบใหญ่โตมากนักเพราะจะเป็นขยะในแม่น้ำให้คนเก็บขยะต้องทำงานหนัก

เมื่อมาถึงโรงเรียนเราสามคนก็ช่วยพี่แสงอุษาหอบถุงคนละไม้ละมือเอาไปส่งคืนครูที่ห้องศิลปะ จากนั้นก็แยกย้ายไปเก็บกระเป๋าห้องใครห้องมัน มาถึงห้องดนตรีก็หยิบเอาเครื่องดนตรีของตัวเองลงมาข้างล่าง ฉันเห็นเครื่องดนตรีของภรณียังวางอยู่ก็เลยหยิบลงมาให้เธอด้วย

แต่เมื่อลงมาถึงชั้นสองฉันก็สวนกับภรณีและรมณตรงทางเข้าหอของเด็กหอประจำโรงเรียน

“อ้าวไอ้ณีนี่เครื่องแกฉันเห็นว่าแกยังไม่ได้เอาลงมาก็เลยหยิบมาให้”

ภรณีดูท่าทางจะสะดุ้งกับเสียงเรียกของฉัน

“แค่นี้ก็ต้องตกใจด้วยไอ้ณีเหมือนฉันไม่เคยเรียกแกอย่างนั้นแหละ เออมณเราไม่ได้หยิบของมณลงมานะ เดี๋ยวมณไปหยิบสิเรารอตรงนี้กับณีก็ได้” ฉันบอกรมณที่มีท่าทางตกใจไม่แพ้กัน

“งั้นเดี๋ยวเรามานะรอข้างล่างก็ได้มายืนขวางทางไม่ดีหรอก” รมณบอกแล้วก็รีบวิ่งขึ้นไปหยิบเครื่องดนตรีของเธอ

ฉันเห็นสายตาของภรณีที่มองตามรมณไปเหมือนๆ กับจะมีอะไรปิดบังฉัน ระหว่างเดินลงบันไดไปข้างล่างฉันจึงถามภรณี

“ทะเลาะอะไรกันเหรอไอ้ณี”

“เปล่าไม่ได้ทะเลาะ” ภรณีส่ายหน้า

และสายตาของฉันก็เห็นชื่อที่เสื้อของภรณี มันไม่ใช่ชื่อของภรณี แต่เป็นชื่อของอีกคน

“ไอ้ณีเมื่อคนแกไม่ได้กลับบ้านเหรอ”

“แกรู้ได้ไงว่าฉันไม่ได้กลับบ้าน” ภรณีหันมาถามฉัน

“ก็แกไม่ได้ใส่เสื้อตัวเองเอาเสื้อไอ้มณมาใส่ จะไม่รู้ได้ไงว่าอกไม่ได้กลับบ้าน แล้วเมื่อคืนนอนที่ไหน”

“นอนห้องดนตรี” ภรณีตอบเสียงอ่อย

“อะไรนะแกนอนห้องดนตรีและนอนไปได้ไง” ฉันตกใจกับคำตอบที่ได้รับ

“เอาน่าไงก็นอนไปแล้วจะมาถามอะไรนักหนานะ”

“แล้วใครอยู่เป็นเพื่อนแก”

ไม่มีเสียงตอบจากภรณีและภรณีก็เดินเลี่ยงไปหารมณที่กำลังเดินลงมาจากตึก สองคนดูสนิทสนมกันมากกว่าที่เคยเป็น

“เออเว่ยไอ้สองคนนี้มันอะไรของมันวะ” ฉันยกมือที่ว่างอยู่ขึ้นมาเกาศีรษะของตัวเอง

.......................

ในห้องเรียนวันนี้ก็มีอะไรแปลกๆ ให้ได้เห็น ภรณีนั่งมองมาที่รมณตลอดเวลา โดยที่รมณก็ก้มหน้างุดเรียนไปตลอดเช่นกัน

แล้วสายตาของฉันก็เห็นรอยอะไรบางอย่างที่คอของรมณ

“ไอ้มณไปโดนอะไรกัดมาเอายาหม่องไปทาไหม” ฉันหันไปถามรมณเพราะเห็นว่ารอยนั้นถึงแม้จะดูไม่ใหญ่มากนักแต่ว่ารมณคงคันน่าดูเพราะมันแดงไปหมด

รมณสะดุ้งเมื่อฉันทักถึงรอยที่คอของเธอ

“อะไรกันวะสองคนนี้สะดุ้งกันเก่งจริงๆ อะนี้ยาหม่องทาซะหรือว่าจะให้เราทาให้”

“ไม่ๆ ไม่ต้องอาเราทาเอง” รมณรีบปฏิเสธทันทีฉันก็ไม่รู้ทำไมเพราะปกติแล้วรมณไม่เคยเป็นแบบนี้

แต่เมื่อรมณเปิดคอเสื้อของเธอเพื่อที่จะทายาหม่องฉันก็ต้องตกใจเพราะบริเวณลำคอของเธอ มีรอยแบบเดียวกันเต็มไปหมด

“ไอ้มณแกเป็นอะไรทำไมมันเต็มไปหมดแบบนี้หละหรือว่าเมื่อคืนไปนอนห้องดนตรีกับไอ้ณีแล้วโดยยุงกัรเยอะแบบนี้ แกคงแพ้ยุงมากเลยสิเพื่อน” ฉันพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ คนอื่นๆ ได้ยิน

รมณรีบปิดคอเสื้อของเธอกลับมาเหมือนเดิม

“อย่าเอ็ดไปสิอาอายเค้า”

“อายอะไรแกไปให้ครูดูเถอะแกต้องแพ้อะไรมากๆ แน่ๆ เลย” ฉันบอกรมรณด้วยความเป็นห่วง

“อย่ามายุ่งกับฉันได้ไหมอาขอร้องหละ แล้วก็เงียบไปซะ” รมณตัดบทแค่นั้นฉันเองก็เลยต้องจ๋อยไปตามระเบียบ

“เออขอโทษนะเรายุ่งไม่เข้าเรื่องเองหละ” ฉันกลับมาสนใจเรื่องที่ครูสอนต่อไปเพราะแค่นี้ก็หน้าแตกมากพอสมควรแล้วที่ไปยุ่งเรื่องของชาวบ้านโดยที่เขาไม่อยากให้ยุ่ง

......................

และในตอนเที่ยงฉันก็เห็นรมณกับภรณียืนคุยกันเหมือนจะทะเลาะกันอีกครั้งตรงมุมตึก ทั้งสองคนดูท่าทางจะมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง และภรณีก็ลากรมณเข้าไปในซอกตึกหลบมุมผู้คน

ฉันเดินตามไปด้วยความหวังดีเพื่อที่จะห้ามเพื่อนไม่ให้ทะเลาะกัน แต่เสียงพูดคุยของทั้งสองคนทำให้ฉันต้องชะงักการก้าวขาของตัวเองไปโดยปริยาย

“มณเราขอโทษเราว่าเราผิดและผิดมากๆ ด้วยแต่มณก็ต้องฟังเหตุผลของเราบ้างสิ” เสียงภรณีพูดเหมือนกำลังจะง้องอนรมณ

“เหตุผลของคนชุ่ยๆ แบบเธอนะเหรอณี เธอทำแบบนี้กับเราได้ไง” ฉันได้ยินเสียงกระชากคอเสื้อของใครสักคนและฉันก็ชะโงกหน้าออกไปดูเพียงเพราะหวังว่าจะห้ามเพื่อนไม่ให้ทะเลาะกัน แต่ก็ต้องชะงักอีกหน

“เห็นไม๊ว่ามันมีเต็มไปหมด แบบนี้เราจะไปทำอะไรได้”

“เห็นแต่เมื่อคืนเธอก็ไม่ได้ว่าอะไรเรานี่” เสียงภรณีอ่อยๆ จนฉันเริ่มคิดว่าสองคนนี้ทะเลาะอะไรกันนักหนานะ

“ก็ใครจะไปรู้เล่าว่ามันจะมีเยอะขนาดนี้”

“เราเองก็ไม่คิดว่ามันจะเยอขนาดนี้เราขอโทษนะมณเราผิดไปแล้ว” ภรณีคุกเข่าลงต่อหน้ารมณ

“คราวต่อไปก็อย่าทำแบบนี้อีกแล้วกันนะณี” รมณเสียงเบาลงไปแล้วและพยุงภรณีขึ้นมาให้ยืนขึ้นเหมือนเดิม

ภรณีไม่รอช้าจูบไปที่ริมฝีปากของรมณทันที ภาพนั้นทำเอาฉันที่ยืนดูอยู่ถึงกับสะดุ้ง

“ตายหละหว่าไอ้สองคนนี้เป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อไหร่นี่” ฉันได้แต่พูดกับตัวเองในใจเพราะไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเพื่อนสนิททั้งสองคนเลยจนนิดเดียว

ฉันรีบก้าวเท้าออกมาก่อนที่ทั้งสองคนจะรู้ว่าฉันมายืนแอบฟังที่ทั้งสองคนคุยกัน และก็ไม่พ้นสายตาของพี่แสงอุษา

“นั่นๆๆ ไปยุ่งอะไรกับเค้าอา” พี่แสงทักฉันที่รีบวิ่งออกมาจากมุมตึก

“แหะๆๆ แค่อยากรู้ว่าเค้าทะเลาะอะไรกันแค่นั้นเอง”

“เค้าทะเลาะอะไรกันที่ไหนเค้ารักกันต่างหากอา” พี่แสงอุษาบอกฉันทำเอาฉันหันไปถามเธอทันที

“พี่รู้ได้ไงว่าสองคนเค้ารักกัน”

“ทำไมจะไม่รู้ก็เมื่อคืนเพื่อนพี่ที่อยู่หอบอกมาว่าสองคนจู๋จี๋กัน”

“หาพี่ว่าอะไรนะ” ฉันตกใจกับคำตอบอีกแล้วสิคราวนี้

“อืมเค้าจู๋จี๋กันเมื่อคืนที่หอพักเด็กหอพูดกันให้แซด”

“จริงดิ ตายแล้วอาตกข่าวแบบนี้ไปได้ไงกัน”

“อานะเหรอตกข่าวไม่เห็นที่คอของมณเหรอ รอย Mark Kiss เต็มไปหมดเป็นพี่นะรู้ตั้งแต่เห็นแล้ว”

ฉันพึ่งถึงบางอ้อว่ารอยที่คอของรมณไม่ใช่รอยแพ้ยุงกัดหรือแพ้อะไรแต่อย่างใด แต่เป็นรอยแห่งความรักที่ภรณีฝากไว้บนตัวของรมณนั่นเอง

“ตายๆๆ อาคงต้องไปศึกษารายละเอียดเรื่องแบบนี้แล้วสิพี่”

“ไปศึกษาที่ไหนหละอา” พี่แสงอุษามองหน้าฉัน

“คงต้องหาครูดีๆ สักคนมาสอนแล้ว ว่าแต่ว่าพี่จะเป็นครูของอาได้หรือเปล่าหละ อิอิ” ฉันส่งสายตาเจ้าเล่ห์ให้กับพี่แสงอุษาอีกครั้งและผลที่ได้ตอบรับมาก็คือฝ่ามือของพี่แสงอุษาฟาดมาที่ไหล่ฉันเต็มๆ พร้อมกับคำว่า

“บ้าอาทะลึ่ง” แล้วพี่แสงอุษาก็เดินหนีไปปล่อยให้ฉันลูบหัวไหล่ตัวเองปอยๆ แต่ก็สุขใจที่พี่แสงอุษาหน้าแดงเพราะคำพูดของฉันเอง

...............................

บรรยากาศการซ้อมดนตรีในช่วงกลางวันนั้นฉันว่าทั้งภรณีและรมณดูจะสดใสกว่าทุกครั้ง ทั้งสองคนซ้อมไปก็หัวเราะกันไป ต่อเพลงกันเองสองคน

“ณีเล่นท่อนนี้สิเอาใหม่” รมณให้ภรณีเล่นเพลงท่อนดิมซ้ำอีกครั้งและตัวเธอก็เล่นตาม

ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าสองคนมีใจตรงกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็เมื่อไม่นานมานี้ภรณียังอกหักเพราะรุ่นพี่ แถมยังไม่พอหลังจากนั้นภรณีก็อกหักเพราะครูจิณณพัตอีกรอบ และสองคนนี้ไปคบกันตอนไหน เป็นปัญหาที่ฉันต้องขบคิด

แต่ถึงจะไปคบกันตอนไหนก็ถือว่าเป็นข่าวดีของฉันที่ภรณีไม่ต้องอกหักอีก และรมณก็ไม่ต้องเหงาอีกต่อไป เพราะมีภรณีเป็นเหมือนเงาตามตัวตลอดเวลา หน้าที่ของเพื่อนแบบฉันก็คือสนับสนุนให้เพื่อนรักกันไม่ใช่เหรอ

“ฉันว่าจะให้มณย้ายออกจาหอไปอยู่บ้านฉันแกว่าไงวะอา” ภรณีถาฉันก่อนที่จะเข้าห้องเรียน

“แล้วพ่อแม่แกไม่ว่าอะไรเหรอไอ้ณี พ่อแม่ของมณอีกหละ”

“เรื่องพ่อแม่ฉันมันไม่มีปัญหาหรอกเพราะพ่อกับแม่ไม่ค่อยจะอยู่บ้านส่วนพ่อแม่ของมณฉันก็จะช่วยพูดด้วย จะได้ไม่ต้องมาเสียเงินค่าหอเพราะไงเราก็ต้องมาเรียนที่เดียวกันอยู่แล้วนี่จริงไหมหรือแกว่าไงอา”

“ไม่รู้สิแกก็ลองคุยกับพ่อแม่ของแกกับพ่อแม่ของณีเองก็แล้วกันเพราะไงฉันก็ตอบแทนพ่อกับแม่พวกแกไม่ได้หรอกณี”

“ก็จริงของแกเน๊อะ ไว้วันนี้ฉันจะถามพ่อกับแม่ของฉันแล้วค่อยให้มณไปถามพ่อแม่เค้าแล้วกันคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร” ภรณีพยักหน้าหงึกหงัก และก็พูดเองเออเองไปเรื่อย

“ความรักเข้าตาขนาดนี้เลยเหรอเพื่อน” ฉันกระเซ้าภรณี

“ใช่สิฉันมองข้ามคนใกล้ตัวมานานแล้วต่อไปนี้เมื่อฉันพบแล้วว่าใครที่รักฉันที่สุดฉันจะไม่ปล่อยเค้าไปง่ายๆ หรอกอา” ภรณีตอนนี้ท่าทางขึงขังจริงๆ

“ขอให้ไปกันรอดเกิน ๒ ปี นะเพื่อน” ฉันอวยพรให้กับภรณี

“ต้องเกินอยู่แล้วอย่างน้อยๆ ก็ต้อง ๔ ปี ขึ้นไปแหละแกเพราะไงซะมณก็ต้องอยู่ที่บ้านฉันจนกว่าจะจบมอหก” ดูเหมือนความฝันของภรณีจะสวนหรูอยู่ไม่น้อยทีเดียว

หลังจากนั้นไม่นานรมณก็ย้ายออกจากหอของโรงเรียนและไปอยู่ที่บ้านภรณี ดูเหมือนว่าพ่อแม่ของทั้งสองคนเห็นด้วยที่ลูกของทั้งคู่จะมีเพื่อนเรียนชั้นเดียวกันมาอยู่ด้วยกัน รมณเป็นเด็กเรียนเก่งนิสัยดีสุภาพเรียบร้อย ส่วนภรณีถึงแม้จะดูกระด้างแข็งๆ ไปบ้างแต่ก็เอาการเอางาน งานบ้านทั้งหมดที่บ้านของภรณีเธอก็เป็นคนรับผิดชอบ ดูเหมือนว่าภรณีจะเก่งงานบ้านมากกว่าฉันอีกนะ

ภรณีมีน้องสาวอีกคนที่เรียนที่เดียวกับเราแต่น้องของเธอก็เรียนอยู่แค่ชั้นปอหนึ่งเท่านั้น บ้านของภรณีมีลูกที่ห่างกันมากๆ จนทำให้พี่น้องสองคนมีความห่างเหินกันมาก เพราะเด็กคนละวัยคนละความคิด

ฉันเสียอีกที่ดูจะสนิทกับน้องสาวของภรณีมากว่าภรณี เพราะฉันชอบเล่นกับเด็กๆ มากกว่าเล่นกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน

ฉันว่าเด็กมีจินตนาการสูงกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันและที่สำคัญเมื่อฉันเล่นกับเด็กๆ ฉันจะเป็นหัวโจกได้อย่างสบายๆ เป็นลูกพี่ที่มีลูกน้องเดินตามต้อยๆ สนุกดีออก

ภรณีเคยพาน้องออยน้องสาวคนเดียวของเธอมาทิ้งไว้ที่บ้านฉันให้เล่นกับฉันในสวนจนเย็นเราสองคนหมายถึงฉันกับน้องออยถึงได้กลับเข้าบ้าน อาหารของพวกเราก็ไม่พ้นผลไม้ในสวนเก็บกินกันไปเรื่อยตั้งแต่เช้ายันเย็น น้องออยเกาะหลังฉันเป็นลูกลิง

ฉันชวนน้องไปตกปลานั่งเล่นแถวๆ ริมน้ำเหมือง ตอนนั้นน้องออยยังอยู่ชั้นอนุบาลสามอยู่เลยแต่ก็ดูจะเล่นกับฉันได้ไม่รู้เบื่อ อายุของฉันกับน้องออยต่างกันตั้งเจ็ดปี น้องออยไม่รู้จักดาราจีน น้องออยไม่รู้จักอึ้งย้งแต่น้องออยรู้จักโดเรม่อน รู้จักอาราเล่

เรื่องที่เราเล่นกันก็เลยเป็นการ์ตูนเสียมากกว่า เล่นกับเด็กเมื่อเด็กง่วงก็ให้นอนกลางวันฉันก็นอนเล่นและหลับด้วยกัน

จนแม่ให้พี่ภามาเรียกฉันกับน้องออยเราสองคนก็งัวเงียเดินกลับเข้าบ้านและไปนอนต่อกันที่ห้องนอนของฉัน ฉันก็มีน้อยออยเป็นตุ๊กตานอนกอดไปจนภรณีมารับกลับบ้านน้องออยก็โวยวายว่าจะอยู่เล่นกับฉันต่อ

แม่ต้องบอกว่าไว้วันหยุดข้างหน้าน้องออยค่อยมาเล่นกับฉันใหม่ ถ้าน้องออยดื้อจะไม่ให้มาเล่นกับฉันอีก จากนั้นน้องออยก็เป็นแขกประจำบ้านฉันในทุกวันหยุดจนน้องออยขึ้นปอหนึ่งก็ไม่มาอีก

อาจเป็นเพราะช่วงปิดเทอมฉันไปอยู่บ้านปู่ก็เป็นได้ และอีกอย่างฉันก็มีพี่ษามานอนเล่นที่บ้านบ่อยๆ ภรณีคงจะเกรงใจที่จะเอาน้องของเธอมาฝากไว้ที่บ้านของฉัน

ฉันแวะไปที่บ้านของภรณีและก็อีกเช่นเคยไม่พบพ่อกับแม่ของภรณีเหมือนทุกครั้ง แต่เห็นน้องออยนั่งทำการบ้านอยู่กับรมณ ภรณีทำกับข้าวมาให้รมณกับน้องออยกินกัน ดูๆ ไปก็เหมือนครอบครัวเล็กๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องระหว่างฉันกับพี่ษาว่าจะมีวันที่ได้อยู่ด้วยกันแบบเดียวกับภรณีและรมณหรือไม่

ฉันได้ยินสรรพนามที่ภรณีใช้เรียกรมณที่ฉันฟังแล้วก็อดขำได้นั่นคือเรียกรมณว่าป้า ส่วนรมณเรียกภรณีว่าลุง

เออนะช่างเข้าใจคิด

เรียกกันไปได้แก่ขนาดนั้น และน้องออยก็เรียกรมณว่าป้าตามที่ภรณีเรียก แถมยังเรียกภรณีว่าลุงเช่นเดียวกันกับที่รมณเรียก

สรุปว่าบ้านนี้มีทั้งพ่อ แม่ ป้าและลุง สำหรับน้องออยไปแล้ว

ฉันออกจากบ้านภรณีมาพร้อมกับรอยยิ้มและรับพี่แสงอุษาที่บ้าน ฉันยืนรออยู่ไม่นานพี่แสงอุษาก็ออกมาพร้อมกับกระเป๋าใบโตอีกเช่นเคย

“จริงๆ พี่ไม่ต้องเอากลับมาซักก็ได้อาซักให้พี่ได้สบายมาก” ฉันมองกระเป๋าใบใหญ่แล้วก็เอ่ยขึ้น

“ไม่ได้หรอกอาพี่เกรงใจแค่ให้ที่อยู่ที่กินพี่ก็เกรงใจจะแย่แล้ว”

“เกรงใจทำไมกันพี่ไหนๆ พี่ก็จะเป็นครูให้อาแล้วไม่ต้องเกรงใจหรอกนะจ๊ะ” ฉันแกล้งเย้าให้เธอหน้าแดงและก็เป็นดังที่คาดไว้

“เออพี่ษาพ่อทำบ้านเสร็จเร็จแล้วนะเร็วดีอาทิตย์เดียวก็เสร็จ” ฉันคุยอวดห้องใหม่ให้พี่ภารู้เพราะพี่ภาไม่ได้มานอนที่บ้านของฉันสองอาทิตย์แล้วช่วงที่สอบกลางภาค

“เหรอแล้วใครจะไปนอนบ้านนั้นหละ”

“ก็อาไงพี่อาจะไปนอนพ่อทาสีน้ำเงินออกฟ้าๆ ให้ด้วยนะ พี่ภามานอนด้วยสองคืนแล้ว เพราะห้องพี่ภาทาสีใหม่พี่ภาบอกว่ากลิ่นสีมันเหม็น”

“ภาทาสีห้องใหม่เหรอสีอะไรหละอา”

“สีชมพูน่ะพี่หวานแหว๋วจริงๆ เลย เหมือนพี่ภาเลยนะ วันนี้เห็นพี่ภาจัดห้องใหม่ดูโล่งขึ้นตั้งเยอะ แต่มีตู้หนังสือเพิ่มมาอีกสองตู้”

“ทำไมซื้อตู้หนังสือเยอะจัง”

“ไม่ได้ซื้อหรอกพี่พ่อบอกว่าไว้สำหนับอนาคต เพราะไม้มันเหลือเลยทำตู้หนังสือให้พวกอากับพี่ภาอีกคนละสองทาสีเดียวกับห้องของพวกเราด้วยนะ”

“อ่อเหรอดีจังแล้วตอนนี้อาไปนอนห้องใหม่แล้วตื่นสายหรือเปล่า”

“เปล่าพี่ แต่พรุ่งนี้วันหยุดอาจจะสายก็ได้ เออพ่อทำห้องน้ำให้อาในตัวด้วยนะพี่ไม่ต้องออกมาเข้าห้องน้ำที่บ้านใหญ่ด้วย สบายไปเลย”

“ดีจังอาจอมขี้เกียจก็เลยสบายไปเลยหละสิ”

“ใครว่าสบายพี่อาต้องทำความสะอาดห้องเพิ่มอีกห้องต่างหาก แถมห้องน้ำก็เพิ่มอีกห้องเล่นเอาเหนื่อยไปเลยนะไปเถอะพี่อาอยากอวดห้องใหม่จะแย่แล้ว”

พี่แสงอุษานั่งซ้อนรถฉันอย่างว่าง่ายเธอกอดเอวฉันเหมือนเช่นเคยฉันคุยไประหว่างทางถึงเรื่องของภรณีกับรมณที่เรียกกันเป็นป้าเป็นลุง เล่าเรื่องของทั้งสองคนที่ฉันได้เห็นมาในวันนี้ให้พี่ษาฟังอย่างละเอียด

“น่าอิจฉาสองคนนั้นนะอาที่เค้าได้อยู่ด้วยกัน”

“อิจฉาทำไมหละพี่ เราก็ได้อยู่ด้วยกันนี่นา”

“นั่นสินะ ตอนนี้เราก็อยู่ด้วยกัน” แสงอุษาเงียบไปเมื่อพูดเท่านั้นและก็ไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาจากปากของเธออีกเพราะว่าหากเธอพูดอะไรไปน้ำตาของเธอก็คงจะไหลออกมา

.........................

อาคิรา วุ่นวายกับการอวดห้องใหม่ของเธอ ที่แยกออกมาจากบ้านพ่อกับแม่ พ่อของอาคิราปลูกบ้านใหม่หลังน้อยให้อาคิราไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากนัก ตัวบ้านถูกยกพื้นขึ้นมาต้องเดินขึ้นบันได้สามขั้น มีชานยื่นออกมาด้านหน้า

ต้นไม้ใหญ่ไม่ได้ถูกตัดทิ้งซ้ำยังใช้ร่มเงาของต้นไม้มาช่วยบังให้ตัวบ้านไม่ร้อนมากนัก ทั้งด้านหน้าบ้านและหลังบ้าน แถมยังใช้กิ่งไม้ใหญ่สำหรับผูกชิงช้าเล็กๆ ไว้ตรงหน้าระเบียงบ้านอีกด้วย

บ้านสีน้ำเงินออกฟ้านิดๆ ของอาคิราดูสวยงามเหมือนบ้านตุ๊กตา หน้าต่างบ้านมีเหล็กดัดและมุ้งลวดติดผ้าม่านสีขาวสะอาดตาตัดกับสีน้ำเงินของตัวบ้าน ประตูหน้าต่างก็ทาด้วยสีขาวเช่นกัน

ด้านในของตัวบ้านเล็กๆ มีห้องน้ำในตัวปูกระเบื้องสีน้ำเงินและมีลายวาดของปลาตัวน้อยๆ แหวกว่ายอยู่ในกระเบื้อง

เตียงนอนเล็กๆ น่ารักถูกปูด้วยผ้าปูที่นอนสีฟ้าด้านข้างเตียงมี “น้องจุ๊กจิ๊ก” ที่แสงอุษาซื้อให้นอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้น และยังมีกีต้าร์ตัวโปรดของอาคิราที่ชื่อ “เจ้าซ่า” วางพิงไว้ข้างๆ ตุ๊กตาตัวนั้นอีกด้วย

ด้านข้างมุมหนึ่งของห้องมีโต๊ะเขียนหนังสือหันหน้าออกไปทางด้านหน้าบ้านและสิ่งที่อยู่ข้างกันก็คือตู้หนังสือสีน้ำเงินสองตู้ดูแล้วก็รู้ว่าเป็นตู้ที่ประกอบเองมีหนังสือวางอยู่ไม่มากนักโดยส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือเรียนและหนังสือการ์ตูนบู๊ๆ มากกว่า

เมื่อมองไปที่เพดานห้องมีพัดลมตัวโตสีฟ้าติดไว้หนึ่งตัวแลดูโปร่งและสบายตา อีกฝั่งหนึ่งของห้องเป็นที่วางตู้เสื้อผ้าและราวสำหรับพาดผ้าเช็ดตัวพร้อมกับตะกร้าผ้าใช้แล้ววางไว้คู่กัน

“พี่ษาสนใจจะมานอนบ้านอาตลอดไปแบบรมณไปนอนบ้านภรณีหรือเปล่า”

“สนใจสิบ้านอาน่าอยู่มากๆ”

“งั้นต่อไปนี้พี่ษาก็มาอยู่บ้านอาตลอดไปเลยนะอายินดีต้องรับพี่ษามาอยู่บ้านสีน้ำเงินของอา” อาคิราอ้าแขนรับร่างของแสงอุษาให้เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเธอ

แสงอุษาเหมือนมีแรงดึงดูดจากอ้อมแขนของอาคิราให้เธอเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดนั้นอย่างง่ายดาย

อาคิราแทบจะอดใจไม่ไหว เธอรู้สึกว่าเธอเกลียดริมฝีปากบางๆ ของแสงอุษาเหลือเกินเพราะเมื่อเธอเห็นครั้งใดเธอก็อยากที่จะบดขยี้ริมฝีปากนั้นให้ละลายไปด้วยริมฝีปากของเธอทุกครั้งไป

อาคิราพยายามที่จะหอมแก้มของแสงอุษาแต่เจ้าตัวกลับบ่ายเบี่ยงและซุกใบหน้าของตัวเองไปที่อกของอาคิราแทน

“พี่รักอาจังเลยอาจ๋า” แสงอุษารำพึงอยู่กับอกของอาคิรา

“อะแฮ้ม!!! ยายอา ยายษาแม่ให้มาเรียกให้ไปกินข้าวได้แล้ว” เสียงของอวภาส์ที่ส่งมาก่อนที่ตัวจะเดินมาถึงนั้นทำให้ทั้งสองคนรีบผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว

ใบหน้าของแสงอุษาแดงไปเพราะความเขิน ส่วนอาคิราก็ยืนนิ่งไม่ไหวติง

“เร็วๆ กินข้าวกันแม่ทำกับข้าวไว้เยอะเลย” พี่ภาเดินขึ้นบันไดมาก็บอกเราสองคน

จากนั้นก็เดินตามพี่ภาไปบ้านพ่อกับแม่ในตอนนี้เราเรียกกันว่าบ้านใหญ่กับบ้านน้ำเงิน

วงสนทนาของพวกเราก็ไม่พ้นเรื่องบ้านใหม่ของอาคิรา แล้วจู่ๆ แม่ก็ถามถึงเรื่องเรียนต่อของพี่ษาขึ้นมาระหว่างที่ฉันกำลังโซ้ยข้าวเข้าปากอย่างเมามันเพราะความหิว

“ษาลูกตกลงจะเรียนต่อที่เดียวกับภาหรือเปล่า”

“ษาเค้าจะไปเรียนต่อที่เชียงใหม่แม่พ่อของษาเค้าให้ไปเรียนที่โน่น อุ้ย” พี่ภาเหมือนจะนึกขึ้นได้ก็เลยหยุดพูด

“เหรอแล้วษาจะไปเรียนที่ไหนละไปติดต่อที่เรียนไว้แล้วเหรอลูก”

“ค่ะแม่ พ่อของษาเค้าไปติดต่อไว้แล้วเหลือแต่ให้ษาไปสอบตอนเดือนมกราที่จะถึงนี้ เพราะที่นั่นเค้ามีสอบโควต้าเข้าก่อนที่จะเปิดสอบทั่วไปค่ะ”

“ดีเลยษาเค้าว่าโรงเรียนที่นั่นเด็กเก่งมากๆ เลยนะ” พ่อช่วยผสมโรงด้วยอีกคน

ฉันนั่งอึ้งที่ได้รับฟังคำสนทนานั้นเพราะฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าพี่ษาจะไปเรียนต่อที่เชียงใหม่ข้าวมื้อนี้มันช่างฝืดคอสำหรับฉันเสียแล้ว

“พี่ษาทำไมไม่เคยบอกอาเรื่องที่พี่จะไปเรียนต่อที่เชียงใหม่เลยหละ แล้วทำไมพี่ภาถึงรู้พวกพี่เห็นอาเป็นตัวอะไร” ฉันระเบิดออกมากลางวงแบบไม่เป็นปี่เป็นขลุ่ยและลุกจากโต๊ะกินข้าววิ่งกลับไปที่บ้านของตัวเอง

เมื่อไปถึงบ้านฉันขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำร้องไห้ออกมาแบบหยุดไม่ได้

“ภาไปดูน้องสิลูก” พ่อบอกอวภาส์ทันทีที่เห็นอาคิราวิ่งออกไปจากบ้าน

“อาคงเสียใจที่ษาจะไปเรียนต่อ” แม่ออกความเห็น

“ก็คงจะจริงนะเพราะอาเค้าติดษามากๆ จนแทบจะแยกไม่ออก” พ่อเห็นคล้อยตามแม่

“สักพักก็คงดีขึ้นเองแหละแม่ อาไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลนะแม่ถ้าเราบอกเหตุผลกับอาอาคงเข้าใจ” อวภาส์บอกกับพ่อและแม่และลุกขึ้นจากโต๊ะเดินไปที่บ้านสีน้ำเงินของอาคิราพร้อมๆ กับแสงอุษา

“อาออกมาคุยกันเถอะอา” อวภาส์เคาะประตูห้องน้ำเรียกน้องสาวของเธอ

“ออกมาเถอะอาเราต้องคุยกันนะ” แสงอุษาช่วยอวภาส์ตะโกนเรียกด้วยอีกคน

“อาไม่คุยกับคนหลอกลวงออกไปจากบ้านอานะไป” ฉันตะโกนออกมาพร้อมน้ำตา

“ได้อาพี่จะไปและไม่กลับมาอีกถ้าอาต้องการ ภาไปส่งเรากลับบานหน่อยสิที่นี่ไม่มีใครต้องการเราแล้ว” แสงอุษาร้องไห้ออกมาและหันหลังเดินออกจากบ้านสีน้ำเงินหลังเล็กนั้นทันที

... จบบทที่ ๑๙ ...




 

Create Date : 06 มิถุนายน 2551    
Last Update : 6 มิถุนายน 2551 0:14:30 น.
Counter : 327 Pageviews.  

เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๑๘ ๖.๔๕ น.

บทที่ ๑๘ ๖.๔๕ น.

หงส์หยกส่งรูปลูกชายของเธอมาให้พวกเราดูและแถมท้ายมาด้วยหนังสือปลุกใจเสือป่าแบบที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อนและมันยังเป็นภาษาอังกฤษด้วยสิ

หนังสือเล่มนี้ฮือฮามากเมื่อฉันนำมันมาให้เพื่อนๆ ได้ดู

“เฮ้ยไอ้หงส์ส่งมาทำไมวะมีแต่รูปผู้หญิงโป๊ทั้งนั้นเลย” รมณถามฉันฉันเลยยื่นจดหมายของหงส์ให้รมณอ่าน

“สวัดดีอาและเพื่อนๆ

เราส่งรูปลูกชายมาให้ดูน่ารักไหมหละกำลังน่ากินขาวจั๊วะเลยนะพวกเธอ แต่ลูกก็ยังตื่นไม่เป็นเวลา รู้ไหมตอนเราคลอดลูกนะเราน้ำหนักขึ้นมา ยี่สิบโลได้แต่ตอนนี้ลดไปมากกว่าตอนที่เรายังไม่ท้องอีกตั้งสองโล ม้าบอกเราว่าเพราะให้นมลูกเองเลี้ยงลูกเองก็เลยน้ำหนักลดลง

หมอบอกว่าน้ำนมแม่มีประโยชน์กับลูกของเราและเวลาที่ลูกดูดนมเราเค้าก็จะอยู่กับอกเราเป็นส่วนที่ทำให้ลูกได้รับความอบอุ่นจากแม่ เราว่าก็มีส่วนนะ ถึงแม้ว่าเวลาที่ลูกดูดนมเราเราจะรู้สึกเจ็บไปหมด แต่เราก็สุขใจที่ลูกได้กินนมเราและหลับไปในอ้อมกอดของเรา

ฉันนะแกตอนที่ต้องอยู่ไฟทรมารมากๆ ต้องมาประคบท้องให้มดลูกเข้าอู่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอู่ของมดลูกมันอยู่ตรงไหนกัน เราต้องกินยาจีนเป็นหม้อๆ ม้าว่าไล่เลือดลม สระผมก็ไม่ได้ อาบน้ำก็ไม่ได้ ยุ่งยากจริงๆ เลยการเป็นแม่คน

แถมยังไม่พอนะเวลาลูกไม่กินนมเราเจ็บมากจนเป็นไข้ เจ็บยิ่งกว่าตอนจะมีประจำเดือนหลายร้อยเท่า ม้าบอกว่ามันคัดต้องเค้นออกมาเล่าแล้วยังเจ็บไม่หาย อะอะ อย่าคิดอะไรมากนะตอนนี้ดีขึ้นแล้วไม่ต้องห่วงไม่ต้องมาช่วยลูกเรากินหรอกนะใสเจียนะเพื่อนๆ

พูดไปพวกเธอก็ไม่เข้าใจหรอกนะว่าการเป็นแม่มันรู้สึกดีแค่ไหน เพราะอีกนานกว่าพวกเธอจะมีลูกเป็นของตัวเอง หรือไม่สำหรับบางคนโดยเฉพาะณีอาจจะไม่มีลูกเป็นของตัวเองเลยก็ได้จริงไหม อิอิ แซวเล่นนะเพื่อนอย่างโกรธกันหละ

เออฉันเห็นหนังสือเพลย์บอยที่นี่วางขายให้เกลื่อนก็เลยคิดว่าพวกแกจะชอบดูสาวๆ โป๊ๆ ก็เลยส่งมาให้ อีกเล่มก็เป็นเรื่ององเหม่ยหลินที่เล่นเป็นอึ้งย้งนะพวกแก ฉันเห็นรูปที่เค้าตายดูแล้วน่าสงสารจังเลย ฆ่าตัวตายตั้งแต่ยังสาว

โชคดีนะที่ฉันไม่ได้คิดสั้นแบบนั้น แค่แฟนทิ้งไม่เห็นต้องคิดมากขนาดต้องฆ่าตัวตายเลยนะเปิดแก๊สรมตัวเองตายในห้องน้ำดูน่ากลัวดีพิลึก คนสวยๆ ดังๆ ทำไมเค้าคิดทำอะไรแปลกๆ แบบนี้ก็ไม่รู้สิเราว่าสิ้นคิดชะมัดเลย

เราเคยคิดว่าถ้าเราฆ่าตัวตายในวันนั้นสองชีวิตก็ต้องจบลงไปและที่สำคัญลูกของเราก็ไม่ได้ลืมตามาดูโลก เราจะบอกว่าลูกเราน่ารักมากๆ เลยนะเพื่อนๆ

เด็กๆ บริสุทธิ์เกินกว่าจะต้องมารองรับอะไรที่เลวร้าย เราตั้งใจไว้ว่าจะเลี้ยงลูกของเราให้ดีสอนเค้าให้รักให้เป็น และไม่ทำร้ายผู้หญิงหรือไม่ก็สอนให้เค้าป้องกันหากจะไปมีอะไรกับใคร

คิดถึงเพื่อนๆ มาก
หงส์หยก”

หนังสือสองเล่ม เล่มหนึ่งสามารถเปิดเผยให้เพื่อนๆ ดูได้ถึงแม้ว่าจะเป็นภาษาจีนก็ยังมีคนนั่งดูรูปไปร้องไห้ไป แต่อีกเล่มเปิดเผยไม่ได้ มีเพียงฉันและเพื่อนสนิทไม่กี่คนที่ได้เห็นหนังสือเล่มนั้น

“ไอ้ณีแกดูสิทำไมต้องมานั่งถ่างแข้งถ่างขาให้ใครๆ เค้าถ่ายด้วยก็ไม่รู้ดูของตัวเองไม่พอใจยังเอามาโชว์ให้ชาวบ้านชาวช่องดูด้วย” รมณนั่งดูไปก็บ่นไป ปิดตาบ้างเปิดตาบ้างด้วยความอาย

“เอาน่าไอ้มณแกก็ดูเป็นขวัญตาก็แล้วกันแต่เรื่องนี้นะเพื่อนถึงไม่แปลกแต่ก็เร้าใจ ฮ่าๆๆ”

“ไอ้นี่วอนซะแล้ววันก่อนยังเห็นเศร้าๆ พอดูรูปโป๊เข้าหน่อยทำคึก” รมณบ่นไปเรื่อย

“ก็นานๆ ได้ดูทีขอดูให้ชื่นใจหน่อยแล้วกันเพื่อนของแบบนี้หาดูยาก หรือว่าแกจะให้ฉันดูก็ไม่ว่ากันนะเว่ยยินดีดูโดยไม่ปิดตา”

ภรณียังพูดไม่ขาดคำรองเท้าของรมณก็เขวี้ยงไปที่หัวของภรณีจังเบ้อเริ่ม จนเจ้าตัวที่โดนรองเท้าถึงกับมึนและจับไปที่หัวของตัวเอง

“ไอ้มณมากไปแล้วนะแก หัวฉันโนเลย” ภรณียื่นหัวของเธอที่โนปูดมาให้ฉันจับ และมันก็โนเป็นลูกมะนาวจริงๆด้วยสิ

“ก็แกมาปากมากพูดเรื่องแบบนี้ได้ไงวะไอ้ณีถึงแม้ฉันจะเป็นเพื่อนแกแต่เรื่องแบบนี้พูดเล่นได้ที่ไหนกัน” รมณยังคงงอนไม่เลิก และดูเหมือนว่าจะโกรธภรณีเอามากๆ

“ใจเย็นน่าไอ้มณไอ้ณีมันคงแซวแกเล่นๆ ไม่ได้จริงจังอะไรหรอก” ฉันบอกรมณให้เธอใจเย็นๆ ลงอีกสักนิดอย่างไรเสียทั้งสองคนก็เพื่อนกัน

“ใช่ฉันแซวแกเล่นไม่ได้คิดจะไปดูอะไรของแกหรอกเพื่อน” ภรณีสำทับฉันอีกรอบ

“แล้วไปถ้าแกคิดพิเรนมาขอดูของฉันจริงๆ เมื่อไหร่แกไม่ได้แต่หัวโนหรอกนะไอ้ณีแต่หัวของแกจะแตกเพราะเก้าอี้ที่ฉันนั่งมันจะทุบหัวของแกจำไว้ด้วย” รมณคาดโทษภรณีจริงๆ จังๆ

ฉันไม่อยากจะบอกรมณว่าอย่าไปท้าทายภรณีเพราะฉันรู้ว่าภรณีชอบทำอะไรที่ใครๆ คิดไม่ถึงเสมอๆ แต่ก็ปากหนักไม่ได้พูดออกไป เพราะเห็นสองคนยังสร้างสงครามเย็นกันอยู่ อีกอย่างฉันเห็นว่ารมณอยู่หอเรื่องที่ฉันคิดไว้มันคงจะไม่เกิดแน่ๆ

ฉันจึงวางใจกับสิ่งที่ตัวเองคิดและเลิกคิดถึงเรื่องนี้อีก

.............................

เรื่องหนังสือที่หงส์หยกส่งมาสร้างปัญหาให้กับฉันมากมาย จะเก็บไว้ที่บ้านก็กลัวจะโดนจับได้ว่ามีหนังสือโป๊อยู่ในมือ ครั้งจะเก็บไว้ที่โรงเรียนก็กลัวจะมีใครเอาไปฟ้องครู

ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้ปกปิดว่ามีหนังสือ แต่ก็ไม่อยากจะเปิดเผยอะไรมากนัก อีกอย่างฉันยังอ่านไม่จบเพราะพยายามแปลคำศัพท์บางอย่างแต่ในดิกชั่นนารีก็ไม่มีคำแปล ยิ่งทำให้ฉันอยากรู้อยากเห็นกับคำศัพท์มาขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อไหร่ที่เพื่อนถามฉันก็จะเอาหนังสือเล่มอื่นปิดหน้าปิดหลังและส่งให้เพื่อนเอาไปนั่งดูกัน

“เฮ้ยแก นี้มันยี้” ขวัญหทัยดูรูปแล้วก็ร้องวี๊ดว๊ายไปตามเรื่องตามราว

เพื่อนๆ อีกหลายๆ คนก็มาขอดูบ้างโดยเฉพาะตุลาเพื่อนร่วมรุ่นข้างห้องของฉัน

“อานี่มันรูปจริงๆ เหรอแก”

“เออก็ใช่สิรูปจริงๆ” ฉันตอบ

“แล้วทำไมมันถึงได้กล้าถ่ายแบบนี้หละ” คำถามเดิมๆ ที่ฉันก็ตอบไม่ได้อีกเช่นกัน ฉันให้ตุลาและเพื่อนๆ ของเธอดูไปจนจบเล่มและเธอก๋ส่งกลับมาคืนฉัน

“ขอบใจนะอามันก็แปลกดีแต่เราว่าอย่าเอามาให้ใครดูอีกเลยนะเพราะว่ามันเสี่ยง”

“เสี่ยงอะไรตุ”

“ก็เสี่ยงโดนครูจับได้ไงถ้าครูจับได้มันจะเป็นเรื่องไปมากกว่านี้ แต่ก็อย่างว่านะเราเองก็ยังอยากดูเลยพอได้ข่าวว่าอามีหนังสือเราก็กล้าๆ กลัวๆ ที่จะมาขอดู”

“แล้วทำไมวันนี้ถึงกล้ามาขอดูหละตุ”

“ก็นะความอยากรู้มันมีมากกว่าความกลัวไงก็เลยกล้าแฮะๆๆ แต่ไงเราก็ขอบใจนะเพื่อนที่ช่วยเปิดหูเปิดตาให้เรา เราคิว่าคงจะไม่ดูอีกแล้วหละรูปแบบนี้เพราะดูแล้วไม่ประเทืองปัญญาเลยไปนะเพื่อนแล้วเจอกันตอนซ้อมดนตรี” ตุลายิ้มแหยๆ และเดินจากไปพร้อมกลุ่มเพื่อนของเธอ

และเรื่องที่ไม่เป็นความลับก็ไปถึงหูของเกวลีหัวหน้าห้องตัวแสบไม่รู้จบของฉันจนได้

เกวลีบอกฉันว่าขอดูหน่อยเพราะได้ข่าวว่าฉันมีฉันก็ไม่ได้ปกปิดอะไรยื่นให้เธอดูจากนั้นเกวลีก็วิ่งเอาหนังสือเล่มนั้นไปหาครูและบอกครูว่าฉันเป็นตัวเผยแพร่สิ่งลามกอนาจารในห้องเรียนทำให้เพื่อนๆ ไม่เป็นอันเรียนหนังสือ

ฉันโดนเรียกไปที่ห้องครูฝ่ายปกครองอีกครั้ง และครั้งนี้ฉันยอมรับในความผิด ครูส่งหนังสือเรียกผู้ปกครองมาที่โรงเรียนอีกแล้ว พี่ภาเป็นคนเดินหนังสืออีกเช่นเคย

ฉันกลับมาสารภาพเรื่องทั้งหมดให้พ่อกับแม่ฟัง พ่อมองหน้าฉันสีหน้าขรึมๆ แต่ก็ไม่ได้ดุว่าอะไรฉันเหมือนเช่นเคย ส่วนแม่มองหน้าพ่อและมองหน้าฉันก่อนที่จะบอกว่า

“ไปนอนได้แล้วอาทำการบ้านอ่านหนังสือแล้วก็นอนซะ”

ฉันทำตามแม่บอกอย่างว่าง่ายเดินกลับเข้าห้องไปอย่างง่ายดาย แต่ก็อดที่จะยืนอยู่ที่ประตูห้องเพื่อแอบฟังพ่อกับแม่คุยกันไม่ได้

“พ่อลูกทำไมถึงได้เล่นอะไรพิเรนแบบนี้”

“มันเป็นเรื่องปกติของเด็กๆ ที่อยากเรียนรู้นะแม่”

“แต่แม่ไม่เคยเป็นแบบลูกเลยนะพ่อ แม่ว่ามันชักจะทะแม่งๆ นะ”

“ทะแม่งตรงไหนกันเด็กสมัยนี้อยากรู้อยากเห็นมากว่าสมัยเรานะแม่ ตอนพ่ออายุเท่าลูกพ่อก็ดูเหมือนกันไอ้หนังสือโป๊เนี่ยะ”

“มันไม่เหมือนกันพ่อ เพราะพ่อเป็นผู้ชายแต่ลูกเราเป็นผู้หญิงมันจะเหมือนกันตรงไหน”

“แล้วแม่ว่าลูกผู้หญิงกับลูกผู้ชายมันแตกต่างกันเหรอ พ่อว่าเด็กก็คือเด็กจะหญิงหรือชายมันก็เหมือนกันอยากรู้อยากเห็นเหมือนกัน พ่อว่านะแม่ลูกไม่ได้ไปติดยาเสพติดยังเป็นลูกที่ดีสำหรับพ่อก็เพียงพอแล้ว”

“แม่ว่าที่ลูกเป็นแบบนี้ก็เพราะพ่อนั่นแหละสอนให้ลูกเล่นอะไรแบบผู้ชาย ความคิดก็เลยเป็นแบบผู้ชายดูสิลูกเราสวยๆ กลายเป็นลิงไปแล้วเฮ้อ…” แม่ถอนหายใจเหมือนกับว่าฉันเป็นตัวต้นเหตุในการนำเอาเรื่องความหนักอกหนักใจมาให้แม่

“พ่อยากให้อาเป็นผู้ชายด้วยซ้ำไป อาจะได้ดูแลพี่ของเค้าได้ แม่ก็รู้ว่าภาเค้าดูเข้มแข็งก็จริง แต่จริงๆ แล้วภาอ่อนแอมากว่าเกราะภายนอกที่เค้าสร้างมาปกป้องตัวเอง แม่เองก็เคยอยากให้อาเป็นลูกผู้ชายไม่ใช่เหรอตอนแม่ท้องพ่อยังจำได้เลยว่าแม่เรียกอาว่าไอ้ลูกชายอย่าเตะบอลในท้องแม่สิ”

“ก็ใช่พ่อแต่พ่อก็อย่างลืมว่าอาเป็นลูกผู้หญิงนะ”

พ่อเดินมากอดแม่และบอกแม่ว่า

“ลูกจะเป็นไงก็ช่างนะแม่ถ้าเราไม่ให้ความรักความอบอุ่นกับเค้าไม่ว่าจะเป็นภาหรืออาก็ตามเถอะ หากเค้าไปโหยหาความรักความอบอุ่นจากคนอื่นๆ และไม่เปิดใจที่จะคุยกับเรามันจะยิ่งแย่กว่านี้นะแม่

เอาเถอะแม่อย่างน้อยลูกก็กล้ามาสารภาพว่าลูกทำอะไรผิดลงไป อย่าไปซ้ำเติมลูกและเราก็ต้องช่วยกันดูแลและอธิบายให้ลูกเราเข้าใจ พ่อว่าแม่นั่นแหละต้องเป็นคนอธิบายให้ลูกเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น เพราะแม่เป็นผู้หญิงจะให้พ่อไปอธิบายมันก็คงลำบากหน่อย”

“จ๊ะพ่อแม่จะพยายาม”

ฉันได้ยินคำสนทนาของพ่อกับแม่เต็มๆ สองหู พี่ภาเองก็ได้ยินเช่นกัน เราสองคนมองหน้ากัน พี่ภาส่ายหน้ากับฉัน ฉันรู้ว่าสิ่งที่พี่ภาแสดงออกนั้นคืออะไร เพราะฉันยังมีเรื่องหนึ่งที่ฉันยังคงปกปิดพ่อกับแม่ไว้ หากพ่อกับแม่รับรู้เรื่องนั้นพ่อกับแม่จะรักฉันแบบที่ฉันเป็นอยู่หรือเปล่า

ความคิดยังคงวกวนอยู่ในหัวสมองน้อยๆ ของฉันตลอดเวลาที่ทำการบ้านและอ่านหนังสือ

สักวันหนึ่งฉันจะสารภาพความในใจของฉันให้พ่อกับแม่ได้รับรู้แต่ตอนนี้คิดว่ายังไม่ถึงเวลา

…………………

พ่อมาที่โรงเรียนของฉันอีกครั้ง และครั้งนี่แม่ก็มาพร้อมกับพ่อด้วย ฉันรู้สึกผิดที่ต้องทำให้พ่อกับแม่เสียเวลาในการทำงานและต้องมายุ่งวุ่นวายกับเรื่องของฉัน

ฉันยืนรออยู่ที่หน้าห้องครูฝ่ายปกครองพยายามจะฟังเรื่องที่ครูคุยกับพ่อและแม่แต่ก็ได้ยินไม่ถนัดนักพอจับใจความได้ว่าฉันเอาหนังสือโป๊มาให้เพื่อนๆ ได้ดูกันทั้งห้องจนหัวหน้าห้องทนไม่ไหวต้องเอามาให้ครู

ครูหยิบหนังสือเจ้าปัญหาเล่มนั้นส่งคือให้กับพ่อ

“หนังสือนี้ไม่มีขายแถวบ้านเราเด็กบอกว่าเพื่อนที่ลาออกไปแล้วส่งมาให้จากเมืองนอก ก็เลยเอามานั่งดูนั่งอ่านกัน” ครูบอกกับพ่อฉัน

“เออดีนะเจ้าอาอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้ด้วยมันเก่งแฮะ พ่อยังอ่านได้งูๆ ปลาๆ เลย”

“คุณก็ไปเข้าข้างลูกแบบนี้ไม่ได้นะ”

“ก็หรือไม่จริงหละแม่ดูสิมีเขียนคำแปลศัพท์ไว้ด้วยไมเชื่อแม่ลองดูสิ”

แม่ก้มลงอ่านหนังสือเล่มนั้นและก็เห็นลายมือขยุกขยิกของฉันอยู่ในหนังสือ เพราะฉันจะเปิดดิกและเขียนคำแปลไว้เมื่อคำไหนอ่านไม่ออก และแน่นอนมันอ่านและแปลไม่ออกเกือบทุกคำยกเว้น ไอกับยู

แม่อ่านไปก็ขำไปกับคำแปลของฉันในหนังสือ

“เออจริๆงด้วยพ่ออาเขียนไว้ละเอียดเชียว แบบนี้ต้องสนับสนุกให้เรียนภาษาด้วยหนังสือโป๊แล้วมั๊งอิอิ” แม่เริ่มจะคล้อยตามพ่อขึ้นมาบ้างแล้ว แถมยังขำที่ฉันเขียนอะไรลงไปในหนังสือเยอะไปหมด

“ทางเราคิดว่าการที่เด็กสนใจอยากรู้อยากเห็นมันไม่ได้มีความผิดอะไร แต่สิ่งที่เด็กทำไปอยากรู้อยากเห็นเรื่องแบบนี้ทางเราก็รับไม่ได้เหมือนกันค่ะ เพราะเรากลัวว่ามันจะเลยเถิดไปกันใหญ่ ทางที่ดีคุณพ่อคุณแม่ต้องคอยสอนเด็กให้รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรนะคะ” ครูบอกกับพ่อและแม่

“ผมก็จะพยายามบอกลูกแล้วกันครับว่าสิ่งที่เค้าทำอยู่มันผิดศีลธรรมแต่คุณก็ต้องเข้าใจอะไรเหมือนกันว่าเด็กกำลังต้องการเรียนรู้ และเด็กในวัยนี้เพื่อนคือสิ่งที่สำคัญสุด คุณเองก็เคยผ่านการเป็นเด็กในวัยเดียวกับเค้าไม่ใช่เหรอคุณครู

อีกอย่างในฐานะที่ผมเป็นพ่อ ผมกลับคิดต่างกับครู ถ้าเราไปปิดกั้นความรู้หรือการเรียนรู้ของเค้า ถ้าเค้าไปทำอะไรนอกสายตาเรา เราเองหละที่จะเสียเค้าไปอย่างกู่ไม่กลับ มันไม่จำเป็นหรอกครับที่เราต้องไปตามดูเค้าทุกฝีก้าว

เพื่อผมคนนึงสมัยยังอายุเท่าเค้าเพราะพ่อแม่ปิดกั้นมากเกินไปบังคับทำโน่นทำนี่เสมอๆ สุดท้ายเค้าก็ติดยาหนีออกจากบ้าน คุณครูจะเชื่อผมไหมว่าผมพึ่งจะพบกับเค้าก็เมื่อสองสามเดือนก่อน สาเหตุที่พบก็คือเค้าไปเป็นโจรและผมไปเป็นคนจับเค้าเองกับมือของผม

มันออกจะดูเศร้าไปนิดนะครับแต่มันคือเรื่องจริงที่ผมเห็น แล้วผมจะไม่ทำอย่างเดียวกับพ่อของเพื่อนผมเด็ดขาด แต่ถ้าคุณจะทำโทษเด็กผมก็ไม่ว่าอะไร เพราะมันเป็นกฎของโรงเรียนแต่อย่าลืมว่าอาคิราคิดอะไรที่ไม่เหมือนเด็กทั่วไป ถ้าจะเกิดการต่อต้านจากเค้าผมก็คงช่วยอะไรไม่ได้”

“ค่ะสารวัตรเราก็เข้าใจว่าอาคิราติดอะไรแปลกๆ เสมอ เราถึงได้เชิญคุณให้มาคุยกับพวกเราก่อนว่าจะให้ลงโทษอย่างไร”

“ตัดคะแนนความประพฤติสิคะ แค่นี้ขี้คร้านแม่อาจะกระโดดเหยงๆ เพราะไม่มีทางได้เกรดสีทุกวิชาแน่นอน” แม่ยื่นข้อเสนอ

“ทางเราก็กำลังคิดอยู่ค่ะว่าจะทำแบบนั้น แต่ก็กลัวว่าหากตัดไปเกิดอาคิราไม่ตั้งใจเรียนอีกทั้งๆ ที่เคยเรียนดีมาก่อนทางเราก็รู้สึกเสียดาย การจะลงโทษเด็กแต่ละครั้งมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียเหมือนๆ กันทั้งนั้นหละคะ”

พ่อกับแม่นั่งคุยกับครูอีกพักใหญ่โดยมีฉันยืนฟังอยู่ที่หน้าประตูและทั้งสองท่านก็ลาครูกลับพ่อเห็นฉันยืนอยู่ก็ทักทาย

“ไงอาแอบฟังอีกแล้วเสียมารยาทมากนะลูก” พ่อยกมือใหญ่ๆ ของพ่อขึ้นมาขยี้ผมฉันแรงๆ

“โอ๊ยพ่ออาหมดสวยพอดีต้องไปมัดผมใหม่แล้วนี่” ฉันโวยวาย

“เรื่องจิ๊บๆ แค่นี้ทำโวยวายไปได้ ไปเรียนได้แล้วไม่มีอะไรแล้ว คราวหลังถ้ามีอะไรบอกพ่อก่อนก็แล้วกันจะได้ช่วยกันรับมือครูได้ถูกฮ่าๆๆๆ” พ่อหัวเราะแต่แม่ทำหน้ามุ่ย

“สองคนพ่อลูกเข้ากันอย่างกับฉิ่งฉาบ” แม่ประชดประชันในน้ำเสียง

“เอ๊าก็เค้าพ่อลูกกันไม่ให้เข้าข้างกันจะไปเข้าข้างใครจริงไหมอา” พ่อพยักหน้าให้กับฉันและฉันก็พยักหน้ารับเป็นการเข้าใจกันสองคน

ตกลงวันนั้นก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับฉัน เพราะครูไม่ได้ลงโทษอะไรฉันและฉันก็ไม่ได้ขุดคุ้ยเอาเรื่องกับเกวลีเพราะฉันรู้ตัวดีว่าเรื่องนี้ฉันผิดเต็มๆ

.................

วันลอยกระทงปีนี้ก็เหมือนกับปีที่ผ่านมาแต่จะต่างกันตรงที่ว่าพี่ภาเป็นคนคุมแถวน้องๆ ให้เดินเป็นระเบียบเพราะพี่ภาอยู่ชั้นมอสามแล้ว ส่วนพี่ษาก็เป็นดรัมเมเยอร์ไม้หนึ่งของวงฉัน

พี่ษาสวยในชุดกระโปรงผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินบานๆ สั้นกุด รองเท้าบู๊ตทรงสูงมาถึงหัวเข่า หมวกเปเล่ที่ประดับไปด้วยขนนกเป็นพู่ เวลาเดินผ่านฝูงชนก็จะมีคนถ่ายรูปพี่ษากันให้แสงแฟลชเข้าตา ฉันแอบอิจฉาคนที่ได้ถ่ายรูปพี่ษาเพราะฉันเองก็อยากถ่ายรูปของเธอเช่นกัน

ฉันให้พี่ภาเป็นตากล้องคอยถ่ายรูปพี่ษาให้ฉันในอิริยาบถต่างๆ พี่ภาก็ดูเหมือนจะทำตามที่ฉันบอกอย่างว่าง่าย

ปีนี้ฉันไม่ได้เอารถมาเพราะแม่มาส่งพวกเราเป็นธุระรับส่งพี่ษาไปแต่งหน้าทำผมและไปส่งฉันกับพี่ภาที่โรงเรียน แม่นัดกับพวกเราว่าจะต้องมาเจอแม่ที่จวนเพราะแม่จะรออยู่ที่นั่น เนื่องจากแม่ไม่อยากให้พี่ษาใส่ชุดดรัมเดินไปเดินมา เพราะกลัวเหล่าพวกผู้ชายจะมาจีบและลวนลามพี่ษา

ฉันว่าดูแม่จะห่วงใยพี่ษามากว่าฉันกับพี่ภาเสียอีก จะว่าไปแม่ก็คิดถูกเพราะชุดของพี่ษาดูจะโป๊ไปหน่อยหากไม่ได้เดินนำหน้าวงโยของฉัน

แม่ยืนรออยู่แล้วที่ท่าน้ำข้างๆ จวน และก็เข้ามาประกบพี่ษาจากนั้นก็พาพี่ษาไปเปลี่ยนเป็นกระโปรงนักเรียนและรองเท้าแตะที่รถก่อนที่จะพามาที่ท่าน้ำ ปีนี้ฉันไม่ได้กลับไปโรงเรียนเพราะรมณบอกว่าจะเอาเครื่องดนตรีของฉันไปเก็บให้ ภรณีก็ตามไปเช่นกันเพราะเธอเอารถมอเตอร์ไซด์ไปจอดไว้ที่โรงเรียนเหมือนกันฉันก็เลยวางใจ

พวกเราสี่สาวลอยกระทงด้วยกันแม่บอกว่าสี่คนลอยไปกระทงเดียวไม่เปลืองและไม่เป็นขยะมากนัก กระทงของเราสี่คนโดนปล่อยไปได้ไม่นานก็มีเด็กมาเก็บเงินในกระทงเหมือนทุกปี

“แม่จ๋าแบบนี้สิ่งที่เราขอไว้กับกระทงมันจะได้ผลเหรอก็มีคนมาเก็บของเราไปแล้ว” ฉันถามแม่เพราะว่าฉันข้องใจมานานแล้วกับเรื่องการที่มีคนมาเก็บกระทงของฉันไป

“ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยอาเรามาขอขมาเจ้าแม่คงคาที่ท่านให้เรามีน้ำได้กินได้ใช้มาทุกวันนี้ และเราก็ขอให้เจ้าแม่คงคาปกป้องคุ้มครองเรา เราก็ถือซะว่าสิ่งที่เราทำไปมันได้ทำถูกต้องตามหลักจารีตประเพณีแล้ว ใครเค้าจะมาเอากระทงเราไปไหนก็สุดแล้วแต่

อีกอย่างมันก็เป็นอาชีพของเค้า พอเค้าเอาไปเค้าก็เก็บให้มันจะได้ไม่เป็นขยะในแม่น้ำ อาดูสิกระทงของแต่ละคน บางคนก็เป็นกระทงโฟม บางคนก็เป็นกระทงใบตอง ถ้าทิ้งไว้เป็นขยะในแม่น้ำน้ำก็จะเน่าเสีย”

“ไหนครูบอกว่ากระทงใบตองไม่ทำให้น้ำเสียไงแม่”

“ทุกอย่างก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียนะอา อย่างใบตองมีข้อดีคือย่อยสลายได้ แต่ถ้ามันมีปริมาณมากๆ กว่าจะย่อยก็อีกหลายเดือนเหมือนอาเอาใบไม้มาทำปุ๋ย ถ้าปริมาณน้อยๆ มันก็ย่อยได้เร็วแต่ถ้าปริมาณมากๆ ทำไมอาต้องเผาก็เหมือนกันแหละอา”

“ก็เพราะมันมีเยอะไงแม่มันจะรกบ้าน”

“เหมือนกันแหละอากระทงใบตองก็เหมือนกับใบไม้ที่มีเยอะๆ มันก็จะทำให้แม่น้ำสกปรก แต่ไม่ได้หมายความว่ากระทงโฟมจะดีกว่านะเพราะโฟมย่อยสลายไม่ได้ มันก็จะไปเกาะติดอยู่กับเกาะกลางแม่น้ำ ติดตามต้นไม้แต่ขอดีของ โฟมก็คือเก็บไปทิ้งได้ง่ายกว่าใบตองก็แค่นั้น”

“นี่แสดงว่ากระทงของพวกเราทุกคนไม่มีของใครลอยไปถึงทะเลได้เลยเหรอแม่”

“ไม่มีหรอกลูก ถ้าไปได้ไกลสุดๆ ก็เขื่อนที่ไหนสักแห่ง”

“แล้วทำไมต้องมีประเพณีลอยกระทงหละแม่ถ้าเป็นแบบนี้มันก็ไม่ดีเลยสิทำให้แม่น้ำสกปรก”

“ก็เพราะมันเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมายาวนานแล้วสิลูก คนเรามีวัฒนธรรมของเราเอง และเราก็ต้องสืบสานวัฒนธรรมที่ดีงามของเราต่อๆ ไป อาลองคิดูนะถ้าไม่มีประเพณีชาติเราก็ไม่มีอะไรโยงยึดให้คนมาร่วมกิจกรรมกัน ไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่านี่คือชาติ”

“อาไม่เข้าใจเลยแม่ทำไมต้องโยงยึดไว้ด้วยชีวิตใครใครก็ใช้ไปสิ มาโยงกันไว้ทำไม”

“อาคิดแบบนั้นก็ไม่ถูกลูก บ้านมีกฎบ้านเมืองมีกฎหมาย สังคมมีกฎของสังคม หากใครใช้ชีวิตแบบตัวใครตัวมันไม่มีความเอื้ออาทรกันและกันโลกก็คงจะไม่น่าอยู่จริงไหม”

“ค่ะแม่” ฉันรับคำแม่แต่ก็ยังคงเกิดความสงสัยในใจอยู่ดี

“ภาน้องเธอขี้สงสัยแบบนี้เสมอเลยเหรอ” แสงอุษาอึ้งที่อาคิราซักโน่นซักนี้แม่อยู่ตลอดเวลา

“ใช่สิภาเราไม่ค่อยโดนถามเท่าไหร่นักหรอกแต่แม่กับพ่อต้องหาคำตอบมาตอบอาให้ได้ถ้าไม่ได้อาก็จะถามๆ อยู่อย่างนั้นจนพ่อกับแม่ปวดหัวไปเลยนะ”

“อืมเหรอพึ่งรู้นะนี่”

“สมัยยังเด็กนะอาไปถามแม่ว่าแม่อาเกิดมาได้ไงแม่อึ้งไปพักใหญ่บอกว่าอาก็เกิดมาจากท้องของแม่ไง แล้วรู้ไหมว่าอาทำไง อาจะเข้าไปดูให้ได้ว่าอาออกมาจากตรงไหนมุดกระโปรงแม่ทุกวัน” อวภาพูดไปหัวเราะไปเมื่อนึกถึงภาพอาคิรามุดกระโปรงแม่สมัยเมื่อยังเด็ก

“กว่าแม่จะอธิบายได้ก็ตอนที่น้าเราคลอดลูกและอาเห็นว่าท้องของน้ายุบลงและมีน้องออกมาตัวเป็นๆ อาก็เลยเลิกคิดเรื่องกลับเข้าไปในท้องแม่อีก”

“ฮ่าๆๆ เหรอ เออเข้าใจคิดนะเรายังไม่เคยถามแม่เลยว่าเราออกมาจากไหน” แสงอุษาอดขำความคิดของอาคิราคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของเธอไม่ได้

หลังจากนั้นพวกเราก็ปล่อยโคมด้วยกันสนุกอย่างสนุก นานๆ จะมีประเพณีแบบนี้ให้ได้เล่น ฉันซื้อพลุมายิงขึ้นฟ้าเล่นและก็เอาประทัดเม็ดมะยมมาปาเล่นไปทั่ว จนแม่ต้องเอ็ดว่าหนวกหู ฉันว่าถึงฉันจะไม่เล่นก็มีคนอื่นเล่นกันเยอะไปหมด

ฉันมีดอกไม้ไฟอยู่ในถุงหูหิ้วอยู่หลายชนิด ทั้งแบบงูที่พอจุดแล้วจะมีเลื้อยๆ ออกมาเป็นงูสีดำ ทั้งแบบโอ่งที่จุดเป็นดอกไม้ไฟพุ่งๆ แถมยังมีไฟเย็นอีกหลายห่อ แม่ปล่อยให้พวกฉันสามคนเล่นกันจนหนำใจก็พากันกลับบ้าน เพราะเห็นว่าดึกมากแล้วน้ำค้างก็ลงมาเยอะกลัวพวกเราจะไม่สบาย

กลับถึงบ้านแม่ไล่ฉันกับพี่ภาไปอาบน้ำนอนแต่ตัวแม่กับพี่ษายังคงช่วยกันล้างเครื่องสำอางค์ออกจากใบหน้าของพี่ษาจนฉันกับพี่ภาอาบน้ำเสร็จแม่ก็ยังล้างเครื่องสำอางให้พี่ษาไม่เสร็จ

“แม่ทำไมล้างหน้านานจังเลยหละคะ” พี่ภาถามแม่

“ก็ถ้าล้างไม่ดีจะเป็นสิวได้ไงลูก อีกอย่างร้านนี้ใช้แบบกันน้ำเลยล้างออกยาก”

“ทำไมต้องกันน้ำหละแม่” พี่ภาซักแม่

“ก็เพราะว่าเค้าคงเห็นว่าจะไปเดินแล้วก็กลัวเหงื่อออกก็เลยใช้เครื่องสำอางค์กันน้ำเวลาเหงื่อออกจะได้ไม่ไหลเยิ้มลงมาเปื้อนเสื้อผ้าไงภา”

“ยุ่งยากจังเน๊อะแม่” ฉันบ่น

“ทำบ่นอีกหน่อยขี้คร้านจะแต่งหน้าไปทำงานทุกวัน”

“ไม่มีทางแม่อาไม่มีทางแต่งหน้าไปทำงานแน่ๆ เชื่ออาสิยุ่งยากจะตายไปกว่าจะวาดคิ้วเสร็จ กว่าจะทาปากเสร็จ โอ๊ยน่าเบื่อจะตาย” ฉันทำท่าอ้าปากวาดคิ้วและทาปากให้แม่ดู

“ว่าแต่แม่ทำไมเวลาที่แม่วาดคิ้วแม่ต้องอ้าปากด้วยหละไม่ได้ทาลิปซะหน่อย” ฉันซักแม่เพราะเห็นเวลาแม่วาดคิ้วทีไรต้องอ้าปากกว้างๆ ทุกที

“มันคงเป็นความเคยชินมั๊งก็เวลาที่อาป้อนข้าวคุณยายทำไมอาถึงต้องอ้าปากตามคุณยายด้วยหละ” แม่หันมาถามฉันกลับ

“ก็อาลุ้นคุณยายให้กินข้าวไงแม่กลัวข้าวจะติดคอคุณยายไง”

“ก็เหมือนๆ กันแหละแม่ก็ลุ้นกลัวเขียนคิ้วพลาดเหมือนอาไง”

“เหมือนตรงไหนแม่นั่นคิ้วนะแม่ไม่ไช่ปาก” ฉันเถียงอีกแล้ว

“บอกว่าเหมือนก็เหมือนสิไม่เชื่ออาลองดู” แล้วแม่ก็จับฉันให้มานั่งหน้ากระจก ให้ฉันเขียนคิ้วเอง

แรกๆ ฉันก็ไม่อ้าปากหรอกคะ หลังๆ คงเพราะเกร็งก็เลยอ้าปากแบบแม่ พึ่งจะรู้เหมือนกันว่าการแต่งหน้าของผู้หญิงก็ต้องมีแทคนิคในการแต่งกับเค้าด้วยเหมือนกัน

แต่ที่สำคัญตอนนี้ฉันต้องมานั่งลบคิ้วที่ฉันเขียนเองเมื่อสักครู่ กว่าจะลบเสร็จก็เล่นเอาง่วงไปตามๆ กัน

และที่สำคัญฉันรู้ถึงสาเหตุของการล้างหน้านานๆ เมื่อต้องแต่งหน้าแล้วว่าเพราะอะไร ก็เพราะขั้นตอนในการล้างมีทั้งล้างและบำรงผิว

ชาตินี้อาคิราจะไม่แต่งหน้าถ้าไม่จำเป็นสาบานจริงๆ

... จบบที่ ๑๘ ...




 

Create Date : 05 มิถุนายน 2551    
Last Update : 6 มิถุนายน 2551 0:13:37 น.
Counter : 310 Pageviews.  

เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๑๗

บทที่ ๑๗ ๖.๔๐ น.

ระหว่างการนอนเล่นนั่งเล่นด้วยกันในเต็นท์สร้างเอง อวภาส์กับแสงอุษาต่างชักชวนกันคุยเรื่องอื่นๆ ไปเรื่อยเปื่อย เพราะเจ้าเมืองตอนนี้นอนขึ้นอืดอยู่

“ภาเล่าเรื่องของอาสมัยเด็กๆ ให้เราฟังหน่อยสิ เราอยากรู้” แสงอุษาวักชวนอวภาส์คุยไปเรื่อยๆ เพราะไม่อยากให้เกิดความเงียบ

ท่านเจ้าเมืองพอได้ยินคำกล่าวของแสงอุษาก็รีบลุกจากท่านอนอืดและแย้งขึ้นมาในทันที

“โอ้ว ไม่นะพี่ท่าน พี่ท่านอย่างเล่าอะไรอันเป็นการมิบังควรแกบุคคลภายนอกเมืองเด็ดขาด”

“ท่านเจ้าเมืองจะเกรงกลัวอันใดฤา ข้าน้อยมิได้ใคร่ที่จักเล่าอันใดแก่บุคคลอื่นดอกท่าน”

“ก็เรื่องของข้านั้นมันช่างมีออกเกลื่อนไป หากท่านพี่จักนำมาเล่าต่อข้าก็จักมิให้ท่านพำนักในดินแดนแห่งข้าได้ดอก” เจ้าเมืองเริ่มร้อยตัวขึ้นมาในฉับพลัน

“ท่านทำเยี่ยงนี้เป็นการมิบังควรอย่างยิ่ง ท่านไม่รู้เขารู้เรา ท่านจักรบแพ้ทุกคราไป”

“แล้วเหตุไฉนท่านมิปิดปากตนเองเล่า หากท่านปิดปากตนเองแล้วไซร้ เรื่องมิบังควรก็จักมิหลุดออกไปให้เหล่าประชาราษฏร์ได้รับรู้” ดูเหมือนว่าเจ้าเมืองกำลังจะติดสินบนบางอย่างแก่อวภาส์

“ท่านจักติดสินบนข้าดอกรึท่านเจ้าเมือง”

“มิบังอาจดอกท่านพี่อันเป็นที่รักแห่งข้า สินบนใดจักทำให้ท่านพี่หยุดการเล่าขานถึงข้าได้ เพียงหากท่านมิได้รักและหมดเยื่อใยในตัวแห่งข้า ท่าก็จงเล่าไปเถิด” ท่านเจ้าเมืองออกอาการน้อยใจเชษฐภคินีผู้ร่วมสายโลหิต

“เรื่องของท่านมิบังควรที่จะเล่าดอกรึ แต่ข้าว่าหากเล่าขานออกไปจักสร้างความครื้นเครงให้กับพสกนิกรของท่านยิ่งนัก”

“ข้าก็อยากที่จะสดับรับฟังเรื่องอันเป็นวีรกรรมของท่านยิ่งนักท่านเจ้าเมืองผู้แสนประเสริฐ” แสงอุษาที่นั่งฟังพี่น้องร่วมสายโลหิตคุยกันแล้วก็นึกอยากที่จะเล่นด้วย

“งั้นพวกท่านก็ไปเล่าขานถึงข้า ณ.ที่อื่นที่มิใช่เมืองของข้าเถิดท่าพี่” เจ้าเมืองงอนเข้าแล้วสิ

“แน่นะท่านเจ้าเมืองท่ามิกลัวข้าเล่าโดยใส่ความท่านดอกหรือ” อวภาส์ทำหน้าตาเจ้าเล่กับน้องสาวของตัวเอง

“เออจริงสิลืมไปเลย งั้นเล่าที่นี่ก็ได้ จะได้อยู่ฟังด้วย”

“ฮ่าๆ ลืมสำนวนลิเกเลยน้องฉัน”

“พวกเธอสองคนนี้น่ารักดีนะเราฟังแล้วเหมือนกับกำลังดูลิเกแถวตลาดเลย” แสงอุษาออกความเห็น

“ก็ยายอานะสิชอบเหลือเกินเล่นแบบนี้เราก็เลยต้องเล่นด้วยไม่ให้เล่นกับอาให้เราไปเล่นกับใครหละษามีกันสองคนพี่น้อง บ้านใกล้ๆ ก็มีแต่พี่ๆ ทั้งนั้น เราสองคนเหมือนถูกโดดเดี่ยวให้เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว”

“พี่ภาก็พูดเกินไปอาไม่ได้ติดลิเกสักหน่อย”

“หรือไม่จริงพอเข้าสวนที่ไรอาน่ะก็เล่นแบบนี้ทุกที เป็นเจ้าเมืองบนต้นไม้บ้างหละ เป็นอัศวินปราบมารบ้างหละ เดี๋ยวก็เป็นจอมโจรจอมใจ เดี๋ยวก็เป็นลี้กิมฮวง บางที่ก็เป็นติงผงพระเอก พ่อยังต้องไปซื้อดาบพลาสติกมาให้เล่น ยายอาก็เอาไปเล่นฟันไม้จนดาบพลาสติดยับเยินไปหมด”

“พี่ภาหยุดเล่าเลยนะ”

“ภาอย่าหยุดนะ เรากำลังฟังเพลินเลย”

“พี่ภาจะเชื่อใครระหว่างน้องกับเพื่อน” ฉันยื่นคำขาดคิดว่าพี่ภาคงกลัวอยู่บ้าง

“ไม่เชื่อใครทั้งนั้นอยากเล่าก็จะเล่ามีไรมะ” อวภาส์ท้าทายน้องคนเดียวของเธอ

“โป้งพี่ภาแล้วโกรธร้อยปีอย่ามาดีร้อยชาติ”

“งั้นดีเลย เย็นนี้อารีดผ้าเองก็แล้วกัน เราโกรธกันแล้วนี้จริงเปล่าน้องรัก”

“ปากก็บอกว่ารักน้องแต่ใจช่างเชือดเฉือน”

“ลิเกมาเลยน้องฉัน”

“หรือไม่จริงหละพี่ภา ที่พี่ภาทำแบบนี้อาก็อายเป็นเหมือนกันนะ”

“อายทำไมอาน่ารักดีออก” แสงอุษาเห็นท่าไม่ดีกลัวเกิดศึกสายเลือดระหว่างองค์หญิงก็เลยรีบแทรกขึ้นมา

“นี่ๆๆ พูดถึงเรื่องอายตัวจำได้เปล่าเรื่องกรโปรงขาดของอาที่ใส่ไปโรงเรียน” อวภาส์นึกขึ้นได้เรื่องกระโปงก็เลยหันไปถามแสงอุษาทันที

“จำได้สิ เราหละอายแทนเลยใส่ไปได้ไงขาดขนาดนั้น”

“นั่นสิมีคนมาถามเราว่าน้องเธอจนมากๆ เลยเหรอถึงได้ใส่กระโปรงขาดๆ เราหละอายแทบแทรกแผ่นดินหนี จะว่าไปนะเรื่องหน้าด้านหน้าทนไม่มีใครเกินน้องเราหรอกษา ไม่รู้ไปเอาความด้านมาจากไหน พ่อแม่ก็ไม่เคยเป็น”

เจ้าตัวคนที่ถูกกล่าวถึงตอนนี้นั่งหน้าแดงเป็นก้นลิงก้มหน้างุดเปิดชายเสื้อยืดตัวเก่าสีตุ่นๆ ขึ้นมาปิดหน้าตัวเอง โชว์พุงที่ใกล้แตกของตนให้กับสองเพื่อนซี้ได้ยลเป็นขวัญตา

“ดูท่าเค้าอายสิแบบนี้ยิ่งน่าอายหนักเข้าไปใหญ่ ปิดหน้าไม่ให้ใครเห็นแต่ดันมาโชว์พุงให้คนเค้าดู หน้าด้านซะไม่มีหละน้องฉัน”

ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะคิดได้เลยรีบลดชายเสื้อที่ปิดหน้าลงแล้วก็หันมามองสองเพื่อนซี้เต็มๆ ตา

“ก็อาไม่เห็นพวกพี่อาปิดตาตัวเองไว้ อาก็ไม่รู้แล้วว่าพวกพี่เห็นอาหรือเปล่า อาก็ไม่อายแล้วไง” ฉันรีบเถียงทันที

“คิดเหรอว่าเราไม่เห็นพวกพี่แล้วพี่จะไม่เห็นเราด้วย บอกไว้เลยนะจากที่วับๆ แวมๆ กลายเป็นเห็นเต็มลูกตามันต้องไปหาน้ำยาล้างตามาแล้วกลัวเป็นกุ้งยิงโดยไม่ได้ตั้งใจ”

“พี่ภาเนี่ย” ฉันงอนพี่ภาจริงๆ จังๆ แล้วตอนนี้ ทนไม่ไหวแล้ว

“พูดถึงเรื่องมองเห็นมองไม่เห็นนะภามีเรื่องจะเล่าวีรกรรมของอาให้ภาฟังด้วย” พี่ภาเริ่มอีกแล้ว

“เหรอไหนๆ เล่ามาสิอยากฟัง” แสงอุษาทำหน้าตาตื่นเต้นทันทีที่อวภาส์เกริ่นนำขึ้นมา

“พี่ภาหยุดเล่านะ” ฉันตะคอกพี่ภาไปทันที

“จะเล่ามีไรมะ” อวภาส์ลอยหน้าลอยตาเล่นกับอาคิราอย่างท้าทาย

อาคิราไม่ได้ว่าอะไรแต่นอนลงเอาหมอนปิดหูไม่ยอมรับฟังเรื่องอะไรทั้งนั้น

“เมื่อตอนเราไปเล่นกันที่บ้านปู่ของเรานะษา พวกเราก็เล่นหาแมลงมันในรูวันที่ฝนตก แมลงมันก็จะออกมาบินเล่นแสงไฟ พอขากลับพวกเราเด็กๆ ก็คุยกันเรื่องผีเปรตว่าตัวมันสูงเท่าต้นตาล แล้วน้องชายเราลูกของอาก็ชี้ไปที่ต้นตาล ในตอนนั้นเราก็เห็นต้นตาลเป็นผีกัน แล้วก็วิ่งๆ จากปลายนากลับมาที่บ้าน” อวภาส์หยุดหัวเราะเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น

“แล้วไงต่อภาหัวเราะจนเราอยากรู้แล้ว”

“ก็ยายอานะสิไม่รู้ไปเอาความคิดนี้มาจากไหน บอกพวกเราว่าดับตะเกียงซะผีจะได้ไม่เห็นพวกเรา”

“แล้วพวกเธอก็ดับตะเกียงกันเหรอ”

“ก็ใช่นะสิน้องๆ ก็เชื่อยายอากันไปหมดพากันดับตะเกียงเราท้วงว่าอย่าดับก็ไม่มีใครเชื่อเรา พอดับกันหมดก็มืดสิที่นี้เดินไปไหนไม่ได้ ไม่ขีดก็ไม่ได้พกติดตัวไป เพราะเราเอาตะเกียงกันไปหลายอัน”

“แล้วพวกเธอทำไงต่อ”

“จะทำไงได้ก็ต้องรีบวิ่งกลับบ้านกันสิ ทั้งมืดทั้งกลัวล้มลุกคลุกขี้โคลนกันเป็นแถว แมลงมันในถ้วยกระจาย พอย่าถามว่าเป็นความคิดของใครให้ดับตะเกียงทุกคนชี้ไปที่ยายอากันหมด สรุปวันนั้นไม่ได้กินหรอกแมลงมันกินไม้เรียวจากย่าแทน”

“ฮ่าๆๆๆ” แสงอุษาอดหัวเราะดังๆ ออกมาไม่ได้ ผสมโรงไปกับอวภาส์อย่างสนุกสนาน

“มีอีกๆ อย่าพึ่งรีบขำไป” อวภาส์รีบห้ามแสงอุษาว่าอย่าพึ่งหัวเราะในตอนนี้เรื่องยังไม่จบ

“ยังมีอีกเหรอ แค่นี้เราก็ขำแล้วดับตะเกียงหนีผี ฮ่าๆๆ คิดได้ไง”

“มีสิก็ที่บ้านปู่เรานะต้องปั่นไฟใช้เอง ทุกทีปู่จะดับเครื่องปั่นตอนสี่ทุ่มใช่ปะ แล้วยายอาเค้าก็ติดละครที่นี่นั่งๆ ดูกันอยู่ไฟเกิดดับยายอาก็โวยวายว่าปู่แกล้งเค้าเค้าจะดูละครมาดับไฟ ปู่บอกว่าน้ำมันเครื่องปั่นไฟหมดยายอาก็ไม่เชื่อยายอาทำไงรู้มั๊ย” อวภาส์หันไปถามแสงอุษา

“ออกไปซื้อน้ำมันให้ปู่เหรอ”

“โห่ คิดได้ไงไม่ใช่นะษาเธอนะคิดดีเกินไปยายอาทำยิ่งกว่านั้น”

“อาทำไงเหรอ”

“อาก็จุดเทียนเดินไปที่เครื่องปั่นไฟ แล้วก็เปิด ฝาถังน้ำมันเครื่องปั่นไฟดูว่าไม่มีน้ำมันจริงๆ เหรอ”

“เปิดฝาก็ไม่เห็นแปลกอะไรเลยก็ดูน้ำมันในถังมันก็ปกติดีนี่”

“ใครว่าดูเฉยๆ หละ ก็เพราะความมืดไงแม่อาเค้าก็ดูไม่เห็นที่ก้นถัง เอานิ้วล้วงๆ ก็ไม่เจอะน้ำมัน แล้วก็มืดๆ มองไม่เห็น เธอเลยเอาเทียนไปจ่อที่รูถังจ่กนั้นก็ก้มลงดู เหตุเกิดสิเพื่อนผมยายอาโดนไฟไหม้ไปเยอะเหมือนกัน รีบวิ่งกลับมากลิ่นไหม้เต็มหัว พวกเราก็งงว่าน้องไปทำอะไรมา วิ่งมาบอกปู่ว่าไฟไหม้ ปู่ได้กลิ่นไหม้แล้วก็เลยวิ่งตามยายอาไปดูว่าไหม้ที่ไหน” อาวภาส์หยุดหัวเราะอีกรอบ

“จากนั้นปู่ก็เลยรู้ว่ายายอาทำวีรกรรมอะไรไว้ โชคดีนะที่เครื่องปั่นไฟไม่มีน้ำมันจริงๆ ไม่อย่างนั้นไฟไหม้บ้านเราแน่ๆ อดนอนกันทั้งบ้านเพราะยายอาอยากดูทีวี แต่เราจะบอกอะไรให้นะว่าผมยายอาเหม็นไหม้ไปหลายวันเลยนะตัว จากนั้นมายายอาก็ไม่ยอมตัดผมอีกเลยเพราะเธอเคยเสียผมไปเป็นกระจุกเพราะไฟไหม้ ฮ่าๆๆๆ”

สองเพื่อนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็งแต่เจ้าตัวต้นเรื่องนอนเอาหมอนปิดหูอยู่ในเมืองตัวเองด้วยท่าทางโกรธแค้นอย่างแสนสาหัส

แค้นนี้ถ้าอาคิราไม่แก้แค้นก็ไม่ใช่อาคิราแล้วพี่อวภาส์สุดที่ร๊าก

***คำเตือน น้ำมันเป็นวัตถุไวไฟ ควรหลีกเลี่ยงให้พ้นจากเปลวไฟ
อิสตรี เป็นวัตถุไปไว ควรเอาใจเข้าไว้จะได้อยู่กับเรานานๆ ลั๊นลา คริกๆๆ
(ไม่เกี่ยวอะไรกันเล๊ยแต่ผิงดาวอยากเตือนไว้)

.................................

ตั้งแต่มีครูคนใหม่มาสอนในโรงเรียนภรณีดูจะตั้งใจเรียนมากขึ้น และมักไปด้อมๆ มองๆ แถวๆ ห้องพักครูเสมอๆ ภรณีอาสาครูไปซื้อข้าวให้ทุกวันและช่วยหอบหิ้วสุดการบ้านโดยที่ไม่ต้องให้เกวลีต้องออกปากใช้

ครูจิณณพัตหรือครูจิณของภรณีก็ดูเอ็นดูภรณีเป็นกรณีพิเศษเช่นกัน

ฉันว่าตอนนี้โลกของภรณีเป็นสีชมพูสวยอยู่แน่ๆ เพราะใครจะว่าจะด่าหรือจะดุอะไรภรณีก็ได้แต่ยิ้มรับไม่โต้เถียงแบบที่เคยเป็น ฉันเข้าใจภรณีดีเพราะเมื่อยามที่ฉันหลงรักพี่แสงอุษาฉันก็เป็นแบบเดียวกับที่ภรณีเป็น แต่ฉันก็แอบกลัวๆ ว่าภรณีจะต้องเสียใจอีกครั้งเพราะฉันเห็นความเป็นไปไม่ได้ในความรักของภรณีมีปรากฏอยู่

พวกเราพยายามเตือนภรณีไม่ได้นิ่งดูดาย เพราะภรณีเป็นคนที่เวลารักใครแล้วมักจะทุ่มทั้งกายทั้งใจให้กับคนที่ภรณีรัก เมื่อคราวก่อนที่ภรณีรักกับรุ่นพี่พวกเราก็เคยเตือนเธอ แต่เธออก็ไม่เคยที่จะเชื่อหรือฟังพวกเราสักนิด

ครั้งนี้ก็เช่นกัน พวกเราพยายามที่จะเตือนภรณี

“ไอ้ณีแกเพลาๆ หน่อยไม่ดีเหรอเดี๋ยวครูเค้าก็โกรธแกหรอกไปยุ่งกับเค้ามาก” รมณเตือนภรณีในชั่วโมงซ้อมดนตรี

“ใช่ไอ้ณีแกใจเย็นๆ ช้าๆ ก็ได้แกยังไม่รู้เลยว่าครูเค้าเคยมีแฟนมาก่อนหรือเปล่า หรือไม่เค้าก็อาจจะไม่ชอบแกแบบที่แกชอบก็ได้” รวิภาเองก็เอ่ยเตือนภรณีด้วยเช่นกัน

“ไม่มั๊งแกครูเค้ามีแฟนก็ต้องเคยเห็นสิ” ภรณียังไม่วายเข้าข้างตัวเอง

“แล้วถ้าเกิดแฟนเค้าไม่ได้อยู่ด้วยกันหละเพราะแฟนเค้าอาจจะทำงาที่จังหวัดอื่นไม่ได้ทำงานที่นี่ก็ได้ใครจะรู้” ฉันพยายามเสนอความคิดอื่นๆ ให้กับภรณีบ้าง

“เป็นไปไม่ได้หรอกแกถ้าครูเค้ามีเค้าก็ต้องเคยบอกฉันบ้างสิว่าเค้ามีแฟน แต่นี่ไม่เคยเห็นเค้าไปไหนมาไหน หรือไปกับคนอื่นเลย”

“แกอยู่กับครูเค้ายี่สิบสี่ชั่วโมงเลยหรือไงถึงได้ไปรู้ว่าครูไม่เคยไปไหนมาไหนกับใครนะไอ้ณี นี่พวกฉันเตือนแกด้วยความเป็นห่วงนะเว่ย ไม่ได้เตือนเพราะอิจฉาแก เราเพื่อนกันไม่เตือนแกแล้วพวกฉันจะไปเตือนใคร” รมณเริ่มหงุดหงิดที่ภรณีไม่ยอมฟังคำเตือนของเพื่อนๆ

“ตามใจแกแล้วกันไอ้ณีแกจะเชื่อตัวเองมากว่าคำเตือนของเพื่อนๆ ก็ตามใจแกพวกฉันเตือนแกแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวพอแล้วไม่มีการเตือนซ้ำอีก แกไม่ต้องมาร้องไห้ฟูมฟายนะเว่ยถ้ามารู้ทีหลังว่าครูมีแฟนแล้ว” รวิภาเริ่มโกรธด้วยอีกคน จะไม่ให้รวิภาโกรธภรณีก็ไม่ได้เพราะเธอพยายามเตือนภรณีมาหลายครั้งหลายหน

รวิภาเคยเห็นครูจิณณพัตนั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์ของผู้ชายคนหนึ่งที่เชียงใหม่และนั่งกอดเอวกันเหมือนกับคู่รัก เธอเคยมาบอกฉันว่าเธอเห็นแต่พวกเราก็ห้ามรวิภาไม่ให้บอกกับภรณีเพราะตอนนั้นภรณีกำลังหลงรักครูจิณณพัตหัวปักหัวปำ หากไปบอกภรณีก็คงทำให้ภรณีเสียใจอีกครั้ง

…………………

และแล้วภรณีก็ทนเสียงที่สั่งในสมองและหัวใจของเธอไม่ไหว

“ลองดูสิไม่ลองไม่รู้บอกไปสิว่าชอบเค้าถามเค้าไปเลยหละว่าเค้าชอบเราหรือเปล่า” หัวใจของภรณีพูดซ้ำๆ

“อย่านะอย่าไปถามเค้าแค่นี่เราก็รู้สึกดีแล้วไม่ใช่เหรอ” สมองของภรณีแย้งคำสั่งของหัวใจ

“ถามไปเลยภรณีจะได้รู้ๆ กันไปว่าเค้ารักเราเหมือนที่เรารักหรือเปล่า”

“แล้วถ้าเกิดเค้าไม่ได้รักเราแบบที่เรารักเค้าหละเราจะทำไง”

เสียงในหัวสมองและเสียงในหัวใจของภรณีส่งเสียงคัดค้านกันจนภรณีรู้สึกสับสนไปหมด สมองสั่งให้คิดแต่หัวใจสั่งให้ทำตามสิ่งที่ตนเองอยากจะให้เป็น

ในที่สุดภรณีก็ทำตามที่หัวใจของตนเองปรารถนารวบรวมความกล้าทั้งหมดที่เธอมีมายืนอยู่หน้าห้องพักครู

“อ้าวภรณีมายืนทำอะไรแถวนี้” ครูจิณณพัตเห็นภรณีมาด้อมๆ มองๆ อยู่ที่หน้าห้องพักครูของเธอก็เอ่ยถามขึ้น

ภรณีเดินเข้าไปยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะของครูจิณณพัตก่อนที่จะรวบรวมความกล้าครั้งสุดท้ายเอ่ยปากออกไป

“หนูรักครูค่ะ”

จิณณพัตได้ยินคำพูดจากปากของภรณีแล้วก็ถึงกับอึ้ง

ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเด็กคนนี้แอบชอบเธอและใช่ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเด็กทื่นอยู่ตรงหน้าเธอนั้นหลงรักเธอมากแค่ไหน แต่ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นครูเธอไม่สามารถที่จะตอบรับหรือปฏิเสธคนที่ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์ของเธอได้

เธอมีเพียงความรักและความเอ็นดูให้กับภรณีในฐานะศิษย์กับครูเท่านั้น

ตอนนี้เธอคงจะต้องบอกความจริงอะไรบางอย่างกับภรณี เพื่อไม่ให้เรื่องบานปลายไปมากกว่านี้

“ภรณีฟังครูดีๆ นะ” จิณณพัตถอนหายใจหนักๆ ออกมาหลายครั้ง

“ครูเข้าใจสิ่งที่เธอกำลังเป็นอยู่และครูก็ขอบใจที่เธอรักครู แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ เพราะครูไม่ได้รักเธอแบบที่เธอกำลังรักครู ครูรักเธอในฐานะศิษย์กับครูเท่านั้น อีกอย่างอีกไม่นานักครูก็ต้องแต่งงานกับคู่หมั้นของครู เพียงแต่ตอนนี้เค้ายังเรียนไม่จบเมื่อเค้าเรียนจบโทเมื่อไหร่เราสองคนก็จะแต่งงานกัน ครูขอโทษที่ทำให้เธอเข้าใจผิดไปต่างๆ นานา ครูขอโทษจริงๆ” จิณณพัตมองหน้าของภรณีที่ยืนเศร้าอยู่หน้าโต๊ะของเธอ

ใจหนึ่งก็อยากจะกอดปลอบแต่อีกใจหนึ่งเธอต้องวางตัวในฐานะครูที่ดี เท่าที่ผ่านมาเธอก็วางตัวผิดไปแล้วที่ยอมมาสนิทสนมกับภรณีจนทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดกันไปยกใหญ่

“แล้วทำไมครูไม่เคยบอกหนูว่าครูมีคู่หมั้นแล้ว” เสียงภรณีสั่งจนแทบจับใจความไม่ได้

“ก็เพราะเธอไม่เคยถาม อีกอย่างครูก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นตรงไหนที่ครูต้องบอกเรื่องครูมีคู่หมั้นแล้วกับใครๆ ก็ในเมื่อครูก็ไม่เคยที่จะถอดแหวนหมั้นออกจากนิ้วครูเลยสักวันเดียว”

“ทำไมครูต้องปิดบังหนู ทำไมครูต้องทำร้ายหนูหลอกหนูให้หลงรักครู”

“ครูขอโทษนะภรณีที่ทำให้เธอเข้าใจผิด ถ้าครูทำอะไรผิดไปครูก็ขอโทษด้วย กับการที่ครูรักเธอเหมือนน้องสาวและให้ความสนิทสนมด้วยถ้าเธอคิดว่ามันเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงครูก็ขอโทษเธอ ด้วยแล้วกันภรณีและต่อไปนี้ครูจะวางตัวเป็นครูที่ดีของพวกเธอจะไม่มีความสนิทสนมมากไปกว่าการเป็นศิษย์กับครูอีกต่อไป ถ้าไม่มีอะไรแล้วเธอก็ไปเรียนได้แล้วภรณี” จิณณพัตตัดบทเอาดื้อๆ เพราะเธอเองก็กำลังจะมีน้ำตาแห่งความสงสารไหลออกมา

ภรณียืนน้ำตาไหลโดยไม่มีเสียงสะอื้นออกมาให้ใครๆ ได้ยิน เธอนึกโกรธตัวเองที่ใจง่ายไปหลงรักคนที่มีเจ้าของแล้ว ทั้งๆ ที่เพื่อนๆ ก็คอยเตือนอยู่บ่อยๆ แต่ตัวของเธอก็ไม่เคยคิดจะฟังคำเตือนของเพื่อนๆ มีแต่จะทำตามที่ใจของตัวเองปรารถนาและสุดท้ายความเจ็บก็กลับมาครอบคลุมหัวใจเธอให้บอบช้ำอีกครั้ง

ฉันนั่งมองภรณีเดินออกมาจากห้องพักครูและเห็นเธอยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาก็รู้แล้วว่าคงต้องเกิดเรื่องอีกแล้วกับภรณี

“ไอ้มลไปดูไอ้ณีกันหน่อยสิมันร้องไห้มาโน่นแล้ว” ฉันบอกกับรมณที่นั่งติดๆ กันให้หันไปดูภรณี

“ไม่อยากไปยุ่งกับมันเลยจริงๆ หวะอาเราเตือนแล้วเตือนอีกมันก็ไม่เคยจะฟัง แล้วเป็นไงเกิดเรื่องจนได้” รมณบ่นแบบเอือมระอาเต็มที

“ไงมันก็เพื่อนเรานะมณ”

“เออก็ใช่นะสิก็เลยทำให้เราถึงต้องหน้าด้านไปช่วยมันไงทั้งๆ ที่มันไม่อยากได้รับความช่วยเหลือจากพวกเรา” รมณลุกจากโต๊ะและลุกเดินไปทางห้องพักครูบริเวณที่ภรณียืนอยู่ ทำให้ฉันต้องเดินตามไปด้วยเช่นกัน

ฉันกับรมณเข้าไปโอบไหล่ภรณีและประคองปีกให้เดินกลับมาที่ห้องเรียน พวกเราไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมาจากปาก ทั้งๆ ที่อยากจะทับถมซ้ำเติมแต่ก็ทำไม่ได้

ภรณีนั่งซึมน้ำตาไหลจนครูที่เข้ามาสอนสังเกตเห็นแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรสอนพวกเราต่อไป

เรื่องไม่ได้จบแค่ที่เรารู้เมื่อครูใหญ่เรีกยครูจิณณพัตเข้าไปพบ เพราะเรื่องของภรณีและครูจิณกลายเป็นเรื่องพูดติดปากของทั้งครูและนักเรียนในโรงเรียนถึงการวางตัวไม่เหมาะสมของครูจิณ

ฉันเข้าใจทั้งครูจิณณพัตและภรณีว่าทั้งสองคนก็ไม่ได้อยากให้เรื่องมันกลายเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ แต่เมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้วก็จะต้องหาทางแก้ ครูจิณไม่ได้มาสอนวิชาฝรั่งเศสเราอีกต่อไป และภรณีก็ไม่ได้เข้าใกล้ครูจิณแบบที่เธอเคยทำ

ทั้งสองคนหลบหน้ากันไปมายิ่งทำให้บรรยากาศอึมครึมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ภรณีก็เศร้าอยู่ได้ไม่นาน เพราะพวกเราต้องเริ่มต้นซ้อมดนตรีกันอย่างหนักอีกครั้งเพราะงานฤดูหนาวกำลังจะมาเยือนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

..................

แสงอุษาหอบเอาตุ๊กตาตัวโตมาให้อาคิราที่บ้านอีกครั้ง เพราะเทอมที่ผ่านมาอาคิราทำเกรดได้ตามที่สัญญาไว้กับเธอ

ตุ๊กตาตัวโตที่เธอเลือกให้อาคิราตัวนี้ใหญ่กว่าตัวที่แล้วที่เธอให้กับอาคิรา เพราะเธอจะให้เจ้าตุ๊กตาตัวนี้เป็นตัวแทนของเธอเมื่อยามที่เธอไม่ได้อยู่ใกล้ๆ กับอาคิราอีกต่อไป

เมื่อวานพ่อของเธอมาบอกอีกครั้งเรื่องให้ไปเรียนต่อที่เชียงใหม่ และบอกอีกว่าปิดเทอมนี้เธอเองต้องไปเรียนกวดวิชาเพื่อสอบเข้าโรงเรียนที่เชียงใหม่ พ่อจัดการทุกอย่างไว้ให้เธอเรียบร้อยแล้ว นั่นเท่ากับว่าเธอเองจะต้องย้ายไปอยู่เชียงใหม่แบบฐาวร

ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้เธอเศร้าทุกครั้งไป เธอจะบอกอาคิราได้อย่างไรว่าเวลาของเธอสองคนที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกันมันกำลังจะหมดไปแล้ว

แสงอุษาปรับสีหน้าของตนเองให้ดีขึ้นเมื่อเธอจอดรถมอเตอร์ไซด์และเดินเข้าบ้านของอาคิรา

“โหษาหอบตุ๊กตาตัวโตขนาดนี้มาเลยเหรอ อย่าบอกนะว่าเป็นรางวัลให้ยายอาอีกแล้ว” อวภาส์ทักทายเพื่อนที่อุ้มตุ๊กตาตัวโตเท่าคนอุ้มเข้ามาในบ้าน

“ใช่สิ อายๆ เหมือนกันนะนี่ตอนเอาตุ๊กตาซ้อนท้ายมอไซด์มาคนมองกันจนเหลียวหลัง”

“ก็ใช่นะสิแล้วนี่คิดไงซื้อมาซะตัวโตขนาดนี้” อวภาส์เดินมาจับขนตุ๊กตาแล้วก็ทำท่าชื่นชม ตุ๊กตาลิงยักษ์ที่มีขนนุ่มปุยลื่นมือ ดูๆ ไปก็หน้าตาเหมือนอาคิราน้องสาวของเธอเหมือนกันนะนี่ แสงอุษาช่างเข้าใจเลือกลิงมาให้คิงคองเล่นจริงๆ

“ตัวนี้ตั้งใจเอามาให้อานอนกอดโดยเฉพาะเวลาเราไม่อยู่ไงภา”

“โหขนาดนั้นเลยแล้วไม่มีมาให้เรากอดบ้างเหรอเผื่อเราคิดถึงษาไง” อวภาส์กระเซ้าเพื่อน

“ไว้เราจะไปจริงๆจะเอามาให้อีกตัว” แสงอุษาที่ใบหน้าเศร้าอยู่แล้วยิ่งเศร้ามากขึ้นไปอีกเมื่อพูดถึงเรื่องการจากกันที่จะมาถึงในเร็ววัน

“ไม่ต้องหรอกเรานอนกอดหมอนข้างของเราไปนะดีแล้วอย่าลำบากเลยเปลืองเปล่า”

“แล้วอาไม่อยู่เหรอ” แสงอุษาชะเง้อคอมองหาเจ้านายคนใหม่ของตุ๊กตาในอ้อมกอดของเธอ

“โน่นในสวนที่เดิมไปหาสิ”

แสงอุษาพยักหน้ารับรู้และหอบตุ๊กตาตัวโตเดินไปที่บ้านเต็นท์กลางสวนของอาคิรา เห็นอาคิราจุดธูปไล่ยุงและมีกองเปลือกส้มจุดไฟไว้อยู่ที่หน้าเต็นท์เช่นเคย

จะว่าไปอาคิราก็เป็นเด็กเจ้าความคิดและช่างจดจำในสายตาของเธอ เพราะอาคิรารู้จักปกป้องตัวเองจากการโดนยุงในสวนกัดด้วยการเอาธูปมาปักและหาอะไรที่ยุงกลัวมาจุดไฟเผา โดยที่เจ้าตัวไม่ต้องมาอดทนกลิ่นเหม็นๆ ของยากันยุง

“เจ้านายคับเจ้านายอยู่หรือเปล่า เจี๊ยกๆๆ” แสงอุษาส่งเสียงเรียกคนในเต็นท์

“เจ้าเป็นใครวานบอกมาเจ้าลิงน้อย” อาคิราทักออกมาจากในเต็นท์

“ข้าเป็นสมุนตัวใหม่ของท่านที่แม่นางษาเอามามอบเป็นราชบันนาการชื่อน้องจุ๊กจิ๊ก”

สิ้นเสียงของแสงอุษาอคิราก็โผล่อหน้าออกมาจากเต็นท์กำบังกายและเมื่อเห็นสิ่งที่แสงอุษาหอบหิ้วมาก็กระโดดโลดเต้นเข้าไปกอดแสงอุษาและรับเอาตุ๊กตาลิงตัวโตเข้าไปในถิ่นหลบภัยของตนเอง โดยไม่ลืมที่จะจูงมือของแสงอุษาเจ้าของตุณกตาลิงตัวโตเข้าไปในเต็นท์เช่นกัน

และสิ่งที่อาคิราจะขอบใจเจ้าของลูกสนุมตัวใหม่ได้ในเวลานี้ก็หนีไม่พ้นการหอมแก้มฟอดใหญ่ๆ หนักๆ กับเจ้านายเก่าของจุ๊กจิ๊กนั่นเอง

... จบบทที่ ๑๗ ....

เพลง แปรงสีฟัน – แกรนอ็กซ์

ส่งมือมาก่อนสิ ส่งมาก่อนส่งมาสิ
ส่งมือมาก่อนสินี่ไงแปรงสีฟัน ตอนเช้าและก่อนนอนนั้นต้องแปรงฟันทุกวัน

อีกเรื่องการอาบน้ำ ก็ต้องอาบทุกวัน ตอนเช้าและก่อนนอนนั้นก็ต้องทำทุกวัน
ส่วนเรื่องการอ่านเรียนต้องพากเพียรสำคัญ ตอนเช้าและก่อนนอนนั้นท่องตำราทุกวัน
ลองมาทำดูสิทำสิ่งเหล่านี้ด้วยกัน ทั้งเธอและฉันทุกวันเราจิตสดใส
ลองมาทำดูสิถ้าดีควรทำเรื่อยไป แค่นี้ไม่ยากใช่ไหม

อีกเรื่องการสวดมนต์เพื่อให้ตนเชื่อมั่น ตอนเช้าและก่อนนอนนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญ
ส่วนเรื่องสีหน้ายังต้องกระทำเหมือนกัน ตอนเช้าและก่อนหน้ายังพิจารณาทุกวัน
ลองมาทำดูสิทำสิ่งเหล่านี้ด้วยกัน ทั้งเธอและฉันทุกวันเราจิตสดใส
ลองมาทำดูสิถ้าดีควรทำเรื่อยไป แค่นี้ไม่ยากใช่ไหม

ส่วนเรื่องดูทีวี เอ๊าไม่ต้องดูทุกวัน หัวค่ำดูทีวีนั้นพอดึกหน่อยพลันทีวีดูเรา
ถ้าเราจะดูทีวีดูให้ดีดูด้วยปัญญา ดูแล้วต้องพิจารณาถึงคุณค่าของความดี ฝึกฝนเสียแต่วันนี้ สิ่งไม่ดีไม่ควรจำ

//imusic.teenee.com/2/frame/722.php




 

Create Date : 03 มิถุนายน 2551    
Last Update : 3 มิถุนายน 2551 15:40:08 น.
Counter : 433 Pageviews.  

เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุี่่งในดวงใจ บทที่ ๑๖ ๖.๓๕ น. ความในใจของพี่ภาสุดสวย

บทที่ ๑๖ ๖.๓๕ น. ความในใจของพี่ภาสุดสวย

ฉันอวภาส์พี่สาวคนเดียวของแม่ลิงตัวแสบประจำบ้านค่ะ ฉันมีน้องคนเดียวแก่นแก้วจนฉันทนไม่ไหว จะว่าแม่ตัวแสบไร้สมองก็ไม่ได้แน่ๆ เพราะเธอช่างสรรหาเรื่องมาให้ปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน

แม่ตัวแสบของฉันชอบเล่นอะไรที่ผู้คนไม่เล่น หญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิง ตอนเล็กๆ ก็ดูจะเป็นเด็กน่ารัก พี่อย่างฉันพูดอะไรก็เชื่อฟังอยู่หรอกคะ

แต่พอโตขึ้นนี่ฉันอยากจะจับกระดูกมาหักจิ้มน้ำพริกกะปิแทนกระถินริมรั้วจริงๆ นะคะ

ฉันชวนเล่นหม้อข้าวหม้อแกงเธอก็ไม่เล่นหาว่าฉันปัญญาอ่อน ฉันชวนเล่นตุ๊กตาก็ว่าฉันไร้สมองความคิดไม่พัฒนา

ทีตัวเองเล่นเป็นพระปิ่นทองงี้ เล่นเป็นติงลี่งี้ ฉันยังไม่เคยว่าอะไรเลย ยอมเล่นด้วยทุกครั้ง

มีอยู่ครั้งนึงค่ะแม่ตัวแสบไม่ยอมเล่นตุ๊กตากับฉัน บอกว่าปัญญานิ่มเล่นอยู่ได้ไอ้ตุ๊กตากระดาษโลกเค้าพัฒนาไปไหนต่อไหนแล้ว คุณเธอนะเหรอจับตุ๊กตาฉันไปฉีกทิ้งคะ ฉันอุตส่าห์ขโมยหนังสือสมุดโทรศัพท์เล่มเหลืองของแม่มาทำเป็นที่อยู่ของตุ๊กตา

ฉันวาดเองกับมือเลยนะฝีมือของฉันด้านวาดรูปถึงไม่เก่งแต่ก็ไม่เป็นรองใคร ทั้งแคนดี้ไวท์อันโดเรสุดสวย ทั้งมายะนักแสดงที่ฉันชอบ บางตัวฉันก็ไปตัดหน้าของดาราจีนที่ฉันโปรดมาแป๊ะที่กระดาษแล้วก็วาดรูปหุ่นลงไป สวยนะจ๊ะขอบอกไว้

ก็กว่าจะได้หน้าตุ๊กตาที่เท่าๆ กันกับหุ่นที่ฉันวาดมันหาได้ง่ายๆ ที่ไหกัน จะถ่ายรูปหันหน้าตรงๆ ก็ไม่ได้ ต้องเอียงข้างนั้นนิด ข้างนี้หน่อย

แต่แม่ตัวแสบกลับฉีกตุ๊กตากระดาษของฉันทิ้งเสียหายย่อยยับไม่มีชิ้นดี ฉันร้องไห้ไปหลายวัน ดีนะที่แม่เข้าข้างฉัน แม่ตีเจ้าแสบไปหลายที ดูไปแล้วก็น่าสงสาร

ครั้นจะบอกแม่ว่าเดี๋ยวฉันวาดใหม่ก็ได้ แต่แม่ก็ลงไม้ไปเรียบร้อยแล้ว จะสมน้ำหน้าหรือสงสารก็บอกไม่ถูกคะ

หลายวันถัดมาฉันมาเปิดสมุดหน้าเหลืองจะเอาตุ๊กตามาซ่อม แต่มันกลับถูกซ่อมไปเรียบร้อยแล้ว ฉันหันไปมองหน้าแม่ตัวแสบเป็นอันรู้กันว่าเธอซ่อมให้ฉันเรียบร้อยแล้ว จะบอกว่าไม่ต้องมาซ่อมได้ไหม ฝีมือทางด้านนี้ของแม่ตัวแสบไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย

ปะก็ปุๆ กระโดกไปกระเดกมา ไม่แนบไม่เนียน แบบนี้ฉันทำเองดีกว่าเสียแรงสองต่อ นินทาน้องตัวเองนี่สนุกมากๆ เลยนะคะ ก็จะให้ไปนินทาใครได้หละคะฉันมีน้องคนเดียวก็ต้องนินทาน้องเป็นธรรมดา

สมัยเมื่อแม่ลิงหัดจะรีดผ้าใหม่ๆ ฉันหละนั่งขำ ครูคงไปสอนเธอว่าให้ลงแป้งที่กระโปรงกลีบจะได้แข็งๆ

แม่ลิงของฉันเธอทำอะไรรู้หรือเปล่า เดาไม่ถูกหละสิคะ จะนินทาเอ๊ยไม่ใช่จะเล่าให้ฟังคะ

เธอเอาแป้งมาโรยไปที่กระโปรงลงเลอะเทอะไปหมด แป้งที่ว่านี่ก็คือแป้งฝุ่นโรยตัว

โอ๊ย !!!

ฉันหละจะบ้าตาย แม่อาคิราคนเก่งสมองอิคคิวคิดไปได้ไงนี่

จนแม่กับฉันเดินมาเห็นเข้าแม่เลยถามเธอว่า

“อาทำอะไรลูก”

แม่ตัวแสบตอบหน้าตาเฉยว่า

“ลงแป้งกระโปรงคะแม่ครูสอนอามาว่าลงแป้งที่กระโปรงแล้วกระโปรงจะกลีบคมกริบไม่กระดก”

แม่กับฉันมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะท้องคัดท้องแข็ง ก่อนที่แม่จะสอนแม่ลิงไปว่า

“อาจ๋านี่ลูกรู้หรือเปล่าว่าที่อาทำนะมันผิดนะลูก”

“ผิดตรงไหนอะคะแม่ก็ครูสอนอาว่าลงแป้งแล้วกระโปรงจะเป็นกลีบสวยๆ จริงๆ นะคะแม่” แม่ลิงยังทำหน้ามีเครื่องหมายคำถามและยืนยันหนักแน่นกับความคิดของตัวเอง

“ใช่จ๊ะอาที่อาบอกนะมันก็จริงอย่างที่ครูพูด แต่ที่อาทำมันไม่ได้ทำแบบที่ครูบอกนี่ลูก” แม่พยายามจะอธิบาย

“นี่อะไรคะแม่” แม่ลิงหยิบกระป๋องแป้งขึ้นมาถามแม่ทันที

“แป้งไงถามทำไม” แม่ตอบพร้อมกับหัวเราะ

“ก็แป้งไงแม่อาก็เอาแป้งมาลงแบบนี้” ว่าแล้วแม่ลิงก็โรยแป้งลงบนกระโปรงอีกครั้ง

“นี่อะแม่ลงแป้ง แต่อาว่าครูต้องโกหกแน่ๆ เลยอะแม่อารีดตั้งนานกระโปรงมันยังไม่เห็นเรียบเลยแม่” แม่แสบยังคงยืนกรานในหลักการเป็นมั่นเป็นเหมาะ

“จะให้มันเรียบได้ไงลูกก็แป้งที่อาใช้มันไม่ใช่แป้งที่เค้าใช้ลงแบบที่ครูบอก อาต้องเอาแป้งมันผสมกับน้ำไม่ต้องมากนะน้ำเปล่าธรรมดานี่แหละ แล้วก็คนให้แป้งมันละลายไม่ให้เป็นก้อนแล้วเอาไปตั้งเตา ใช้ไฟอ่อนๆ แล้วต้องคอยกวนไม่ให้เป็นก้อน พอแป้งมันใสสุกแล้วเอาขึ้นมา ไปผสมน้ำเย็น แล้วค่อยเอากระโปรงลงไปแช่ สักพักให้ทั่ว จากนั้นก็เอาไปตากจนแห้ง เวลาจะรีดก็พรมน้ำให้ทั่ว แล้วม้วนไว้ให้ผ้ากระโปรงมันชุ่ม เวลารีดจะได้ไม่เป็นด่างๆ เพราะกว่าจะรีดเสร็จมันอาจจะด่างไปก่อนแล้วอาต้องให้กระโปรงชื้นๆ ไว้” แม่อธิบายอย่างละเอียดกับแม่ลิงของฉัน

“ทำไมมันยุ่งยากงี้หละคะแม่งั้นอาไม่ทำแล้ว” แม่ลิงล้มเลิกความตั้งใจไปในทันที

“อ้าวเลิกง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอไม่ลงแป้งต่อหละ” ฉันต้องแซวซะหน่อยแล้ว

“ไม่เอาแล้วพี่ภาอารีดแบบเดิมดีกว่าสบายกว่ากันเยอะเลย” แม่แสบตอบฉัน

“แต่แม่ว่าตอนนี้อาต้องเอากระโปรงของอาไปซักใหม่ได้แล้วลูกแป้งเลอะขนาดนี้เอาไปใส่ไม่ได้แล้ว” แม่ลิงทำหน้ามุ่ยเดินเอากระโปรงไปสะบัด แล้วก็เอาไปซักใหม่

สรุปว่ากระโปรตัวนั้นต้องซักสองรอบความผิดใครหละคะถ้าไม่ใช่เพราะแม่ลิงตะแบงจะลงแป้งกระโปรงนักเรียน

ฉันอยากจะขำให้โลกระเบิดแต่ก็ทำได้แค่ยืนหัวเราะอยู่ข้างๆ แม่เท่านั้น

............

ยังจบเท่านั้นนะคะแม่ลิงยังมีอีกหลายเรื่องที่สำคัญก็เรื่องชอบเล่นเป็นจอมยุทธ์ในหนังกำลังภายในนั่นหละคะ

จะว่าไปแม่ลิงมีความสามารถในการจดจำเพลงในหนังจีนได้อย่างแม่นยำ เรื่องไหนเธอชื่นชอบเธอฟังไปสองสามรอบร้องได้เหมือนเป๊ะ

อยู่ๆ วันหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนแม่ลิงไปตัดใบกล้วยมาเล่น เอาก้านกล้วยมาทำเป็นกระบี่ เธอบอกว่าเธอคือฮุ้นโปยเอี้ยง ให้ฉันเป็นแม่นางโป่วเฮียงกุน แล้วยังสมมุติอากาศเป็นโต๊กโตบ้อเต๊ก ให้เธอเอาวิชาไหมฟ้ามาปราบมาร ให้ต้นกล้วยเป็นนางมารชมภู ฟาดฟันกันเข้าไป ปากก็ร้องเพลงประจำเรื่องไปด้วย หึหึ

“โต่วจี่โจ่ยซานโป โก้วชวีเหม่ยซวีนโกว เหม่งหว่านโจ่ยหลานซิว งัมซีฉี่นโมวโลว เฝ่าหวั่นเหย่าซันปีนฝักเชิ้กเก๋งโกว งอโก้วซีฟูดโป่ว อ้าแม่นางโป่วเฮียงกุน เจ้านี่ไม่มาร้องเพลงร่ายรำไปกับข้าดอกรึ”

“ไม่หละท่านไชโป๊ว เราไม่อยากไปขัดความสำราญของท่าน”

“นี่พี่ภา เค้าเป็นโปยเอี้ยวไม่ใช่ไชโป๊วเรียกให้ถูกๆ หน่อยดิ”

“ก็พี่จำได้ว่าชื่ออะไรโป๊ๆๆ นี่นะจะบอกชื่อก็ไม่บอกใครจะไปตรัสรู้ได้หละ” ฉันก็ต้องเถียงบ้างเป็นธรรมดาของคนที่เกิดก่อนและคนตามมาที่หลังเรียกว่าพี่

ฉะนั้นพี่ทำอะไรย่อมไม่ผิดเสมอ

“ไม่ล่งไม่เล่นแล้วพี่ภานี่เชยก็เชยไม่ทันสมัยกับใครเค้าเลย” จากนั้นแม่ลิงก็ปลีกวิเวกไปเล่นคนเดียวกับต้นกล้วยต้นไม้ไปตามเรื่องส่วนฉันก็เข้าไปอ่านหนังสือการ์ตูนดีกว่าเพราะสบายใจกว่าการมาเล่นเหงื่อไหลไคลย้อยกับแม่ลิงประจำบ้านเป็นไหนๆ

แล้วเรื่องก็เกิดอีกจนได้ เพราะท่านฮุ้นโปยเอี้ยงขณะฝึกวิชาไหมฟ้าได้มาขโมยผ้าตัดเสื้อชุดใหม่ของแม่ไปพันร่างกายจนเปื้อนดินเปื้อนยางกล้วยไปหมดทั้งผืน

เมื่อแม่มาเห็นเข้าลิงของฉันก็โดนตีไปหลายยก ร้องไห้ลั่นบ้านจนพ่อจะต้องมาช่วยไว้ แม่บอกว่าลิงต้องโดนตัดค่าขนมจนกว่าจะครบค่าผ้าของแม่ที่ซื้อมาเป็นการทำโทษ

ฉันอยากจะบอกแม่ว่าแม่อย่าไปตัดค่าขนมของไอ้แสบเลยนะ เพราะคนที่เดือดร้อนที่สุดในการตัดค่าขนมไม่ใช่ไอ้ลิง

แต่เป็นหูนนะแม่จ๋า

ทำไมนะเหรอคะก็ไอ้ลิงตัวนั้นเวลาอยากกินอะไรก็จะมาบอกฉันว่า

“พี่ภากินนี่สิอร่อยน้าอาชอบ” แล้วก็สั่งแม่ค้าหน้าตาเฉยแต่พอจะจ่ายตังกลับไม่มีเงินจ่าย

“พี่ภาจ่ายสิอาไม่มีตัง” ดูสิคะ ไอ้ลิงยักษ์ทำฉันเข้าแล้ว

“ไหงงั้นหละอาอาสั่งอาก็จ่ายสิพี่ไปเกี่ยวไรด้วย” ฉันแย้งเพราะฉันเองก็อยากกินขนมอื่นเหมือนกันแต่งเงินที่มีอยู่ก็ไม่พอจะได้กิน

“ก็อาไม่มีตังนี่แม่ตัดงบอาไปหมดแล้ว” พอรับของไปจากมือแม่ค้าก็เดินหายไปหน้าตาเฉยพร้อมกับขนมในมือที่จ่ายไปด้วยนเงินของฉัน

มันน่าตบสักฉาดและกระทืบซ้ำไหมหละนี่ (อุ้ยเสียภาพพจน์คนสาวอย่างอวภาส์หมดพอดี ทำลืมๆ ไปเถอะนะคะคุณๆ)

ความซวยมาเยือนฉันโดยไม่ได้ตั้งใจ เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่งแต่กลับต้องเอากระดูกชิ้นโตของไอ้ลิงยักษ์มาแขวนคอ

ทำไมนะเกิดเป็นพี่ถึงได้ซวยแบบนี้อวภาส์

เมื่อตอนที่ไอ้ลิงแสบไปเข้าค่ายเนตรนารีหุงข้าวองคุลีแบบผิดๆ เอามาเล่าให้ฉันกับแม่ฟัง เรานั่งหัวเราะกันจนปวดท้องอีกครั้ง

“ก็จริงนี่แม่ตุบอกว่าท่วมข้อมือนะ” แม่ลิงยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ

“องคุลีนะลูกก็คือข้อนิ้ว ท่วมหนึ่งองคุลีก็คือถ่วมหนึ่งข้อนิ้วไงลูก อาจำเรื่ององคุลีมารที่แม่เคยเล่าให้ฟังได้หรือเปล่า”

“จำได้คะแม่”

“นั่นแหละองคุลีมารที่ได้ชื่อนั้นมาก็เพราะว่าเค้าจะตัดนิ้วคนที่เค้าฆ่ามาหนึ่งองคุลีแล้วเอามาแขวนคอตัวเองไว้”

“อ่อเข้าใจแล้วแม่อาเข้าใจแล้ว”

กว่าจะถึงบางอ้อฉันว่าเพื่อนๆ ของอาคิราคงกินข้าวแฉะจนปวดท้องไปแล้วมั๊ง

ไม่รู้สิเป็นฉันไม่กล้ากินอะไรที่เป็นฝีมือของอาคิราแน่ๆ

เพราะฉันกลัวท้องเสียมากกว่ากลัวอดตาย

.............

พ่อมักพูดกับฉันเสมอว่าน้องฉลาด ฉันก็ว่าใช่ค่ะ น้องฉลาดมาก(แอบประชด) ไม่ฉลาดได้ไงหละคะ เรื่องเอาเปรียบพี่หละที่หนึ่งในบ้าน

งานอะไรหนักๆ นี่ฉันทั้งนั้น ซักผ้านี่ซักด้วยกันคะ ของใครของมันแต่พอเวลารีดฉันกลับต้องเป็นคนรีดเองเพราะเธอมักจะชอบทำผ้าไหม้เป็นประจำ และไม่เคยเล๊ยที่จะอับอายขายขี้หน้าประชาชี ใส่ไปได้กระโปรงขาดเป็นรูโหว่เพราะเตารีด

คนที่อายฉันนี่แหละคะอายจนแทบแทกแผ่นดินหนี เพราะเพื่อนๆ จะถามฉันว่า

“ภาน้องเธอกระโปรงไปโดนอะไรมาเป็นรูโหว่เลย”

ฉันมองไปที่แม่แสบที่ยืนโชว์ก้นมาทางฉันแถมยังเล่นเพลงชาติอยู่หน้าเสาธงอย่างไม่สนใจสายตาของใครๆ เมื่อเห็นกระโปรงแม่แสบฉันแทบสลบ รูไม่ได้เล็กๆ เลยคะเท่าฝ่ามือ แม่อาคิรายังใส่มาโรงเรียนได้ ช่างไม่อายฟ้าดิน

จนสุดท้ายแม่ต้องเอาผ้ากระโปรงตัวเก่ามาปะให้ อาคิรายังบอกใครๆ ว่าเธอเป็นอังชิกกงผู้เฒ่าพรรคกระยาจกในหนังเรื่องมังกรหยกไปซะงั้น แถมยังภูมิใจว่ามีเธอคนเดียวที่ได้ใส่กระโปรงนำสมัย เพราะเพื่อนๆ ไม่มีใครกล้าที่จะใส่ได้แบบเธอ

จะภูมิใจไปทำไมนักหนานะ ฉันหละอ๊ายอายแทนนะแม่คุ๊ณ

จะว่าไปอาก็ไม่ได้เป็นคนสกปรกอะไรหรอกนะคะ เธอรักความสะอาดมากๆ โดยเฉพาะกับตัวเธอเองอาบน้ำวันละหลายๆ รอบ ฉันจะชอบแซวว่าระวังเนื้อเปื่อย พ่อบอกว่าพ่ออยากกินอยู่พอดีเนื้อเปื่อยๆ กินง่ายดี ไม่ต้องเคี้ยว ยิ่งเนื้อเด็กตุ๋นจนเปื่อย เอาเข้าปากแล้วละลายเลยไม่ต้องเคี้ยวกลืนคล่องคอดี

นอกเรื่องซะแล้ว มาต่อกันเรื่องแม่แสบชอบเอาเปรียบกันดีกว่า เวลากวาดบ้านถูบ้าน ฉันมีหน้าที่กวาดบ้านจนเรียบร้อย แต่พอเวลาถูซึ่งเป็นหน้าที่ของแม่อาคิราตัวแสบกลับจะให้ฉันถูด้วย มาอ้างว่าถูคนเดียวไม่ไหวอีกแล้ว

เวลาทำกับข้าวแม่ให้ปลอกกระเทียมหอมแดง ตำน้ำพริกอย่าว่าแต่จะใช้เลยคะหาศีรษะไม่เคยเห็น แต่พอเวลากินมาถึงก่อนใครในบ้าน แอบกินข้าวก่อนคนทำที่กำลังอาบน้ำ มันน่าไหมหละนี่

มีน้องกับเค้าทั้งคนกลับเป็นลิงเป็นค่าง บ่างชะนี ดีนะไม่ร้องหาสามีเพราะเห็นว่าจะมาชอบหญิงด้วยกันเองซะแล้ว และเรื่องนี้ก็เป็นปัฯหาหนักอกของฉันจริงๆ คะ เหมือนน้ำท่วมปากเล่าให้แม่กับพ่อฟังก็ไม่ได้ เพราะกลัวน้องจะโดนตี

จะไม่เล่าก็ไม่ได้กลัวน้องจะเดินหลงทาง

จะมีใครเชื่อฉันไหมว่าเมื่อวันที่แสงอุษามาบอกกับฉันว่าเธอชอบน้องของฉันไม่ได้ชอบแบบพี่น้องแต่ชอบแบบแฟน ฉันแทบจะฉุดน้องตัวเองกลับบ้านอยากจะบอกพ่อว่า

พ่อจ๋าเอาน้องออกจากโรงเรียนนี้เถอะก่อนที่จะบานปลายไปมากว่านี้

แต่ฉันก็ทำไม่ได้ ฉันทำหน้าที่พี่ได้แค่ยืนมองความเป็นไปของคนสองคนอยู่ห่างๆ คอยดูไม่ให้น้องทำอะไรที่แปลกๆ

จะว่าไปอาคิราก็ไม่เคยแสดงท่าทีว่าชอบหรือไม่ชอบแสงอุษาเพื่อนของฉันออกมาอย่างโจ่งแจ้ง บางครั้งฉันก็คิดไปว่าฉันอาจจะคิดมากเกินไป จะให้ไม่คิดได้อย่างไรกัน

เพื่อนของฉันกรีดข้อมือตัวเองเพราะแฟนเธอไปมีคนรักใหม่ ฉันว่าในวัยของพวกเรายังไม่พร้อมที่จะริมีความรักกับใมครเขาหรอคะ ฉันอาจจะแก่เกินตัวหรืออาจจะคิดมากเกินไป แต่กันไว้ดีกว่าแก้ ถ้าปล่อยจนแย่แล้วจะแก้ไม่ทัน

เมื่อตอนที่อาคิรามาบอกฉันว่าเพื่อนของเธอท้องกับเด็กนักเรียนชายรั้วติดกัน ฉันอดใจหายไม่ได้ และแอบคิดเข้าข้างน้องว่า ดีนะที่น้องฉันมีแฟนเป็นผู้หญิงจะได้ไม่ท้องแบบเดียวกันกับหงส์หยกเพื่อนของเธอ

แต่สิ่งที่ฉันหนักใจก็คือ พ่อกับแม่จะรับได้หรือเปล่าหากรู้ว่าน้องชอบเพศเดียวกัน

..................

ฉันรู้ว่าเด็กอย่างเราต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และอยากรู้อยากเห็นไปหมดทุกเรื่องเหมือนตาบอดคลำช้าง
จับงวงช้างก็คิดว่าเป็นเหมือนเสาบ้าน จับหาช้างก็คิดว่าเป็นเหมือนแส้ จับตัวช้างก็คิดว่าช้างเหมือนผนัง สิ่งที่เด็กอย่างฉันต้องเรียนรู้ก็คือต้องมองช้างอย่างคนตาไม่บอดให้รู้ว่านี่คือช้าง

ตอนอยู่มอหนี่งพวกฉันทุกคนต้องเรียนเรื่องทาร์ในบุหรี่ว่ามันมีพิษสงแค่ไหน เอาบุหรี่มาจุดแล้วก็พ่นออกมาบนกระดาษชำระให้รู้ว่าสารทาร์มันจะออกมากับควันบุหรี่เป็นสีน้ำตาลติอยู่ที่นั่น

อาคิราเอากลับมาที่บ้านและแอบสูบในห้องน้ำ กลิ่นตลบอบอวลไปทั้งบ้าน แม่กับฉันนั่งมองหน้ากันและส่ายหน้าไปมา พ่อบอกว่าอย่าไปห้ามให้อารู้เอง

ฉันได้ยินเสียงไอค๊อกๆ แค๊กๆ ในห้องน้ำและท่าทางการเดินของอาคิราที่ดูเหมือนจะมึนๆ ออกมาจากห้องน้ำ ก็รู้แล้วว่าเธอคงจะไม่คิดริลองที่จะสูบอีกต่อไป

จริงอย่างที่พ่อบอกน้องมีความคิดและคิดได้ด้วยตัวเอง ฉันก็ยินดีที่น้องรู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี คืนนั้นอาคิราพูดกับฉันว่า

“พี่ภาบุหรี่นี่ไม่ดีเลยนะมันไม่เห็นจะอร่อยเลย”

“เราเคยสูบเหรอ” ฉันแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรเพื่อล้วงความลับจากอาคิรา

“อืมเมื่อกลางวันครูเอามาสอนอากับณีแอบขโมยมาคนละตัว”

“อย่าบอกนะว่าไปแอบสูบมา” ฉันแกล้งถาม

“ใช่พี่เมื่อตอนเย็นอาแอบสูบในห้องน้ำสำลักแทบตายไม่รู้ว่าคนที่เค้าสูบกันทำไมเค้าโง่กันจังเลยนะเอาสารพิษเข้าร่างกายอยู่ได้ไม่อร่อยแถมยังเหม็นอีกด้วย นี่กลิ่นยังติดจมูกอาอยู่เลยพี่แปรงฟันเท่าไหร่ก็ไม่หาย” อาคิราสารภาพกับฉันตามตรง จะว่าไปน้องก็ไม่ได้ทำตัวเลวร้ายอะไรมากนักเพียงแต่น้องต้องการเรียนรู้เท่านั้นเอง

.......................

ตั้งแต่น้องคบกับแสงอุษาน้องก็มีการเรียนที่ดีขึ้น ฉันเห็นน้องตั้งใจเรียนมากว่าเดิมไม่เล่นเหมือนอย่างที่เคยเป็น

ฉันรู้มาว่าแสงอุษาเอาตุ๊กตาตัวโตมาล่อให้อาคิราสอบได้เกรดดีๆ เพื่อที่จะเอามาแลกกับตุ๊กตา ดีนะที่พี่ตัวเองเคี่ยวเข็ญอย่างไรก็ไม่ทำตามแต่พอแฟนบอกเท่านั้นตั้งหน้าตั้งตาทำไม่คิดบ่ายเบี่ยง

วันที่พ่อรู้ว่าน้องได้ใบประกาศว่าเป้นนักดนตรีดีเด่นพ่อดูท่าทางดีใจมากๆ ดีใจมากกว่าฉันที่ได้ใบประกาศเรียนดีด้วยซ้ำไป

พ่อบอกว่าดีแล้วที่น้องหาทางเดินของตัวเองถูกดนตรีบำบัดได้ทุกสิ่ง ทำให้คนจิตใจอ่อนโยนลง ให้น้องไปหมกมุ่นกับดนตรียังดีกว่าไปหมกมุ่นกับอย่างอื่น

ฉันเริ่มเห็ด้วยกับพ่อ เพราะตั้งแต่น้องเริ่มที่จะเล่นดนตรีน้องมีอารมณ์ดีมาตลอดไม่ค่อยจะมาแกล้งฉันเท่าไหร่ ไม่คอยมารบกวนเวลาส่วนตัวของฉันมากนัก น้องน่ารักมาขึ้นเริ่มมีความคิดที่จะช่วยเหลือตัวเอง เริ่มที่จะไม่เห็นแก่ตัวช่วยฉันทำงานบ้านเวลาที่แม่ไปตรวจงานที่ต่างจังหวัด

หาหนังสือมาอ่านกับฉันและจินตนาการว่าตัวน้องเป็นนางเอกละคร ฉันเห็นน้องอ่านข้างหลังภาพอยู่สองสามรอบบอกว่าน้องเป็นคุณหญิงกีรติ ฉันยังเคยแย้งเลยว่า

“เป็นได้ไงอามีคนที่รักอาเยอะไปหมดไม่ได้ตายโดยปราศจากคนที่รักสักหน่อย”

“เอ๊าพี่ภาติ๊งต่างไงไม่เคยเหรอ” ดูน้องย้อนฉันสิคะ

“เคยแต่อาอยากเป็นคุณหญิงเหรอพี่อยากเป็นปริศนามากกว่าได้แต่งกับท่านชายพจน์”

“ก็จริงเน๊อะเศร้าไปหน่อยแต่ก็หนุกดี อาชอบนะพี่อาเห็นในหนังสือบางเล่มเค้าบอกว่าเรื่องนี้เป็นโศกาฏกรรมที่ดีเรื่องหนึ่งของไทยเลยนะ”

“อืมตามใจจะชอบก็ชอบไป พี่ไม่เอาด้วยหละนอนดีกว่า” ฉันตัดบทและล้มตัวลงนอนก็ทำให้อาคิราต้องนอนตามไปด้วยเพราะเธอกลัวผียิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

พูดถึงเรื่องกลัวอาคิราเป็นคนที่กลัวจิ้งจกมากที่สุดในโลก ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้กลัวอะไรนักหนา

มีอยู่วันหนึ่งจิ้งจกที่ไต่อยู่บนเพดานห้องนอนของเราหล่นตุ๊บลงมาบนที่นอนของอาคิรา เธอร้องกรี๊ดเสียงดังลั่นบ้านไปหมด จนพ่อกับแม่ต้องรีบวิ่งมาดูว่าเธอร้องอะไร

จิ้งจกเจ้าปัญหาก็คงจะยังมึนๆ ที่อยู่ๆ ก็หล่นตุ๊บลงมาไม่ยอมไปไหนยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนผ้าห่มของอาคิราพอพ่อจับหางมันขึ้นมาจะเอาไปทิ้งไห้ จิ้งจกเจ้ากรรมก็ดันสลัดหางทิ้งเอาดื้อๆ หางอยู่ในมือพ่อ ตัวหล่นลงบนผ้าห่มของอาคิราอีกครั้ง

คราวนี้อาคิราร้องไห้ดังลั่นไปหมด พ่อก็พยายามไล่จับจิ้งจกตัวนั้นให้ได้แต่ก็ไม่เป็นผล จิ้งจกตัวเดิมวิ่งผลุบหายไปในกองหนังสือรกๆ ของอาคิราไปแล้ว

คืนนั้นไม่เป็นอันนอนกันทั้งบ้านอาคิราไปนอนห้องพ่อกับแม่ ทิ้งฉันให้นอนคนเดียว ถามว่าฉันกลัวจิ้งจกหรือเปล่า

เปล่าหรอกคะฉันไม่ได้กลัว แต่ฉันเกรงใจมัน ถ้าคิดจะตกลงมาอย่ามาตกที่ฉันเลยนะ

เจ้าประคุ๊ณไปตกหาอาคิราโน่นเถอะ

................

อยู่ๆ วันหนึ่งฉันตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็พบว่าผมของตัวเองที่เคยยาวปรกหน้าผากของฉันมันหายไปทั้งแผง ฉันร้องไห้จนแม่นึกว่าฉันฝันร้าย แต่เมื่อแม่เห็นหน้าฉัน แม่กลับขำที่เห็นฉันหน้าเป็นกะลาครอบ

พอฉันบอกความจริงไป แม่ก็ไปจัดการกับเจ้าแสบของฉันจนอยู่หมัด แต่ครั้งนี้นานคะกว่าฉันจะยกโทษให้เพราะฉันต้องคิดกิ๊ปเปิดหน้าผากไปโรงเรียนอยู่หลายวัน

จนผมฉันยาวเกือบจะเท่าเดิมฉันถึงได้อภัยให้เธอ พูดถึงเรื่องตัดผมแล้วก็นึกถึงเมื่อตอนที่เจ้าแสบเรียกร้องให้แม่ตัดผมให้เพราะว่าเธอไม่ยอมสูง

เธอตัดสินใจให้แม่ตัดผมที่ยาวถึงเอวออกไปอย่างง่ายดาย เพราะแม่บอกว่าจะทำให้สูงขึ้นอาหารไม่ต้องไปเลี้ยงผม จะจริงหรือไม่จริงไม่รู้แต่เมื่อเธอตัดผมเอะสูงขึ้นภายในเทอมเดียวถึงสี่เซ็น ถ้ารู้ว่าตัดผมแล้วสูงได้ขนาดนั้นฉันตัดไปแล้ว เพราะตอนนี้อาคิราสูงแซงหน้าฉันไปแล้ว

เวลาเดินไปไหนมาไหนใครๆ ก็จะคิดว่าฉันเป็นน้องจนแม่ต้องมารีบแก้ให้ว่าฉันเป็นพี่ จะว่าไปฉันออกจะภูมิใจนะที่ใครๆ เห็นฉันเป็นน้องของอาคิราเพราะนั่นแสดงว่าฉันหน้าเด็กกว่าเธอเยอะ แม่อิคคิวหน้าแก่ อิอิ

..................

ตอนนี้สิ่งเดียวที่ฉันไม่กล้าจะบอกกับน้องสาวคนเดียวของฉันก็คือ แสงอุษาต้องไปเรียนที่เชียงใหม่ ฉันกลัวจังเลยคะ กลัวว่าเธอจะเสียการเรียน กลัวเธอจะไม่มีกำลังใจเรียนอีกต่อไป

แสงอุษามานอนที่บ้านของเราจนเหมือนจะเป็นลูกของบ้านฉันไปแล้ว อาคิราให้ความใกล้ชิดสนิทสนมกับแสงอุษามากเป็นพิเศษ เมื่อก่อนเธอเคยมีเพื่อนสนิทที่ชื่อติวเขียนจดหมายถึงกันอยู่ประจำ เป็นอาจารย์น้อยกับตุ๊กตาน้อย แต่ตอนนี้จดหมายห่างหายไป ฉันก็ไม่รู้ว่าเพราะเธอสองคนเรียนหนักหรือว่าลืมๆ กันไปแล้วว่าต้องเขียนจดหมายหากัน

จะว่าไปทั้งอาและติวก็ยังเป็นเด็กน้อยในสายตาของฉัน (ฉันแอบอ่านจดหมายบ้างบางฉบับเพื่อไม่ให้ตกข่าว) ฉันได้รู้ความลับของอาคิราก็เพราะจดหมายที่เขียนถึงติวนั่นแหละคะ

เมื่อมีแสงอุษาเข้ามาติวก็ตกกระป๋อง อาคิราทำตัวเป็นปาท่องโก๋ติดกับแสงอุษาจนฉันเองก็ไม่สามารถไปแยกเธอออกมาได้ บางครั้งฉันยังคิดว่าฉันเป็นส่วนเกินระหว่างอิครากับแสงอุษาเมื่อยามที่สองคนอยู่ด้วยกัน

แสงอุษาประพฤติตัวดีไม่ได้ทำให้พ่อกับแม่รู้สึกอะไร ฉันเองเคยบอกเรื่องอาคิรากับแสงอุษาให้พ่อฟัง พ่อก็รับรู้แล้วก็ยิ้มกลับ

“ไม่เป็นไรลูกปล่อยน้องไป แล้วน้องจะรู้เองว่าน้องจะทำอะไรเราไปบอกน้องตอนนี้ก็คงไม่ได้ จะเป็นการยุเสียมากกว่า”

พ่อบอกฉันให้เฝ้าดูน้องอยู่ห่างๆ และฉันก็ทำตามพ่ออย่างว่าง่าย เพราะฉันรู้ดีว่าเมื่ออาคิราโมโหหรือไม่พอใจเธอจะรั้นได้มากมายขนาดไหน ทุกคนในบ้านรู้ดี

ก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไป ไม่มีใครแนะนำทางเดินให้ใครได้ถ้าคนๆ นั้นไม่เลือกที่จะเดินตาม

.................

อีกไม่กี่เดือนแสงอุษาก็ต้องจากไปเรียนที่เชียงใหม่แล้ว ตอนนี้ฉันกับแสงอุษายืนมองอาคิราที่เล่นสร้างบ้านอยู่คนเดียว

ฉันมองภาพน้องที่เล่นกับตัวเองอย่างสนุกสนานและมองแสงอุษาที่มองน้องของฉันอย่างชื่นชม สองคนนี้มีจิตใจที่ตรงกันฉันรับรู้ได้ เพราะฉันอยู่กับอาคิรามาตั้งแต่เล็กจนโต น้องไม่เคยปลื้มใครเท่ากับแสงอุษามาก่อน ยอมแม้กระทั่งอดขนมเพื่อที่จะไปถ่ายรูปของแสงอุษาเก็บไว้ดู

ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนการอดขนมสำหรับน้องเป็นเรื่องที่ยากมากๆ และน้องก็ไม่ได้มาเบียดบังเอาค่าขนมของฉันไปใช้เหมือนที่เคยผ่านมา ฉันเองเสียอีกที่คอยถามน้องว่าจะกินขนมอะไรหรือเปล่าเพราะกลัวว่าจะผอมโซไปมากว่านี้

ตั้งแต่น้องสูงขึ้นดูน้องจะผอมลงไปเรื่อยๆ เป็นเพราะความสูงหรือเปล่าก็ไม่รู้ที่ทำให้ฉันเห็นว่าน้องผอมลง เพราะน้องบอกฉันว่าน้ำหนักขึ้นมาสองกิโลเหมือนกัน

วันไหนที่แสงอุษาไม่มานอนที่บ้านน้องก็จะเอารูปของแสงอุษามานั่งมองแล้วก็ยิ้มกับรูปนั้น

ความรักทำให้คนเราเปลี่ยนไปได้มากมายอย่างนี้เลยเหรอ

ฉันเคยอ่านเจอในหนังสือนิยายว่าอานภาพของความรักบันดาลได้ทุกสิ่ง หรือแม้แต่ร้อยกรองบทหนึ่งในเรื่องมัธนภาธากล่าวไว้ว่า

"ความรักเหมือนโรคา...บันดาลตาให้มืดมน
ไม่ยินและไม่ยล...อุปสรรคใดใด
ความรักเหมือนโคถึก...ผิจะคึกจะขังไว้
ก็โลดก็แล่นไป...บ่ยอมอยู่ ณ ที่ขัง"

ฉันไม่อยากให้น้องเป็นแบบนั้นเลย ฉันอยากให้ชีวิตของน้องสวยงามเหมือนดอกไม้แรกบานยามรุ่งอรุณ

ถึงตอนนี้ใครจะว่าอย่างไรฉันไม่สนขอเพียงแค่น้องมีความสุขฉันจะทำให้น้องได้ทุกสิ่ง

ฉันชวนให้แสงอุษาออกไปเล่นกับน้องที่บ้านกลางสวนหลังใหม่ ให้น้องได้ใช้จินตนาการของน้องไปเรื่อยๆ และฉันเองนี่แหละจะช่วยน้องสร้างฝันและจินตนาการของน้องให้สำเสร็จลุล่วงด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิดของพี่ที่รักน้องสุดหัวใจ

... จบบทที่ ๑๖ ...




 

Create Date : 31 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 31 พฤษภาคม 2551 4:12:59 น.
Counter : 309 Pageviews.  

เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุี่่งในดวงใจ บทที่ ๑๕ ๖.๓๐ น.

บทที่ ๑๕ ๖.๓๐ น.

“เทอมหน้าพี่ก็ต้องย้ายโรงเรียนแล้วนะอาใจหายจังเลย” พี่ษาบอกกับฉันระหว่างที่เรานั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์กลับบ้าน

“ไม่เห็นเป็นอะไรเลยพี่ษาเราก็ยังไปไหนมาไหนด้วยกันได้นี่พี่ อาก็ไปหาพี่ที่บ้าน พี่ก็มาหาอาที่บ้านหรือว่าย้ายโรงเรียนแล้วพี่จะเปลี่ยนใจไม่รักอาเหมือนเดิม” ฉันพูดผ่านสายลมที่ปะทะหน้าของตัวเอง

แสงอุษากอดเอวของอิคราไว้แน่นเธอไม่รู้ว่าตัวเธอจะได้อยู่ใกล้กัยอาคิราแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน เพราะเมื่อวั้นก่อนพ่อของเธอมาบอกให้เธอรู้ว่าเธอต้องย้ายโรงเรียนไปเรียนที่เชียงใหม่

“ษาปีหน้าษาต้องไปเรียนที่เชียงใหม่”

“ทำไมหละคะพ่อษาเรียนที่นี่ก็ได้ไม่เห็นต้องย้ายโรงเรียนเลย” แสงอุษาหน้าถอดสีเมื่อรู้ว่าพ่อของเธอมีวัตถุประสงค์อะไรในการเรียกตัวเธอมาคุย

“ที่เชียงใหม่มันมีการเรียนการสอนที่ดีกว่านี้ อีกอย่างพ่อไม่อยากให้ษาเรียนโรงเรียนรัฐบาลมันไม่มีคุณภาพ”

“ไม่มีคุณภาพตรงไหนกันคะพ่อษาก็เห็นพวกรุ่นพี่ที่เรียนที่นี่ก็ติดหมอติดวิศวะกันเป็นแถว พ่อจะให้ษาไปอยู่ไกลๆ พ่อเหรอคะ พ่อไม่รักษาแล้วเหรอ” แสงอุษารู้สึกน้อยใจพ่อของเธอจนอดกลั้นไว้ไม่อยู่

“พ่อไม่ได้อยากให้ษาไปไกลตัวแต่ษาต้องเข้าใจพ่อนะลูก พ่ออยากให้ษาเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุดได้สิ่งที่ดีที่สุดเชื่อพ่อเถอะษาพ่อรักลูกนะ”

พ่อกอดแสงอุษาไว้กับอก เธอรู้สึกว่าโหยหาอ้อมกอดของพ่อแบบนี้มานานมากแล้ว ตั้งแต่แม่ออกจากบ้านไปพ่อไม่เคยกอดเธอ ไม่ค่อยจะมีเวลามานั่งคุยกับเธอ เธอเข้าใจว่าพ่อก็คงอยากให้เธอได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่พ่อจะให้ได้

แต่สิ่งที่จะตามมาก็คือเธอต้องไกลจากคนที่เธอรักทั้งพ่อทั้งอาคิรา เธอเสียแม่ไปไกลจากเธอแล้ว เธอจะต้องมาโดนพรากจากคนที่เธอรักและรู้สึกดีอีก จิตใจของแสงอุษารู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก

“พี่ษาคะพี่ษาเป็นอะไรหรือเปล่าเงียบไปเลย” ฉันไม่ได้รับเสียงตอบรับจากพี่ษาจับมือของเธอที่กอดเอวฉันและเรียกเธออีกครั้ง

“อะไรนะอาเรียกพี่ทำไม”

“ก็อาถามพี่ว่าถ้าพี่ไปเรียนโรงเรียนอื่นแล้วพี่จะไม่รักอาแล้วเหรอพี่ษาก็ไม่ตอบ เอ๊ะหรือว่าพอย้ายโรงเรียนพี่ษาก็เลิกรักอาคิราคนนี้แล้ว ว้าแย่จังแบบนี้อาก็ไม่มีพี่สาวที่แสนดีแล้วสิ” ฉันแกล้งเย้าพี่ษา

“ใครจะเปลี่ยนใจอะไรง่ายๆ หละอาถ้าพี่เปลี่ยนใจง่ายๆ พี่คงไม่ตามเทียวไล้เทียวขื่ออาอยู่ตั้งนานหรอก” แสงอุษาพยายามอธิบายคนขี้ใจน้อยที่น่ารักของเธอ

“จ้าอารู้แล้วจ้ารู้อย่างดีด้วยว่าพี่ษารักน้องสาวคนนี้ของพี่แค่ไหน ร๊ากจนเข้าข้างพี่ภาเป็นปี่เป็นขลุ่ยเวลาแกล้งน้อง ร๊ากจนไม่เป็นอันอ่านหนังสือรวมหัวกันแกล้งน้องจนเจ็บไปหมด”

ไม่มีเสียงตอบจากแสงอุษาเธอยังคงซบหน้าของเธอบนแผ่นหลังของอาคิราไปตลอดทางจนถึงบ้านของอาคิรา วันนี้เธอมานอนที่บ้านของอาคิราอีกครั้ง เธอรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นของครอบครัวอาคิรา ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ความรักของพี่ที่มีให้น้อง และความรักของน้องที่มีให้พี่ ความรักทั้งหมดอบอวลอยู่ในบ้านหลังไม่ใหญ่ของอาคิรา

พ่อของอาคิราเป็นข้าราชการที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร แม่ของอาคิราเป็นพนักงานบริษัทที่ต้องออกไปต่างจังหวัดบ่อยๆ อวภาส์เคยเล่าให้เธอฟังว่าแม่เป็นผู้ตรวจสอบบัญชี ต้องไปตรวจบัญชีของสาขาอยู่บ่อยๆ และอวภาส์ก็ต้องคอยดูแลน้องและพ่อม่ตั้งแต่ยังเล็ก

แม่ของอวภาส์จะสอนให้เธอทำกับข้าวง่ายๆ กินกันเองในบ้าน สอนให้ทำความสะอาดบ้านซักผ้ารีดผ้า ช่วยเหลือตัวเองเมื่อยามที่แม่ไม่อยู่

เธอไม่แปลกใจเลยที่อวภาส์มีความเป็นผู้ใหญ่เกินตัว และไม่แปลกใจว่าทำไมอาคิราถึงได้มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ก็เพราะว่าครอบครัวนี้ให้อิสระเสรีในการให้ลูกๆ คิดเองทำเองช่วยเหลือตัวเองมาตั้งแต่ยังเยาว์

ผิดกับเธอที่พ่อและแม่ป้อนให้ทุกอย่างไม่เคยทำกับข้าวเองไม่เคยซักผ้ารีดผ้าเอง มีแต่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนให้ดีเรียนให้เก่งเพื่อให้พ่อกับแม่ได้ภูมิใจกับการเรียนของเธอ เธอรู้สึกว่าเธอโชคดีที่ได้รู้จักกับครอบครัวของอาคิรา

จากที่ไม่เคยทำอะไรเองตอนนี้เธอเริ่มที่จะซักผ้ารีดผ้าเป็น ทอดไข่เป็น แม้จะไหม้ไปบ้างก็ตามเถอะ อาคิราบอกเธอว่าใครทำอะไรก็รับผิดชอบอันนั้นทำให้เธอต้องกินไข่เจียวไหม้ครึ่งล่างและสวยครึ่งบนไปอย่างพะอืดพะอม

บางวันอาคิราพาเธอเดินไปหลังบ้านไปเก็บผักที่ครอบครัวของอาคิราปลูกเอง เอามีดไปตัดกันสดๆ จากแปลงปลูก และในวันหยุดอาคิราก็ไปยกแปลงผักใหม่ที่ตัดผักไปหมดแล้ว เธอได้แต่ยืนมองเพราะแม้กระทั่งการจับจอบที่จะขุดดินเธอยังทำไม่เป็น

บ้านของอาคิรามีต้นกระถินริมรั้ว มีแปลผัก มีต้นมะม่วงสองสามต้นที่อาคิราดูจะรักต้นมะม่วงเหล่านั้นมากๆ มีต้นกล้วยน้ำว้าริมรั้ว ต้นดอกแค ต้นขี้เหล็ก หลังบ้านก็มีไก่อยู่ฝูงใหญ่ที่คอยออกไข่ให้ครอบครัวนี้กินโดยที่ไม่ต้องออกไปซื้อมาจากตลาด

แสงอุษารู้สึกเหมือนกับว่าบ้านของอาคิราจะเป็นแหล่งรวมของอาหารการกินที่ไม่ต้องไปซื้อหามาจากไหน จะยกเว้นก็คงมีเพียงข้าวและเนื้อสัตว์เท่านั้นที่บ้านนี้ไม่มี

วันนี้อาคิรามาแปลกไปหยิบดอกไม้สีม่วงๆ ที่ขึ้นอยู่บนพื้นดินมาหลายดอก

“ดอกอะไรนะอาสีสวยดี”

“ดอกอัญชันพี่ษา” ฉันยื่นดอกอัญชัญในมือให้กับพี่ษา

แสงอุษารับดอกไม้นั้นมาดมแต่ก็ไม่ได้กลิ่นอะไร

“ไม่เห็นหอมเลยอาเก็บมาทำไมกันนี่”

“วันนี้เราจะทำของกินสวยๆ กัน” ฉันยืดอกพูดอย่างภาคภูมิ

“จะกินได้ไหมนั่น จะท้องเสียหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“เอาน่าพี่ษาเดี๋ยวก็รู้เอง” ฉันเดินนำพี่ษาเข้าบ้านเพราะวันนี้ฉันเห็นดอกอัญชันที่ขึ้นเต็มไปหมดแล้วอดใจไม่ได้

ฉันล้างดอกอัญชันจนสะอาด เอาไปต้มในน้ำเดือดใส่น้ำตาลลงไปจากนั้นก็พักเอาไว้ให้เย็น ที่ดอกที่เหลือฉันจับมาขยี้ๆ ให้เละและจัดการซาวข้าวจากนั้นก็เอาดอกที่ขยี้ให้เละนั้นมาละลายน้ำจะได้น้ำสีฟ้าๆ จากนั้นก็เอามาใส่หม้อข้าว (จะบอกว่าหลังจากวันเข้าค่ายเนตรนารีฉันรู้แล้วว่าองคุลีคืออะไรนะจะบอกให้ ฉันก็เป็นมือวางอันดับหนึ่งในการหุงข้าวของบ้านฉันด้วย ชิชิ)

หม้อน้ำหุงข้าวก็เป็นสีฟ้าๆ ตามไปด้วยวันนี้เราจะกินข้าวที่หุงด้วยน้ำดอกอัญชันและน้ำดอกอัญชันแก้กระหายน้ำ ยิ้ปปี้ เมนูอาหารของอาคิราสุดยอด ฟิ้ว...........

พี่ภาดูจะไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่กับข้าวที่หุงแล้วออกมาเป็นสีฟ้าแต่พี่ษาสิท่าทางตื่นเต้นมากๆ เมื่อได้เห็น

“อาอย่าบอกนะว่าอาเอาดอกอัญชันมาหุงข้าว”

ฉันพยักหน้าด้วยความภูมิใจกับฝีมือหุงข้าวสวยร้อนๆ สีฟ้าๆ อย่างภาคภูมิ

“เยสมาดาม”

“ดูทำท่าเข้าจะกินก็รีบๆ กินเลยเล่นอยู่ได้อา” พี่ภาดักคอฉันก่อนที่จะไม่ยอมกินกับข้าว ฝีมือเธอ

“เล่นที่ไหนกันพี่ภาอากำลังจะแสดงมายากลต่างหาก”

“มายากลอะไรของเธอไม่เห็นจะได้เรื่อง” พี่ภาที่รู้แกวฉันดักคอฉันอีกรอบ

“พี่ภารู้แล้วก็เฉยไว้เถอะไม่ต้องพูดมาก” ฉันรีบเบรกพี่ภาเพราะรู้ดีว่าพี่ภาชอบจะเผยไต๋ฉันให้พี่ษารู้อยู่เสมอๆ

“แต่น แตน แต๊น ต่อไปนี้ อาคิราจะแสดงมายากลที่ขึ้นชื่อที่สุดของเมืองไทยให้ท่านได้รับชมกันเป็นขวัญตา ตึน ตา ด๊า ดึน ตา ดา ดึน ตึน ตื๊น”

ฉันยกน้ำดอกอัญชันที่ต้มไว้จนเย็นแล้วใส่แก้วใสๆ และมาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็หยิบมะนาวมาหนึ่งลูก ฝานให้บางหย่อนลงไปในแก้วน้ำ และจัดการคนให้ทั่ว

“บัดนี้เราจะจัดการเปลี่ยนสีน้ำจากสีฟ้าให้เป็นสีม่วงในบัดดล”

น้ำในแก้วค่อยๆ กลายเป็นสีม่วงอย่างรวดเร็ว พี่ษาจ้องมองอย่างตะลึง แต่พี่ภาส่ายหน้าแบบเอือมระอากับฉันเอามากๆ

“เล่นเป็นเด็กจะกินยังจะเล่นเป็นเด็กๆ ไปได้คนเรา” พี่ภาบ่นฉันอีกแล้วเหรอนี่ ไม่ได้แล้วต้องเอาคืน

“งั้นพี่ภาก็ไม่ต้องมากินน้ำของอาแล้วกัน” ฉันขู่เพราะรู้ว่าพี่ภาชอบน้ำดอกัญชันมากๆ

“งั้นก็ไม่ต้องมากินกับข้าวพี่แล้วกัน” โดนไม้นี้ตอกกลับฉันถึงกับจ๋อย

“ก็ได้ เช๊อะ วันพระไม่ได้มีหนเดียวนะพี่ภาจำไว้ๆ” ฉันขู่ไปอีกรอบ

“ใช่แล้วพี่ก็ไม่ได้ทำกับข้าวหนเดียวเหมือนกัน วันไหนถ้าพี่เห็นอามากินกับข้าวพี่พี่จะให้อาจ่ายค่าขนมให้เป็นการแลกเปลี่ยน แล้วไม่ต้องมาให้พี่รีดกระโปรงให้เลยนะ พี่จะรีดให้ษาเค้าคนเดียว อ้ออีกอย่างอย่ามาให้พี่สอนการบ้านด้วยเพราะต่อจากนี้ไปพี่จะให้อาทำการบ้านเอง”

พี่ภาขู่กลับและฉันก็ต้องกระดั๊บกระดึ๊บเข้าไปใกล้พี่ภาเพราะสิ่งที่พี่ภาขู่ฉันมันช่างร้ายกาจจนฉันแทบรับไม่ได้

“โด่แค่นี้ก็น้อยใจไปได้ไหนๆ มาดูสิว่าหัวล้านตรงไหนจะได้เอาอัญชันมาขยี้ใส่ผมให้ แต่ช้าแต่เค้าแห่ยายมาพอถึงศาลาเค้าก็วางยายลง”

ฉันเอื้อมมือจะไปจับหัวแหม่งพี่ภา เพราะนั่นเป็นจุดอ่อนจุดเดียวของพี่ภาให้ฉันได้ล้อเลียนอยู่เกือบทุกวันที่เราแกล้งกัน พี่ภาไม่ได้หัวล้านถึงขนาดที่ว่าน่าเกลียดเพียงแต่พี่ภามีตีนผมที่ลึกกว่าฉัน พี่ภาเป็นเหมือนพ่อตีนผมลึกนิดๆ หน่อยๆ แต่เธอก็มักจะชอบบ่นว่าเธอหัวล้านและต้องการที่จะเอาผมมาปิดหน้าผากของเธอเสมอๆ

บางที่ฉันก็รำคาญเพราะเธอเอาผมมาปิดและก็ชอบยกมือขึ้นเสยจนติดเป็นนิสัย ฉันเคยแกล้งพี่ภาตอนนอนโดยการแอบเอากรรไกรมาตัดผมด้านหน้าของพี่ภาจนสั้นกุด และทำให้ฉันต้องโดนไม้เรียวของแม่ไปหลายเฟี้ยว จากนั้นฉันก็ไม่เคยแกล้งพี่ภาแบบนั้นอีกเลยเพราะกลัวไม้เรียวในมือแม่ที่จะมากระทบก้นสวยๆ ของฉัน

ก็มันเจ็บนี่นาใครกล้าก็ลองดูสิคะ ว่าไม่เรียวในมือแม่มันเจ็บแค่ไหน

ไม่เชื่อก็ลองดู อย่าหาว่าอาคิราไม่เตือนไม่ได้เน้อ คริกๆๆๆ

.........................

กว่าอาหารมื้อนั้นจะจบลงไปได้พี่ษาก็สำลักไปหลายหนเพราะการเล่นจำอวดของฉันกับพี่ภา ถ้าหากแม่อยู่แม่คนจะจับฉันมาตีอีกรอบเพราะแม่ไม่ชอบให้เล่นเวลากินข้าว

แม่บอกว่าเวลากินห้ามเล่นห้ามร้องเพลงจะได้สามีแก่ แต่พ่อก็อธิบายว่าไม่จริงหรอกเวลากินถ้ามัวแต่เล่นจะกินไม่ทันเพื่อนและจะทำให้เรารีบๆ กินจนข้าวติดคอสำลักข้าว หากข้าวติดคอหรือพลัดลงไปที่หลอดอาหารมันอันตรายถึงตายได้ ฉันว่าที่พ่อพูดก็มีเหตุผลมากว่าแม่

เพราะฉันไม่ได้กลัวการมีสามีแก่ฉันก็เล่นเวลากินข้าว ร้องเพลงเสียงเพี้ยนๆ เวลากินข้าวไปได้เรื่อยๆ แต่พอพ่ออธิบายฉันกลัวข้าวติดคอก็เลยหยุดเล่น ฉันเคยสำลักจนน้ำหูน้ำตาไหลและวันนั้นฉันก็กินเผ็ดด้วยสิจนทำให้ฉันเข็ดขยาดการกินเผ็ดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

“ภาบอกเราหน่อยสิทำไมน้ำดอกอัญชัญถึงได้เปล่ยนสี” พี่ษาถามพี่ภาระหว่างที่ยืนล้างจานอยู่ด้วยกัน

“ก็เพราะอาเป็นนักมายากลนะสิพี่ษาสามารถเปลี่ยนสีน้ำได้ในพริบตา” ฉันรีบชิงตอบไปก่อน

“บ้าอาไปตอบแบบนั้นษาเค้าจะรู้เรื่องจริงเหรอ คืองี้ษาดอกอัญชันมันจะเป็นเหมือนตัวอินดิเคเตอร์จะเปลี่ยนสีตามความเป็นกรดด่าง ถ้าสภาพออกมาทางด่างจะให้สีน้ำเงินเข้ม ถ้าสภาพออกไปทางกรดจะให้สีออกแดง ที่เราเรียนเราจะใช้ทดสอบความเป็นกรดหรือด่าง แทนกระดาษลิตมัสไงษาจำไม่ได้เหรอ” พี่ภาอธิบายพี่ษาตามที่เธอได้เรียนมา

“เออจริงด้วยเราลืมไปเลยว่าเคยเรียนเหมือนกัน เหมือนเวลาที่เราจะทำสอบแป้งเราก็ใช้ไอโอดีนหยดลงไปแล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเน๊อะลืมไปเลย ภานี่เก่งจริงๆ สมคำอวดอ้างของอาเลยจริงๆ” พี่ษาดูเหมือนจะระลึกถึงเรื่องที่เรียนขึ้นมาได้และเยินยอพี่ภาจนฉันอิจฉา

“โอ๊ยหมดกันมายากลของอา หมดกันๆ พี่ภานะมาเฉลยทำไมแบบนี้อาก็ไม่มีมายากลเล่นแล้วสิ” ฉันสะบัดก้นหนีจากการล้างจานในทันที แต่ก็ไม่ทันที่ภาที่คว้าฉันไว้และดึงหูของฉัน

“จะไปไหนแม่ตัวดีมาล้างจานให้เสร็จก่อนค่อยเปิดก้น จะมาทำงอนแล้วไม่ยอมล้างจานพี่รู้หรอกน่าว่าจะแกล้งโกรธแล้วไม่ยอมล้างจานมาซะดีๆ แม่ตัวแสบ”

“โอ๊ยพี่ภานี่ไม่รู้ทันอาสักเรื่องจะได้ไม๊” ฉันโอดครวญพี่สาวคนเดียวที่ต่อปากต่อคำกันมาตั้งแต่เล็กจนโต

“รู้ไม่ทันอาพี่ก็เป็นพี่ของอาไม่ได้สิ มานี่เลยล้างให้เสร็จแล้วจะไปไหนก็ไป”

“จริงๆ นะจะไปไหนก็ไปได้จริงๆ นะ”

“เออ จะไปไหนก็ไปรำคาญแล้ว”

“เย้ๆๆ อาจะไปเล่นน้ำที่ลำเหมืองนะพี่” ฉันรีบๆ ล้างจานจนเสร็จแล้วก็วิ่งผลุบออกประตูบ้านไป โดยมีพี่ภาและพี่ษายืนส่ายหน้าระอาใจกับฉันอยู่สองคน

“รับมือไหวเหรอษาลิงตัวนี้” อวภาส์หันไปถามแสงอุษาที่ยืนอยู่ด้วยกัน

“ไม่ไหวก็ต้องไหวทำไงได้ก็มันรักไปแล้วนี่ภา” แสงอุษาพูดเหมือนบ่นกับตัวเอง

................

ฉันมานั่งเล่นอยู่ริมตลิ่งที่น้ำเหมืองข้างบ้าน (น้ำเหมืองหมายถึงคลองชลประทาน) ฉันหยิบเอาเมล็ดต้อยติ่งมาโยนเล่นในน้ำไปเรื่อยๆ ให้เมล็ดต้อยติ่งแตกโป๊ะ แล้วก็กระเด็นไปไกลๆ เป็นกิจกรรมยามว่างที่ฉันชอบเล่นเมื่อเวลาที่ฉันอยู่คนเดียว

ฉันเกือบจะปีนขึ้นไปบนต้นมะม่วงต้นโปรด แต่ก็ต้องยับยั้งชั่งใจเอาไว้เพราะยังเสียวๆ ที่ข้อเท้าไม่หาย ขืนปีนขึ้นไปแล้วตกลงมาอีกคราวนี้มีหวังอาคิราสิ้นชื่อไปจากโลกอย่างแน่นนอน

เล่นจนเบื่อก็เลยเดินลงไปในน้ำ น้ำเหมืองฤดูนี้มีน้อยให้พอเดินลงไปเล่นได้โดยไม่ต้องกลัวว่าน้ำจะพัดไปไหน อีกอย่างพ่อก็ทำทางเดินลงไปให้เพื่อไปตักน้ำมารดต้นผักในแปลงอยู่แล้ว ก็เลยไม่ลำบากในการเดินลงไปมากมายนัก

ต้นผักบุ้งขึ้นเต็มไปหมดฉันเดินลงไปลุยน้ำได้สักพักก็เริ่มเบื่อและมีความคิดที่จะเล่นอะไรแปลกใหม่ขึ้นมาอีกแล้ว

ฉันเดินไปหาผ้าใบที่พ่อพึ่งจะซื้อมาได้ไม่นานพ่อบอกว่าจะเอามาคลุมกองไม้หลังบ้าน พ่อไปซื้อไม้เก่ามาจากไหนก็ไม่รู้บอกว่าจะเอามาต่อเติมบ้านให้ฉันกับพี่ภาไปอยู่กันสองคน พ่อบอกว่าฉันกับพี่ภาโตแล้วต้องมีห้องเป็นของตัวเอง แต่จนแล้วจนร้อดพ่อก็ยังไม่ได้เอาช่างมาทำบ้านไม้ก็ยังกองไว้ที่เดิม

ฉันได้ผ้าใบมาเรียบร้อยแล้วก็หาเชือกฟางมามัดปลายผ้าใบ ทั้งสี่มุม เอาเชือกไนล่อนไปขึงต้นมะม่วงสองต้น เอาผ้าใบมาคลุมเชือกและตัดไม้มาค้ำเชือกไว้ วันนี้ฉันจะเล่นกางเต็นท์ในบ้าน ไหนๆ ก็ขึ้นไปบนต้นไม่ไม่ได้ ก็เล่นกางเต็นท์ใต้ต้นมะม่วงสุดโปรดเลยก็แล้วกัน

บริเวณที่ฉันเลือกเป็นบริเวณที่อยู่ใต้ร่มไม้ไม่ร้อนมาก ฉันรู้ว่าการที่กางเต็นท์อยู่กลางแดดในตอนกลางวันนั้นร้อนแค่ไหน เพราะฉันเคยเข้าไปหยิบของในเต็นท์ช่วงกลางวันเมื่อตอนเรียนเนตรนารีมาแล้ว เล่นเอาฉันแทบหายใจไม่ออกเพราะความร้อนที่อบอยู่ในนั้น

ฉันเกลี่ยดินให้เรียบมีหินก้อนโตๆ ในบริเวณที่ฉันจะสร้างบ้านหลังเล็ก กว่าการสร้างบ้านบนพื้นของฉันจะเสร็จก็เล่นเอาเหงื่อท่วมตัว ฉันขุดดินให้เป็นหลุมแล้วเอาก้อนหินมาวางเรียงให้ดูเหมือนจะก่อกองไฟ เอาใบไม้แห้งๆ มาวางไว้ที่ก้นหลุม แล้วก็เดินกลับไปในบ้านไปหาเสื่อเก่าๆ ของแม่มาปูอย่างน้อยแม่ก็ไม่ด่าฉันว่าเอาเสื่อมาทำเปื้อน

จากนั้นก็ไปหากล่องน้ำปลาของแม่กล่องเบีร์ของพ่อมาปูที่พื้นก่อน การที่มีกล่องปูรองพื้นก่อนที่จะเอาเสื่อมาปูฉันว่ามันนุ่มกว่าเสื้อผืนเดียวเป็นไหนๆ

พี่ษากับพี่ภามองตามฉันที่วิ่งเข้าวิ่งออกจากบ้านไปๆ มาๆ อยู่หลายรอบ แต่พี่สองคนก็ยังคงอ่านหนังสือกันต่อไป และไม่ได้สนใจฉัน

จนฉันอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยเพราะเหงื่อที่ไหลย้อยไปทั้งตัวแล้วก็เดินมาหยิบหมอนใบเล็กและกระเป๋านักเรียนออกมาจากห้อง

“จะไปไหนอา” พี่ภาเรียกฉัน

“ก็พี่ภาบอกว่าอาจะไปไหนก็ไปไงรำคาญอาก็จะออกจากบ้านไปอยู่ที่อาชอบไงหละจะได้ไม่ขวางหูขวางตาพี่ภาไง” ฉันต่อปากต่อคำ

“เออดีไปนานๆ เลยนะไม่ต้องกลับมานอนที่นี่เลยพี่กับษาจะได้สงบๆ กันบ้างไม่ต้องมาดูลิงทำหน้าทะเล้น ษาไม่ต้องไปสนใจอ่านหนังสือต่อกันดีกว่า” พี่ภาบอกพี่ษาให้หันมาอ่านหนังสือต่อ

“จำไว้ไม่สนใจอาอาจะเป็นเด็กมีปัญหาอาจะทำตัวเหลวไหลคอยดูแล้วกันเช๊อะ” ฉันสะบัดหน้าให้พี่ภาแล้วก็เดินออกจากบ้านไป

สักพักฉันก็กลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง มาหยิบธูปเทียนและไม่ขีด และไม่ลืมที่จะหยิบผลไม้ในกล่องที่แม่แช่ตู้เย็นไว้ให้ติดมือไปด้วย

“ไหนว่าจะไปไม่กลับมาไง” พี่ภาถามฉันก่อนที่จะวิ่งลงบันไดบ้าน

“ก็เข้ามาเอาเสบียงก่อนไง จะไปแล้วมาเรียกไว้ทำไมเล่าเช๊อะ” แล้วฉันก็วิ่งกระทืบเท้าลงบันไดบ้านไปบ้านบนดินแห่งใหม่ของฉันและหมกตัวอยู่ในนั้น เมื่อมีแมลงมากวนมากๆ ฉันก็จุดธุปไว้ที่หน้าเต็นท์ และจุดไฟเผาใบไม้แห้งๆ ที่เอามากองไว้ นิดๆ หน่อยๆ ให้ไม่มีแมลงมารบกวนเวลาอันสุทรีย์ของฉัน

..................

“ดูอาสิษาเล่นเป็นเด็กๆ” อวภาส์ยืนมองอาคิราที่นอนเล่นอยู่ใต้ต้นมะม่วงอย่างสบายอารมณ์

“เราว่าน้องของภาน่ารักดีออกนะ” แสงอุษาเปรยๆ และยืนขึ้นมองอาคิราจากหน้าตางบานเดียวกัน

“น่ารักนะน่ารักหรอก แต่บางทีก็เซี้ยวจนฉุดไม่อยู่ อาเค้ามีโลกส่วนตัวของเค้าเองบางที่เราก็เข้าไปยุ่งมากไม่ได้ จะว่าไปอาก็เป็นน้องที่ดีนะษาถึงแม้ว่าจะดื้อไปหน่อยแต่ก็ไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายอะไร” อวภาส์ถอนหายใจ

“แล้วษาจะย้ายไปเรียนเชียงใหม่ปีหน้าเลยเหรอ” อวภาส์หันไปมองหน้าแสงอุษาที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน

“อืมใช่เราคงต้องไปเพราะพ่อบอกให้ไป ทำไงได้เราเป็นลูก แต่ก็อย่างว่าโรงเรียนนั้นสอบเข้ายากจะตายไปภาก็รู้” แสงอุษาถอนหายใจอย่างหนักหน่วงกับเรื่องที่เธอจะต้องเผชิญในอนาคต

“เราว่าษาทำได้นะเราเชื่อว่าษาต้องสอบเข้าไปเรียนได้แน่ๆ เราเป็นกำลังใจให้” อวภาส์ส่งรอยยิ้มที่จริงใจให้กับเพื่อนคนละห้องแต่มีใจรักอาคราเหมือนกันถึงแม้จะคนละฐานะก็ตามที

“แต่เราไม่อยากสอบได้เลยนะภาเราอยากเรียนที่นี่เราไม่อยากไปจากที่นี่” แสงอุษาตอบด้วยสีหน้าที่เศร้ามากๆ จนอวภาส์ที่ยืนอยู่ข้างๆ สัมผัสได้

“ลองถามตัวเองให้ดีๆ ก่อนแล้วกันษาว่าที่ตัวอยากอยู่ที่นี่เพราะสาเหตุไหน ถ้าเพราะว่าตัวอยากอยู่เพราะอา ตัวตัดประเด็นนี่ไปได้เลย ถ้าอารักตัวจริงๆ ต่อให้อยู่ที่ไหนอาก็รัก และถ้าหากว่าอาจะไม่รักตัว ต่อให้ตัวนอนอยู่กับอาทุกวันอาก็ไม่รัก และไปจากตัวได้ง่ายๆ เหมือนกัน อนาคตเป็นของตัว ตัวเลือกเองก็แล้วกันษา” อวภาส์คิดว่าไม่มีอะไรที่เธอจะทำให้เพื่อนคนนี้ได้มากไปกว่าการให้กำลังใจ

“ก็จริงของตัวนะภาต่อให้อยู่ไกลแสนไกลหากยังรักกันก็เหมือนอยู่ใกล้กัน ต่อให้ใกล้แสนใกล้หากไม่รักกันก็เหมือนไกลแสนไกล เหมือนเรารักแม่เราไงเค้าอยู่ไกลเราแต่เราก็รัก แต่กับพ่อใกล้เรามากว่าแม่แต่เราไม่มีความรู้สึกว่ารักพ่อมากเท่าแม่เลย”

“อืมไม่ต้องคิดมาหรอกษา นี่เบื่ออ่านหนังสือหรือยังเราไปป่วนไอ้ลิงตัวแสบกันไม๊ ท่าทางน่าเล่นนะเต็นท์ใต้ต้นไม้” อวภาส์จับมือของแสงอุษาและจูงมือให้เดินออกมาจากห้องด้วยกัน

“ไปสิ เราก็รู้สึกเบื่อๆ แล้วเหมือนกัน” แสงอุษาตอบตกลงอย่างง่ายดายและตามอวภาส์ไปที่อาคิรานอนเล่นอยู่เพียงคนเดียว

...............

“เจ้านายมีผู้บุกรุก มีผู้บุกรุกต๊อดๆๆๆ” เสียงของอาคิราดังออกมาจากเต็นท์ผ้าใบ

“จัดการผู้บุกรุกได้เลย” เสียงอาคิราที่เปลี่ยนไปร้องสั่งเหมือนกับกำลังเล่นกับใครอีกหลายๆ คนทั้งๆ ที่เล่นอยู่คนเดียว

ฉับพลันนั้นเอง ลูกกระสุนใบไม้ที่ถูกปั้นให้เป็นก้อนเล็กๆ ก็ระดมยิงมาที่แสงอุษาและอวภาสืไม่ขาดระยะ

“ยอมแพ้แล้วท่านเจ้าเมืองเราขอเข้าไปหลบภัยในเมืองของท่าได้หรือไม่” อวภาส์ยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้ให้กับอาคิรา

“แล้วผู้ติดตามของเจ้าหล่ะยอมแพ้เราด้วยหรือไม่” เสียงในเต็นท์ดังออกมาถามแสงอุษา

แสงอุษายกมือขึ้นตามอวภาส์และพูดว่า “ยอมค่ะท่านเราสองคนยอมแพ้ท่านเจ้าเมืองข้างนอนนี้มันช่างร้อนนักท่านเจ้าเมืองให้เราสองคนเข้าไปข้างในเมืองของท่านจะได้หรือไม่”

“ไม่ได้พวกเจ้าต้องมีเสบียงกรังพกติดตัวมาด้วยไม่อย่างนั้นเสบียงของเราจะไม่พอยาไส้ เอ๊ยไม่ใช่ ไม่พอเพียงกับพลเมืองในบ้านเมืองของเรา” เจ้าเมืองอาคิราส่งข้อแม้ออกไป

“ได้ๆ ท่านเราจะไปนำเสบียงมาให้ท่าน ณ.บัดนาว”

แสงอุษายืนยิ้มกับการต่อรองของสองพี่น้องแล้วก็เดินตามอวภาส์ไปหยิบขนมและน้ำอีกหลายๆ อย่างใส่ตะกร้า

ทั้งสองคนกลับมาอีกครั้งและทำท่ายกมือยอมแพ้เช่นเดิม

“ท่านเจ้าเมืองเรากลับมาแล้วพร้อมเสบียง” อวภาส์ส่งเสียงบอกกับคนที่อยู่ในเต็นท์

“ได้เจ้าเอาเสบียงของเจ้าวางไว้ที่หน้าเมืองของข้าก่อนแล้วถอยหลังออกไป อย่าตุกติกนะไม่เช่นนั้นเจ้าจะไม่มีทางได้เข้ามาในเมืองนี้เด็ดขาด นี่เจ้าออกไปดูสิว่าสองคนนั้นมาดีหรือมาร้าย” อิคราทำเสียงดุๆ เหมือนสั่งการใครสักคน

“ครับท่านเจ้าเมือง” อาคิราเปลี่ยนเป็นเสียงเล็กเสียงน้อยพูดกับตัวเอง และสักพักอาคิราก็เดินออกมาหยิบตะกร้าที่วางอยู่ด้านหน้า และผลุบกลับเข้าไปด้านในเต็นท์อย่างรวดเร็ว

“นี่ครับท่านเจ้าเมือง” อาคิราทำเสียงเล็กเสียงน้อย

“ดีมากไอ้ลูกน้อง เจ้าสองคนเข้ามาได้” อาคิราทำเสียงใหญ่ๆ อีกครั้ง

อวภาส์และแสงอุษาเข้ามาในเต็นท์ของอาคิราและนั่งลงบนเสื่อ

“ท่านเจ้าเมืองข้าน้อยกับเพื่อนขอมาพักพิงกัยท่านเจ้าเมืองสักชั่วระยะถ้าท่านเจ้าเมืองอนุญาต” อวภาส์เอ่ยขึ้นก่อน

“ได้แล้วเจ้าสองคนก็มีหน้าที่หาอาหารมาให้ข้าก็แล้วกัน”

“เจ้าค่ะท่านเราสองคนจะจัดหารเสบียงมาให้ท่านไม่ขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย” อวภาส์ส่งสายตาให้กับแสงอุษา

“นั่นๆ พวกเจ้าจะมาตีเมืองข้าใช่หรือไม่ ใครส่งเจ้ามาเป็นไส้ศึกบอกมาดีๆ นะ” อาคิราทำเสียงขู่ในลำคอ

“ไม่นะเจ้าคะท่านเรามาด้วยมิตรไมตรีมิได้คิดจะมาเป็นไส้ศึกท่านแต่อย่างใด ท่านเจ้าเมืองสบายใจได้”

จากนั้นอวภาส์ก็หยิบขนมขึ้นมาป้อนอาคิราโดยที่ข้างซ้ายของอาคิราคืออวภาส์ และด้านขวาเป็นแสงอุษา ต่างคนต่างผลัดกันป้อนจนเต็มปากของอาคิราไปหมด

แสงอุษาป้อนขนมให้อาคิราแต่อาคิราปฏิเสธเพราะยังเต็มปากอยู่

“ไม่ได้นะเจ้าคะท่านเจ้าเมืองท่านจะลำเอียงกินแต่ของนางคนเดียวมิได้ท่านต้องกินของข้าด้วยไม่อย่างนั้นข้าจะไปผูกคอตายใต้ต้นถั่วงอกด้วยเส้นขนมจีน” แสงอุษาแกล้งงอน

แต่ตอนนี้อาคิราไม่มีความสามารถในการต่อล้อต่อเถียงเพราะในปากเต็มไปด้วยขนม

“อ่าอาเอ๊ะอานเอาอาอินไอ้อดเอย” (อย่าทะเรากันเราจะกินให้หมดเลย)

อาคิราทำท่าผะอืดผะอมอย่างเห็นได้ชัดเพราะตอนนี้ท้องของเธอเต็มไปด้วยผลไม้และขนม จนแสงอุษาและอวภาส์หัวเราะกับท่าทางของอาคิราไปพร้อมๆ กัน

“สมน้ำหน้าเจ้าเมืองชูชกตะกละนัก กินเข้าไปได้ ไม่ตายก็บุญแล้ว” อวภาส์พูดไปหัวเราะไป

อาคิรารู้แล้วว่าเวลาชูชกตายเพราะกินเยอะจนท้องแตกตายเป็นเช่นไร

และต่อไปนี้อาคิราจะไม่กินอะไรเยอะแยะมากมายแบบนี้อีกต่อไปแล้ว

อาคิราไม่อยากตายแบบชูชกจริงๆ นะ

สิบอกให่

..... จบบที่ ๑๕ .....




 

Create Date : 31 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 31 พฤษภาคม 2551 4:11:58 น.
Counter : 425 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.