It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องสั้นแนวยูริ : กาลนาน บทที่ ๘

บทที่ ๘

ตรีทิพย์เดินออกมาส่งฝนกลับบ้านเหมือนๆ กับทุกคืนที่ผ่านมา เธอยังรู้สึกงุนงงไม่หายว่าทำไมเธอถึงได้เอามือของตัวเองไปวางไว้ที่อกของฝนได้ ทั้งๆ ที่เธอตั้งใจวางลงที่ไหล่ของฝนแท้ๆ

“หรือว่าต้องเปลี่ยนแว่นตาอันใหม่ แต่ก็ไม่นะ ในเมื่อก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยพลาด ไม่เคยทำอะไรแบบที่ต้องมาหน้าแตกแบบนี้นี่นา โชคดีนะนี่เราที่ฝนไม่เอาเรื่องไม่อย่างนั้นตายแน่ๆ เลยฉัน” ตรีทิพย์ได้แต่ครุ่นคิดอยู่คนเดียว

เมื่อสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวสมองไม่ได้ ตรีทิพย์ก็ต้องเก็บของไปคิดไป เธอต้องเก็บสัมภาระของตัวเองให้เสร็จก่อนไม่เช่นนั้นวันพรุ่งนี้คงจะวุ่นวายน่าดู การมาอยู่ต่างถิ่นนานๆ ทำให้เธอมีข้าวของมากมาย โดยเฉพาะหนังสือหรือเอกสารหลายตั้งที่วางระเกะระกะอยู่ทั้งบนพื้นและบนโต๊ะทำงาน

ทศพลหากล่องกระดาษหลายใบมาให้ตรีทิพย์เก็บของรกๆ ของเธอตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่เธอยังไม่มีโอกาสที่จะได้ลงมือเก็บจริงๆ จังๆ สักครั้ง หากไม่เก็บตอนนี้ พรุ่งนี้คงวุ่นวายน่าดู เพราะเธอต้องกระจายงานที่ยังค้างอยู่ให้กับทศพลและผู้รับผิดชอบคนต่อไปทางด้านการปรับปรุงภูมิทัศน์

การขุดค้นเกือบจะสิ้นสุดลงแล้ว หากว่าพบวัตถุโบราณชิ้นใหม่ๆ อีกก็เป็นหน้าที่ของทศพล ที่ต้องรับช่วงต่อจากเธอ เพราะโดยส่วนใหญ่เมื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะต้องส่งต่อให้กับผู้รับผิดชอบในแต่ละจังหวัด จึงหมดหน้าที่ของตรีทิพย์ไปโดยปริยาย เพราะตรีทิพย์มาจากส่วนกลาง ก็ต้องกลับไปยังส่วนกลางนอกจากจะมีใครทำหนังสือขอตัวให้ตรีทิพย์ไปทำงานเธอก็จะถูกส่งตัวไปทำงานยังที่ต่างๆ ตามคำขอเหล่านั้น

ตรีทิพย์ออกมายืนดูรอบๆ บริเวณอีกครั้ง เธอมาที่นี่ตั้งแต่ยังเป็นป่าละเมาะ ไม่มีอะไรนอกจากเนินดินสูงๆ ที่มีต้นไม้รกไปหมด คนงานแถบจะถอดใจ เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหน ต้นไม้หนามๆ ก็ขึ้นจนรก ไหนจะแมลงมด ปลวกจิปาถะ

ตรีทิพย์และทศพลค่อยๆ ขุดที่ละนิ้วทีละคืบ จนเมื่อเห็นอิฐหรือวัตถุอยู่ด้านใต้ก็ต้องค่อยๆ ใช้แปรงปัดออกทีละนิด ใช้เกรียงแซะที่ละหน่อย กว่าจะออกมาเป็นรูปเป็นร่างแบบทุกวันนี้ ทุกคนล้วนต้องใช้ทั้งแรงกายและแรงใจทุ่มเทให้กับงานของตัวเอง

ถึงจะเหนื่อยแต่เมื่อได้ทำงานที่ตนเองรัก ทุกคนก็มีความสุขกับการทำงาน และวันนี้ทุกอย่างก็ออกมาอย่างสมบูรณ์ไม่บกพร่อง แม้จะล่าช้าไปมากก็ตามที เพราะโดยปกติแล้วงานแบบนี้ไม่น่าจะเกินหกเดือน ก็ต้องส่งมอบต่อไป ให้กับจังหวัดหรือเขตที่รับผิดชอบ แต่เพราะบริเวณอันกว้างใหญ่ของเวียงกุมกาม ยิ่งขุดก็ยิ่งเจอ ขุดไปตรงไหนก็พบแต่ของมีค่า พบโบราณวัตถุและวัดวาอาราม ที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินทั้งสิ้น

เวียงกุมกามคงเจริญมากๆ ก่อนที่กระแสน้ำจะเปลี่ยนทิศ ดูได้จากข้าวของเครื่องใช้ที่ขุดพบ บางอย่างยังอยู่ในสภาพดี ถึงดีมากๆ และทำให้ตรีทิพย์รู้ว่าเวียงแห่งนี้ ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเชียงใหม่หรือลำพูนเลยสักนิด หากยังมีอยู่จนทุกวันนี้เวียงกุมกามคงไม่เป็นรองใคร

“มายืนทำอะไรดึกดื่นป่านนี้ตรี” ตรีทิพย์สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงคนพูดขึ้น

“ตกใจหมดเลยคุณทศมาก็ไม่ให้ซุ่มให้เสียง”

“ผมนี่นะมาไม่ให้เสียง ผมเรียกชื่อคุณตั้งสองหนก่อนจะเดินมาถึงตัวคุณนะ ใจลอยไปถึงไหนคุณตรี หรือว่าอยากกลับบ้านก็เลยฟุ้งซ่าน”

“ก็ไม่เชิงหรอกคุณทศ ตรีกำลังคิดถึงวันแรกที่เรามาที่นี่ มันไม่สวยงามแบบนี้”

“นั่นก็เพราะฝีมือของคุณต่างหากที่ทำให้มันเกิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้”

“ไม่หรอกคุณมันมาจากน้ำพักน้ำแรงของพวกเราทุกคนต่างหาก ถ้าตรีทำคนเดียวคงไม่ได้ขนาดนี้หรอก อีกอย่างคนที่เวียงนี้ก็เก่งนะ ฝีมือดีมากๆ”

“หมายถึงคนงานที่มาช่วยเราขุดเหรอคุณ”

“เปล่าค่ะ ตรีหมายถึงคนเวียงกุมกามสมัยโบราณต่างหากล่ะคะที่เก่ง สร้างสัดสร้างโน่นสร้างนี่จนออกมาสวยงามขนาดนี้”

“ใช่ครับ คนโบราณทำทุกอย่างมาจากแรงศรัทธาและมุ่งมั่นงานทุกอย่างมีฝีมือจริงๆ ผิดกับคนสมัยนี้ทำอะไรก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนมาก่อนถ้าไม่มีค่าจ้างก็ไม่มีงานออกมา”

“ทำไงได้ล่ะคะคุณทศ ทุกวันนี้อะไรก็ซื้อหามาได้ด้วยเงิน ความเอื้ออาทรกันและกันมันหมดไปจากโลกใบนี้แล้วล่ะค่ะคุณ จะมีอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้คำว่าแบ่งปัน” ตรีทิพย์รู้สึกหดหู่ในหัวใจเมื่อนึกถึงเรื่องของพ่ออุ้ยหนานคำและเรื่องของหนอนบ่อนไส้ในทีงานของเธอ

“ยกเว้นผมไว้คนก็แล้วกันนะคุณ อย่างน้อยผมก็ยังพอมีจิตสำนึกอยู่บ้าง” ทษพลรีบออกตัวเพราะกลัวว่าตรีทิพย์จะเข้าใจในตัวเขาผิดไปด้วย

ตรีทิพย์ยิ้มกับคำพูดของทศพล เธอรู้ว่าทศพลนั้นเป็นคนดี ตลอดระยะเวลาที่คบกันมา ทศพลเป็นเพื่อนที่ดีของเธอเสมอมา แม้เธอจะรู้ว่าทศพลนั้นมีใจให้กับเธอแต่ก็ไม่เคยคิดล่วงเกินเธอเลยแม้สักครั้ง ยังคงทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีของเธอเสมอต้นเสมอปลายมาโดยตลอด

“แหมๆ ตรีไม่ได้ว่าอะไรคุณทศสักหน่อยก็แค่พูดไปตามน้ำเท่านั้นเอง อีกอย่างเราคบกันมานานจนรู้ไปถึงไหนๆ แล้วไส้กี่ขดกี่วา ยังไม่ทันอ้าปากก็เห็นไปถึงลำไส้ตรงแล้ว”

“เกินไปมั๊งคุณตรีผมนี่นะมองง่ายดูง่ายขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

ตรีทิพย์ไม่ได้ตอบคำถามของทศพล แต่เธอเดินนำทศพลไปยืนอยู่ตรงบริเวณฐานของเจดีย์ ก่อนที่จะเอามือลูบคลำบริเวณฐานนั้นไปมา เหมือนกำลังใช้ความคิด

ทศพลที่เดินตามตรีทิพย์ไปติดๆ ก็เอ่ยถามขึ้น

“คิดอะไรอยู่คุณตรี”

“เปล่าค่ะ แค่เพลินๆ เท่านั้นเอง”

“อืม แล้วทำไมวันนี้ไม่นอนพักเอาแรงล่ะครับพรุ่งนี้ก็ต้องส่งงานอีก เดี๋ยวก็เป็นลมตายกันพอดี”

“เวลานอนของคนเรามีอีกมากนะคะคุณทศ อีกไม่กี่ปีก็ได้นอนยาวแล้ว ไว้ตรีไปนอนตอนนั้นดีกว่า”

“พูดอะไรก็คิดถึงคนที่เค้าห่วงคุณบ้างนะครับ”

“ก็หรือไม่จริงคะ คนเราจะตายวันตายพรุ่งไม่มีใครหยั่งรู้อะไรทั้งนั้น ตลอดเวลาเราก็อยู่ในความเสี่ยงด้วยกันทั้งนั้น ดูอย่างพ่ออุ้ยสิคะ อยู่มาได้ตั้งนานแต่กลับต้องมาตายเพราะคนใจบาป”

“คุณตรีนี่คุณยังคิดมากเรื่องพ่ออุ้ยอยู่เหรอครับ”

“ค่ะ ถ้าตรีไม่บอกใครๆ ว่าพ่ออุ้ยมีใบลานเก่าแก่นั่นพ่ออุ้ยก็คงไม่ตาย”

“ถ้าคิดแบบนั้นผมเองก็ผิดด้วยเหมือนกันที่เอาเรื่องนี้ไปบอกกับคนอื่น อย่าคิดมากเลยครับคุณ คนเราเมื่อถึงคราวก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้นไม่เว้นหน้าอืนทร์หน้าพรหมหรอกครับ”

“มันก็จริงอย่างที่คุณพูดนะคะแต่ถึงยังไงตรีก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี”

“เชื่อผมเถอะคุณตรีไปนอนพักซะพรุ่งนี้จะได้ตื่นมาหน้าตาสดใสไม่หมองคล้ำ เดี๋ยวไม่สวยไม่รู้ด้วยน้าจะหาว่าหล่อไม่เตือน”

“ฮ่าๆๆ ถ้าตรีสวยก็ไม่มีใครสวยอีกแล้วล่ะค่ะคุณทศขา” ตรีทิพย์อารมณ์ดีขึ้นหลังจากที่ทศพลมาพูดคุยด้วย และลากหางเสียงคำว่า “ขา” ยาวเฟื้อย

“ทศเฉยๆ ก็ได้ครับทศขาฟังดูเหมือนกิ้งกือไงไม่รู้สิบขาบรื้อๆ ขนลุก” ทศพลทำท่าทางขนลุกขนพอง เพราะเท่าที่ตรีทิพย์รู้จักทศพลมานั้นเธอรู้ว่าทศพลนั้นกลัวกิ้งกือยิ่งกว่าสิ่งใด เธอเคยถามทศพลว่าตัวก็โตทำไมถึงได้กลัวกิ้งกือมากมายขนาดนั้น คำตอบที่ได้รับก็คือ เมื่อหลายปีก่อนทศพลต้องไปขุดโบราณสถานที่หนึ่งแล้วบริเวณรอบๆ นั้นเต็มไปด้วยกิ้งกือจำนวนมากมายมหาศาล เรียกได้ว่าเป็นแหล่งกบดานของเหล่ากิ้งกือหรือเป็นสถานพำนักพักพิงของกิ้งกือจำนวนนับร้อยนับพันก็ว่าได้ หลังจากนั้นเมื่อทศพลเห็นกิ้งกือครั้ใดก็เกิดอาการแต๋วแตกวิ่งกระเจิดกระเจิงเพราะความขยะแขยง มันเป้นที่มาของการกลัวกิ้งกือเป็นชีวิตจิตใจของทศพลคนเก่ง

เมื่อได้ยินคำพูดของทศพลตรีทิพย์ก็นึกถึงฝน คนที่เรียกเธอว่าคุณสามขา หญิงสาวที่พึ่งจะจากเธอไปเมื่อตอนเที่ยงคื่น ใบหน้าของฝนยังคงติดอยู่ในความทรงจำของตรีทิพย์ตลอดเวลาผู้หญิงคนนี้ชั่งมีอิทธิพลกับตรีทิพย์มากมายเหลือเกิน

“คุณตรีครับคุณตรี” ตรีทิพย์สะดุ้งจากภวังค์อีกครั้ง

“เหม่ออีกแล้ว คืนนี้ทำไมเหม่อบ่อยจังคุณ ผมคุยด้วยตั้งยาวไม่ตอบรับหรือปฏิเสธอะไรเลย” ทศพลเรียกตรีทิพย์เสียงดังเพราะเขาพูดเรื่อยเปื่อยไปมากมายแต่ตรีทิพย์กลับไม่มีท่าทีที่จะตอบสนองในคำพูดติดตลกของเขาเลยสักนิด

“สงสัยตรีจะง่วงแล้วค่ะ คุณทศเลยสมองไม่แล่น”

“งั้นคุณตรีไปนอนเถอะครับผมเองก็ง่วงเหมือนกัน” ทศพลพอพูดถึงเรื่องง่วงก็รู้สึกง่วงตามที่ตรีทิพย์บอกเช่นกัน ทั้งสองหนุ่มสาวก็แยกย้ายไปนอนในเวลาเกือบฟ้าสาง

............................

ตรีทิพย์ประชุมส่งต่องานทั้งวัน เธอเตรียมข้อมูลและเอกสารทั้งหมดที่เธอมีให้กับทีมงานใหม่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอไม่ได้ให้ นั่นก็คือใบลานที่ได้มาจากพ่ออุ้ยหนานคำ เธอยังคงเก็บรักษาไว้อย่างดีในกระเป๋าใบโตของเธอเอง แม้จะเป็นการถือวิสาสะที่เธอไม่ได้นำเอาสมบัติของพ่ออุ้ยส่งคืนให้กับกรม เธอเองก็รู้ดีว่าเธอทำผิด แต่มันมีบางอย่างในใจที่เธอไม่สามารถที่จะตัดใจคืนใบลานนั้นให้กับใครได้ เธอรู้สึกผูกพันและหวงแหนใบลานเล่มเก่านั้นเป็นอย่างมาก

ตรีทิพย์กลับมาถึงที่พักในเวลาเย็น เธอให้ลุงยามช่วยกันขนของจากที่พักไปไว้หลังรถของเธอ กล่องเอกสารมากมาย รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้ของเธอเอง ถูกลำเลียงไปบรรจุไว้ที่กระโปรงท้ายรถ จนรถเก๋งคันเล็กๆ ยวบลงไปมาก นี่ถ้าหากใครมาตรวจค้นรถของตรีทิพย์คงจะงงว่าทำไมถึงได้ขนของมากมายขนาดนี้ไว้ในรถที่นัทพรเพื่อนสนิทของเธอเรียกว่า “รถกระป๋อง” เพราะมันเป็นรถคันเล็กๆ กระทัดรัดไม่ใหญ่ไม่โต แต่บรรจุของรกรุงรังของตรีทิพย์ไว้มากมาย ผิดกับรถของนัทพรที่ทั้งใหญ่และโต แต่ไม่มีอะไรอยู่ในรถนั้นเลยนอกจากคนขับ

“แกกับฉันมาเปลี่ยนรถกันไหมไอ้ตรีฉันว่าแกเอารถฉันไปใช้มันจะเก็บไอ้สัมภารกของแกได้มากกว่ารถฉันนะ” นัทพรเคยแม้กระทั่งขอเปลี่ยนรถของเธอให้ตรีทิพย์ใช้เพราะนัทพรทนไม่ได้ที่จะนั่งรถกระป๋องรกๆ ของตรีทิพย์

“ไม่ล่ะฉันถัดขับคันนี้ ถ้าให้ไปขับรถหรูๆ ของแกฉันคงจ่ายค่าน้ำมันไม่ไหว เปลืองเหลือเกินกินอย่างกับซด ยุคนี้สมัยนี้เค้าใช้รถคันเล็กๆ กันแล้วไอ้นัท ใครเค้าไม่โง่ไม่มายอมจ่ายค่าน้ำมันแพงๆ แบบแกหรอก” ตรีทิพย์จำได้ถึงการต่อล้อต่อเถียงของเธอกับนัทพรได้เป็นอย่างดี

“เออระวังเถอะ ขนของรกมากๆ รถแกจะขาดเป็นสองท่อน”

“ไอ้เพื่อนปากปีจอ หนอยมาแช่งรถสุดที่รักของฉัน แกเองก็เถอะระวันนะทุกชีวิตวอดวายในวอลโว่ อิอิ”

“เดี๋ยวเถอะไอ้ปากปีจอบวกปีมะเส็งเคร็งปากแบบนี่นี่เล่าใครๆ เค้าถึงไม่อยากจะคุยด้วย” ตรีทิพย์จำได้ว่านัทพรงอนเธอไปหลายวัน และเธอเองก็ตามง้อเพื่อนรักอยู่นานสองนานกว่านัทพรจะยอมคืนดีด้วย

หลังจากที่เก็บของเรียบร้อยตรีทิพย์ก็ออกมายืนรอฝนที่นัดกันไว้เมื่อคืนวานว่าจะมาส่งเธอกลับกรุงเทพ รออยู่ไม่นานนักเธอก็เห็นฝนเดินมาจากมุมหนึ่งของเจดีย์ รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากของตรีทิพย์ เธอรู้สึกดีใจมากมายที่ได้พบกับฝนก่อนที่เธอจะจากเวีงกุมกามแห่งนี้ไป

“คุณมาจริงๆ ด้วย” ตรีทิพย์เอ่ยทักทายฝนด้วยน้ำเสียงแห่งความยินดี

“ฉันเคยโกหกคุณหรือคะ” ฝนยิ้มน้อยๆ และมองหน้าตรีทิพย์ตรงๆ

“ไม่เคยหรอกค่ะแค่ฉันกลัวว่าพอไม่มีงานแล้วคุณจะไม่มาก็เท่านั้น” ตรีทิพย์ตอบเสียงอ่อย

“มาสิคะยังไงฉันก็ต้องมาหาคุณเพราะวันนี้ฉันจะพาคุณไปที่แห่งนึง” ฝนยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอเสมอ

“ไปไหนคะ ฮั่นแน่จะหลอกเอาตรีไปขายล่ะสิรู้หรอกน่าคนเรา” ตรีทิพย์แกล้งเย้าฝนเล่นๆ เพราะเธอก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าฝนจะพาเธอไปที่ไหน

“ไปในที่ๆ คุณอยากจะไปนะสิคะคุณสามขา” ฝนยังคงตอบยียวนกวนประสาทตรีทิพย์เช่นที่เคยผ่านมา

“พูดแบบนี้ฉันชักอยากไปแล้วสิคุณฝน”

“งั้นตามมาเลยค่ะ”

ฝนเดินนำตรีทิพย์ไปยังสถานที่ๆ ฝนบอกว่าจะฟาตรีทิพย์ไป ระหว่างทางเดินตรีทิพย์สังเกตเห็นว่ามีหมอกลงจัดจนมองทางข้างหน้าแทบไม่เห็น แม้ว่าฤดูนี้จะเป็นฤดูหนาวแล้วก็ตามแต่หมอกในบริเวณนี้ก็ไม่เคยจะลงจัดมากมายขนาดนี้มาก่อน หรือว่าวันนี้จะมีความชื้นสูง ก็เลยทำให้ไอ้น้ำควบแน่นเมื่อต้องเจอกับอากาศหนาวๆ

ตรีทิพย์ลูบแขนของตัวเองเพราะไอหมอกมาจับต้องผิวกายเธอจนเย็นไปหมด ถ้าไม่คิดว่าฝนเป็นคน เธอคงคิดว่าตอนนี้เธอกำลังเดินเข้าไปยังมิติลี้ลับอะไรสักอย่างเป็นแน่

สองข้างทางเดินเป็นทางเดินที่ตรีทิพย์ไม่คุ้นตา มีเพียงทุ่งนาเวิ้งว้างและต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมด กลิ่นดอกสารภี ส่งกลิ่นหอมมาแต่ไกล ตรีทิพย์รู้สึกว่าสถนาที่ๆ ฝนจะนำเธอไปต้องเป็นที่ๆ เธออยากจะรู้อยากจะเห็นอย่างแน่นอน

และสิ่งที่ตรีทิพย์คาดเดาไว้ก็ไม่ผิด บ้านเรือนไทนล้านนาโบราณปรากฏอยู่ตรงหน้าของตรีทิพย์ เธอยืนดูบ้านหลังนั้นด้วยความตะลึง เพราะมันเป็นบ้านที่เธอฝันถึงอยู่บ่อยครั้ง บ้านทรงไทยสองชั้นสูงจากพื้น ข้างใต้เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ รวมไปถึงรถม้า และกี่ทอผ้า

ด้านบนแบ่งเป็นปีกซ้ายและปีกขวา ความยิ่งใหญ่หากเปรียบกับบ้านไทยสมัยนี้มันต่างกันลิบลับ ปีกทั้งสองข้างคงแบ่งเป็นชายกับหญิง มีเรือนไทยหลังเล็กๆ อีกหลังอยู่ไม่ห่างกันมากนัก บ้านหลังนี้หลบเร้นสายตาของคนไปได้อย่างไร นี่ถ้าหากว่ากองถ่ายทำละครย้อนยุคมาเห็นเข้าต้องขอเอาบ้านหลังนี้เป็นโลเคชั่นถ่ายทำละครโบราณอย่างแน่นอน

“บ้านในฝันหรือนี่ มีจริงๆ ด้วย” ตรีทิพย์บ่นพึมพำกับตัวเองเมื่อได้เห็นภาพของบ้านที่เธอฝันเห็นเสมอมาตลอดระยะเวลาหลายปี บ้านหลังนี้มีจริงดังความฝันของเธอ เธอหยิกตัวเองและก็ต้องสะดุ้งเมื่อเธอนั้นเจ็บแขนที่ตัวเองหยิกลงไป

“มีสิคะนี่แหละคุมเจ้าแสนชัยพระบิดาของเจ้านางแสงคำ”

“หาอะไรนะ” ตรีทพย์ต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อได้ยินคำพูดที่ฝนบอกกับเธอ

“คะที่นี่คือคุ้มของเจ้าแสงชัยเจ้าเมืองเวียงกุมกาม”

คำตอบรับอย่างหนักแน่นของฝนทำเอาตรีทิพย์ถึงกับอึ้งไปอีกครั้ง เวียงกุมกามยังเก็บรักษาคุ้มแห่งนี้ไว้เป็นอย่างดีอย่างนั้นหรือ หรือว่าฝนเล่นตลกอะไรกับเธอ แล้วน้ำที่เคยท่วมบ้านเมืองเมื่อหลายร้อยปีก่อนมันไม่ได้ทำลายคุ้มแห่งนี้ไปแล้วหรือไร ตรีทิพย์รู้สึกสับสนไปหมด

จะว่ามันไม่ใช่ของจริงก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเธอกำลังเดินขึ้นไปด้านบนของคุ้ม หัวบันไดเรียบลื่น มีโอ่งน้ำสำหรับให้ตักล้างเท้าก่อนขึ้นเรือน และแผ่นกระดานไม่สากเท้า ถูกขัดมันอย่างดี ตัวเรือนมีแสงไฟจากตะเกียงโบราณ ที่จุดด้วยน้ำมันมะพร้าวในกะลา สองข้างทางมีไต้คอยให้ความสว่าง ราวกับว่าตัวเธอนั้นหลุดเข้ามาในเมืองโบราณย้อนยุคเมื่อหลายร้อยปีก่อน

“นี่ตรีฝันไปหรือเปล่าคะ”

“คุณไม่ได้ฝันหรอกคะหากแต่อยู่ในอีกมิตินึงเท่านั้น”

“หมายความว่ายังไงคะคุณฝนที่ตรีอยู่อีกมิติหนึ่ง” คิ้วทั้งสองข้างของตรีทิพย์ขมวดเข้าหากันจนเหมือนเธอนั้นผูกโบว์ไว้บนหน้าผาก

“คนสมัยคุณเค้าเรียกกันว่าย้อนยุค”

“ย้อนยุค” ตรีทิพย์ทวนคำของฝน

“ใช่ค่ะ ย้อนยุคกลับมาในเวลาเจ็ดร้อยปีก่อน หรือที่เรียกว่าการเหลือมกันระหว่างเวลาปัจจุบันกับอดีตกาล”

“อะไรนะนี่คุณอย่าบอกนะคุณฝนว่าตรีนั่งไทม์แมชชีนมาเมืองโบราณได้ ไม่เอาน่าคุณอย่ามาอำกันหน่อยเลย สมัยนี่มันพุทธศตวรรษที่ ยี่สิบห้าแล้วนะคุณฝน อำกันแบบนี้ไม่ตลกนะคุณ”

“ฉันไม่ได้อำคุณหรอกนะคะ คุณลองดูสิคะว่าด้านนอกเป็นยังไง ผิดแผกแตกต่างไปจากที่คุณเคยเห็นหรือเปล่า”

ตรีทิพย์ทำตามที่ฝนบอกเธอมองออกไปด้านนอกก็เห็นต้นสารภีที่คุ้นตา เพียงแต่ต้นนี้ยังเล็กมากกว่าที่เธอเคยเห็นที่บ้านของพ่ออุ้ยหนานคำ แต่รูปทรงไม่ได้แตกต่างกันมากนักก็เท่านั้น

“คุณเป็นใครคุณฝน” ตรีทิพย์รู้สึกว่าเธอกำลังตกอยู่ในห้วงมิติลี้ลับอะไรสักอย่าง แต่ทำไมเธอถึงไม่ได้กลัวไรเลยสักนิด

“คุณไม่รู้เลยหรือคะว่าฉันเป็นใครคุณสามขา”

ตรีทิพย์จ้องไปที่ตาสวยของฝน ภาพในครั้งอดีตที่เธอวิ่งเล่นอยู่บนม้าก้านกล้วยและมีบริวารล้อมรอบ ภาพที่เธอกำลังนอนหนุนตักฝนและมีฝนช่วยป้อนผลไม้ ภาพที่เธอขี่ม้ากลับมายังเวียงกุมกามเพื่อมาตามสัญญาที่ให้ไว้กับใครบางคน มันเกิดขึ้นชัดเจนจนตรีทิพย์ถึงกับต้องตะลึงไปอีกครั้ง

“เจ้านางสายทิพย์” ตรีทิพย์ครางขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“จำได้แล้วหรือคะเจ้านางแสงคำ ที่รักของข้า” ฝนยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ

“คุณคือเจ้านางสายทิพย์จริงๆ หรือคะ”

“ค่ะ ฉันคือเจ้านางสายทิพย์ที่รักของเจ้านางแสงคำในอดีตชาติ และคุณก็คือเจ้านางแสงคำเช่นกัน”

“ไม่จริงเป็นไปไม่ได้ตรีต้องฝันไปแน่ๆ เลย”

“ถ้าเช่นนั้นลองดูออะไรนี่สิคะ” ฝนหยิบกำไรข้อเท้าออกมาจ่ากำปั้นไม้แกะสลักสวยงามใบหนึ่งที่วางอยู่ตรงชานพักกลางลานบ้านขึ้นมาให้ตรีทิพย์ได้ดู

“จำได้ไหมว่าคืออะไร”

“กำไลข้อเท้าของใครกัน”

“วงหนึ่งของฉันอีกวงของคุณ”

“อะไรนะ มีของฉันด้วยเหรอ”

“ลองนึกดูดีๆ สิคะ ว่าจริงอย่างที่ฉันบอกหรือเปล่า”

ตรีทิพย์เอื้อมมือไปหยิบกำไลข้อเท้าทั้งสองอันนั้นมาไว้ในมือของเธอ พลิกดูกำไลทั้งสองอัน และภาพในอดีตก็ผุดขึ้นในหัวสมองของตรีทิพย์

เจ้านางแสงคำวิ่งขึ้นบันไดคุ้มขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว และวิ่งไปหาเจ้านางสายทิพย์ท่ำกลังนั่งร้อยพวงมาลัยดอกไม้ถวายพระอยู่ตรงชานพักกลางคุ้มแห่งนั้น

“เฮามีอะหยังจะฮื้อเน้อสายทิพย์” เจ้านางพูดอย่างลุกลี้ลุกลน

“อะหยังเจ้า” เจ้านางสายทิพย์ละมือจากการร้อยมาลัยและหันมามองใบหน้าที่ชุ่มเหงื่อของเจ้านางแสงคำ

เจ้านางแสงคำ หยิบของบางสิ่งออกจากพกที่เหน็บไว้ตรงเอวขึ้นมาให้เจ้านางสายทิพย์ได้ดู มันคือกำไลข้อเท่าที่ทำมาจากทองแกะฉลุลายสวยงาม คู่หนึ่ง เจ้านางแสงคำยื่นกำไลทั้งสองอันให้กับเจ้านางสายทิพย์

“เฮายะมาฮื้อ”

“เฮาบ่าใจ๋วัวใจ๋ควายเน้อฮื้อใส่กำไลข้อเท้าจะตีตราจองเฮาก๋า”

“บ่าไจ๋เน้อ อันนึ่งของเฮาอันนึ่งของแสยทิพย์ เอามีกั๋นคนละอัน เอาไว้คล้องเฮากับสายทิพย์กุชาติไปเข้าใจก่อล่ะ” เจ้านางสายทิพย์อธิบายถึงการทำกำไลข้อเท้าทั้งสองอันของนางให้กับหญิงที่นางรักได้รับรู้

จากนั้นก็บรรจงสวมกำลังข้างหนึ่งให้กับเจ้านางสายทิพย์ ที่ข้อเท้าข้างซ้าย ส่วนอีกอันหนึ่งเจ้านางก็ให้เจ้านางสายทิพย์สวมให้เธอที่ข้อเท้าข้างขวา

“กำไลสองอันนี่จะเป็นพย่ยฮักของเฮาเน้อสายทิพย์” เจ้านางแสงคำบรรจงจุมพิตที่หน้าผากของเจ้านางสายทิพย์อย่างรักไคร่และถนุถนอมก่อนที่ทั้งสองเจ้านางจะตระกองกอดกันด้วยความรักจากดวงใจอย่างสุดซึ้ง

“มันเป็นของคุณกับฉันจริงๆ” ตรีทิพย์บอกกับฝน

“แล้วคุณต้องเก็บมันไว้รอวันเวลาที่เราสองคนจะได้สวมมันพร้อมๆ กันอีกครั้ง”

“แล้วทำไมถึงสวมมันตอนนี้ไม่ได้”

“เพราะฉันไม่ใช่คน ฉันสวมมันไว้ไม่ได้ คุณเก็บไว้นะคะรอวันเวลานั้นมาถึง”

“หมายความว่ายังไงคะที่คุณไม่ใช่คน”

สิ้นคำถามของตรีทิพย์ร่างของฝนก็จางหายไปและกลับมาอีกครั้งในชุดแต่งกายที่ไม่เหมือนเดิม เป็นชุดโบราณห่มผ้าแถบและนุ่งผ้าซิ่น ตรีทิพย์ขยี้ตาของตัวเองแรงๆ อีกครั้ง

เธอไม่ได้ฝันไปแต่มันเกิดขึ้นจริง

“หมายความว่าคุณคือเจ้านางสายทิพย์ หรือคะคุณฝน”

“ใช่ค่ะ ฉันคือเจ้านางสายทิพย์หรือฝน คุณจะเรียกอะไรก็ได้ นั่นคือชื่อของฉัน” คำตอบของฝนทำให้ตรีทิพย์ถึงกับตัวชา

“ฉันพยายามไปอยู่ข้างๆ คุณแล้วแต่กำลังของฉันมันน้อยเกินไป อยู่ได้ไม่นานเราสองคนก็ต้องจากกัน”

“ฉันไม่เข้าใจที่คุณพูด”

“ฉันพยายามแล้วจริงๆ นะคะแต่ฉันยังมีฤทธิ์แก่กล้าไม่มากพอที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้นานมากนัก อั้มก็คือฉัน และนั่นก็ทำให้เราสองคนต้องจากกันอีกครั้ง แม้จะเป็นเวลาที่แสนสั้นแต่ฉันก็สุขใจที่ได้อยู่ข้างๆ คุณ” น้ำตาของฝนไหลอาบนองไปทั้งสองแก้ม

“โถคุณ” ตรีทิพย์ครางออกมาด้วยความสงสารเหลือกำลังเธอพยายามจะไขว่คว้าฝนเข้ามากอดไว้แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะฝนเหมือนเป็นอากาศธาตุ

“อย่าพยายามเลยคุณ ฉันไม่มีตัวตนบนโลกใบนี้ ฉันเป็นเพียงแค่พลังบางอย่างที่ทำให้คุณสามารถมองเห็นได้ก็เท่านั้น

“แต่ตรีก็เคยจับต้องตัวคุณได้นี่คะ”

“ก็เพราะฉันพยายามรวบรวมพลังเพื่อให้คุณจับต้องฉันได้นะสิคะ”

“โถคุณคงหมดพลังงานไปเยอะสินะ”

“ไม่หรอกคะ เพราะคุณยังคงทำบุญมาให้ฉันอย่างสม่ำเสมอ ฉันได้รับผลบุญของคุณจึงอยู่มาได้จนทุกวันนี้ และรอเวลาที่เราสองคนจะไม่ต้องพรากจากกันอีก และวันนี้ฉันก็ต้องมาบอกลาคุณเพื่อที่จะพบกันใหม่ในเวลาอีกไม่นานนัก”

“หมายความว่าฉันจะไม่ได้พบคุณอีกแล้วเหรอคุณฝน”

“รอฉันนะคะ รอเหมือนที่ฉันเฝ้ารอคุณมานานแสนนาน เก็บกำไลข้อเท้าสองอันนี้ไว้ แล้วเราจะได้พบกัน”

“ต่อให้กาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ฉันก็จะรอคุณคะฉันสัญญา ก่อนจากกัน ฉันของอะไรคุณสักอย่างจะได้ไหม”

“ขออะไรคะ”

“ขอกอดคุณเป็นครั้งสุดท้าย”

สิ้นคำพูดของตรีทิพย์ ฝนรวบรวมพลังทั้งหมดที่เธอมีทำกายทิพย์ให้เป็นกายหยาบและกอดตรีทิพย์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากลา ตรีทิพย์ได้กลิ่นดอกสารภีจากร่างของฝน เธอบรรจงจูบลงที่ริมฝีปากนั้น และดื่มชิมความหอมหวาน ก่อนที่ร่างของฝนจะสลายไปในอ้อมกอดของตรีทิพย์ต่อหน้าต่อตา

......................

ตรีทิพย์ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็พบตัวเองนอนอยู่ใต้ถุนบ้านของพ่ออุ้ยหนานคำ เธอมองไปรอบๆ ก็เห็นต้นสารภีต้นเดิมที่อยู่หน้าบ้านของพ่ออุ้ยยังยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ที่เดิม ต่อจากนี้จะไม่มีฝนคนที่เคยหยอกล้อกับเธออีกต่อไปแล้ว เธอต้องรอคอยคนที่จากไป

ในมือของเธอมีกำไลข้อเท้าคู่หนึ่ง นั่นทำให้เธอรู้ว่าเรื่องเมื่อคืนไม่ใช่ความฝันหากแต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ฝนคือเจ้านางสายทิพย์ เธอน่าจะเอะใจ ในเมื่อสายทิพย์ก็แปลว่าฝน น้ำฝนหล่นลงมาจากฟากฟ้า มันคือสายทิพย์ที่ร่วงหล่นลงมาจากฟ้า

ตรีทิพย์ชอบน้ำฝน ตรีทิพย์ชอบความฉ่ำเย็นของสายฝน แม้ว่าใครจะบอกว่าฝนคือน้ำตาของฟ้า แต่ฝนก็ให้ความฉ่ำเย็นกับพื้นพิภพ ไม่ใช่หรือ

เธอเดินออกมาจากบ้านของพ่ออุ้ยหนานคำ สถานที่ๆ เคยเป็นที่ตั้งของคุ้มเจ้าแสนชัย สถานที่พลัดพรากของเธอและสายทิพย์ และฝนผู้ที่รอเธอมาตลอดกาลนาน จิตใจของตรีทิพย์ตอนนี้ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากคนที่อกหัก เธอต้องรอให้วันเวลานั้นมาถึง เมื่อไหร่กันเล่า เมื่อไหร่เวลานั้นจะมาถึง หรือว่าต้องรอต่อไปอีกกี่ภพกี่ชาติกันนะ

ตรีทิพย์ไม่อาจจะหยั่งรู้ เพราะเธอก็คือปุถุชนคนเดินดินธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง

... จบบทที่ ๘ …



Create Date : 22 กันยายน 2551
Last Update : 22 กันยายน 2551 15:42:41 น. 0 comments
Counter : 317 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.