It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องสั้น แนวยูริ : กาลนาน บทที่ ๕

บทที่ ๕

เสียงไก่ขันกู่ก้องทั่วทุกสารทิศ สอดสลับกันทั้งเขตแดน ขบวนรถม้าเคลื่อนเข้ามายังคุ้มเจ้าแสนชัย เจ้าของคุ้มรีบวิ่งลงมาต้อนรับขับสู่ผู้ที่มาเยื่อนเป็นอย่างดี

“น้องนางเจ้าพึ่งออกลูกได้บ่เมินหยังเดินตางมาตี๋นี่” เจ้าแสนชัยรีบเข้าไปพยุงน้องสาวต่างมารดาของตนเองที่เจ้าแสนชัยรักปานดวงใจ

“ข้าบ่าค่อยสบายจะเอาสายทิพย์มาฝากเจ้าปี้เลี้ยนได้ก่อ”

“ได๋ก่าน้องเฮาฮื้อปี้เลี้ยงตลอดไปก่าได้หนา”

“เจ้าปี้ตึงเดี๋ยวนี้น้องก่าบ่าฮู้จะไปพึ่งไผที่ไหน ได้แต่บากหน้ามาหาเจ้าปี้คนเดียวนะเจ้า”

“บ่าเป๋นหยังน้องฮักของปี้ เฮาเป็นปี้น้องกั๋น บ่ามีเจ้าชัยน้องเฮาคงลำบากขนาดเน้อ ปี้จะเลี้ยงลูกของน้องอย่างดีบ่าต้องห่วงเน้อน้องฮัก”

“เจ้าปี้ขอบคุณเน้อเจ้า”

หลังจากที่เจ้านางสายพิณมาฝากลูกไว้กับเจ้าแสงชัยได้ไม่นานนางก็ต้องสิ้นลมหายใจเพราะโรคที่รุมเร้า เจ้านางสายทิพย์จึงถูกเลี้ยงดูคู่กับเจ้านางแสงคำญาติผู้พี่ของนางเอง

เจ้านางสายทิพย์เป็นแม่หญิงที่งดงามอ่อนช้อย แม่บ้านแม่เรือนผิดกับเจ้านางแสงคำที่ชอบโลดโผน

“สายทิพย์เจ้าบ่าออกไปแอ่วกับเฮาก๋า”

“บ่าเอาเน้อเฮาบ่าไปเฮาจายะขนม”

“โอ๊ยน่าเบื่อขนาด ถ้าเจ้าป๋อมาก่าบอกเจ้าป้อเน้อว่าเฮาไปแอ่วบ้านหนานเน้อ”

“ก่าได้เฮาจะบอกเจ้าลุงฮื้อ”

เจ้านางสายทิพย์มักจะออกหน้าให้กับเจ้านางแสงคำอยู่เสมอๆ เมื่อยามที่เจ้าแสงชัยเอ่ยถามถึงบุตรสาวคนเดียวของเขากับหลานสาว และทุกครั้งก็ได้คำตอบเดิมๆ เสมอว่าเจ้านางแสงคำนั้นไปเรียนฟันดาบและเรียนศิลปะป้องกันตัวกับหนานผู้เฒ่าแห่งเวียงกุมกาม

“หยังไดนิเฮามีลูกป้อจายฤาลูกแม่หญิงกั๋นแน่นะ ก๋านเฮือนบ่าได๋สนใจ๋ไค่ฮู้ เอาแต่เฮียนฟันดาบชกมวย สู้หลานฮักของเฮาก่าบ่าได๋”

“เจ้าลุงบ่าต้องโมโหดอกเจ้า เจ้าปี้แสงคำเปิ้นชอบของเปิ้นปล่อยเปิ้นไปเต๊อะ”

“ปล่อยได้จะใดกั๋นอายุก่อปอจะออกเฮือนแล้ว ไผหัน ไผจะมาขอไปเป๋นลูกไป๋”

“เจ้าลุงอู้เหมือนอยากฮื้อข้าเจ้ากับปี้แสงคำออกเฮือนเวยๆ จะอั้น”

“บ่าใจ๋เน้อเฮาก่าบ่าอยากพรากลูกไปจากอก แต่จะยะยังใดได๋ลูกแม่หญิงก่อต้องออกเฮือน มาอยู่เป็นนางค้างปี๋จะอี้บ่าได้หรอกเน้อสายทิพย์”

“ข้าเจ้าบ่าอยากออกเฮือนแต้ๆ เลยหนาเจ้าลุง ข้าเจ้าอยากอยู่ปรนนิบัติเจ้าลุงเมินๆ เน้อเจ้า”

“เฮ้ย หยังไดนิสองคนนี้ คนนึงก่าเป๋นแม่ศรีเฮือนแฮมคนก่าทะโมนเป๋นลิงเป็นค่าง เฮาหนักใจ๋แต้ๆ เลย”

เจ้าแสนชัยมักจะบ่นเรื่องลูกสาวคนเดียวของเขาให้กับหลานสาวสุดที่รักได้รับฟังเสมอๆ และครั้งใดที่เจ้าแสนชัยออกปากเรื่องออกเรือนกับเจ้านางแสงคำสองพ่อลูกก็มักจะมีปากเสียงกันเสมอๆ

เจ้านางแสงคำมักจะขลุกอยู่กับเจ้านางสายทิพย์เมื่อยามที่โดนพ่อของตนเองขัดใจ เธอมักจะบ่นเสมอๆ ว่า

“เจ้าป้อบ่าฮักเฮาเลยสายทิพย์”

“เจ้าลุงจะไดบ่าฮักเจ้า ฮักจะต๋ายแล้ว แต่เจ้าบ่าเกยฮู้บ่าดาย” เจ้านางสายทิพย์ลูบผมยาวที่ถูกรวบไว้อย่างรวกๆ ของเจ้านางแสงคำเป็นการปลอบประโลม

“ฮักจะใดจ่มแต่ฮื้อเฮาออกเฮือน เดี๋ยวก่าบอกฮือไปโน่นมานี่ ล้วนแต่เป๋นคนตี่เจ้าป้ออยากฮื้อเฮาออกเฮือนโตยตังนั้น” คนที่นอนหนุนตักหันมาสบตากับเจ้าของตัก และบ่นเรื่องที่โดนพ่อของตนนั้นจับโยนไปโน่นมานี่ ราวกับว่ามีลูกสาวแล้วต้องรีบแต่งออกไปจากบ้าน

“เพราะเจ้าลุงเปิ้นฮักนะกะตึงอยากฮื้อแสงคำออกเฮือนกับคนดีๆ”

“แต่เฮาบ่าชอบเน้อ เฮาบ่าอยากออกเฮือน” เจ้านางแสงคำกอดเอวเจ้านางสายทิพย์แน่น

“เอาเต๊อะ บ่าอยากออกก็บ่าต้องออกอยู่กับเฮาไปเรื่อยๆ ก่าดีเหมือนกั๋น” เมื่อถูกออดอ้อนเจ้านางสายทิพย์ก็ต้องยอมผ่อนปรนให้กับเจ้านางแสงคำเสมอมา

“เฮาจะอยู่กับเจ้าตลอดไปเน้อสายทิพย์ เฮาสัญญว่าจะบ่าไปไหนไกลเจ้า จะอยู่กับเจ้าไปจนตายละกั๋นไปข้างนึง” เจ้านางแสงคำสัญญากับคนที่เธอนอนหนุนตักอย่างแม่นมั่น

“บ่าต้องสัญญาอันใดเน้อ เกิดผิดคำสัญญามันบ่าดีหนาเจ้า”

“บ่ามีตางเน้อเฮาบ่าผิดกำสัญญาแน่นอน เฮาฮักเจ้าคนเดียวเจ้าบ่าฮู้ก๋าสายทิพย์”

“ฮู้ก่าแสงคำ เฮาฮู้แต่สักวันนึงเฮาสองคนก่าต้องจากกั๋น บ่ามีตางตี้เฮาสองคนจะได๋อยู่โตยกันหรอกเน้อเจ้า”

“มีก่าสายทิพย์ เฮาจะออกไปหาตี้ใหม่แปงเมืองใหม่ ฮื้อมีแต่เฮาสองคนอยู่เคียงกั๋น”

“ยะจะอั้นบ่าได้เน้อแสงคำ เจ้าก่าฮู้ยามใดตี๋เจ้าลุงโมโห บ่ามีไผหลบพ้น”

“ต้องได๋ก่าสายทิพย์ เฮาจะไปป่า ไปหาชัยภูมิใหม่ รอเฮาเน้อสายทิพย์ วันพูกเฮาจะออกเดินตางแล้วจะหมั่นส่งข่าวปิ๊กมาเป๋นระยะ”

“ตามใจ๋เน้อเจ้า ยะหยังก่าได๋เฮาฮู้คนอย่างเจ้า ห้ามก่าบ่าฟัง ยุก่าบ่าได๋”

“เอาเต๊อะอินายน้อยสักวัน ต้องมีสักวันตี๋เป็นของเฮา”

เจ้านางแสงคำกอดเจ้านางสายทิพย์แนบแน่น สองคนหนึ่งใจต้องพรากจาก และเป็นการพรากจากที่คนทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าจะต้องพรากจากกันไปตลอดกาล

.........................

ตรีทิพย์สะดุ้งตื่นด้วยความงุนงง นี่เธอฝันอีกแล้วหรือนี่ ฝันครั้งนี้เหมือนจริงยิ่งกว่าครั้งก่อน ตักที่เธอหนุนนอนนั้นมันนุ่มและหอมมากๆ หรือผู้หญิงที่ชื่อเจ้าสายทิพย์จะเป็นคนที่เธอรอคอย แต่จะบอกว่านั่นคือสิ่งที่เธอรอคอยมันก็เป็นไปไม่ได้ ผู้หญิงในความฝันจะออกมาปรากฏในชีวิตจริงได้อย่างไรกัน

“นี่เธอนอนกลางวันหรอกเหรอนี่ แล้วที่นี่ที่ไหนกัน” ตรีทิพย์พยายามรวบรวมสติและเพ่งมองออกไปด้านนอกเมื่อสายตาเริ่มหายพร่าและปรับให้เข้ากับแสงได้แล้ว ตรีทิพย์มองไปรอบๆ บริเวณที่เธอนั่งอยู่อีกครั้ง และในตอนนี้สมองที่กลับมาสั่งการอีกครั้งก็ทำให้เธอรู้แล้วว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน มันก็คือใต้ถุนบ้านไม้สักหลังเล็กๆ ของพ่ออุ้ยหนานคำนั่นเอง

“เราหลับไปได้ยังไงกันนี่ปกติเราไม่เคยนอนกลางวันนี้นา”

“ตื่นแล้วก๋า” พ่ออุ้ยหนานคำเดินมาพร้อมกับป้านชาหอมกรุ่น “น้ำชาฮ้อนๆ ก่อ”

“ขอบคุณคะ”ตรีทิพย์รับจอกชาที่ชายชรายื่นให้

“หลับสบายก่อ”

“สบายคะสบายมากๆ ด้วย ปกติตรีไม่เคยนอนกลางวันเลยนะคะพ่ออุ้ย พอนอนหลับก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะเลย สมองโล่งมากๆ”

“ดีแล้ว ทิกวนอิมสักจิบบ่จะได๋จื้นไจ๋”

ตรีทิพย์รับจอกชาจากพ่อเฒ่ามาก็ยกขึ้นจิบทันที

“ระวังฮ้อน”

เสียงร้องเตือนของพ่อเฒ่าดังขึ้นแต่ก็ไม่ทันเสียแล้วตรีทิพย์ซดน้ำชาในจอกจนลวกไปทั้งปาก

“เตือนบ่าตันเป๋นไดผ่อง”

ตรีทิพย์บ้วนน้ำชาจอกนั้นออกมาและเป่าปากตัวเองเพราะความร้อนของน้ำชาที่ทำให้เธอถึงกับตื่นจากความง่วงงุนเมื่อสักครู่

“ไม่เป็นไรมากหรอกคะ ตรีชะล่าใจไปหน่อยเห็นไม่มีควันก็เลยคิดว่าไม่ร้อน แต่หอมดีนะคะชุ่มคอดีด้วย พ่ออุ้ยว่าชาอะไรนะคะ”

“ทิกวนอิม หอมดีเฮาชอบ”

“อ๋อคะ” ตรีทิพย์พยักหน้ารับรู้ เธอรู้มาว่าคนสูงอายุมักจะชอบดื่มชา แต่เท่าที่รู้มาจะมีก็แต่คนเชื้อสายจีนเท่านั้นที่ชอบไม่คิดว่าคนเมืองก็จะชอบดื่มน้ำชาเหมือนกัน

“บ้านพ่ออุ้ยน่าอยู่ดีนะคะ ลมเย็นสบาย”

“อุ้ยเปิ้นแปงมาเมินแล้ว อยู่กั๋นมาเมินเปิ้นว่าหมู่เฮาอยู่กั๋นตี้นี้มาเมิน ปู่ทวดก่าอยู่ตี้นี่ ไผๆ ก่าอยู่ตี้นี่”

“แล้วไม่ได้อพยบหนีน้ำไปเหมือนชาวเมืองคนอื่นๆ หรือคะพ่ออุ้ย”

“หนีไปแล้วปิ๊กกลับมาแฮมเตี้ย เปิ้นว่าปอปิ๊กมาเมืองเป๋นเมืองร้าง น้ำปิงเปลี่ยนทิศ เปิ้นว่าจะอั้น”

“อ๋อคะ แสดงว่าครอบครัวของพ่ออุ้ยก็อยู่มาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้”

“แม่นก่า เปิ้นว่าตี้นี่เกยเป๋นคุ้มเจ้าเมือง ตะก่อนเกยติดน้ำปิง บ่าเดียวนี้น้ำปิงเลยไปแฮมน้อยเดียว บ่าติดแล้ว”

“แล้วพวกเค้ารู้ได้ยังไงคะ หมายถึงบรรพบุรษของพ่ออุ้ยนะคะรู้ได้ยังไงว่าที่นี่เคยเป็นคุ้มเจ้าเมือง”

“เปิ้นว่าเปิ้นดูต้นสารภี กับวัดตี้บ่าถูกน้ำพัด แล้วก่ากะเอาว่าตรงไหนเกยเป็นอะหยัง”

“โห ต้นสารภีต้นหน้าบ้านนี่เหรอคะแสดงว่าพ่ออุ้ยก็ยังจำได้นะคะเรื่องเล่านานๆ เป็นตำนานแบบนี้”

“แม่นละก่ากะเปิ้นจ๋านไว้ในใบลานเก่าๆ ตอกทอดกั๋นมาเป๋นรุ่นๆ จนมาถึงมือป๋อน่ากะ”

“อ๋อ แบบนี้ตรีคงต้องขอดูใบลานตำนานของพ่ออุ้ยสักนิดท่าจะดี แบบนี้ก็แสดงว่าต้นนี้อยู่มาเจ็ดร้อยกว่าปี มิน่าล่ะถึงได้ต้นโตมากๆ โตจนแปลกตา” ตรีทิพย์มองออกไปที่ต้นสารภีข้างประตูหน้าบ้าน

“เปิ้นว่าต้นสารภีนี้เจ้านางสายทิพย์กับเจ้านางแสงคำเปิ้นปลูกกั๋นไว้”

“อะไรนะคะ เจ้านางอะไรนะคะพ่ออุ้ย”

“เจ้านางแสงคำก่าเจ้านางสายทิพย์นะกะ มีหยังคุณต๊กใจ๋หยังอั้น”

“ไม่มีอะไรคะ แค่คุ้นๆ ชื่อเจ้านางเท่านั้นเอง” ตรีทิพย์บอกปฏิเสธ ทั้งๆ ที่ตัวเธอตอนนี้หน้าซีดเป็นไก่ต้มไปแล้ว

“คุ้นจะไดกั๋นเปิ้นต๋ายขำเฮือนตอนน้ำปิงพัดมาเมินขนาด มีตี๋เขียนถึงเปิ้นก่าแค่ในใบลานของเฮาเต้าอั้น”

“เหรอคะ แบบนี้ตรีคงต้องขอให้พ่ออุ้ยหยิบใบลานนั้นให้ตรีดูหน่อยแล้วคะ”

“มันเก่าแล้วเน้อ เอาตี๋ป๋อเขียนใหม่มาฮื้ออ่านได้ก่อ”

“ได้คะ อันไหนก็ได้ขอแค่ให้มีข้อความที่เขียนถึงสองเจ้านางก็พอแล้ว”

จากนั้นพ่ออุ้ยหนานคำก็เดินขึ้นเรือนไปหยิบสมุดเก่าๆ ลงมายื่นให้กับตรีทิพย์

“อ่านเองก๋าฮื้อป๋ออ่านฮื้อฟัง”

“อ่านเองดีกว่าคะนานหน่อยแต่ก็ได้ใจความดี”

“งั้นเอาไปเต๊อะ อ่านจบเมื่อไดก่าเอามาคืนเน้อ”

“ขอบคุณคะพ่ออุ้ย นี่ก็เย็นมากแล้ว ตรีคงต้องขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะคะวันนี้อู้งานมาทั้งวัน” ตรีทิพย์ขยับตัวลุกขึ้นจากแหย่งไม้สักเก่าๆ ที่เธอนั่งทอดหุ่ยมาเนินนาน

“ไปดีมาดีเน้ออินาย”

“ค่ะพ่ออุ้ยงั้นตรีลาไปก่อนนะคะ ถ้าเสร็จธุระแล้วตรีจะเอามาคืน วันพรุ่งนี้ตรีอาจจะมาขอถ่ายรูปสมุดใบลานเก่าๆ ของพ่ออุ้ย ด้วยนะคะ”

“ได้ก่าวันพูกปะกั๋นแฮมเน้อ”

……………

ตรีทิพย์กลับมาถึงที่พักของเธอ ก็จัดแจงขับรถเข้าเมืองเพื่อเอาสมุดเล่มเก่าๆ ของพ่ออุ้ยหนานคำไปถ่ายเอกสาร โดยควบคุมการถ่ายเอกสราด้วยตัวเองเพื่อไม่ให้สมุดเล่มเก่าของพ่ออุ้ยบอกซ้ำเพราะการถ่ายเอกสารของเด็กที่ทำงานในร้านถ่ายเอกสารนั้น จากนั้นตรีทิพย์ก็แวะเดินเล่นในตัวเมืองเชียงใหม่แถวๆ ประตูเมือง เธอมองน้ำในคูเมืองเก่าของเชียงใหม่และออกเดินอีกครั้งเพื่อกลับไปที่รถของเธอที่จอดอยู่ตรงถนนฝั่งตรงข้ามคูเมือง

ประโยชน์ของคูเมืองนอกจากจะมีไว้ป้องกันข้าศึกในเบื้องต้นแล้วยังเป็นระบบชลประทานที่ดีสำหรับให้ชาวเมืองได้ใช้สอยดื่มกินในยามหน้าแล้งและยังเป็นเครื่องป้องกันน้ำท่วมเมื่อยามฤดูน้ำหลากอีกด้วย แต่คนในปัจจุบันไม่ได้เห็นคุณค่าของคูเมืองแบบคยสมัยโบราณคูเมืองตื้นเขิน ถมคูที่เคยเป็นคลองระบายน้ำอย่างดี เอามาทำถนน จึงทำให้เมื่อยามที่ฝนตกหนัก น้ำจึงได้ท่วมบ้านเรือนของชาวบ้าน ตรีทิพย์เดินไปก็คิดไปว่า คนโบราณถ้าทำเรื่องใดแล้วไม่ได้ประโยชน์ก็คงไม่กะเกณฑ์ผู้คนมากมายมาทำเรื่องไม่เข้าท่าอย่างแน่นอน

ตรีทิพย์แวะหาอาหารรองท้องเธอไม่ได้กินอะไรจริงๆ จังๆ มานานหลายวันแล้วตั้งแต่พบแผ่นศิลา ตรีทิพย์เลือกร้านอาหารเมืองที่จัดอาหารแบบขันโตก และเข้าไปนั่งชิมบรรยากาศ เธอรู้สึกว่าแม้กระทั่งอาหารของคนเมืองแท้จริง ร้านอาหารที่จะขายอาหารแบบนี้ในตัวเมืองเชียงใหม่ยังหายาก นอกจากที่ขายกันในตลาดเท่านั้น

โดยส่วนตัวตรีทิพย์ไม่มีปัญหาเรื่องซื้อกับข้าวกลับไปกินยังที่พักของเธอ แต่ถ้าหากเป็นนักท่องเที่ยวแล้ว การที่จะซื้ออาหารหรือกับข้าวเมืองกลับไปกินมันค่อนข้างจะยุ่งยาก ไหนจะต้องหาภาชนะมาจัดใส่กับข้าว ไหนจะต้องเก็บล้าง หากว่าอยู่ในโรงแรมคงลำบากต่อการทำแบบนั้นอย่างแน่นอน

หลังอาหารตรีทิพย์ขับรถขึ้นดอยสุเทพ แวะสักการะครูบาศรวิชัยและขับขึ้นดอยไปชมวิวทิวทัศน์ของตัวเมืองเชียงใหม่ในยามค่ำคืน เมื่อมาถึงจุดชมวิว ตรีทิพย์ลงจากรถของเธอ และไปยืนอยู่ริมขอบที่กั้นจุดชมวิว สูดอากาศเย็นๆ บนดอยเข้าไปเต็มปอด เหม่อมองออกไปยังตัวเมืองเชียงใหม่ที่อยู่ด้านล่าง

“ถ้าเวียงกุมกามไม่ล่มไปซะก่อนเชียงใหม่จะเจริญหรือเปล่านะอยากรู้จริงๆ”

จากที่ตรีทิพย์ได้รับรู้มาเมื่อพระญามังรายย้ายเมืองมาจากเวียงกุมกามมาจัดสร้างเมืองไว้ที่เชียงใหม่ จนถึงปัจุบันเชียงใหม่ก็ถือเป็นเมืองสำคัญทางภาคเหนือและเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจและอื่นๆ อีกมากมาย ด้วยชัยภูมิที่ติดกับดอยสุเทพ มีแม่น้ำปิงเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญหล่อเลี้ยงเมืองเชียงใหม่มาเป็นเวลาเนิ่นนาน ทำให้เชียงใหม่เจริญรุดหน้ามากกว่าเมืองใดในบริเวณใกล้กัน

ตำนานเมืองเชียงใหม่มีมาเจ็ดร้อยกว่าปี หากแต่เวียงกุมกามกลับล่มสลายหายไปจากแผ่นดิน ทั้งๆ ที่ศิลปวัฒนธรรมของเวียงกุมกามสวยงามไม่แพ้เมืองใดๆ ที่มีในล้านนา เมืองจะไม่ล่มสลายหากแม่น้ำปิงไม่เปลี่ยนทิศทางและพัดถล่มเมืองให้หายไปต่อหน้าต่อตาภายในเวลาไม่กี่นาที

“คิดอะไรอยู่หรือคะคุณ” เสียงผู้หญิงทักทายตรีทิพย์ที่กำลังปล่อยความคิดล่องลอยไปเรื่อยๆ ทำเอาคนที่กำลังเหม่อลอยถึงกับสะดุ้ง

“อ้าวคุณ” เมื่อตรีทิพย์หันไปเห็นผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังของเธอก็ถึงกับต้องตกใจเป็นหนที่สอง

“ตกใจที่เห็นฉันหรือว่าตกใจที่ฉันไม่ใช่ผีกันแน่คะ” แววตาหยอกเย้าล้อเลียนจากผู้หญิงแปลกหน้าส่งมายังตรีทิพย์

“ก็ทั้งสองอย่างล่ะคะ แล้วนี่คุณมาได้ยังไงคะ” ตรีทิพย์อกแปลกใจไม่ได้ที่เป็นหญิงสาวมายืนอยู่ตรงข้างหลังเธอเพราะเธอไม่ได้ยินเสียงรถหรือเห็นไฟรถก่อนที่หญิงสาวคนนี้จะมายืนข้างหลังเธอ หรือว่าเธอคงปล่อยอารมณ์ไปกับวิวทิวทัศน์เบื้องหน้าจนไม่ทันได้ยินหรือสังเกตอะไร

“ฉันก็นั่งรถมาสิคะจะให้เหาะมาหรือไง” หญิงสาวทำท่าทางกางแขนบินประกอบกับคำพูดของตัวเอง ทำเอาตรีทิพย์ที่กำลังแปลกใจเปลี่ยนเป็นฉุนขึ้นมาในอารมณ์

“อ้าวนี่ฉันถามดีๆ ไหงมาตอบกวนกันแบบนี้ล่ะคุณ”

“ก็นี่ฉันก็ตอบดีๆ แล้วนะคะว่านั่งรถมาไม่ได้เหาะมาไงล่ะ”

ตรีทิพย์เพ่งสายตามองฝ่าความมืดออกไปแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของรถที่ผู้หญิงแปลกหน้าบอกกับเธอว่าเธอนั่งรถมา

“แล้วไหนล่ะรถของคุณที่ว่านั่งรถมาไม่เห็นมีเลย”

“ไปแล้วคะ” เสียงตอบกลับนั้นเรียบราวกับสายน้ำนิ่งๆ

“เอ๊ย แล้วคุณจะกลับยังไง” ตรีทิพย์ต้องแปลกใจอีกครั้งกับคำตอบที่ได้รับ

“ก็กลับพร้อมคุณสิคะถามได้”

“เฮ้ย คุณแน่ใจได้ยังไงว่าฉันจะให้คุณกลับด้วย ฉันอาจจะมีธุระไปที่ไหนก็ได้โดยที่ไม่กลับไปเวียงกุมกาม”

“ถ้าคุณจะแล้งน้ำใจไม่ให้ฉันกลับด้วยฉันก็ไม่ว่าหรอกคะ อีกอย่างนึงถ้าคุณจะไปไหนต่อฉันก็ติดรถคุณไปได้ทุกที่แหละน่า เพราะฉันว่างจะตายไปเช๊อะ”

ผู้หญิงคนนั้นทำท่าทางงอน ตรีทิพย์เห็นท่าทางของเธอแล้วก็อดยิ้มออกมาที่มุมปากไม่ได้

“ขำอะไรกันคนแล้งน้ำใจ” เสียงต่อว่าหลุดออกมาจากปากของหญิงสาวที่กำลังทำท่าเง้างอนตรีทิยพ์อยู่

“เอ๊า มาว่าฉันอีก ยังไม่ได้บอกสักคำว่าไม่ให้กลับด้วยซะหน่อย” สิ้นคำบอกของตรีทิพย์ทำให้ผู้หญิงตรงหน้าถึงกับยิ้มไม่หุบ

“ขอบคุณนะคะคนใจดี”

“อะนะเดี๋ยวก็ว่าฉันแล้งน้ำใจเดี๋ยวก็ยอว่าฉันเป็นคนใจดี จะเอายังไงกันแน่กลับไปกลับมา”

“คนเมืองเปิ้นฮ้องปิ้นจะลิ่นเจ้า”

“เหรอคะ ไม่เคยรู้เลยคะ อะไรนะปิ้นจะลิ่น”

“แปลว่ากลับกรอกคะหรืออาจจะใช้คำว่าสัปปะลี้ก็ได้นะคะ” เสียงตอบกลับมาพร้อมกับใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม

“อ๋อคะ หัดคำเมืองคำเมืองวันละคำก็ดีไปอย่างนะ”

“หัดอู้กำเมืองวันละคำก่าดีหนา เฮาจะสอนฮื้อเอาก่อ”

“ไม่เอาดีกว่าคะ ให้ฉันพูดคำเมืองมันคงทองแดงดีพิลึก”

“แล้วฟังได้ก่าล่ะ” หญิงสาวเอียงหน้าเล็กน้อยและเอ่ยถาม

“ฟังได้คะ แต่สำหรับบางคำที่แปลกฉันก็ไม่ค่อยจะเข้าใจมากนัก จริงๆ แล้วคุณทศ หมายถึงเพื่อนร่วมงานของฉันนะคะเค้าก็เป็นคนเมืองเหมือนกัน เค้าเคยพยายามที่จะสอนให้พูดแต่ตรีก็ลิ้นแข็งมากให้พูดอะไรก็คงจะยากอยู่”

“นั่นสินะคนเราเมื่อล้างลาไปนานก็ต้องใช้เวลาฟื้นฟูกันมากพอสมควร แล้วนี่คุณมาทำอะไรที่นี่ล่ะคะ”

“ตรีมาดูวิวคะ อุดอู้อยู่แต่ที่ทำงานมาหลายวันก็เลยอยากออกมาพักสายตาสูดอากาศบ้าง” ตรีทิพย์พูดพลางก็สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่

“คงจะเครียดมากๆ เลยนะคะนั่น เห็นนอนหลับเป็นตายเลยเมื่อตอนกลางวัน” น้ำเสียงมีปนขบขันนิดๆ

“เอ๊ะคุณรู้ได้ยังไงว่าตรีนอนเมื่อกลางวัน” ตรีทิพย์มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยเมื่อผู้หญิงแปลกหน้าคนนี้รู้ความเคลื่อนไหวของเธอ

“ก็เห็นนะสิคะก็เลยรู้”

“จริงสินะ บ้านคุณคงอยู่ใกล้ๆ กับบ้านพ่ออุ้ยก็เลยเห็นฉันนอนหลับไปเมื่อตอนกลางวัน”

ไม่มีคำตอบจากหญิงแปลกหน้าที่ได้พบกันครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง

“จริงสิลืมไปตรีว่าจะถามคุณว่าคุณชื่ออะไรนะคะ เพราะตรียังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของคุณเลย”

“อยากรู้ไปทำไมคะ”

“เอ๊าก็จะได้เรียกชื่อคุณได้ไงคะ เกิดพบกันอีกฉันจะได้ทักคุณบ้างไม่ใช่ให้คุณทักฉันฝ่ายเดียวแบบนี้”

“เอางี้แล้วกันเรียกฉันง่ายๆ ว่าฝน”

“ชื่อฝนหรือคะ งั้นยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการค่ะคุณฝน” ตรีทิพย์ยื่นมือของเธอออกไปรอสัมผัสกับมือของผู้หญิงที่บอกกับเธอว่าชื่อฝนคนนี้

แต่รออยู่นานฝนก็ไม่ยื่นมือกลับมาสัมผัสมือของเธอ ดูเหมือนว่าจะไม่ยอมรับการทักทายของเธอเลยด้วยซ้ำไป

“ฉันไม่แต๊ะอั๊งคุณหรอกน่า แค่สัมผัสมือทักทายกันแค่นี้จะเป็นไรไปคะ” ตรีทิพย์เย้า

ฝนยื่นมือของเธอมาสัมผัสกับมือของตรีทิพย์ทำให้ตรีทิพย์รู้สึกว่ามือนั้นนุ่มเหมือนกับฟองสบู่หรือเธอนั้นแทบไม่ได้จับต้องมือของฝนเลยด้วยซ้ำไป

“หรือเราจะคิดมากเกินไป” ตรีทิพย์พูดกับตัวเอง

“อะไรนะคะ”

“อ๋อไม่มีอะไรคะ แค่คิดว่ามือคุณนุ่มจังเลยก็แค่นั้น”

“นั่นแน่หลอกแต๊ะอั๊งฉันจริงๆ ด้วย แหมนะคนเรา เห็นหน้ากันดีๆ แท้ๆ มาหลอกจับมือสาวซะได้ แบบนี้ต้องเสียผีแล้วรู้เปล่า”

“หาแค่สัมผัสมือทักทายต้องเสียผีด้วยเหรอคะ งั้นต่อไปนี้ฉันไม่แตะต้องตัวคุณแล้วแม่เนื้อทอง”

“ขอให้จริงอย่างที่พูดนะคะ ว่าจะไม่แตะต้องเนื้อตัวของฉันอีก”

“จริงคะรับรองได้ว่าฉันจะไม่แตะต้องตัวคุณถ้าไม่จำเป็น ว่าแต่ว่าคุณจะกลับหรือยังคะ น้ำค้างแรงแล้วเดี๋ยวจะไม่สบาย” ตรีทิพย์ยกมือขึ้นลูบผมของตัวเองรับรู้ได้ถึงความชื่นที่เกาะอยู่บนเส้นผมของเธอ

“ก็ดีคะกลับก็ดีเหมือนกัน เชิญคุณที่รถเลยคะ ฉันเป็นผู้อาศัยยังไงก็ต้องให้เจ้าของรถขึ้นรถก่อนอยู่แล้ว” ฝนผายมือเชื้อเชิญตรีทิพย์ให้กลับไปยังรถของตรีทิพย์เอง

ตรีทิพย์เดินนำฝนมาที่รถของเธอและใช้เวลาไม่นานนักเก็บของที่วางอยู่ตรงเบาะด้านหน้าข้างคนขับเอาไปไว้วางไว้ตรงเบาะหลังรถ รถของตรีทิพย์รกมากถึงขนาดที่ว่าจะแทรกตัวให้นั่งลงไปยังหาเนื้อที่ว่างไม่ค่อยจะได้ ตรีทิพย์มักจะขนเอกสารและเสื้อผ้ามากมายมาไว้ในรถของเธอ จนนัทพรเพื่อนรักเคยบ่นเสมอๆ ว่ารถของตรีทิพย์เป็นรถขยะเอนกประสงค์

“รกนิดนึงนะคะ ไม่ค่อยมีคนมานั่งด้วยก็เลยวางของรกไปหน่อย” ตรีทิพย์พูดพลางก็ก้มเข้าไปในรถจัดของไปพลาง

“แบบนี้ไม่เรียกว่าหน่อยหรอกคะ รกมากเลยด้วยซ้ำไป”

“ฮ่าๆ นั่นสิคะ รถสาวโสดก็แบบนี้ อย่าว่ากันนะคะ เออจริง สิคืนนี้คุณจะช่วยฉันอ่านเอกสารอีกหรือเปล่า”

“จะให้ช่วยหรือเปล่าล่ะคะ”

“แน่นอนถ้าคุณเต็มใจช่วยฉันก็เต็มใจรับ”

“ฉันไม่ใช่คนนอกสำหรับคุณแล้วเหรอคะ แหมฉันก็ยังคิดว่าฉันเป็นคนนอกอยู่ก็ เลยไม่กล้าที่จะไปหาคุณ” ฝนแกล้งเย้าตรีทิพย์

“ถึงขนาดนี้แล้วถ้าตรียังคิดว่าคุณฝนเป็นคนนอกอีกก็เกินไปหน่อยแล้วค่ะ” ตรีทิพย์ยืดตัวตรงขึ้นมาจากการคู้หลังก้มเก็บของรกๆ ในรถของเธอ

“จะหลอกให้ฉันทำงานให้ก็บอกมาเถอะน่าไม่ต้องยกแม่น้ำทั้งห้ามาอ้างหรอก ทำเป็นเด็กชอบลอกการบ้านเพื่อนไปได้”

“พูดเหมือนรู้นะคะนี่ว่าฉันชอบลอกการบ้านเพื่อนตอนเป็นเด็ก แถมยังลอกทุกวันด้วยสิคะ”

“อ้าวจริงหรือคะไม่คิดว่าคนอย่างคุณออกดูจะเก่งไปซะทุกเรื่องจะเป็นแบบนั้นได้ ฉันก็พูดมั่วๆ ไปน่ะค่ะเผื่อว่าจะเข้าแก๊ปบ้างก็แค่นั้น ตกลงจะยืนคุยกันตรงนี้ใช่ไหมคะ ฉันจะได้ไม่ต้องกลับไปช่วยงานคุณ”

“อุ้ยขอโทษคะ ตรีลืมไป มัวแต่คุยเพลินไปหน่อย เชิญค่ะเจ้าหญิงเนื้อทอง”

ตรีทิพย์ขยับตัวออกจากประตูและผายมือเชื้อเชิญให้ฝนนั่งตรงเบาะหน้าข้างคนขับเป็นการเลียนแบบฝนที่ทำท่าผายมือกับเธอก่อนหน้านี้ และปิดประตูรถให้อย่างเบามือ จากนั้นก็เดินอ้อมหน้ารถเปิดประตูไปนั่งประจำยังที่คนขับ พร้อมำตัวเป็นสารถีที่ดีขับพาฝน หญิงสาวแปลกหน้ากลับไปยังเวียงกุมกามเพื่อลุยงานอ่านประวัติของเจ้านางสององค์ที่ได้มาจากพ่ออุ้ยหนานคำ

ระหว่างทางหนังสือกองโตของตรีทิพย์ที่วางไว้บริเวณเบาะด้านหลังเกิดร่วงหล่นลงพื้นเพราะการขับรถไปตามทางโค้งและเป็นการชับลงทางลาด ฝนหันกลับไปช่วยหยิบหนังสือวางให้เรีบยร้อย แต่การกระทำนั้นทำให้ฝนต้องใกล้ชิดกับตรีทิพย์มากขึ้น จนตรีทิพย์ได้กลิ่นน้ำหอมจากฝนกลิ่นที่เธอคุ้นๆ แต่จำได้ว่าเป็นกลิ่นของอะไร แต่กลิ่นนั้นทำเอาตรีทิพย์ที่ขับรถอยู่ถึงกับอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงรู้สึกผูกพันกับฝนราวกับเคยรู้จักกันมานานแล้ว ทั้งๆ ที่เธอพึ่งจะรู้จักฝนแค่สองวันเท่านั้นเอง แต่จะเป็นอย่างไรก็ชั่งเถอะ มีเพื่อนก็ดีกว่ามีศัตรูไม่ใช่หรือ

... จบบที่ ๕ ...



Create Date : 21 กันยายน 2551
Last Update : 21 กันยายน 2551 12:40:01 น. 0 comments
Counter : 393 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.