It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องสั้นแนวยูริ : กาลนาน บทที่ ๑๑

บทที่ ๑๑

ความสัมพันของทั้งตรีทิพย์และเรนรุดหน้าไปมากกว่าเดิม ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันจนลืมวันลืมคืน เรนเองก็เป็นเด็กช่างเอาอกเอาใจ จนตรีทิพย์หลงหลานจนเธอแอบคิดหลายๆ ครั้งว่าเธอมีเพื่อนที่ดี มีหลานที่ดี แค่นี้ก็สุขใจสำหรับคนตัวเปล่าแบบตรีทิพย์แล้ว

ส่วนตรีทิพย์เองก็สอนโน่นนี่ให้กับเรน ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหารกินกันสองคน กิจกรรมที่ทั้งสองคนชื่นชอบก็คือการวาดรูปที่ทั้งเรนและตรีทิพย์มีความชื่นชอบเหมือนๆ กัน ตรีทิพย์จะสอนเรนกี่ยวกับการลงสีและตวัดมือเพื่อให้รูปออกมาดังใจนึก ทั้งสองคนอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่มีความสุข

จนวันหนึ่งนัทพรแวะมาเยี่ยมลูกสาว และเพื่อนรักของเธอ

“เป็นไงตรีหายดีหรือยังฉันจะมารับลูกกลับบ้านเพราะพ่อเค้าอยากจะกลับบ้านกลับเมืองแล้ว ฉันเองยังเสียดายอยู่เลย กลับบ้านเรามาได้ไม่กี่วัน เผลอนิดเดียวต้องกลับไปอีกแล้วเซ็งจริงๆ เพื่อนเอ๊ย” นัทพรทำสีหน้าเบื่อหน่าย

“หายดีแล้ว มีพยาบาลดีๆ ฉันก็เลยหายเร็ว แกกลับไปคราวนี้คงอีกนานกว่าเราจะได้เจอะกันอีกใช่ไหม” แม้ว่าตรีทิพย์จะใจหายอยู่บ้างเมื่อนัทพรบอกว่าเรนจะต้องจากเธอไป แต่เธอก็ทำใจไว้แล้วว่าสักวันเรนก็ต้องกลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง

“ใช่สิแก คงอีกนานกว่าจะได้มาอีก แกหายดีก็ดีแล้วฉันจะได้โล่งอกที่ทำให้เพื่อนต้องไปเจ็บตัว ว่าแต่ยายเรนมากวนอะไรแกหรือเปล่าตรี”

“ไม่นี่เรนน่ารักมากแกเลี้ยงลูกได้ดีมากๆ เลยนะนัท”

“อะแน่นอนทั้งฉันทั้งยายเค้าเลี้ยงมาแบบคนไทยแท้ๆ เลยนะแกรับรองว่าตกเขียวของแกไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย” นัทพรยืดอกรับคำชมจากตรีทิพย์ด้วยความภาคภูมิแถมยังเหน็บเพื่อนรักของตัวเองในเรื่องเดิมๆ ที่เคยหยอกล้อกัน

“บ้าน่าไอ้นัทเดี๋ยวเรนได้ยินก็คิดมากหรอก เดี๋ยวจะมาหาว่ายายแก่เหนียงยานคิดเคลมหญ้าอ่อน” ตรีทิพย์ตกใจอย่างมากที่ได้ยินเพื่อนรักพูดถึงเรื่องที่เธอเองก็ลืมเลือนไปนานแล้ว

“ฉันเคยเล่าให้ลูกฟังด้วยซ้ำไป เรื่องที่เราสองคนคุยเล่นกัน” นัทพรพูดปนหัวเราะ

“ไอ้บ้านัทนี่แกจะประสาทไปถึงไหนไอ้นัท ตายๆ แบบนี้เรนก็เข้าใจผิดฉันไปกันใหญ่สิแก” ตรีทิพย์ฉุนกึกขึ้นมาทันทีเธอไม่คิดว่านัทพรจะเอาเรื่องพูดเล่นๆ ของเธอไปเล่าให้เรนฟัง

“ฉันจะบอกอะไรนะไอ้ตรี ตอนฉันท้องฉันฝันว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งมาขอเกิดในท้องของฉัน เธอบอกว่าเธอจะเกิดมาเพื่อใครบางคนที่รอเธออยู่ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าคนๆ นั้นเป็นใครแต่ที่แน่ๆ ฉันว่าคนๆ นั้นต้องเป็นแกแน่ๆ เลยวะไอ้ตรี อิอิ” นัทพรยังพูดทีเล่นทีจริงหยอกเย้าตรีทิพย์ไปเรื่อยๆ

ตรีทิพย์ได้ยินคำบอกเล่าของนัทพรเธอถึงกับขนลุก แต่จะให้เออออไปกับนัทพรนั้นเธอคงทำไม่ได้ เพราะเรื่องความรักไม่ได้อยู่ที่ผู้เป็นแม่บงการหากแต่ขึ้นอยู่กับใจของเรนเองเท่านั้น แม้ว่าตอนนี้ตรีทิพย์จะรู้สึกว่าเรนเป็นเหมือนตัวแทนของคนรักที่เธอรอคอยแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรนจะยินยอมพร้อมใจที่จะรักกับเธอ แบบที่เธอต้องการ

“แกก็เชื่อความฝันอย่างนั้นเหรองมงายจริงๆ” ตรีทิพย์บ่นนัทพร

“แล้วไอ้ที่แก งมงายรอนางในฝันของแกคนนั้นไม่บ้ายิ่งกว่าฉันเหรอไอ้ตรี” นัทพรแขวะตรีทิพย์เข้าอย่างจัง

“เออฉันผิดเองที่เล่าเรื่องความฝันของฉันให้แกได้ฟัง” ตรีทิยพ์กล่าวโทษตัวเองที่ไม่น่าเผลอเล่าเรื่องที่เธอเคยพบมาเมื่อนานมาแล้วให้กับนัทพรได้รับรู้ แถมยังเคยบอกถึงความสัมพันของเธอกับฝนวิญญาณที่เฝ้ารอคอยเธอมานานแสนนานให้กับเพื่อนรักได้รับรู้อีกด้วย

“แล้วแกไม่คิดบ้างเหรอว่าเรนก็คือนางในฝันคนนั้นของแกไอ้ตรี” นัทพรยังรุกต่อไป

“ประสาทไปแล้วไอ้นัทมันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อเรนเป็นฝรั่งไม่ใช่คนไทย”

“ไม่ใช่ไทยตรงไหนฉันก็คนไทยนะเว่ยไอ้ด๊อก แกนี่นะเรียนมาตั้งสูง เป็นถึง ศจ. ไหงโง่งี้วะ อุตส่าห์เอาลูกสาวที่ฉันรักสุดหัวใจมาประเคนให้แกถึงที่แกยังไม่รับมันน่าไหมล่ะนี่” นัทพรเหลืออดกับเพื่อนรักของเธอเอง แต่ก็ยังแอบขำกับท่าทางปฏิเสธเป็นจริงเป็นจังของตรีทิพย์ที่แสดงออกมาให้เธอได้เห็น

“แกก็บ้าไปกันใหญ่ ความรักนะแกไม่ได้เกิดขึ้นในวันสองวัน ไม่ได้เกิดเพราะการยัดเยียด มันเกิดมาจากใจนะเว่ย อีกอย่างฉันกับลูกสาวของแกมันเป็นไปไม่ได้หรอกไอ้นัท ฉันรักเรนเหมือนลูกของฉัน เรนเป็นหลานของฉัน แกจะให้ฉันโดนเด็กถอนหงอกหรือไงไอ้เพื่อนบ้า” ตรีทิพย์ฮึดฮัดตลอดการพูดกับนัทพร

“เอ๊าก็นี่ไงฉันก็บอกแกอยู่นี่ไงว่าเรนคือคนๆ นั้นของแก เอ๊ะไอ้นี่ พูดไม่รู้เรื่อง” นัทพรแสร้งไม่พอใจกับคำพูดของตรีทิพย์เช่นเคย

“แล้วใครจะยืนยันได้ว่าเรนเป็นคนที่ฉันรอจริงๆ” ตรีทิพย์เองก็เริ่มเขวเพราะนัทพรยังคงยืนยันหนักแน่นเช่นเดิม

“ไอ้กำไลข้อเท้าของแกไง เอามันออกมาสิ มันรอเจ้าของอยู่ไม่ใช่เหรอไอ้ตรี”

“นี่แกอยากได้ของเก่าถึงขนาดเอาลูกมาแลกเลยเหรอ” ตรีทิพย์พูดปนขำ กับท่าทางของนัทพร ที่ดูจะจริงจังเกินเหตุ

“เออไม่เชื่อก็ตามใจงั้นฉันจะพาลูกฉันกลับแล้วนะไม่ต้องให้มารอคนอย่างแกแล้ว แล้วจำไว้เลยนะไอ้ตรีว่าแกปฏิเสธเรนเองไม่ใช่ฉันที่เป็นคนพาเรนไป แล้วนี่ลูกฉันอยู่ไหน”

“อยู่ในครัวบ้านโน้นพี่อ้อยกำลังสอนทำกับข้าวอยู่” ตรีทิพย์บุ้ยปากไปทางบ้านใหญ่

“งั้นฉันจะรับตัวลูกสาวฉันกลับ เชิญแกหมกมุ่นรอนางในฝันของแกต่อไปเถอะไอ้ตรีเพราะถ้าเค้ามาเกิดตอนนี้ กว่าแกจะเจอเค้าแกก็แก่ใกล้ตายไปแล้ว ไอ้ด๊อกประสาท หึหึ”

ตรีทิพย์รู้สึกใจหายอีกครั้ง แม้ว่าเธออยากที่จะรั้งให้เรนอยู่กับเธอ แต่เธอก็รู้ดีว่าเธอเป็นคนแก่ที่หาอะไรดีไม่ได้สักอย่าง จะรั้งอนาคตของคนที่กำลังเติบโตและก้าวหน้าอย่างเรนไว้ไม่ได้ เรนเรียนจบถึงปริญญาโทในมหาวิทยาลัยชื่อดัง อนาคตของเรนยังอีกยาวไกลนัก จะให้มาจมปลักอยู่กับคนแก่อย่างเธอคงไม่ได้

สักวันหากเธอต้องแก่ลงไปกว่านี้ ใครจะดูแลเรนต่อจากเธอ และหากว่าเธอแก่ลงไปมากกว่านี้ เธอคงเป็นภาระให้กับเรน เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วตรีทิพย์ก็ได้แต่ข่มใจส่งเรนขึ้นรถของนัทพรและมองรถเล่นออกไปจากบ้านของเธอด้วยจิตใจที่หดหู่อย่างบอกไม่ถูก

............................

ตรีทิพย์ขอลาออกจากราชการและกลับมาอยู่ที่เวียงกุมกาม นั่งเหม่อมองไปยังต้นสารภีต้นเก่าแก่ต้นเดิม ริ้วรอยของกาลเวลาปรากฏอยู่บนใบหน้าของตรีทิพย์ อย่างมากมาย ปีนี้ตรีทิพย์อายุห้าสิบห้า การฉลองวันเกิดเป็นไปอย่างเรียบง่ายกับลูกศิษย์ลูกหาของเธอเอง

เธอรับจ้างสอนหนังสือบ้างประปรายเมื่อยามที่มีคนจ้าง แต่ไม่ได้รับทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เงินบำนาญของเธอก็ยังคงมีอยู่ แม้จะไม่มากมายแต่ก็พอที่จะเลี้ยงคนแก่อย่างเธอให้อยู่ดีกินดีไปได้ตามประสา ข้อเท้าของเธอข้างหนึ่งใส่กำไลทองฉลุลายวงนั้นเอาไว้ เธอไม่กลัวว่าจะมีใครหาว่าบ้า เพราะเธอทำในสิ่งที่ตนเองคิดว่าดีที่สุดสำหรับจิตใจของเธอเอง

มีชาวต่างชาติเคยมาขอซื้อกำไลของเธอแต่เธอก็ไม่เคยคิดจะขาย เมื่อต้องตายก็ขอให้กำไลนี้ตกเป็นสมบัติของแผ่นดิน ความเก่าของมัน ฝีมือของช่างทองโบราณอาจเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องการเอามาเป็นความรู้และดูลวดลายการสลักเสลา

ตรีทิพย์เฝ้าคิดถึงคำพูดของนัทพรที่เคยบอกกับเธอเมื่อหลายปีก่อนมาตลอดเวลา เธอคิดว่าสิ่งที่เธอทำนั้นถูกต้องที่สุดและดีที่สุดสำหรับเรนแล้ว แม้เธอจะมีความรู้สึกลึกๆ ในใจของตัวเองว่าเรนก็คือฝนที่กลับชาติมาเกิด และคือคนๆ เดียวกันกับที่เธอเองนั้นรอมานานแสนนาน แต่หลายปีที่ผ่านมาเธอไม่ได้รับการติดต่อจากเรนเลยสักครั้ง

ตรีทิพย์เดินปล่อยใจเลื่อนลอยออกมาจากบ้านในเย็นวันนั้น และแวะดูเจดีย์เก่าๆ ที่เธอเคยทำงานขุดค้นมาก่อน และเธอก็ต้องตกใจเมื่อเธอได้เห็นเรนกำลังยืนถายรูปในมุมเดียวกับที่เธอเคยถ่ายไว้เมื่อหลายปีก่อน

ตรีทิพย์ทั้งดีใจและตกใจ เธอไม่คิดมาก่อนว่าเรนจะแวะมาที่เวียงกุมกาม และไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำไปว่าเรนจะกลับมาเที่ยวเมืองไทยอีกครั้ง เพราะหลังจากครั้งนั้นเธอกับเรนก็ไม่ได้ติดต่ออะไรกันอักเลย จะมีก็แค่เพียงเธอและนัทพรที่ส่งเสียงตามสายถึงกันบ้างในวันสำคัญๆ เช่นวันเกิดของทั้งสองคนและวันปีใหม่ก็เท่านั้น

เรนลดกล้องที่กำลังถ่ายโบราณสถานตรงหน้าลงและหันมาเห็นตรีทิพย์ก่อนที่จะส่งยิ้มหวานให้ และทักทายตรีทิพย์ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

“สวัสดีค่ะคุณสามขา ยังแข็งแรงดีนะคะไม่ได้เจอกันเกือบสามปีดูคุณสามขาไม่เปลี่ยนไปเลย” เรนทักทายตรีทิพย์และส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับตรีทิพย์อีกด้วย

“เหรอคะ แต่ฉันว่าฉันแก่ลงไปเยอะแล้วนะคะคุณฝน”

“แก่แต่ก็ยังคงดูงดงามทั้งท่าทางและการวางตัว แบบนี้สิคะคือคนที่น่าเกรง” รอยยิ้มยังมีอยู่ที่มุมปากของเรน

ก่อนที่ตรีทิพย์จะพูดอะไรออกมาเธอก็ถูกเรนคว้าร่างทั้งร่างเข้าไปกอดเอาไว้

“ฉันคิดถึงคุณค่ะ คุณตรี ฉันคิดถึงคุณ ตลอดเวลาไม่มีเลยสักวันที่ฉันไม่คิดถึงคุณ อย่าผลักไสฉันไปไหนอีกเลยนะคะฉันรักคุณ”

ตรีทิพย์ได้แต่อึ้งกับคำพูดที่พร่างพรูออกมาจากปากของเรน เธอลูบผมยาวสีน้ำตาลของเรนไปมา

“ฉันไม่ได้ผลักไสคุณนะคะ แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะรักกันคุณเป็นลูกของเพื่อนสนิทของฉันฉันรักคุณไม่ได้หรอกเรน”

“เป็นไปได้สิคะหรือคุณจะลืมคำสัญญาของเรา คุณลืมไปแล้วหรือคะว่าคุณสัญญาไว้ว่าอะไร ตอบสิคะคุณสามขา”

“ฉันไปสัญญาอะไรไว้กับคุณตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

“สามสิบปีที่แล้วคุณเคยพูดว่าอะไรคะ คุณเคยบอกว่าจะรอฉัน คุณเคยบอกว่าต่อให้กาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่คุณก็จะรอฉันนี่คะ คุณสัญญากับฉันแล้ววันนี้คุณกลับมาเปลี่ยนใจไม่รอฉันผลักไสฉันให้ไปห่างคุณ คนใจร้ายฮือๆ” เรนซบใบหน้าของเธอกับบ่าของตรีทิพย์ร้องไห้ออกมาโดยที่ไม่สามารถที่จะหยุดหรือห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้เลยสักนิด

จากคำพูดของเรนทำให้ตรีทิพย์รับรู้ว่าเรนก็คือฝนจริงๆ อย่างที่นัทพรบอกและเป็นจริงอย่างที่เธอเองคิดไว้ เรนก็คือคนที่เธอรอคอยมานานแสนนาน คือเจ้านางสายทิพย์ที่รอคอยเจ้านางแสงคำ และที่สำคัญไปกว่าสิ่งอื่นใดเรนก็คือคนที่เธอรักสุดหัวใจ

“กลับไปคุยกันที่บ้านเถอะนะคนดี ร้องไห้แบบนี้ไม่สวยนะ” ตรีทิพย์ผละเรนออกจากอ้อมกอดของเธอเองและใช้นิ้วเกลี่ยไปบนสองแก้มปาดรอยน้ำตาของเรนออกจากใบหน้าสวยได้รูปนั้น ก่อนที่จะจูงมือของเรนให้เดินตามเธอกลับไปยังบ้านของเธอที่อยู่ไม่ไกลนัก

“ต้นสารภียังอยู่ดีนะคะ” เรนมองต้นสารภีหน้าบ้านที่ยังแตกกิ่งก้านสาขาผลิดอกออกใบบานสพรั่ง

“ยังอยู่ดีค่ะ ฉันรดน้ำใส่ปุ๋ยอยู่เสมอ รอคอยวันที่คุณจะกลับมาชื่นชมมันกับฉัน” ตรีทิพย์บอกกับคนที่เดินจูงมืออยู่

“ดีจังคะที่คุณยังใส่ใจ”

เมื่อเดินขึ้นมาถึงบนเรือนไม้ได้ สิ่งที่ตรีทิพย์ต้องเผชิญก็คือคนตัวสูงที่เดินจูงมือของเธอ กลับกลายมาเป็นอุ้มเธอเข้าห้องน้อนและปิดประตูลงกลอนอย่างดี ก่อนที่จะวางตัวเธอลงบนที่นอน

“ทำอะไรคะ” ตรีทิพย์พยายามดิ้นรนให้หลุดจากอ้อมแขนของเรน

“หาความรักสิค่ะ ค้นหาความรักจากใจของคุณที่ปล่อยฉันให้รอคอยมาเนิ่นนาน และวันนี้ฉันจะไม่ปล่อยคุณให้หลุดมือฉันไปอีกแล้วคุณสามขา” ไม่พูดเปล่าเรนซุกไซร้ไปทุกซอกทุกมุมของลำคอตรีทิพย์

“ฉันแก่เกินกว่าที่จะมีอะไรแบบนี้แล้วนะคุณ” ตรีทิพย์ผลักไสคนตัวสูงออกจากตัวเธอด้วยท่าทีที่เขินอาย

“ไม่นะคุณยังคงหอมหวานเสมอสำหรับฉัน จริงๆ นะคะคนดี” เรนแทรกลิ้นนุ่มๆ ของเธอควานหาความหวานจะเรียวปากสวยของตรีทิพย์ ปากที่คอยแต่จะบอกว่าเธอไม่คู่ควร ปากที่แข็งไม่ตรงกับใจ ของตรีทิพย์ และปากที่มีแต่ความหวานละมุนลิ้นนี้เป็นสิ่งที่เรนต้องการที่จะครอบครองเสมอมา

พันธนาการทางเรือนร่างเสื้อผ้าอาภรณ์ใดๆ ไม่ใช่สิ่งสำคัญของหญิงสาวทั้งสองคนอีกต่อไป ตลอดเจ็ดร้อยปีแห่งการรอคอยได้สิ้นสุดลง สองกายเกี่ยวกระหวัดรัดแน่นกลืนกันเป็นหนึ่งเดียว ราวกับงูสองตัวกอดรัดกันและกัน เรียวขานุ่มลื่นที่สองคนสัมผัสได้ต่างถูกันไปมา

ธารรักหลั่งรอคอยการลิ้มลอง ตรีทิพย์สะท้านไปทั้งร่างเมื่อเรนแทรกลิ้นลงไปยังแหล่งน้ำอันอุดมของเธอเพื่อลิ้มลองรสรักหลังรินของเธอ เสียงครางครวญออกมาจากเรียวปากของตรีทิพย์ไม่ขาดระยะ ส่งเสียงแข่งกับจิ้งหรีดที่ร้องระงมไปทั่วบริเวณบ้าน

สิ่งที่เรนปรนเปรอให้กับตรีทิพย์ทำให้เธอสุขสมกับที่รอคอย ตรีทิพย์ปล่อยใจไปกับการรุกรานของเรนจนกู่ไม่กลับ ไม่มีคำว่า “ไม่ได้” มีแต่คำว่า “ให้” และให้ด้วยความยินยอมพร้อมใจของเธอ มันอาจจะดูง่ายไปหากเมื่อใครต่อใครได้รับรู้ แต่จะมีใครรู้ดีเท่ากับหญิงสาวสองคนที่กำลังปรนเปรอรสรักให้แก่กันและกันอยู่ไม่ขาด

ต่างคนต่างโอบประคองกันและกันด้วยความรัก ไปยังดินแดนที่ใครหลายๆ คนใคร่อยากจะลิ้มลอง รสชาติแห่งกามกามามันช่างหอมหวานเกินกว่าที่ได้คาดคิดไว้ ต่างผลักกันรุกและรับ ผลัดกันแพ้และชนะ อยู่หลายครั้ง จนทั้งคู่เหนื่อยอ่อนไปตามๆ กัน

เรนซุกใบหน้าของเธออยู่ที่ช่วงไหล่ของตรีทิพย์ รอยยิ้มแห่งความสุขผุดพรายไปทั่วใบหน้าสวยอขงเธอ

“คุณรู้ได้ยังไงคะ คุณจำได้ยังไง” จู่ๆ ตรีทิพย์ก็เอ่ยถามขึ้นท่ามกลางเสียงร้องระงมของจั๊กจั่นเรไร

“ถ้าจะบอกว่าอยู่ๆ เรนตื่นขึ้นมาก็รู้และนึกออกทั้งหมดคุณจะเชื่อไหมคะ”

ตรีทิพย์พนักหน้ารับรู้ “เชื่อคะ”

“ว้าทำไมเชื่อคนง่ายจัง” เรนทำท่าทางเซ็งเล็กๆ กับคำตอบของตรีทิพย์แต่ฝ่ามือยังลูบไล้ไปตามเรือนร่างของตรีทิพย์อยู่ตลอดเวลา

“ฉันเชื่อในพรหมลิขิตค่ะแล้วคุณล่ะเชื่อไหม”

“เชื่อสิคะ เพราะเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วต้องรับรู้ถึงการรอคอยของใครสักคนมันทำให้เรนถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ เรนปรึกษากับแม่ เรนบอกแม่ และแม่ก็บอกเรน มีแต่คุณเท่านั้นที่ไม่ยอมรับ เรนพยายามมข่มใจไม่ให้คิดถึงคุณ พยายามทำใจให้ลืมคุณตามที่คุณบอกกับแม่ไว้ แต่เรนทำไม่ได้จริงๆ ค่ะเรนพยายามแล้ว ให้อภัยเรนนะคะคนดี”

“คุณรู้มานานแล้วเหรอคะว่าฉันคือใครและคุณคือใคร”

“เรนรู้ตั้งแต่อายุครบสิบแปดแล้วค่ะ แต่แม่ขอร้องไว้ว่าอย่าพึ่งรีบกลับมา ให้เรนเรียนต่อให้จบ เรนก็ทำตามที่แม่บอก และเรนก็ได้พบคุณเมื่อสามปีที่แล้ว คุณรู้ไหมคะว่าเรนอยากจะกอดอยากจะทำแบบนี้กับคุณตั้งแต่แรกพบกันครั้งแรก แต่เรนก็ทำไม่ได้ จนมาถึงวันนี้หัวใจของเรนบอกว่าอย่ารออีกเลย ชีวิตของคนเรามันสั้นมากถ้าไม่ทำตามหัวใจเรียกร้องก็จะต้องรอไปอีกกี่ภพกี่ชาติกัน ในเมื่อคุณอยู่ตรงหน้าเรน เรนคว้าคุณเอาไว้ได้ อนาคตจะเป็นยังไงเรนไม่สนหรอกนะคะคนดี เรนสนแค่ต่อจากนี้ไปเรนจะอยู่ข้างๆ คุณไม่จากไปไหน เรนมาสมัครเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยที่นี่นะคะ มาอยู่ใกล้ๆ คุณ ตื่นนอนพร้อมคุณ นอนหลับพร้อมคุณเราจะไม่พรากจากกันไปไหนอีกแล้วนะคะที่รัก”

“ค่ะเราจะไม่พรากจากกันไปไหนอีกแล้ว”

ตรีทิพย์กอดกระชับคนในอ้อมแขนให้แน่นยิ่งขึ้น ครั้งสุดท้ายที่เธอและฝนกอดกัน มันเป็นแค่ช่วงเวลาเพียงเสี้ยวนาทีและฝนก็ต้องสลายไป ต่อแต่นี้เธอจะกอดเรนได้ทุกเวลา เรนที่มีเนื้อหนังมังสาเป็นปุถุชนทั่วไปไม่ใช่กายทิพย์แบบที่ฝนเป็น

เรนที่มีเลือดมีเนื้อแตะต้องได้ และเธอก็กอดเรนอยู่ในอ้อมกอดของตัวเอง ทั้งสองคนหลับตาลงพร้อมๆ กันอย่างมีความสุข

..............................

“ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมไอ้ตรีว่าเรนคือนางในฝันของแก แกก็ไม่เคยที่จะเชื่อฉันเล๊ยไอ้ด๊อกหัวดื้อ” นัทพรบ่นตรีทิพย์เมื่อเธอมาเยี่ยมตรีทิพย์และเรนที่เชียงใหม่

“ก็แกไม่บอกให้ละเอียดนี่หว่าว่าเรนเค้ารู้ว่าเค้าเป็นใครฉันจะไปรู้ได้ไงเล่า” ตรีทิพย์แย้งนัทพร

“อ๊ะเดี๋ยวนี้กล้าเถียงแม่ยายเหรอเดี๋ยวปั๊ดแยกลูกสาวกลับเลยนี่”

“มีขู่นะแก เออจริงสินะตกลงแกเป็นแม่ยายฉันหรือว่าเป็นเพื่อนฉันกันแน่วะไอ้นัท”

“ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ หรือว่าจะแถมตำแหน่งแม่สามีไปด้วยก็ไม่เกรงใจหรอกนะเพื่อน” นัทพรกระเซ้าเพื่อนรักของเธอ

“เออดีนะ ครบเครื่องดี หนึ่งเดียวเป็นได้หลายแบบ”

“เสียดายจริงๆ เลยเชียวที่ฉันไม่ได้เป็นแฟนแก”

“เรื่องมันนานมาแล้วยังจะรื้อฟื้นขึ้นมาอีก”

“แล้วทีแกล่ะตรี เรื่องมันนานมาแล้วสมัยกาลนานแกยังรื้อขึ้นมาได้เลยไอ้ตรี”

“เออนะคนเรามันไม่เหมือนกันเว่ย”

“ไม่เหมือนตรงไหน ก็เหมือนๆ กันแหละว้า ว่าแต่ว่าบ้านหลังนี้นะเหรอ คุ้มของเจ้าแสงคำ”

“ก็ไม่เชิงหรอกนะสถานที่นะใช่แต่ตัวบ้านฉันออกแบบมาจากความทรงจำในจินตนาการของฉันเอง”

“แต่ก็ดูสวยดีนะตรี ดูไม่เหมือนใคร มันออกจะดูใหญ่โตไปสักหน่อยไหม กับการอยู่กันแค่สองคน” นัทพรมองดูบริเวณรอบๆ ตัวบ้านที่เธอนั่งอยู่

“ทำไงได้ตอนทำก็ไม่ได้คิด พอทำเสร็จแล้วคิดได้ก็บานปลายไปกันใหญ่ นี่ยังโชดดีนะที่ฉันสร้างมันมาหลายปีแล้ว ถ้ามาสร้างตอนนี้แกก็รู้ว่าไม้มันแพงมากมายขนาดไหน ฉันคงไม่มีปัญญาจะสร้างมันขึ้นมาได้หรอกแก”

“ก็จริงสมัยเมื่อตอนแกได้ทุนไปเรียนฉันยังเคยคิดเลยว่าแกจะประหยัดไปถึงไหน ถ้าเป็นคนอื่นได้เงินแบบแกก็คงใช้เปรมไปแล้วที่ไหนได้เก็บเงินเอามาสร้างบ้านในฝันเพื่อรอนางในฝันของแกนี่เองมิน่าชวนไปไหนไม่เคยจะไปตั้งหน้าตั้งตาเรียนจนจบ คนอย่างแกนี่นะ ไม่เคยมองใครเล๊ยนอกจากคนในฝันเท่านั้น”

“แล้วไม่ดีหรือไงแกฉันเก็บความรักไว้ให้ลูกของแกคนเดียวไม่เคยให้ใคร”

“ไอ้ดีมันก็ดีหรอกนะเสียอย่างเดียวมันเหมือนคนบ้ามากไปหน่อย นี่ถ้าฉันไม่ใช่เพื่อนที่คบกับแกมานานฉันก็คงคิดว่าแกบ้าไปแล้ว แกจำได้ไหมตอนอั้มตายไปใหม่ๆ แกเอาข้าวเอาน้ำไปวางไว้หน้ารูปของอั้มจนพี่อ้อยกลัวไม่กล้าเข้าบ้านแก ไหนจะเรื่องที่แกชอบพูดคนเดียว ถ้าใครไม่รู้ก็ว่าแกผีเข้า หรือไม่ก็ว่าแกมีร่างทรงแน่ๆ เลยเพื่อน” นัทพรเปิดใจคุยกับตรีทิพย์ถึงเรื่องสมัยเมื่อทั้งสองคนยังเป็นเด็กๆ

“ก็จริงของแกฉันคงบ้า แกไม่รู้หรอกว่าการที่ต้องสูญเสียคนที่เรารักไปแบบที่เราไม่ทันตั้งตัวมันทำให้ฉันเจ็บปวดรวดร้าวแค่ไหน ฉันทำใจไม่ได้ไปหลายปี ที่ฉันต้องเสียอั้มไป ทั้งๆ ที่เรากำลังเล่นกันอยู่แท้ๆ แกไม่ได้อยู่กับฉันกับอั้มแกไม่เข้าใจหรอกว่าความรู้สึกของฉันมันเป็นแบบไหน” ตรีทิพย์เองก็ระบายความรู้สึกของเธอเองให้กับนัทพรฟังเช่นกัน

“ฉันเข้าใจแกแล้วไอ้ตรี ฉันเข้าใจแกดีทุกอย่าง แล้วเรื่องลูกของฉันแกจะว่าไง จะอยู่กันไปแบบนี้หรือว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น”

“ฉันกับเรนตัดสินใจกันแล้วว่าเราสองคนจะอยู่ที่นี่จะตายที่นี่ และไม่จากที่นี่ไปไหนอีกแล้ว”

“ใช่ค่ะแม่ เรนกับคุณตรีจะอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนอีกแล้ว” เรนที่ออกมาจากครัววางจานผลไม้ที่เธอปลอกเองไว้บนโต๊ะรักบแขกและมานั่งลงข้างๆ ตรีทิพย์เธอจับมือของตรีทิพย์มาวางไว้บนมือของเธอ

“อืม เอางี้เพื่อเป็นการทำให้แกมั่นใจว่าฉันจะรักลูกของแกคนเดียวและตลอดไป” ตรีทิพย์หยิบกำไลข้อเท้าอีกข้างออกมาจากกำปั่นและสวมใส่ให้กับเรน

“แกรู้ใช่ไหมว่ากำไลนี้มันมีคู่ของมันและตอนนี้กำไลอีกข้างหนึ่งได้อยู่ในการครอบครองของเจ้าของเดิมของมันแล้ว แกวางใจได้นะเพื่อนว่าฉันจะไม่มีวันทิ้งลูกของแกไปจนกว่าเราสองคนจะตายจากกัน” ตรีทิพย์ให้คำสัญญาเป็นมั่นเหมาะทั้งกับเพื่อนรักและคนรักของตน

“ขอให้แกสองคนอยู่คู่กันตลอดไปตราบนานเท่านานนะตรี และเรนด้วยนะลูก” คำอวยพรของเพื่อนรักทำให้ตรีทิพย์รู้สึกโล่งใจ

ต่อจากนี้ไปเธอและเรนจะอยู่ด้วยกันแม้ว่าใครจะมองว่าเธอทั้งสองเป็นคู่รักที่แตกต่างกันหรือไม่คู่ควรกัน หรือจะมีใครนินทาอย่างไรเธอทั้งสองจะไม่สนใจ ในเมื่อครอบครัวเห็นด้วยและไม่เคยกีดกันความรักของคนทั้งสองต่อให้ใครต่อใครต่อว่าเธอ หรือนิทาเธอ เธอเองก็จะไม่สนใจอีกต่อไป

.......................

ตรีทิพย์ในวัยเจ็ดสิบยืนมองวิวของเมืองเชียงใหม่อยู่ที่จุดชมวิวเชิงดอยสุเทพโดยมีเรนยืนอยู่ข้างกายของเธอไม่ได้ห่างไปไหน

สิบห้าปีที่ผ่านมาเรนได้พิสูจณ์ให้ตรีทิพย์ได้รับรู้แล้วว่าเรนยังคงมั่นคงในความรัก ทั้งสองหมั่นเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม ปฏิบัติธรรมตามแต่เวลาที่มีจะสามารถทำได้ ความรักของคนทั้งสองเนินนานผ่านมาตามกาลเวลา และยังคงอยู่บนโลกใบนี้

“อีกไม่นานฉันก็จะจากคุณไปแล้วนะเรน”

“อย่าพูดแบบนั้นสิคะคุณ เรนไม่อยากจะฟังเรื่องแบบนี้หรอกนะ เรนไม่อยากจะเสียคุณไปไม่ว่าจะเวลาไหนทั้งนั้น หากวันใดที่เรนเสียคุณไปเรนก็ขอตามคุณไปด้วย เพราะเรนไม่อยากจะรออะไรอีกต่อไปแล้ว”

“แต่มันเป็นเรื่องจริงที่คุณต้องรับรู้ ฉันแก่แล้ว และกำลังจะหมดแรงลงทุกที เหมือนพระอาทิตย์ยามเย็นที่กำลังอ่อนล้า แต่คุณเป็นพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวันที่กำลังทอแสงแรงกล้า”

“ไม่ว่าคุณจะเป็นพระอาทิตย์ตอนไหนคุณก็คือแสงคำในใจฉันเสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลงนะคะ”

“ขอบคุณค่ะฝนที่ชุ่มฉ่ำเย็นในใจของฉัน ขอบคุณที่ยังรักและห่วงใยอาทิตย์ผู้อ่อนล้าคนนี้ เสมอมา”

ตรีทิพย์และเรนกอดกันอยู่บริเวณจุดชมวิวดูวิวของเมืองเชียงใหม่ผ่านสายตาสองคู่ คู่หนึ่งพล่าเลือนลาง อีกคู่ยังมองโลกสดใสเสมอ

หากใครได้เห็นภาพนั้นคงคิดว่าแม่ลูกสองคนกำลังยืนกอดกันชมวิวทิวทัศน์ของเมืองเชียงใหม่ในยามค่ำคืน แต่ใครจะรู้ว่า ผู้หญิงสองคนที่ยืนตระกองกอดกันนั้นเป็นคู่รักที่รักกันมายาวนาน ตราบชั่วกาลนาน

................ จบ ..............



Create Date : 13 ตุลาคม 2551
Last Update : 13 ตุลาคม 2551 15:12:28 น. 2 comments
Counter : 612 Pageviews.

 
หลงทางมาเจอได้ไงจำไม่ได้
ไว้ว่าง ๆ เดี๋ยวแวะมาอ่านใหม่นะ


โดย: inmemoir วันที่: 13 ตุลาคม 2551 เวลา:17:20:32 น.  

 
ความรัก สวยงามในความรู้สึก
ไม่มีเพศ...
ไม่มีวัย...


โดย: raBBitFood IP: 124.120.11.61 วันที่: 27 ตุลาคม 2551 เวลา:17:49:29 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.