It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องสั้นแนวยูริ : กาลนาน บทที่ ๑๐

บทที่ ๑๐

ตรีทิพย์ยืนรออยู่ที่ปลายทางออกของผู้โดยสารขาเข้า เธอมายืนรอรับนัทพรและครอบครัว และที่ปลายทางเธอเห็นเจสันเข็นรถใส่กระเป๋าเดินเข้ามาทักทายตริพย์ก่อนเป็นคนแรก ส่วนนัทพรก็เดินตามมาติดๆ เพื่อนรักสองคนกอดกันกลม สรุปว่าครอบครัวของนัทพรมีเพียงพ่อกับแม่เท่านั้นที่เดินทางมาเพราะเด็กๆ ยังติดธุระเรื่องเรียนเรื่องงานยังไม่มีใครเดินทางมาแต่ก็อาจจะตามมาสมทบกันในภายหลัง

นัทพรอยากไปเที่ยวทะเล เธอกับเจสันตกลงกันเอาไว้ว่าจะเดินทางไปเที่ยวเกาะต่างๆ ทางภาคใต้ให้หนำใจ เพราะทั้งคู่อยากจะอาบแดดให้ตัวแดงๆ

“บ้าแล้วไอ้นัท แกนะยิ่งแก่ยิ่งเลอะเลือนใครเค้าอาบแดดกันตัวจะได้ดำปิ๊ดปี๋นะสิแก”

“นี่ไอ้ตรีแกต้องเข้าใจฉันบ้างนะ อยู่ที่โน่นมันหาแดดได้ที่ไหนกันเล่า กว่าจะมีแดดต้องรอซัมเมอร์ รอว่าวันไหนฟ้ากระจ่าง เห็นใจคนจากบ้านจากเมืองไปนานๆ แบบฉันบ้างสิแก อย่างแกตากแดดหน้าดำ ขุดโน่นขุดนี่ของแกฉันไม่เคยว่าอะไรสักคำ ทีฉันจะมาอาบแดดบ้างทำเป็นบ่น”

“ปัดโธ่เว่ย ก็คงเป็นห่วงกลัวเพื่อนจะเป็นมะเร็วผิวหนัง เกิดแกเป็นหูดเป็นฝ้าเป็นกระขึ้นมาแล้วเกิดตายไปฉันก็หมดคนรู้ใจสิเพื่อน”

“ไอ้นี่ยังปากปีจอเหมือนเดิมเลยนะเพื่อน ว่าแต่แกเอารถอะไรมารถกระป๋องของแกอีกหรือเปล่า”

“ไอ้บ้า รถคันนั้นฉันเอาไปปลูกสะระแหน่แล้วเพื่อนใครจะทนใช้ได้ตั้งเกือบสามสิปี ใช้ได้ก็เก่งแล้วแกเอ๊ย”

“เออลืมไปเลย แล้วตอนนี้แกใช้รถอะไร”

“รับรองว่าไม่ได้ใช้ทุกชีวิตวอดวายแน่ๆ แก ฉันใช้รถญี่ปุ่นธรรมดานี่แหละแต่ก็พอเอาแกกับเจสันไปส่งที่บ้านได้ก็แล้วกัน”

“เออขอให้จริงเถอะ งั้นเราไปกันเถอะแกเอ๊ยฉันล่ะเมื่อยหลังจนจะตายแล้ว นั่งหลังขดหลังแข็งมาเกือบยี่สิบชั่วโมง ไม่ตายงานนี้จะไปตายงานไหนวะ” นัทพรบ่นถึงการเดินทางอันยาวนานและสังขารของตัวเอง

“คนแก่ก็แบบนี้ล่ะนะไอ้นัทนั่งโอยลุกโอยอีกอย่างแกมีลูกตั้งสามคนไม่กระดูกพรุนก็ไม่รู้จะว่าไง เออแล้วนี่ลูกๆ ของแกจะตามมาวันไหนรู้ไหม”

“เอฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันแต่ ยังไงฉันกับเขสันก็คงไปรอที่ภูเก็ตก่อนว่าจะไปพีพี แกจะไปด้วยไหมล่ะไอ้ตรี”

“เดี๋ยวดูก่อนว่าจะตามไปด้วยได้ไหมแต่ช่วงนี้มันใกล้ปีใหม่ใกล้วันหยุดยาวจะมีที่พักหรือเปล่าก็ไม่รู้สิไอ้นัท”

“ไม่ต้องห่วงเจสันเค้ามีเพื่อนติดต่อที่พักเอาไว้แล้วที่พีพี จองไว้แล้วมีห้องพักหลายห้องพอให้นอนกันอย่างสบายๆ ไงแกก็เดินทางตามพวกฉันไปก็แล้วกัน รับรองว่ามีที่พักแน่นอนเพื่อน”

“ขอบใจนะเพื่อนไว้เคลียร์งานได้ฉันจะตามไป ว่าแต่วันนี้แกไปนอนพักที่บ้านหาคนมานวดก่อนดีกว่า ไปเถอะเจสันแล้วจะพาท่องราตรีเมืองบางกอก อิอิดีไหม” ตรีทิพย์ตบบ่านัทพร และหันไปชักชวนเจสัน ที่ยืนปิดปากเงียบ เพราะหากว่าบ่นออกมาตัวเขาเองนั่นแหละจะโดนบ่นกลับไปอีกกระบุงโกย เพราะตั้งแต่นัทพรอายุมากขึ้นก็บ่นมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

“ไอ้นี่ มาชวนสามีฉันเสียคนตอนแก่ ไปเลยไอ้ตรีเดี๋ยวปั๊ด จะตบด้วยฝ่ามือโลหิตเลยแกนี่”

นัทพรทำท่าทางจะเงื้อมือตบตรีทิพย์แต่ตรีทิพย์ไวกว่าใช้ร่างของเจสันบังตัวเธอเอาไว้ จากนั้นเพื่อนสูงวัยสองคนก็พากันออกจากสนามบินที่ตราคร่ำไปด้วยผู้คน โดยมีตรีทิพย์เป็นสารถีนำส่งสองสามีภรรยากลับไปแหล่งพำนักเก่าแก่ของตระกูล

...........................

ท้องฟ้าแสงแดดและเกลียวคลื่นที่อยู่ตรงหน้าตรีทิพย์ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายจากการทำงาน ตรีทิพย์ได้รับคำเชิญจากนัทพรอีกครั้งว่าให้มาร่วมฉลองวันคริสมาสด้วยกันเพราะตอนนี้เรนลูกสาวคนโตของนัทพรตามมาสมทบกับพ่อแม่แล้ว แต่เธอก็หาเครื่องบินมาไม่ได้ กว่าจะได้เครื่องก็ปาไปสี่ทุ่มแล้วก็ล่วงเลยเวลาที่นัดกันมานานโข ตรีทิพย์ลงเครื่องเมื่อคืนนี้และกำลังเดินทางไปเกาะพีพีเพื่อที่จะไปหาเพื่อนรักที่รออยู่

และเธอก็คงจะมาไม่ทันนัทพรกับเจสันที่จะออกเรือไปดำน้ำดูปะการัง ทั้งๆ ที่เธอตั้งใจไว้แล้วว่าจะตามเพื่อนไปด้วย แต่เมื่อสะสางงานไม่เรียบร้อย งานทุกอย่างไม่ลงตัว กำหนดการต่างๆ ที่วางเอาไว้ก็ต้องล่าช้าไปถึงสองวัน จากการที่จะมาฉลองวันคริสมาสอีฟกับครอบครัวของนัทพรก็เลยต้องเปลี่ยนแผนเป็นมาฉลองวันปีใหม่แทน เพราะอีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันสิ้นปี

วันนี้เป็นวันที่ ๒๖ ธันวาคม เข้าไปแล้ว ตรีทิพย์ลงเรือเที่ยวแรกตั้งแต่ตีห้า เพื่อที่จะเดินทางไปเกาะพีพี เธอไม่อยากนั่งสปีทโบ๊ท เพราะมันกระแทกกระทั้นมากเกินไปหลังจากครั้งก่อนที่เคยนั่งแล้วก็ต้องเข็ดกับการลงเรือเร็วๆ แถมด้วยอาการหลังเคล็ดขัดยอกไปหลายวัน ตรีทิพย์ก็เลยรอเวลาให้เรือใหญ่เที่ยวแรกออกและนั่งไปในเรือใหญ่อย่างใจเย็น ทะเลกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา แสงแดดสีส้มแดงค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่องๆ จากขอบฟ้า ตรีทิพย์สังเกตเห็นท้องฟ้าแดงกำ คนโบราณมักเรียกว่สอุกาฟ้าเหลือง เพราะฟ้าเหลืองแดงไปทั้งฟ้า ฤดุนี้คงไม่มีมรสุมง่ายๆ แต่ทำไมฟ้าถึงได้สีแปลกประหลาดแบบนี้ตรีทิพย์เองก็ไม่เข้าใจ

แม้จะได้เห็นฟ้าสีแปลก คลื่นที่สงบ แต่ในใจของตรีทิพย์กลับกระวนกระวาย ด้วยวัยที่ล่วงเลยมานานของเธอ และความกร้านต่อโลกทำให้เธอรู้ว่าโลกแห่งนี้มันช่างอ้างว้างเมื่อไม่มีคนที่อยู่ข้างกาย เธออยู่เพื่อรอใครคนนั้น รอว่าสักวันใครคนนั้นของเธอจะกลับมาหาเธอ และมายืนอยู่เคียงข้างกันและกันตราบนานเท่านาน

เรือลำนั้นพาตรีทิพย์มาถึงฝั่งอย่างปลอดภัย เธอเดินถามหาที่พักที่นัทพรบอกกับเธอว่าคือที่ไหนและเดินตามหาอยู่พักใหญ่ ตรีทิพย์สะพายเป้ใบเล็กๆ ที่ใส่เสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุดของเธออยู่ด้านหลัง ระยะหลังๆ ตรีทิพย์ไม่มีสัมภาระอะไรมากมายนักเธอมักไปไหนมาไหนตัวเปล่าด้วยซ้ำไป จะมีก็แค่ชุดใส่ทำงานสองสามชุด กับของใช้ส่วนตัวอีกนิดๆ หน่อยๆ

ตรีทิพย์มายืนอยู่หน้าบ้านพักสองชั้นที่นัทพรได้บอกเอาไว้ ตัวบ้านดูสะอาดน่าอยู่ เธอติดต่อกับเจ้าของที่พักก็รับรู้มาว่านัทพรและเจสันออกเรือไปดำน้ำดูปะการังตั้งแต่เช้าแล้ว เธอก็เลยมาไม่ทัน

ขณะที่ตรีทิพย์กำลังจะเดินเข้าไปยังบ้านพัก เธอก็ได้ยิน เสียงผู้คนโวยวายลั่น และคนเหล่านั้นก็วิ่งกรูกันมาทั้งด้านหน้าและด้านหลัง กระแสน้ำไหลแรง คลื่นลูกยักษ์ถาโถมเข้ามา ตรีทิพย์ที่ยังไม่ทันจะตั้งตัวก็รีบวิ่งเข้าไปในตัวบ้าน

คลื่นยักษ์โหมมาทั่วทุกสารทิศ พัดพาเอาเศษกิ่งไม้ ต้นไม้ รวมไปถึงสังกะสี และตัวบ้านบังกะโลที่ปลูกไม่แข็งแรง มาตามคลื่น ตรีทิพย์ต้องรีบวิ่งและเกาะต้นมะพร้าวเอาไว้ เธอรู้แค่เพียงว่าวินาทีนี้ต้องเอาชีวิตให้รอดเอาไว้ก่อน

เป้บนหลังของเธอเมื่อโดนน้ำเข้าไปเต็มๆ ก็อุ้มน้ำเอาไว้ แถมยังฉุดเธอให้จมลงไปในน้ำ ตรีทิพย์พยายามจะปลดล็อกสายรัดเป้ออกจากตัวเองแต่ก็ทำไม่ได้ แล้วสิ่งที่เธอปลดไม่ออกก็ได้ช่วยปกป้องเธอจากสังกะสีที่ลอยมาตามแรงน้ำที่ดุดันสังกะสีเฉีดยหลังตรีทิพย์ไปเพียงนิดหน่อย เสื้อที่ใส่อยู่ขาดเพราะแรงเฉี่ยวหลังของตรีทิพย์มีเลือดซึมออกมาโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว จะว่าโชคดีก็อาจจะใช่ ที่เธอยังมีเป้เป็นเหมือนเกราะป้องกันภัย แต่เป้ใบนี้ก็อีกเช่นกันที่ทำให้เธอต้องจมลงไปใต้น้ำ ทั้งๆ ที่ว่ายน้ำแข็งและดำน้ำเป็น

เสียงคนร้องลั่นไปหมด ทั้งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เสียงร้องตะโกนบอกให้จับต้นไม้เอาไว้ เสียงเด็กร้องไห้ เสียพ่อแม่ตะโกนหาลูก ระงมไปหมด ตรีทิพย์เห็นผู้หญิงฝรั่งวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังเอาผ้าปูที่นอนมาผูกมัดต่อๆ กัน และโยนมาให้เธอจับเพราะระหว่างต้นมะพร้าวกับตัวบ้านไม่ได้ห่างกันมากนักกะคร่าวๆ ก็ราวๆ สองเมตรได้

เธอพยายามที่จะจับปลายผ้าปูที่นอนที่ผูกเป็นปมอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ และครั้งสุดท้ายเธอก็จับได้ เป็นการจับแบบที่ต้องปล่อยตัวทั้งตัวถาโถมเข้าไปหา และตะกายกลับมาจากต้นไม้เพื่อมายังบ้านพัก กระแสน้ำยังคงแรง ไม่หยุดและไม่มีทีท่าว่าจะลดความแรงลง

วินาทีนี้ เธอต้องอยู่รอด เมื่อตะกายกลับขึ้นมายืนบนระเบียงบ้านสองชั้นนั้นได้ตรีทิพย์ก็ขอบคุณแหม่มวัยรุ่นจากใจจริงของเธอ

“Thank you miss” ตรีทิพย์กล่าวขอบคุณจากส่วนลึกของใจเธอ หากไม่มีแหม่มคนนี้ป่านนี้เธออาจจะตายไปแล้วก็ได้ใครจะรู้

“ไม่เป็นไรค่ะ เพื่อนมนุษย์ด้วยกันไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะคุณ” คำตอบที่ได้กลับมาทำเอาตรีทิพย์รู้สึกสำนึกในบุญคุณของแหม่มคนนั้นและเธอก็ต้องรีบช่วยแหม่มช่วยเหลือคนที่ติดอยู่บนต้นไม้ อีกหลายๆ คนให้เข้ามาอยู่ในบ้านตึกที่แข็งแรงหลังที่เธอยืนอยู่

กว่าจะช่วยมาได้จนหมด น้ำก็ลดระดับลง เศษซากความเสียหายมีให้เห็นเกลื่อนไปหมด คนบาดเจ็บและล้มตายจากกระแสน้ำ มีให้เห็นโดยทั่วไป

เกาะพีพีที่สวยงาม บัดนี้กลายเป็นเกาะแห่งความเศร้า กลายเป็นสุสานของศพที่จมน้ำตาย เด็กๆ กลายเป็นเด็กกำพร้าในพริบตา ตรีทิพย์เห็นผู้เป็นแม่เดินหาและตะโกนเรียกลูกของตัวเองที่ถูกกระแสน้ำพัดหายไปเมื่อตอนที่เดินเล่นอยู่ริมหาด ไม่มีใครคาดคิดว่าคลื่นยักษ์สึนามิจะถล่มเกาะจนราบเป็นหน้ากลอง

ไม่มีใครเคยคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ในเกาะที่แสนสวยงาม ตรีทิพย์ช่วยแหม่มสาวรื้อค้นกองซากเท่าที่จะทำได้ โดยลืมไปด้วยซ้ำว่าเธอเองก็บาดเจ็บจากการโดนสังกะสีบาดเลือดซิบ ชีวิตคนสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งหมด เด็กน้อยนอนจมอยู่ในกองโคลน ตรีทิพย์พยายามช่วยแต่เด็กคนนี้คงสิ้นใจไปหลายนาทีแล้ว เพราะสำลักน้ำตาย

น้ำตาของตรีทิพย์ไหลลงมาทั้งสองแก้มภาพที่เธอเห็นทำให้เธอนั้นสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก กว่าคนที่รอดชีวิตจะมาช่วยกันค้นหาคนที่สูญหายก็สายเกินไป บางคนคอหักตายเพราะแรงคลื่นที่กระแทกให้คนๆ นั้นไปปะทะกับต้นไม้ บางคนขาหัก แขนหัก

นั่นยังน้อยไปด้วยซ้ำเพราะบางคนโดนไม้เสียบเข้าไปที่ต้นขา ต้นแขน ลำตัวและอื่นๆ แม้กระทั่งคนที่จะมาช่วยเหลือก็ยังไม่แน่ใจว่าจะช่วยได้หรือไม่

การช่วยเหลือผู้คนบนเกาะก็เป็นไปตามยถากรรม เท่าที่คนที่ยังมีชีวิตมีแรงจะช่วย ผู้ชายช่วยกันทำแคร่หามคนเจ็บและคนป่วยไปไว้ในที่ปลอดภัย ไม่มีน้ำสะอาดไม่มีไฟฟ้าใช้ หยูกยาก็มีเท่าที่ยังเหลืออยู่ ยาแก้ปวดในเป้ของตรีทิพย์ที่อยู่ในขวดไม่ละลายไปกับสายน้ำที่ท่วมเพราะยังไม่ทันได้เปิดซิลที่ปิดเอาไว้ ยากระปุกนั้นถูกนำมาใช้กับคนมากมายเพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดแต่ก็ไม่พอที่จะช่วยเหลือคนบาดเจ็บมากมายนั้นได้

แหม่มสาวดูแลคนป่วยอยู่ไม่ห่าง ไม่ว่าใครเธอก็ช่วยปฐมพยาบาลไว้ได้ ตรีทิพย์เองก็เป็นลูกมือคอยช่วยเหลืออยู่ไม่ห่างกายแหม่มสาวคนนั้นเช่นกัน

วูบหนึ่งในห้วงความคิดของตรีทิพย์เธอคิดถึงเวียงกุมกาม เมืองที่โดนกระแสน้ำพัดรุนแรง คงไม่ได้แตกต่างกัน คลื่นน้ำคงมาแบบนี้และจบลงแบบนี้เช่นกัน เธอไม่คิดว่า เธอจะได้เห็นเหตุการณ์แบบนี้อีกครั้ง นี่ถ้าหากเธอไม่ได้มาตามคำเชิญของนัทพรเพื่อนรักเธอจะได้มาพบเจอเหตุกราณ์แบบนี้ซ้ำสองอีกหรือไม่ มันอาจจะเป็นแค่การคาดเดาหรืออะไรสักอย่างที่เธอเองก็ตอบไม่ถูก

เวลาล่วงเลยมาจนเย็นนัทพรและเจสันวิ่งหน้าตื่นกลับมายังบ้านพัก นัทพรและเพื่อนๆ ที่ดำน้ำอยู่ในทะเลไม่มีใครรู้ว่าเกิดคลื่นยักษ์ถล่มเกาะ ในทะเลราบเรียบสงบมีแค่กระแสน้ำที่ไหลแรงเท่านั้น นัทพรไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายจนเธอไม่ทันตั้งตัวแบบนี้

ในใจคิดห่วงลูกสาวคนโตและเพื่อนรักของเธอที่จะตามมาสมทบกันเมื่อคืนตรีทิพย์โทรบอกว่าจะมาเรือเที่ยวเช้าเธอภาวนาให้ตรีทิพย์ยังมาไม่ถึงตอนที่คลื่นถล่มเกาะไม่อย่างนั้นเธอจะต้องโทษตัวเองที่ทำให้เพื่อนต้องมาบาดเจ็บหรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตเพราะเธอเป็นคนชักชวน

ไหนจะลูกสาวคนโตที่ไม่ได้ตามเธอมาดำน้ำเพราะพึ่งจะเดินทางมาถึงเมืองไทยและอยากจะพักผ่อนอีกเล่า มันเป็นการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่นัทพรไม่อยากจะให้เกิด น้ำตาเสียงร้องไห้คร่ำครวญปิ้มว่าจะขาดใจของแม่ที่ตามหาลูกไม่พบ สภาพเกาะที่เสียหายไปมากมาย

จากเกาะสวยงามกลายเป็นเกาะขยะ จากเกาะที่สวยงามกลายมาเป็นสุสานของคนนับร้อยนับพันชีวิต นัทพรวิ่งกลับไปยังที่พักที่อยู่กลางเกาะแบบไม่คิดชีวิตและเมื่อมาเห็นสภาพของที่พักเธอเองก็รู้สึกโล่งใจที่ยังอยู่ดี แต่เมื่อมองไปก็เห็นตรีทิพย์กับลูกสาวคนโตของเธอกำลังช่วยกันปฐมพยาบาลคนเจ็บอยู่ก็นรู้สึกโล่งอก

“เรนลูกแม่ปลอดภัยดีใช่ไหมลูก” นัทพรส่งเสียงเรียกลูกสาวของเธอมาแต่ไกล และวิ่งไปโอบกอดลูกสาวสุดที่รักของเธอ

“เรนปลอดภัยดีค่ะแม่ไม่ได้เป็นอะไร แต่คนเหล่านี้สิคะท่าทางจะแย่” เรนชี้ให้แม่ของตนดูคนเจ็บและคนป่วยที่นอนเรียงรายอันอยู่เต็มห้องด้านล่างของที่พัก

“ตรีแกไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหมเพื่อน” เมื่อทักทายลูกสาวเรียบร้อยแล้ว นัทพรก็หันไปถามเพื่อนรัก

“ไม่เป็นอะไรนัทฉันสบายดี” แต่เมื่อนัทพรเห็นรอยเลือดของตรีทิพย์ก็ต้องตกใจ เพราะด้านหลังของตรีทิพย์มีรอยเลือดไหลออกมาเป็นทาง

“นี่แกหลังแกมีเลือดออก” และเมื่อเปิดเสื้อของตรีทิพย์ออกดูก็เห็นว่าแผ่นหลังของตรีทิพย์มีรอยโดนอะไรสักอย่างบาดเป็นทางยาว โชคดีที่ไม่ลึกมากนัก จึงไม่ทำให้ตรีทิพย์ถึงกับต้องล้มหมอนนอนเสื่อแบบคนเจ็บคนอื่นๆ

“ไม่เจ็บเหรอไอ้ตรี แผลยาวมากๆ เลยนะแก” นัทพรถามเพื่อนรักด้วยความเป็นห่วง

“ไม่เจ็บหรอกเพื่อนแค่นี้เล็กน้อย ว่าแต่แกเถอะเพื่อนปลอดภัยดีใช่ไหม” ตรีทิพย์ยังคงมีน้ำใจไถ่ถามเพื่อนรักที่ตามมาสมทบภายหลัง

“ปลอดภัยดีตรีอยู่ในน้ำไม่รู้เลยด้วยซ้ำไปว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ขอโทษจริงๆ นะตรีที่ฉันชวนแกมาเจอะเจอเรื่องแบบนี้” นัทพรเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกผิดที่เธอเป็นต้นเหตุให้เพื่อนรักต้องมาเจ็บตัวโดยที่เธอไม่ได้ตั้งใจ

“ไม่เป็นไรเพื่อนฉันปลอดภัยดี ไม่ต้องห่วง ชีวิตของฉันคงถูกกำหนดให้ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้แกไม่ต้องห่วงฉันแกร่งกว่าที่แกคิดไว้ แต่ตอนนี้แกกับเจสันแข็งแรงที่สุด แกช่วยฉันพาคนเจ็บขึ้นไปนอนข้างบนหน่อยสิ เด็ก มานอนอยู่แบบนี้เสื้อผ้าเปียกปอนไปหมดจะเป็นปอดปวมเอา”

และทั้งสี่คนก็ช่วยกันทยอยอุ้มเด็กๆ ขึ้นไปยังชั้นสองของตัวตึก เพื่อให้ได้นอนพักในที่ไม่อับชื้นมากนักและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับเด็กๆ โชคดีอีกครั้งที่บ้านพักแห่งนี้ตุนน้ำสะอาดเอาไว้ด้านบนที่พัก และยังพอจะมีเตาแก๊สสำหรับต้มน้ำในชั้นบนอยู่บ้างดังนั้นการทำความสะอาดบาดแผลจึงมีอุปกรณ์ที่หาได้จากในบ้าน

ไฟฟ้าไม่มีใช้ เครื่องปั่นไฟไม่ทำงาน เทียนถูกนำมาใช้อย่างประหยัด เสียงร้องขอความช่วยเหลือยังดังออกมาเป็นระยะๆ ตรีทิพย์แทบจะหมดแรงเพราะตั้งแต่เช้าเธอยังไม่ได้กินอะไร ด้วยความที่รีบออกมาจากฝั่งและกลัวว่าจะเมาเรือก็เลยไม่ได้กินอะไรรองท้อง

ตอนนี้ท้องเริ่มร้องโครกคราก ตรีทิพย์เปิดกระเป๋าเป้ใบเล็กของเธอ ในนั้นชุ่มไปด้วยน้ำ แต่ก็ยังพอมีบางอย่างที่จะใช้ได้ เธอจัดการเอาเสื้อผ้าออกมาผึ่งลม และหยิบแครกเกอร์กับช็อกโกแลตที่เธอมักติดตัวเป็นประจำออกมา และเมื่อกำลังจะเอาเข้าปากก็นึกขึ้นได้ว่าเด็กๆ ก็ยังไม่ได้กินอะไรเหมือนกัน เธอจึงแบ่งของเหล่านั้นให้เด็กๆ ได้กินประทังชีวิตไปก่อนที่จะได้รับความช่วยเหลือจากคนบนแผ่นดินใหญ่

...........................

กว่าความช่วยเหลือจะถูกส่งมา กว่าคนเจ็บจะถูกลำเลียงไปบนแผ่นดินใหญ่ก็ใช้เวลาเกือบสองวัน คนบนเกาะเริ่มหมดแรง คนเจ็บที่อาการหนักถูกส่งไปด้วยเรือท่องเที่ยวที่เหลืออยู่และคนที่เหลือก็ต้องรอความช่วยเหลือจากหน่วยงานราชการ เรือรบถูกส่งมาลำเลียงผู้คนกลับไปแผ่นดิน ตรีทิพย์และครอบครัวของนัทพรเองก็เช่นกัน เมื่อกลับถึงฝั่งได้ สภาพของฝังก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากบนเกาะ แถมผู้คนก็ยังเจ็บและตายมากกว่าคนบนเกาะด้วยซ้ำไป จังหวัดชายทะเลทางด้านตะวันตกทุกแห่งโดนถล่มด้วยคลื่นยักษ์ทั้งสิ้น

จากเมืองที่เคยเป็นแหล่งท่องเที่ยวมีแต่รอยยิ้มและความสนุกสนานกลับกลายเป็นเมืองแห่งน้ำตา ของผู้คนตรีทิพย์และนัทพรกลับมากรุงเทพในวันรุ่งขึ้น

“ตรีแกจะพักที่ไหน” นัทพรเอ่ยถามขึ้นเพราะเธอเห็นว่าตรีทิพย์ยังคงบาดเจ็บอยู่แต่ก็ยังคงทำเก่งปากแข็งไม่ขอรับความช่วยเหลือจากเธอซึ่งเป็นเพื่อนสนิท

“ฉันอยากกลับบ้านอย่างน้อยที่นั่นก็เป็นบ้านฉัน”

“แกไม่มาอยู่บ้านฉันก่อนเหรอตรี ที่บ้านแกจะมีใครดูแล”

“พี่อ้อยก็ยังอยู่เดี๋ยวให้พี่อ้อยมาดูแลก็ได้”

“พี่อ้อยแกแก่แล้ว จะให้เค้ามาดูแลแกได้ไง เอางี้ดีกว่า เรนลูกไปดูแลป้าตรีหน่อยนะลูก ถือว่าทำเพื่อแม่” นัทพรหันไปบอกลูกสาวคนโตของเธอ

“ค่ะแม่” เรนตอบรับอย่างว่าง่าย

“อย่างน้อยตอนเรายังเล็กๆ ป้าเค้าก็คอยอาบน้ำอุ้มเราเดินป้อนข้าวป้อนน้ำ หากเรนไม่คิดอะไรมากก็ดูแลป้าแทนแม่เด้วยนะลูก”

“ไม่ต้องห่วงค่ะแม่ เรนจะทำตามที่แม่บอกรับรองได้ไว้ใจเรนเถอะนะคะ” เรนตอบรับคำของนัทพรเป็นมั่นเป็นเหมาะ

รถแท็กซี่นำตรีทิพย์และเรนกลับมาถึงบ้านหลังเล็กของตรีทิพย์และเรนก็พยุงตรีทิพย์ให้เดินเข้าไปยังบ้านหลังเล็กๆ หลังนั้น ก่อนที่พี่อ้อยจะวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหาและถามอาการของตรีทิพย์เพราะก่อนหน้าที่ตรีทิพย์จะไปได้บอกกับพี่อ้อยไว้ว่าเธอจะไปเกาะพีพี เมื่อได้ข่าวคลื่นยักษ์ถล่มทางใต้ใจพี่อ้อยก็ไม่เป็นสุขเที่ยวโทรหาโทรตามว่ามีคนป่วยหรือบาดเจ็บที่ชื่อตรีทิพย์หรือไม่แต่ก็ไร้วี่แวว

เมื่อพี่อ้อยเห็นตรีทิพย์กลับมาด้วยความปลอดภัยเธอก็โล่งใจ

“ตามหมอไหมตรี” พี่อ้อยถาม

“ไม่เป็นไรพี่อ้อยตรีไม่ได้เป็นอะไรมากแค่เจ็บนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น อ้อนี่เรนลูกของนัทเพื่อนตรีเองไม่ต้องห่วงนะพี่อ้อยกลับไปพักผ่อนเถอะ” เมื่อตรีทิพย์แนะนำแหม่มสาวให้พี่อ้อยได้รู้จักพี่อ้อยก็เบาใจเพราะเธอไม่อยากจะฟุ๊ดฟิตฟอไฟอะไรกับฝรั่งมากนัก เพราะหากเป็นเช่นนั้นมืองของเธอก็คงเป็นระวิงเนื่องจากพี่อ้อยหูไม่กระดิกภาษาฝรั่ง ภาษาส้ม หรือมะขามอะไรใดๆ ทั้งสิ้น และยิ่งเห็นท่าทางการยกมือไหว้และคำกล่าวทักทาย

“สวัสดีค่ะ” ของแหม่มฝรั่งอย่างชัดเจนเต็มสองหูแล้ว พี่อ้อยก็ยิ่งเบาใจไปมากกว่าเดิม

เรนจัดที่นอนให้กับตรีทิพย์เสร็จแล้วก็ออกมาเดินดูรูปต่างๆ ที่แขวนอยู่ตรงข้างฝาบ้าน เธอมองรูปของแม่ตัวเองและตรีทิพย์เมื่อยังอยู่ในวัยเรียน และเธอก็รู้ว่าแม่ของเธอกับตรีทิพย์คงจะสนิทกันมากถึงขั้นเรียกได้ว่า “เพื่อนซี้” แม้ว่าแม่ของเธอจะจากไปอยู่เมืองไกลมานานแล้ว แต่ทั้งสองคนก็ยังติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ

มีรูปของเด็กน้อยสามคนนั่งขัดสมาธิเรียงกันอยู่คนหนึ่งคือแม่ของเธอ อีกคนหนึ่งคือตรีทิพย์แล้วอีกคนหนึ่งเล่าเป็นใครกัน

“คงจะเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันสินะ” เรนพึมพำกับตัวเอง

และสายตาของเรนก็ไปพบกับรูปถ่ายของเมืองโบราณเมืองหนึ่งและรูปวาดลายเส้นของเมืองนั้นติดอยู่ตรงที่ผนังอีกมุมหนึ่ง

“เมืองอะไรกันนะสวยจังเลย”

“เวียงกุมกามนะเรน” เสียงของตรีทิพย์เอ่ยบอกกับหลานสาว

“ชื่อแปลกดีนะคะเวียงกุมกามอยู่ที่ไหนคะ” เรนหันมามองต้นเสียงและยิ้มเอียงคอมองตรีทิพย์ด้วยดวงตาเปล่งประกายของความอยากรู้อยากเห็น

“เชียงใหม่คะ เมืองเก่าที่ล่มสลายหายสาบสูญมานานแล้วพึ่งจะพบได้ไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา” ตรีทิพย์อธิบาย

“ดูคุณป้าจะชอบเมืองนี้มากนะคะเห็นมีรูปเยอะไปหมดเลย”

เรนมองรูปหลายๆ รูปคงเป็นฝีมือถ่ายของตรีทิพย์และก็ทุกรูปดูสวยงามแตกต่างกัน บางรูปเป็นภาพเจดีย์ บางรูปเป็นภาพบ้านเรือนไทย มีรูปที่ถ่ายไว้ตั้งแต่ยังไม่ได้บูรณะปรับปรุง จนถึงการบูรณะจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว และยังเป็นภาพถ่ายทางอากาศในมุมสูง รวมไปถึงแผนผังของตัวเมืองอีกด้วย

“คุณป้าวาดเองถ่ายเองถ่ายเองหรือเปล่าคะ” เรนหันไปถามตรีทิยพ์อีกครั้ง

“ค่ะ ป้าถ่ายเองวาดเองทั้งหมด”

“คุณป้าเก่งจังเลยวันหลังสอนเรนบ้างนะคะเรนอยากวาดรูปเก่งๆ แบบนี้บ้างแต่ฝีมือเรนไม่เอาไหนเลย แม่บอกว่าแค่ให้สอบผ่านก็พอแล้ว”

“ศิลปะอยู่ที่ใจนะเรน หากเราชอบเราก็ทำได้ หากเราไม่ชอบไม่มีแรงบันดาลใจ ก็คงทำได้ยาก”

“ว้าแบบนี้เรนก็อดเป็นศิลปินเลยสิคะ แย่งจังเลยเนอะ”

“ไม่หรอกเรน ถ้าเรนทำในสิ่งที่เรนถนัดป้าว่าดีที่สุดแล้วนะ”

“แบบนี้เรนต้องขอเสนอตัวเป็นลูกศิษย์ของป้าตรีแล้วสิคะนี่” เรนเข้ามาเกาะแขนเกาะไหล่ตรีทิพย์เพื่อต้องการเอาอกเอาใจตรีทิพย์ให้สอนวิชาวาดรูปด้วยลายเส้นสวยๆ ให้กับเธอ

“ดูเข้าสิทำเป็นลูกแมวไปได้ โตแล้วยังอ้อนป้าเป็นเด็กๆ ไปได้ ไม่คิดเลยนะว่าเด็กทารกตัวน้อยๆจะกลายเป็นสาวสวยขึ้นมาได้ในเวลาไม่กี่ปี” ตรีทิพย์แอบบ่นหลานสาวของตัวเอง

“ก็แหมป้าสามขาเรนเป็นคนนะคะจะให้ตัวเท่าลูกมดลูกแมวได้ไง กินเข้าไปก็ต้องโตขึ้นบ้างสิคะ อีกอย่างเรนก็อยากเป็นเด็กบ้างสิคะป้าสามขาก็แม่ไม่ให้เรนอ้อนแบบนี้นี่นาแม่บอกว่าเรนเป็นพี่คนโตต้องดูแลน้อง แต่แม่เคยบอกเรนว่าตอนเรนเป็นเด็กๆ เรนติดแล้วก็อ้อนป้าสามขาอย่างกับอะไรดี พอเวลาป้าสามขาไม่อุ้มเรนก็จะร้องไห้งอแง แต่พอป้าสามขาอุ้มเรนก็หยุดร้องไห้ไปซะเฉยๆ อยากรู้จังว่าถ้าป้าสามขาอุ้มเรนตอนนี้จะเป็นยังไงน้อ อิอิ”

ตรีทิพย์ได้ยินสำเนียงและคำเรียกขานของเรนแล้วก็ให้นึกถึงฝน หญิงคนที่เธอรัก ที่มักจะเรียเธอว่าคุณสามขา และเธอก็สลัดความคิดออกก่อนที่จะกลับไปต่อล้อต่อเถียงกับเรนหลานรัก

“ถ้าป้าอุ้มเรนตอนนี้ป้าคงหลังหักหันมาเดินสามขาแบบที่เรนว่าแน่ๆ เลยนะ” ตรีทิพย์กระเซ้าเรนที่ตัวสูงกว่าเธอมากมายแต่กลับออดอ้อนเธอราวกับว่าเธอเป็นแม่ของเรนก็ไม่ปาน

“ถ้าอย่างนั้นเรนจะอุ้มป้าสามขาของเรนไปทุกที่เลยดีไหมคะ เวลาเรนไปไหนมาไหนก็อุ้มป้าสามขาไปด้วยคนดูดีพิลึก” เรนเงยหน้าขึ้นสบตาของตรีทิพย์

“ทำได้จริงรึ เด็กน้อย” ตรีทิพย์ขยี้ผมของเรนเล่นไปมา เพราะเรนกอดเธอและซบอยู่ที่หัวไหล่ของเธอ เหมือนลูกแมวเชื่องๆ ตัวหนึ่ง ที่คอยหยอกล้อเจ้าของของมันเอง

“ทำได้สิคะป้าสามขา เรนพูดคำไหนคำนั้นจริงๆ นะ” เรนทำท่าทางขึงขังและมาดมั่น

“ราคาคุยสิไม่ว่า” ตรีทิพย์บ่นและยังมองเรนด้วยหางตา เป็นเชิงบอกว่าเธอไม่อยากจะเชื่อคำพูดของเรน

“เอางี้เลยดีกว่าเรนอุ้มป้าสามขากลับไปนอนเลยดีกว่าไม่ยอมหลับยอมนอนออกมายืนดูรูปอยู่ได้เดี๋ยวก็ไข้ขึ้นอีกหรอก” ขาดคำเรนก็อุ้มตรีทิพย์ลอยจากพื้นและเดินไปที่ห้องนอนของตรีทิพย์ก่อนที่จะบรรจงวางตรีทิพย์ลงบนที่นอนอันแสนจะนุ่ม และคลี่ผ้าห่มคลุมให้ แถมท้ายด้วยจุมพิตที่หน้าผาก

“Good night baby” เรนทำราวกับว่าตรีทิพย์เป็นเด็กเล็กๆ ที่ต้องคอยดูแลให้หลับนอน

ตรีทิพย์เอื้อมมือไปจับมือของเรนก่อนที่จะพูดว่า

“ฝันดีนะเด็กน้อย”

“เช่นกันค่ะป้า” แล้วเรนก็เดินจากไป

..............................

คืนนั้นตรีทิพย์นอนหลับฝันดี เธอฝันเห็นพ่อกับแม่มายืนยิ้มให้กับเธอ ฝันเห็นพ่ออุ้ยหนานคำส่งรอยยิ้มมาให้ ฝันเห็นเจ้านางแสงคำที่เธอไม่เคยฝันถึงมาหลายสิบปี ทุกความฝันยังกระจ่างชัดในความทรงจำของตรีทิพย์

“การรอคอยสิ้นสุดแล้วนะคุณสามขา” เสียงของเจ้านางเปล่งดังกังวานไปทั่วในความรู้สึกของตรีทิพย์

“หมายความว่ายังไงฝน บอกตรีหน่อยเถอะ มันคืออะไร” ตรีทิพย์พยายามถามถึงความหมายที่ฝนได้บอกกับเธอ

“การรอคอยของเราสองสิ้นสุดแล้ว ยิ้มรับวันใหม่ได้แล้วนะคะคนดี” รอยยิ้มอันอบอุ่นของเจ้านางสายทิพย์ทำให้ทั่วทั้งบริเวณที่มืดมิดสว่างจ้าไปหมด

แล้วร่างของเจ้านางสายทิพย์ก็จางหายไป มันเหมือนกับหัวใจของตรีทิพย์สลายไปตามร่างที่ลางเลือนนั้น

……………………….

ตรีทิพย์สะดุ้งตื่นหลังจากที่เธอฝันถึงเจ้านางสายทิพย์ และก็ต้องตกใจเมื่อมือของเธอเกาะกุมมือของใครบางคนเอาไว้ ในความมืดเธอคิดถึงฝน คนที่พึ่งมาเข้าฝันเธอ

“ฝนเหรอ ฝนใช่ไหม” ตรีทิพย์พูดผ่านความมืดและความเงียบ

“ตื่นแล้วเหรอคะป้าสามขาเรนเองค่ะไม่ใช่ฝน” เสียงที่ส่งผ่านกลับมาทำให้สติของตรีทิพย์กลับคืนมาเช่นกัน

“ป้าสามขาเป็นไข้เรนก็เลยมาเช็ดตัวให้น่ะค่ะ แผลที่หลังคงอักเสบเลยทำให้ไข้ขึ้น” เรนบอกกับตรีทิพย์

“อ๋อค่ะ” ตรีทิพย์พยักหน้ารับ

“นอนพักต่อเถอะนะคะคนดี พรุ่งนี้จะได้หายเร็วๆ” เสียงของเรนที่ตรีทิพย์ได้ยินนั้นแผ่วเบาและบวกกับความอ่อนเพลียทำให้ตรีทิพย์หลับลงไปอย่างง่ายดายและเธอก็ยังกุมมือของเรนเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

เมื่อตรีทิพย์หลับลงอีกครั้งเรนก็ลุกจากข้างเตียงเดินออกไปเตรียมอาหารเช้าให้กับคนป่วยข้าวต้มร้อนๆ แบบที่แม่เคยทำให้เธอกินคงช่วยให้คนป่วยหายไข้ได้เร็วขึ้น แม้ไม่เคยทำแต่ก็คงไม่ยากเย็นอะไร ก็แค่ข้าวต้มแค่นั้นเอง

....................

ตรีทิพย์ตื่นขึ้นมาตอนสายๆ เธอไม่เห็นเรนอยู่ในห้องของเธอ เด็กน้อยคงไปเดินเล่นซุกซนหาอะไรทำแล้วตอนนี้ เธอเองรู้สึกถึงความผูกพันที่มีให้กับลูกของเพื่อนคนนี้มากมายนัก อาจเป็นเพราะเธอเคยเลี้ยงเรนในตอนที่พึ่งจะคลอดออกมา หรืออาจเป็นเพราะเรนคือลูกสาวแท้ๆ ของเพื่อนสนิทคนเดียวที่เธอเหลืออยู่บนโลกใบนี้

เมื่อตรีทิพย์อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เดินออกมานอกห้องเห็นเรนยังง่วนอยู่ในครัวก็เดินไปยืนมองท่าทางเก้ๆ กังๆ ของเรน

“ทำอะไรอยู่เรน”

“อุ้ยตกใจ!!! โธ่ป้าสามขามาให้ซุ่มให้เสียงกันบ้างเลยนะคะเรนตกใจหมดเลย” เรนยกมือที่ยังมีทัพพีอยู่ด้วยขึ้นมาทาบอกของตัวเองจนน้ำข้าวที่ติดอยุ่ตรงปลายทัพพีกระเด็นเลอะไปหมด

“ป้าก็มาให้เสียงก่อนแล้วนะ แล้วนี่เราทำอะไรครัวป้าถึงได้เลอะเทอะไปหมดแบบนี้” ตรีทิพย์มองดูสภาพครัวของเธอที่เลอะไปด้วยรอยน้ำข้าวที่กระเด็นเต็มไปหมด

“แฮะๆๆ เรนต้มข้าวต้มค่ะป้า”

“มานี่เถอะเดี๋ยวป้าทำเอง” ตรีทิพย์แย่งทัพพีมาจากมือของเรนและลงมือทำเอง

เรนมองท่าทางทำกับข้าวของตรีทิพย์ที่ดูเหมือนจะทำอะไรดูง่ายไปหมด เธอยืนต้มข้าวมาตั้งนานมันดูยุ่งยากมากมาย แต่ทำไมตรีทิพย์ถึงได้ทำอะไรแล้วดูง่ายดายอย่างนี้ก็ไม่รู้

“ทำไมมันดูง่ายจังคะป้าสามขา”

“ก็เราไปกวนมันเปิดไฟแรงไป น้ำข้าวก็กระเด็นออกมาหมดสิเรน แล้วนี่เราต้มข้าวต้มจะกินกับอะไร”

“แฮะๆ ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” เรนยักไหล่แบบเดียวกับที่เด็กๆ ฝรั่งทั่วไปทำกัน

“เอางี้ งั้นไปหยิบหมูสับในตู้เย็นมาให้ป้า วันนี้เราจะกินข้าวต้มหมูสับกันดีไหมเรน”

ตรีทิพย์เสนอและเรนก็ทำตามอย่างว่าง่าย จากการที่เธอตั้งใจต้มข้าวต้มให้คนป่วยกินแต่กลับกลายเป็นคนป่วยต้องมาทำข้าวต้มให้เธอกิน เรื่องเล็กๆ ก็เลยต้องรบกวนตรีทิพย์ที่พึ่งจะฟื้นจากไข้ให้มาทำกับข้าวให้เธอแทนที่เธอจะทำให้ แต่ข้าวต้มฝีมือของตรีทิพย์อร่อยถูกปากของเรนยิ่งนักเห็นได้จากการที่เธอตักเป็นถ้วยที่สามแล้วของมื้อนี้

... จบบทที่ ๑๐ …



Create Date : 13 ตุลาคม 2551
Last Update : 13 ตุลาคม 2551 15:10:41 น. 0 comments
Counter : 346 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.