It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องสั้นแนวยูริ : กาลนาน บทที่ ๒

บทที่ ๒

ตั้งแต่อมราเพื่อนรักได้จากไป ตรีทิพย์ก็ต้องตั้งใจเรียนด้วยตัวของเธอเอง เธอพึ่งรู้ถึงศักยภาพของตัวเองว่าเธอนั้นสามารถที่จะเรียนโดยที่ไม่ตกได้ ทำการบ้านเองได้ แถมยังดำรงชีวิตอยู่โดยที่ไม่มีอมราได้อีกด้วย

เมื่อเวลาผ่านไป ตรีทิพย์เข้าเรียนที่คณะโบราณคดี เพราะเธอมีความฝังใจกับเรื่องบ้านเรือนไทยหลังเก่าในความฝันของตัวเธอเองและอยากจะรู้ว่าเรื่องที่เธอฝันซ้ำๆ ซากๆ อยู่หลายปีนั้นมันหมายถึงอะไร

“กริ๊งๆๆ” เสียงโทรศัพท์ในบ้านของตรีทิพย์ดังขึ้น

“สวัสดีค่ะตรีทิพย์พูดสายคะ”

“ฉันเองนะยายตรีจำได้หรือเปล่า”

“ฉันไหน”

“ก็ฉันไง”

“เอ๊าก็จำเสียงไม่ได้ จะให้รู้ได้ไงว่าฉันไหน”

“ก็ฉันนัทไงแกทำเป็นจำเสียงสาวสวยไม่ได้เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยว”

“เอ๊านัทเหรอ กลับมาเมื่อไหร่ไม่เห็นบอกไหนว่าไปอียิปต์”

“เออไปมาแล้วกลับมาแล้วล่ะแก เออจริงสิลืมไปฉันจะเอาของฝากมาให้แก ว่างจะมาเอาไหมล่ะนี่”

“ว่างสิไม่ได้ออกสนามว่างอยู่แล้ว”

“งั้นเดี๋ยวฉันไปรับแกนะ จะเอาของไปให้แกกับแม่แก่ด้วย ผ้างี้สวยเชียว”

“เออรอแล้วกันเพื่อน”

“อึดใจจะบินไปหาโอเชบายๆๆ เพื่อน”

ตรีทิพย์วางโทรศัพท์จากนัทพรยายตัวจิ๋วเพื่อนที่หลังจากอมราได้จากเธอไป เธอเองก็กลับมาสนิทกับนัทพรเพื่อนตัวจิ๋วที่เป็นปากเสียงกันตั้งแต่เริ่มรู้จักกันคนนั้น นัทพรเพื่อนคนนี้มีอาชีพเป็นไกด์นำเที่ยวทั้งเมืองไทยและเมืองนอก และหลายครั้งที่กลับจากการท่องเที่ยวนัทพรจะมีของแปลกๆ ติดไม้ติดมือมาฝากตรีทิพย์เสมอๆ

และไม่กี่อึดใจนัทพรก็มาปรากฏอยู่ที่หน้าบ้านของตรีทิพย์พร้อมกับรถเก๋งคันหรูของเธอเอง ตรีทิพย์เดินมาเปิดประตูรั้วให้กับนัทพร

“นี่อย่าบอกนะว่าแกเหาะมาจริงๆ”

“จะบ้าเหรอแก ฉันใกล้ถึงบ้านแกแล้วต่างหากเล่าถึงได้โทรเข้ามา”

“แล้วนี่ถ้าเกิดว่าฉันไม่อยู่แกก็แห้วกลับไปนะสิ”

“เปล๊าคนอย่างฉันไม่มีทางแห้วเด็ดขาดแกไม่อยู่ฉันก็ไปหาแม่แกสิจะมารอแกทำไมละ”

“เออจริงของแก”

“นี่จะไม่ให้เพื่อนเข้าบ้านเลยหรือไงยะจะต้อนรับฉันที่ประตูบ้านนี่เหรอยายตรี”

“เอลืมไปโทษทีเพื่อนปะเข้าบ้านกินน้ำกินท่าก่อนแต่วันนี้ไม่มีขนมนะฉันไม่ได้ซื้ออะไรมาไว้ที่บ้านเลยพึ่งกลับจากไปสนามมาเหนื่อยวะแค่ซักผ้ายังแทบตายคนอะไรไม่รู้ใส่เสื้อผ้าได้สกปรกฉิบ”

“เออเว่ยคนเราบ่นตัวเองก็ได้ด้วยท่าจะบ้า เออนี่แกฉันเอาอินทผลัมมาฝากแกด้วยเอาไปลองกินสิ”

“เหรอดีเดี๋ยวอั้มจะได้ลองกินด้วย”

“แกนี่น้าไอ้อั้มมันก็ตายไปตั้งนานแล้วป่านนี้ไปเกิดแล้วมั๊งแกยังไม่ลืมมันอีกเหรอ”

“ถ้าเป็นแกแล้วแกเป็นฉันแกจะลืมอั้มได้รึเปล่าละไอ้นัท”

“ก็จริงของแกนะถ้าฉันเป็นแกฉันก็คงไม่ลืมไอ้อั้มมันง่ายๆ เหมือนกันก็แกสองคนสนิทกันขนาดนั้น อะเอาไปให้ไอ้อั้มมันกินก่อนแล้วค่อยเอามากินก็แล้วกัน” นัทพรยื่นถุงของฝากให้กับตรีเพชรแล้วตัวเองก็นั่งแปะลงที่เก้าอี้รับแขกตัวเก่าของที่บ้านหลังนี้

ตั้งแต่นัทพรรู้จักกับตรีเพชรและอมราเมื่อสมัยยังเรียนมัธยมต้นมาด้วยกัน เธอเห็นตรีเพชรและอมราสนิทกันเถียงกันมาโดยตลอดจนในวันที่อมราจากไป ตรีเพชรก็เหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ตั้งใจเรียนมากขึ้น การเรียนก็ดีขึ้น แม้ว่าจะไม่เก่งมากมายแต่ก็ไม่เคยต้องซ่อมวิชาไหน
เพื่อนๆ ยังเคยแอบแซวตรีเพชรว่าวิญญาณของอมรามาเข้าสิงตรีเพชรทำให้ตรีเพชรเรียนเก่งขึ้นกว่าเดิม ตรีเพชรซะอีกกลับชอบใจที่เพื่อนๆ แซวเธอแถมยังบอกอีกว่า

“ดีสิถ้าอั้มมาเข้าสิงเราเราจะได้อยู่กับอั้มตลอดไป”

ความคิดของตรีเพชรทำให้เพื่อนๆ หลายต่อหลายคนหวาดกลัวกันไปเป็นทิวแถว จะมีก็แต่เธอเองเท่านั้นที่ไม่ได้หวาดกลัวอะไรเลย เพราะเธอรู้ว่าตรีเพชรนั้นพูดเล่น แต่เมื่อตรีเพชรมาเล่าเรื่องที่ตรีเพชรฝันประหลาดมาติดๆ กันหลายๆ ปีให้กับนัทพรได้ฟัง ตัวเธอกลับอยากจะรู้ว่าเรื่องที่ตรีเพชรฝันมันเป็นเรื่องอะไร ทำไมตรีเพชรถึงได้ฝันซ้ำๆ ซากๆ แบบนั้นได้ และวันนี้เธอเองก็จะพาตรีเพชรไปหาพระให้ดูดวงด้วย

“ไปนะตรีถือว่าไปเป็นเพื่อนเราก็แล้วกัน”

“ไปนะไปได้แต่เราไม่เชื่อหรอกนะนัทว่ามันจะมีจริง”

“เอาน่าไม่ลองไม่รู้ ไม่เชื่อก็ไปนั่งเฉยๆ ก็แล้วกัน อีกอย่างท่านก็เป็นพระคงไม่มานั่งโกหกเราหรอกจริงไหมตรี”

“ก็ตามใจ งั้นเราไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนก็แล้วกันรอเดี๋ยวนะนัท”

“เออไปเถอะเรารอได้”

...................

สองสาวขับรถไปไกลถึงถึงเมืองอุทัยเพื่อไปหาพระที่นัทพรบอกว่าแม่นนักหนา พระรูปนี้ไม่ได้อยู่กุฏิหรูหราอะไร หากแต่เป็นเพียงกุฏิไม้เก่าๆ หลังหนึ่งในวันป่าแห่งนี้เท่านั้น

“พามาอะไรกันวะไอ้นัท น่ากลัวพิลึก” ตรีเพชรมองบรรยากาศรอบๆ บริเวณวัดแล้วทำให้ชวนขนหัวลุก

“ก็เค้าว่าที่นี่ดังนี่นาแกก็ทำเป็นบ่นไปได้ อะรีบๆ ไปเถอะเดี๋ยวหลวงตาท่านจะจำวัดซะก่อน”

“หลวงตาอยู่ไหมหนู” นัทพรถามเด็กวัดที่วิ่งเล่นอยู่หน้ากุฏิหลวงตา

“ไม่อยู่ครับท่านอยู่ในโบสถ์ครับพี่”

“แล้ววันนี้หลวงตาท่านมีแขกหรือเปล่า”

“ไม่มีครับท่านบอกว่าวันนี้ท่านไม่รับแขกอื่น ท่านรอแขกคนสำคัญ”

“อ้าวซวยเลยตู มาวันที่หลวงตาไม่รับแขกซะอีกเรา”

“แต่หลวงตาให้ผมมารอผู้หญิงสองคน ถ้าเป็นพวกพี่ก็เชิญไปหาหลวงตาที่ในโบสถได้เลยครับพี่ ท่านรอพวกพี่มาตั้งแต่เช้าแล้ว มาผมนำทางไป” เด็กวัดพาเดินไปอีกไม่ไกลนักก็เห็นโบสถ์เก่าทำด้วยไม้จะพังแหล่มิพังแหล่ อยู่ด้านหลังของวัด

นัทพรและตรีทิพย์ค่อยๆ เดินเข้าไปข้างในเพราะกลัวว่าการเดินจะทำให้พื้นสั่นสะเทือนและโบสถ์ทั้งหลังจะพังครืนลงมา ทั้งสองคนเห็นหลวงตานั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ก็เลยสะกิดกันเอง

“อย่าไปรบกวนหลวงตาท่านดีกว่านัทเรากลับกันเถอะ”

“เอาน่าไหนๆ ก็มาแล้วเข้าไปกราบท่านก่อนแล้วค่อยกลับก็ยังได้นะแก”

ตรีทิพย์พยักหน้ารับและคลานเข้าไปกราบพระประธานจากนั้นก็ก้มกราบหลวงตาที่กำลังนั่งสมาธิอยู่

“เจริญพรโยม เข้ามาด้วยกันสิทั้งสามคนนั่นแหละ” หลวงตาบอกกับนัทพรและตรีทิพย์

“น้องเค้ามาส่งแล้วก็ไปแล้วค่ะหลวงตา ไม่ได้เข้ามาในนี้หรอกคะ” ตรีเพชรเข้าใจว่าหลวงตาหมายถึงเด็กวัดที่เดินนำทางพวกเธอมาที่โบสถ์เก่าๆ แห่งนี้

“มีเรื่องร้อนใจอะไรรึโยมจึงได้มาหาอาตมา”

“คืองี้ค่ะหลวงตาเพื่อนของนัทหมายถึงตรีนี่นะคะเค้าฝันประหลาดๆ ติดต่อกันมาหลายปีแล้ว นัทก็เลยไม่สบายใจตามเพื่อนไปด้วย เห็นว่านอนฝันร้ายมาหลายปีก็เลยอยากให้หลวงตาทำนายฝันให้”

“ฝันก็เป็นนิมิตอย่างนึงที่จะส่งผ่านหรือถ่ายทอดเรื่องราวอะไรต่างๆ ในภพแปลกๆ มาให้เราได้เห็น โยมเองก็เหมือนกันผู้สมัครรักใคร่กับใครบางคนเอาไว้ตั้งแต่ชาติภพก่อน แต่น่าเสียดายที่ชาติภพนี้เวลามันสั้นมากจนเกินไปก็เท่านั้นเอง”

“ผูกสมัครรักใคร่เลยเหรอคะหลวงตา แหมแสดงว่าเนื้อคู่ของเพื่อนนัทก็เกิดแล้วสิคะ”

“มีเกิดก็มีดับนะโยม”

“อ้าวแบบนี้ก็แสดงว่าเนื้อคู่ของตรีเกิดแล้วตายแล้วเหรอคะหลวงตา”

พระผู้ชราไม่ได้ตอบอะไรนัทพร เพียงตาหลับตาลงอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า

“โยมเองก็เหมือนกันจิตผูกพันกันมันก็เป็นเรื่องดี แต่เรื่องบางเรื่องหากปล่อยวางไปได้มันจะดีมากกว่านี้ ด้วยบุญของโยมเองสามารถที่จะไปเกิดในภพภูมิใหม่ได้ง่ายๆ ปล่อยวางเถอะนะโยมแล้วเรื่องต่างๆ จะดีขึ้น แอบหนีออกมาแบบนี้ไม่ดีหรอกนะโยม”

“หลวงตาหมายถึงใครคะ” ตรีทิพย์เอ่ยถามพระชราที่นั่งหลับตาอยู่เพราะจะว่าหลวงตาบอกเธอทั้งสองคนก็ไม่น่าจะใช่เนื่องจากเธอทั้งสองคนไม่ได้หนีเจ้าหนี้ที่ไหนมา

ตรีทิพย์หันไปมองหน้านัทพรและต่างคนก็ต่างขนลุก ไม่นานนักสายฝนก็โปรยปรายลงมาทั้งๆ ที่ไม่มีเค้าว่าฝนจะตก เสียงฟ้าคำรามกึกก้อง ฟ้าผ่าลงมาที่ยอดต้นตาลทำให้ต้นตาลต้นสูงนั้นไฟลุกท่วมไปหมด ก่อนที่สองสาวจะคิดอะไรเสียงของหลวงตาก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ซนจริงๆ นะโยม ว่างๆ ก็มาทำสมาธิกับอาตมาสิจิตใจจะได้สงบไม่ฟุ้งซ่าน” หมดคำพูดของหลวงตาดูเหมือนว่าฝนจะซาลงและท้องฟ้าก็สว่างสดใสอีกครั้ง

“ฝนหยุดแล้วคะหลวงตางั้นนัทกับตรีต้องของลาหลวงตาไปก่อนนะคะว่าๆ จะมาเยี่ยมหลวงตาใหม่ นี่ปัจจัยคะหลวงตา ถวายให้หลวงตาไว้ใช้” นัทพรล้วงกระเป๋าหยิบซองสีขาวๆ ออกมาจากกระเป๋ายี่ห้องดังและวางลงในพานด้านหน้าที่หลวงตานั่งอยู่

“กลับไปหากเห็นอะไรไม่ต้องแวะรับใดๆ ทั้งสิ้นนะโยม ผ่านแล้วให้ผ่านเลยไป”

“ค่ะหลวงตา งั้นกราบลาหลวงตาเลยนะคะเดี๋ยวจะมืดกลางทางไปซะก่อน”

สองสาวกราบลาหลวงตาแล้วก็ค่อยๆ เดินลงมาจากโบสถ์ไม้เก่าๆ หลังนั้นเหมือนตอนขาที่ทั้งสองเดินขึ้นไป เมื่อมาถึงที่รถทั้งสองก็ต้องงงกับสิ่งที่หลวงตาบอก

“อะไรนะที่หลวงตาบอกเราสองคนนะตรี”

“จะไปรู้เหรอ หลวงตาไม่เห็นพูดอะไรมากมาย ยิ่งพูดฉันก็ยิ่งงงเป็นไก่โดนจิกจนตาแตกเลือดซิบๆ ปะกลับกันเถอะ แกก็อย่าแวะที่ไหนเลยก็แล้วกันทำอย่างที่หลวงตาบอก”

ตรีทิพย์ขับรถไปจนถึงที่เปลี่ยวก็เห็นผู้หญิงท้องแก่คนหนึ่งโบกรถของพวกเธอสองคนให้จอดรับตรทิพย์ชะลอความเร็วลงและกำลังจะจอดแต่ก็มีเสียงของนัทพรห้ามไว้

“เฮ้ยไอ้ตรีหลวงตาบอกแล้วไงว่าห้ามจอด”

“เอ๊าไอ้นัทก็นั่นนะผู้หญิงท้องแก่นะเว่ยเกิดเค้าคลอดลูกขึ้นมาแกจะผ่านไปโดยไม่ช่วยได้ไง”

“เอาน่าไอ้ตรีเชื่อฉันขับเลยผ่านไปเถอะแก”

สิ้นคำพูดของนัทพร ตรีทิพย์ซึ่งเป็นคนขับก็หันหลังกลับไปดูผู้หญิงท้องแก่คนนั้น และก็รู้สึกขัดใจที่เพื่อนรักไม่ยอมให้เธอจอดรถลงไปช่วยเหลือหญิงสาวคนนั้นแถมยังเร่งให้เธอขับรถจากมาอีกด้วย

....................

สองวันต่อมาข่าวหน้าหนึ่งลงข่าวว่าโจรปล้นและฆ่าชิงทรัพย์คนขับรถที่วิ่งผ่านถนนสายที่ทั้งตรีทิพย์และนัทพรขับผ่านมาเมื่อสองวันก่อน นัทพรอ่านข่าวแล้วก็อื้งกันไปพักใหญ่อ เธอคิดว่าเรื่องนี้ต้องขยายและปรึกษากับตรีทิพย์เพื่อนผู้ร่วมเหตุการณ์

“แกที่หลวงตาเตือนเรามันจริงๆ ด้วยสิไอ้ตรี แกอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเข้านี้หรือยัง” นัทพรโทรมาหาตรีทิพย์และพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“เอออ่านแล้วเหมือนกันไม่น่าเชื่อเลยว่าโจรสมัยนี้มันจะแกล้งทำเป็นผู้หญิงท้องแล้วก็ดักปล้นกันเห็นๆ” ตรีทิพย์บ่นถึงพฤติกรรมของโจรที่นับวันจะแปลกมากขึ้นทุกที

“อย่างว่าล่ะแกเอ๊ยไอ้ตรี ฉันไม่อยากนึกเลยวะแกว่าถ้าเราสองคนจอดลงไปดูในวันนั้นเราจะเป็นยังไง ข่าวหน้าหนึ่งคงลงว่าแกกับฉันถูกปล้นฆ่าข่มขืนชิงทรัพย์ คงดูไม่จืดเลยนะแกเอ๊ย ทำไมคนเราถึงได้เอาความสงสารของคนมาเป็นเครื่องทำมาหากินแบบนี้นะแกฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ให้ตายสิเพื่อน” นัทพรบ่น

“นั่นสิไอ้นัท ฉันก็ว่าตอนนี้ฉันชักจะเชื่อที่หลวงตาพูดแล้ว”

“เชื่อเรื่องไหน ถ้าเรื่องที่หลวงตาทักว่าให้เราสองคนผ่านเลยเรื่องที่เราจะเจอกลางทางไปนั่น ฉันเชื่อสนิทใจเลยล่ะแกเอ๊ย”

“ไม่ใช่เรื่องนั้นฉันหมายถึงเรื่องที่มีคู่ผูกสมัครรักใครต่างหากเล่าแก”

“อ๋อที่บอกว่าคู่ของแกเกิดแล้วตายแล้วนะเหรอ ฮ่าๆ แกเอ๊ยยายตรี ที่แท้แกก็ยังอยากมีคู่กับเค้าเหมือนกันเหรอนี่ นึกว่าจะครองโสดไปจนตายกันไปข้างซะอีกเพื่อนเลิฟ” นัทพรส่งเสียงหัวเราะมาพร้อมรอยยิ้ม ตรีทิพย์ไม่อยากจะคิดเลยว่าตอนนี้ใบหน้าของนัทพรคงกลั้นหัวเราะเรื่องที่เธอพูดออกไปนั้นจนปวดแก้มไปหมดแน่ๆ

“เออเรื่องนั้นแหละแกเอ๊ยไอ้นัท แต่จริงๆ ฉันอยากรู้จังว่าคนนั้นเป็นใครทำไม๊ทำไมมาด่วนหนีตายจากฉันไปก่อนต่างหากเล่า”

“แต่ฉันว่าเรื่องที่สำคัญกว่านั้นน่ะไอ้ตรี ฉันอยากรู้เรื่องที่หลวงตาพูดเรื่องคนที่มากับเรามากกว่าที่หลวงตาว่าซนจังเลยนะโยม คนนั้นน่ะมันเป็นใคร แกไม่คิดบ้างเหรอว่าที่หลวงตาพูดหมายถึงใครไอ้ตรี” น้ำเสียงของนัทพรที่ตรีทิพย์ได้ยินนั้นเหมือนๆ กับว่ากำลังเครียดหรือคิดหนักอะไรบางอย่าง

“เออใช่จริงๆ ด้วยสิฉันก็ลืมไปสนิทเลย ก็วันนั้นเราไปกันสองคน นั่งสงบเสงี่ยมเจียมตัวกันไม่ได้ไปเดินเล่นซนที่ไหนแล้วเราสองคนจะไปซนแบบที่หลวงตาว่าได้ยังไงจริงไหมแก”

“ใช่แล้วแก เรื่องนี้แหละที่ฉันอยากรู้นัก แกว่างวันไหนฉันจะไปหาหลวงตาอีก”

“ยังเลยแกเดี๋ยวฉันก็ต้องไปเชียงใหม่ไปขุดกรุที่เดิมอีกหลายเดือนกว่าจะกลับ”

“แล้วนี่แกก็ไม่ยอมใช้มือถืออีกสินะเซ็งจริงๆ เลยเพื่อนฉันโลกเค้าวิวัฒนาการกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว กะอิแค่มือถือเครื่องไม่กี่ร้อยกี่พัน แกนะไม่ยอมจะซื้อมาใช้ ไว้วันไหนฉันไปเมืองจีนเจอเครื่องถูกๆ ฉันจะหิ้วเอามาฝากแกสักเครื่องท่าจะดี”

“อย่าเลยไอ้นัทพวกเครื่องมือเรียกทาสแบบนั้นฉันไม่อยากได้หรอก เห็นเค้าว่ากันว่าใช้มากๆ จะเป็นโรคสมองฝ่อ ฉันยังอยากมีสมองเด้งดึ๊งดั๊ง ยังไม่อยากฝ่อไปในตอนนี้ ไม่ต้องเอามาให้ฉันหรอกนะ ถึงมีฉันก็ไม่ใช้”

“เออไอ้พวกขวางโลก เชิญแกอยู่กับเมืองโบราณของแกต่อไปเถอะ ถ้ากลับมาแล้วก็โทรมารายงานตัวฉันด้วยก็แล้วกันนะเพื่อน” นัทพรเริ่มทีน้ำเสียงงอนๆ ตรีทิพย์เข้าให้แล้ว

“ทำอย่างกับเป็นแม่ฉันอย่างนั้นล่ะ แม่ฉันยังไม่เคยบ่นฉันเหมือนแกเลยนะไอ้นัท”

“เออวะห่วงก็หาว่าบ่น เดี๋ยวแม่ปั๊ดไม่สนใจเลยนี่” ยิ่งพูดน้ำเสียงก็ยิ่งงอนไปเรื่อยๆ จนตรีทิพย์จับใจความได้

“ว่าแต่แกเถอะบินไปบินมาบ่อยๆ ก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน” ตรีทิพย์ตัดบทก่อนที่เพื่อนรักของเธอจะงอนจนเธอต้องเหนื่อยง้อ

“เออ ใช่ๆ ฉันลืมไปเลย ฉันจะไปเชียงรุ้งวันมะรืนอยากได้อะไรไหม” และรู้สึกว่านัทพรจะลืมเรื่องงอนตรีทิพย์ไปในทันทีที่ตรีทิพย์เปลี่ยนเรื่องพูดคุย

“ไม่ดีกว่าแกไปทำงานแกให้สนุกเถอะเพื่อน ไม่ต้องซื้ออะไรมาฝากฉันหรอก”

“เอองั้นแกเองก็เหมือนกันดูแลตัวเองด้วยนะเพื่อนเป็นห่วงรู้ไหม” ปลายน้ำเสียงของนัทพรนั้นก็ยังคงอดจะห่วงตรีทิพย์ไม่ได้

ทำไมตรีทิพย์จะไม่รู้ว่านัทพรมีใจให้กับเธอมาตั้งแต่สมัยยังเรียนด้วยกัน แต่เธอนั้นไม่สามารถมีใครมาทดแทนอมราได้ เธอยังไม่พร้อมที่จะมีคนรักหรือมีใคร ตราบใดที่เธอยังลืมเพื่อนรักสมัยเด็กเพียงคนเดียวของเธอไม่ลง

....................

เสียงจอบขุดลงไปในดินดัง จ๊อบแจ๊บ ทั่วบริเวณลานกว้าง ตรีทิพย์นั่งตรวจของมีค่าที่ขุดพบได้จากกรุบริเวณนั้นอยู่ในเต็นท์ชั่วคราวที่ทางทีมสำรวจโบราณสถานจัดทำขึ้นชั่วคราว

เวียงกุมกามเมื่อใต้บาดาลที่คนทั่วไปไม่อาจคาดเดาได้ว่าพื้นแผ่นดินที่พวกเขาเหยียบย่ำอยู่ทุกวันนั้นจะมีเมืองโบราณใต้บาดาลถูกกลบฝังอยู่ใต้ปฐพีเป็นร้อยๆ ปี จนเมื่อคนในแถบนั้นต้องการที่จะขุดหลุมเพื่อทำห้องน้ำก็เกิดขุดไปพบเศษอิฐเศษหินของกำแพงเมือง และได้แจ้งให้กับเจ้าหน้าที่โบราณคดีได้รับรู้ จากนั้นรูปร่างของเมืองทั้งเมืองก็ปรากฏแก่สายตาของประชาชนทั่วไป

ตรีทิพย์เองก็เป็นหนึ่งในนักโบราณคดีที่มีหน้าที่ขุดซากเมืองทั้งเมืองที่ถูกกลบเพราะน้ำท่วมใหญ่ในครั้งนั้น เธอและผู้เชียวชาญจากสำนักโบราณคดีถูกส่งมาประจำการที่ซากเมืองเก่าเมื่อหลายเดือนก่อน

ชาวบ้านในละแวกนั้นเล่าว่า ทุกคนไม่อยากจะออกไปไหนในยามค่ำคืนเหตุเพราะมักจะได้ยินเสียงคนพูดคุยกันด้วยภาษาโบราณและได้ยินเสียงกรุ้งกริ้งของกระพรวนหรือกระดิ่งอะไรสักอย่างก็ไม่อาจจะรู้ได้ในคำคืนวันพระวันโกน

จนเมื่อทางทีมงานมาขุดค้นก็พบซากของแนวกำแพงเมืองที่อยู่ลึกลงไปเกือบสองเมตร เรียกได้ว่าเมืองใหม่ตั้งอยู่บนแนวเมืองเก่าแทบทั้งสิ้น

ตรีทิพย์ที่กินและนอนอยู่ในบริเวณเวียงเก่าแห่งนั้นยังคงฝันประหลาดเช่นเดิม แต่ฝันในครั้งนี้ชัดเจนกว่าความฝันเมื่อหลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่เห็นในความฝันครั้งใหม่ ตรีทิพย์เห็นตัวเองวิ่งหนีอะไรสักอย่าง เสียงครืนๆ ที่ไล่ตามตรีทิพย์มามันคือเสียงของน้ำ กระเสน้ำได้พัดถล่มบ้านเรือนไทยโบราณหลังนั้นไปจนไม่เหลือซาก

ตัวของตรีทิพย์ถูกกระแสน้ำพัดไปติดกับต้นไม่ใหญ่ เธอร้องเรียกใครสักคนเหมือนว่าจะห่วงใยคนๆ นั้นอย่างมาก จากนั้นไม่นานตรีทิพย์ก็จมลงไปใต้บาดาล เธอกระเสือกกระสนดิ้นรนเอาตัวรอด แต่ด้วยกระแสน้ำที่เชี่ยวกราดยังคงพัดไม่หยุดหย่อน

ตรีทิพย์สะดุ้งตื่นกลางดึกอีกครั้ง ฝันครั้งนี้เหนื่อยยิ่งกว่าครั้งใดๆ ที่เธอเคยฝัน

“สงสัยจะทำงานมากจนเกินไปเลยเก็บไปฝันเป็นตุเป็นตะตรีเอ๊ย” ตรีทิพย์บ่นกับตัวเองก่อนที่จะลุกขึ้นมานั่งมองออกไปนอกที่พักและเปิดตำรากางออกมาหาเรื่องราวของเมืองเก่าที่ชื่อเวียงกุมกามแห่งนี้

...........

พงศาวดารเล่ากันมาว่า เวียงกุมกามเป็นเมืองที่พระยามังรายทรงโปรดให้สร้างขึ้นหลังจากที่พระองค์ทรงกรีฑาทัพจากเชียงรายมายึดเมืองลำพูนจากพญายีบา

เมื่อพระยามังรายทรงหาชัยภูมิได้ใหม่และทรงสร้างบ้านแปงเมืองใหญ่ที่ชื่อว่าเวียงพิงค์ เวียงกุมกามเป็นเมืองที่มีความสำคัญควบคู่ไปกับเวียงพิงค์ จนกระทั่งเข้ายุคเสื่อมตามกาลเวลาเวียงกุมกามก็ค่อยๆ ลดบทบาทลงและเมืองนี้ถูกลบหายไปจากประวัติศาสตร์หลังจากการสร้างเมืองมาได้หลายร้อยปี

ตรีทิพย์ปิดหนังสือตำราลงเธอนั่งกุมขมับ ข้อความในหนังสือเล่มนี้เธออ่านมารอบที่เท่าไหร่ตรีทิพย์ก็จำไม่ได้แล้ว เธอรู้แต่ว่ามันถูกอ่านซ้ำๆ ซากๆ อยู่อย่างนั้นจนตรีทิพย์ท่องจำจนขึ้นใจ เมื่อนอนไม่หลับสิ่งเดียวที่ตรีทิพย์ทำได้ก็คือเดินออกไปดูรอบๆ นอกที่พัก คืนฟ้ามืดมิดไร้แสงจันทร์คืนนี้ทำให้มองเห็นอะไรได้ไม่ชัดเจน

ตรีทิพย์ฉายแสงไฟจากกระบอกไฟฉายกระบอกโตในมือของเธอไปรอบๆ บริเวณ เมื่อหลายคืนก่อนมีคนบุกรุกเข้ามาขุดกรุและได้ทำลายฐานของเจดีย์ไปหลายแห่ง คนของกรมศิลป์ ถูกทุบที่ศรีษะจนสลบเหมือด ซากที่ได้เห็นหลังจากการถูกขโมยขุดกรุนั้นก็คือพระพิมพ์ดินเผาหลายๆ องค์ตกหล่นกระจัดกระจายไปทั่ว

แต่เรื่องที่น่าแปลกสำหรับตรีทิพย์และทีมงานก็คือหลักฐานที่พบนั้นพบพร้อมๆ กับซากกระดูกสัตว์เผาจนป่น พระพิมพ์และกระดูกสัตว์ปะปนกันอยู่รอบๆ ฐานขององค์พระเจดีย์

“ยามหายไปไหนนะไม่มาเดินตรวจเดี๋ยวก็โดนขโมยขุดกรุอีกจนได้น่าเบื่อจริงๆ” ตรีทิพย์พยายามมองหาหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ทางกรมได้จ้างไว้ หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ขโมยเมื่อหลายคืนก่อน แม้ว่าจะเป็นเหมือนวัวหายล้อมคอก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย

หางตาของตรีทิพย์เหมือนจะเห็นอะไรบางอย่างเป็นเงาตะคุ่มๆ

“ใครนะ” ตรีทิพย์ส่งเสียงตะโกนลั่นพร้อมกับคว้าจอบที่วางอยู่ตรงพื้น เป็นโชคดีหรือว่าเป็นความชุ่ยของคนงานที่ขุดโบราณสถานแห่งนี้ก็ไม่อาจรู้ได้

ตอนนี้ก็ถือว่าจอบที่ตรีทิพย์กำแน่นอยู่ในมืออาจเป็นอาวุธช่วยเธอให้รอดพ้นจากอันตรายได้เพราะหากเป็นขโมยเธอจะได้จัดการด้วยจอบอันนี้ก่อนที่จะวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากทีมงานคนอื่นๆ ที่ยังหลับอุตุในกลางดึกคืนนี้

“ผมเองครับคุณตรี” เสียงตอบกลับมาทำให้ตรีทิพย์โล่งอกกับสิ่งที่เธอหวาดผวาในตอนแรกไม่ใช่ใครที่ไหน

“ลุงยามเองหรอกเหรอคะตรีตกใจหมดเลยนึกว่าเป็นพวกขโมยขุดกรุซะอีก” ตรีทิพย์จับที่อกด้านซ้ายของตัวเองอย่างโล่งใจ

“ครับผมเองครับคุณตรี”

“เฮ้อโล่งอกไปที แล้วนี่ลุงไปทำอะไรลับๆ ล่อๆ แถวนั้นล่ะคะลุง”

“พอดีผมได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ก็เลยเดินมาดูน่ะครับคุณ”

“เสียงอะไรเหรอคะลุง”

“เสียงกระดิ่งครับ เหมือนเสียงกระดิ่งชายคาโบสถ์อะไรทำนองนั้น”

“หูฝาดไปหรือเปล่าคะลุงตรีไม่เห็นได้ยินอะไรเลย”

“สงสัยผมจะหูฝาดไปจริงๆ ล่ะครับ เมื่อตะกี้ยังได้ยินอยู่เลยตอนนี้ไม่ได้ยินแล้ว นึกว่าโดนลองของซะแล้วผม”

“เอาน่าลุง เรามาที่แบบนี้อยู่ในที่แบบนี้ก็ต้องมีหูฝาดตาฝาดกันบ้างล่ะค่ะลุง เพราะใจมันคิดไปเองก็เลยทำให้เห็นให้ได้ยินอะไรแปลกๆ แบบนั้น”

“ท่าจะจริงครับผมก็ว่างั้น” ลุงยามดูเหมือนว่าจะเห็นคล้อยตามกับสิ่งที่ตรีทิพย์พูด วันนี้เขาไม่ได้ดื่มเหล้าหรือน้ำเปลี่ยนนิสัยอะไรไปเลยสักรึ๊บ แต่ทำไมหูถึงแว่วได้ยินเสียงกระดิ่งกรุ้งกริ้งได้ตลอดเวลา

ก่อนหน้าที่ตรีทิพย์จะตะโกนถามเขาได้ยินเสียงนั้นชัดเจน แต่เมื่อมีตรีทิพย์มาอยู่ด้วยเสียงนั้นกลับหาไปอย่างไร้ร่องรอย จะว่ามาจากวัดที่อยู่ห่างไปก็ไม่น่าจะใช่ เพราะทางด้านที่เขาอยู่นั้นอยู่เหนือลม หากจะเป็นเสียงแว่วผ่านมาตามลมก็คงจะไม่ใช่ อีกอย่างระยะทางมันก็ไกลกันจนเกินกว่าที่จะได้ยิน

“แล้วนี่ลุงไปเมามาหรือเปล่าล่ะคะ”

“โอ๊ยคุณตรีเข้ายามผมเหรอจะกล้าเมา เดี๋ยวก็โดนไล่ออกกันพอดีงานหายากจะตายไป ขืนเมาเหล้าเข้าเวรผมโดนไล่ออกลูกเมียผมก็แย่นะสิครับคุณ”

“ขอให้จริงเถอะนะลุงไม่ใช่เมาแล้วมาบอกว่าได้ยินโน่นได้ยินนี่ แล้วเรื่องนี้ก็อย่าเที่ยวไปพูดเลยเชียวเดี๋ยวพาลจะไม่มีใครมาทำงานกรุจะโดนขุดไปมากกว่านี้”

“จริงๆ ผมก็อยากจะปรึกษาคุณตรีเหมือนกันนะครับว่าผมเดินยามคนเดียวตอนกลางคืนแบบนี้มันก็ชักหวาดๆ อยู่เหมือนกันขอเพิ่มเป็นสองคนจะได้หรือเปล่าครับ กลางวันพวกคุณทำงานกันไม่ต้องมียามก็ได้ แต่ตอนกลางคืนผมขอสองคนควบเลยจะดีกว่า”

“เอาไว้ตรีจะปรึกษาอาจารย์ก่อนก็แล้วกันนะคะลุ ง หาว... ตรีง่วงแล้วค่ะขอตัวไปนอนก่อนนะคะไม่ไหวแล้ววันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน”

“ผมไปส่งครับ” ลุงยามทำท่าจะขยับไปส่งตรีทิพย์แต่ก็มีเสียงห้ามเอาไว

“ไม่ต้องหรอกคะลุงตรีเดินไปเองได้ใกล้แค่นี้เอง ลุงเดินตรวจไปเถอะคะ” ตรีทิพย์เดินกลับไปที่พักของเธอ และได้ยินเสียงกรุ้งกริ้งเหมือนกับที่ลุงยามบอกเธอเมื่อสักครู่

“อุปทานหมู่แน่ๆ เลยเรา สงสัยจะฟังลุงยามเล่ามากไปหน่อยเลยเก็บมาหูแว่วไปเอง” ตรีทิพย์พูดกับตัวเองและรีบจ้ำอ้าวกลับไปที่พักอีกครั้ง

เสียงกระดิ่งยังคงดังแว่วมาเป็นระยะ แต่เสียงนั้นกลับทำให้ตรีทิพย์นอนหลับไปอย่างง่ายดายโดยที่ไม่ฝันอะไรอีกเลยตลอดทั้งคืน

... จบบที่ ๒ ...



Create Date : 02 กันยายน 2551
Last Update : 2 กันยายน 2551 22:43:45 น. 1 comments
Counter : 305 Pageviews.

 
แหะๆ
ช่วงนี้คุณติดการ์ตูนหมอกติดรายการเกาหลีคะนั่งดูมันมาหลายคืนแร่ะ
อิอิ

เรื่องนี้ก็ย้อนอดีตอีกเหมือนเคย แล้วจะแว๊ปมาอ่านเมื่อพักนะคะ


โดย: หมอก IP: 124.121.213.176 วันที่: 3 กันยายน 2551 เวลา:18:47:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.