Labrador Retriever Lover Home

บ้านคนรักลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ ยินดีต้อนรับค่ะ หนูชื่อไมโล จะมาเล่าเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับตัวหนู, เพื่อนๆลาบราดอร์, น้องหมาพันธุ์อื่นๆ และเรื่องน่าสนใจต่างๆ
Group Blog
 
All blogs
 

สวัสดีปีกระต่าย 2554

Milo





สวัสดีปีใหม่ 2554 ค่ะท่านผู้อ่านที่รักของไมโล





เกือบจะครบขวบปีแล้วนะคะที่หนูไม่ได้มาเล่าอะไรให้คุณๆได้อ่าน วันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ก็เลยถือโอกาสขออวยพรให้ทุกท่านได้ประสบแต่สิ่งที่ดีมีแต่ความสุขใจ มีโชคลาภ ร่ำรวยเงินทอง สมปราถนาในทุกสิ่งที่ตั้งใจ ปราศจากภยันตราย โรคภัย ไข้เ็จ็บอย่าได้มี ... ( อยากได้อะไรเพิ่มก็เติมเอาเองนะคะ )



ไมโล


Free TextEditor




 

Create Date : 03 มกราคม 2554    
Last Update : 3 มกราคม 2554 23:09:16 น.
Counter : 596 Pageviews.  

ตำนานวันไหว้พระจันทร์

สวัสดีจ้า

พรุ่งนี้ (22 กันยายน) ก็จะถึงวันไหว้พระจันทร์อีกแล้ว(ได้กินขนมอีกแล้ว ดีใจ๊ดีใจจัง) อยากรู้มั้ยว่าเทศกาลไหว้พระจันทร์มีความเป็นมาอย่างไร ที่จริงเทศกาลนี้มีที่มาหรือตำนานต่างๆมากมาย แต่หนูจะขอเลือกมาให้อ่านดังนี้ค่ะ

วันไหว้พระจันทร์ ถือเป็นวันสารท เพราะตรงกับวันกลางเดือน คือวันที่ 15 ถ้าเป็นตรุษจะเป็นวันที่ 1 ของเดือน ตรงกับวันที่ 15 เดือน 8 ของจีน และถือเป็นวันกลางเดือนของเดือน กลางฤดูใบไม้ร่วง ด้วยว่าประเทศจีนนั้นแบ่งวันเวลา เป็น 4 ฤดูกาล ฤดูหนึ่งมี 3 ดวง คือ ชุง แห่ ชิว ตัง คือฤดูใบไม้ผลิ ฤดูฝน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว ตามมลำดับ

วันไหว้พระจันทร์มีความเกี่ยวข้องกับปฏิทินจันทรคติอย่างแนบแน่น ตามปฏิทินจันทรคติของจีนนั้น เดือน 8 เป็นช่วงกลางของฤดูใบไม้ร่วง ส่วนวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 ก็เป็นช่วงกลางของเดือน 8 เช่นกัน ฉะนั้น วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 จึงถูกเรียกว่า "จงชิว" (Zhong Qiu) แปลว่า "กลางฤดูใบไม้ร่วง" มีความเชื่อกันโดยทั่วไปว่า ในวันดังกล่าว เราจะสามารถมองเห็นพระจันทร์ได้เต็มดวงใหญ่ที่สุดกลมที่สุดและสว่างที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงมีกิจกรรมต่างๆ มากมายในช่วงวันไหว้พระจันทร์ เช่น การเซ่นไหว้พระจันทร์ การคำนับพระจันทร์และการชมพระจันทร์ เป็นต้น

ความเป็นมาที่เก่าแก่ที่สุดของวันไหว้พระจันทร์นั้นมาจากพิธีเซ่นไหว้พระจันทร์ในสมัยโบราณของจีน หนังสือโบราณบันทึกไว้ว่า คำว่า "จงชิว" (Zhong Qiu) นี้ปรากฏขึ้นครั้งแรกเมื่อกว่า 2,000 ปีก่อน สมัยนั้นมีพระราชพิธีเซ่นไหว้พระจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วงโดยพระเจ้าแผ่นดิน ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า ในทัศนะของคนโบราณนั้น หากพระจันทร์ไม่มอบน้ำค้างให้แก่โลก และหากไม่มีจันทร์เสี้ยวและจันทร์เพ็ญมาช่วยคำนวณเวลาทำนาแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้อุดมสมบูรณ์ "เยว่ถาน" (Yue Tan) หรือ "หอบวงสรวงพระจันทร์" ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงของกรุงปักกิ่งก็เป็นสถานที่ที่ใช้ประกอบพิธีเซ่นไหว้พระจันทร์ของกษัตริย์จีนโบราณ สำหรับประชาชนทั่วไปแล้ว ก็มีการสร้าง "สถานเซ่นไหว้พระจันร์" "เก๋งไหว้พระจันทร์" และ "ศาลาชมจันทร์" หลายต่อหลายแห่งเช่นกัน ในส่วนของนิทานปรัมปราที่เกี่ยวข้องกับพระจันทร์นั้นก็มีมากมาย

เช่นมีอยู่เรื่องหนึ่งเล่ากันว่า พระเจ้าถังเสวียนจงของราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) ทรงปรีชาสามารถและชำนาญในศาสตร์ต่างๆ มีอยู่ปีหนึ่งในช่วงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 ขณะที่พระองค์กำลังทอดพระเนตรไปยังจันทร์เพ็ญนั้นก็มีพระราชประสงค์ขึ้นมาในบัดดลว่า อยากจะไปท่องพระจันทร์ ในที่สุดด้วยอิทธิฤทธิ์ของเซียน ก็บันดาลให้พระองค์เหาะไปถึงพระจันทร์ และทรงเห็นวิมานหลังหนึ่งชื่อว่า "วิมานกว่างหานกง" ซึ่งมีนางฟ้ากลุ่มหนึ่งกำลังระบำรำฟ้อนอย่างงดงามไปตามจังหวะดนตรีอันไพเราะจับใจ ถึงกับทำให้พระองค์ทรงเคลิบเคลิ้มไปกับความงามนั้น ต่อมาเมื่อกลับถึงแดนมนุษย์แล้ว พระองค์ก็นำเสียงดนตรีที่เคยได้ยินมาจากวิมานพระจันทร์นิพนธ์แต่งเป็นบทเพลงชื่อว่า "เสื้อสายรุ้ง" บทเพลงนี้ไพเราะเพราะพริ้งและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

ตำนานเรื่องดวงจันทร์ของชาวจีน เรื่อง " ฉังเอ๋อเหินสู่ดวงจันทร์ "




เรื่อง " ฉังเอ๋อเหินสู่ดวงจันทร์ " ปรากฎเป็นครั้งแรกในยุคต้นของสมัยจั้นกว๋อ (สมัยสงครามระหว่างรัฐ) เล่าเรื่องราวของฉังเอ๋อที่ได้กินยาอายุวัฒนะของเจ้าแม่ซีหวังหมู่ แล้วไปเป็นเทวีแห่งดวงจันทร์ เมื่อถึงสมัยราชวงศ์สุยและถัง เนื่องจากผู้คนในสมัยนั้นมีความนิยมที่จะชื่นชมดวงจันทร์ว่าสวยและดูน่ารักใคร่ ดังนั้นทัศนะที่มีต่อฉังเอ๋อผู้ซึ่งอาศัยอยู่บนดวงจันทร์ว่าเป็นผู้ที่อ่อนหวาน สวยงาม ฉลาด มีจิตใจดีงาม มีความสามารถในการร้องรำ เป็นต้น มีตำนานอีกเรื่องที่เล่าถึงเทวีแห่งดวงจันทร์ว่า สมัยโบราณนานมาแล้ว โลกเรานี้มิได้มีดวงอาทิตย์เพียงแค่ดวงเดียวเท่านั้น แต่มีถึงสิบดวง นำมาซึ่งภัยพิบัติแต่โลกมนุษย์ ทำให้โลกร้อนระบุเป็นเพลิง ส่วนที่เป็นน้ำก็เหือดแห้งไป ภูเขาถล่มแผ่นดินแยก ต้นไม้ใบหญ้าแห้งกรอบ ผู้คนไม่มีที่จะไปหลบซ่อนอาศัย ในช่วงนี้เองได้ปรากฎวีรบุรุษคนหนึ่งชื่อ" โฮ่วอี้ " เป็นผู้ที่มีฝีมือในการยิงธนูได้อย่างมหัศจรรย์มาก เขาได้ยิงธนูขึ้นสู่ฟ้า เพียงดอกเดียวก็ยิงถูกดวงอาทิตย์ตกลงมาถึงเก้าดวง เหลืออยู่เพียงแค่ดวงเดียว ถือเป็นการขจัดทุกเข็ญให้กับบรรดาประชาชน ผู้คนจึงพากันยกย่องให้เขาเป็นกษัตริย์ แต่ทว่า พอเขาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ เขาก็ลุ่มหลงในสุราและนารี ฆ่าฟันผู้คนตามอำเภอใจ กลายเป็นทรราช ราษฎรล้วนแต่โกรธแค้นและชิงชังเขาเป็นที่สุด โฮ่วอี้รู้ตัวว่าตัวเองคงจะอยู่เป็นสุขเช่นนี้ไปได้อีกไม่นาน จึงเดินทางไปที่ภูเขาคุนหลุน (คุนลุ้น) เพื่อขอยาอายุวัฒนะจากเจ้าแม่หวังหมู่มากิน แต่ฉังเอ๋อ ภรรยาของเขากลัวว่าถ้าสามีของเธอมีอายุยืนนานโดยไม่มีวันตายเช่นนี้ ก็จะเข่นฆ่าราษฎรต่อไปเรื่อยๆ ดังนั้นเธอเลยตัดสินใจกินยาอายุวัฒนะนั้นเสียเอง แต่พอกินเข้าไป ในฉับพลันทันใด ร่างของเธอก็เบาแล้วก็ลอยขึ้นไปสู่ดวงจันทร์ ยังมีนิทานอีกเรื่องเล่าว่า ศิษย์ของโฮ่วอี้ชื่อ" เฝิงเหมิ่ง " อิจฉาฝีมือการยิงธนูของโฮ่วอี้มาก คอยคิดแต่จะสังหารโฮ่วอี้ อยู่มาวันหนึ่ง เฝิงเหมิ่งถือโอกาสตอนที่โฮ่วอี้ออกไปล่าสัตว์บังคับให้ฉังเอ๋อ ภรรยาของโฮ่วอี้มอบยาอายุวัฒนะให้แก่ตนเอง แต่ฉังเอ๋อไม่ยอม โดยกินยาอายุวัฒนะที่มีอยู่ทั้งหมดลงท้องไป ผลก็คือ ร่างของเธอเบา และลอยขึ้นไปสู่ดวงจันทร์ในที่สุด นับแต่นั้นมา บนดวงจันทร์ก็ปรากฎนางฟ้าผู้งดงามและจิตใจดีเช่นฉังเอ๋อนี้

ท่ามกลางกระบวนการวิวัฒนาการนั้น วันไหว้พระจันทร์ก็มีความสำคัญอีกอย่างหนึ่งขึ้นมา คือได้รับการนิยามว่าเป็น "วันแห่งการอยู่พร้อมหน้าของครอบครัว" เพราะชาวจีนเห็นว่า วงกลมของพระจันทร์เปรียบเสมือนการครบถ้วนบริบูรณ์ของสมาชิกครอบครัวนั่นเอง ฉะนั้น ชาวจีนจึงนิยมอยู่กันพร้อมหน้าในวันไหว้พระจันทร์ รับประทานอาหารร่วมกัน รอจนถึงเวลาที่จันทร์เพ็ญลอยกระจ่างฟ้า ก็จะกางโต๊ะในลานกลางแจ้ง จัดผลไม้ขนมขบเคี้ยวและอาหารอื่นๆ หลากหลายไว้บนโต๊ะ แล้วจึงเซ่นไหว้พระจันทร์ด้วยกัน ขอให้มีความสุขและความบริบูรณ์กันถ้วนหน้า



"เยว่ปิ่ง" (Yue Bing) หรือ "ขนมไหว้พระจันทร์" (Moon Cake) เป็นของกินที่ขาดเสียไม่ได้ในเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ มีการจำหน่ายกันล่วงหน้าก่อนวันไหว้พระจันทร์ประมาณ 1 เดือน แต่หลังจากวันไหว้พระจันทร์ผ่านไปแล้วก็จะไม่มีผู้ซื้ออีก ขนมไหว้พระจันทร์จะทำเป็นรูปวงกลม จะสอดไส้ชนิดต่างๆ เช่น งา อบเชย ถั่วลิสงและถั่วบด เป็นต้น นอกจากนี้ของพี่ไทยยังมีขนมไหว้พระจันทร์ไส้ทุเรียนกวน ไข่เค็ม ซึ่งอร่อยสุดยอดไม่เหมือนใครอีกด้วย

เนื่องด้วยความสำคัญพิเศษของวันไหว้พระจันทร์ ทำให้ผู้ที่พลัดถิ่นจากบ้านเกิดมีความคิดถึงบ้านอย่างสุดซึ้งในวันไหว้พระจันทร์ กาพย์กลอนที่เกี่ยวข้องกับพระจันทร์ก็มีมากมายเหลือคณาเช่นกัน ล้วนถ่ายทอดให้เห็นถึงหัวอกของคนคิดถึงบ้านที่ฝากไว้กับพระจันทร์ อย่างเช่น "เงยหน้ามองจันทร์แจ่มฟ้าผ่องอำไพ ก้มหน้าไซร้คิดถึงบ้านเกิดตน" โดยหลี่ไป๋ กวีสมัยราชวงศ์ถัง และ "จันทร์เพ็ญลอยเด่นเหนือมหานที แม้นยามนี้ไกลกันสุดฝันหา ถึงจะอยู่คนละฝั่งฟากฟ้า ยังหรรษาชมเดือนดวงเดียวกัน" เป็นต้น ล้วนเป็นกลอนที่เสมือนหนึ่งเสียงจากใจของลูกหลานจีนที่อยู่ไกลในต่างแดนทั่วโลกในคืนวันไหว้พระจันทร์

ประเพณีไหว้พระจันทร์นั้นนอกจาก ประเทศไทยแล้ว ประเทศอื่นๆทั่วโลกที่มีชน ชาวจีนไปตั้งถิ่นฐาน ก็จะปฏิบัติเช่น เดียวกัน คือทุกปีในวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนแปด ชาวจีนจะตั้งโต๊ะจัดของสักการะบูชาพระจันทร์ เพื่อเป็น การขอพรให้กับครอบครัวและให้กับชีวิตของ ตนเอง ของแต่ละอย่างบนโต๊ะก็จะมีความหมาย ต่างๆ กันไปหากวิธีการจัดโต๊ะของแต่ละประเทศก็ จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสิ่งของที่หาได้และผลไม้ ในประเทศที่มีซึ่งโดยปรกติก็จะไม่ฟันธงกำหนด ตายตัว หากแต่ผลไม้ที่ใช้ก็จะเน้นให้เป็นผลกลมเพื่อ ความกลมกลึงของชีวิตและหมายถึงความกลมของ พระจันทร์

แต่ที่จะขาดไม่ได้เลยคือขนมไหว้พระจันทร์ ซึ่งจะเป็นขนมอบใส่ไส้ผลไม้กวนหรือถั่วแดงกวน เม็ดบัว และไข่เค็มเฉพาะไข่แดง สิ่งของอย่างอื่นๆ บนโต๊ะก็จะประกอบไปด้วยสิ่งละอันพันละน้อย ที่มีความ หมายแตกต่างกันไปอย่างเข่น ขนมอี้ ซึ่งเป็นแป้งลูกกลมๆสีแดงสดใสใส่ในน้ำเชื่อมหวาน ซึ่งเปรียบเหมือนชีวิตที่หวานสดชื่น



ขนมโก๋ ที่เป็นแป้งหวานสีขาว รูปทรงต่างๆ ลวดลายสวยงามเพื่อเป็นการขอผิว พรรณที่ขาวสวย ผลไม้ต่างๆ 5 ชนิดที่มีผลกลม เหมือนพรที่ขอเพื่อให้ชีวิตสุขสดชื่นรวมไปถึง ชีวิต ครอบครัวที่มีความสุขความสามัคคี ในบ้านเจดีย์น้ำตาล เป็นตัวแทนของ ปราสาทแห่งสวรรค์ถั่วหวานขนมหวาน เคลือบน้ำตาล ขนมเปี๊ยที่มีอักษรมงคล ประทับสีแดงอยู่กลางขนม ของประดับอื่นๆ ก็จะมีกระดาษรูปเซียน 8 องค์ คำกลอนต่างๆ ในกระดาษสีแดงสดใส เทียนดอกใหญ่ สีแดงที่เขียนคำขอพรไว้ กิ่งหลิว ดอกไม้สีสัน สดสวยอ้อยต้นโตเพื่อนำมาทำ เป็นซุ้มประตู โคมไฟลวดลายงามตา

การตั้งโต๊ะจะต้องตั้งให้เรียบร้อยก่อน พระจันทร์จะลอยสูงเกินขอบฟ้า และเก็บก่อนที่ พระจันทร์จะเลยหัวไปหรือเมื่อเทียนดอก ใหญ่ดับลง หันโต๊ะไปทางทิศตะวันออก โดยเริ่มด้วยซุ้มประตูที่ทำจากต้นอ้อยผูกโคมไฟ ไว้กับต้นอ้อย ให้สวยงามวางกระถางธูป เทียนไว้ด้าน หน้าสุด ดอกไม้วางไว้สองข้าง ขนมอี้ใส่ถ้วยแล้วแต่ พื้นที่บนโต๊ะจะอำนวย 5 - 8 ถ้วยก็ได้วางถัดมา แล้วนำ เจดีย์น้ำตาลวางไว้สองข้างถัดจาก ขนมอี้ ขนมเปี๊ยใส่ จานจัดไว้ถัดมา ใต้เจดีย์อาจนำคำกลอนในกระดาษ แดงมาวางก็ได้ผลไม้ 5 ชนิดจัดวางตาม ความ สวยงาม ต่อด้วยขนมไหว้พระจันทร์ที่จัดเป็น เรียงชั้นๆ ขนมโก๋ และขนมหวานเคลือบน้ำตาลต่างๆ รอบโต๊ะวางประดับประดาด้วยกระดาษลวดลาย ต่างๆ ที่มี อย่างไรก็ดีการจัดตั้งโต๊ะนั้นไม่ตายตัวเสมอไป แล้วแต่ใครมีวิธีการที่ ต่างกันไปเน้นความสวยงามเป็น หลักดังนั้น ใครคิดว่าจัดอย่างไรจึงสวยที่สุดก็ให้จะจัด กันตามนั้น



พิธีไหว้

1. ไหว้เจ้าในช่วงเช้า ของไหว้จัดปกติ เหมือนจัดของไหว้เจ้าปกติ แต่เพิ่มขนมไหว้พิเศษ คือ ขนมไหว้พระจันทร์, ขนมโก๋, ขนมเปี๊ยะ

2. ของไหว้บรรพบุรุษ ของไหว้จัดปกติ เหมือนจัดของไหว้บรรพบุรุษปกติ แต่เพิ่มขนมไหว้พิเศษ คือ ขนมไหว้พระจันทร์ ไส้อะไรก็ได้, ขนมโก๋ต่าง, ขนมเปี๊ยะต่างๆ แล้วแต่เลือก ผลไม้ไหว้พิเศษ ส้มโอผลใหญ่ๆ สวยๆ

3. ของไหว้เจ้าแม่ในตอนค่ำ
- ของคาว อาหารเจแห้ง 5 อย่าง คือ วุ้นเส้น, ดอกไม้จีน, เห็ดหูหนู, เห็ดหอม, ฟองเต้าหู้
- ขนมไหว้ ขนมไหว้พระจันทร์ ไส้อะไรก็ได้ ที่ไม่มีไข่แดงเค็ม และ ต้องไม่ใช่ไส้โหงวยิ้ง หรือเมล็ด 5 อย่าง เพราะไส้โหงวยิ้ง มีใส่มันหมูแข็ง จึงเป็นของชอ คือมีคาว แต่ไหว้เจ้าแม่ ต้องไหว้อาหารเจ
- ขนมโก๋ มีหลายชนิดเช่น ขนมโก๋ขาว คนจีนเรียก “แป๊ะกอ” แป๊ะ แปลว่า สีขาว กอ คือขนม ก็มีอีกหลายแบบ ทั้งแบบ แผ่นกลม ใหญ่แบน ๆ ปั๊มทำลายนูนสวยงาม มีทั้งแบบกลมเล็ก ๆ ที่มีทั้งแบมีไส้และไม่มีไส้ แล้วยังมี ทำแบบ แท่งสี่เหลี่ยม มีไส้ก็มี ไม่มีไส้ก็มี , โก๋เหลือง หรือโก๋ถั่ว มีไส้ที่นิยม เช่น ไส้ทุเรียน ไส้งาดำ, โก๋เช้ง น่าสนใจที่สุด เพราะคนไทยไม่ค่อยรู้จัก นิยมทำเป็นแผ่นกลมใหญ่ ขนาดเท่าขนมโก๋ขาว เป็น แผ่นกลมแบนสีเหลืองตุ๋น ๆ เพราะผสมน้ำส้มเช้ง และบางเจ้า มีใส่เม็ดกวยจี๊ ที่แกะเปลือกแล้วด้วย เวลาเคี้ยวโดนจะกรุบกรับอร่อยดี และขนมโก๋อ่อน หรือหล่ากอ ก็ทานอร่อย เหนียว ๆ ยืด ๆ หนืด ๆ นิ่ม ๆ มีสอดไส่ถั่วบดหวานมันอร่อย ไส้งาดำก็มี
- ผลไม้ อะไรก็ได้เหมือนปกติ และเพิ่มพิเศษ ส้มโอใหญ่ๆ สวยๆ
- เครื่องดื่ม ใช้ชาน้ำหรือชาใบ หรือมีทั้งสองแบบ
- กระดาษเงิน ค้อซี, กอจี๊
- กระดาษเงิน-ทองพิเศษ 1. เนี้ยเก็ง หรือวังเจ้าแม่กวนอิม 2. โป๊ยเซียนตี่เอี๊ย คือ กระดาษ เงินกระดาษทองลายโป๊ยเซียน 3. กระดาษเงินกระดาษทองแบบจัดทำพิเศษสวยวาม เช่น กิมก่อง คือ โคมคู่. สัปปะรด. อ้วงมึ้ง หรือผ้าม่าน, เนี้ยเพ้า คือ ชุดเจ้าแม่พระจันทร์ ถ้าไหว้เจ้าแม่พระ จันทร์ หรือกวนอิมเนี้ยเพ้า ถ้าคิดว่าการไหว้ของเราเป็นการไหว้เจ้าแม่กวนอิม
- ของไหว้พิเศษอื่นๆ เครื่องใช้อุปโภค หรือสบู่ แชมพู ยาสีฟัน แป้ง เครื่องสำอาง ผ้าเช็ดหน้า อะไรก็ได้ที่เราใช้ประจำ เครื่องประดับ และ อ้อยลำยาวๆ ตัดจากราก และ เอายอดด้วยผูกไว้ ที่ด้านหน้าโต๊ะไหว้ ยึดกับขาโต๊ะ แล้วทำขึ้นไปเป็นซุ้มประตู แล้วตกแต่งสวยงาม พร้อมดอกไม้ ใส่แจกันประดับโต๊ะไหว้
- จำนวนธูปไหว้ 3 ดอก หรือ บางบ้านใช้ธูปไหว้พิเศษ เป็นธูปมังกรดอกใหญ่ดอกเดียว หรือ ดอกย่อมๆ 3 ดอก เช่นเดียวกับ เทียนแดงคู่
- เวลาไหว้ ไหว้หัวค่ำ บางบ้านขอบไหว้สาย เพื่อคอยเวลาให้พระจันทร์เต็มดวง

เป็นอย่างไรบ้างคะอ่านแล้วอยากกินแล้วใช่มั้ย ส่วนหนูหน่ะน้ำลายไหลนองพื้นแล้ว แต่เสียงป่าป๊าพูดกับหม่าม้าแว่วมาตามลมว่าจะไม่ให้หนูกินขนม กลัวหนูอ้วน แง้...ป่าป๊าใจร้าย

ขออวยพรให้ผู้อ่านทุกท่าน มีความสุขในวันไหว้พระจันทร์ และมีความสามัคคีรักใคร่กลมเกลียวกันในครอบครัว ดุจดังความกลมเกลียวของดวงจันทร์(วันเพ็ญเต็มดวงนะ)

ไมโลผู้แสนเศร้า




 

Create Date : 21 กันยายน 2553    
Last Update : 21 กันยายน 2553 11:29:15 น.
Counter : 1337 Pageviews.  

อาหารต้องห้าม!(Foods You Should Not Feed Your Dog)


9/30/09

สวัสดีค่ะไมโลมาอีกแล้ว

สารทจีนผ่านไปแล้วเป็นอย่างไรกันบ้างคะ ของไหว้ทานกันหมดหรือยัง ถ้ายังก้ส่งๆมานี้ก็ได้นะคะ เดี๋ยวหนูจะเอาไปให้ทานแด่น้องพยาธิผู้หิวโหยจะได้บุญได้กุศลกันไงคะ



ไหว้สารทจีน

ไหว้สารทจีน


พูดถึงการไหว้สารทจีนที่ผ่านมาหนูก็ได้ร่วมไหว้กับเค้าด้วยน้า แม้ป่าป๊าจะหาว่าที่หนูนั่งยกมือปะหลกๆก็เพราะหนูตะกละอยากจะกินของไหว้มากกว่า แหมคนเราทำบุญก็อยากได้บุญไม่ใช่เหรอ ซู๊ดดด(อุ๊ปส์ ขอโทษทีน้ำลายมันหยดน่ะ) แต่ยังไงก็ตามหนูก็ได้รับบุญกลับเร็วจริงๆนะ เพราะหลังจากไหว้เสร็จแล้วหนูก็ไดกินบุญแทบทุกอย่างเลยเช่น ไก่ เป็ด หมู แแอปเปิล สาลี่ องุ่น ส้ม สัปรส ถั่วตัด งาตัด ขนมปุยฝ้าย และที่ขาดไม่ได้เลย ก็บุญเข่ง เอ้ย ขนมเข่งกับขนมเทียนไง ไหนใครว่าบุญกินไม่ได้ เอิ้ก(เสียงเรอแห่งความสุขและอิ่มบุญ)

แต่แล้วบุญของหนูก็หดหายไปส่วนหนึ่งเมื่อป่าป๊าได้ไปเจอข้อมูลที่ไม่สบอารมณ์กี๋อย่างยิ่งเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่ควรให้ผู้น่ารักอย่างหนูกิน เช่น:

  • เครื่องดื่มที่มีอัลกอฮอล์(Alcoholic Beverages) จะทำให้เมา, โคม่า และตายได้


  • อาหารเด็ก(Baby Food) ที่อาจมีส่วนผสมของหัวหอม ซึ่งอาจเป็นพิษต่อน้องหมา และถ้ากินอาหารด็กเยอะๆก็อาจจะทำให้ขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อน้องหมาได้


  • ก้างปลา, กระดูกเป็ดไก่ หรือ กระดูกสัตว์เล็กๆ อาจทำให้ติดคอ หรือเข้าไปปักกระเพาะ บาดลำไส้ หลอดอาหารได้


  • อาหารแมว(Cat food) โดยทั่วไปมักจะมีโปรตีนและไขมันมากเกินไปสำหรับน้องหมา


  • ช็อกโกแลต, กาแฟ, ชา และสิ่งที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน(caffeine), ทีโอโบรมีน(theobromine) หรือทีโอฟีลีน(theophylline) ซึ่งเป็นพิษ และมีผลต่อหัวใจและระบบประสาท


  • น้ำมันที่สกัดจากส้ม(Citrus oil extracts) ทำให้อาเจียนได้


  • อาหารที่อุดมไปด้วยไขมัน(Fat trimmings) อาจเป็นสาเหตุของตับอ่อนอักเสบ(pancreatitis)


  • องุ่น และลูกเกด(Grapes and raisins) ประกอบด้วยสารพิษบางอย่างซึ่งไปทำลายไต แต่ไม่มีปัญหาสำหรับน้ำมันที่สกัดจากเมล็ดองุ่น


  • ฮอพส์(Hops) สารประกอบบางอย่างเป็นสาเหตุทำให้มีอาการหอบ, อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น, อุณหภูมิสูงม ชักและตายได้


  • วิตามินเสริมของคนที่มีธาตุเหล็ก(iron) ทำให้ระบบการย่อยอาหารเสียหาย และเป็นพิษต่ออวัยวะส่วนอื่น เช่น ตับ ไตเป็นต้น


  • การกินตับ(liver)มากเกินไป จะทำให้วิตามินAเป็นพิษ ซึ่งมีผลต่อกระดูกและกล้ามเนื้อ


  • ถั่วแมคคาแดเมีย(Macadamia nuts) มีพิษบางอย่างซึ่งมีผลต่อระบบการย่อยอาหาร ระบบประสาท และกล้ามเนื้อ


  • กัญชา(Marijuana) มีฤทธิ์กล่อมประสาท ทำให้อาเจียน อัตราการเต้นของหัวใจไม่เป็นปกติ


  • นมและัผลิตภัณฑ์จากนม สุนัขโตและแมวโตบางตัวไม่สามารถรับกับเอนไซม์แลคตาสที่ช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้ ทำให้มีอาการท้องเสีย ดังนั้นควรเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์นมสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ไม่มีแลคโตสแทนซะดีๆ


  • อาหารเก่าม บูด หรือ ขยะ(Moldy or spoiled food, garbage) อาจมีสารพิษหลายอย่าง ที่เป็นสาเหตุให้อาเจียน ท้องเสีย และอาจมีผลกระทบต่ออวัยวะส่วนอื่นๆด้วย


  • เห็ด(Mushrooms) อาจมีพิษซึ่งมีผลกระทบกับระบบต่างๆในร่างกาย ทำให้ช็อก และเสียชีวิตได้


  • หอมและกระเทียม(Onions and garlic)(ดิบ สุก หรือเป็นผง) มีส่วนผสมของ sulfoxides and disulfides ซึ่งสามารถทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง และเป็นสาเหตุของภาวะโลหิตจาง(anemia) แมวจะไว(susceptible) ต่อสารเหล่านี้มากกว่าน้องหมา และกระเทียมจะเป็นพิษน้อยกว่าหอม


  • เมล็ดของลูกพลับ(Persimmons) เป็นสาเหตุของลำไส้อุดตันและลำไส้อักเสบ(intestinal obstruction and enteritis)


  • เม็ดในของลูกพีชและลูกพลัม(Pits from peaches and plums) เป็นตัวการ(ไม่ดี)ขัดขวางทางเดินการย่อยอาหาร







  • Rhubarb หรือ โกฏน้ำเต้า

    Rhubarb หรือ โกฏน้ำเต้า





  • มันฝรั่ง(Potato), โกฐน้ำเต้า(Rhubarb) และใบมะเขือเทศ(Tomato leaves); ลำต้นและกิ่งก้านของมันฝรั่งและมะเือเทศ(potato and tomato stems) มีสาร oxalates, ซึ่งมีผลกับการย่อยอาหาร ประสาท และการขับปัสสาวะ


  • ไข่ดิบ(Raw eggs) มีเอนไซม์ที่เรียกว่าavidin ซึ่งทำให้การดูดซึมไบโอติน(วิตามินบี ชนิดหนึ่ง)ลดลง ซึ่งนำไปสู่ปํญหาเรื่องขนและผิวหนัง และในไข่ดิบอาจมีเชื้อ Salmonella(เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคทางเดินอาหาร).


  • ปลาดิบ(Raw fish) ปลาดิบอาจมีผลทำให้ขาดสารไทอามีน(thiamine-วิตามิน บี ชนิดหนึ่ง) ทำให้เบื่ออาหาร, เป็นลมชัก และอาจรุนแรงถึงตายได้


  • เกลือ(Salt) ถ้าหากได้รับมากเกินไปจะนำไปสู่ภาวะที่ขาดความสมดุลของสารประกอบในร่างกาย(electrolyte imbalances)


  • เชือก(String) อาจทำให้อุดตันในลำไส้หรือในระบบย่อยอาหาร ที่เรียกว่า "string foreign body."


  • อาหารที่มีน้ำตาลหรือของหวาน(Sugary foods) นำไปสู่โรคอ้วน, ปัญหาสุขภาพฟัน และอาจเป็นโรคเบาหวานได้(diabetes mellitus)


  • กากอาหาร(Table scraps) (ในปริมาณมาก) กากอาหารไม่ใช่สิ่งที่มีค่าทางโภชนาการ ไม่ควรมีมากเกิน10%ของอาหาร ไขมันก็ควรจะตัดแต่งออกจากเนื้อ, กระดูกก็ไม่ควรให้กิน(ว้า..ของโปรดของหนูเลยนะนั่น)


  • ยาสูบ(Tobacco) มีส่วนผสมของนิโคติน(nicotine) มีผลกระทบกับการย่อยอาหารและระบบประสาท ทำให้ใจเต้นเร็ว วิงเวียนcollapseโคม่าcomaและเสียชีวิตในที่สุด


  • ขนมปังที่มีเชื้อยีสต์(Yeast dough) ทำให้เกิดแก็สในระบบย่อยอาหาร ทำให้ปวดและอาจทำให้กระเพาะอาหารหรือลำไส้ฉีกขาดได้





  • ไมโล ไหว้เจ้า

    ไมโล ไหว้เจ้า


    เมื่อบ่ายวันอาทิตย์(ที่ 6กย.) คูณหมอลูกนก(หมอจิ๊บ)ได้โทรศัพท์มาถามเรื่องผิวหนังหนู ป่าป๊าบอกว่าก็ดีขึ้นเล็กน้อย คุณหมอบอกให้ทายาและอาบน้ำด้วยแชมพูยาที่ให้มาต่อไป แล้วต้นเดือนหน้าค่อยไปหาหมอ แต่ถ้ามีอะไรก็ให้โทรถามหมอได้ แหมคุณหมอรักษาสัญญาดีจริงๆ น่ารักจังเลย

    ไว้วันหลังค่อยคุยกันใหม่นะคะ,บ๊ายบาย
    อาหมวยไมโล








     

    Create Date : 29 เมษายน 2553    
    Last Update : 29 เมษายน 2553 22:42:32 น.
    Counter : 379 Pageviews.  

    งานเข้า!


    สวัสดีค่ะ ไมโลมาแว้ววว
    เมื่อสองสัปดาห์ที่แว้ว เอ้ย ที่แล้ว(วันพฤหัสที่ 13 สค.) ป่าป๊ากับหม่าม้าพาหนูไปหาคุณหมออีกแล้ว อ๋อ หนูไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ แค่ตัวหนูมีกลิ่นหอมหอม(สำหรับหนูและเจ้าท๊อบบี้, เจ้าโมนี่และเจ้าปอร์โต้ - หนุ่มๆเพื่อนๆหนู)และผื่นแดงนิดหน่อยเท่านั้น แหมทั้งบ้านเหมือนจะกังวลกับหนูใหญ่เลย
    อายุ 10 เดือน วันที่ 18 สค. 2552
    พอไปถึงก็ขึ้นชั่งน้ำหน้าคราวนี้น้ำหนักหนูได้ 33.4 กก.ขึ้นมาอีก8ขีด คุณหมอบอกอย่าให้อ้วนเกินไปเดี๋ยวสะโพกดินระเบิดของหนู(ป่าป๊าชอบว่าก้นหนูเหมือนพี่นุกนิกAF6)จะมีปัญหารับน้ำหนักเกินไปทำให้สะโพกเสียได้ ป่าป๊ากับหม่าม้าเลยบอกหมอว่าจะลดอาหารหนูลงตอนหนูอายุครบ10เดือน(วันที่18นี้) ซวยเลย
    หนูมองหน้าคุณหมอแล้วนึกในใจ คุณหมอคงจะอิจฉาหนูแน่ๆเลยที่หม่าม้ากับป่าป๊าให้หนูกินอย่างดี แหมก็หุ่นคุณหมอน่ะพ้อมผอมอย่างกับนางแบบอดอาหาร(จำขี้ปากเค้า(ป่าป๊า)มาอีกที) อ้อ คุณหมอคนนี้ชื่อคุณหมอจิ๊บ ตัวเล็กๆหน้าคล้ายกับพี่ลูกนกสุภาพร(อันนี้หนูได้ยินป่าป๊ากับหม่าม้าเค้าเม้าท์กัน) นักร้องลูกทุ่งที่มีเพลงฮิตคือคุณลำใย แต่รู้สึกว่าป่าป๊ากับหม่าม้าจะชอบคุณหมอคนนี้เพราะเห็นหม่าม้าถามตารางเวลาการทำงานของคุณหมอเพื่อจะได้นัดตรวจหนูครั้งหน้า(วันที่ 20 สค. บ่ายสอง)



    Milo เล่นน้ำกับหม่าม้า

    Milo เล่นน้ำกับหม่าม้า


    หลังจากที่พี่ชุดแดงได้ทำการวัดอุณหภูมิทางก้นหนูด้วยแท่งแก้วเย็นๆ แล้วรายงานคุณหมอ(เท่าไหร่ก็จำไม่ได้มัวแต่เย้นเย็นอยู่ แต่ก็ปกติไม่มีไข้) จากนั้นคุณหมอก็จับตัวหนูโดยมีป่าป๊าสมรู้ร่วมคิดดูนั่นดูนี่แล้วก็ขูดเอาผิวหนังตรงที่มีสะเก็ดแถวๆขาหลังไปส่องกล้องดู สักพักก็ออกมาบอกว่าหนูมีเชื้อแบคทีเลียแล้วถามถึงพฤติกรรมและการดูแลหนู ได้ข้อสรุปว่าน่าจะติดเชื้อจากการที่หนูเล่นน้ำ คือเดิมทีป่าป๊าจะรดน้ำต้นไม้โดยใช้สายยางฉีด หนูเห็นน่าสนุกดีก็เลยชวนป่าป๊าเล่น ป่าป๊าก็แกล้งฉีดน้ำไปไกลๆให้หนูวิ่งงับน้ำ หนูก็วิ่งใหญ่เลย ปรากฎว่าการที่หนูวิ่งมากๆทำให้หนูอึ๊ดีขึ้น(อึ๊เยอะขึ้น ไม่ใช่ทีละนิดเหมือนก่อน) ป่าป๊าเลยชอบใจ(โรคจิตรึปล่าวหว่า) อีกอย่างช่วงก่อนนี้อากาศก็ โค-ตะ-ระ ร้อนเลยให้หนูวิ่งเไล่งับน้ำตอนรดน้ำต้นไม้ทั้งเช้าและเย็นทุกวัน



    ยาและแชมพู Malassezia

    ยาและแชมพู Malassezia



    คุณหมอจิ๊บบอกหนูคงติดเชื้อแบคทีเลียในดินและเมื่อเช็ดตัวไม่แห้งดีพอเชื้อก็เจริญเติบโตได้ดีบนผิวหนัง ดังนั้นคุณหมอให้งดการเล่นน้ำและให้ยากินมื้อละสามอย่างสามเม็ดเป็นพวกยาแก้แพ้แก้อักเสบวันละสองมื้อโดยให้ปนกับอาหารจะได้กินง่ายขึ้นหม่าม้าเลยเอายัดเข้าไปในกล้วยที่ผสมอยู่ในอาหาร(อาหารที่หนูกินจะเป็นอาหารเม็ดผสมมะเขือเทศ, ฟักทองต้ม, หัวไชเท้าต้ม, มันฝรั่งต้ม, กล้วย, เนื้อต้มหั่นชิ้นเล็กๆ) นอกจากนี้คุณหมอยังให้ยามาทาตามแผลผื่นแดงทุกวันเช้าเย็นเช่นกัน เฮ้อ!อดเล่นน้ำอีกแล้ว คุณหมอนะคุณหมอ



    bMalassezia Shampoo เป็นแชมพูรักษาโรคผิวหนัง/b

    Malassezia Shampoo เป็นแชมพูรักษาโรคผิวหนัง


    หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปไวเหมือนนกเอี้ยงบิน(เพราะหนูไม่เคยจับมันได้สักที พวกมันชอบบินมาลงที่สนามหญ้าแล้วก็เดินคุยกันไปจิกแมลงกินกันไปยังกับงานค็อกเทล คงเห็นหนูเป็นหมากระดาษมั้ง คิดแล้วอยากให้มีปีกงอกจัง วันก่อนป่าป๊าเห็นหนูแหงนมองเครื่องบินที่บินผ่านมา ป่าป๊าเลยบอกว่าถ้าหนูอยากบินได้เหมือนมันให้หนูรีบแหงนหน้าพร้อมทั้งยกมือสองข้างประกบกันแล้วอธิษฐานขอพรให้บินได้ก่อนที่เครื่องบินจะลับตาไป คล้ายๆกับที่คนขอพรตอนเห็นดาวตกไง เอ..หลอกกันป่าว) เราก็ไปหาคุณหมอจิ๊บกันอีกครั้ง น้ำหนักหนูเท่าเดิม เย็นก้นก็เหมือนเดิม ผิวหนังดีขึ้น ผื่นน้อยลง แต่ยังมีเชื้ออยู่คุณหมอก็ให้ยาเหมือนเดิม ยกเว้นยาทายังมีอยู่และให้แชมพูที่มีส่วนผสมของยาฆ่าเชื้อมาด้วย แล้วคุณหมอก็นัดให้มาตรวจอีกครั้ง(อีกแล้วเหรอเนี่ย)วันที่ 31 สค.

    แล้วหนูจะมาเม้าท์ให้ฟังใหม่นะคะ บ๊ายบาย!






     

    Create Date : 26 เมษายน 2553    
    Last Update : 29 เมษายน 2553 23:01:32 น.
    Counter : 298 Pageviews.  

    ไปหาหมอ Sep 25, 2009

    วันนี้ป่าป๊ากับหม่าม้าพาหนูไปหาหมอตามหมายเรียก(หมอนัดฉีดยาทุก2เดือน) ที่รพ.รักษาสุดที่รักของมนุษย์ ศ.เมืองเอก อยู่ถ.เลียบคลองสามใกล้หัวถนนที่มีสะพานคลองสามตัดข้าม ที่จริงหนูต้องไปในวันที่1แล้ว แต่พอดีพี่ช้างไม่ว่าง ก็เลยว่าจะไปวันที่2 ซึ่งเป็นวันอาทิตย์แทน แ่ต่หลังจากที่พี่ช้างเรียนที่จุฬาเสร็จแล้วน่าจะมารับหนูไปหาหมอกลับโดนแรง ดึงดูดของกาลิเลโอ(หนังเรื่อง หนีตามกาลิเลโอ)เข้าไปในโรงหนังเสียนี่ เฮ้อ ไมโลเซ็ง

    วันนี้หนูก็เลยต้องนั่ง(นอน)รถแท็กซี่ไปกันเพราะพี่ช้างต้องไปทำงาน พอไปถึงป่าป๊าพาขึ้นชังน้ำหน้าเอ๊ยชั่งน้ำหนักได้32.6กิโลกรัมกำลังอวบที เดียวเชียว ส่วนหม่าม้าก็เอาพาสปอร์ตเล่ม(ไม่แดง)ลายสุนัขของหนูไปให้พี่ๆที่เคาน์เตอร์ ดูการตรวจนัด หลังจากรอแป๊บนึงก็มีพี่ผู้ชายใส่เสื้อแดงมาพาหนูกับป่าป๊าไปห้องตรวจ(ป่า ป๊าไม่ได้เป็นอะไรนะแค่เข้าไปเป็นเพื่อนหน่ะ แหม หนูก็ป๊อดเป็นเหมือนกันนะ) แล้วพี่แกก็เอาแท่งแก้วเย๊นเย็นสอดเข้าไปในก้นหนู พักหนึ่งแล้วก็เอาออกมาดมเอ๊ยดูแล้วบอกป่าป๊าว่าหนูปกติดีไม่มีไข้ หลังจากนั้นคุณหมอคนสวยใจดี(ชื่ออะไรก็ไม่รู้ป่าป๊าอ่านไม่ออก)ก็เข้ามาตรวจ ดูหนู ช่วงนี้หม่าม้าก็เข้ามาด้วยแล้วก็ถามคุณหมอเรื่องที่หนูมีขี้ตาตุ๊กแก(ป่า ป๊าเป็นคนเรียก)เขลอะทุกวัน คุณหมอก็แหกตา(ถ่างตา)หนูดูและบอกว่าไม่เป็นอะไรไม่ได้ติดเชื้อ น่าจะเป็นเพราะฝุ่นหรือน้ำเข้าตา(ถูกเผงเลย เพราะหนูชอบเล่นน้ำกับป่าป๊าทุกวัน) จากนั้นคุณหมอก็ให้พี่สุดหล่อคนเดิมเอายาเม็ดขาวๆข๊มขมมายัดปาก(ยัด จริงๆ)2เม็ดแล้วจับปากหนูไว้ให้กลืนลงไป หนูก็เลยดิ้นหลุดมาเม็ดนึง คุณหมอซึ่งตอนนี้หนูว่าไม่ค่อยสวยและใจไม่ค่อยดีแล้วก็บอกให้พี่ผู้ชายซึ่ง ก็ไม่ค่อยหล่อแล้วเหมือนกันเอายาเม็ดนั้นยัดเข้าไปในอาหาร(น่าจะเป็นอาหาร หมากระป๋อง)แล้วเอาให้ป่าป๊าป้อนแทน หนูคิดในใจว่าน่าจะทำอย่างนี้ตั้งแต่แรกเพราะหนูหน่ะกินง่ายเข้าข่ายตะกละ เลยหล่ะ(ป่าป๊าคอนเฟิร์ม) ยัง ยังไม่จบค่ะเพราะคุณหมอบอกที่กินไปนั้นเป็นยาถ่ายพยาธิ์ตัวแบนยังต้องฉีดยา กันพยาธิ์หนอนหัวใจอีกหนึ่งเข็ม แล้วก็ให้พี่จอมโหดจับตัวหนูไว้ก่อนที่จะจิ้มเข็มเข้าไปที่สีข้างใกล้สะโพก ด้านขวาแล้วฉีดน้ำยาแสบๆเย็นๆเข้าไป เป็นอันเสร็จ

    มีแถมท้ายอีกนิดนึง คือว่าคงเป็นเพราะหนูตื่นเต้นไปหน่อยจึงทำให้ระหว่างที่รอหม่าม้าจ่ายตังค์ ค่ายาหนูจึงปล่อยอึก้อนสีเหลืองกลิ่นหอมฟุ้งกองเบ้อเริ่มเลย ป่าป๊ากับหม่าม้าต้องขอโทษพี่ๆเค้าใหญ่ แหมมันเป็นเรื่องธรรมชาติไม่เห็นต้องตื่นเต้นเลยเนาะว่ามั้ยคะ

    หนูไปก่อนนะคะ แล้วจะมาคุยกันใหม่นะ บ๊ายบาย

    ไมโล




     

    Create Date : 26 เมษายน 2553    
    Last Update : 26 เมษายน 2553 16:14:39 น.
    Counter : 379 Pageviews.  

    1  2  

    piajomyud
    Location :
    กรุงเทพฯ Thailand

    [Profile ทั้งหมด]

    ฝากข้อความหลังไมค์
    Rss Feed

    ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




    Friends' blogs
    [Add piajomyud's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.