เกษียณก่อนกำหนดต้องทำอะไรบ้าง

  หลายๆท่านอาจจะเลือกที่จะเกษียณด้วยการลาออกจากงานด้วยความสมัครใจ  แต่ก็มีคนอีกจำนวนมากที่ไม่เต็มใจจะเกษียณเนื่องจากเหตุจำเป็นต่างๆ เช่นปัญหาสุขภาพ  การถูกเลิกจ้าง ไม่ว่าจะเกษียณด้วยเหตุผลอะไร  การวางแผนสิทธิประโยชน์และเงินกองทุนต่างๆ เป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะผู้ที่ไม่อยากเกษียณก่อนกำหนด


1.ติดต่อสำนักงานประกันสังคมภายใน 180 วัน   เพื่อแจ้งความประสงค์ขอเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39  คือการนำส่งเงินประกันสังคมด้วยตนเอง  หากต้องการใช้สิทธิรักษาพยาบาลและการเก็บออมเงินเข้ากองทุนชราภาพอย่างต่อเนื่องโดยจะต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ของสำนักงานประกันสังคม

2.ในกรณีที่อยู่ระหว่างหางานใหม่  ควรรีบติดต่อสำนักงานจัดหางานของรัฐภายใน 30 วัน  เพื่อขอสิทธิเงินชดเชยการว่างงาน  ไม่ว่าจะถูกเลิกจ้างหรือลาออกเองแต่ต้องเป็นไปตามเกณฑ์การส่งเงินสมทบของสำนักงานประกันสังคม

3.สำรวจการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (RMF) ของตนเอง  ในกรณีที่ลงทุนและได้ใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีครบ 5 ปี ก็จำเป็นต้องถือหน่วยลงทุนจนครบ 55 ปีบริบูรณ์   โดยที่จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องซื้อ RMF ในปีที่ไม่มีรายได้  ส่วนในปีที่มีรายได้นั้น  ก็ยังคงต้องซื้อหน่วยลงทุน RMF ขั้นต่ำ 3 เปอร์เซ็นต์ หรือ 5,000 บาท ตามเกณฑ์

4.จัดการเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ( PVD ) ติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของบริษัท ทันที  เพื่อแจ้งความประสงค์ " คงเงินสำรองเลี้ยงชีพ " ในกรณีที่ไม่รีบใช้เงินทุนส่วนนี้ เพราะการคงเงินไว้ในกองทุนฯ จนครบอายุ 55 ปีและเป็นสมาชิกอย่างน้อย 5 ปี  ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีทั้งจำนวน สำหรับระยะเวลาที่สามารถคงเงิน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

5.ติดต่อตัวแทนประกัน เพื่อแปลงกรมธรรม์นั้นเป็นเงิน หรือการเวนคืนกรมธรรม์  แต่ก็ควรตรจสอบเงื่อนไขและเทียบผลประโยชน์ให้ดีก่อน






 

Create Date : 08 มีนาคม 2559   
Last Update : 8 มีนาคม 2559 9:40:15 น.   
Counter : 1242 Pageviews.  


SMEs ควรก้าวสู่ยุค Cloud ได้แล้วป่าว

  หลายท่านคงจะเคยได้ยินคำว่า Cloud มาบ้างนะครับ ไม่มากก็น้อย ถามว่าทำไมต้องไป Cloud เนื่องจาก Cloud นั้นจะช่วยให้ธุรกิจของท่านมีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจและการตลาดในปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยลดในด้านการจัดการระบบไอที นอกเหนือสิ่งอื่นใด ยังเป็นการลดค่าใช้จ่าย ซึ่งประโยชน์ 5 ประการที่จะกล่าวต่อไปนี้ อาจจะพอทำให้ทุกท่านพอเห็นภาพก่อนที่จะนำ Cloud ไป implementกับธุรกิจของท่าน 

  ธุรกิจขนาดเล็กๆจะได้รับประโยชน์มากที่สุดจาก Cloud ที่ว่านี้ ซึ่งปกติบริษัทที่เพิ่งก่อตั้งจะต้องใช้งบประมาณด้าน IT ในแบบที่ค่อนข้างจำกัด หรือการจะมองว่าค่าใช้จ่ายด้าน IT มันสูงเกินความจำเป็นสำหรับบริษัทขนาดเล็กๆ ที่นี้เรามาปรับมุมมองกันใหม่นะครับ ด้วยการทำงานร่วมกับบริษัทที่มีความเชียวชาญจะทำให้ ธุรกิจขนาดเล็กสามารถนำเอาระบบ IT มาสร้างโอกาสและเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจของตนได้ มาดูประโยชน์กันว่าจะได้อะไรบ้างจากการ implement Cloud system

1. มีราคาย่อมเยาว์  : การใช้โซลูชั่นทางธุรกิจที่ทำงาน cloud เป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการช่วยลดค่าใช้จ่ายทางด้าน IT สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ด้วยการใช้บริการcloud  ท่านจะมีค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นใช้งานต่ำ ตลอดจนค่าใช้จ่ายด้าน H/W  , S/W การบำรุงรักษา และการจัดการได้เป็นอย่างดี 

2. มีความยืดหยุ่น : มีบริการจากบริษัทต่างๆ มากมายที่โฮสต์อยู่บน cloud ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถนำโซลูชั่นล่าสุดมาใช้กับธุรกิจของตนเองได้ซึ่งโดยทั่วไปผู้ให้บริการ cloud มีแนวโน้มที่จะนำเสนอเทคโนโลยีชั้นนำในตบาดให้กับลูกค้า  เพราะถ้าพวกเขาทำไม่ได้  ผู้ใช้ก็จะเปลี่ยนไปหาผู้ให้บริการคู่แข่งซึ่งสามารถทำได้แทน  ถึงแม้จะเป็นการสมัครสมาชิกเพื่อใช้บริการแทนเจ้าของระบบ IT ก็ตาม ธุรกิจขนาดเล็กก็สามารถใช้โซลูชั่นที่ทันสมัยได้  โดยที่ก่อนหน้ามีราคาแพงจนไม่กล้าที่จะนำไปใช้  สิ่งต่างๆเหล่านี้จะช่วยยกระดับให้พวกเขาสามารถแข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่ได้  ซึ่งจะทำให้บริษั่ทขนาดเล็กมีโอกาสในการแข่งขันมากยิ่งขึ้น

3. มีความปลอดภัย : Cloud Provider  เช่น Microsoft ให้ความสำคัญอย่างมากในด้านการรักษาความปลอดภัยที่ทุกคนเป็นห่วง ซึ่งบริษัทผู้ให้บริการเน้นให้ความสำคัญต่อระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันการโจมตีทางออนไลน์ ธุรกิจขนาดเล็กแต่ละแห่งมีโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีเป็นของตัวเองต้องรับผิดชอบในด้านการรักษาความปลอดภัยของระบบไอทีเอง  และในกรณีที่เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นมาเดี่ยวๆ หรือเพิ่งจะฟอร์มบริษัท  บริษัทเหล่านี้จะไม่ได้รับประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาดของระบบ  คำถามคือ  บริษัทที่สามารถดำเนินงานได้ตามลำพัง โดยมีค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยเป็นเงินก้อนใหญ่เหมือนกับผู้ให้บริการcloud ที่มีลูกค้าหลายพันรายได้หรือไม่ ซึ่งคำตอบคือ " ไม่มีทาง "

4. ความคล่องตัว :  บริการ Cloud ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กมีความคล่องตัวมากขึ้น  พนักงานมีอิสระในการทำงานจากสถานที่ต่างๆ  ได้มากขึ้นไม่ใช่แค่เพียงในสำนักงาน หรือบางทีอาจจะมีพื้นที่สำนักงานเล็กๆก็เพียงพอแล้ว  ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเข้าถึงซอร์ฟแวร์บริการ  และอุปกรณ์ที่ถูกผนวกเข้าด้วยกันได้  ซึ่งช่วยให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น  และช่วยให้บุคลากรของท่านมีความยืดหยุ่นในการทำงาน  แม้ในขณะที่ทำงานอยู่นอกสำนักงาน  เช่น  Microsoft Windows Phone 8 และ Office 365  พวกเค้าสามารถเข้าถึงและแก้ไขเอกสารได้โดยใช้เครื่องมือในการทำงานแบบเดียวกับที่พวกเขาใช้งานอยู่ในสำนักงาน  นอกจากนี้พวกเขายังสามารถเข้าถึงการส่งข้อความโต้ตอบแบบทันที  และการประชุมผ่านทางวีดีโอสำหรับการประชุมที่กำหนดไว้ได้ในลักษณะเดียวกับแบบอีเมล หรือเพียงเพื่อให้ได้คำตอบอย่างรวดเร็วให้แก่ลูกค้า  หรือสำหรับการตัดสินในที่สำคัญทางธุรกิจ

5.  ความต่อเนื่อง  : การสำรองไฟล์ เอกสาร  และข้อมูลสำคัญทางออนไลน์ถือเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย  ซึ่งสามารถช่วยรักษาการดำเนินงานของธุรกิจขนาดเล็กได้ในกรณีที่มีความเสียหายบางอย่างเกิดขึ้น ในกรณีที่เกิดไฟไหม้ น้ำท่วม และความล้มเหลวทางเทคโนโลยี หรือฮาร์ดแวร์ถูกขโมย  เหตุการณ์เหล่านี้อาจทำให้บริษัทไม่สามารถเข้าถึงสถานที่ทำงาน หรือระบบไอทีได้  แต่ข้อมูลสำคัญก็จะยังคงอยู่บนระบบออนไลน์ ซึ่งสามารถเข้าถึงได้จากสถานที่ใดก็ได้ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ช่วยให้บุคลากรเข้าถึงข้อมูลได้ตามสิทะการใช้งานที่จำเป็นและมีรหัสผ่าน

ข้อมุลเพิ่มเติมและทรัพยากรบนบริการ Cloud ของ Microsoft

Microsoft มีบริการ Cloud ที่ได้รับการออกแบบมาสำหรับธุรกิจขนาดเล็กโดยเฉพาะ ซึ่งมีให้ใช้งานในรูปแบบของการสมัครสมาชิกโดย Office 365 ช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถจัดการจำนวนทรัพยากรและจัดการค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้โดยใช้เครื่องมือในลักษณะของการจ่ายเมื่อใช้งาน ทำงานบนเว็บ และใช้งานได้ง่ายฃ

เครื่องมืออีกชิ้นหนึ่งที่ทำงานบน Cloud จาก Microsoft คือระบบ CRM ของ Microsoft Dynamic เพราะลูกค้าถือเป็นเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงธุรกิจ ดังนั้น การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาวจึงมีความสำคัญต่อความสำเร็จอย่างยั่งยืน การกำหนดและเพิ่มประสิทธิภาพการขาย แก้ไขปัญหาของลูกค้า และสร้างความภักดีของลูกค้าจึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง




 

Create Date : 29 กันยายน 2557   
Last Update : 29 กันยายน 2557 13:03:13 น.   
Counter : 841 Pageviews.  


27 Things you don't know about Myanmar

  27 Things you don't know about Myanmar

ตามที่จั่วหัวไว้เลยครับ 27 เรื่องของเมืองพม่า ที่คุณเองต้องรู้ไว้ในฐานะที่ใกล้จะเปิด AEC แล้วนะครับ ในวันที่ 11-22 ธันวาคมนี้ 10 ประเทศของกลุ่มอาเซียน บวก 1 ติมอร์ตะวันออก จะมีการจัดทัพนักกีฬาลงประลองศึกในการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 27 ที่กรุงเนปิดอว์ เมืองหลวงแห่งใหม่ของประเทศพม่า ซึ่งแต่เดิมคือเมืองย่างกุ้ง  ซึ่งครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3 ที่ประเทศพม่าได้รับเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาซีเกมส์  หลงจากเว้นช่วงระยะเวลาการเป็นเจ้าภาพมายาวนานถึง 44 ปี

หลังจากที่การปิดประเทศยาวนานของพม่า  ปัจจุบันพม่าเองเริ่มที่จะเปิดประเทศเพื่อต้อนรับชาวต่างชาติมากขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา  ขนาดอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงอย่างคนไทยเราเองก็เพิ่งที่จะได้มีโอกาสได้เข้าไปดูบ้านเมือง ทำความรู้จักเพื่อนบ้านอย่างพม่า  เมื่อรู้จักกันมากขึ้นก็จะทำให้เข้าใจกันมากขึ้น  ทัศนคติเดิมๆ ที่สืบเนื่องมากจากความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับพม่าในประวัติศาสตร์เจือจางหายไปตามกาลเวลา  เมื่อเราอาศัยอยู่บนโลกที่ฝ่าฟันหาแต่มิตรภาพและสันติภาพ

อยากรู้จักพม่าให้มากขึ้นก็ต้องคุยกับคนพม่าให้มากขึ้น  Sai Tun Nyi,Kyaw Kyaw San, Htet Oo Wai Yan, Aye Thazin Kyaw และมาเรียนที่มหาวิทยาลัยชินวัตร ยินดีเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์เล่า 27 เรื่องเมืองพม่าที่คุณอาจไม่เคยรู้ ไม่คาดคิด หรือไม่เคยค้นเจอในกูเกิลมาก่อน

1.ภาษาและวัฒนธรรม

คนพม่ามีนิสัยขี้เกรงใจ ใจดี ชอบช่วยเหลือแบ่งปัน อยากรู้อยากเห็นและชอบเมาส์นะจ้ะ

2.คนพม่าเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีนามสกุล (ส่วนใหญ่ชนเผ่าที่นับถือศาสนาคริสต์จะมีนามสกุล ) ชื่อตัวแรกจะบ่งบอกว่าคนๆ นั้นเป็นลูกหลานของเผ่าไหน เพราะพม่าประกอบด้วยคนหลายชนเผ่ามารวมกัน

3." มิงกะลาบา " เป็นคำทักทายที่เป็นทางการมากๆ เมื่อเจอกันคนพม่าจะใช้คำว่า " Nay Kaung Lar? " ซึ่งแปลว่า สบายดีไหม หรือ " Sar Pee Pi Lar? " แปลว่า กินข้าวหรือยังมากกว่า

4.การสวมรองเท้าแตะในพม่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัตริที่เหมาะสมสามารถใส่รองเท้าแตะไปโรงเรียน ไปออกงาน ติดต่อสถานที่ราชการได้ รองเท้าแตะที่ว่าไม่ใช่รองเท้าแตะยางเหมือนบ้านเรา  แต่เป็นรองเท้าคีบที่ทำจากผ้าหลายชนิดประดับลูกปัดอันเป็นตัวบอกฐานะของผู้สวมใส่

5.ประเพณี  ประเทศพม่าจะมีเทศกาลสงกรานต์ในช่วงเวลาเดียวกับไทย เรียกว่า Thing Yan Festival มีรถแห่เล่นน้ำแบบบ้านเรา แต่จะใช้ท่อน้ำแบบนักดับเพลิงและไม่เล่นแป้ง  นอกจากวันสงกรานต์ที่เปรียบได้กับวันปีใหม่  คนพม่ายังฉลองปีใหม่ของแต่ละชนเผ่าด้วย ซึ่งมักอยู่ในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี

6.ในวันสำคัญทางพุทธศาสนา  คนพม่ามักแสดงความเคารพคนที่แก่กว่า  และทุกบ้านจะให้ทานแก่เพื่อนบ้านโดยจะทำอาหารแบ่งให้คนที่ผ่านไปผ่านมา ไม่ว่าจะยากดีมีจน

7.ถึงแม้ศาสนาพุทธจะเป็นศาสนาประจำชาติ  ทางการประกาศให้วันรอมฎอน ของศาสนาอิสลาม  และวันเดวาลี ของศาสนาฮินดู  เป็นวันหยุดประจำปีของพม่าด้วย  (วันคริสต์มาสกับวันตรุษจีนไม่หยุด)

8.นายพล ออง ซานและนางออง ซาน ซูจี ยังคงเป็นบุคคลต้นแบบของคนรุ่นใหม่พม่า  เนื่องจากทั้งสองเป็นคนที่กล้าหาญ ซื่อสัตย์ ต่อสู้และเสียสละเพื่อชาติอย่างแท้จริง

9.ชีวิตประจำวัน  พม่าเป็นแหล่งผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าสำคัญของประเทศเพื่อนบ้านและไทยเรา  แต่คนพม่ากลับต้องการซื้อหาเครื่องปั่นไฟใช้เอง  เพราะทางการจะจ่ายไฟหรือหยุดจ่ายไฟได้ตามอำเภอใจ

10.พม่าเพิ่งมี ATM  ใช้เมื่อสองปีที่แล้ว  และเพิ่งมีบัตรเครดิตใช้ในปีนี้  ก่อนหน้านี้คนพม่าพกเงินเป้นฟ่อนเนื่องจากะนาคารยังขาดความน่าเชื่อถือ

11.พม่าไม่มีเศษสตางค์  แต่ก่อนเคยมีหน่วยเงินที่เล็กที่สุด เรียกว่า Pyas  แต่ด้วยปัญหาทางเศรษฐกิจ  ทำให้ค่าเงินถูกลงจนไม่มีค่าและต้องยกเลิกใช้  แล้วเวลาทอนเงินจะทำอย่างไร? ร้านค้าจะให้ทิชชู่ ขนม หรือกาแฟซอง เป็นเงินทอนแทน

12.ด้วยสาเหตุนี้เองพม่าจึงไม่มีตู้หยอดเหรียญ

13.พม่ามีผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือเพียงสองเจ้าและผลิตซิมการ์ดออกมาในจำนวนจำกัด  ซิมโทรศัพท์มือถือที่ซื้อขายกันในตลาดมืดจึงเคยมีราคาสูงถึง 4,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ (จากปกติราคา 1,500 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ) ปัจจุบันซิมโทรศัพท์ราคาลดลงเหลือประมาณ 3,000 บาท ซึ่งก็ยังแพงเกินไปและมีจำนวนน้อยเกินไปอยู่ดี

14.พม่าขับรถชิดขวา แต่รถยนต์ส่วนใหญ่ดันเป็นรถมือสองที่มีพวงมาลัยขวา คนพม่าเลยต้องระวังการขึ้นลงรถเอาเอง

15.รถสปอร์ตหรือรถซุปเปอร์คาร์มือสองจากญี่ปุ่นมีราคาถูก พม่าเลยมีปัญหาเด็กแว๊นไม่ต่างกับเมืองไทย เพราะวัยรุ่นมีเงินมักจะใช้อำนาจปิดถนนแข่งรถซิ่ง จนเกิดกรณีขับรถชนคนตายแต่ไร้หลักฐาน

16.พม่ามีทางด่วนเพียงแห่งเดียวที่ย่างกุ้งที่เพิ่งเปิดใช้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

17.ด้านความบันเทิง รัฐบาลพม่าเพิ่งอนุญาตให้พลเมืองเข้า YouTube ได้เมื่อสองปีที่ผ่านมานี้เอง

18.ไม่มีสิ่งบันเทิงจากเกาหลีหรืออเมริกาขายในพม่า  เพราะรัฐบาลกลัวว่าคนพม่าจะเครซี่จนลืมวัฒนธรรมของตัวเอง  รัฐบาลยังมีสิทธิควบคุมเสื้อผ้าหน้าผม และสีผมของศิลปิน  ก่อนจะเผยแพร่มิวสิควีดีโอสู่สาธารณะ

19.ไม่มีกฎหมายการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในพม่า  ทำให้เกิดปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์จนของแท้ขายไม่ออก  ไม่ต่างจากเมืองไทยเลย

20.โรงหนังฉายหนังฝรั่งแบบเสียงในฟิล์ม  ไม่มีซับไตเติ้ลภาษาพม่า  คนดูจึงต้องรู้ภาษาอังกฤษดีทีเดียว

21.ไม่มีร้านฟาสต์ฟู้ดหรือร้านกาแฟชื่อดัง วัยรุ่นพม่านัดแฮงเอาท์กันที่ร้านชาริมถนนหรือ tea shop ร้านที่วัยรุ่นชอบไปชื่อร้าน Cafe 365 ส่วนร้านที่หรูๆเก๋ๆ ยกให้ร้านชื่อ Coffee Circle Yangon

22.คอนเสิร์ต MTV EXIT หน้าเจดีย์ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง เมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา ถือเป็นเวทีคอนเสิร์ตของศิลปินต่างชาติครั้งแรก  โดย Jason Mraz และ Michael Learns To Rock  เป็นศิลปินกลุ่มแรกที่ได้แสดงคอนเสิร์ตประวัติศาสตร์ครั้งนี้

23.ด้านการศึกษา วิชาสุดฮิตของนักศึกษาพม่าคือแพทยศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์เพราะเป้นวิชาที่มีเกียรติ มีคนยอมรับมาก

24.ภาษาที่นิยมเรียนมากที่สุดคือ ภาษาอังกฤษ ภาษาจีนและภาษาญี่ปุ่นตามลำดับ

25.การสอบเข้ามหาวิทยาลัยใช้การยื่นผลคะแนน  โดยทั้งประเทศมีข้อสอบชุดเดียวกันหมด

26.ด้านกีฬา คนพม่าชอบกีฬาฟุตบอลมากที่สุด มีลีกฟุตบอลอาชีพจริงจังในปี 2009 แต่ในเมืองใหญ่อย่างย่างกุ้งกลับมีสนามฟุตบอลมาตรฐานเพียงแห่งเดียว

27.กีฬาที่คนพม่าคาดหวังว่าจะได้รับเหรียญทอง  ได้แก่  มวย ฟุตบอลหญิงและเซปักตะกร้อ




 

Create Date : 23 ธันวาคม 2556   
Last Update : 23 ธันวาคม 2556 16:25:07 น.   
Counter : 1032 Pageviews.  


ซื้อ LTF เพื่อลดหย่อนภาษี ดีจริงไหม ซื้ออย่างไรให้มีประสิทธิภาพ

 
ซื้อกองทุน LTF อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ 
            ความนิยมในการลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2553 ที่ผ่านมา ยอดเงินลงทุนในกองทุน LTF สูงถึง 129,580 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ประมาณ 51.56%  ประโยชน์หลักของการลงทุนกองทุน LTF คือการลดหย่อนภาษี และกำไรจากการลงทุน แต่ใช่ว่า การลงทุนในกองทุน LTF จะเหมาะกับทุกคน เพราะการลงทุนในกองทุนดังกล่าวมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากเป็นการลงทุนในกองทุนหุ้น นักลงทุนจึงมีโอกาสขาดทุนได้ บทความฉบับนี้จึงขอแนะนำวิธีการลงทุนกองทุน LTF ให้เกิดประโยชน์สูงที่สุดค่ะ

พิจารณาฐานภาษีสูงสุดของคุณว่าอยู่ที่เท่าไร

            หลักการคิดจำนวนเงินที่จะได้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการลงทุนกองทุน LTF คือ

           

 

 

 

            ยกตัวอย่างเช่น คุณมีฐานภาษีสูงสุด 20% และซื้อกองทุน LTF เป็นเงิน 50,000 บาท ดังนั้น คุณจะสามารถลดหย่อนภาษีจากการลงทุนครั้งนี้ได้ 10,000 บาท (ทั้งนี้ ยอดเงินที่สามารถลดหย่อนภาษีอาจน้อยกว่า 10,000 บาท หากรายได้ที่ตกในฐานภาษี 20% เป็นเงินน้อยกว่า 50,000 บาท) ดังนั้น คนที่มีฐานภาษีอยู่ในระดับสูงจะได้รับประโยชน์จากการซื้อกองทุน LTF เป็นอย่างมาก เสมือนซื้อหุ้นได้ถูกกว่าคนอื่น เช่น หากคุณ     ซึ้อกองทุน LTF ที่ดัชนี 1,000 จุด และฐานภาษีสูงสุดอยู่ที่ 30% ต้นทุนในการซื้อกองทุนของคุณจะเสมือนซื้อที่ดัชนี 700 จุด ในทางตรงกันข้าม หากฐานภาษีสูงสุดของคุณอยู่ที่ 10% คุณจะสามารถซื้อหุ้นที่ดัชนี 900 จุด ดังนั้น ในช่วงที่ดัชนีหุ้นปรับตัวสูงขึ้นเป็นอย่างมาก การซื้อกองทุน LTF ของผู้ที่มีฐานภาษีสูงสุดที่ 10% อาจไม่คุ้มค่า เนื่องจาก เมื่อคุณถือกองทุนครบ 5 ปีปฏิทิน และต้องการขาย คุณมีโอกาสขาดทุนจากการลงทุนครั้งนี้ เพราะต้นทุนในการลงทุนของคุณอยู่ในระดับสูง

            ดังนั้น หากฐานภาษีสูงสุดของคุณอยู่ที่ 10% ก่อนซื้อกองทุน LTF อย่าลืมตรวจสอบภาวะตลาดหุ้นว่า อยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง หากดัชนีปรับตัวสูงขึ้นมามากและโอกาสปรับขึ้นได้ต่อมีน้อย ขอแนะนำให้ชะลอการซื้อกองทุน LTF ไปก่อนค่ะ

            ทยอยซื้อกองทุน หรือซื้อก้อนเดียวปลายปีดีกว่ากัน

            นักลงทุนหลายคนนิยมซื้อกองทุน LTF ช่วงเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม เนื่องจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนต่างๆ มักจะจัดโปรโมชั่นที่น่าสนใจในช่วงนั้น และนักลงทุนสามารถนำเงินโบนัสที่ได้ในช่วงปลายปีมาซื้อได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ความนิยมดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้น และทำให้ต้นทุนในการซื้อกองทุน LTF มากขึ้น ดังนั้น พวกของสมนาคุณที่คุณได้รับมีโอกาสไม่คุ้มค่ากับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ ดังนั้น ขอแนะนำให้ลงทุนแบบทยอยซื้อดีกว่าค่ะ แต่จะทยอยซื้ออย่างไรนั้น สามารถแบ่งตามประเภทของนักลงทุนได้ 2 แบบค่ะ

1. มีเวลาติดตามสภาวะตลาด หากคุณเป็นผู้ที่มีประสบการณ์การลงทุนในหุ้น และมีเวลาติดตามสภาวะตลาดแล้ว แนะนำให้ทยอยซื้อ เมื่อดัชนีหุ้นอ่อนตัวลงค่ะ

2. ไม่มีเวลาติดตามสภาวะตลาด หากคุณงานยุ่งจนไม่สามารถติดตามภาวะตลาดหุ้นได้ แนะนำให้ลงทุนแบบ Dollar Cost Averaging หรือซื้อแบบเฉลี่ยราคา เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ปัจจุบัน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนหลายแห่งมีบริการหักเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์อัตโนมัติ เพื่อลงทุนในกองทุน LTF จะช่วยให้คุณสามารถลงทุนได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้นค่ะ

ศึกษาข้อมูลกองทุน LTF ต่างๆ ก่อนเข้าลงทุน

ปัจจุบัน กองทุน LTF ในประเทศไทยมีทั้งสิ้น 52 กองทุน จาก 20 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ดังนั้น การเลือกซื้อกองทุน LTF คงเป็นเรื่องยากสำหรับหลายๆ คน ขอแนะนำเทคนิคในการซื้อกองทุน LTF ดังนี้

1. เลือกนโยบายการลงทุน กองทุน LTF มีนโยบายลงทุนในหุ้นอย่างน้อย 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ดังนั้น ผลการดำเนินงานของกองทุนมักจะเคลื่อนไหวขึ้นลงตามภาวะตลาดหุ้น อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการลดความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นลง คุณสามารถเลือกลงทุนในกองทุนที่ระบุว่าลงทุนในหุ้นไม่เกิน 70% หรือ 75% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน หรือเลือกกองทุนที่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Short Futures) ซึ่งจะช่วยให้มูลค่าหน่วยลงทุนไม่แกว่งตัวตามการขึ้นลงของตลาดหุ้น

2. เลือกนโยบายการจ่ายเงินปันผล กองทุน LTF มีทั้งแบบจ่ายเงินปันผลและไม่จ่ายเงินปันผล หากคุณเลือกแบบจ่ายเงินปันผล คุณมีโอกาสได้รับผลตอบแทนระหว่างการลงทุน แต่เงินปันผลที่ได้รับจะต้องเสียภาษี ซึ่งสามารถเลือกว่าจะหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% หรือนำมารวมคำนวณในการยื่นภาษีเงินได้ประจำปี โดยขอแนะนำให้เลือกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ดีกว่าค่ะ เนื่องจาก หากคุณเลือกมารวมคำนวณในการยื่นภาษีเงินได้ คุณจะต้องเสียภาษีในอัตราที่เป็นฐานภาษีสูงที่สุดของคุณ ซึ่งมีโอกาสมากกว่า 10% ค่ะ

3. เลือกกองทุนที่มีผลการดำเนินงานดี เมื่อเลือกนโยบายการลงทุนที่เหมาะกับตนเองแล้ว การเลือกกองทุนที่จะลงทุนเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากค่ะ โดยผลการดำเนินงานย้อนหลังจะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานย้อนหลังที่ดีไม่ใช่สิ่งที่จะรับประกันได้ว่า กองทุนจะมีผลงานที่ดีเสมอไป ดังนั้น หลังจากที่ลงทุนกองทุน LTF ไปแล้ว คุณควรติดตามผลงานของกองทุนที่คุณถือว่ามีผลงานที่ดี เมื่อเทียบกับกองทุนอื่นๆ หรือไม่ หากผลการดำเนินงานไม่เป็นที่น่าพอใจ คุณสามารถสับเปลี่ยนไปยังกองทุน LTF อื่นได้ในภายหลังค่ะ สำหรับผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน LTF คุณสามารถตรวจสอบได้จากเวบไซต์ของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน: www.aimc.or.th

การซื้อกองทุน LTF แม้ว่าจะสามารถช่วยลดหย่อนภาษีได้ แต่การลงทุนในกองทุนดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงด้วยเช่นกัน เนื่องจากเป็นการลงทุนในหุ้น ดังนั้น หากคุณไม่สามารถรับความเสี่ยงระดับสูง แต่ต้องการลดหย่อนภาษี คุณสามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลื้ยงชีพ (RMF) หรือประกันชีวิต ซึ่งมีความเสี่ยงน้อยกว่าแทนได้ค่ะ


ยอดเงินลงทุน (ไม่เกิน 15% ของรายได้ หรือ 500,000 บาท) x ฐานภาษีสูงสุด

ซื้อกองทุน LTF อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ 

 

            ความนิยมในการลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2553 ที่ผ่านมา ยอดเงินลงทุนในกองทุน LTF สูงถึง 129,580 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ประมาณ 51.56%  ประโยชน์หลักของการลงทุนกองทุน LTF คือการลดหย่อนภาษี และกำไรจากการลงทุน แต่ใช่ว่า การลงทุนในกองทุน LTF จะเหมาะกับทุกคน เพราะการลงทุนในกองทุนดังกล่าวมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากเป็นการลงทุนในกองทุนหุ้น นักลงทุนจึงมีโอกาสขาดทุนได้ บทความฉบับนี้จึงขอแนะนำวิธีการลงทุนกองทุน LTF ให้เกิดประโยชน์สูงที่สุดครับ

 

พิจารณาฐานภาษีสูงสุดของคุณว่าอยู่ที่เท่าไร

 

            หลักการคิดจำนวนเงินที่จะได้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการลงทุนกองทุน LTF คือ

 

ยอดเงินลงทุน (ไม่เกิน 15% ของรายได้ หรือ 500,000 บาท) x ฐานภาษีสูงสุด

            ยกตัวอย่างเช่น คุณมีฐานภาษีสูงสุด 20% และซื้อกองทุน LTF เป็นเงิน 50,000 บาท ดังนั้น คุณจะสามารถลดหย่อนภาษีจากการลงทุนครั้งนี้ได้ 10,000 บาท (ทั้งนี้ ยอดเงินที่สามารถลดหย่อนภาษีอาจน้อยกว่า 10,000 บาท หากรายได้ที่ตกในฐานภาษี 20% เป็นเงินน้อยกว่า 50,000 บาท) ดังนั้น คนที่มีฐานภาษีอยู่ในระดับสูงจะได้รับประโยชน์จากการซื้อกองทุน LTF เป็นอย่างมาก เสมือนซื้อหุ้นได้ถูกกว่าคนอื่น เช่น หากคุณ     ซึ้อกองทุน LTF ที่ดัชนี 1,000 จุด และฐานภาษีสูงสุดอยู่ที่ 30% ต้นทุนในการซื้อกองทุนของคุณจะเสมือนซื้อที่ดัชนี 700 จุด ในทางตรงกันข้าม หากฐานภาษีสูงสุดของคุณอยู่ที่ 10% คุณจะสามารถซื้อหุ้นที่ดัชนี 900 จุด ดังนั้น ในช่วงที่ดัชนีหุ้นปรับตัวสูงขึ้นเป็นอย่างมาก การซื้อกองทุน LTF ของผู้ที่มีฐานภาษีสูงสุดที่ 10% อาจไม่คุ้มค่า เนื่องจาก เมื่อคุณถือกองทุนครบ 5 ปีปฏิทิน และต้องการขาย คุณมีโอกาสขาดทุนจากการลงทุนครั้งนี้ เพราะต้นทุนในการลงทุนของคุณอยู่ในระดับสูง

 

            ดังนั้น หากฐานภาษีสูงสุดของคุณอยู่ที่ 10% ก่อนซื้อกองทุน LTF อย่าลืมตรวจสอบภาวะตลาดหุ้นว่า อยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง หากดัชนีปรับตัวสูงขึ้นมามากและโอกาสปรับขึ้นได้ต่อมีน้อย ขอแนะนำให้ชะลอการซื้อกองทุน LTF ไปก่อนครับ

 

            ทยอยซื้อกองทุน หรือซื้อก้อนเดียวปลายปีดีกว่ากัน

 

            นักลงทุนหลายคนนิยมซื้อกองทุน LTF ช่วงเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม เนื่องจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนต่างๆ มักจะจัดโปรโมชั่นที่น่าสนใจในช่วงนั้น และนักลงทุนสามารถนำเงินโบนัสที่ได้ในช่วงปลายปีมาซื้อได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ความนิยมดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้น และทำให้ต้นทุนในการซื้อกองทุน LTF มากขึ้น ดังนั้น พวกของสมนาคุณที่คุณได้รับมีโอกาสไม่คุ้มค่ากับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ ดังนั้น ขอแนะนำให้ลงทุนแบบทยอยซื้อดีกว่าครับ แต่จะทยอยซื้ออย่างไรนั้น สามารถแบ่งตามประเภทของนักลงทุนได้ 2 แบบครับ

 

1. มีเวลาติดตามสภาวะตลาด หากคุณเป็นผู้ที่มีประสบการณ์การลงทุนในหุ้น และมีเวลาติดตามสภาวะตลาดแล้ว แนะนำให้ทยอยซื้อ เมื่อดัชนีหุ้นอ่อนตัวลงครับ

 

2. ไม่มีเวลาติดตามสภาวะตลาด หากคุณงานยุ่งจนไม่สามารถติดตามภาวะตลาดหุ้นได้ แนะนำให้ลงทุนแบบ Dollar Cost Averaging หรือซื้อแบบเฉลี่ยราคา เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ปัจจุบัน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนหลายแห่งมีบริการหักเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์อัตโนมัติ

 

เพื่อลงทุนในกองทุน LTF จะช่วยให้คุณสามารถลงทุนได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้นครับ

 

ศึกษาข้อมูลกองทุน LTF ต่างๆ ก่อนเข้าลงทุน

 

ปัจจุบัน กองทุน LTF ในประเทศไทยมีทั้งสิ้น 52 กองทุน จาก 20 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ดังนั้น การเลือกซื้อกองทุน LTF คงเป็นเรื่องยากสำหรับหลายๆ คน ขอแนะนำเทคนิคในการซื้อกองทุน LTF ดังนี้

 

1. เลือกนโยบายการลงทุน กองทุน LTF มีนโยบายลงทุนในหุ้นอย่างน้อย 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ดังนั้น ผลการดำเนินงานของกองทุนมักจะเคลื่อนไหวขึ้นลงตามภาวะตลาดหุ้น อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการลดความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นลง คุณสามารถเลือกลงทุนในกองทุนที่ระบุว่าลงทุนในหุ้นไม่เกิน 70% หรือ 75% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน หรือเลือกกองทุนที่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Short Futures) ซึ่งจะช่วยให้มูลค่าหน่วยลงทุนไม่แกว่งตัวตามการขึ้นลงของตลาดหุ้น

 

2. เลือกนโยบายการจ่ายเงินปันผล กองทุน LTF มีทั้งแบบจ่ายเงินปันผลและไม่จ่ายเงินปันผล หากคุณเลือกแบบจ่ายเงินปันผล คุณมีโอกาสได้รับผลตอบแทนระหว่างการลงทุน แต่เงินปันผลที่ได้รับจะต้องเสียภาษี ซึ่งสามารถเลือกว่าจะหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% หรือนำมารวมคำนวณในการยื่นภาษีเงินได้ประจำปี โดยขอแนะนำให้เลือกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ดีกว่าครับ เนื่องจาก หากคุณเลือกมารวมคำนวณในการยื่นภาษีเงินได้ คุณจะต้องเสียภาษีในอัตราที่เป็นฐานภาษีสูงที่สุดของคุณ ซึ่งมีโอกาสมากกว่า 10% ครับ

 

3. เลือกกองทุนที่มีผลการดำเนินงานดี เมื่อเลือกนโยบายการลงทุนที่เหมาะกับตนเองแล้ว การเลือกกองทุนที่จะลงทุนเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากครับ โดยผลการดำเนินงานย้อนหลังจะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานย้อนหลังที่ดีไม่ใช่สิ่งที่จะรับประกันได้ว่า กองทุนจะมีผลงานที่ดีเสมอไป ดังนั้น หลังจากที่ลงทุนกองทุน LTF ไปแล้ว คุณควรติดตามผลงานของกองทุนที่คุณถือว่ามีผลงานที่ดี เมื่อเทียบกับกองทุนอื่นๆ หรือไม่ หากผลการดำเนินงานไม่เป็นที่น่าพอใจ คุณสามารถสับเปลี่ยนไปยังกองทุน LTF อื่นได้ในภายหลังครับ สำหรับผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน LTF คุณสามารถตรวจสอบได้จากเวบไซต์ของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน: www.aimc.or.th

 

การซื้อกองทุน LTF แม้ว่าจะสามารถช่วยลดหย่อนภาษีได้ แต่การลงทุนในกองทุนดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงด้วยเช่นกัน เนื่องจากเป็นการลงทุนในหุ้น ดังนั้น หากคุณไม่สามารถรับความเสี่ยงระดับสูง แต่ต้องการลดหย่อนภาษี คุณสามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลื้ยงชีพ (RMF) หรือประกันชีวิต ซึ่งมีความเสี่ยงน้อยกว่าแทนได้ครับ

 

 

ขอขอบคุณ คุณ ปานตา ฉัตรมาศ , CFP

ฝ่ายวางแผลและให้คำปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล ธนาคารกสิกรไทย




 

Create Date : 20 พฤศจิกายน 2556   
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2556 17:17:49 น.   
Counter : 885 Pageviews.  


ก่อนเปลี่ยนงานต้องจัดการอะไรกันบ้าง

  เพื่อนๆครับ เคยไหมครับ เวลางานเยอะๆ หรือ มีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน หรืออะไรต่างๆที่มาจากการทำงาน เหนื่อยจนบางครั้งอยากที่จะเปลี่ยนงานให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเลย  วันนี้ผมจะมา share กับเพื่อนๆในเรื่องเหล่านี้ครับ ว่าก่อนที่เราจะเปลี่ยนงานนั้นเราจะต้องคำนึงถึงเรื่องอะไรบ้าง

          เรื่องแรกเลย เราต้องเช็คสุขภาพทางการเงินกันก่อนนะครับ เพื่อความมั่นใจว่าฐานะของเราพร้อมที่จะเดินทางไปสู่จุดเปลี่ยนแล้ว   เพราะถ้าเกิดเราลาออกขึ้นมาโดยที่มีงานใหม่รองรับอยู่แล้ว คงไม่ต้องคำนึงอะไรมาก แต่ถ้ามีภาระมากมายที่รออยู่ข้างหลัง โดยที่เมื่อเราลาออกแล้วไม่มีที่ทำงาน อันนี้เรียกว่าไม่ฉลาดเลยนะครับ ทางที่ดีควรจะมีเงินที่จะ ซัพพอร์ทหนี้สินทางการเงินเหล่านี้ก่อน เช่น ถ้ามีค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณ 10,000 บาท ให้เพื่อนๆตุนเงินไว้ประมาณ 60,000 บาท จะได้ใช้ชีวิตอย่างสบายๆ เพราะต่อให้ตกงานสักครึ่งปีก็ยังไหว เพราะอย่างน้อยเราก็มีเงินสำรองไว้แล้ว

         บางคนอาจมีภาระเรื่องการลงทุนอยู่เช่น ต้องหักภาษีเข้ากองทุนหรือเงินฝากประจำ ตรงนี้คงต้องดูว่าสามารถหยุดการลงทุนได้ไหม  เมื่อเช็คอย่างรอบคอบแล้วจึงค่อยดำเนินการขั้นต่อไป  คราวนี้มาดูกันว่าต้องสะสางเรื่องอะไรต่อบ้าง

อันดับแรก

    ต้องจัดการเรื่อง " ประกันสังคม " ตรงนี้มี 2 กรณี ถ้าออกไปทำงานบริษัทใหม่ คุณอาจไม่จำเป็นต้องจัดการเรื่องประกันสังคม แต่ถ้าออกแล้วยังไม่มีงานประจำรองรับ หรือจะไปเป็นฟรีแลนซ์ คุณต้องจัดการเกี่ยวกับประกันสังคม เรื่องเงินช่วยเหลือกรณีว่างงาน  และเลือกว่าจะรักษาสิทธิ์ความคุ้มครองจากสำนักงานประกันสังคมต่อไปหรือไม่ ตรงนี้รายละเอียดค่อนข้างเยอะและซับซ้อน ถ้าไม่แน่ใจ โทรสายด่วน 1506 เพื่อปรึกษาผู้รู้โดยตรงดีกว่า

    คนที่สะสมเงินเข้ากองทุนประกันสังคมมาแล้ว ต้องอย่าลืมว่าคุณมีสิทธิที่จะได้รับเงินชดเชยกรณีว่างงาน สำหรับผู้ถูกเลิกจ้างจะได้รับประโยชน์ทดแทนในอัตรา 50 % ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 180 วัน สำหรับผู้ลาออกจากงาน  ได้รัรบในอัตรา 30% ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 90 วัน ตามเงื่อนไขในการส่งเงินสมทบแต่ละกรณี โดยผู้ประกันตนจะต้องไปขึ้นทะเบียนกางานที่สำนักงานจัดหางานของรัฐภายใน 30 วันนับแต่วันที่ว่างงาน

  ดังนั้น ควรจะไปยื่นเรื่องขอเบิกเงินค่าชดเชยที่ประกันสังคม  เพื่อใช้เป้นต้นทุนในช่วงหางานใหม่  ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นเงินค่อนข้างน้อย และแน่นอนว่าไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพในระยะยาวแน่นอน ถึงแม้จะเป็นเงินไม่มากนักก็ตาม  แต่ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน  เงินก้อนนี้อาจจะช่วยคุณแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าได้ไม่มากก็น้อย 

   แต่ไม่ว่าจะได้งานใหม่หรือยังไม่ได้ก็ตาม  เรื่องเงินทองที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ " เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ " เป็นเรื่องที่คุณต้องจัดการเมื่อคิดจะเปลี่ยนงาน เพราะถ้ามีงานใหม่รออยู่ จะได้ทำเรื่องโอนเงินที่สะสมไว้อยู่แล้วไปเข้ากองทุนของบริษัทใหม่อย่างไม่ขาดตอน

   กรณียังไม่ได้งานใหม่ คุณยังสามารถคงเงินไว้ในกองทุนต่อไปจนกว่าจะได้งานใหม่ แล้วค่อยย้ายกองทุนไปที่กองทุนของที่ทำงานใหม่

   ส่วนทางเลือกที่ไม่แนะนำเลยก็คือ  เอาเงินออกจากกองทุนเพื่อนำมาใช้จ่าย  ยกเว้นเสียแต่ว่าคุณต้องใช้เงินก้อนเพื่อเอาไปใช้ในการลงทุนต่อยอดธุรกิจหรือจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ 

     แต่เงินที่ได้รับจากกองทุนในส่วนของเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสะสมจะต้องถูกหักภาษีตามเงื่อนไขเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

     นี่แค่เรื่องหลักๆนะครับ ที่จริงยังมีอีกหลายอย่างที่คุณต้องใส่ใจมากขึ้นเมื่อคุณคิดจะเปลี่ยนงาน  เพราะการเปลี่ยนงานเป้นเรื่องใหญ่ในชีวิต  เอาเป้นว่าถ้าสุขภาพการเงินไม่ฟิตพอ  ลองคิดหน้าคิดหลังให้พี่ถ้วนดีกว่านะครับ




 

Create Date : 19 พฤศจิกายน 2556   
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2556 16:44:52 น.   
Counter : 1050 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

ผู้ประสบภัยจากความรัก
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




[Add ผู้ประสบภัยจากความรัก's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com