X - Men : First Class (2011)


Cast:

James McAvoy [Charles Xavier]
Michael Fassbender [Erik Lehnsherr / Magneto]
Kevin Bacon [Sebastian Shaw]
Rose Byrne [Moira MacTaggert]
Jennifer Lawrence [Raven / Mystique]
Álex González [Janos Quested / Riptide]
Jason Flemyng [Azazel]
Zoë Kravitz [Angel Salvadore]
January Jones [Emma Frost]
Nicholas Hoult [Hank McCoy / Beast]
Caleb Landry Jones [Sean Cassidy / Banshee]
Edi Gathegi [Armando Muñoz / Darwin]
Lucas Till [Alex Summers / Havok]

Review:

เรื่องราวปฐมบทแห่งการต่อสู้ของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหลาย ย้อนกลับไปดูจุดเริ่มต้นของบุคคลผู้เป็นแกนทั้ง 2 คนอย่าง Professor X หรือ ชาร์ล เซเวีย (James McAvoy) และ Magneto หรือ เอริค เลห์นเชอร์ (Michael Fassbender) ทั้ง 2 คน เติบโตขึ้นมาในสถานที่และโชคชะตาที่ต่างกันมาก แต่สิ่งที่พวกเขาเหมือนกันคือ พวกเขาต่างก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ด้วยกันทั้งคู่ ชาร์ล เซเวีย มีความสามารถในการเข้าถึงจิตใจของผู้คนและควบคุมสำนึกของคนเหล่านั้นได้ เอริค เลห์นเชอร์ มีความสามารถในการบังคับควบคุมโลหะทุกชนิดได้ โชคชะตานำพาทั้ง 2 คน มาพบกันเมื่อ เซบาสเตียน ชอว์ (Kevin Bacon) ผู้ก่อการร้ายซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มมนุษย์กลายพันธุ์ที่ต้องการก่อให้เกิดสงครามปรากฎตัวขึ้น หน่วยงานของรัฐจึงได้ขอความช่วยเหลือ ชาร์ล เซเวีย ในฐานะศาสตราจารย์ด้านการกลายพันธ์ และในการออกติดตามความจรงเรื่องนี้ทำให้ชาร์ลได้พบกับเอริค และร่วมมือกันสร้างกลุ่มมนุษย์กลายพันธุ์รุ่นแรกขึ้นมาเพื่อหยุดยั้งแผนการของ เซบาสเตียน ชอว์ เรื่องราวของชาร์ลและเอริคจะเป็นยังไง? ทัศนคติของพวกเขาที่จะกำหนดอนาคตของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์จะเป็นอย่างไร? ติดตามได้ใน X-Men ภาคที่ดีที่สุดภาคนี้ครับ

คำถามที่ผมมักพบบ่อยๆเวลาแนะนำให้ใครไปดูหนังเรื่องนี้คือ ถ้าไม่เคยดูภาคอื่นๆมาก่อนจะดูรู้เรื่องไหม? ผมจะตอบทันทีว่ารู้เรื่องสิเพราะมันเป็นเหมือนภาคแรกของภาคที่ผ่านๆมา ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าไม่เคยดูมาก่อนจะดีกว่าอีกนะครับจะได้เปิดรับและไม่นั่งจับผิดกับหนังเกินไปครับ ผมเองเคยดู X-Men มาทุกภาคแน่นอนว่าอยากดูภาคนี้ค่อนข้างมาก เพราะอยากรู้ว่าจุดเริ่มของชาร์ลและเอริคจริงๆจะเป็นยังไง เริ่มมาเราได้เห็นชีวิตวัยเด็กที่แตกต่างของชาร์ลและเอริคผมชอบส่วนนี้นะครับ หนังใช้เวลาไม่นานแต่กลับบอกได้ดีถึงแนวคิดของชาร์ลและเอริคที่จะแตกต่างกันมากในอนาคต ขอบอกว่าภาพของชาร์ลในช่วงวัยรุ่นต่างกับบุคลิกที่ผมคิดไว้พอควรเลยครับ หนังจับเอาเรื่องความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและอเมริกามาเป็นพื้นหลังในการเล่าเรื่องทำให้หนังดูมีนำหนักที่เหมาะสมดีทีเดียว แต่ที่ผมชอบที่สุดคือ หนังสามารถเล่าที่มาที่ไปของตัวละครได้อย่างมีมิติตลอดจนความเชื่อมโยงของเนื้อหากับภาคอื่นๆได้เป็นอย่างดี ชาร์ลและเอริคทำไมถึงมีจุดยืนที่ต่างกัน? ทั้งที่ทั้ง 2 เป็นเพื่อนกัน หนังถ่ายทอดพัฒนาการความคิดของตัวละครทั้ง 2 ดีมากๆครับ ในรายละเอียดย่อยเกี่ยวกับความเชื่อมโยงอื่นๆก็ถือว่าผ่านสบายๆครับ สำหรับผมถือว่าเป็น X-Men ที่ดีที่สุดครับ




มาที่รายละเอียดนักแสดงกันบ้างครับ ขอเริ่มที่ เจมส์ แม็คอวอย ในบท ชาร์ล เซเวีย นะครับ แรกเลยผมขอยอมรับแบบไม่อายเลยว่าตอนประกาศรายชื่อนักแสดงว่าหมอนี่จะรับบทนี้ผมค่อนข้างโวยวายว่าไม่มีใครแล้วหรอวะ อาจเพราะผมติดภาพของเขาตอนที่แสดงในเรื่อง Wanted ก็ได้ครับ แต่พอดูหนังเข้าไปจริงๆผมลืมเลยครับ กลับเป็นการแสดงอันยอดเยี่ยมของแม็คอวอยที่ทำให้ผมเห็นบุคลิกของ ชาร์ล เซเวีย และหลงรักตัวละครตัวนี้ได้ง่ายๆไปเลยครับ เขาแสดงได้ดีมากทั้งท่าทางและแววตาที่ลุ่มลึกคู่นั้นครับ อีกคนคือ ไมเคิ่ล ฟาสเบนเดอร์ ผมไม่เคยติดตามงานเก่าๆของเขา แต่ในเรื่องนี้บทของ เอริค เลห์นเชอร์ ที่ต้องแสดงออกทางสีหน้าและท่าทางที่มากกว่าคำพูด เขาแสดงได้เยี่ยม ทำให้เชื่อว่าเอริคเป็นคนแบบนี้จริงๆ ฉากที่ผมชอบมากคือ ฉากการเล่นหมากรุกของชาร์ลและเอริคที่แสดงออกถึงอารมณ์ทางสีหน้าและการตอบโต้กันได้ดีมากๆเลยครับ ส่วนนักแสดงคงอื่นก็ตามมาตรฐานครับไม่ได้เด่นอะมากมายครัย 

ขอให้สนุกนะครับ ผมเชื่อว่าเป็นหนังที่มีความลงตัวในฐานะหนังภาคต่อมากๆเรื่องหนึงเลยครับ






Create Date : 19 ธันวาคม 2555
Last Update : 25 ตุลาคม 2557 22:35:39 น.
Counter : 1333 Pageviews.

0 comment
Lockout : แหกคุกกลางอวกาศ (2012)




Cast

Guy Pearce [Snow]
Maggie Grace [Emilie Warnock]
Vincent Regan [Alex]
Joseph Gilgun [Hydell]

Review

MS One (Maximum Security One) ยานอวกาศที่ล้ำสมัยและมีระบบป้องกันความปลอดภัยที่สูงสุด ในยานขนาดใหญ่ลำนี้ได้บรรจุอาชญากรที่สุดแสนจะอันตรายไว้ 500 คน โดยถูกขังเอาไว้ในสภาวะจำศีลทั้งหมด MS One จึงเปรียบเสมือนคุกในอวกาศที่ใช้กักขังอาชญากรตัวสำคัญที่ไม่มีวันจะได้ออกมาอีก เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ เอมิลี่ (Maggie Grace) ลูกสาวประธานาธิบดีเดินทางขึ้นไปที่ยาน MS One เพื่อไปทำหน้าที่เรื่องสิทธิมนุษยชนของคนในคุก แต่ดันเกิดความผิดพลาดทำให้นักโทษทั้งหมดหลุดออกมาได้ เพื่อการช่วยเอมิลี่ประธานาธิบดีจำเป็นต้องส่งอดีตเจ้าหน้าที่ฝีมือดีซึ่งโดนใส่ความว่าฆ่าคนตายอย่างสโนว์ (Guy Pearce) ลอบบุกเดี่ยวขึ้นไปช่วยเอมิลี่ออกมาให้ได้ ภารกิจของสโนว์จะสำเร็จหรือไม่? เอมิลี่จะรอดพ้นจากเงื้อมมือของอาชญากรทั้งหลายได้หรือไม่? ติดตามได้ในหนังแอ็คชั่นแห่งอนาคตเรื่องนี้ครับ

เข้าสู่เนื้อหาการรีวิวกันเลยนะครับ ก่อนอื่นเลยผมต้องบอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ผมตั้งตารอจะดูเรื่องหนึ่งนะครับ ผมดูตัวอย่างแล้วสนใจจนคิดตามว่าคุกกลางอวกาศบุกเดี่ยวเข้าไปเพื่อช่วยคนๆดียว มันต้องเป็นหนังที่สนุกเร้าใจและมีฉากแอ็คชั่นเยอะๆประมาณดูเอามันไม่ต้องคิดอะไรประมาณนี้ครับ แต่สิ่งที่พบตลอดทั้งเรื่องกลับไม่สมใจผมเท่าไรนัก เริ่มเรื่องมามีการปูพื้นความเข้าใจเรื่อง MS One พอสมควรเรื่องราวดำเนินไปเอมิลี่โดนจับ มีการเจรจาต่อรองระหว่างตัวประกันช่วงนี้ถือว่าสนุกและได้ลุ้นดีครับ ช่วงกลางเรื่องสโนว์ขึ้นไปบนยานอวกาศ จนกระทั่งเจอเอมิลี่มีการต่อสู้กับอาชญากรตัวกระจอกบ้างแต่ก็ไม่มีแอ็คชั่นอะไรมากมาย ผมก็รอว่าถ้าเจอไอ้ตัวหลักๆเนี่ยจะมีให้ได้เฮกันบ้าง แต่ปรากฎว่าตัวร้ายตัวหลักมันตายเอาง่ายๆเลยไปดูกันเองนะครับ เล่นเอาผมเซ้งเลยครับ สิ่งที่ผมอยากบอกนะครับว่าหนังดีระดับหนึ่งแต่มันไม่สุดอะไรครับ เหมือนอารมณ์มันไม่ถึงที่สุดครับ การเล่าเรื่องและปูพื้นหลังตัวละครก็น้อยไปนะครับ ดูจบแล้วยังสงสัยในบางประเด็นอยู่เลยนะครับ ผมถือว่าเป็นหนังที่จบลงแต่ค้างคาอย่างยิ่งครับ

มาที่นักแสดงกันบ้างนะครับ ส่วนหนึ่งที่ผมอยากดูเรื่องนี้เพราะ 2 นักแสดงนำครับ คนแรกพระเอกของเรา กาย เพียรซ์ ผมยอมรับว่าชอบผลงานการแสดงของเขานะครับ กลับมาครั้งแรกในรอบหลายปีกับหนังแอ็คชั่นฟอร์มดีต้องมีของมาปล่อยแน่นอนครับ ส่วนตัวผมว่าเขาเล่นได้ดีตามมาตรฐานของเขานะครับ แต่ด้วยบทที่ค่อนข้างหลวมทำให้มันยังไม่ดี แต่เฮียกายก็รับบทสโนว์ได้ดีและผมก็ชอบนะครับ อีกคนคือนางเอกครับ แม็คกี้ เกรซ ผมรู้จักเธอจากซีรีย์เนื่อง Lost นะครับและติดตามผลงานของเธอมาตลอด เรื่องนี้รับบทเป็นผู้ใหญ่หน่อยการแสดงออกผมว่ายังขาดความลุ่มลึกในบทไปนิดแต่ก็ถือว่าผ่านนะครับ หลายๆฉากที่ต้องเล่นกับกาย เพียรซ์ ยังดูตามประสบการณ์ของเฮียกายไม่ทันครับ แต่เรื่องความน่ารักผ่านสบายครับ(อันนี้ส่วนตัวมากๆ)

สรุปเป็นหนังที่ดูได้และไม่ต้องคิดอะไรมากครับ แนะนำให้ดูเอามันส์ไม่ต้องคาดหวังให้มาก หนังดูได้ตลอดไม่มีฉากเบื่อครับ ขอให้สนุกนะครับถ้าจะหามาชมกัน



กาย เพียรซ์ กลับมารับบทพระเอกอีกครั้งหลังจากพักไปนาน (คิดถึงมาก)



แม็คกี้ เกรซ กับบทลูกสาวประธานาธิบดีทีรอการมาช่วยเหลือของสโนว์



พระเอกกับนางเอกก็เถียงกันแทบตลอดทาง แต่ตอนหลังก็...



บุกเดี่ยวขึ้นมาช่วยเอมิลี่อาวุธครบมือแต่ใช้น้อยไปไหม



ผมชอบฉากนี้นะครับคนเขียนบทเขียนได้เวอร์มาก กระโดดจากยานอวกาศมาที่โลกเลย



Create Date : 08 สิงหาคม 2555
Last Update : 21 มีนาคม 2559 18:04:11 น.
Counter : 3107 Pageviews.

0 comment
A Little Thing Called Love : สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก (2010)







Cast

มาริโอ้ เมาเร่อ (พี่โชน)
พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ (น้ำ)
ตุ๊กกี้ ชิงร้อยฯ (ครูอิน)
พีรวัชร์ เหราบัตย์ (ครูพล)
พิจิตรา สิริเวชพันธ์ (ครูอร)
อัครณัฐ อริยฤทธิ์วิกุล (ท็อป)
กชามาศ พรหมสาขา ณ สกลนคร (ปิ่น)

Review

เรื่องราวของน้ำ (พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์) สาวน้อยชั่น ม.1 ที่หน้าตาไม่ค่อยจะสวยเท่าไรนัก ที่บังเอิญได้พบกับโชน (มาริโอ เมาเร่อ) รุ่นพี่ ม.4 ที่โรงเรียนเดียวกันและเกิดอาการปลื้มอย่างแรง น้ำจึงพยายามทุกทางที่จะทำให้ตนเองอยู่ในสายตาของโชนให้ได้ แต่สิ่งที่ยากคือโชนเองเป็นหนุ่มฮอตหมายเลขหนึ่งของโรงเรียนหน้าตาหล่อขั้นเทพ เป็นนักฟุตบอลโรงเรียน และที่สำคัญนิสัยดีมากๆจึงไม่แปลกเลยที่ใครจะหลงชอบโชนในขณะที่น้ำเองเป็นสาวน้อย ม.1 หน้าตาไม่ค่อยดีและน้ำจะทำอะไรก็ดูจะยากไปเสียหมด แต่ด้วยความรักที่มีน้ำและเพื่อนจึงพยายามวางแผนและทำสารพัดวิธีให้น้ำดูดีขึ้นและหาโอกาสให้โชนมาสนใจน้ำให้ได้ ติดตามวิธีการน่ารักๆในแบบที่คุณอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ว่าคุณเคยทำมาก่อน ตลอดจนบทสรุปความรักของน้ำว่าจะเป็นอย่างไรโชนจะหันมาชอบคนหน้าตาธรรมดาอย่างน้ำได้หรือไม่ใน สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารักครับ

ผมขอยอมรับก่อนเลยนะครับว่าผมไม่เคยคิดอยากดูหนังเรื่องนี้เท่าไรนัก ถ้าจำไม่ผิดผมเห็นตัวอย่างหนังเรื่องนี้ครั้งแรกในโรงภาพยนตร์ ผมคิดว่าหนังไทยกำลังนำเสนอหนังสูตรสำเร็จมาอีกเรื่องแล้ว และจากเนื้อเรื่องย่อที่ได้อ่านผมว่ามันก็ธรรมดานะครับในสายตาผม แต่กระแสของหนังเรื่องนี้เมื่อเข้าฉายกับสร้างความชื่นชมให้หลายๆคนรอบข้างผมมาก แต่ผมก็ไม่ได้ไปดูเพราะคิดว่ามันคงเป็นกระแสเหมือนทั่วๆไป แต่เมื่อตะกี้นี้เองผมได้แผ่นดีวีดีของหนังเรื่องนี้มาครับ ก็เลยใช้เวลาช่วงเช้านั่งดูโดยมีความคิดว่าขอดูการนำเสนอหน่อยแล้วกันจะแตกต่างไหม หลังจากนั้นประมาณ 2 ชั่วโมง ผมกลับรู้สึกว่ามันดีขนาดนี้เลยหรอเนี่ย พร้อมคราบน้ำตาของตัวเองที่ไหลมาตอนไหนก็ไม่รู้...
เข้าสู่เนื้อหาของการรีวิวกันเลยดีกว่าครับ ผมเริ่มดูหนังเรื่องนี้โดยจับตาดูนางเอกเป็นหลักนะครับ เพราะมีกระแสมากว่าใช่คนเดียวกันไหมคำตอบ คือ ใช่ล้านเปอร์เซ็นนะครับ ต้องยกความดีให้ทีมแต่งหน้าจริงๆครับ หนังนั้นบอกเล่าเรื่องราวความรักของผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งที่มีความรักในแบบรักแรกพบได้เป็นอย่างดีนะครับ ทำให้เราหลายๆคนนึกถึงช่วงเวลาที่เราตกหลุมรักครั้งแรกว่าตอนนั้นเราทำอะไรไปบ้าง บางทีอาจจะทำมากกว่าน้ำก็เป็นได้นะครับ เรื่องพัฒนาการของตัวละครในเรื่องผมถือว่าผ่านสบายนะครับ ตัวนางเอกเองก็พยายามทำตัวเองให้สวยขึ้นมากจริงๆ บางคนบอกว่าสวยขนาดนี้ 2 ปีไม่นาพอเผลอๆต้องไปเกาหลี เอาน่าครับจุดนี้อาจจะเกินไปบ้างครับ 

ตอนแรกผมปักธงว่านี่คือหนังสูตรสำเร็จ ผมจึงมองไปที่ตัวละครและดูพัฒนาการเท่านั้น แต่พอดูไปเรื่อยๆผมกลับถูกบทของหนังเรื่องนี้และการนำเสนอดึงเข้าไปโดยที่ไม่รู้ตัว ผมรู้อยู่แล้วว่านางเอกสวยขึ้นและทุ่มเทขนาดนี้พระเอกต้องชอบแน่ๆ แต่ไม่นึกว่าหนังเรื่องนี้จะนำเสนอด้วยมุมมองที่ใหม่และเลิศเลอขนาดนี้ ผมขอขยายคำว่ามุมมองหน่อยนะครับ มุมมอง คือ สิ้งที่เรามองเรื่องๆเดียวกันด้วยวิธีคิดที่ต่างกันออกไปครับ ยกตัวอย่างง่ายๆครับ หนังฝรั่งมีหนังรักโรแมนติคมาจะร้อยปีแล้วนะครับ แต่สิ่งที่ทำให้หนังรักโรแมนติคของต่างชาติเขาดีและน่าติดตามคือมุมมองใหม่ๆครับ ไม่ใช่ตบตี สะดุดล้มทับกันแล้วรักแบบละครไทยครับ หนังไทยหลายๆเรื่องในช่วงหลังๆต้องบอกว่ามุมมองแทบจะมาแบบเดียวกันเลยนะครับ มุมมองความรักในหนังเรื่องนี้สำหรับผมเป็นมุมมองใหม่ๆนะครับ ทำให้เชื่อได้ว่าความรักบางทีมันก็เริ่มจากสิ่งเล็กที่ๆเราแทบจะมองข้ามมันไปแบบนี้ล่ะครับ หนังทำให้เราเข้าใจตามไปว่าความรักบางครั้งมันก็คือ การได้พบกันและเรียนรู้กันโดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงว่าเราดีพอสำหรับเขาไหม เพราะบางทีเวลาที่เราดีพอ เขาอาจจะไม่อยู่ฟังเราแล้วก็ได้นะครับ และอีกความรู้สึกที่ผมชอบสำหรับหนังเรื่องนี้คือ "ถ้าคุณคิดว่าการแอบรักใครสักคนมันยากแล้ว การที่เราไม่อาจบอกรักคนที่รักเรานั้นยากกว่ามาก" อันนี้ผมชอบสุดๆเลยล่ะครับ ไม่รู้ว่าหลายๆคนดูแล้วจะได้อารมณ์นี้ไหมนะครับ ยังไงลองดูนะครับ 

มาที่เรื่องของนักแสดงกันบ้างนะครับ แน่นอนคนแรกผมคงต้องขอพูดไปที่นางเอกของเรื่องนะครับ น้องใบเฟิร์นต้องบอกว่าแสดงออกมาได้ดีนะครับถ่ายทอดอารมณ์ของแต่ละช่วงวัยออกมาได้ดีมากๆครับ ผมชอบตอนที่น้องเขายังเป็นสาวปลวกๆนะครับดูน่ารักในเรื่องพฤติกรรมการแสดงออกดีมากๆเลย ส่วนตอนที่สวยแล้วบทก็ตามมาจรฐานครับแต่โดยภาพรวมถือว่าเยี่ยมครับ มาที่พระเอกบ้างครับ มาริโอ้ หลายๆคนชอบบอกว่าเรื่องนี้เอามาริโอ้มาขายเฉยๆและฉายภาพเทพของมาริโอ้ให้นางเอกฝันไว้บทดูธรรมดา ผมว่าคนที่พูดแบบนี้ไปหามาดูก่อนเถอะครับ บทตอนแรกของมาริโอ้นั้นตอนแรกออกแนวขวัญใจมหาชนมากครับดีทุกอย่าง แต่พอดูๆไปมันเหมือนกับว่าแววตาและท่าทางของเขากำลังจะใบ้อะไรบางอย่างออกมาให้คนดูคอยคิดนะครับและพอติดตามไปจนจบผมเองขอบอกว่าผมกลับชอบมาริโอ้มากกว่านางเอกอีกนะครับ ทั้งในเรื่องของบทและการแสดงนะครับ ผมว่าความรู้สึกของฝ่ายชายนั้นแสดงยากนะครับ แต่มาริโอ้ทำให้ผมเชื่อไปได้แบบนั้นจริงๆครับ นักแสดงนั้นผมขอพูดถึงเท่านี้นะครับ ภาพรวมของหนังผมถือว่าทำได้ดีค่อนข้างมากถึงมากที่สุดถ้าเทียบกับมาตรฐานหนังไทยช่วงหลังๆนะครับ  ผมอยากให้หนังเรื่องนี้เป็นจุดเริ่มของยุคเรเนซองค์ของหนังรักเมืองไทยนะครับ คือ นำเสนอมุมมองใหม่ๆมากกว่าวิธีการแบบใหม่ และนั่นคือการสร้างความแตกต่างครับ เรื่องเพลงประกอบผมชอบแต่ละเพลงแม้จะไม่ใช่เพลงที่ใหม่หรือแต่งมาเพื่อหนังเรื่องนี้ แต่หยิบมาได้ถูกเวลาและเนื้อหามากครับ ขึ้นเพลงมาแต่ละครั้งนี่โดนอย่างแรงครับ เรื่องฉากต่างๆในหนังนั้นทำได้สมจริงและมีความรู้สึกว่าได้เห็นภาพและกลิ่นของโรงเรียนได้ดีมากๆเลยครับ และสุดท้ายผมชอบข้อคิดดีๆที่หนังรักหลายๆเรื่องไม่ค่อยมีแต่เรื่องนี้มีครับคือ "ความรักนั้นเมื่อมันเกิดกับเราแล้วบางครั้งเราทำอะไรไปทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว แต่เราเลือกได้ครับว่าจะให้ความรักผลักดันเราไปสู่ด้านที่ดีหรือด้านที่ไม่ดี" นางเอกในเรื่องใช้ความรักผลักดันตัวเองจนประสบความสำเร็จในชีวิต ผมอยากให้ทุกคนที่จะมีความรักอย่าลืมข้อคิดเล็กๆนี้นะครับ และรักอย่างสร้างสรรค์ครับ ผมขอปิดท้ายว่าหนังเรื่องนี้สมควรอย่างมากที่ควรจะต้องหามาดูครับ 

ขออภัยหากรีวิวฉบับนี้ไม่ดีเท่าคุณภาพหนังนะครับ



Create Date : 01 ธันวาคม 2553
Last Update : 21 มีนาคม 2559 18:14:24 น.
Counter : 945 Pageviews.

0 comment
Secret Sunday : 9 วัด (2010)





Cast

ศิรพันธ์ วัฒนจินดา [ปุ้น]
เจมส์ แม๊กกี้ [ณัฐ]
ภราดร ศิรโกวิท [พระสุจิตโต]
เพ็ญพักตร์ ศิริกุล [แม่ณัฐ]

Review

การทำบุญเพื่อลบล้างกรรมหรือการกระทำที่ผ่านมาแล้วนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้จริงหรือ? บางที่นี่อาจจะเป็นคำถามที่ไม่อาจหาคำตอบได้เลยก็เป็นได้ จนกว่ากรรมที่เราได้ทำไว้มันจะตามมาทวงความเป็นธรรมคืนจากเรา การเดินทางไปท่องเที่ยวของคู่รักหนุ่มสาว ณัฐ (เจมส์ แม๊กกี้) และ ปุ้น (ศิรพันธ์ วัฒนจินดา) โดยทั้งคู่มีแผนจะไปเที่ยวกันที่เชียงใหม่โดยขับรถไปจากกรุงเทพฯ แต่ก่อนออกเดินทางปุ้นบอกว่าอยากจะให้แวะที่อุทัยธานีซึ่งเป็นบ้านเกิดของณัฐเพื่อไปทำความรู้จักกับแม่ของณัฐ (เพ็ญพักตร์ ศิริกุล) เมื่อมาพบกับแม่ของณัฐ จากการพูดคุยกันแม่ของณัฐบอกว่าช่วงนี้รู้สึกไม่ดีและขอให้ณัฐไปทำบุญ 9 วัด แต่ณัฐไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อยจึงมองข้ามไปและออกเดินทางต่อแต่แล้วระหว่างทางปุ้นอยากเข้าห้องน้ำจึงต้องแวะที่วัดและที่นั่นณัฐได้พบกับพระสุจิตโต (ภราดร ศิรโกวิท) ซึ่งเป็นเพื่อนที่เล่นกันมาตั้งแต่สมัยเด็กแต่ตอนนี้เป็นพระที่กำลังเดินทางไปธุดงค์ ณัฐจึงชวนพระสุจิตโตร่วมทางไปด้วย ดังนั้นทั้ง 3 คน จึงเริ่มเดินทางไปด้วยกัน หนึ่งชาย หนึ่งหญิง หนึ่งสมณเพศ ทั้งหมดมาอยู่รวมกันโดยที่ไม่รู้เลยว่านี่คือการชักนำของกรรมที่นำพาพวกเขามาสู่วังวนแห่งการชดใช้ เส้นทางแห่งกรรมของพวกเขาจะเป็นอย่างไรและจะเกิดอะไรขึ้นกับการเดินทางครั้งนี้บ้างติดตามชมได้ใน 9 วัด

นี่เป็นหนังอีกเรื่องที่ผมดูผ่านดีวีดีครับเพราะบอกตรงๆว่าสู้ราคาโรงหนังทุกวันนี้ไม่ค่อยไหว จึงนิยมสอยแผ่นแท้ซึ่งทุกวันนี้ราคาก็ลดลงมาให้ผมตัดสินใจได้ไม่ยากครับ แต่เมื่อเราเลือกจะซื้อเราก็คงต้องเลือกให้ดีเพราะบางทีเจอหนังฟอร์มดีดูไม่สนุกจะเซ็งกันเสียเปล่า ตอนผมหยิบดีวีดีเรื่องนี้ขึ้นมาผมอ่านเรื่องย่อและคิดว่านี่คงเป็นหนัง 9 วัดสยองขวัญประมาณว่าไปไหว้พระแต่ละวัดแล้วเจอทีเด็ด(ผี)ในแต่ละวัด แต่ก็ยังอยากลองดูมุมมองการนำเสนอจึงสอยกลับมาดูครับ เข้าสู่การวิเคราะห์กันเลยนะครับ ผมเริ่มดูหนังไปได้สักพักผมเริ่มตระหนักได้ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังผีแล้วล่ะ ทำให้ความสนใจใคร่รู้ของผมมีมากขึ้น เห็นการถูกชักนำของตัวละครทุกตัวซึ่งโดนกรรมชักนำสู่เป้าหมายของมัน เนื้อเรื่องค่อนข้างคาดเดาได้ยากพอสมควรว่าจะนำไปสู่จุดจบแบบไหนและใครกันแน่ที่ต้องชดใช้กรรมส่วนนี้ผมถือว่าทำได้ดีทำให้ผมตื่นเต้นตลอดและมีผีออกมาให้เห็นเป็นระยะก็ทำให้ตื่นตัวได้ดีครับ

เรื่องการนำเสนอของหนังเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงละครเรื่องหนึ่งครับคือเรื่อง เจ้ากรรมนายเวร เป็นละครที่ฉายบ้านเรานานแล้ว ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมกลัวจริงๆนะครับ ความรู้สึกคือผีมันยังหนีพ้นทำบุญไปให้อาจจะได้ แต่กรรมล่ะจะหนียังไงและที่สำคัญมันจะมาแบบไหนมาทำกับเราหรือคนที่เรารัก หนังถ่ายทอดเรื่องพวกนี้และตั้งคำถามเกี่ยวกับทัศนะคติการทำบุญของคนที่นับวันจะเปลลี่ยนไปมากขึ้น ด้วยเรื่องพวกนี้สำหรับผมถือว่าเป็นหนังที่ผ่านระดับหนึ่งเลยนะครับ แต่สิ่งที่ผมขอติและเป็นจุดที่หลายๆคนที่ดูหนังเรื่องนี้บ่นกันมากคือไม่เข้าใจตอนจบ ผมเองนั้นพยายามทำความเข้าใจอยู่พักหนึ่งเลยครับแต่ไม่ขอสรุปตรงนี้นะครับไม่อยากสปอยในรีวิวจริงๆครับ ต้องบอกว่าตอนจบฉากสรุปของเรื่องทำได้ไม่ชัดครับ คือดูแล้วงงว่าใครเป็นใครกันแน่และมันเกี่ยวอะไรกันวะเนี่ย แต่ถ้าคุณได้ลำดับความใหม่จะพอเข้าใจครับสำหรับผมดูแผ่นเลยย้อนกลับไปดูครับ คนดูในโรงคงงงกันบ้างล่ะครับ อีกประเด็นที่เป็นจุดอ่อนนะครับชื่อหนังกับเนื้อหาครับ หนังชื่อเรื่อง 9 วัดครับ แต่มิได้เดินทางถึง 9 วัดจริงๆและไม่ได้มีเนื้อหาเฉียดไปทางนั้นเลยครับ เพียงแต่แม่พระเอกต้องการให้ลูกไปไหว้พระ 9 วัดเท่านั้นเอง เนื้อเรื่องทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับกรรมทั้งสิ้นครับ ทำให้รู้สึกว่าไม่เห็นเกี่ยวกับ 9 วัดเลย แต่ถ้ามองอีกมุมหนังอาจใช้คำว่า 9 วัดสื่อถึงการทำบุญล้างบาปก้เป็นได้เพราะ คนเราชอบกันนักเวลาเจอเรื่องไม่ดีก็ไปทำบุญ 9 วัด โดยที่คนเรายังไม่เข้าใจเลยว่าแก่นสารของการทำบุญคืออะไร




Create Date : 16 กรกฎาคม 2553
Last Update : 29 มีนาคม 2560 12:23:33 น.
Counter : 3357 Pageviews.

3 comment
Storm Warriors : ฟงอวิ๋น ขี่พายุทะลุฟ้า 2 (2009)


Cast

กัวฟู่เฉิง [ปู้จิ้งอวิ๋น]
เจิ้งอี้เจี้ยน [เนี่ยฟง]
อาซา [ตี้เอ้อม่ง]
ถังเหยียน [ฉูฉู่]
เยิ่นต๊ะหัว [เจี๋ยอู๋เสิน]
เซี่ยะถิงฟง [เจี๋ยซิน]
เหอเจี่ยจิ้ง [อู๋หมิง]

Review

กลับมาอีกครั้งหลังจากหายไปนานถึง 12 ปี กับฟงอวิ๋นขี่พายุทะลุฟ้า 2 (Storm Warriors) เป็นช่วงห่างที่นานมากจริงๆ นานจนผมไม่คิดเลยว่าหนังเรื่องนี้จะกลับมาทำภาค 2 ให้ผมได้ดูอีกครั้ง ผมเป็นแฟนของฟงอวิ๋นในทุกเวอร์ชั่นนะครับ ไม่ว่าจะเป็น การ์ตูน นิยาย ซีรีย์ และโดยเฉพาะหนังครับ การได้กลับมาชมฟงอวิ๋นในโรงภาพยนตร์นั้นแทบไม่เคยคิดเลยนะครับว่าจะได้ดูในโรงภาพยนตร์อีกครั้ง ขอเกริ่นเล็กน้อยนะครับ ตอนภาคแรกเข้าฉายในโรงภาพยนตร์บ้านเรานั้นเป็นปี 1997 ครับ เป็นช่วงที่วิกฤตของหนังฮ่องกงคือ เป็นช่วงที่หนังออกมาขายไม่ได้และไม่มีมุมมองใหม่ๆเลยครับ แต่ในปีนั้นมีฟงอวิ๋นภาคแรกครับ ที่ดัดแปลงมาจากการ์ตูนกำลังภายในชื่อดังของหม่าหย่งเฉิง จนเกิดเป็นปรากฎการณ์ไปทั่วฮ่องกงครับ เรื่องราวของภาคแรก ผมขอรีวิวในโอกาสต่อไปครับ

ก่อนการรีวิวนั้นผมอยากบอกก่อนว่าเนื้อเรื่องในภาพยนตร์นั้นแปลงจากต้นฉบับการ์ตูนและนิยายไปบ้างเพื่อความกระชับ ผมจะรีวิวตามแบบภาพยนตร์นะครับ เพื่อคนที่ไม่ได้อ่านนิยายมาจะได้ไม่งงครับ เหตุการณ์ในภาคนี้เริ่มขึ้นเมื่อ เจี๋ยอู๋เสิน (เยิ่นต๊ะหัว) นำกำลังคนมากมายจากภาคตะวันออก(ญี่ปุ่น)โดยมีเป้าหมายเพื่อยึดครองจงหยวน เพื่อการนั้นจึงใช้พิษที่ไร้สีไร้กลิ่นผสมน้ำให้เหล่าชาวยุทธ์ดื่มกิน ทำให้ชาวยุทธ์ทุกคนรวมทั้งอู๋หมิง (เหอเจี่ยจิ้ง) โดนควบคุมตัวไว้ มีเพียงคนผู้เดียวที่ยอมถูกจับโดยเห็นแก่ความปลอดภัยของฉูฉู่ (ถังเหยียน) เขาคือ ปู้จิ้งอวิ๋น (กัวฟู่เฉิง) เทพมรณะมิร่ำไห้ ผู้แตกฉานวรยุทธ์ฝ่ามือเมฆาล่องลอย จากการช่วยเหลือของเนี่ยฟง (เจิ้งอี้เจี้ยน) เทพวายุ เจ้าของเพลงเตะวายุกระซิบ ทำให้เหล่าชาวยุทธ์รอดพ้นมาได้และฟงอวิ๋นได้ร่วมมือกันต่อสู้กับเจี๋ยอู๋เสิน แต่วรยุทธ์ของฟงอวิ๋นหาใช่คู่เปรียบกับเจี๋ยอู๋เสินไม่ จึงทำให้ทุกคนจึงต้องหนีเพราะร่างกายยังไม่ฟื้นจากการบาดเจ็บ

หลังจากหนีจากเจี๋ยอู๋เสินมาได้อู๋หมิงบอกว่าการจะชนะเจี๋ยอู๋เสินได้นั้นฟงอวิ๋นจะต้องร่วมมือกันแต่ตอนนี้วรยุทธ์ของฟงอวิ๋นยังไม่พอ ดังนั้นอู๋หมิงจึงให้เนี่ยฟงและปู้จิ้งอวิ๋นไปขอความช่วยเหลือจากจอมมาร เมื่อไปถึงจอมมารกลับไม่ปรากฎตัวแต่ด้วยการขอร้องของตี้เอ้อม่ง (อาซา) ทำให้จอมมารยอมมาพบ แต่จอมมารไม่สามารถใช้วรยุทธ์ได้เช่นในอดีต จึงต้องเลือกถ่ายทอดวรยุทธ์ให้กับเนี่ยฟงแทน โดยเนี่ยฟงจะต้องฝึกวรยุทธ์เพื่อเป็นมารและก่อนการฝึกเนี่ยฟงได้ขอคำสัญญาจากปู้จิ้งอวิ๋นว่า หากเขากลายเป็นมารขอให้ปู้จิ้งอวิ๋นสังหารเขาทันที

ทางด้านปู้จิ้งอวิ๋นได้รับการติดต่อจากอู๋หมิงให้ไปพบและเมื่อไปถึงปู้จิ้งอวิ๋นพบคนในชุดดำใช้ปราณกระบี่จู่โจม แต่ปู้จิ้งอวิ๋นก็ตอบโต้ได้ในทันที ซึ่งฉากนี้แสดงถึงความเป็นอัจฉริยะในเชิงกระบี่ของปู้จิ้งอวิ๋นเป็นอย่างมาก แท้จริงแล้วคนชุดดำคือ อู๋หมิงที่ต้องการทดสอบพรสวรรคต์เชิงยุทธ์ของปู้จิ้งอวิ๋น เพื่อการต่อสู้กับเจี๋ยอู๋เสินอู๋หมิงจึงถ่ายทอดวรยุทธ์ให้กับปู้จิ้งอวิ๋นนั่นคือ หมื่นกระบี่สู่บรรพชน แต่ด้วยอัจฉริยะของปู้จิ้งอวิ๋นได้ผนึกเพลงกระบี่และฝ่ามือเมฆา จนเกิดเป็นกระบี่ลักษณะใหม่ที่ทรงอานุภาพและไร้รูปดุจเมฆาที่ไร้ลักษณ์ที่แน่นอน ภายหลังจากสำเร็จเพลงกระบี่ใหม่ ปู้จิ้งอวิ๋นขอให้อู๋หมิงตั้งชื่อเพลงกระบี่ให้ อู๋หมิงใช้ปราณกระบี่แกะสลักบนหน้าผาเป็นอักษรกระบี่คำหนึ่ง ซึ่งปู้จิ้งอวิ๋นไม่เคยเห็นคำๆนี้มาก่อน นั่นเพราะเป็นคำที่อู๋หมิงคิดขึ้นมาจากกระบวนท่าอันล้ำลึกของกระบี่ใหม่ของปู้จิ้งอวิ๋น ดังนั้นมันจึงเรียกว่า กระบี่เมฆา เป็นฉากที่มีความขลังเป็นอยางยิ่ง แต่ด้วยการพากย์ในโรงภาพยนตร์ทำให้หลายๆคนขำกันและคิดว่าปู้จิ้งอวิ๋นอ่านภาษาจีนไม่ออกไม่ใช่นะครับ สุดท้ายเพลงกระบี่เมฆาของปู้จิ้งอวิ๋นและการเป็นมารของเนี่ยฟงจะเอาชนะเจี๋ยอู๋เสินได้หรือไม่ ตลอดจนเนี่ยฟงจะกลายเป็นมารหรือไม่ติดตามได้ในฟงอวิ๋น ขี่พายุทะลุฟ้าภาค 2 ครับ

มาพูดกันในส่วนของภาพรวมครับตัวบทภาพยนตร์นั้นพยายามอ้างอิงเวอร์ชั่นดั้งเดิมให้มากที่สุด แต่ก็นั่นล่ะครับด้วยความเป็นภาพยนตร์ข้อจำกัดเรื่องเวลาจึงมีมาก การเกริ่นนำตัวละครมีน้อยทำให้บางคนที่ไม่เคยติดตามฟงอวิ๋นฉบับนิยายหรือการ์ตูนนั้นงง 100% ครับ ดังนั้นถ้าคุณจะดูแบบเข้าใจคุณต้องเป็นแฟนฟงอวิ๋นครับ อีกประเด็นคือมีการใช้เทคนิคพิเศษมากเกินความจำเป็นครับคือ ถ้าเราสังเกตุเราจะไม่เห็นฉากที่เป็นภูมิประเทศจริงๆเลยนั่นเพราะมันถ่ายในสตูดิโอย่านปากเกร็ดกันทั้งเรื่องไงครับ ส่วนตัวผมเข้าใจว่าเขาต้องการชูเรื่องนี้เป็นจุดขายแต่มันมากจนล้นครับ ถึงแม้จะสวยก็ตามนะครับ ผมชอบแบบภาคที่ 1 มากกว่ามันดูพอดีและไม่มากจนรู้สึกครับ

เรื่องการเลือกนักแสดงครับ เรื่องนี้ผมคงต้องขอชมพี่น้องแปงมากๆที่สามารถดึงกัวฟู่เฉิงกลับมารับบทปู้จิ้งอวิ๋นอีกครั้ง กัวฟู่เฉิงเคยปฏิเสธที่จะกลับมาเล่นเรื่องนี้มาแล้วครับแต่ไม่รู้พี่น้องแปงมาคุยยังไงกัวฟู่เฉิงถึงกลับมาเล่นได้ ผมถือว่าจุดนี้เป็นจุดสำคัญมากครับ เพราะลักษณะนิสัยอันเป็นเอกลักษณ์ของปู้จิ้งอวิ๋นนั้นไม่ใช่ทุกคนจะแสดงได้ แต่กัวฟู่เฉิงแสดงออกมาได้ดีมากๆโดยเฉพาะแววตาโดดเดี่ยวและดุดันคู่นั้น เจิ้งอี้เจี้ยนกับบทเนี่ยฟง ก็ต้องบอกว่าเป็นอีกคนที่เหมาะสมเช่นกันครับ แต่ในภาคนี้บทน้อยมากครับเมื่อเทียบกับบทของปู้จิ้งอวิ๋น คนต่อมาถังเหยียนผมไม่รู้จักเธอมาก่อนนะครับมารู้ตอนเล่นเรื่องนี้บทของเธอคือฉูฉู่หญิงสาวผู้หลงรักปู้จิ้งอวิ๋น ในภาคแรกบทนี้แสดงโดยซูฉีครับ คนสุดท้ายที่ผมจะกล่าวถึงคือเหอเจี่ยจิ้งครับ กับบทของอู๋หมิงมือกระบี่ในตำนาน เล่นได้ดีตามมาตรฐานแต่จะว่าไปหน้าตาของพี่ท่านหล่อไม่เสื่อมคลายจริงๆ

เล่ามาเยอะแยะขอจบดีกว่าไม่งั้นไปไกลมากๆแน่เลย สิ่งที่ผมอยากบอกคือฟงอวิ๋นเป็นนิยายและการ์ตูนที่ยาวมากน่าจะมากกว่ามังกรหยก การติดตามคงเลือกตามเฉพาะส่วนและจะเข้าใจทั้งหมดคงยากครับ ดังนั้นถ้าจะรับชมเพื่อความบันเทิงก็จงอย่าได้คิดมากครับ แต่ถ้าอยากเข้าใจที่มาจริงๆคงต้องไปหาอ่านเพิ่มเติมนะครับแต่ผมยืนยันได้ว่าไม่ผิดหวังครับ





Create Date : 18 มีนาคม 2553
Last Update : 25 ตุลาคม 2557 22:49:21 น.
Counter : 1582 Pageviews.

2 comment
1  2  3  

Peach Silencer
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]