Group Blog
 
All blogs
 

Zero Dark Thirty - ปฏิบัติการหอกเนปจูน เด็ดหัวบิน ลาเด็น (สปอยล์)

"100% เขาอยู่ที่นั่น โอเค 90-95 % ถ้าจะบอกว่าบางอย่างอาจผิดพลาด เพราะกลัวพวกคุณจะสติแตก แต่ความจริงแล้วมันคือ 100% เขาอยู่ที่นั่นแน่นอน"


Zero Dark Thirty (ZDT) เป็นหนังกึ่งสารคดี โดยผู้กำกับชื่อ Katherine Bigelow ผู้กำกับหญิงมากฝีมือ ดีกรีรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่อง TheHurt Locker โดยเรื่องนี้สร้างโดยอ้างอิงจากคำบอกเล่าของหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ออกปฏิบัติภารกิจในคืนนั้น 


ZDT เล่าเรื่องผ่านตัวละครที่ชื่อ“มายา” เธอคือ CIA สาวแกร่ง ที่ถูกส่งจากหน่วยงานใน WashingtonD.C. เพื่อมาทำภารกิจล่าตัว อุซามะห์ บิน ลาเด็นหัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายอัล-เคด้า โดยเฉพาะแม้ใครต่อใครจะมองเธอว่าเป็นผู้หญิงที่อายุยังน้อย เพราะเธอถูกเลือกให้มาทำงานกับ CIAตั้งแต่เรียนจบไฮสคูลเมื่ออายุ 19 ปีแต่เธอคือคนที่หน่วยงานเรียกขานว่าเธอนี่แหละคือ “เพชฌฆาต” หนังได้เล่าย้อนความไปตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปฏิบัติการพลีชีพทางอากาศของกลุ่มก่อการร้ายอัล-เคด้า ที่จี้เครื่องบินโดยสารเข้าชนตึกแฝด เวิลด์เทรด ในสหรัฐเมื่อวันที่ 11เดือนกันยายนปี 2001 หรือที่คนทั่วโลกเรียกว่าเหตุการณ์9/11

“มายา”เดินทางไปทำงานร่วมกับทีม CIA ในปากีสถาน หนังปูพื้นเล่าเรื่องว่าที่นั่นเขาได้พบกับนักโทษ ที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มอัล-เคด้า หลายคนเธอเริ่มสืบสาวราวเรื่อง และปะติดปะต่อเรื่องราวแต่ละเรื่องเข้าด้วยกันจนเธอสังเกตได้ว่าในทุกคำให้การณ์ของบุคคลเหล่านั้นมีอยู่บุคคลหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางคอยสื่อสารระหว่าง อุซามะห์ บิน ลาเด็นกับเครื่อยข่ายของเขา ชายคนนั้นชื่อว่า “อาบู อาเหม็ด อัลคูเวตี” “มายา” เชื่อว่าทุกครั้งที่จะมีปฏิบัติการหรือคำสั่งใดๆ บิน ลาเด็นจะต้องติดต่อกับเครือข่ายของเขา และถ้าเธอตามพลส่งสารคือ “อาบู อาเหม็ด” ไปเธอจะต้องพบกับ บิน ลาเด็น


ในระหว่างนั้นเองนับแต่ทำงานมาได้ 5-6 ปี เพื่อนของเธอที่เชื่อว่าได้พบกับคนใกล้ชิดนายใหญ่ ซึ่งเป็นหมอที่คอยรักษาคนในกลุ่มอัล เคด้าหล่อนเชื่อว่าถ้าเสนอเงินก้อนโตให้กับเขา หมอผู้นี้จะต้องขายนายใหญ่อย่างแน่นอนและนั่นจะเป็นใบเบิกทางไปสู่แผนที่ตั้งที่ซ่อนตัวนายใหญ่แม้เธอจะไม่เห็นด้วยกับแนวทางของเพื่อน เพราะมันเสี่ยงเกินไปแต่เธอก็แอบภาวนาให้มันสำเร็จ แต่แล้วเหตุการณ์ก็ไม่เป็นดังคาดเมื่อวันที่เพื่อนสาวของเธอนัดพบกับหมอของกลุ่มอัล-เคด้าชายผู้นี้กลับระเบิดพลีชีพตนเอง นั่นทำให้เพื่อนของเธอเสียชีวิตลงและข่าวร้ายก็ซัดมาหาเธออีก เมื่อเธอได้รับแจ้งข่าวว่ามีนักโทษซึ่งให้การสารภาพว่า“อาบู อาเหม็ด” ที่เธอเชื่อว่าคือพลส่งสารนั้น เสียชีวิตไปนานแล้วแต่เธอก็เลือกที่จะไม่เชื่อ และยังตั้งปณิธานอีกว่า เธอจะขอฆ่าบิน ลาเด็น ให้ได้

ราวๆปี 2009เธอได้รับข้อมูลว่า ชายที่ชื่อ “อาบู อาเหม็ด” มีพี่น้องหลายคนและคนที่ตายไปอาจจะเป็นน้องชายของเขา และนามสกุล “อัล-คูเวตี” นั่นหมายความว่า เขาต้องมีญาติพี่น้องในคูเวตอีกเธอสืบไปจนพบว่า ชื่อจริงของอาบู อาเหม็ด คือ “อัล ซายีด” เธอจึงขอให้แดนเพื่อนที่เคยร่วมงานเมื่อตอนอยู่ในปากีสถานช่วยสืบหาเบอร์โทรศัพท์ของชายคนนี้และไม่นานเธอได้รับข่าวว่าได้เบอร์มาแล้ว นั่นทำให้เธอเริ่มปฏิบัติการติดตามและดักฟังทางโทรศัพท์ และสุดท้าย เธอก็ได้เจอกับที่กบดานของเป้าหมาย“อัล ซายีด” ที่พักอยู่ในบ้านหลังหนึ่งในเมืองอับบอตลาบัต ของปากีสถาน

เช้าวันหนึ่งขณะเธอขับรถออกจากที่พักในเมืองอิสลามาบัตเพื่อจะไปยังสำนักงานเธอถูกซุ่มโจมตีจากกลุ่มผู้ก่อการร้าย และรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด นั่นแสดงว่าเธอถูกกลุ่มผู้ก่อการร้ายขึ้นบัญชีตายไว้แล้วและนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอต้องกลับไปยังสำนักงานใหญ่ของ CIA ในสหรัฐ อย่างไรก็ตามเธอได้ที่กบดานของ “อัล ซายีด” พลส่งสารของบิน ลาเด็นมาแล้วเธอเริ่มติดตามการเคลื่อนไหวและเฝ้ามองเป้าหมายผ่านภาพทางดาวเทียมในสำนักงานจนวันหนึ่งเธอได้พบความผิดปกติบางอย่าง 


บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในเมืองอับบอตลาบัตเป็นชุมชนพื้นเมืองในปากีสถาน ตัวบ้านล้อมกำแพงไว้อย่างสูง มีรั้วลวดหนามทั้งหมดมี 3 ชั้น ทุกชั้นมีหน้าต่างทึบหมด คนที่อาศัยมีเด็กและผู้หญิง 3 คน แต่มีผู้ชาย 2 คน และข้อสังเกตคือผู้หญิงอิสลามจะไม่อาศัยอยู่กับผู้ชายนอกจากว่าจะแต่งงานแล้วหรือเป็นพ่อลูกกันนั่นแสดงว่าต้องมีผู้ชายอีกคนที่อยู่ในบ้าน แถมบ้านนี้ก็ไม่มีการทิ้งขยะแต่มีระบบเผาขยะทิ้ง ทุกส่วนในบ้านออกแบบอย่างมีขั้นตอนแบบแผนไม่สามารถตรวจสอบผ่านดาวเทียมหรือซ่อนกล้องได้ และห่างไปไม่กี่ไมล์ก็อยู่ใกล้กับโรงเรียนนายร้อยปากีสถานนั่นทำให้ “มายา” เริ่มมั่นใจว่าชายอีกคนที่อยู่ในบ้าน ต้องเป็นบุคคลที่สำคัญและพิเศษถึงขนาดที่ว่าเปิดเผยตัวไม่ได้ เธอเสนอสมมติฐานและแนวคิดของเธอต่อหัวหน้าหน่วยและรายงานไปยังผู้อำนวยการ CIA ว่า มีความเป็นไปได้สูงที่บุคคลที่สามในบ้านหลังนี้ จะเป็นชายผู้มีค่าหัวแพงที่สุดในในอเมริกา “อุซามะห์บิน ลาเด็น”

“มายา” เฝ้านั่งนับวันรอครั้งแล้วครั้งเล่านับแต่ติดตาม “อัล ซายีด” มาเกือบ 200 กว่าวันและยังไม่มีทีท่าว่าทำเนียบขาวจะเอายังไงต่อ สุดท้ายแล้วทำเนียบขาวได้ขอให้หน่วยงานเสนอทางเลือกมา ซึ่งจากการวิเคราะห์สถานการณ์มีอยู่ 3 ทาง นั่นคือ 1.ทิ้งบอมบ์ด้วยเครื่องบินสเตลท์ 2.ใช้หน่วยปฏิบัติการจู่โจมทางเฮลิคอปเตอร์ และ 3.รอข่าวกรองเพื่อยืนยันตัวตนที่แน่ชัดต่อไปในนาทีนั้นเองเธอเริ่มวางแผนศึกษากับทีมงาน “มายา” บอกว่าถ้าเธอเลือกได้เธออยากทิ้งบอมบ์ แต่ทางทำเนียบขาวไม่อนุมัติเพราะอาจสูญเสียชีวิตผู้บริสุทธิ์ และเป้าหมายก็ยังไม่ชัดเจน อีกทั้งการปฏิบัติภารกิจในปากีสถานไม่ง่ายเลยเพราะไม่รู้ว่าปากีสถานรับรู้สถานะและพยายามปกปิดบ้านหลังนี้หรือไม่ ทางหน่วยงานจึงตัดสินใจใช้ทางเลือกที่2. คือ การส่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษจู่โจมทางเฮลิคอปเตอร์ และภารกิจก็จบลงด้วยชุดปฏิบัติการพิเศษทางทำเนียบขาวและทีมงานผู้เกี่ยวข้อง ได้ตัดสินใจให้ภารกิจนี้เป็นภารกิจ “ลับสุดยอด”มีเพียงหน่วยงานไม่กี่แห่ง และคนใกล้ชิด ปธน. เท่านั้นที่ทราบเรื่องชื่อปฏิบัติการคือ ‘Operation Neptune Spear’หรือปฏิบัติการหอกเนปจูน 


“มายา”เดินทางมาถึงภายในพื้นที่ Area 51 ที่นั่นเขาได้พบกับหน่วยปฏิบัติการพิเศษ Navy SEALs Team 6 หรือที่รู้จักกันในนามหน่วยพัฒนาการสงครามพิเศษทางเรือหรือ DEVGRU (Naval Development Group) และได้พบกับเครื่องบินที่ปรับแต่งใหม่ เป็นเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์แบล็คฮอว์คแบบMH-60 ที่ผ่านการทดลองบินแล้วแต่ไม่เคยออกใช้ปฏิบัติการจริง ถูกดัดแปลงให้มีการปกปิดความร้อน เสียงและการเคลื่อนที่ลักษณะภายนอกตัวเครื่องมีเหลี่ยมมุมที่แหลมและปกคลุมด้วย "ผิว"ที่ลดการสะท้อนเรดาร์ รหัสเครื่องคือ Prince51,52 ซึ่งจะถูกส่งไปที่ฐานในเมืองจาลาลาบัต ในภาคตะวันออกของอัฟกานิสถาน

1 พฤษภาคม 2011 “มายา” อยู่ในฐานปฏิบัติการในเมืองจาลาลาบัต ชายแดนอัฟกานิสถาน-ปากีสถาน กับSEALs 6 เธอได้รับสายตรงจากหัวหน้าหน่วยว่าทางทำเนียบขาวอนุมัติปฏิบัติการแล้ว ในเที่ยงคืนของวันนี้ซึ่งเป็นคืนเดือนแรมที่มืดสนิท เฮลิคอปเตอร์แบบแบล็คฮอว์ค 2 ลำรหัส Prince 51 และ 52 ยกตัวลอยสูงขึ้นเหนือฐานทัพในเมืองจาลาลาบัตแบล็คฮอว์คแต่ละลำมีนักบินสองนายและลูกเรือจากกรมบินปฏิบัติการพิเศษที่ 160 หรือ Night Stalker ภายในเครื่องคือเนวีซีลจากทีมที่หกจำนวน 23 นาย พร้อมด้วยล่ามแปลภาษาปากีสถานชื่ออาเหม็ดและไคโร สุนัขดมกลิ่น แบ่งออกเป็น 2 ทีม (ขอเรียกว่าทีม 51และ 52 ตามที่มากับรหัสเครื่องบิน) โดยการนี้ได้มีแผนสำรองกรณีไม่เป็นไปตามแผนเดิมจะมีเฮลิคอปเตอร์ชินุคแบบMH-47 จำนวน 4 ลำเป็นหน่วยสนับสนุน และ SEALs 6 ที่เหลืออีก 25 นายคงไว้ตามแนวชายแดนเป็น “หน่วยเคลื่อนที่เร็ว” 


เมื่อเครื่องบินๆผ่านแนวหุบเขาเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับแล้วความมืดและเงียบก็เข้าปกคลุมภายในห้องเครื่องก่อนนักบินจะรายงานการเข้าไปยังการเข้าหาพื้นที่ ในเมืองอับบอตลาบัต ทันใดนั้นภายในห้องเครื่องเริ่มมีเสียงบรรจุกระสุนของทีม51 และ 52 แผนเดิมคือเครื่องทั้งสองลำจะลอยตัวอยู่เหนือบ้านพักและปล่อย SEALs ลงในแนวดิ่ง แต่เมื่อ Prince 51 เกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิค เพราะขาดอากาศในการช่วยพยุงตัว จึงทำให้ 51สูญเสียการทรงตัวจนต้องยกเลิกแผน เมื่อเครื่องมีทีท่าใกล้ตก นักบินเครื่อง51 เล็งเป้าไปที่คอกปศุสัตว์ด้านข้าง ตัดสินใจกดหัวเครื่องลงจนไถลไปครูดกับกำแพงที่พักมาร์คกับลูกทีม 51 รีบออกจากเครื่อง และซ่อนตัวอยู่แถวๆที่เครื่องตกเมื่อนักบิน 52 เห็นเพื่อนนักบินตกลง โดยไม่ทราบว่าถูกยิงหรือสูญเสียการทรงตัว52 จึงยกเลิกแผน และไปจอดบริเวณกลางสนามหญ้าที่เป็นลานกว้างของอีกฝั่งซึ่งใกล้ที่พักแทนทีม 52 ซึ่งมีเจมส์ ยังคงสแตนด์บายอยู่ที่อีกฝั่ง

แผนการคลาดเคลื่อนความเงียบสงบเข้าปกคลุม ห้องรายงานสถานการณ์ยังคงคอยดักฟังการติดต่อจาก SEALs6 ผ่านไปเกือบ 2-3 นาที มาร์คและลูกทีม 51ตั้งหลักได้และเริ่มรายงานทางวิทยุว่าแผนจะยังดำเนินการต่อเขาพาลูกทีมไปยังพื้นที่ประตูหน้าบ้าน และจัดการระเบิดประตูด้วยระเบิด C-4 ทีม 51 เริ่มจู่โจมเข้าเคลียร์บริเวณลานบ้าน เมื่อบุกมาถึงส่วนบ้านรับรองทีม 51 เจอเข้ากับ อัล คูเวตี ผู้นำสารของบิน ลาเด็น SEALsนายหนึ่งลั่นกระสุนผ่านร่างเขา และจบชีวิตเขาลงและจับตัวภรรยาเอาไว้ขณะบุกเข้าไปเพื่อจะขึ้นไปยังชั้นสอง ทีม 51 เจอลูกชายของอัล คูเวตี และสังหารเขาอีกคน


ในขณะที่ทีม 52 ซึ่งนำโดยเจมส์ และอีก 6 นาย ตามกำหนดการเดิมต้องโรยตัวและบุกเข้าไปทางด้านบนและไปรวมตัวกันกับทีม51 ในบ้าน แต่เพราะแผนไม่เป็นไปตามคาดจึงทำให้ต้องบุกจากด้านนอก ทีม 52 จึงจัดกำลังสองส่วน อาเหม็ดล่ามแปลภาษา และไคโร สุนัขดมกลิ่น พร้อมทั้ง SEALs จากทีม 52อีก 4 นาย รักษาความปลอดภัยบริเวณรอบที่พัก ขณะที่เจมส์และเพื่อนร่วมทีมอีก 6 นาย บุกเข้าจากประตูอีกฝั่งเพื่อไปสมทบกับทีม 51 ในบ้าน

เมื่อสมทบกันเรียบร้อยทีมจัดชุดเพื่อขึ้นไปยังบริเวณชั้นสอง SEALs ต้องใช้ระเบิด C-4ในการพังประตูบ่อยมาก ในขณะที่เคลียร์เสร็จ SEALs สามนายเดินขึ้นไปยังชั้นบนเพื่อไปยังเป้าหมายที่อยู่ชั้นสาม และเจอเข้ากับลูกชายของบินลาเด็น วิ่งลงมาพร้อมปืน AK-47 SEALs ตัดสินใจปลิดชีพเขาตรงบริเวณนั้นก่อนจะเดินไปยังพื้นที่สุดท้ายคือห้องนอนบนชั้นสาม ซึ่งคาดว่าเป็นห้องของบินลาเด็น SEALs ตัดสินใจเฝ้ารอและเรียกชื่ออุซามะห์!! อุซามะห์!!เพื่อพิสูจน์ตัวตนและยืนยันรหัสลับกับทางทำเนียบขาว แต่ไม่มีเสียงตอบกลับSEALs ตัดสินใจจู่โจมเข้าห้องนอน SEALs นายแรกผลักประตูเข้าไป เขาเจอกับภรรยาและบรรดาลูกสาวเขาตัดสินใจกระโดดล้มทับร่างผู้หญิงเหล่านั้นเพราะเกรงว่าจะมีระเบิดพลีชีพ SEALsนายที่สองตามมาเจอเป้าหมาย กล้องมองภาพในเวลากลางคืนที่ห้อยลงมาจากหมวกของเขาฉายภาพใบหน้าชายผู้มีหนวดเคราขาว สวมชุดขาว และโพกผ้าพันหัว มาที่ดวงตา เพียงชั่วอึดใจSEALs นายนั้นตัดสินใจส่งกระสุนนัดแรกเข้าหน้าอกของชายผู้นั้นก่อนที่ร่างจะล้มลงกับพื้น SEALs นายนั้นก้มลงมอง ก่อนรายงานผ่านวิทยุว่า“แด่พระเจ้าและประเทศชาติ เจโรนิโม่!!!! เจโรนิโม่!!!!” (เจโรนิโม่ คือรหัสลับแทนความหมายว่าเจอตัวบิน ลาเด็น แล้ว) SEALsนายเดิมซ้ำนัดที่สองเข้าศีรษะเหนือบริเวณตาซ้าย ร่างไร้ชีวิตแน่นิ่งSEALs รายงานผ่านวิทยุอีกครั้งว่า “เจโรนิโม่ อี เค ไอ เอ”คือแทนรหัสลับว่า “เจอตัวบิน ลาเด็นแล้ว เป้าหมายเสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่” จบภารกิจกว่า10 ปี ที่ทางสหรัฐทุ่มเม็ดเงินไปกว่าพันล้านเพื่อตามหาตัวชายผู้นี้


ถึงเวลาเก็บหลักฐานห้องบัญชาการจากฐานจาลาลาบัตรายงานว่า หน่วยป้องกันภัยปากีสถานรู้เรื่องแล้ว SEALs 6 เริ่มปฏิบัติหน้าที่ขนย้ายศพ เก็บหลักฐาน แฟลชไดรฟ์ ฮาร์ดดิสก์ อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และเอกสารข้อมูลต่างๆกลับฐาน ด้านนอกที่พัก อาเหม็ดและ SEALs อีก 4 นาย กำลังไล่ชาวบ้านละแวกนั้นให้กลับเข้าไปหลายบ้านเริ่มเปิดไฟออกมาดูเหตุการณ์ หน่วยเหนือรายงานว่าให้รีบขนย้ายและทำลายหลักฐานโดยเร็วทางปากีสถานได้ส่งเครื่อง F-16 สองลำ เพื่อพิสูจน์ทราบเป้าหมายทีม 52 เริ่มภารกิจทำลายเฮลิคอปเตอร์แบบแบล็คฮอว์คโดยทำการระเบิดทิ้ง ทีม 51,52 ขนทุกอย่างรวมทั้งศพของบินลาเด็น ขึ้นเครื่อง Prince 52 กลับมายังฐานในเมืองจาลาลาบัตเหลือทิ้งไว้แค่ผู้หญิงและเด็กๆกับชาวบ้านในละแวกนั้นให้อยู่ในความงงงวยต่อไป

เมื่อเครื่องบินแตะพื้นในฐานเมืองจาลาลาบัต“มายา” หญิงผู้ที่สืบหาตัวชายผู้นี้มากว่าเกือบสิบปี เดินมาเปิดห่อศพเพื่อพิสูจน์ตัวตนที่แน่ชัดและรายงานกับทางทำเนียบขาวว่าคือบิน ลาเด็น ตัวจริง ใบหน้าของมายาเศร้าหมอง เธอรู้สึกเคว้ง ก้มหน้ามองศพชายคนนั้นใบหน้าเหม่อลอย ไม่พูดอะไรทั้งนั้น ก่อนพยักหน้าให้ผู้บัญชาการทหารว่าใช่เขาแน่นอนก่อนที่เธอจะขึ้นเครื่องกลับสหรัฐในเช้านั้น ด้วยเครื่องบินทหาร เธอนั่งและคาดเข็มขัด ก่อนน้ำตาจะไหลร่วงลงมาจากดวงตาทั้งสองดวง


*****ขอบคุณข้อมูลมากมายจากคุณK.Customs ผู้แปลบทความจาก No Easy Day มาลงในเว็บ Siambbgun.com (ผมติดต่อพี่เขาจะขอข้อมูลมาลงไม่ได้ จึงได้แต่ขออนุญาตมา ณ ที่นี้เพื่อนำข้อมูลจริงบางส่วนมาผสมกับหนังเพื่ออรรถรสในการอ่านครับ)******




 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2556    
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2556 14:49:23 น.
Counter : 6757 Pageviews.  

เมื่อ "นักเลง" ไม่ใช่ "อันธพาล"



"สำหรับพวกเรา คำว่านักเลงมีความหมายมากกว่าที่ใครคิด มันไม่สำคัญ
ว่าเราจะไปถล่มใครได้มากน้อยแค่ไหน ถึงใครๆจะเรียกเราว่าอันธพาล แต่สำหรับผมนักเลงกับกุ๊ย มีความหมายต่างกันอย่างสิ้นเชิง คำว่านักเลง มันมีความหมายกับเรามากเพราะมันคือ "ครอบครัว"

ผมไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากมายนักก่อนที่จะดูเรื่องนี้ และคิดว่าคงเป็นภาพยนตร์
ที่คล้ายๆกับ 2499 อันธพาลครองเมือง ในยุคที่มีนักเลงหัวไม้ชื่อดังอย่าง แดง ไบเล่ ปุ๊ ระเบิดขวด หรือ ดำ เอสโซ่ 
แต่ก็เลือกที่ตัดสินใจดูเรื่องนี้ จากเพียงแค่เห็นพี่น้อย วงพรู และพี่เต๋า สมชาย
ยืนถือปืนประกบข้างกันในโปสเตอร์หนัง



หนังเล่าถึงยุคสมัย 2499 ที่ขณะนั้นทั่วทั้งพระนครถูกแบ่งเป็นเขตน้อยใหญ่
ปกครองโดยกลุ่มแก๊งอันธพาล มาเฟียต่างๆ (เหมือนหนังฮ่องกง)
พวกบรรดาเจ้าพ่อซุ้มต่างๆก็มีรายได้มาจากการเก็บค่าต๋ง บ่อน ยาบ้า ค่าคุ้มครอง
จิปาถะสารพัดที่จะเรียกเอาได้ 
หนึ่งในบรรดาแก๊งค์ที่ดังที่สุด ก็คือแก๊งค์ของ "แดง ไบเล่" "จ๊อด เฮาดี้"
"ปุ๊ ระเบิดขวด" และ "ดำ เอสโซ่"
โดยตัวหลักอย่าง จ๊อด เฮาดี้ และ และแดง ไบเล่ นั้น
บางคำบอกเล่าในหนัง กล่าวว่าทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกันเพราะแดง เคยช่วยจ๊อด
จากการถูกพวกนักเลงกลุ่มหนึ่งไล่ตีมา จึงสนิทกันตั้งแต่นั้น
และแดงก็เป็นคนชวนจ๊อด ให้เข้าร่วมกับแก๊งค์เฮียหลอ
เจ้าพ่อที่ทำงานให้กับมาเฟียในดงมังกรที่ชื่อ "มาสิเกา"



ในมุมมองผู้ชมคนหนึ่ง ผมคงไม่สามารถวิจารณ์แบบนักวิจารณ์อาชีพ
แต่ผมก็ไม่ได้ยกย่องว่าการกระทำตัวเป็นคนเย้ยกฎหมายบ้านเมืองแบบนั้นเป็นเรื่องถูกแต่ข้อคิดที่ได้จากหนัง คือเรื่องของมิตรภาพ เพื่อน และการอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวในบางขณะก่อนที่พวกเขาจะฆ่าใครสักคน ก็ยังคงมีจิตใต้สำนึกที่ละอายต่อบาปอยู่เหมือนมนุษย์ปุถุชนทั่วไป หากแต่นั่นเป็นวิถีทาง เสมือนอาชีพการงานก็ว่าได้ มันเหมือนกับคำพูดที่แดงได้พูดกับจ๊อดว่า
"จะไม่มีการขูดรีดเงินใคร เราจะเก็บเฉพาะคนที่เต็มใจจะให้
ส่วนคนหาเช้ากินค่ำ หรือผู้หญิง จะไม่ถูกกดขี่รังแก"
คงเป็นคำจำกัดความแล้วว่า "นักเลง" ต่างจาก "อันธพาล" ตรงที่ไม่ได้หาเรื่องระรานชาวบ้านไปทั่ว แต่นักเลงจะไม่ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน และแยกแยะถูกผิดได้ ว่าสิ่งไหนควร หรือไม่ควรใช้กำลัง





 

Create Date : 25 มกราคม 2556    
Last Update : 25 มกราคม 2556 22:03:02 น.
Counter : 12562 Pageviews.  


มีนาครับ
Location :
สุพรรณบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีครับ "มีนาครับ"
รัฐศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยแม่โจ้

ชื่นชอบการท่องเที่ยวและการถ่ายภาพ
งานอดิเรก "ดูซีรี่ย์เกาหลีและญี่ปุ่น"
รวมทั้งงานศิลปะก๊อกๆแก๊กๆ

มีความสนใจในการเมือง แต่ไม่ฝักใฝ่ซ้ายขวา
และไม่ถนัดเล่นกีฬาสี

ชื่นชอบพี่โน้ส อุดม และพี่นิ้วกลม
รวมทั้งนักคิดนักเขียนคนอื่นๆ ชอบเพลงเพื่อชีวิต
และสากลยุคเอลวิส เจมส์ดีน

ทักทายกันได้นะครับ
Friends' blogs
[Add มีนาครับ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.