หวัด และ ไข้หวัดใหญ่ (เฮฮาหน้าฝน)
หวัด และ ไข้หวัดใหญ่ (เฮฮาหน้าฝน)
หน้าฝนอีกแล้ว... พร้อมกับฤดูฝนอันสุดแสนโรแมนติกชวนฝัน (สำหรับคนมีแฟนแต่ยังไม่ได้แต่งงาน) หรือสุดแสนเหงาเศร้า (สำหรับคนไม่มีแฟน) ก็คือบรรดาโรคหวัดนานาชนิด (สำหรับคนมีครอบครัวแล้วอย่างเราๆ เฮ้อ...) บล็อกนี้เลยขอลอกหนังสือของหมอชาวบ้านมาฝากกัน หอบหิ้วชุดนี้ข้ามน้ำข้ามทะเลมาด้วย เผื่อคุยกับหมอที่นี่ไม่รู้เรื่อง ฮ่าๆๆ
คนเราเป็นหวัดกันได้ทุกฤดู แต่หน้าฝนดูจะถูกโฉลกกับโรคนี้เป็นพิเศษ ถึงเวลาปัดฝุ่นกันอีกซักที ว่าเราจะต่อกรกับโรคนี้ยังไง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับครัวเรือนที่มีเด็กๆ
ข้อมูลต่อไปนี้คัด (เกือบลอก) มาจากหนังสือ แนะยาแจงโรค เล่ม 1 ของสำนักพิมพ์ หมอชาวบ้าน เขียนโดยคุณหมอ สุรเกียรติ อาชานานุภาพ ที่ต้องวงเล็บว่าเกือบลอก เพราะคุณหมอเขียนด้วยภาษาที่กระชับและอ่านง่ายมาก จนแทบไม่เหลืออะไรให้คัดแล้ว
- หวัดและไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อ ไวรัส ซึ่งมีรวมแล้วมากมายหลายร้อยสายพันธุ์ ก็เลยเป็นกันได้เป็นกันดี เพราะพอติดเชื้อตัวนี้จนมีภูมิต้านทานแล้ว ก็ใช้ไม่ได้กับตัวใหม่ ทำให้เป็นหวัดได้อีก ความแตกต่างของ หวัด กับ ไข้หวัดใหญ่ คือโดยทั่วไปแล้ว หวัดหรือไข้หวัด จะมีอาการแบบเป็นหวัดคัดจมูกน้ำมูกไหลมากกว่า ในขณะที่ ไข้หวัดใหญ่ จะหนักไปทางมีไข้สูงปวดเมื่อยตามตัว
- โดยทั่วไป ในผู้ใหญ่จะไม่ค่อยติดง่ายนัก อาการจะไม่รุนแรงมาก ไม่ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ ส่วน เด็กจะติดง่ายกว่า ถ้าเป็นจะมีอาการรุนแรงมากกว่า ควรจะให้ความสำคัญกับการป้องกันให้มาก
- แม้โดยทั่วไปอาการหวัดและไข้หวัดเองจะไม่รุนแรงและไม่เป็นอันตราย แต่การที่ภูมิต้านทานของร่างกายอ่อนแอ ก็ทำให้ร่างกายสามารถติดเชื้อแทรกซ้อนได้ง่าย บางกรณีอาจรุนแรงถึงชีวิต ถ้ามีอาการแทรกซ้อนต้องรีบไปหาหมอซะ โรคติดเชื้อที่พบบ่อยคือปอดบวมหรือปอดอักเสบ
- เนื่องจากหวัดเกิดจากเชื้อไวรัส จึงไม่มียาที่รักษาให้หายได้ การกินยาปฏิชีวนะ (antibiotics) จึงไม่มีประโยชน์ เว้นแต่จะมีการติดเชื้อแบคทีเรียภายหลังจากเริ่มเป็นหวัด ซึ่งน้ำมูกจะเปลี่ยนจากใสหรือขาว เป็นสีเหลืองหรือเขียวตลอดวัน คุณหมอทำตัวเอียงไว้ในหนังสือว่า ถ้าน้ำมูกใสหรือเสมหะเป็นสีขาว ไม่ใช่เหลืองหรือเขียว ก็ไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะ
- อีกอาการที่เกี่ยวข้องกัน คือ เจ็บคอ หรือทอนซิลอักเสบ อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียก็ได้ จะมีความแตกต่างคือ การติดเชื้อไวรัสจะเจ็บน้อยกว่า และอาจมีน้ำมูกใสร่วม ส่วนการติดเชื้อแบคทีเรียจะเจ็บมาก คอจะแดงมาก และเป็นหนองชัดเจน
- วิธีดูคือให้ส่องคอดูเองหรือให้คนอื่นดูให้ก็ได้ ต่อมทอนซิลจะอยู่สองข้างคอ ตอนอักเสบจะบวมแดงเห็นได้ชัด ถ้ามีจุดหนองขาวๆ แสดงว่าติดเชื้อแบคทีเรีย จำเป็นต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ไม่อย่างนั้นจะลุกลามหรือมีโรคแทรกซ้อนรุนแรง ถ้าเป็นการติดเชื้อไวรัส หรือเจ็บคอเนื่องจากเป็นหวัด (หวัดก็ทำให้เจ็บคอได้) กินยาปฏิชีวนะไปก็ไม่ช่วยเหมือนกัน
- การดูแลรักษาตัวเองสำหรับหวัดและไข้หวัดใหญ่คือ พักผ่อนมากๆ อย่าอาบน้ำเย็น ดื่มน้ำ (หรือน้ำผลไม้) มากๆ ประมาณชั่วโมงละแก้ว กินยาแก้ปวดลดไข้ ส่วนยาบรรเทาอาการให้ดูข้อ 8 ข้างล่าง ถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่จะมีอาการอ่อนเพลียมาก ควรหยุดเรียนหรือหยุดงานนอนพักซักสองสามวันให้เต็มที่
- สำหรับเด็กเล็กกว่า 5 ขวบ ควรงดยาแก้หวัดแก้ไอ เพราะมักมียาแก้แพ้ผสม อาจทำให้เสมหะเหนียวขับออกยาก ให้ใช้ลูกยางดูดน้ำมูกออก หรือใช้ไม้พันสำลีคอยเช็ดออก ส่วนเด็กโตและผู้ใหญ่ถ้ามีน้ำมูกมากจนรำคาญ กินยาแก้แพ้ได้แต่ควรหยุดเมื่อน้ำมูกแห้ง ส่วนอาการไอให้จิบยาแก้ไอน้ำดำหรือน้ำผึ้งผสมมะนาวเวลาไอ แต่ถ้าจิบแล้วไอมากขึ้นให้หยุด
- คุณหมอเน้นว่า อย่าลืม ยาแก้หวัดแก้ไออาจทำให้ไอมากขึ้นได้ เพราะทำให้เสมหะเหนียวขับออกยาก ถ้ากินยาแล้วยังไอมาก ให้หยุดยาแล้วดื่มน้ำอุ่นมากๆ ให้เสมหะออกง่าย อาการไอจะหายได้เอง
- ยาปฏิชีวนะ ไม่ช่วยอะไรถ้าเป็นหวัดหรือไข้หวัดธรรมดา ให้กินก็ต่อเมื่อ (1) น้ำมูกหรือเสมหะเป็นสีเหลืองหรือเขียว (ถ้าเสมหะยังเป็นสีขาวแสดงว่ายังไม่ติดเชื้อแบคทีเรีย ยังไม่ต้องกิน) (2) ส่องดูเห็นว่าทอนซิลอักเสบเป็นหนอง แสดงว่าติดเชื้อแบคทีเรียแน่ๆ (คุณหมอย้ำว่า ขอย้ำว่า อาการเจ็บคอไม่จำเป็นต้องเกิดจากทอนซิลอักเสบเป็นหนองเสมอไป จึงไม่ควรกินยาปฏิชีวนะรักษาอาการเจ็บคอทุกครั้งไป จะใช้ยานี้ต่อเมื่อพบว่าทอนซิลบวมแดงเป็นหนองเท่านั้น)
- สำหรับครอบครัวที่เชี่ยวชาญเรื่องยาปฏิชีวนะคงรู้กันดีว่าจะกินยังไง สำหรับครอบครัวที่ไม่เชี่ยว คุณหมอเขียนแนะนำไว้เหมือนกัน แต่มันจะยาว ขอแนะนำให้ปรึกษาคุณหมอตัวเป็นๆ ดีกว่า
- ข้อนี้สำคัญ ควรไปหาหมอทันที ถ้ามีอาการต่อไปนี้ หายใจหอบ (สำหรับเด็กเล็กให้นับการหายใจ เด็กต่ำกว่า 2 เดือนหายใจเกิน 60 ครั้งต่อนาทีถือว่าหอบ ต่ำกว่า 1 ขวบถ้าเกิน 50 ครั้ง และต่ำกว่า 5 ขวบเกิน 40 ครั้งต่อนาทีถือว่าหอบ) เจ็บหน้าอกรุนแรง จับไข้หนาวสั่นมาก ปวดท้องมาก อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด
- นอกจากนี้ ควรไปหาหมอถ้ามีอาการเหล่านี้ ปวดหู-หูอื้อ-ปวดไซนัส มีจุดจ้ำแดงเขียวตามตัว ตาเหลือง-ตัวเหลือง มีไข้เกิน 7 วัน รักษาตัวเองมา 4 วันแล้วยังไม่หาย เคยมีประวัติแพ้ยาปฏิชีวนะ เจ็บคอเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง
นอกจากข้อมูลล้วนๆ ที่อ้างหมอมา (ไม่ได้ใส่ความเห็นส่วนตัวเลยนะ) ในบทความแล้ว ก็มี ประสบการณ์และความเห็นส่วนตัว มาร่วมแบ่งปันตรงนี้ด้วย
- บทเรียนจากประสบการณ์ตรงคือ ถ้าเริ่มเจ็บคอปุ๊บ ให้รีบกินฟ้าทะลายโจรทันที เมื่อก่อนตอนไปค่าย อาจารย์ที่ปรึกษาชมรมซึ่งเป็นอาจารย์คณะเภสัชฯ เอามาแนะนำในค่ายก็ไม่เคยเชื่อ (แหะๆ ขอโทษก๊าบ) ก็แหม พืชผักเป็นใบๆ จะให้เราเชื่อว่ามันชะงัดทันใจน่ะ ทำใจลำบากน่อ ก่อนนี้แม่ก็เคี่ยวเข็ญให้กิน จะได้ไม่ต้องกินยาแก้อักเสบ เพราะกินเยอะๆ ไม่ดี จะดื้อยา (แบบที่บ้านซื้อฟ้าทะลายโจรสดมาตากเอง บดเอง ใส่แคปซูลเองเลยนะเนี่ย) ก็ยังไม่ยอมเชื่ออีก จนตอนมาอยู่ออสเตรเลียเมื่อหลายปีก่อน แม่ยัดใส่กระเป๋ามาด้วย ถึงได้ค้นพบว่าชะงัดจริงๆ แล้วก็ใช้มาจนบัดนี้
- วิธีกินคือ เริ่มรู้สึกเจ็บปุ๊บให้กินทันที วันละ 3 4 ครั้งๆ ละ 4 แคปซูล (ขอแนะนำให้กินแบบแคปซูล เพราะแบบลูกกลอนบางทีเขาใส่สารอะไรน้า... ที่ทำให้ยามันเกาะกัน แล้วมันเป็นพิษกับร่างกาย ไม่แน่ใจว่าสารหนูหรือเปล่า) ไม่ต้องตกใจ ฟังดูเยอะแต่มันไม่เยอะหรอก มันเป็นใบไม้ ก็เหมือนกินผักนี่แหละ ถ้าเชื้อไม่แรงนักภายใน 2 วันจะหายเจ็บคอไปเอง
- เพื่อนที่ทำค่ายด้วยกันคนนึงอยู่เภสัชฯ เคยนั่งอธิบายให้ฟังว่า ฟ้าทะลายโจรเนี่ยมีสรรพคุณทางยาที่รับรองแล้วหรืออะไรเนี่ย 3 อย่าง คือ (1) ลดไข้ (2) แก้กระหายน้ำ (3) แก้เจ็บคอ ซึ่งมันแก้ได้เพราะมีฤทธิ์เป็น antiseptic (ไม่รู้เหมือนกันว่าแปลว่าไร แปลว่าฆ่าเชื้ออย่างอ่อนๆ หรือเปล่าครับ คุณหมอทั้งหลาย รู้แต่มันเป็นพวกเดียวกับ เด็ตตอล อ้ะ แหะๆๆ)
- เพราะงี้ ถ้าเจ็บเยอะๆ มาหลายวันแล้ว เราก็เลยไม่กินให้เปลือง เพราะถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเชื้อมันแรงจนป่านนี้คงจะฆ่าไม่ตายแล้ว ก็คงใกล้จะหายเต็มที ฮ่าๆๆ (ถ้าใครรู้ว่าเจ็บหลายวันแล้วก็ยังกินได้ก็ช่วยบอกด้วยนะคร้าบบบ...)
ยังไงซะ ไม่เป็นหวัดเป็นไข้เสียเลยคงจะดีกว่า ระมัดระวังตัว รักษาสุขภาพนะครับ ถ้าโดนฝน กลับถึงบ้านก็รีบอาบน้ำสระผมซะ อย่าปล่อยให้เปียกชุ่มแช่นานๆ ยิ่งบ้านไหนมีเด็กเล็กๆ (เพื่อนบ้านเราในบล็อกนี้ก็หลายคนนะครับ) ยิ่งต้องคอยดูเป็นพิเศษ เป็นห่วงนะคร้าบบบ...
Create Date : 24 มิถุนายน 2548 |
Last Update : 24 มิถุนายน 2548 8:42:32 น. |
|
23 comments
|
Counter : 530 Pageviews. |
|
|